หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  สู้แล้วรวย
  -  ขายเก่ง....รวยก่อน.....
  -  เทคนิคการประชุม
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  นักบริหารกับความสำเร็จ
  -  เด็กขายตัว
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  การพูดหน้าชุมชน
  -  ยาเสพติดประเทศไทย
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  เหล้ากับเทศกาลสงกรานต์
  -  การเผาป่า
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  ผู้นำกับองค์กรเรียนรู้
  -  ศิลปะการฟัง
  -  ทีม
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  บทบาทนักบริหาร
  -  เอดส์ สังคมไทย
  -  เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  ผู้บริหารกับประชาสัมพันธ์
  -  หัวใจงานบริหาร
  -  กิ๊ก
  -  เมืองไทยเมืองเซ็กส์
  -  แฟชั่น นักศึกษา
  -  ปัจจัยในการบริหาร
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  น้ำมันยังเป็นปัญหาใหญ่
  -  บุหรี่
  -  สายสัมพันธ์กับนักบริหาร
  -  ขยะเป็นทอง
  -  หมวก 6 ใบ
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  เด็กนอกระบบ
  -  สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
  -  ความคิดสร้างสรรค์
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
เด็กขายตัว
ห่วงค่านิยม “ เด็กขายตัว”


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)


ในยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า สังคมไทยเราเข้าสู่ยุคทุนนิยม หรือ ยุคแห่งการบริโภคนิยมมากขึ้น ทำให้ผู้คนในสังคมไม่ว่าวัยต่างๆ ต่างก็ต้องหาเงินมาเพื่อบริโภคกันมากขึ้น สินค้าบางอย่างไม่มีความจำเป็นเพราะเป็นสินค้าที่ฟุ้งเฟ้อ ก็ยังซื้อบริโภคกัน มาอวดกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา


เมื่อมีความต้องการบริโภคสิ่งที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมากขึ้น ไม่ว่าเป็นสินค้าแบรนด์เนม สินค้าราคาแพง โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ฯลฯ จึงทำให้เงินที่ผู้ปกครองให้เพื่อมาใช้จ่ายจึงไม่พอ จึงต้องมาขายบริการทางเพศ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อสิ่งเหล่านี้ จึงมีข่าวเกี่ยวกับ “ เด็กและเยาวชน ขายตัวกันมากขึ้น ” เช่น


- เด็กขายตัว ผ่านเน็ต “มาร์ค” เร่งแก้ ( ที่มา..ASTVผู้จัดการออนไลน์)


- สลดเด็กไทยคลั่งสวิงกิ้ง-ขายตัวซื้อมือถือ ( ที่มาจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด)


- รวบ 3 นักศึกษาโฆษณาขายตัว ผ่าน HI5 (ที่มาจาก..สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น)


- ขายตัวกระหึ่มเว็บโสเภณีออนไลน์(ที่มาจาก..หนังสือพิมพ์เดลินิวส์)


จากข่าวดังกล่าวข้างต้นทำให้รู้ได้ว่า ในสังคมไทยเราปัจจุบันมีการขายตัวกันมากขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะ


เป็นเด็กนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท ยันไปกระทั่งสาวที่ทำงานในออฟฟิศ และการเกิดปัญหาหนึ่ง ก็มักจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ ติดตามมา


ที่สถาบันราชภัฏสวนดุสิต มีการสัมมนาเรื่อง " นักเรียน/นักศึกษา ขายตัว : สัมมนาปัญหาเชิงลึก/วิเคราะห์ " จัดโดยนักศึกษาปริญญาโท สาขาบริหารการศึกษา สถาบันราชภัฏสวนดุสิต เพื่อระดมความคิดเห็นในการแก้ปัญหา การขายตัวของนักเรียน นักศึกษา โดยเชิญผู้ขายบริการ ผู้ใช้บริการ และผู้จัดบริการ (แม่เล้า) ร่วมสัมมนา มีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้


น้องหน่อย (นามสมมุติ) นักศึกษาที่ขาย บริการทางเพศ "--สาเหตุที่มาทำอาชีพนี้เพราะต้องการนำเงินไปใช้ในการศึกษา เกี่ยวกับอุปกรณ์ ต้องส่งเสีย ครอบครัว เนื่องจากพ่อเสียชีวิต ไม่มีอาชีพอื่นที่ได้ผลตอบแทนสูง ผิดหวังเรื่องแฟน ต้องการมีวัตถุนิยมตาม เพื่อนและสังคม อยากมีโทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้าสวยๆ อยากมีเงินใช้จ่ายตลอด และอยากมีเงินเที่ยวสถานเริงรมย์ ส่วนแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหานั้น อยากให้ส่งเสริมอาชีพ ที่มีรายได้กระจายทั่วถึง ให้การศึกษา ที่เข้าใจ การดำเนินชีวิต มีความภาคภูมิใจในชีวิต จัดหางานให้เมื่อเรียนจบ และรัฐควรจัดหางานให้ ระหว่างเรียน เพื่อ เป็นรายได้เสริม ที่เข้ามาสู่อาชีพนี้เพราะได้รับการติดต่อจากเพื่อน ตอนที่เพื่อนชวนก็คิดอยู่นาน แต่เพื่อนบอก ว่า ทำแล้วจะได้เงินง่าย อย่างไรก็ตาม ไม่คิดที่จะทำอาชีพนี้ตลอดไป อนาคตคิดจะหยุด และหางานดีๆ ทำ แม้จะได้เงินน้อยกว่า—


" น้องฟิว (นามสมมุติ) นักศึกษา "--สาเหตุเข้าสู่อาชีพเสริมเพราะ ความต้องการ ทาง เศรษฐกิจ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าลงทะเบียน ค่าที่พัก และค่าเครื่องสำอาง รวมถึงได้รับการชักจูง จาก เพื่อน ในกลุ่มที่ทำอาชีพเสริมอยู่ มีเงินใช้จ่ายคล่องตัวมากขึ้น ที่สำคัญคือผู้ที่ทำอาชีพ เสริมคิดว่า พวกเขา ได้เดินมาถูกต้องแล้ว เพราะชีวิตเป็นของเขาเอง ฉะนั้นจะทำอะไรกับชีวิตของเขาก็ได้ ที่เลือกอาชีพนี้ เพราะ มีรายได้สูง ที่ผ่านมาไม่ได้ติดต่อทางบ้านเลย จึงต้องหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเอง มีค่าใช้จ่ายประมาณ 400 บาทต่อวัน ถ้าไปทำอาชีพอื่นรายได้จะน้อย แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการ หารายได้จากการขายบริการทางเพศเลย ส่วนแนวทางป้องกันนั้น เห็นว่าต้องสร้างจิตสำนึกในการ ยอมรับ สภาพความจริง พ่อแม่ ครูอาจารย์ต้องสอดส่องใกล้ชิด สร้างความอบอุ่นในครอบครัว หาอาชีพเสริมที่สุจริต และสถานศึกษาจัดหางานพิเศษให้--
แน่นอนปัจจัยที่ทำให้เด็กขายตัว อาจจะมีหลายปัจจัย ได้แก่ ปัญหาความตกต่ำทางด้านเศรษฐกิจ เงินไม่พอใช้ ปัญหาวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป คือ นำวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้มากขึ้น ปัญหาการบริโภคนิยมหรือนิยมวัตถุ ฯลฯ


