หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 และคนปัจจุบันของประเทศไทย และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ภายหลังการก่อรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี เขาถูกจัดอันดับเป็นนักการเมืองแถวหน้าของพรรคอย่างรวดเร็ว แต่แพ้การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ. 2544 นายอภิสิทธิ์ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2548

ระหว่างวิกฤตการณ์การเมืองในไทย ราว พ.ศ. 2548-2549 นายอภิสิทธิ์ได้เสนอแนวคิด จนกลายเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเกี่ยวกับการทูลเกล้าขอ "นายกรัฐมนตรีพระราชทาน" จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ดำรงตำแหน่งแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาได้มีกระแสพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาใจความตอนหนึ่งว่า "...เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทาน เป็นต้น จะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย..."[2][3] ภายใต้การบริหารพรรคของนายอภิสิทธิ์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อาวุโสกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้สมคบคิดแผนฟินแลนด์ เพื่อล้มล้างราชวงศ์จักรี และก่อตั้งสาธารณรัฐ นายอภิสิทธิ์ได้เคยตัดสินใจคว่ำบาตรการเลือกตั้ง พ.ศ. 2549 โดยไม่ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจาก[4] นายอภิสิทธิ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 ซึ่งโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ได้ใช้วิธีต่อต้านแบบเดียวกับกลุ่ม นปช ในปี พ.ศ. 2550 พรรคประชาธิปัตย์ได้ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากพรรคอื่น ๆ ให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่านายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิด และตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักไทยในข้อหาเดียวกัน อภิสิทธิ์สนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 โดยกล่าวว่าเป็นการปรับปรุงจากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540[5] พรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 ให้แก่พรรคพลังประชาชน

ในเหตุการณ์การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกประชาธิปัตย์บางคนกลายเป็นแกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ซึ่งยึดทำเนียบรัฐบาล, ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะที่มีการปะทะกันระหว่าง พธม. กับตำรวจและกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง นายอภิสิทธิ์แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ การปิดล้อมดังกล่าวได้ยุติลงภายหลังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค ผู้บัญชาการทหารบกและหนึ่งในคณะก่อการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ถูกกล่าวหาว่าได้บีบบังคับให้สมาชิกพรรคพลังประชาชนหลายคน รวมทั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน ให้มาสนับสนุนอภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[6][7]

นายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำประเทศระหว่างวิกฤตการณ์การเงินโลก และเผชิญหน้ากับความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ระหว่างเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2552 กลุ่มผู้ประท้วง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เข้าขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกครั้งที่ 4[8] รวมทั้งเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงในกรุงเทพมหานคร นายอภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เซ็นเซอร์สื่อ และสั่งการให้ทหารสลายการชุมนุมของผู้ประท้วง สมาชิกของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้องในความพยายามสังหารแกนนำ พธม. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะกล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ[9][10][11] นายอภิสิทธิ์ให้ความสำคัญสูงสุดในการเซ็นเซอร์และฟ้องร้องบุคคลผู้ตั้งคำถามต่อบทบาทของสภาองคมนตรีไทย และพระมหากษัตริย์ในทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จาก พล.อ.อ.กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี ว่า อภิสิทธิ์ตอบโต้เกี่ยวกับข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทช้าเกินไป[12] จากรายงานปี พ.ศ. 2553 Human Rights Watch ได้ชมเชยอภิสิทธิ์ว่าเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการพูด แต่แย้งกลับในบันทึกของเขาว่า "รัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการดำเนินคดีตามกฎหมายในประเทศไทย"[13]

การทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์หลายกรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวิฑูรย์ นามบุตร ลาออก หลังจากจัดหาปลากระป๋องเน่าให้กับผู้ประสบอุทกภัย[14] ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตในการจัดซื้ออุปการณ์ทางการแพทย์เกินราคาในโครงการ ไทยเข้มแข็ง จึงได้ประกาศลาออก[15] นายอภิสิทธิ์ยังเผชิญกับความตึงเครียดซึ่งเพิ่มมากขึ้นจากประเทศกัมพูชา ในหลายประเด็น รวมทั้งการแต่งตั้งแกนนำ พธม. นายกษิต ภิรมย์ อันเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การปะทะตามแนวชายแดนบริเวณเขาพระวิหาร และการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลกัมพูชา

ปัจจุบันการบริหารเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของไทยในรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2553 ขยายตัวถึงร้อยละ 10 มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ และตลาดหลักทรัพย์ได้มีมูลค่าตลาดถึง 7.6 ล้านล้านบาทมากเป็นประวัติศาสตร์ตั้งแต่ตั้งตลาดหลักทรัพย์มาด้วย

เนื้อหา [ซ่อน]
1 ประวัติ
1.1 ตระกูลเวชชาชีวะ
1.2 ข้อกล่าวหาการหนีราชการทหาร
2 เข้าสู่แวดวงการเมือง
3 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
3.1 บทบาทในช่วงวิกฤตการทางการเมือง 2549
3.2 ข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง ปี 2549
3.3 นโยบายทางการเมืองที่ตรงกันข้าม
3.4 สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550
3.5 เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
3.6 ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
4 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
4.1 ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา
4.2 ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต
4.3 ความมั่นคง
4.4 กรณีสิทธิบัตรยา
4.5 การออกกฎหมาย
4.6 การตรวจสอบขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
4.7 ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
4.7.1 กัมพูชา
4.7.2 เวียดนาม
4.8 เช็คช่วยชาติ
4.9 การสั่งฟ้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
4.10 ความไม่สงบในช่วงสงกรานต์ในปีพุทธศักราช 2552
4.11 ความไม่สงบในช่วงก่อนสงกรานต์ในปีพุทธศักราช 2553
4.12 ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
4.13 มาตรการปราบปรามการประท้วง
4.14 ความนิยม
5 ความสนใจ
5.1 กีฬา
5.2 ดนตรี
6 ผลงานหนังสือ
7 หนังสือที่เกี่ยวกับนายอภิสิทธิ์
8 เกียรติยศ
8.1 เครื่องราชอิสริยาภรณ์
8.2 การได้รับการจัดอันดับในระดับนานาชาติ
9 อ้างอิง
10 ดูเพิ่ม
11 แหล่งข้อมูลอื่น
11.1 หนังสืออ่านเพิ่มเติม

ประวัติ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีชื่อเล่นว่า "มาร์ค" เกิดวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 ที่ เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ บุตรชายคนเดียว ในจำนวนบุตร 3 คน ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลกับ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ มีพี่สาว คือ ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ ศาสตราจารย์หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็ก และ น.ส.งามพรรณ เวชชาชีวะ นักประพันธ์รางวัลซีไรท์ประจำปี พ.ศ. 2549 และผู้แปลวรรณกรรมเยาวชน

ในขณะที่อภิสิทธิ์ยังมีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะได้เดินทางกลับประเทศไทย ด.ช.อภิสิทธิ์ ได้เข้าเรียนระดับอนุบาลที่ โรงเรียนอนุบาลยุคลธร ระดับประถมที่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นได้ย้ายกลับประเทศอังกฤษเพื่อเข้าเรียนที่ โรงเรียนสเกทคลิฟ และเรียนต่อที่ โรงเรียนมัธยมอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเอกชน ระดับเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของลอนดอน ได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชา ปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (philosophy, politics and economics, PPE) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชานี้ ต่อจากพระยาศรีวิศาลวาจา[16]

หลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี อภิสิทธิ์เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (รร.จปร.) จังหวัดนครนายก ระหว่าง พ.ศ. 2530–2531 ได้รับการแต่งตั้งยศว่าที่ร้อยตรี[17] ก่อนจะลาออกจากราชการกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง ปริญญานิพนธ์ของนายอภิสิทธิ์ได้รับการยอมรับในระดับดีมาก โดยเทียบได้กับเกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ได้กลับมาเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[17] หลังจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจนสำเร็จปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย[17]

ต้นปี พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์ได้รับปริญญา นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง[18] จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร[19]

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (สกุลเดิม ศกุนตาภัย) อดีตทันตแพทย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ นางสาวปราง เวชชาชีวะ และ นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ[20]

ตระกูลเวชชาชีวะ
ตระกูล "เวชชาชีวะ" มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากฮากกา ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับชนชั้นสูงมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18[21][22] มีแซ่ในภาษาจีนว่า หยวน (จีน: 袁; พินอิน: Yuán) [23][24] ในสมัยรัชกาลที่ 6 สกุล "เวชชาชีวะ" (Vejjajiva) เป็นนามสกุลพระราชทานให้กับพระบำราศนราดูร (หลง เวชชาชีวะ) แพทย์ประจำจังหวัดลพบุรี กับนายจิ๊นแสง (บิดา) นายเป๋ง (ปู่) และนายก่อ (ปู่ทวด) เนื่องจากเป็นต้นตระกูลเป็นแพทย์จึงมีคำว่า "เวช" อยู่ในนามสกุลด้วย[25]

นายอภิสิทธิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดยที่นายสุรนันทน์เป็นบุตรของนายนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาของอภิสิทธิ์[26]

ข้อกล่าวหาการหนีราชการทหาร
ช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่านายอภิสิทธิ์ไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร[27][28] พร้อมทั้งแจกจ่ายจดหมายเปิดผนึกให้กับพรรคประชาธิปัตย์และสื่อมวลชน[29] เรื่องดังกล่าวมีการเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 (สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1) โดยอภิสิทธิ์ได้เคยแถลงว่า ตนเคยรับราชการทหาร เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ได้รับพระราชทานยศร้อยตรี โดยการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า[27] คำแถลงของอภิสิทธิ์ ได้รับการยืนยันจากกองทัพในขณะนั้นว่าเป็นความจริง แต่เนื่องจากการเข้ารับราชการ ต้องแสดงเอกสารเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร[30] จึงเกิดข้อกังขาว่า หากอภิสิทธิ์ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร เหตุใดจึงสามารถสมัครเข้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้ ซึ่งอภิสิทธิ์เคยแถลงเพียงว่า เป็นอำนาจวินิจฉัย และความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานในขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี พ.ศ. 2542 มีความเห็นว่า ในครั้งนั้น อภิสิทธิ์สมัครเข้ารับราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมโดยขาดส่งหลักฐานทางทหาร ซึ่งมีฐานความผิดเพียงโทษปรับ แต่ยอมรับว่าอภิสิทธิ์เข้ารับราชการทหารแล้ว[31]

ช่วงเวลาเดียวกันมีความเห็นจากแหล่งข่าวในกองทัพ ว่ากองทัพบกมีเอกสารต้นขั้ว สด.๙ ที่ออกให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อบรรจุเป็นทหารกองเกิน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 จริง และมีเอกสาร สด.๑ ของสัสดีที่ยืนยันการรับ สด.๙ ด้วย อย่างไรก็ดี แม้อภิสิทธิ์ไม่มารับการตรวจเลือกและไม่ได้รับ สด.๔๓ แต่เมื่อไปรับราชการ เป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหมในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ก็ถือว่ามีฐานะเป็นทหารแล้ว เพียงแต่ไม่ไปแจ้งให้พ้นบัญชีคนขาดเท่านั้น[32]

การโจมตีเรื่องอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร เกิดขึ้นอีกครั้งประมาณปลายปี พ.ศ. 2551 หลังพรรคพลังประชาชนถูกศาลวินิจฉัยให้ยุบพรรค และอภิสิทธิ์เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสจะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยประเด็นเกี่ยวกับการรับราชการทหารของนายอภิสิทธิ์ได้เป็นหัวข้อหนึ่งที่ฝ่ายค้านใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เมื่ออภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึง 3 เดือน

ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552 อภิสิทธิ์ได้ตอบกระทู้อภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับการรับราชการทหารว่า มีความเข้าใจผิดว่าตนสมัครเข้ารับราชการทหาร หลังจากไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร แต่ในความเป็นจริง ได้สมัครเข้ารับราชการทหารตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดเกณฑ์ทหารแล้ว การสมัครเข้ารับราชการทหารในขณะนั้นจึงไม่ต้องใช้ สด.๔๓ แต่ใช้ สด.๙ และหนังสือผ่อนผันฯ แทน ซึ่งอภิสิทธิ์ยืนยันว่าขณะที่สมัครเข้า รร.จปร. ตนมีเอกสาร สด.๙ ที่ได้รับประมาณกลางปี พ.ศ. 2529 หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและกลับมาถึงประเทศไทย และมีรายชื่อได้รับการผ่อนผันฯ เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ช่วงปี พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2532 ตามบัญชีของ ก.พ. ที่จัดทำตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2529 การสมัครเข้า รร.จปร. ของตนจึงเป็นการสมัครโดยมีคุณสมบัติครบถ้วน หลังจากสมัครเข้า รร.จปร. ได้ผ่านการฝึกทหารคล้ายการฝึก รด. จนครบตามหลักสูตรจึงได้รับพระราชทานยศร้อยตรี ในการขอติดยศร้อยตรีนั้นตนได้ทำเอกสาร สด.๙ หายจึงได้ไปขอออกใบแทน แต่ในการสมัครเข้า รร.จปร. ได้ใช้ สด.๙ ตัวจริงสมัคร แล้วเอกสารมีการสูญหายในภายหลัง ในการอภิปรายครั้งนี้อภิสิทธิ์ได้แสดง สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการยกเว้นผ่อนผันฯ และ สำเนา สด.๙ ฉบับแรกของตน ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย[33]

เข้าสู่แวดวงการเมือง
อภิสิทธิ์ เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับ พิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย ช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทย ต่อมาได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ให้กับ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น[19] และเป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคกลาง ท่ามกลางกระแส "มหาจำลองฟีเวอร์" กับการเป็นนักการเมือง "หน้าใหม่" ที่เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก

ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 อภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมปราศรัยและคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร[19] ที่ สนามหลวง และลานพระบรมรูปทรงม้า ในฐานะนักวิชาการ และตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในครั้งนั้นประกาศไม่เข้าร่วมรัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานทางการเมืองที่สำคัญ คือการจัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542[34] ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกของไทย ที่ดำเนินการจัดทำจนสำเร็จในช่วงเวลาที่อภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[35] ที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เพื่อมอบสิทธิแก่เยาวชนไทยในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 โดยอภิสิทธิ์มีบทบาทดูแลทั้งด้านนโยบาย หลักการและรายละเอียด รวมทั้งผลักดันให้ผ่านคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ของสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และได้ดูแลจนกระทั่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษาประกาศใช้

ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตกรรมการการศึกษาแห่งชาติผู้ทรงคุณวุฒิ และ ประธานกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยให้ความเห็นไว้ว่า อภิสิทธิ์เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของ พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง[19]

นอกจากนี้ อภิสิทธิ์ยังมีผลงานผลักดันกฎหมายและแนวคิดต่างๆ จำนวนมาก[36] อาทิเช่น กฎหมายข้อมูลข่าวสาร กฎหมายกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชน การผลักดันให้มี วิทยุชุมชนในท้องถิ่น การผลักดัน ให้มีองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบ เช่น ปปช., ศาลปกครอง และ กกต. การเสนอมาตรการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลการทุจริตของ หน่วยงานรัฐ หรือนักการเมือง การเสนอกฎหมายให้การฮั้วประมูลเป็นความผิดทางอาญา การเสนอกฎหมายองค์การมหาชน เพื่อให้การให้บริการของรัฐ มีความสะดวกคล่องตัว และการผลักดันแนวคิดเรื่องการสรรหาผู้บริหารระดับสูงในองค์กรภาครัฐ ด้วยระบบสัญญาจ้าง เพื่อให้สามารถสรรหาผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างอิสระ โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อจากบัญญัติ บรรทัดฐาน ตั้งแต่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2548 [37]

บทบาทในช่วงวิกฤตการทางการเมือง 2549
ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอแนะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น นำคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กราบบังคมทูลขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน โดยอาศัยความตามมาตรา 7 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพื่อรักษาการชั่วคราวในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมือง สืบเนื่องจาก นักวิชาการ นักการเมือง และประชาชน ที่มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ร่วมกันลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยอ้างอิงความตามมาตรา 7 ซึ่งอภิสิทธิ์ไม่ใช่ผู้ร่วมลงนามในฎีกาดังกล่าวตามหลักฐานรายชื่อในฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน

ข้อเสนอของอภิสิทธิ์มีความแตกต่างจากเนื้อหาในฎีกา เนื่องจากเสนอให้รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ ก่อนที่จะขอ นายกรัฐมนตรีพระราชทาน ทำให้เกิดเงื่อนไขสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญ ในขณะที่เนื้อหาในฎีกา เป็นการขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ทั้งที่ยังมี รักษาการนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง จึงเป็นการขอที่ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย[38] ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์ได้มีแถลงการณ์ว่า ข้อเสนอของอภิสิทธิ์ ได้รับการยอมรับจาก ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ว่าสามารถปฏิบัติได้จริงตามรัฐธรรมนูญทุกประการ

วันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาใจความตอนหนึ่งว่า "...เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทาน เป็นต้น จะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย..."[2] และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ กลุ่มการเมืองฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ตั้งฉายาให้กับอภิสิทธิ์ที่มีชื่อเล่นว่า "มาร์ค" ว่า "มาร์ค ม.7"

ในการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศ จับมือทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชน ปฏิเสธการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการจัดเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักการที่ควร[39][40] เป็นผลให้ พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาทุจริตในการเลือกตั้ง[41][42] และต่อมามีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ "คดียุบพรรค" และศาลก็ได้มีมติให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 3 คนต้องโทษจำคุก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วย[43][44]

ข้อกล่าวหาทุจริตการเลือกตั้ง ปี 2549
พรรคไทยรักไทยกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อคว่ำบาตรการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่มีความผิด เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2549

วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2549 สมาชิกคณะกรรมการเกี่ยวกับการรวบรวมข้อมูลเพื่อสรรหาข้อเท็จจริง ที่นำโดยรองอัยการสูงสุดชัยเกษม นิติสิริ (ปัจจุบัน อัยการสูงสุด) มีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ (เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยและอีก 3 พรรคการเมือง) ขึ้นอยู่กับหลักฐานให้สินบนกับพรรคเล็กต่างๆ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์ประชุมกับสายสัมพันธ์ทางการเมืองจาก 20 ประเทศเพื่อที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง[45][46]

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ในกรณีก่อนที่กองทัพแต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าสาบานตนว่าพวกเขาถูกหลอกให้สมัครเป็นคู่แข่งในการเลือกตั้งเดือนเมษายน[47]

พยาน 3 คนยืนยันว่าเลขาพรรคประชาธิปัตย์ถาวร เสนเนียม, วิรัต กัลยาสิริ และ เจือ ราชสีห์ สนับสนุนให้ผู้ประท้วงขัดขวางการลงสมัครรับเลือกตั้งในระหว่างการเลือกตั้งซ่อม[48] หลังจากการเลือกตั้งเดือนเมษายน 2549 อัยการยืนยันว่าพรรคพยายามตัดสิทธิ์ผลการเลือกตั้งและบังคับให้จัดการเลือกตั้งซ่อมต่อไป ข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ถูกต้องซึ่งพยายานกลุ่มเดียวกันนี้ถูกว่าจ้างโดยกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พรรคประชาธิปัตย์พ้นความผิด ขณะที่พรรคไทยรักไทยมีความผิด[49][50]

นโยบายทางการเมืองที่ตรงกันข้าม
วันที่ 29 เมษายน อภิสิทธิ์ประกาศเป็นผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ เขาสัญญาว่าจะทำให้เป็นแผนงานเพื่อประชาชน ซึ่งเน้นการศึกษาเป็นหลัก โดยที่เขาใช้สโลแกนหาเสียงว่า "ประชาชนต้องมาก่อน" เขายังได้สัญญาว่าจะไม่นำสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา เอามาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเหมือนกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยทำมาแล้ว[51] แต่เขาจะทำให้เป็นประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง การพิจารณาถึงแก่นหลักของความรู้เบื้องต้นที่เรียกกันว่า ทักษิโณมิค อภิสิทธิให้สัญญาว่า "ประโยชน์ที่ได้จากนโยบายประชานิยม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, และโครงการ SML จะไม่ถูกยกเลิก แต่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม" อภิสิทธิ์ออกมากระตุ้นในภายหลังว่าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้นควรจะเข้าใช้บริการทางการแพทย์ผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่เสียค่าบริการ[52] อภิสิทธิ์แถลงว่าอนาคตของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ทุกคนจะต้องเปิดเผยบัญชีทรัพยสิน และธุรกิจที่เข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด (กฎหมายกำหนดให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีทุกคนต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน) [53]

อภิสิทธิ์รวบรวมเงินจำนวน 200 ล้านบาทในงานเลี้ยงอาหารเย็นเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ภายในที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เขาสรุปนโยบายด้านพลังงาน รวมถึงเพิ่มจำนวนการจ่ายเงินปันผลจากปตท. และการใช้กองทุนชดใช้หนี้ให้แก่กองทุนน้ำมัน และอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระงับราคาเชื้อเพลิงที่กำลังพุ่งสูงขึ้น[54] เขาสรุปแผนทีหลังว่าจะลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินโดยลดภาษี 2.50 บาท/ลิตรออกไปจากที่เคยใช้ปรับปรุงกองทุนน้ำมันของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม แผนของเขาถูกวิจารณ์ว่าเป็นการบิดเบือนตลาดการค้าและขัดขวางไม่ให้ลดการบริโภคน้ำมัน.[55]

วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์สัญญาว่าจะจัดการปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการทำปัญหานี้ให้อยู่ในระเบียบวาระของสังคมของจังหวัดภาคใต้[45] อีกทั้งสัญญาจะใช้นโยบายประชานิยมหลายอย่างรวมถึงนโยบายเรียนฟรี, ตำราเรียน, นมและอาหารเสริมสำหรับโรงเรียนอนุบาล และการเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ[56]

สนับสนุนรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2550
อภิสิทธิ์สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญปี 50 อภิสิทธิ์กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์พิจาณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เหมือนกับที่เคยพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญปี 40 แต่ปรับปรุงพร้อมกับจุดบกพร่อง "ถ้าเราขอร้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เราจะปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าเราปฏิเสธร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันจะเป็นสิ่งที่ชี้นำไปยัง (คมช.) เราเสนอจุดยืนตรงนี้ เพราะว่าเราเป็นห่วงเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียของชาติ และต้องการประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็ว" เขากล่าวอย่างนั้น[57] การรับทราบถึงจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ อภิสิทธิ์ได้เสนอพร้อมกับเชิญชวนพรรคการเมืองอื่นๆ ให้ร่วมมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่เขามีอำนาจ[58]

เลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550 ผลปรากฏว่าสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม 6 พรรค ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551 อภิสิทธิ์ได้รับคะแนนเสียง 163 เสียง ซึ่งน้อยกว่าสมัครที่ได้ 310 เสียง[59]

ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดูเพิ่มที่ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้สมัคร สุนทรเวชพ้นสภาพจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2551 อภิสิทธิ์ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น[60] เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบ 3 พรรคการเมือง ซึ่งพรรคพลังประชาชนเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันต้องยุติลง และศาลยังตัดสินให้สมชาย วงศ์สวัสดิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ร่วมก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถูกสื่อมวลชนรายงานว่าเขาเป็นผู้ที่สนับสนุนหรือบีบบังคับให้ ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามแปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายอภิสิทธิ์[61] ส.ส.เหล่านั้นมาจากพรรคเพื่อไทย (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคพลังประชาชน) สมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนานำโดยสนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคชาติไทย) และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกลุ่ม"เพื่อนเนวิน" อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ทำให้ให้พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงข้างมากในสภา[62] สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงสนับสนุนให้อภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[63][64][65] และชนะการโหวตการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยมีประชา พรหมนอกเป็นคู่แข่ง[66]

ทางด้านคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหาและแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการที่อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีว่า "เป็นชัยชนะของพันธมิตรฯ ที่แท้จริง" และ "รัฐประหารสไตล์อนุพงษ์"[67] โอกาสที่อภิสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นนายกครั้งนี้ได้รับความเห็นชนชั้นกลาง[68]

การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ดูบทความหลักที่ คณะรัฐมนตรีคณะที่ 59 ของไทย และ การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รับสนองพระบรมราชโองการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ที่พรรคประชาธิปัตย์
นายกรัฐมนตรีกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ การศึกษาไร้พรมแดน เพื่อพลเมืองและผู้นำโลกในอนาคต พร้อมฟังการอภิปราย และถามคำถาม ในงานนิทรรศการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2552ในวันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 17.19 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นำร่างพระบรมราชโองการแต่งตั้งอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน[69]

การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความสำคัญรวมไปถึงกษิต ภิรมย์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้านายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และกรณ์ จาติกวณิช อดีตนายทุนนายธนาคารและอดีตเพื่อนร่วมคณะเศรษฐศาสตร์กับนายอภิสิทธิ์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง[70] อภิสิทธิ์ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จากกรณีที่แต่งตั้งนายกษิตมาเป็นรมว.ต่างประเทศ อภิสิทธิ์ออกมากล่าวปกป้องนายกษิตว่า "คุณกษิตได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานของเขามาอย่างดี เคยเป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญของประเทศ มีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเขาเคยร่วมแถลงการณ์ต่างๆหรือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายเขาก็จะไม่ถูกดำเนินคดี"[71] พรทิวา นาคาศัย อดีตเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้มีการเจรจาต่อรองตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด[72]

ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาจำนวน 1,000 คนอพยพมาจากประเทศพม่า ได้ถูกราชนาวีไทยจับกุมพร้อมทั้งถูกทารุณกรรม จากนั้นถูกจับโยนลงทะเลโดยไม่มีเรือมารับ และขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร เรื่องนี้อภิสิทธิ์ออกมาตอบโต้ในเบื้องต้นว่า ซีเอ็นเอ็นรายงานข่าวเกินความจริง และที่ว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ใช้เรือใบโดยไม่มีเครื่องยนต์และห้องน้ำบนเรือ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขาขึ้นมายังชายฝั่ง ทางด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาปฏิเสธว่าสื่อรายงานไม่ถูกต้อง[73]

วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552 ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ออกมาขอร้องให้รัฐบาลไทยช่วยเข้าถึงตัวผู้รอดชีวิตบนเรือ 126 คนจากการดูแลของไทย[74] อภิสิทธิ์กล่าวว่า เขารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับองค์กรระหว่างประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้วองค์กรนี้จะต้องทำงานบนพื้นฐานของความร่วมมือกับวิธีปฏิบัติของรัฐบาลไทยที่ถูกต้อง กองทัพกล่าวว่าทางกองทัพเองไม่มีข้อมูลที่กระจ่างชัดเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในการควบคุมของกองทัพ[75]

นอกจากนี้สื่อยังได้รายงานผลการสอบสวนว่า ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้หายตัวไปจากการกักขังที่ส่วนกลางและยังไม่พบว่าอยู่ที่ไหน ทางเจ้าหน้าที่ราชนาวีไทยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า "พวกเราอาจหยุดเดินเรือหรือพวกเขาจะกลับมา ทิศทางลมจะพาพวกเขาไปยังอินเดียหรือไม่ก็ที่อื่น"[76] จากนั้นอภิสิทธิ์ให้สัญญาว่าจะดำเนินการสอบสวนผู้นำทางทหารอย่างเต็มที่ แต่ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่หาว่าปกปิดการใช้อำนาจกองทัพไปในทางที่ผิด การสอบสวนถูกนำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ จากนั้นได้ทบทวนเพื่อดำเนินการกับกลุ่มคนที่โฆษณาชวนเชื่อให้ต่อต้าน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร[77] นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เสนอแนะว่าสถานการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาทั้งนั้น เพื่อทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทย[78] นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวหาซีเอ็นเอ็นว่า รายงานข่าวไม่เป็นความจริงและยังเรียกร้องให้ประชาชนอย่าไปหลงเชื่อ[79][80]

แองเจลินา โจลี ทูตสันถวไมตรีแห่งข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ วิจารณ์รัฐบาลไทยว่าไม่สนใจไยดีต่อสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของชาวโรฮิงยา และเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรดูแลคนกลุ่มนี้ให้ดีกว่าตอนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพม่า กระทรวงการต่างประเทศออกมาตำหนิ UNHCR มีการบันทึกว่า UNHCR ไม่มีอำนาจหน้าที่และการกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะอ้างถึงกระทรวงการต่างประเทศ และอาคันตุกะของกระทรวงการต่างประเทศ[81][82] นายอภิสิทธิ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งนักวิเคราะห์ชาวไทยและชาวต่างชาติ จากการที่ออกมาปกป้องกองทัพที่ใช้จ่ายเงินในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา "เราจะไม่เห็นรัฐบาลอภิสิทธิ์เจริญก้าวหน้าหลังจากกองทัพ เพราะมันเป็นผลประโยชน์ในตำแหน่งของเขา" ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักรัฐศาสตร์กล่าว[83][84]

ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต
รัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกกล่าวหาว่ามีการคอรัปชั่นหลายกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง หลังจากที่ถูกกดดันจากสาธารณชนอย่างมากแล้ว อภิสิทธิ์จึงแต่งตั้ง บรรลุ ศิริพานิช เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนข้อกล่าวหาต่างๆ ภายในกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการของบรรลุได้พบว่า

อดีตเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้รับสินบนจากผู้ให้สัมปทานรถพยาบาล
การซื้อพัดลมยูวีในราคาสูงกว่าราคาต้นทุนกว่า 10-20 เท่า
งบประมาณในการก่อสร้างอาคารสูงเกินความจำเป็น
มีหลายกรณีที่ทำให้ราคาเรื่องจักรและอุปกรณ์ทางการแพทย์มีราคาสูงขึ้น
วิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณะสุข ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขารัฐมนตรี และกฤษดา มนูญวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ทั้งหมดถูกพบว่ามีความผิด ต่อมา วิทยา ลาออกจากตำแหน่งหลังจากที่ความผิดถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม มานิตย์ ปฏิเสธที่จะลาออก[15][85] หลังจากการลาออก วิทยา ถูกสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าวิปฝ่ายรัฐบาล

หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดพัทลุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ใช้ทุนของรัฐบาลและเงินบริจาครวมกัน ไปซื้อสินค้าช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับชาวบ้านที่ประสบภัย ปลากระป๋องที่แจกจ่ายออกไปต่อมาถูกพบว่าเน่าเสีย นำไปสู่ข้อกล่าวหาในการทุจริตจัดซื้อปลากระป๋อง วิฑูรย์ นามบุตร รมว.พม.ออกมาปฏิเสธว่าการทุจริตได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ให้ข้อมูลว่าปลากระป๋องถูกซื้อโดยใช้เงินบริจาคค่อนข้างมากกว่าเงินทุนของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ต่อมาเขาลาออกจากตำแหน่งภายใต้สภาวะที่กดดัน และถูกแทนที่ด้วยสมาชิกพรรคคนอื่น[14][86]

รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาบริหารประเทศภายใต้ข้อกล่าวหาที่ว่า โครงการชุมชนพอเพียงมูลค่า 26 พันล้านบาทเป็นโครงการที่ปนเปื้อนไปด้วยการทุจริต โครงการนี้เป็นนโยบายประชานิยมต่อต้านโครงการยุคทักษิณที่ทำในชนบทของเมืองไทย[87] อภิสิทธิ์ชี้แจงข้อกล่าวหาว่า “สิ่งที่กล่าวหาว่าบกพร่องต่อหน้าที่นั้นอาจเริ่มมาจากโครงการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ (SML)... โครงการเอสเอ็มแอลนี้กำเนิดมาจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร”[88] กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน และน้องชายของเขา ประพจน์ สภาวสุ เป็นรองผู้อำนวยการ เรื่องอื้อฉาวนี้ขยายออกไปเป็นวงกว้าง เป็นสาเหตุให้กอร์ปศักดิ์ลาออกจากตำแหน่ง แต่ยังคงเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ขึ้นมา คณะกรรมการพบว่าทั้งกอร์ปศักดิ์และน้องชายของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต[89][90] ต่อมากอร์ปศักดิ์ถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขาของอภิสิทธิ์

ความมั่นคง
อภิสิทธิ์ได้ลงนามอนุมัติให้ซื้อเครื่องบินรบยาส 39 จำนวน 6 ลำ จากประเทศสวีเดน ในวงเงิน 19,500 ล้านบาท ซึ่งมีแผนที่จะซื้อตั้งแต่สมัย รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์[91]

กรณีสิทธิบัตรยา
อภิสิทธิ์สานต่อนโยบายเกี่ยวกับมาตรการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เรียกร้องให้ปฏิบัติตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เขาเตือนว่าสิทธิบัตรยาที่อยู่ในสภาวะถูกกดดันอย่างนี้อาจบานปลายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าสหรัฐอเมริกาทำสภาพการค้าของประเทศไทยให้ตกต่ำลง[92]

การออกกฎหมาย
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอร่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เพิ่มโทษหนักกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ทัศนคติของบุคคลที่ดูหมิ่นและมีความต้องการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยบนอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุก 3 - 20 ปี หรือปรับ 200,000 - 800,000 บาท[93] ในเวลาเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่ามี 29 เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและข้อความแสดงความคิดเห็นที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์.[94]

การตรวจสอบขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
การตรวจตราความเลวร้ายภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโดยเปรียบเทียบรัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร[95] อภิสิทธิ์จัดตั้งกองกำลังทหารเฉพาะกิจที่คอยต่อสู้กับอันตรายจากความคิดเห็น ที่พิจารณาถึงบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในทางการเมือง รัฐบาลอภิสิทธิ์เปิดเว็บไซต์ที่ส่งเสริมให้ประชาชนแจ้งเว็บไซต์ผิดกฎหมาย มีเว็บไซต์กว่า 4,800 เว็บไซต์ถูกบล็อก เนื่องจากมีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การเคลื่อนไหวถูกมองโดยนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่รณรงค์ร่วมกันเพื่อระงับการอภิปรายทางการเมืองภายในราชอาณาจักร[96]

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นที่ทำการของเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่คอยจ้องจับผิดรัฐบาล หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่บนพื้นฐานของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2 วันถัดมา อภิสิทธิ์ไปพบกับตัวแทนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยและสัญญาว่าจะเคารพสิทธิเสรีภาพของพลเมือง ที่แสดงสีหน้าในขณะที่มีการพัฒนาบรรทัดฐานและมาตรฐานใหม่[97]

ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

อภิสิทธิ์ กับ ยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ ในปี 2552
อภิสิทธิ์ กับ เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติพิตส์เบิร์กกัมพูชา
อภิสิทธิ์แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงประเทศกัมพูชาที่กระตุ้นให้บรรยากาศต่อต้าน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรดำเนินไปข้างหน้า ความสำคัญลำดับแรกในการแต่งตั้งเขา กษิตเคยเรียกสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ว่า "นักเลง" (ต่อมานายกษิตให้ความหมายว่านักเลง หมายถึง เป็นคนที่ใจกล้า เป็นสุภาพบุรุษที่กล้าหาญและใจกว้าง) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชาบริเวณปราสาทเขาพระวิหารบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าได้สังหารทหารไทยไป 4 ศพและถูกจับกุมมากกว่า 10 คน ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาปฏิเสธว่าทหารไทยไม่ได้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็ตาม ทหารกัมพูชา 2 คนถูกสังหาร กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายยิงนัดแรกและรุกล้ำเข้ามายังเขตแดนก่อน.[98][99]

เวียดนาม
อภิสิทธิ์เดินไปทางไปพบเหวียน เติ๋น ยวุ๋ง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เพื่อพิจารณาถึงหนทางแก้ปัญหาวิกฤตการณ์การเงินโลก อภิสิทธิ์ไปถึงฮานอยใช้เวลาหนึ่งวันไปเยียมเยียน เหวียน เติ๋น ยวุ๋ง "การมาเยี่ยมเยียนของคุณจะช่วยให้มิตรภาพขยายกว้างและลึกซึ้งมากขึ้นและความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับไทยซึ่งมีหลายแง่มุม" เหวียน เติ๋น ยวุ๋ง กล่าวกับแขกในโอกาสที่ได้ถ่ายรูปเป็นเวลา 5 นาที

เช็คช่วยชาติ
วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทย จำนวนผู้ว่างงานในเดือนมกราคม 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 คน โดยเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2551[100] ในต้นปี พ.ศ. 2552 เศรษฐกิจถูกคาดหวังว่าจะ ว่าจ้างตามสัญญา 3% ตลอดทั้งปี[101] อภิสิทธิ์ตอบรับวิกฤตเศรษฐกิจนี้โดยการแจกเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท (ประมาณ $75) สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท (ประมาณ $500) [102]

การสั่งฟ้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
อภิสิทธิ์ให้สัญญาว่าจะใช้หลักนิติรัฐและสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 21 คน ที่ต้องรับผิดชอบจากการยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ซึ่งยังไม่ได้มีการออกหมายจับคดียึดสนามบิน[103] วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 รัฐบาลซึ่งเป็นโจทย์ยังคงเลื่อนการตัดสินใจออกไปเป็นครั้งที่ 8 ว่าจะสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรทั้ง 9 คนหรือไม่ หลังจากที่ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลากว่า 7 เดือน ทางรัฐบาลอ้างว่ายังตัดสินใจไม่ได้เพราะว่าแกนนำพันธมิตร "งานยุ่งอยู่ที่ต่างจังหวัด" ในเวลานั้น

ความไม่สงบในช่วงสงกรานต์ในปีพุทธศักราช 2552

นายกรัฐมนตรี เดินทางไปแถลงถึงกรณีตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในเขตกทม. และปริมณฑล ที่กระทรวงมหาดไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวหาผ่านทางวีดีโอคอนเฟอเร็นซ์ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้สั่งให้ทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และยังกล่าวหา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ องมนตรีว่ามีส่วนรู้ร่วมคิดในการก่อรัฐประหารขึ้นเพื่อรับรองให้อภิสิทธิ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา กลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงจำนวน 100 คนจาก 1,000 คนในกรุงเทพมหานครในช่วงต้นเดือนเมษายนมีความต้องการให้อภิสิทธิ์ลาออกจากนายกรัฐมนตรี และต้องการให้ พล.อ.เปรม สุรยุทธิ์ และชาญชัย ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี[104] พ.ต.ท. ทักษิณเรียกร้องให้มีการปฏิวัติโดยประชาชนอย่างเปิดเผย เพื่อให้มีชัยชนะต่อชนชั้นสูงที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ผู้ประท้วงเสื้อแดงแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติไปขัดขวางการประชุมอาเซียนซัมมิทที่พัทยา ความรุนแรงจากการปะทะกันได้เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มเสื้อน้ำเงินที่สนับสนุนรัฐบาล และมีรายงานว่ากลุ่มคนเสื้อน้ำเงินได้ขว้างระเบิดมายังกลุ่มคนเสื้อแดง[105] การบุกรุกเข้าไปในที่ประชุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นสาเหตุให้การประชุมอาเซียนซัมมิทเป็นอันต้องยกเลิกไป ต่อมาอภิสิทธิ์จึงตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่พัทยาและชลบุรี เมื่อวันที่ 11 เมษายน[106] ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้มีการรวมตัวกันมากกว่า 5 คนถูกห้ามไม่ให้นำเสนอข่าวที่ยุยงให้เกิดความวิตกกังวล[107]

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เริ่มต้นขึ้นนั้น ผู้ประท้วงได้ยกระดับการชุมนุมสูงขึ้นในกรุงเทพฯ ผู้ประท้วงใช้รถยนต์ รถเมล์ และรถบรรทุกแก๊ส LPG จอดขวางตามถนนหลายจุดในใจกลางกรุงเทพมหานคร การต่อสู้ได้ปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงที่ต่อต้านรัฐบาล กลุ่มผู้ประท้วงที่สนับสนุนรัฐบาล และประชาชนทั่วไป การเดินขบวนไปยังหน้าบ้านสี่เสาว์เทเวศน์ มีผู้สนับสนุนพันธมิตรคนหนึ่งขับรถเข้าชนกลุ่มนปช. ก่อนที่จะขับรถหนีไป[108] อภิสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อแดงยกระดับความตึงเครียดสูงขึ้นและกล่าวหาว่าผู้ที่ประท้วงต่อต้านรัฐบาลนั้นเป็นศัตรูของประเทศไทย[109] อภิสิทธิ์ยังได้ออกพระราชกำหนดมอบอำนาจให้รัฐบาลตรวจสอบการออกอากาศทางโทรทัศน์[110] ก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือด พ.ต.ท. ทักษิณ เรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ามาแทรกแซงไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน[111]

ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 เมษายน ทหารใช้แก๊สน้ำตาและปืนที่บรรจุกระสุนซ้อมปนกับกระสุนจริงและปืนM16แบบพับฐาน,M-60,M-249สลายการชุมนุมจากแยกดินแดง ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 70 คนสูญหาย2คน[112] [113] ผู้ประท้วงที่ต่อสู้กับกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ให้เข้ามาวางเพลิงในชุมชนของตัวเองถูกปืนจากคนเสื้อแดงยิงตาย 1 คน[114][115] ในวันเดียวกันนั้น รัฐบาลสั่งให้ระงับการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ช่องดีสเตชัน และสมาชิกของกลุ่มนปช.ในเวลานั้น ถูกเผยแพร่ภาพที่มีการปะทะกันขึ้น และวิทยุชุมชนหลายแห่งถูกปิด[116] ความรุนแรงจากการปะทะมีจำนวนมากในกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องในขณะที่มีการออกหมายจับพ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำอีก 13 คน ต่อมาแกนนำนปช.เข้ามอบตัวกับตำรวจในวันที่ 14 เมษายน ภายหลังจากที่ความรุนแรงได้สิ้นสุดลง[117] หลังจากนั้นไม่นาน อภิสิทธิ์ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และออกหมายจับแกนนำเพิ่มอีก 12 คน[118]

รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลของผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบนี้จำนวนมากกว่า 120 คนเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มนปช.[119] ทางกลุ่มนปช.ประกาศว่ามีสมาชิกอย่างน้อย 6 คนเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมและถูกทหารนำศพไปโยนทิ้ง รัฐบาลได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ มีการตั้งข้อสงสัยว่า มีกลุ่มนปช.ที่ถูกทหารยิงเสียชีวิตอย่างน้อย 1 คนที่ดินแดงโดยมีบาดแผลที่พิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เกิดจากอาวุธสงคราม ถึงแม้ว่ากองทัพจะออกมาปฏิเสธ[120] อภิสิทธิ์มอบหมายให้สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ออกมายืนยันว่าผู้ที่สนับสนุนรัฐบาลถูกเสื้อแดงยิงตาย 2 คนที่ดินแดง[121] ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครประมาณมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท รวมถึงรถเมล์ที่ถูกเผาจำนวน 31 คัน[122]

วันที่ 21 เมษายน อภิสิทธิ์ประกาศ “สงครามสื่อ” มุ่งหมายจะเล่นงานข้อกล่าวหาของ นปช. อภิสิทธิ์ยังประกาศด้วยว่าจะแจกจ่ายวีซีดีเอกสารของรัฐบาลเกี่ยวกับสถานการณ์หลายล้านแผ่นไปยังประชาชน[123][124] ในเวลานั้น คำสั่งการตรวจสอบและฉุกเฉินของรัฐบาลยังคงอยู่ในที่ตั้ง ต่อมาประกาศยกเลิก พรก.ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 24 เมษายน[125]

การปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช. ของอภิสิทธิ์โดยฉับพลันนั้น มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาใช้มาตรฐานอย่างหนึ่งต่อฝ่ายตรงข้าม และอีกอย่างหนึ่งต่อพันธมิตร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งอาเซียนตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าไว้ว่า “มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดว่าเสื้อเหลืองกับเสื้อแดงได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลอย่างไร จะเพียงแค่กระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหันไปพึ่งการทำผิดกฎหมายมากขึ้น” ในเวลานั้น ยังไม่มีหมายจับพันธมิตรที่ไปยึดสนามบินเมื่อหลายเดือนก่อนหน้า ขณะที่หมายจับ นปช. เพียงไม่กี่ชั่วโมงภายหลังจากเหตุรุนแรงปะทุขึ้น[126] ในการไปให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ อภิสิทธิ์กล่าวว่า “ผมเข้าใจความรู้สึก (นปช.) ในกรณีที่ดูขัดแย้งกับของพันธมิตรฯที่ล่าช้า ปัญหาคือการกระทำของกลุ่มพันธมิตรฯไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างที่ผมเป็นรัฐบาล และกำลังอยู่ในขั้นตอนสืบสวน” เมื่อผู้สัมภาษณ์สังเกตว่าการยึดสนามบินยุติลงเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก่อนที่อภิสิทธิ์จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขายืนยันว่า “ผมได้เรียกหัวหน้าตำรวจมาประชุมและแสดงความเป็นห่วงที่คดีกำลังตัดสินเป็นไปอย่างล่าช้า และพวกเขาทำคดีนี้คืบหน้าไปแล้ว”[127]

ความไม่สงบในช่วงก่อนสงกรานต์ในปีพุทธศักราช 2553
ขบวนการแบ่งแยกดินแดน
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 อภิสิทธิ์ยืนยันว่าสถานการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยลดลงตั้งแต่รัฐบาลของเขาเข้ามามีอำนาจเมื่อเดือนธันวาคม แต่คำยืนยันของเขาถูกโต้แย้งโดย ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรุนแรง แท้ที่จริงแล้วเพิ่มขึ้นต่างหาก ตั้งแต่ต้นปี 2552 ที่ผ่านมา[128]

มาตรการปราบปรามการประท้วง
อภิสิทธิ์เผชิญหน้ากับจำนวนผู้ที่ไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลของเขาเอง และท่ามกลางข่าวลือที่ว่าจะมีการยึดอำนาจเกิดขึ้น ในเดือนธันวาคม 2009 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.อ่างทอง เขียนบทความในหนังสือพิมพ์แนวหน้าโดยบอกว่า ประเทศอยู่ในภาวะสงครามกลางเมืองแล้ว แม้ว่ายังไม่มีการสังหารหมู่แต่อย่างใด อภิสิทธิ์ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงหลายฉบับตลอดช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม เพื่อปราบปรามผู้ประท้วง

ความนิยม
ตามที่ผลสำรวจโดยเอแบคโพลในรอบเดือนพฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา อภิสิทธ์ได้รับเปอร์เซ็นต์ความพึงพอใจที่ 70% ซึ่งสูงสุดในคณะรัฐมนตรี ส่วนเปอร์เซ็นต์ความพึงพอใจของคณะรัฐมนตรีอยู่ที่ 59% ถือว่า”ค่อนข้างมากหรือมาก” และ 9.4% พึงพอใจ “มากๆ” ภาพรวมของคณะรัฐมนตรีถูกประเมินจากเต็ม 10 ได้ 6.5 โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมาก[129]

ความสนใจ
กีฬา
อภิสิทธิ์สนใจกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เขาคิดว่าเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เวลาที่ดูเขาจะเชียร์เต็มที่ เขาบอกว่ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต แต่คงไม่ถึงขั้นกับว่า มากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน สโมสรฟุตบอลที่เขาชื่นชอบคือ นิวคาสเซิล อภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่ารักทีมนี้สุดจิตสุดใจและยังเคยกล่าวด้วยว่า "ผมไม่ค่อยจะเครียดเรื่องอะไรมาก จะมีเรื่องเดียวคือเวลานิวคาสเซิ่ลแพ้ ซึ่งก็บ่อยซะด้วย"[130] เขายังบอกด้วยว่าสาเหตุที่ฟุตบอลไทยไม่เคยพัฒนาได้ถึงบอลโลก ก็เพราะว่า "ประเทศไทยขาดการพัฒนาการแข่งขันมาจากรากฐานของท้องถิ่น ลีกที่ดีๆต้องมีคนเชียร์เป็นเรื่องเป็นราว มีความผูกพันอยู่กับทีมสร้างทีมขึ้นมา ของไทยเราไม่ใช่ ของเรามาจากส่วนกลาง ถ้าเทียบลีกในยุโรปช่วงที่มีแข่งทุกวันเสาร์ เขาจะไปเชียร์มันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเลย เด็กที่โตในเมืองนั้นก็จะโตมากับความฝันที่จะได้เล่นในทีม เป็นฮีโร่ของทีม ของไทยเราไม่ได้กระจายแบบนั้น" และมีความคิดที่จะส่งเสริมค่านิยมในการดูฟุตบอลที่ถูกต้อง และมีทัศนคติว่า การที่เล่นกีฬาเป็นประจำมันก็สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับคนอื่น เกี่ยวกับเรื่องการแพ้การชนะแต่ละคน[131]