แต่ปัญหาเหล่านี้ เด็กและเยาวชน ไม่ควรแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการง่ายๆ โดยไม่คำนึงถึงเกียรติยศศักดิ์ของตน โดยการนำร่างกายมาขาย ซึ่งถ้าทำกันมากๆ แนวคิดนี้ก็จะเป็นอันตรายต่อสังคมไทยในอนาคต

...
  
สู่ผู้นำ
เส้นทางสู่ความเป็นผู้นำ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

บางคนเกิดมามีชาติตระกูลดี มีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว บางคนเกิดมาต้องมาฝึกฝนตนเองก่อนจึงจะสามารถเป็นผู้นำได้ แต่บางคนเมื่อเกิดเหตุการณ์สถานการณ์ที่วิกฤตจึงได้เป็นผู้นำตามสถานการณ์นั้นๆ


แล้วถ้าเราเกิดมา ไม่ได้มีชาติตระกูลที่ดี แต่เราต้องการเป็นผู้นำ เราก็สามารถฝึกฝนได้ ซึ่งคนเราสามารถฝึกฝนและเรียนรู้ได้หลายทาง ดังนี้


- ต้องมีจิตใจที่มุ่งหมั้น อดทน ตั้งเป้าหมายว่าเราจะเป็นผู้นำให้ได้และเมื่อได้เป็นผู้นำในองค์กรใด องค์หนึ่งแล้ว จงแสดงฝีมือออกมาให้ปรากฏ ถ้ามีปัญหาอุปสรรคก็ขอให้ทำใจเยือกเย็น รับสถานการณ์ต่างๆให้ได้


- ต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องบ้าง แต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดก็ได้ เพราะการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้นำ


- กล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆ แน่นอน มนุษย์เราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแต่มนุษย์ของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ด้วยการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การคิดอะไรใหม่ๆ การทำอะไรใหม่ๆ ช่วยให้เกิดการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กร รวมทั้งพัฒนาประเทศชาติด้วย จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา


- กล้าที่จะเสี่ยง พร้อมที่จะยอมรับความล้มเหลว คนเราเมื่อดูภาพคนที่ประสบความสำเร็จมักจะดูด้วยความสรรเสริญ แต่หารู้ไม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จโดยมากมักผ่านการล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น เช่น อดีตนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ อดีตประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่มักผ่านการสอบตกหรือไม่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วตั้งมากมาย แต่สุดท้ายและท้ายสุด เขาเหล่านั้นจึงประสบความสำเร็จ


- กล้ารับผิดชอบ คุณสมบัติของผู้นำที่ดีมีอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ ความรับผิดชอบ แน่นอนไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด หรือ ผิดพลาด การตัดสินใจบางอย่างอาจก่อให้เกิดการผิดพลาด แต่คนที่เป็นผู้นำที่ดีต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง


- มีความซื่อสัตย์ การเป็นผู้นำนอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังต้องมีความซื่อสัตย์และสัตย์ซื่อต่อองค์กร


เพราะถ้าผู้นำไม่มีความซื่อสัตย์เสียแล้ว เช่น โกงกินเงินขององค์กร เวลาลูกน้องโกงกินบ้างผู้นำมักจะไม่กล้าว่าให้แก่ลูกน้อง เพราะตนเองก็ทำมาก่อน


- ผู้นำที่ดีและมีใจที่กว้างต้องรู้จักสนับสนุนลูกน้อง และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ผู้นำที่ดีต้องรู้จักสร้าง


คนในองค์กร เพราะถ้าคนในองค์กรไม่มีความรู้ความสามารถ ก็มักจะทำให้องค์กรมีปัญหาได้


ดังนั้น ผู้นำที่ดีจำเป็นจะต้องสนับสนุนลูกน้องให้คนที่ทำงานได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง และเลื่อน


ขั้นเงินเดือนให้สูงขึ้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ลูกน้อง


- ผู้นำที่ดีต้องมีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยม สุขภาพร่างกายดีแข็งแรง ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ มีใครเคยเห็น


ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ที่เจ็บป่วย เดินแทบไม่ได้ ขึ้นไปพูดหาเสียง พูดสุนทรพจน์บ้างไหม


ถ้ามีก็ดูแล้วไม่ค่อยสง่างาม ดังนั้น ผู้นำต้องรู้จักรักษาสุขภาพของตนเอง พัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การเจรจาต่อรอง ต่างๆ


และมีอีกหลายปัจจัย ที่ผู้นำต้องนำไปฝึกฝน เรียนรู้กัน เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่ดีได้ คนเราสามารถฝึกฝนกันได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน การพูด บุคลิกภาพ นิสัย ใจคอ จิตใจ ดังนั้น ผู้ต้องการเป็นผู้นำต้องอดทน พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง แล้วเส้นทางสู่ความเป็นผู้นำจะอยู่ไม่ไกลจากเราครับ

...
  