ดนตรี
อภิสิทธิ์เริ่มฟังดนตรีตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หากไม่ฟังประชุมสภาก็จะฟังเพลง อภิสิทธิ์ชอบพกพาวิทยุ เครื่องเล่นเทป ติดตัวไปสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ อภิสิทธิ์เริ่มจากการฟังเพลงป็อป เช่น แอ็บบ้า ต่อมาเป็นดิ อีเกิลส์ เฮฟวีเมทัล แต่แนวก็จะเป็นเพลงร็อกและแนวเพลงร่วมสมัย เพราะชอบจังหวะ ชอบความหนักแน่นของมัน ส่วนใหญ่จะมีเนื้อร้อง เนื้อเพลง ที่บ่งบอกความร่วมสมัย ตั้งแต่ผ่านยุคทศวรรษ 80 ผ่านยุคกรันจ์ ผ่านยุคผสมกับอีเลกโทรนิกแร็ป เป็นต้นมา จะมีเรื่องของภาพลักษณ์ตามมาด้วย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของมิวสิก วีดิโอ และจะเริ่มนึกถึงเสื้อผ้า นึกถึงทรงผมได้เหมือนกัน วงดนตรีที่ชื่นชอบคือ อาร์.อี.เอ็ม.[132] กรีนเดย์ และโอเอซิส[133]

ผลงานหนังสือ
มาร์ค เขาชื่อ... อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ. พ.ศ. 2548, ISBN 978-974-93358-1-9
การเมืองไทยหลังรัฐประหาร. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-88195-1-8
เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ถูกฉีก. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-7310-66-5
ร้อยฝันวันฟ้าใหม่. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-8494-81-4
หนังสือที่เกี่ยวกับนายอภิสิทธิ์
สมจิตต์ นวเครือสุนทร. ใครว่าผม อภิสิทธิ์
กานธนิกา ชุณหะวัต, เฉลิมชน คงประวัติ. อภิสิทธิ์ คนเหนือดวง
สุเมธ จึงเลิศสถิตพงศ์. ผ่าทางตัน อภิสิทธิ์สู่บัลลังก์นายกฯ
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้รายวัน. ระบอบอภิสิทธิ์
พิชัยยุทธ์ สยามพันธกิจ. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ... นายกรัฐมนตรีบนพื้นพรมแดง
ถนอมศักดิ์ จิรายุสวัสดิ์ เส้นทางสู่ฝั่งฝัน...นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พรรคประชาธิปัตย์. คำให้การอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (คดีพรรคประชาธิปัตย์)
ส. สะเลเต. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำเลือดใหม่ หัวใจผู้กล้า
ศิริกานดา ศรีชลัมภ์. คือความคิด คือชีวิต คือ..อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เกียรติยศ
นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะได้รับความชื่นชมและรางวัลต่าง ๆ ดังนี้[134]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์
พ.ศ. 2535 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย (ต.ม.)
พ.ศ. 2536 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.)
พ.ศ. 2538 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
พ.ศ. 2540 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
พ.ศ. 2541 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
พ.ศ. 2542 : เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
การได้รับการจัดอันดับในระดับนานาชาติ
พ.ศ. 2535 : 1 ใน 100 ผู้นำสำหรับโลกวันพรุ่งนี้, โดย World Economic Forum (องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของโลก)
พ.ศ. 2540 : 1 ใน 6 นักการเมืองที่เป็นความหวังของเอเซีย, โดย นิตยสารไทม์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2540, “เสียงใหม่ๆ เพื่อเอเซียใหม่”
พ.ศ. 2542 : 1 ใน 20 ผู้นำสำหรับสหัสวรรษ ด้านการเมือง, โดย นิตยสารเอเซียวีค 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
พ.ศ. 2552 : ไดรับเชิญให้เข้าร่วมประชุม World Economics Forume ที่เมือง Davosโดยเป็นผู้นำประเทศคนที่สองที่ได้รับเชิญ ถัดจากนายชวน หลีกภัย
อ้างอิง
1.^ Los Angeles Times, Thailand parliament chooses economist as prime minister Retrieved 15-12-08
2.^ 2.0 2.1 [1] พระราชดำรัส พระราชทานแก่ผู้พิพากษาประจำศาลสำนักงานศาลยุติธรรม ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙
3.^ HM the King's April 26 speeches. The Nation. สืบค้นวันที่ 2006-07-05
4.^ Straits Times, In for 'roughest ride', 15 December 2008
5.^ The Nation, Draft gets Democrats' vote, 9 July 2007
6.^ The Nation, “สนธิ” เปิดใจครั้งแรก เบื้องลึกปมลอบยิง โยงทหารฮั้วการเมืองเก่า, 1 May 2009
7.^ The Telegraph, Thai army to 'help voters love' the government, 18 December 2008
8.^ Korea Times, Class War in Thailand, 17 April 2009
9.^ The Nation, Sondhi's son alleges "Gestapo" behind his father's assassination attempt
10.^ Spiegle, 'I'm Like a Rat', 20 April 2009
11.^ Taiwan News, Thai diplomat accuses ousted leader in shootings, 22 April 2009
12.^ Bangkok Post, PM pledges new drive to protect King, 7 February 2010
13.^ The Nation, Abhisit sets human rights record poorer : HRW
14.^ 14.0 14.1 Bangkok Post, Witoon quits over fish, 4 February 2009
15.^ 15.0 15.1 Thai-Asean News Network, New Health Minister to be Named after New Year, 29 December 2009
16.^ BBC News. Profile: Abhisit Vejjajiva. สืบค้นวันที่ 21 มีนาคม 2553.
17.^ 17.0 17.1 17.2 Professional Experience abhisit.org
18.^ บัณฑิตกิตติมศักดิ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ฝ่ายศิษย์เก่าและชุมชนสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. สืบค้นวันที่ 21 มีนาคม 2553.
19.^ 19.0 19.1 19.2 19.3 อภิสิทธิ์ 360° - บนเส้นทางการเมือง
20.^ The Nation, Abhisit, Chuan's young protege gets his turn at last, retrieved 15-12-2008
21.^ Is Abhisit Vejjajiva Thailand's Next Leader?
22.^ Lynn Pan. The Encyclopedia of the Chinese Overseas. Harvard University Press. p. 220, Thailand–Changes-laos in its economic future. ISBN 0674252101. http://www.amazon.com/Encyclopedia-Chinese-Overseas-Lynn-Pan/dp/0674252101/ref=sr_1_1/002-4601878-9323256?ie=UTF8&s=books&qid=1191934412&sr=1-1.
23.^ 袁姓华裔当选泰新总理 (Chinese-descendant of Yuan clan elected new Prime Minister of Thailand)
24.^ 老鳥沙馬vs.溫文阿披實 兩黨魁風格殊異
25.^ นามสกุลพระราชทาน หมวด ว.แหวน
26.^ สาแหรก... "เวชชาชีวะ". หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน, ปีที่ 31, ฉบับที่ 11238 (16 ธันวาคม พ.ศ. 2551). สืบค้นวันที่ 26 เมษายน 2552
27.^ 27.0 27.1 ซัด 'อภิสิทธิ์' หนีทหาร ข่าวจากไทยรัฐ 9 ก.ค. 50
28.^ วีระเตรียมแฉอภิสิทธิ์หนีทหาร วิ่งเต้นเป็นอาจารย์รร.จปร.
29.^ จดหมายเปิดผนึกถึงพรรคประชาธิปัตย์ (กระทู้เก็บถาวร จากพันทิปดอตคอม)
30.^ อภิสิทธิ์หนีทหาร ข้าราชการชาย ต้องผ่านการเกณฑ์ทหารจริงหรือ
31.^ แนวหน้า-วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2542
32.^ ไทยโพสต์ - วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2542
33.^ อภิสิทธิ์แจงกรณีไม่เกณฑ์ทหาร
34.^ ๑ ปี หลัง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ
35.^ ๒ ปีกับรัฐมนตรี...อภิสิทธิ์ The Official Abhisit Vejjajiva Website
36.^ หนังสือ มาร์ค...เขาชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
37.^ สัมภาษณ์พิเศษ บัญญัติ บรรทัดฐาน ประชาธิปัตย์มีหวังมากขึ้น
38.^ Prem stays silent on Democrats' latest call
39.^ ทรท.เมินฝ่ายค้านเล่นบทบอยคอต
40.^ ฝ่ายค้านบอยคอตต์ปชป.-มหาชน-ชาติไทยไม่ส่งคนสมัครส.ส.ลั่นล้ม'ระบอบทักษิณ'
41.^ รายงาน : เปิดคำให้การเทปฉาวจ้างพรรคเล็ก
42.^ “สุเทพ”แฉเส้นทางเงินจ้างพรรคเล็กสมัครส.ส.
43.^ ทรท.ตายยกเข่ง! สั่งยุบพรรค-ตัดสิทธิ กก.บห.5 ปี 111 คน 30 พฤษภาคม 2550
44.^ สั่งยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิ์ กก.บริหารพรรค 111 คน 30 พฤษภาคม 2550
45.^ 45.0 45.1 Bangkok's Independent Newspaper The Nation
46.^ The Nation, OAG proposes dissolution of Democrat, Thai Rak Thai, 3 other parties, 27 June 2006
47.^ The Nation, 2 February 2007
48.^ The Nation, Witnesses link Democrats to registration delay, 23 February 2007
49.^ The Nation, Historical rulings unfold, 30 May 2007
50.^ The Left/Right Debate Thai Tribunal: Democrat Party Cleared Of Electoral Violations (Nasdaq), 30 May 2007
51.^ Abhisit vows fresh start, honest govt The Nation, 30 April 2006
52.^ http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/7780309.stm BBC Profile
53.^ Abhisit announces candidacy for PM The Nation, 29 April 2006
54.^ Can Abhisit lead Thailand? The Nation, 30 May 2006
55.^ Economy to be the top priority for Abhisit govt The Nation, 29 December 2008
56.^ Abhisit pressures PM to TV debate The Nation, 7 August 2006
57.^ Time Magazine [2] Is Abhisit Vejjajiva Thailand's Next Leader?
58.^ Time Magazine, Is Abhisit Vejjajiva Thailand's Next Leader?
59.^ "Thailand's king officially endorses new prime minister", Associated Press (Taipei Times), 30 January 2008.
60.^ Somchai elected new prime minister The Nation
61.^ The Telegraph, Thai army to 'help voters love' the government, 18 December 2008
62.^ Democrats claim majority to form government The Nation, 7 December 2008
63.^ Newin embraces Abhisit, but rejecting Thaksin "was tough" The Nation, 10 December 2008
64.^ Abhisit poised to be PM as democrats seek house vote The Nation, 8 December 2008
65.^ Thai opposition 'set for power' BBC News, 10 December 2008
66.^ "New Thai prime minister elected", BBC news, 05:53 GMT, Monday, 15 December 2008. สืบค้นวันที่ 2008-12-15
67.^ The Nation, Question loom over new Prime Minister's legitimacy, 17 December 2008
68.^ AsiaNews.IT, Abhisit Vejjajiva is the new prime minister of Thailand, 15 December 2008
69.^ "ในหลวง" ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่งตั้ง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกฯคนที่ 27 แล้ว เว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชน เรียกดูข้อมูลเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551
70.^ Asia One, [http://news.asiaone.com/News/Latest%2BNews/Asia/Story/A1Story20081221-109415.html Finance minister from Thai elite faces raft of economic woes ], 21 December 2008
71.^ Far Eastern Economic Review, New Thai Prime Minister Says People Must Wait for Democracy, 24 January 2008
72.^ BBC, Thai PM rules out cabinet deals, 18 December 2008
73.^ Bangkok Post, [3], 20 January 2009
74.^ The Nation, [4], 21 January 2009
75.^ The Nation, Thailand 'happy to cooperate', but Army plays dumb on detainees, 22 January 2009
76.^ Al Jazeera, Thais admit boat people set adrift, 27 January 2009
77.^ ABC, Thailand promises army-led probe of Rohingya scandal, 29 January 2009
78.^ Reuters, Burmese Boat People Scandal Exposes Thai PM's Debt to Army, 26 January 2009
79.^ The Nation, Don't believe what the world says about Rohingya, 4 February 2009
80.^ Matichon, "กษิต"เมินซีเอ็นเอ็นตีข่าวโรฮิงญา ยันยึดสิทธิมนุษยชน , 27 January 2009
81.^ The Nation, UNHCR warned over Angelina Jolie's criticism on Rohingya
82.^ The Nation, Thai govt warns Jolie and UNHCR over comments on Rohingyas, 11 February 2009
83.^ Reuters, Burmese Boat People Scandal Exposes Thai PM's Debt to Army 26 January 2009
84.^ Bangkok Post, Military Obligation: Thai PM's Baggage Confronts His Political Inheritance, 30 January 2009
85.^ Bangkok Post, Cabinet job swap could save Manit from the axe, 3 January 2010
86.^ Suranand Live, PM Abhisit is monopolizing the moral high ground, 8 Jan 2010
87.^ Bangkok Post, Robbing the Poor Blind, 7 August 2009
88.^ Bangkok Post, Abhisit moves to hose down sufficiency projects scandal, 6 August 2009
89.^ KPI, Thai Politics Monitor August 2009
90.^ Bangkok Post, Korbsak quits sufficiency project, 19 August 2009
91.^ The Nation, Air Force to earmark next year's tie-over budget to buy Grippen fighters
92.^ Bangkok Post, [5], 5 March 2009
93.^ The Nation, Democrats propose law to crack down on lese majeste, 19 November 2008
94.^ The Nation, List of 29 controversial websites
95.^ The Telegraph, Thailand analysis: 'land of smiles' becomes land of lies, 5 April 2009
96.^ Telegraph, Ten years jail for "insulting" Thai king, 3 April 2009
97.^ The Nation, Better ways to save thai online freedom, 6 April 2009
98.^ The Telegraph, Troops from Thailand and Cambodia fight on border, 3 April 2009
99.^ Bloomberg, Thai, Cambodian Border Fighting Stops, Thailand Says, 3 April 2009
100.^ MCOT, Thailand's January unemployment soars to 880,000, 17 March 2009
101.^ MCOT, Thai economy to contract 4.5-5 per cent: Finance Minister, 16 April 2009
102.^ MCOT, Bt2,000 cheque dispersals end at Bangkok City Hall, 28 March 2009
103.^ The Malaysian Insider, Thousands of Thaksin supporters rally against Thai government, 15 April 2009
104.^ The Telegraph, Thai protesters bring Bangkok to a halt, 8 April 2009
105.^ Nirmal Ghosh, “Live: Flashpoint Pattaya,” Straits Times, 11 April 2009
106.^ New York Times, Thailand’s Failed Experiment?, 16 April 2009
107.^ MCOT, Armour, troops on streets; Gunfire in scuffle after PM declares emergency, 12 April 2009
108.^ MCOT, Hit-and-run driver plunges car into UDD protesters, 9 April 2009
109.^ The Age, Sacrificing democracy won't end Thailand's chaos, 15 April 2009
110.^ Committee to Protect Journalists, Thai government issues censorship decree, 14 April 2009
111.^ The Economist, The trouble with the king, 16 April 2009
112.^ The Times, Abhisit Vejjajiva won the media battle but the hardest job is yet to come,14 April 2009
113.^ The Times, Thai troops open fire on protesters in Bangkok 13 April 2009
114.^ Bangkok Post, “Red in retreat,” 14 April 2009
115.^ Bangkok Post, “Red revolt,” 14 April 2009
116.^ MCOT, Community radio stations ordered to close temporarily, 16 April 2009
117.^ The Guardian, Thailand issues Thaksin arrest warrant over Bangkok violence, 14 April 2009
118.^ The Telegraph, [6]
119.^ BBC News, “Army pressure ends Thai protest,” 14 April 2009
120.^ Bangkok Pundit, “It Begins,” 13 April 2009
121.^ The Nation, One shot dead by red-shirted protesters
122.^ MCOT, Bt10 million BMA property damage from protest; religious rites to be held, 16 April 2009
123.^ The Nation, Govt to launch media war countering red shirts
124.^ Bangkok Post, UDD's planned video show self-defeating, 21 April 2009
125.^ Reuters, Thailand lifts emergency, plans charter reforms, 24 April 2009
126.^ AHRC, Thai courts’ use of legal double standards encourages extralegal means by opposition, 25 April 2009
127.^ Financial Times, Interview with Abhisit Vejjajiva, 23 April 2009
128.^ Asia Times, Old and new massacres in Thailand, 10 July 2009
129.^ The Nation Most satisfied with Abhisit govt, poll finds May 29, 2009
130.^ ผลสรุปวันเสาร์ - อภิสิทธิ์....เศร้านาทีสุดท้าย
131.^ อภิสิทธิ์ 360° - โลกฟุตบอล The Official Abhisit Vejjajiva Website
132.^ อภิสิทธิ์ 360° - โลกดนตรี The Official Abhisit Vejjajiva Website
133.^ นายกอภิสิทธิ์ @ วู้ดดี้เกิดมาคุย part 2 คลิปบนยูทูบ
134.^ อภิสิทธิ์ 360° - Biography The Official Abhisit Vejjajiva Website
ดูเพิ่ม
พรรคประชาธิปัตย์
แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิคำคม มีคำคมที่กล่าวโดย หรือเกี่ยวกับ:
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ:
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะwww.pm.go.th เว็บไซต์ประจำตัวนายกรัฐมนตรีไทย
www.abhisit.org เว็บไซต์ส่วนตัวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ประวัติของอภิสิทธิ์ บน เว็บไซต์ ปชป.
เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลนักการเมือง ThaisWatch.com
เรื่องเล็ก ๆ แต่น่ารู้ ของนายกฯ คนที่ 27 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
abhisitvejjajiva.hi5.com Hi5 ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
www.youtube.com/abhisitorg Youtube Channel ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทวิตเตอร์ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (@PM_Abhisit)
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์. QUESTION MARK. กรุงเทพฯ : 2550. ISBN 978-974-09-6230-4
ศิริกานดา ศรีชลัมภ์. คือความคิด คือชีวิต คือ... อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ. กรุงเทพฯ : กู๊ดมอร์นิ่ง, 2547. ISBN 978-974-92093-3-2
สมจิตต์ นวเครือสุนทร. ใครว่าผม "อภิสิทธิ์" ?. กรุงเทพฯ : 2550. ISBN 978-974-09-0492-2
...
  