อาหารปลอดภัย
ตลาดอาหารปลอดภัย

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ความจริงการขายอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากทำให้สุขภาพของคนไทยในปัจจุบันดีขึ้น แต่ผู้ปลูกผักไร้สารพิษหรือผู้ผลิตอาหารปลอดภัย มักจะบ่นว่าไม่มีตลาดรองรับ โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด


ถึงแม้ว่าหลายจังหวัดได้มีโครงการและส่งเสริมการตลาดสำหรับอาหารปลอดภัย เช่น จังหวัดจันทบุรี ได้จัดโครงการตลาดอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ ในช่วงเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการตรวจเลือดหาสารพิษในร่างกายจำนวน 152 คน โดยมีประชาชนที่ตรวจมากถึง 77 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มาตรวจเลือดหาสารพิษก็ว่าได้


หรือที่กรุงเทพมหานคร ก็ได้มีการจัดให้มีการประกวดตลาดสะอาดได้มาตรฐานอาหารปลอดภัย ตั้งแต่ มีนาคมที่ผ่านมาโดยมีตลาดที่เข้าประกวดทั้งสิ้น 61 แห่ง แต่เข้าเกณฑ์ตลาดสะอาดได้มาตรฐานเพียง 41 แห่ง


และจังหวัดพะเยา ก็ได้จัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษฅรคุณภาพจากผู้ผลิตส่งผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ในวันที่ 19 สิงหาคม 2552 ณ ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพะเยาภายในงานก็มีการเสวนาเรื่อง “ สินค้าปลอดภัยจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ” โดยมีการจัดบอร์ดนิทรรศการ, การจัดตลาดนัดสินค้าเกษตรปลอดภัย,การตอบปัญหาด้านเกษตรและการตรวจสารพิษตกค้างในเลือดอีกทั้งสารปนเปื้อนในอาหารด้วย


ถามว่าทำไมเกษตรกรถึงใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้ผู้บริโภคไม่ปลอดภัย คำตอบอาจเป็นเพราะ ค่านิยมที่เกิดจากตัวผู้บริโภคเองที่ต้องการ ผัก ผลไม้ต้องสวย จึงทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาพึ่งสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สำหรับผัก ผลไม้ที่ไม่ใช่สารเคมี ต้องคัดแยกผัก ผลไม้ที่ต้นหรือผลไม่สวยออก จนบางครั้งต้องคัดทิ้งถึง


25 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


สำหรับกระผมเชื่อว่า ถ้าพวกเราเลือกได้อยากรับประทานอาหารปลอดภัย ไม่ว่า ไก่ กุ้งแช่แข็ง ผักสด ผลไม้ และสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ มากกว่า อาหารที่มีสารพิษ ที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ถึงแม้อาหารปลอดภัย อาจจะแพงกว่าอาหารที่มีสารเคมีเพียงเล็กน้อยก็ตาม


ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ผลิตผู้ขาย สินค้าปลอดภัยมักบ่นว่าไม่มีตลาดสำหรับการขายให้แก่ผู้บริโภค และผู้บริโภคก็ไม่รู้จะไปซื้อสินค้าอาหารปลอดภัยจากไหน ถ้าไม่มีการจัดโครงการที่ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาพบกัน และสิ่งที่สำคัญ เราจะทราบได้อย่างไรถ้าซื้อสินค้านั้นในตลาดทั่วไปว่านี่คือ อาหารปลอดภัย เพราะ ผัก ผลไม้ ไก่ สินค้าเกษตรที่เห็นมันไม่สามารถแยกได้ด้วยสายตาคนเรา ถ้าไม่มีการตรวจสารปนเปื้อน


ดังนั้น ผมคิดว่า ผู้ผลิตและผู้ขายอาหารปลอดภัย ควรพัฒนาตราสินค้าของผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยโดยเฉพาะการเกษตร โดยอาจนำคนกลางมีการควบคุมมาตรฐาน ดังตัวอย่าง ถ้าใครต้องการส่งออกต้องมี ISO ก่อน ฉะนั้น จังหวัดควรให้การสนับสนุนและหาหน่วยงานมาดูแลเป็นพิเศษ ถ้ารอนโยบายจากส่วนกลางอาจล่าช้า อีกทั้งควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำโครงการเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เกษตรกรที่ผลิตอาหารปลอดภัยตามยถากรรม


เช่นจังหวัดนครปฐมมีกลุ่มแม่บ้านเกษตรผู้ปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านห้วยพระ ต.ห้วยพระ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม รวมกลุ่มผลิตผลไม้ ผักปลอดสารส่งให้กับ บริษัท กำแพงแสน คอมเมอร์เชียล จำกัด หรือ KC Fresh


ดังนั้น การตลาดหรือช่องทางการตลาด อาหารปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรกรภายในจังหวัด หน่วยงานราชการ รวมทั้งคนในจังหวัดต้องร่วมมือกัน


เกษตรกรภายในจังหวัดที่ปลูกหรือผลิต อาหารสารพิษ ต้องจริงจังและจริงใจ ในการปลูกโดยไม่ใช่สารเคมีจริงๆ เพราะบางกรณี เมื่อขายได้แล้ว มีคนเชื่อว่าเป็นอาหารปลอดภัยจริง ไม่มีสารพิษจริง ถึงตอนนั้นเกษตรกรบางรายกลับหันไปใช้สารเคมี เนื่องจากขายไม่ทัน การใช้สารเคมีทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และไม่ต้องทิ้งผักหรือผลไม้ที่ไม่สวย 25 เปอร์เซ็นต์ทิ้ง


หน่วยงานราชการ ต้องช่วยกันสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ สนับสนุน มีหน่วยงานพิเศษที่ลงมาดูแลเรื่องดังกล่าว มีหน่วยงานรับรองอาจให้ป้ายรับรองว่าร้านนี้เป็น อาหารปลอดภัยจริง


ประชาชนภายในจังหวัดก็ควรให้การสนับสนุน ซื้ออาหารปลอดภัย ภายในจังหวัดของตนก่อน การซื้อของประชาชนภายในจังหวัดจะทำให้ เกษตรกรที่ผลิตหรือขาย อาหารปลอดภัย อยู่ได้ อีกทั้งสุขภาพของผู้บริโภคก็จะดี ไม่มีโรคภัยที่เกิดจาก อาหารที่ปนกับสารเคมี







...
  
การพูดหน้าชุมชน
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ท่านไม่ควรปรารถนาเป็นผู้นำ เป็นคำพูดของหลวงวิจิตรวาทการ


เคยมีคนถามผมว่า ความหมายของการพูดในที่ชุมชนจริงๆ ตามหลักวิชาการคืออะไร การพูดในที่ชุมชน คือ การพูดในที่สาธารณะชน โดยมีคนฟังหรือฝูงชนจำนวนมาก ผู้พูดต้องมีการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง อีกทั้งการพูดในที่ชุมชน ผู้พูดจะต้องแสดงวัจนภาษาและอวัจนภาษา เช่น ภาษาพูด ภาษาร่างกาย การแสดงท่าทางประกอบ การเคลื่อนไหวต่างๆ ต่อหน้าผู้ฟังเป็นจำนวนมาก


ดังนั้นการพูดในที่สาธารณะชนเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัวบุคคล เพราะโดยปกติคนทุกคนที่ไม่เป็นใบ้ย่อมพูดได้ แต่บางคนเท่านั้นที่พูดเป็น ซึ่งการพูดเป็นนั้นต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไปแต่เราสามารถมีพรแสวงได้ด้วยการฝึกฝนการพูดสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส เราต้องหาเวทีในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนเมื่อมีโอกาส