ผู้นำต้องเป็นนักพูด(ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์)
แม้แบบอย่างการกระทำจะมีพลังมากกว่าคำพูด แต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มักเป็น ldquo;นักพูดจูงใจrdquo; ที่ยอดเยี่ยมด้วยเสมอ

บทสรุปประการสำคัญที่ผมได้จากการใช้เวลาว่างอ่านสุนทรพจน์ของผู้นำระดับโลก ทั้งผู้นำทางการเมือง ผู้นำองค์กรธุรกิจ และผู้นำด้านการเคลื่อนไหวทางสังคม นับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน คำกล่าวของบุคคลเหล่านี้ ปลุกเร้าความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้ฟังให้เป็นไปในทิศทางที่ผู้พูดต้องการ

ldquo;ไม่สำคัญว่าเราจะต้องใช้เวลานานสักเท่าใด ในการเอาชนะการรุกราน (ของญี่ปุ่น) ที่เตรียมการณ์มาอย่างดีในครั้งนี้ ประชาชนชาวอเมริกันทั้งหลาย ด้วยความปรารถนาอันชอบธรรมของพวกท่าน จะนำไปสู่ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแน่นอนrdquo;


ผมประทับใจในคำกล่าวของ ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รุสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) ข้างต้น ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกสภาคองเกรส เพื่อขอให้มีการประกาศสงครามกับญี่ปุ่น (Declaration of War on Japan) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1941 คำกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงการรุกรานของญี่ปุ่นในพื้นที่ต่าง ๆ และได้หลอกลวงอเมริกา โดยทิ้งระเบิดฐานทัพสหรัฐบนเกาะฮาวายทำให้ทหารอเมริกันต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ นอกจากจะประกาศสงคราม ท่านได้กล่าวเพื่อปลุกเร้าความฮึกเหิม จนประชาชนและทหารอเมริกันเห็นด้วยและมีใจกล้าหาญที่จะพิชิตชัยชนะจากสงครามครั้งนี้ให้ได้

ไม่เพียงแต่ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถพูดได้อย่างมีวาทศิลป์จูงใจ แต่ทุกที่อยู่ในบทบาทที่ต้อง ldquo;นำrdquo; คน ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด หากต้องการขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าอย่างมีพลังสู่เป้าหมายที่ต้องการ จำเป็นต้องฝึกฝนทักษะการพูดแบบผู้นำในสถานการณ์ต่าง ๆ

พูดเพื่อให้ทุกคนในทีมเห็นคุณค่าในเป้าหมาย / วิสัยทัศน์ วิสัยทัศน์และเป้าหมายเป็นเหมือนความฝันที่อาจดูเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย มีอุปสรรคมากมายอยู่ตรงหน้า ยากจะฟันฝ่าไปให้สำเร็จ ทีมงานอาจเกิดความกลัวต่าง ๆ นานา ในฐานะผู้นำต้องพูดให้เห็นว่าเป้าหมายที่ต้องการบรรลุนั้นสำคัญ มีคุณค่า น่าพึงปรารถนา และหากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันย่อมไปถึงซึ่งความสำเร็จได้ คำพูดที่สร้างความฮึกเหิม สร้างความเชื่อมั่น จะปลดปล่อยทีมงานจากความกลัว ให้มีความกล้า มีความเชื่อมั่น และปรารถนามีส่วนร่วมในภารกิจจนประสบความสำเร็จ แม้จะมีความยากลำบากเพียงใดก็ตาม

พูดเพื่อสร้างพลังให้ทีมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผู้นำต้องมีความสามารถในการดลจิตดลใจผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อทำให้ทุกคนเกิดความเข้าใจตรงกัน จูงใจทีมงานให้เกิดความจงรักภักดี ความผูกพันอุทิศตัว ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกับผู้นำและองค์กร ทุ่มเทความสามารถให้แก่งานที่รับผิดชอบอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งการบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาด้วย

เราต้องตระหนักว่า ภาวะผู้นำนั้น คือ ความสามารถที่ในการมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของผู้อื่น จนสามารถขับเคลื่อนให้คนเหล่านี้ทำในสิ่งที่เราต้องการได้ เราต้องใช้ทุกสิ่งที่เรามี ไม่ว่าจะเป็น สถานภาพ ความสามารถ ความคิด คำพูด และแบบอย่างพฤติกรรม เพื่อกำหนดทิศทางของบุคคลผู้ติดตามให้มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้

ดังนั้น หากเราต้องการเดินในเส้นทางผู้นำที่ประสบความสำเร็จ เราจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะการพูดที่มีพลังขับเคลื่อนผู้ฟังไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งจะได้มีโอกาสกล่าวถึงในรายละเอียดในตอนต่อ ๆ ไป

...
  
การพูดถ้ารู้หลักไม่ยากเลย
เป็นหนังสือการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอีกเล่มที่แนะนำท่านให้ได้อ่านกันครับ
ถ้าคุณเป็นคนกลัวการพูดในที่สาธารณะ ที่ประชุม ขาดความเชื่อมั่น
ไม่สามารถพูดโน้มน้าวจิตใจคน ปลุกเร้าจิตสำนึกให้กับลูกน้อง
นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ

“หนังสือการพูดรู้หลักไม่ยากเลย”พิมพ์ครั้งที่ 2
การพูดนำมาซึ่งความสำเร็จทั้งปวง
หนังสือเล่มนี้รวบรวมหลักและวิธีในการพูดทุกรูปแบบ
ที่ท่านสามารถนำไปปฏิบัติได้ผลจริง ประกอบด้วย
- วิธีพูดให้ประทับใจ
- วิธีพูดยากให้ง่าย
- วิธีพูดโน้มน้าวใจ
- วิธีพูดให้ผู้ฟังจำได้
- วิธีพูดปลุกใจ
- วิธีพูดให้มีอารมณ์ขัน
- วิธีพูดอย่างผู้รู้
- วิธีพูดของนักการเมือง
- วิธีเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข
เป็นการรวมหลักการพูด ที่ทำให้เกิดผลสูงสุดกับทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา
พ่อค้า นักธุรกิจ นักการเมือง หลักการง่ายต่อการปฏิบัติจริง ใช้ได้ผล

หากท่านเป็นคนหนึ่งที่กลัวการพูดในที่สาธารณะ ในที่ประชุม ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่สามารถพูดโน้มน้าวจิตใจคนได้
ไม่สามารถสรุปประเด็นในการพูด ไม่สามารถปลุกเร้าจิตสำนึกให้กับลูกน้องหรือทีมงาน
หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณอย่างมาก

หนังสือเล่มนี้ได้รับตอบรับเป็นอย่างสูงและได้จัดพิมพ์เป็นครั้งที่ 2 เขียนโดย ดร.ชิงชัย สุทธะพินทุ
ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการอบรมและสอนการพูดให้กับบุคคลหลากหลายอาชีพ
รวมถึงอบรมการพูดโดยใช้จิตวิทยาให้กับเหล่าตำรวจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้มีจิตวิทยาในการพูดในสถานะคับขัน
และได้รวบรวมประสบการณ์ต่างๆไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว

...
  
สุนทรพจน์ ชวน หลีกภัย
คำกล่าว
ฯพณฯ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี
ในพิธีเปิดการสัมมนา "มิติใหม่ของการให้ข้อมูลข่าวสาร"
ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2542 เวลา 09.00 น.



--------------------------------------------------------------------------------

ท่านรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย
โฆษกประจำกระทรวง
พี่น้องสื่อมวลชน ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย


ผมยินดีที่มาพบท่านทั้งหลายในพิธีเปิดการสัมมนา "มิติใหม่ของการให้ข้อมูลข่าวสาร" ในวันนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสพบกับโฆษกกระทรวง ซึ่งจะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ประสานงานด้านข้อมูลข่าวสารของส่วนราชการ บางกระทรวงถือว่าเป็นงานใหม่ แต่ว่าบางกระทรวงก็เคยมีโฆษกกระทรวงอยู่แล้ว จะเรียกอย่างไรก็ตาม เช่น กระทรวงต่างประเทศก็จะมีอธิบดีกรมสารนิเทศ ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษกเป็นกิจลักษณะอยู่ แต่ว่าโดยทั่วไปแล้วราชการของเราไม่ค่อยจะมีคนที่ทำหน้าที่คอยชี้แจงหรือให้ข้อมูลข่าวสารเป็นกิจลักษณะมาก่อน ก็มีผลส่วนหนึ่งก็คือทำให้ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในบางเรื่องออกมาไม่ว่าจริงหรือไม่จริงก็ตาม อาจจะเป็นความเคยชินที่ทุกคนถือว่าเดี๋ยวก็ลืมไป เพราะเวลามีเรื่อง ผมเองเคยเจอด้วยตัวเอง เคยเตือนบ่อยว่า อันนี้ต้องชี้แจงเพราะข้อเท็จจริงที่สื่อออกมานั้นคลาดเคลื่อนต้องชี้แจงให้เข้าใจ มิฉะนั้น ประชาชนที่อยู่ข้างนอกจะไม่เข้าใจ หรือประชาชนจะไม่รู้จริง ๆ ข่าวที่ออกมาประชาชนก็จะเชื่อไว้ก่อน ถ้าไม่มีคนอธิบายชี้แจงก็จะเป็นปัญหากับกระทรวงนั้นเอง เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้ ในสังคมยุคโลกาภิวัฒน์ที่ข้อมูลข่าวสารเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเราสามารถที่จะติดตามโลกอีกด้านหนึ่งได้ พร้อม ๆ กับคนโลกอีกทางหนึ่ง ความจำเป็นที่ต้องให้ข้อมูลอย่างแท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติให้มีการตั้งโฆษกกระทรวงขึ้น โฆษกกระทรวงก็จะต้องทำหน้าที่ที่เป็นผู้ประสานงานด้านข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่ว่าเป็นผู้แถลงทุกเรื่อง แล้วการแถลงนั้นก็ไม่ใช่แก้ตัวในสิ่งที่มันเป็นความจริง คณะรัฐมนตรีได้ย้ำไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เองว่า ภารกิจของโฆษกกระทรวงนั้นคือ ผู้ประสานให้ข้อมูลข่าวสารจริง ๆ เพราะในยุคอย่างนี้ไม่ใช่ยุคที่ประชาชนจะได้วินิจฉัยแต่ละเรื่องด้วยตัวเขาเองได้ โดยไม่เอนเอียงหวั่นไหวไปตามกระแส จะเป็นปัญหาติดตามมา อย่างไรก็ตาม งานใหม่ดังกล่าวนี้ ก็จำเป็นจะต้องมีผู้ชี้นำ มีผู้แนะนำ เพราะว่าหลายกระทรวงมีความตั้งใจจะทำหน้าที่ แต่ว่าไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการว่าทำอ่างไร ก็มาบ่อนกับผมเหมือนกันว่า แถลงข่าวไปเยอะไม่มีออกเลย แต่ว่าที่เขามาคุยส่วนตัวออกหมด ก็เลยต้องบอกท่านว่า ยังไงต้องเรียนจากคนที่เขามีประสบการณ์ ความจำเป็นยิ่งมากขึ้น เพราะประเทศไทยเป็นเมืองเปิด สื่อมาประจำที่นี่มากขึ้น เมื่อวานนี้ผมไปเป็นประธานเปิดอาคารใหม่ ที่ทำงานใหม่ แล้วก็เฉลิมฉลอง 100 ปีของสำนักข่าวรอยด์เตอร์ 100 ปีที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย เขาเปิดมาก่อนนั้น แต่ 100 ปีที่เข้ามาร่วมกับประเทศไทย เขาก็คุยว่าเขาเป็นบริษัทแรกที่เขารายงานข่าวเรื่องลดค่าเงินบาทก่อนคนอื่น 40 นาที เพราะฉะนั้น เขารวดเร็วมาก หรือใครที่ไปตัดใจกับนิวส์วีคเมื่อ 2 วันนี้ อันนี้ก็ต้องชี้แจง จะปล่อยให้ความเป็นประเทศเสรี ใครว่าอะไรก็ได้ เราไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามใครเขาว่าเรา ถ้าเขาพูดของจริงยิ่งควรฟัง แต่เมื่อไทยมีของดีเยอะ ไม่ดีเฉพาะเรื่องเซ็กส์กับเรื่องสนามกอฟล์ แต่ต้องเห็นใจ เพราะว่าถ้าเขามั่วอยู่ในสำนักโสเภณีเขาก็เห็นเซ็กส์อย่างเดียว ถ้าเขามั่วอยู่ในสนามกอฟล์เขาก็เห็นแต่สนามกอฟล์อย่างเดียว อันนี้ต้องชี้แจง ต้องพาเขาออกมาดู กินอาหารไทยบ้าง แล้วก็รู้อาหารไทยเป็นอาหารที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ไม่มีชาติไหนในโลกที่ขายอาหารของตัวเองทั่วโลกได้ มีไม่กี่ประเทศในโลกนี้ไม่เกิน 10 ประเทศ ที่อาหารชาติตัวเองขายได้ในประเทศต่าง ๆ ในสหรัฐมีตั้งกี่พันร้าน ร้านอาหารไทยมีมากกว่าร้านอาหารสหรัฐในประเทศไทย ต้องพาเขาไปกิจข้าวหอมมะลิ เขาจะได้รู้ว่าข้าวที่ส่งออกเป็นที่ 1 ในโลก คือ ข้าวไทยดีอย่างไร ต้องพาเขาไปเที่ยวทะเล และจะได้เห็นว่าทะเลประเทศไทยสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่ถ้าเขาจมอยู่ใน สำนักโสเภณีเขาก็เห็นแต่เซ็กส์ ถ้าจมอยู่สนามกอฟล์เขาก็เห็นสนามกอฟล์ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจชี้แจง เพราะเป็นหน้าที่ของโฆษกที่จะต้องชี้แจง และผมคิดว่าในความจำเป็นที่เรามีกฎหมายข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นประเทศแรก ๆ ในประเทศกำลังพัฒนาที่มีกฎหมายอย่างนี้ แน่นอนก็มีปัญหาอื่นตามมา แต่ว่าในระยะยาว ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ ตรวจสอบการทำงานของรัฐ ของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ต้องปรับตัว จะไปแอบทำอะไรคิดว่าไม่มีใครรู้ไม่ด้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้อง แต่ข้อบกพร่องแน่นอนก็ต้องมาทบทวนแก้ไขว่า ความคิดที่จะใช้กฎหมายข้อมูลข่าวสารเปิดเผยทุกเรื่อง รวมไปถึงเปิดเผยชื่อคนให้ข้อมูลข่าวสาร สำนวนสอบสวนคดีเปิดเผยชื่อตำแหน่งคนเหล่านี้ จะเป็นอุปสรรคกับความร่วมมือของคนที่จะมาให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริงในอนคตอย่างนี้ก็ต้องหาทางป้องกัน ป.ป.ป.ก็มาพบผมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ววิตกห่วงใยเรื่องนี้มาก ก็แนะนำให้ประสานกับกรรมการข้อมูลข่าวสาร เพราะว่า กรรมการอาจจะไม่ใช่ผู้ที่บริหารงาน อาจจะนึกไม่ออกว่าผลที่ตามมาคืออะไร อย่างนี้ก็ต้องประสานกัน ผมคิดว่าการเปิดเผยอะไรนั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นสิ่งที่ ผู้บริหารทุกระดับต่อไปหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ทุกฝ่ายจึงจำเป็นต้องมีความตรงไปตรงมา การตัดสินใจอะไรก็ต้องมีเหตุมีผล เพราะสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นจะมีผลให้คนอื่นตรวจสอบติดตามต่อไป เพราะฉะนั้น บทบาทของโฆษกกระทรวงจะมีความหมายมาก ลองสอบถามดูในช่วงระยะ 1 ปีเศษ นับตั้งแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการปี พ.ศ.2540 ว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เบื้องต้นก็มีคนให้ความสนใจในระดับหนึ่ง มีผู้ใช้สิทธิ์ร้องเรียนอุธรณ์เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารราชการ 44 ราย ในปี 2542 แต่เฉพาะตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน ประมาณครึ่งปีก็มีผู้ร้องเรียนอุธรณ์เพิ่มขึ้นเป็น 108 ราย แต่ว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกจากเห็นได้ชัดว่า ประชาชนตระหนักเข้าในสิทธิมากขึ้นแล้ว จะมีบ้างตรงที่ต้องการอะไรตามใจก็ส่วนน้อย แต่นั่นเราก็รู้อยู่ ซึ่งก็ไม่มีอะไรดีไปหมดประเภทนั้น แต่ว่าที่เห็นชัดน่าสนใจก็คือว่า เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาในช่วงปี 2541 นั้น ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการที่หน่วยงานรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่จัดหาข้อมูลให้ หรือจัดหาให้ช้า หรือผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่เกป็นนักธุรกิจและประชาชนทั่วไป และในปีนี้ลักษณะการร้องเรียนการอุธรณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่าง เห็นได้ชัด การร้องเรียนว่าหน่วยงานรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมายลดลง แต่จะเป็นการร้องเรียนของประชาชนเกี่ยวกับโครงการสัญญาสัมปทาน ซึ่งประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินการของรัฐ รวมทั้งการขอข้อมูลเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยข้าราชการ เป็นต้น อันนี้เปลี่ยนไป ผมเข้าใจปีแรกกฎหมายออกมาใหม่ ๆ ราชการไม่ได้ตั้งหลัก บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกฎมายนี้แล้ว เพราะฉะนั้น เวลาใครติดต่อไม่เข้าใจ ไม่อำนวยความสะดวก ไม่รับรู้ บางครั้งการร้องเรียนตอนนั้นเป็นการร้องเรียนข้าราชการ แต่ว่าปีต่อมา ข้าราชการเริ่มเข้าใจว่ามันเป็นกฎหมายบังคับให้ต้องปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การร้องเรียนก็เปลี่ยนไป อันนี้เห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผมก็คิดว่าจะต้องพยายามให้โอกาสกับส่วนราชการและผู้ร้องเรียนด้วย เพราะเห็นว่า เป็นเรื่องใหม่ที่เราเพิ่งเริ่มต้น ประสบการณ์เรายังมีน้อยมากในเรื่องอย่างนี้ เราต้องเรียนรู้ ก็เป็นเรื่องดีที่ท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้กรุณาให้อดีตโฆษกของทำเนียบขาวมาร่วมในการสัมมนา ผมคิดว่าประสบการณ์ครั้งนี้ก็จะเป้นประโยชน์ที่ช่วยเล่าอะไรให้เราฟัง