การพูดต่อหน้าที่ชุมชนก็เหมือนกับการว่ายน้ำ หรือ กิจกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขับรถ การเล่นกีฬาต่างๆ คือ ยิ่งเราทำมันมากเท่าไรเราก็ยิ่งชำนาญมากขึ้นเท่านั้น และเราก็ยิ่งสนุกที่ได้ทำมันด้วย

เช่น ถ้าเราอยากว่ายน้ำเป็นเราต้องลงไปว่ายน้ำ เราจะมามัวอ่านหนังสือ ตำรา ว่ายน้ำเป็นร้อยเล่ม พันเล่ม หมื่นเล่ม เราก็ไม่สามารถว่ายน้ำเป็น ดังนั้น จงโยนหนังสือ ตำรา ว่ายน้ำทิ้ง แล้ว ลงไปว่ายน้ำจริงๆแล้วเราจะว่ายน้ำเป็นในที่สุด เช่นกัน การพูดก็เหมือนกัน ถึงแม้เราจะอ่านหนังสือ ตำรา การพูดต่อหน้าที่ชุมชนเป็น ร้อยเล่ม พันเล่ม หมื่นเล่ม เราก็ไม่สามารถพูดต่อหน้าที่ชุมชนเป็น ดังนั้น จงโยน หนังสือ ตำรา การพูดต่อหน้าที่ชุมชน ทิ้ง แล้ว ขึ้นเวที หาเวทีการพูดให้มากที่สุด แล้วในที่สุดท่านจะเป็นสุดยอดนักพูด ที่สำคัญ ต้องอดทน ถึงแม้การพูดบางครั้งอาจล้มเหลว แต่ถ้าเรามีฝันว่าอยากเป็นนักพูด เราต้องอดทนรอได้ และไม่ควรดูถูกเวทีเล็ก บางคนอยากพูดเวทีใหญ่เลย ผมว่าคงยาก เพราะนักพูดที่สามารถพูดเวทีใหญ่ๆได้ นักพูดผู้นั้นต้องผ่านเวทีเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้น


เช่นกัน นักพูดที่มีค่าตอบแทนสูง ย่อมเคยผ่านการบรรยายในลักษณะ ค่าตอบแทนต่ำมาก่อน บางคนถึงขนาดบรรยายให้ฟรีๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนเลยก็มี


และสิ่งที่สำคัญ คือ นักพูดที่ดีต้อง มีการเตรียมการพูด เช่น มีการร่างเรื่องที่จะพูดเป็นโครงเรื่อง ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร(โดยปกติจะมี 5-10 %) โดยข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการขึ้นต้น ไม่ควรออกตัว,ไม่ควรถ่อมตนและไม่ควรอ้อมค้อม แต่ควรขึ้นต้นให้มีความตื่นเต้น เช่น การพาดหัวข่าว (Headline) , ขึ้นต้นด้วยคำถาม (Asking Question), ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง (Quousing) ฯลฯ
เนื้อเรื่องควรมีอะไรบ้าง(80-90 %) ควรจะต้องสอดคล้องกับคำนำหรือคำขึ้นต้น และสอดคล้องกับการสรุปจบ


ส่วนสรุปควรจะสรุปจบอย่างไร(5-10 %) หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน มีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และหัวข้อเรื่อง กะทัดรัด โดยอาจสรุปจบแบบสรุปความ,แบบฝากให้ไปคิด,แบบเปิดเผยตอนสำคัญ และอาจจบด้วยคำคม คำพังเพย สุภาษิต


คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คำโบราณกล่าวมาน่าเชื่อถือ


ความรู้ดีทำงานดีมีฝีมือ แต่ซื่อบื้อเรื่องพูดจาหมดท่าเลย


รูปไม่สวยวาจาเด่นเห็นประจักษ์ ความมีเสน์ห์น่ารักก็เปิดเผย


มีคนรักคนนิยมคนชมเชย อย่าละเลยจงพูดจาให้น่าฟัง


(อ.โอษฐ วารีรักษ์)
































...
  
ยาเสพติดประเทศไทย
ประเทศไทยจะเข้มแข็งถ้าป้องกันยาเสพติด


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)






พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


"ยาเสพติดนี่มันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหลายอย่าง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งราชการ ตำรวจ โรงพยาบาล เอกชนต่าง ๆ เดือนร้อนหมดและสิ้นเปลืองคนทั่วประเทศก็สิ้นเปลือง แทนที่จะมีเงินทอง มีทุนมาสร้างบ้านเมืองให้สบาย ให้เจริญมัวแต่ต้องมาปราบปรามยาเสพติด มัวแต่ต้องมาเสียเงินค่าดูแลรักษาทั้งผู้เสพยา ผู้เป็นคนเดือดร้อนอย่างนี้ก็เสียเงิน และเสียชื่อเสียง..."


ข้อความข้างต้นก็เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงห่วงใย สภาพบ้านเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

ปัญหายาเสพติดในภาวะปัจจุบันเริ่มแพร่ระบาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากยุคการปราบปราม และต่อสู้กับยาเสพติดในยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งยุคนั้นต้องยอมรับว่า ขบวนการค้ายาได้ลดลงอย่างมาก เนื่องจาก นโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลมีความรุนแรง

เด็ดขาดเมื่อเทียบกับรัฐบาลอื่น ดังข้อความ หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หัวต่างๆ เช่น "ทักษิณ" สั่งปราบยาเสพติดอีกระลอก ต้องหมดภายใน 4 เดือน ”

แต่การกระทำของรัฐบาล พ.ต.ท.ดรทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ถูกหลายฝ่ายโจมตีอย่างมาก ไม่ว่า จะเป็นเรื่อง ฆ่าตัดตอน ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เห็นได้จากข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น ญาติเหยื่อผลพวงปราบยาเสพติด ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกยึดทรัพย์ 20 ล้านบาท ร้อง กระทรวงยุติธรรม ระบุไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นต้น

สำหรับยุคปัจจุบัน มีข้อมูล จาก ศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน (ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC ANCHOR POLL) ได้นำเสนอผลการสำรวจระหว่างวันที่ 2-7 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อประมาณการจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดในยุคต้นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสถานการณ์ปัญหาของประชาชนในชุมชนเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.)


ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างประชาชนอายุระหว่าง 12-65 ปี จาก 2,452 ครัวเรือน พบตัวเลข (ประมาณการตามหลักสถิติ)ประชาชนในกทม.กว่า 256,388 คน จาก 4,274,757 คน ใช้ยาเสพติดในช่วง 1 ปี (12 เดือน) ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวเลขสองแสนห้าหมื่นกว่าคนที่ว่ายังไม่น่าสนใจเท่ากับตัวเลขจำนวนผู้ที่เคยทดลองใช้สารเสพติด (โดยไม่นับรวมเหล้าและบุหรี่) ที่มีทั้งหมด 593,314 คน หรือเกือบหกแสนคน และอีก 197,338 คน หรือราว 2 แสนคนที่ยังคงใช้ยาเสพติดในช่วง 30 วันที่ผ่านมานี้เอง...!!!


คนสองแสนคนที่กำลังใช้ยาเสพติดหรือเป็นคน “ติดยา” อยู่ในกทม. ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ ที่จะสามารถมองข้ามกันได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน และกลุ่มวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 12-24 ปี จำนวน 84,517 หรือเกือบครึ่งของทั้งหมด ที่ยังคงใช้ยาอยู่ในช่วง 1 เดือนนี้ แบ่งเป็นผู้เสพกัญชา 23,981 คน เสพยาบ้า 22,226 คน ยาไอซ์ 18,168 คน กระท่อม 13,347 คน และสารระเหย (กาว-ทินเนอร์) 6,795 คน

จากตัวเลขดังกล่าว จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง การใช้ยาเสพติดโดยมากมักแพร่ระบาดในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆมากกว่าชนบท อาจเป็นเพราะในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่มีฐานลูกค้ามากกว่า คนหมุนเวียนเข้าออกมากกว่า

ดังนั้นการแก้ไข ป้องกันเรื่องยาเสพติด กระผมจึงขอวิงวอนทุกฝ่ายร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ชุมชน ครอบครัว โรงเรียน ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง และโดยเฉพาะผู้ที่ค้ายาเสพติดทั้งหลาย ขอให้เลิก

เพื่อประเทศชาติ บ้านเมือง เพื่อเพื่อนมนุษย์ หากสามารถป้องกันยาเสพติดไม่ให้มาทำลายหรือก่อความเดือดร้อน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ข้างต้น ก็จะทำให้ประเทศไทยเข้มแข็ง การป้องกันยาเสพติดจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ











...
  
คนคือทรัพย์สิน
ทรัพย์สินที่มีค่าสูงสุดขององค์กร
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ทรัพย์สินที่มีค่าสูงสุดขององค์กร ก็คือ คน เราต้องยอมรับกันว่า คนคือทรัพยากรที่มีความสำคัญมากเมื่อเทียบเคียงกับทรัพยากรอื่น เช่น ที่ดิน เงิน อุปกรณ์ เครื่องจักร วัสดุ วัตถุดิบ ฯลฯ ทรัพยากรที่กล่าวมานี้ เราสามารถ หาซื้อได้ และเป็นทรัพยากรที่ไม่มีชีวิต ไม่ค่อยยุ่งยาก เหมือนกับคน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต เคลื่อนไหว ตลอดเวลา


ดังนั้น ปรัชญาของบริษัท องค์กร หลายแห่ง จึง ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเราทรัพยากรคน การแสวงหาคนเก่ง คนดี จึงเป็นงานที่สำคัญ เพราะบางที บางบริษัท บางองค์กร อาจได้คนเก่ง แต่เป็นคนโกง ก็จะทำให้องค์กร บริษัท นั้นๆ เกิดความเสียหายได้


สำหรับ หลักการในการค้นหาคนเก่ง ควรมีคุณสมบัติดังนี้


1. มีความรับผิดชอบสูง 2.มีภาวะผู้นำ


3.มีความยุติธรรม 4.มีอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา


5.ขยัน ใฝ่รู้ เรียนงานเร็ว 6.ซื่อสัตย์ โปร่งใส


และเราจะหาคนเหล่านี้ได้จากแหล่งไหนครับ อาจมีคนตั้งคำถาม เราสามารถค้นหาได้จากหลายแหล่ง ไม่ว่าภายในองค์กร และภายนอกองค์กร ภายในองค์กรเราอาจหาคนที่มีแววในเป็นผู้นำ ผู้บริหาร จากคุณสมบัติข้างต้น


การค้นหาจากภายนอก ก็เป็นอีก วิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้คนเก่ง คนดี เข้ามาสู่องค์การ เช่น คัดจากนักศึกษาหรือนิสิต ที่มาฝึกงานกับเรา คนที่รู้จัก มีการแนะนำ ฯลฯ


เมื่อเราได้คนเก่งเข้ามาร่วมงานแล้ว เรามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาคนเก่ง เช่น การอบรมเพื่อให้เขามีความรู้ ความสามารถ ทักษะต่างๆ มากยิ่งขึ้น บางองค์กร บางบริษัท ไม่กล้าที่จะลงทุน เพื่อที่จะให้พัฒนางานใหม่ๆ เรียนรู้มากขึ้น เนื่องจากคิดว่า เมื่อเขาฉลาดขึ้น เก่งขึ้น ก็จะลาออกไปอยู่บริษัทอื่น ซึ่งมีหลายบริษัทที่คิดแบบนี้ การพัฒนาคนให้เก่งรวมถึงการเปิดโอกาสให้เขารับผิดชอบงานมากขึ้น มีตำแหน่งสูงขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียน รวมถึงการติดตาม ประเมินผล ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งใช้ได้ผลมาแล้ว


เมื่อเรา หาคนเก่ง พัฒนาคนเก่ง แล้ว มีอีกหน้าที่หนึ่ง สำหรับคนทำงานในด้านทรัพยากรมนุษย์จะต้องระวังคือ การรักษาคนเก่งไว้ในองค์กร ผู้เป็นเจ้าของหรือผู้บริหารระดับสูง จะต้องเข้าใจธรรมชาติของคนเก่งก่อน คนเก่งส่วนใหญ่มักมีความคิดเป็นของตนเอง มีวิสัยทัศน์ มีความมุ่งมั่นที่จะสำเร็จ มีเป้าหมายชัดเจน ดังนั้น ผู้เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารระดับสูง ควรเป็นกำลังใจ และสนับสนุนให้เขาทำงานอย่างมีความสุข พยายามรักษาเขาให้อยู่กับองค์กรให้นานที่สุด


สำหรับแนวทางในการปฏิบัติและรักษาผู้บริหารที่เก่ง มีดังนี้


1.ผู้บริหารระดับสูงควรวางเป้าหมายที่ชัดเจน และการประเมินที่ชัดเจนให้กับคนเก่ง


2.ผู้บริหารระดับสูงต้องพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของเขา และพร้อมที่จะให้โอกาสในการแสดงฝีมือ รวมทั้งพร้อมจะให้เขาพิสูจน์ฝีมือ


3.ผู้บริหารระดับสูงต้องให้ความสำคัญกับเขา แต่อย่าใช้อำนาจ ควรใช้ความรับผิดชอบไปควบคุมเขาแทน


จากการวิจัยและการสำรวจ ผู้บริหารหรือคนเก่ง เขาต้องการงานที่ท้าทายความสามารถของเขา งานที่เขาชอบ บริษัทที่ดีมีระบบ เป็นสิ่งต้นๆ สำหรับเงิน เป็นปัจจัยหลังๆ ในการให้ความสำคัญ


ท้ายนี้ก็อยากฝากแง่คิดของเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ว่า “ ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ คือ ในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว ”









...
  
เหล้ากับเทศกาลสงกรานต์
งดขายเหล้าเทศกาลสงกรานต์


โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


การออกมาเคลื่อนไหวเรื่องของการงดขายเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับว่าเป็นประเด็นที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย


เช่นเครือข่ายประชาคมงดเหล้าน่าน สนับสนุนห้ามขายเหล้าสงกรานต์และงานบุญ‏ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา


สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการดื่มเหล้า สุรา แอลกอฮอล์ ในปัจจุบัน ได้ลงไปถึงเด็กและเยาวชนจำนวนมาก และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเช่นเดียวกัน จากข้อมูล เทศกาลสงกรานต์ ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2551 (วันที่ 11-17 เมษายน 2551 รวม 7 วัน) ดังนี้ 1) จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ มีจำนวน 4,243 ครั้ง 2) จำนวนผู้เสียชีวิต มีจำนวน 368 คน 3) จำนวนผู้บาดเจ็บ (Admit) มีจำนวน 4,803 คน


ส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มสุรา เหล้า แอลกอฮอล์ และรถที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือ รถมอเตอร์ไซค์ สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา


ความจริง การห้ามขายเหล้าเรามีกฎหมายใช้ คือ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551


ตาม มาตรา26 ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ดังต่อไปนี้ (1) วัดหรือสถานที่สำหรับปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา, (2) สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลและร้านขายยาตามกฎหมายว่าด้วยยา, (3) สถานที่ราชการ ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้าหรือสโมสร, (4) สโมสรเยาวชน, (5) หอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก (6) สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ, (7) สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง หรือร้านค้าในบริเวณนั้นๆ, (8) สถานที่อื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุม


มาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกวัน หรือเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุม
มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือบุคคลที่อาการมึนเมาจนประพฤติวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้


แต่ก็ยังมีการแอบขายกันอยู่ สำหรับบางสถานที่ดังกล่าว หรือ นักดื่มก็อาจเลี่ยงไปซื้อตามร้านสะดวกซื้อแทน หมายถึง การย้ายไปซื้อในสถานที่ที่ควบคุมไม่ได้แทน เช่น ใกล้สถานศึกษา ใกล้หอพัก ใกล้สถานที่ราชการ ใกล้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ


ความจริงการดื่มเหล้า สุรา แอลกอฮอล์ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากกว่า 60 โรค และยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น


แต่ก็คงยากที่จะห้ามกันได้ ถ้าคนซื้อยังอยากซื้อ และ คนขายยังอยากที่จะขาย สำหรับโครงการการงดขายเหล้าเทศกาลสงกรานต์ โดยส่วนตัวกระผมคิดว่า เป็นโครงการที่ดี แต่ในทางปฏิบัติ คงยากที่จะห้ามได้


ดังนั้น กระผมเชื่อว่า คนซื้อคงต้องซื้อกันต่อไป คนขายก็ขายกันต่อไป แต่จะทำให้อย่างไรให้ซื้อลดน้อยลง หรือ ทำอย่างไรให้ดื่มกันลดน้อยลงจะดีกว่า


เพราะ กฎหมายเป็นกฎหมายห้ามขาย ไม่ใช่กฎหมายห้ามดื่ม อย่างไรเสียจะห้ามขาย อย่างไร นักดื่มก็ขวนขวายพยายามหาดื่มจนได้ครับ

...
  
การเผาป่า
เผาป่า


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


มช.แจง3เดือนไฟป่าเผาป่าไม้ เชียงใหม่-ลำพูนแล้ว 8พันไร่ ( ปี 2551)


ชาวบ้านลอบเผาป่าดอยสุเทพวอดกว่า 10 ไร่ (ผู้จัดการออนไลน์17 เมษายน 2551)


สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 ตรวจยึดพื้นที่บุกรุกเผาป่าประมาณ 10 ไร่ ที่จังหวัดน่าน( 19 มีค.51)


ข้อความข้างต้น เป็นข่าวเก่าๆ เกี่ยวกับการเผาป่าในปีที่แล้ว ซึ่งมักเกิดขึ้นบริเวณ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน ความจริงกระผมคิดว่าปีนี้น่าจะน้อยลง หรือไม่มีการเผาป่าอีก แต่เหตุการณ์ก็ยังเหมือนเดิม ในปีนี้ พบว่ายังมีการเผาป่ากันอยู่


การเผาป่าทำให้เกิดหมอกควันขึ้นในจังหวัดของตนและบริเวณภาคเหนือ ทำให้คุณภาพของอากาศย่ำแย่


อีกทั้งยังทำลาย สิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยของเราต้องสูญเสียต้นไม้ที่มีค่า โดยการถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหลายล้านต้นต่อปี ซึ่งต้นไม้เหล่านี้ กว่าจะโต ใช้เวลานาน บางต้นใช้เวลาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว ยังไม่พอการเผาป่า


ยังทำให้ความสมบูรณ์ของดินลดลง


ซึ่งสาเหตุในการเผาป่า มีอยู่หลายสาเหตุ เช่น การเผาเพื่อหาของป่า (เห็ดถอบ ผัก สัตว์ป่า )


โดยเฉพาะ การหาเห็ดถอบ ในปัจจุบันพบว่าราคาเห็ดถอบในฤดูแล้งมีราคาสูงถึงลิตรละ 200-300 บาทเลยทีเดียวเพราะเป็นของป่าหายาก นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำเห็ดถอบมาบรรจุกระป๋อง โดยทำเป็นธุรกิจเป็นล่ำเป็นสันเลยทีเดียว