มติคณะรัฐมนตรีที่มีไว้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2542 ที่ผ่านมานี่เอง ที่ให้ทุกส่วนราชการถือหลักปฏิบัติที่ต้องแต่งตั้งบุคคลทำหน้าที่โฆษกประสานงานด้านข้อมูลข่าวสารของรัฐ ซึ่งทุกกระทรวงก็จะต้องเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนที่สนใจมาติดต่อกับหน่วยงานเหล่านี้ ประสมประสานกับกฎหมายข้อมูลข่าวสาร ที่มีขบวนการว่าอะไรเป็นอะไร เช่น ผู้ที่อยากจะขอให้เปิดเผยก็ต้องรู้ขบวนการมันผ่านอะไร มีคณะกรรมการ ไม่ใช่ว่าไปบังคับให้รัฐมนตรีหรือนายกฯ ต้องเป็นผู้เปิดเผย กฎหมายกำหนดเอาไว้ว่าผู้เปิดเผยคือใคร ขั้นตอนถ้าเขาไม่อนุมัติ จะต้องอุธรณ์ต่อผู้ใด ประชาธิปไตยก้ต้องเคารพกฏเกณฑ์กติกา อันนี้คือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็ต้องอธิบายชี้แจงให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ แล้วก็เป็นหน้าที่ของโฆษกเช่นเดียวกัน ผมจึงหวังอย่างยิ่งว่า ผู้ที่จะทำหน้าที่โฆษกของกระทรวงจะต้องพยายามติดตาม เพราะว่าข่าวสารมาก พูดอย่างตรง ๆ ว่า ข่าวสารคลาดเคลื่อนมาก ขอโทษพี่น้องสื่อมวลชนด้วย ต้องเรียนตรง ๆ ข้อมูลข่าวสารที่ออกไปนั้นคลาดเคลื่อนมาก แล้วก็เป็นปัญหาขัดแย้งระหว่างบุคคลบางครั้ง ยกตัวอย่าง กรณีคุณโสภณฯ ที่ข่าวออกมาว่า รัฐมนตรีคลังไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงไม่มีเลย ความจริงรัฐมนตรีไม่ได้พูดเลยในสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าข่าวออกมา ก็เลยทำให้เป็นปัญหาขึ้นมาระหว่างตัวบุคคล เพราะฉะนั้น อันนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องชี้แจงเพื่อไม่ให้สังคมต้องขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ไม่ให้ประชาชนต้องสับสนกับสิ่งเหล่านี้


ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การสัมมนาของท่านทั้งหลายในวันนี้ คงจะได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวงการและมีประสบการณ์มากว่าพวกเรา พี่น้องสื่อมวลชนที่ทำงานด้านนี้มาโดยเฉพาะ คงจะได้มีส่วนช่วยให้คำแนะนำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตโฆษกทำเนียบขาว เจ้าหน้าที่ที่มาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การสัมมนานี้เป็นประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อไป ผมยินดีที่มิติใหม่ของความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของข้อมูลข่าวสารได้เกิดขึ้นในประเทศเรา และผมก็เชื่อว่าในระยะยาวสิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งสร้างสรรค์ จะเป็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในทุกด้าน ทั้งต่อประชาชนที่รู้อะไรมากขึ้น ตรงไปตรงมา และโดยเฉพาะก็คือว่า จะเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำด้วย


ขอให้การสัมมนาครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ผมขอเปิดการสัมมนา "มิติใหม่ของการให้ข้อมูลข่าวสาร" ณ บัดนี้





...
  
ลักษณะของนักประชาสัมพันธ์
ลักษณะของนักประชาสัมพันธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การทำงานด้านประชาสัมพันธ์ มักจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นบุคคลภายในองค์กร บุคคลภายนอกองค์กร สื่อมวลชน ฯลฯ ฉะนั้นนักประชาสัมพันธ์จะต้องมีคุณสมบัติหลายประการ ดังต่อไปนี้
- เป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ การทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ท่านต้องทำงานร่วมกับคน
จำนวนมาก ฉะนั้นท่านต้องเป็นคนไม่ถือตัว ชอบพบปะพูดคุยกับคน มองโลกในแง่ดี รู้จักแสวงหาพวกอยู่ตลอดเวลา “ แสวงหาเพื่อนใหม่ๆ รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่า ”
- เป็นคนที่มีการปรับตัวกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างดี นักประชาสัมพันธ์ต้องทำงาน
ร่วมกับผู้บริหาร ทำงานร่วมกับสื่อมวลชน ทำงานร่วมกับคนในองค์กรและภายนอกองค์กร อีกทั้งจะต้องร่วมงานต่างๆ เช่น งานประจำปี งานสื่อมวลชนสัมพันธ์ งานกีฬา งานเลี้ยงงานสังสรรค์ งานเลี้ยงต้อนรับ งานเลี้ยงอำลา ของหน่วยงานหรือองค์กรทั้งภายนอกและภายใน
- เป็นคนที่ต้องรู้จักรักองค์กร นักประชาสัมพันธ์ที่ดี เมื่อมีคนภายในและคนภายนอกพูด
ถึงองค์กรในด้านลบหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นักประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องรู้จักพูดทำความเข้าใจ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่บุคคลนั้นๆ เพื่อเป็นการรักษาภาพลักษณ์หรือภาพพจน์ขององค์กรที่ตนทำงาน
- เป็นคนที่ต้องมีความรอบรู้ ทั้งความรู้ด้านประชาสัมพันธ์และศาสตร์อื่นๆ เนื่องจาก
ปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ยุคของเทคโนโลยี ยุคที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ดังนั้น นักประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องรู้จักบริโภค ข้อมูล รู้จักเรียนรู้ศาสตร์ประชาสัมพันธ์และความรู้อื่นๆ ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
- เป็นคนที่ต้องมีความอดทน เลี่ยงการโต้เถียง มีการใช้ภาษาพูดหรือคำพูด ดังเช่นนักการฑูต
เวลาปฏิเสธก็ควรปฏิเสธแบบ “ บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ” ไม่สร้างศัตรูหรือความขัดแย้งขึ้น โดยเฉพาะกับบุคคลที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชน เนื่องจากนักประชาสัมพันธ์ต้องพึ่งพาสื่อมวลชน ทำงานร่วมกับสื่อมวลชน หากมีปัญหาความไม่เข้าใจกันทะเลาะกัน ก็คงยากที่สื่อมวลชนจะลงข่าวสารข้อมูลให้
- เป็นคนที่ต้องมีความรับผิดชอบต่องานที่ทำ การทำงานด้านประชาสัมพันธ์ บางครั้ง
จำเป็นจะต้องทำนอกเวลา เช่น เมื่อมีงานเลี้ยง งานสังสรรค์ต่างๆ นักประชาสัมพันธ์จะต้องเข้าร่วม หรือ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดหมาย นักประชาสัมพันธ์จะต้องเข้าไปแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ถึงแม้จะเป็นการทำงานนอกเวลาก็ตาม อีกทั้งต้องเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบต่อเวลา คำพูดและการกระทำของตนเอง เวลานัดหมายสื่อมวลชนหรือใครแล้วต้องไปให้ตรงเวลา(ไม่ใช่ไปตามเวลา คือให้เวลาไปก่อนแล้วค่อยเดินตามไปหรือไปสาย)
- เป็นคนมีแบบแผนหรือมีแผนงานที่ดี นักประชาสัมพันธ์จะต้องเป็นนักบริหารภายใน
ตนเอง กล่าวคือ ต้องเป็นคนที่ต้องรู้จักวางแผน เป็นขั้นตอน หาข้อมูล หาข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อมาทำแผนงานในการทำงาน ต้องรู้จักรับผิดชอบต่อตนเอง งานด้านประชาสัมพันธ์ถึงประสบความสำเร็จ
- เป็นคนที่ต้องรู้จัก พูดและเขียน งานประชาสัมพันธ์ เป็นงานที่ต้องใช้การสื่อสารมากกว่างาน
ประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร เป็นคนเขียนข่าวส่งแก่สื่อมวลชน เป็นนักจัดรายการทางวิทยุขององค์กร ฯลฯ
ฉะนั้น นักประชาสัมพันธ์ที่ดีต้องรู้จักพูด รู้จักเขียน
ทั้งหมดข้างต้นเป็นลักษณะที่ดีของนักประชาสัมพันธ์




...
  
ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช
ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช
Pramarn Laungwattanawanich



ประวัติการศึกษา

- นิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่น 5 ปี 2521
- เนติบัณฑิตจากสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภารุ่น 32 ปี 2522
- ประกาศนียบัตรกฎหมายปกครอง รุ่น 1 เนติบัณฑิตยสภา
- นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขากฎหมายมหาชน ปีการศึกษา 2546



ประวัติการทำงาน

- ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความปี( 2532 - 2535 )
- นายทะเบียนสภาทนายความปี ( 2535 - 2538 )
- อุปนายกสภาทนายความปี ( 2538 - 2541 )
- ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร
- อนุกรรมการป้องปรามการละเมิดสิทธิผู้บริโภค สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค
- อาจารย์สอนวิชาว่าความสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ สภาทนายความ( 2532–2541 )
- อาจารย์สอนวิชาว่าความสำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา( 2534 - 2536 )
- อาจารย์สอนวิชาว่าความมหาวิทยาลัยรามคำแหง ( 2535 -ปัจจุบัน )
- อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยขอนแก่น , วิทยาลัยการปกครองและสถาบันอื่น ๆ
- ผู้ดำเนินรายการแจ้งความ ทางสถานีโทรทัศน์ ITV ( 2545 - 2546 )
- ผู้ดำเนินรายการคนหัวหมอ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ( 2546 – ปัจจุบัน )
- ผู้ดำเนินรายการหัวหมอจ้อข่าว ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ( 2547 – 2548 )
- ผู้ดำเนินรายการร่วมมือร่วมใจทางสถานีโทรทัศน์ ITV , TITV ( 2547 - 2551 )
- ผู้ดำเนินรายการเจาะรัฐสภา ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 ( 2548 – 2549 )
- ผู้ดำเนินรายการตีข่าวเล่าความทางสถานีโทรทัศน์ ITV , TITV( 2549 - 2551 )
- เป็นทนายความและที่ปรึกษากฎหมายกว่า 28 ปี
- ประธานบริหารบริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
- และบริษัท ทวินทนาย จำกัด
- ผู้ดำเนินรายการตีข่าวเล่าความทางสถานีโทรทัศน์ PTV



ตัวอย่างรางวัลที่เคยได้รับทางสังคม

- ทนายความดีเด่นแห่งสภาทนายความ ปี 2541
- คนดีศรีราม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี 2550

...
  
คลายทุกข์ประชาชน
ชุดที่ 3
...
  
ไมตรี ลิมปิชาติ
ไมตรี ลิมปิชาติ : เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2485 ที่อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และเริ่มเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา และต่อมาได้มาศึกษาต่อที่ วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ สาขาช่างไฟฟ้า ไมตรีเริ่มรับราชการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2507 ในตำแหน่ง ช่างจัตวา สังกัดหน่วยงานเทศบาลกรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. 25410 ไมตรี นั้นมีนิสัยชอบอ่านมาก จึงเป็นพื้นฐานตั้งเริมเข้าเรียน และมีผลงานมากแต่ไม่กล้าตีพิมพ์ จนเมื่อได้แตงงานกับภรรยา ได้ส่งต้นฉบับได้ไปส่งนิตยสารชื่อฟ้าเมืองไทย ปรากฏว่าเรื้องสั่นชื่อ หล่อน “ต่ำเพราะอยากสูง” ได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2514 จากนั้นเป็นต้นมานั้นได้มี ผลงานชิ่นอื่นออกตามมามากมายในเรื่องสั้นเรื่อง จนช่วงที่เขาเริ่มในเรื่องสั้น " หักมุมจบ" ที่ได้รับรางวัลชมเชย ในงานสัปดาห์ดาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2520และหนังสือ , หนังสือเด็ก, เรื่องฉันคือ "ต้นไม้" ผลงานที่มีชื่อเสียงมาที่สุดเล่นหนังคือ ทางออกที่ปิด และรวมเรื่องสั้น คนอยู่วัด และได้รับเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นรวมนวนิยาย ดร. ครก ที่ได้รับรางวัลทางภาพยนต์ และนวนิยายเรื่อง ความรักของคุณฉุย ที่ได้สร้างเป็นละครทางโทรทัศน์

ผลงานเชิงประจักในทางสังคม : (รวมเรื่องสั้น - เกาไม่ถูกที่คัน)(คนอยู่วัด)(ช่องว่างระหว่างฟัน)(ทางไปสุขา) (ทางออกที่ถูกปิด)(บรุษผู้เอาหัวชนกำแพง)(หยิกก็เจ็บ)(สารคดี - เที่ยวกับเมีย)(หนังสือเด็ก - คนเผาถ่าน) (นวนิยาย - ดร.ครก) (นวนิยาย ความรักของคูณฉุย) ...
  
โรงเรียน สอนธุรกิจ
หนังสือที่ เหมาะสมนักขาย ตรงทุกท่าน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ แง่มุมของธุรกิจในบริษัทการขายโดยเฉพาะการขายตรง mlm ...
  
87 เคล็ดลับการทำผลงานทางวิชาการ
เป็นหนังสือที่ อธิบายเทคนิคเป็นข้อๆ มี 87 ข้อ เป็นคำแนะนำสั้นๆ อ่านแล้วได้สาระ หนึ่งข้อมีประมาณ 1 หน้าครับ แต่งโดยพิสนุ ฟองศรี ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.