เมื่อความต้องการของคนในการกินหรือบริโภค เห็ดถอบมากจึงทำให้ราคาเห็ดถอบสูง เมื่อราคาสูงคนจึงต้องหามาขาย โดยทำทุกวิธี และวิธีการหนึ่งในนั้นก็คือ การเผาป่า นั้นเอง


การเผาป่าเพื่อหาเห็ดถอบ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยเราเท่านั้นครับ ยังมีประเทศเพื่อนบ้านของเราก็พากันเผาป่าเพื่อหาเห็ดถอบป้อนเพื่อบรรจุกระป๋องอีกด้วยไม่ว่า ประเทศพม่า ลาว ฯลฯ


การลักตัดไม้เพื่อทำฟืน เผาถ่าน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมลพิษขึ้นในอากาศ


การบุกรุกโค่นเผาป่าไม้ เพื่อทำการเกษตร อีกสาเหตุหนึ่ง ในการทำร้ายป่าและสิ่งแวดล้อม การทำไร่เลื่อนลอย คือ การบุกรุกป่า เผาป่า เพื่อนำที่ดินไปทำการเกษตร แต่เมื่อผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำลง ทำได้แค่ 2-3 ปี เนื่องจากคุณภาพของดินลดลง เป็นดินจืดบ้าง มีวัชพืชปกคลุมมากขึ้น ก็ย้ายไปบุกรุกที่ใหม่โดยการโค่นป่า เผาป่า เพิ่ม


สำหรับการแก้ปัญหาที่ผ่านมา นายพิชิต ปิยะโชติ หัวหน้าหน่วยควบคุมไฟป่าดอยตุง จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ สำนักงานบริการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 15 เชียงราย กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับหน่วยควบคุมไฟป่าดอยตุง ได้จัดทำโครงการโซเชียลแซงก์ชั่นหรือมาตรการลงโทษทางสังคม มาใช้กับชาวบ้าน โดยเฉพาะหมู่บ้านชาวไทยภูเขาในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง พื้นที่ทรงงาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันในฤดูหนาวของทุกปีที่ผ่านมา


นางเนตรนภา แซ่สี ผู้ใหญ่บ้านมูเซอลาบา ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า
ทางหมู่บ้านได้เข้าร่วมโครงการของหน่วยควบคุมไฟป่า โดยได้ติดประกาศกฎข้อห้ามไว้ในหมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจและปฏิบัติโดยพร้อมเพรียงกัน หากใครละเมิดเข้าไปเผาหรือทำลายป่า ก็จะมีมาตรการลงโทษทางสังคม เริ่มตั้งแต่ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของหมู่บ้าน กู้ยืมเงินจากกองทุนที่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน หากยังผ่าฝืนหนักอาจถึงขั้นไล่ออกจากหมู่บ้าน(หนังสือพิมพ์ข่าวสด)


การที่จะหยุดการเผาป่า เพื่อลดมลพิษ ลดหมอกควัน เพิ่มคุณภาพในอากาศ คงเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน


ถ้ามนุษย์เรา หรือ คนเรา ยังมีความโลภ ไร้จิตสำนึก ยังมีความเห็นแก่ได้ โดยไม่คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม หรือ อนาคต ซึ่ง ลูก หลาน ยังต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป


หัวใจของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ป่า แล้วหัวใจของป่าอยู่ที่ใคร

...
  
ผู้บริหารกับการตลาด
ผู้บริหารในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นนักการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปํญญโรจน์


เราต้องยอมรับกันว่าในยุคปัจจุบันนี้ ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน จำเป็นจะต้องแข่งขันและต่อสู้กับคู่แข่งขัน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะ องค์กร หน่วยงาน เอกชน ที่จะต้องหารายได้และกำไร มาบริหารจัดการองค์กร และมาเลี้ยงพนักงาน


การที่จะมีรายได้หรือกำไร มากๆ องค์กรนั้น หน่วยงานนั้น จะต้องมีลูกค้ามากด้วย


เมื่อมีลูกค้ามาก มีลูกค้าใช้บริการมาก ก็จะทำให้องค์กรอยู่รอด เติบโต และมีกำไรมากขึ้นเป็นลำดับ


การจะให้องค์กรมีลูกค้ามากๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากว่า ยุคปัจจุบัน ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกใช้บริการ หรือ เลือกซื้อสินค้าได้มากเช่นกัน เพราะมีการแข่งขัน บริษัทหลายแห่งจึงมีกลยุทธ์ ลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูด ผู้บริโภคหรือลูกค้ามาใช้สินค้าหรือบริการของตน


สำหรับ ทฤษฏีทางด้านการตลาดที่ใช้กัน คือ 4P (ส่วนประสมทางการตลาด)ได้แก่


1.P = Product หรือ ผลิตภัณฑ์ ผู้บริหารจะต้องทราบข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ของสินค้าหรือบริการของตนเอง ว่าสินค้าของตนมีจุดขายตรงไหน มีลักษณะเด่น ด้อย เหนือคู่แข่งอย่างไร สินค้าหรือบริการของตนจะพัฒนาได้อีกหรือไม่


2. P = Price หรือ ราคา ผู้บริหารจะต้องตั้งราคา สินค้าหรือบริการของตน โดยเทียบเคียงกับคู่แข่งขัน ว่าสินค้าหรือบริการของตน สูงหรือต่ำกว่าคู่แข่งขัน


3. P = Place/Distribution ช่องทางการจัดจำหน่าย ผู้บริหารจะต้องมีการจัดหาช่องทางในการจำหน่ายของสินค้าหรือบริการของตนเอง ว่าจะจัดจำหน่ายที่ไหน ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ที่ตัวสินค้า ราคาสินค้า การส่งเสริมการขาย เช่นอาจจะขายในห้าง ร้านขายของชำ ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ฯลฯ


4. P = Promotion การส่งเสริมการตลาด ผู้บริหารควรมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้สินค้าของตนเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้น เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การขายโดยพนักงานขาย การส่งเสริมการขาย (การลด แลก แจก แถม)


ซึ่งส่วนประสมทางการตลาดหรือ 4P ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน จำเป็นจะต้องมีเพื่อให้สินค้าหรือบริการของตนเคลื่อนไปถึงมือผู้บริโภคหรือผู้ใช้บริการ บางองค์กรอาจนำกลยุทธ์ 4P ไปใช้แล้วได้ผลมาก


บางองค์กรอาจนำกลยุทธ์ 4P ไปใช้แล้วได้ผลน้อย นั้นแล้วแต่การนำเอาความรู้ไปใช้แต่ได้ผลไม่เท่ากัน(อาจเรียกว่า ศิลปะในการนำศาสตร์ไปใช้ได้ไม่เท่ากัน)


สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ที่นิยมใช้กันเพื่อความได้เปรียบขององค์กรหรือสินค้าของตน คือ 1.กลยุทธ์ในการลดราคา 2.กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง 3.กลยุทธ์ในการสร้างความรวดเร็ว


1.กลยุทธ์ในการลดราคา เราจะสังเกตว่าปัจจุบัน องค์กรธุรกิจมักจะใช้กลยุทธ์นี้มากเลย เช่น ในธุรกิจมือถือ บริษัทหนึ่งมีโทรไม่อั้น อีกบริษัทหนึ่งก็มีการจัดการส่งเสริมการขาย โทรไม่อั้น ตามมา


2.กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง เมื่อผู้บริหารทราบว่า เราลดราคาสู้เขาไม่ไหว เราก็ควรเลือกใช้กลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่าง คือ เมื่อสินค้าเราแตกต่างจากเขา เราก็สามารถตั้งราคาที่สูงขึ้นได้ แต่ถ้าสินค้าเหมือนกัน ลูกค้าก็เกิดการเปรียบเทียบ ว่าทำไมของเราแพงกว่า


3.กลยุทธ์ในการสร้างความรวดเร็ว ลูกค้าบางรายยินดีที่จะจ่ายเงินแพงกว่า ถ้าสินค้าหรือบริการของเราเร็วกว่าคู่แข่ง เช่น สั่งซื้อคอมพิวเตอร์ ร้านที่หนึ่งถูกกว่า 300 บาท แต่ จะได้สินค้า อาทิตย์หน้าหรือสองอาทิตย์


แต่สินค้าร้านที่สอง แพงกว่า 300 บาท ลูกค้าสามารถรับไปใช้ได้เลย


ฉะนั้น ผู้บริหารท่านใด เป็นนักการตลาด ก็จะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันในยุคปัจจุบัน



































...
  
ผู้นำกับองค์กรเรียนรู้
ผู้นำกับกับการสร้างองค์การเพื่อการเรียนรู้

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

คนเรามักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะพัฒนาได้ด้วยการเรียนรู้


ทรัพยากรคน ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ถ้าเทียบกับทรัพยากรเงิน ทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์ ทรัพยากรวัตถุดิบ เนื่องจากทรัพยากรที่กล่าวถึง สามารถควบคุมได้ แต่ทรัพยากรคนนั้น ควบคุมไม่ได้ อีกทั้งยังสร้างความลำบากในการบริหารจัดการ สำหรับผู้นำหรือผู้บริหาร อีกด้วยถ้าได้คนที่ไม่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ


ดังนั้นถ้าในองค์การใดมีคนที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ ก็จะทำให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับองค์การอื่นๆ


พวกเราคงได้ดูภาพยนตร์หรือคงเคยอ่านหนังสือเรื่อง “ สามก๊ก ” มาบ้างแล้ว คนที่มีคุณภาพ เช่น แม่ทัพ นายกอง ต่างๆ จะมีความสามารถมาก คือ แม่ทัพหนึ่งคน มักต่อสู้ทหารเลวได้มาถึง 20-30 คน เลยทีเดียว ตัวอย่าง กวนอู จูงล่ง เตียวหุย ฯลฯ การมีคนเก่ง คนมีความสามารถมากๆ มักทำให้องค์การนั้น เกิดการเติบโต และสามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้ในที่สุด


การที่จะจัดการให้คนเรามีประสิทธิภาพ คุณภาพ วิธีการหนึ่งที่สำคัญ คือ การให้ความรู้


แก่คนในองค์การ เพื่อให้คนในองค์การ มีการพัฒนาความคิด ความรู้ที่ทันสมัย และให้มีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา


เป็นหน้าที่ของผู้นำหรือผู้บริหาร จะต้องสร้างองค์การเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้องค์การเกิด ความทันสมัย เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดียิ่งขึ้น โดยผู้นำหรือผู้บริหาร ต้องกล้าที่จะทดลองหรือสร้างมันขึ้นมา


ซึ่งขั้นตอนของการพัฒนาการองค์การสู่การเรียนรู้ คือ


1.คือต้องให้พนักงานเกิดการอยากรู้หรือแสวงหาความรู้ องค์การจะเกิดการเรียนรู้ได้ คนในองค์การจะต้องมีลักษณะ การอยากมีความรู้ เมื่อเกิดความอยาก พนักงานก็จะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เมื่อพนักงานทุกคนแสวงหาความรู้มากๆ ก็จะทำให้มีการนำความรู้นั้นมาใช้พัฒนางาน พัฒนาระบบ ให้งานออกมาดี มีผลิตผลมาก


2.คือต้องให้พนักงานเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้มากขึ้น


ความจริงที่เกิดขึ้น คือ องค์การหลายแห่ง ชอบจ้างวิทยากรมืออาชีพมาอบรม พัฒนา เพื่อให้ความรู้แก่พนักงาน แต่ในความเป็นจริง การที่พนักงานมาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแลกเปลี่ยนความรู้กัน ก็จะทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นอีก โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการจ้างวิทยากรมืออาชีพมาบรรยาย


3.คือต้องให้พนักงานมีโอกาสนำความรู้นั้นไปใช้งาน เมื่อ พนักงานเกิดการอยากรู้ แล้วแสวงหาความรู้ และมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันแล้ว สิ่งที่จะต้องมีตามมาเพื่อให้เกิดผลคือ การเปิดโอกาสให้พนักงาน นำความรู้ไปใช้ในงาน กล่าวคือ เมื่อพนักงานคิดระบบใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้นำองค์การหรือผู้บริหารต้องเปิดโอกาส ให้นำระบบใหม่ๆ มาใช้ อาจจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง(คือ ดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม) แต่ผู้นำหรือผู้บริหาร ก็สมควรให้โอกาสแก่การทดลองนั้น


ซึ่งขั้นตอนดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัย ผู้นำหรือผู้บริหาร ที่มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าตัดสินใจ


กล้าที่จะเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ในองค์การ แต่เมื่อองค์การใด สร้างองค์การให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นได้แล้ว กระผมเชื่อว่า องค์การนั้นจะประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว ปัญหาที่เกิดจากตัวพนักงาน ก็จะน้อยลง พนักงานจะมีความสามัคคี เห็นปัญหาขององค์การเป็นปัญหาของตนและพยายามจะช่วยเหลือองค์การให้อยู่รอด มีกำไร มีความก้าวหน้าขึ้น



















































...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.