หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  พูดแล้วดัง...ทำแล้วรวย....
  -  พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  ถ้าอยากเป็นนักพูด...เชิญทางนี้....
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  ลีลานักพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  การพูดต่อที่ชุมชน
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  พูดอย่างฉลาด
  -  การฝึกพูด
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  จงระวังความเคยชินในการพูด
  -  คิดอย่างสร้างสรรค์
  -  ภาษากายกับการพูด
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  ศิลปะการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์
  -  การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
  -  การพูดอย่างมีตรรกะ
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  คำพูดเจาะจิต
  -  การสร้างเสน่ห์ในการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  จังหวะในการพูด
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
  -  พูดให้ถูกสถานการณ์
  -  การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  โฆษกกับการพูดที่ดี
  -  มโนภาพกับการพูด
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ความเชื่อมั่นในการพูด
จะพูดให้ดี…ต้องรู้จักสร้างความเชื่อมั่น...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
บุคคลไม่ว่าจะมีความรู้มากมายขนาดไหน มีการศึกษาสูงเพียงไร แต่หากขาดซึ่งความเชื่อมั่นแล้ว เขาก็ไม่สามารถนำเอาความรู้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง แก่ผู้อื่นและประเทศชาติได้ เข้าทำนองคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ”
ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ไม่มีการศึกษาสูง ไม่มีปริญญา มีการศึกษาน้อยนิด แต่เขาสามารถเป็นผู้นำและเปลี่ยนแปลงโลกได้ ดังเช่น ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำของเยอรมัน ไม่ได้เรียนจบปริญญา แต่ด้วยความเชื่อมั่น เขาสามารถพูดชนะใจ ประชาชนชาวเยอรมัน และสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในแนวทางที่เขาวางไว้ได้
ซึ่งความเชื่อมั่นนี้ ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูด จะต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อมั่นในข้อมูลหรือความรู้ที่ตนเองได้เตรียมไว้ มีความเชื่อมั่นในความคิดความอ่านของตนเอง เพราะว่าหากท่านมีความเชื่อมั่นในตนเอง ท่านสามารถเป็นอะไรก็ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเป็นนักพูด
ความเชื่อมั่นนี้มีความสำคัญมากในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะถ้าหากผู้พูดไม่เชื่อมั่นในตนเองแล้ว ผู้ฟังก็มักจะไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีความศรัทธาในตัวของผู้พูด ความเชื่อมั่นนี้ยังรวมถึงการแสดงออกภายนอกของผู้พูดอีกด้วย เช่น ท่าทาง บุคลิกภาพ น้ำเสียงในการพูด สีหน้า ฯลฯ
ความประหม่า ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวทำลายความเชื่อมั่น ซึ่งวิธีแก้ความประหม่า เคยมีครูอาจารย์หลายท่านที่ได้แนะนำไว้ว่า ผู้พูดควรพูดเสียงดังกว่าปกติเพียงเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้น แล้วค่อยเบาเสียงลงให้อยู่ในภาวะปกติ หรือ ก่อนพูดควรดื่มน้ำเย็นเพียงสักเล็กน้อย ต้องขอย้ำนะครับว่า เพียงสักเล็กน้อย เพราะถ้าบางท่านนำคำแนะนำไปใช้แต่ดันดื่มมาก จะทำให้เกิดการปวดฉี่ได้ในเวลาพูดบนเวที หรือ ก่อนขึ้นพูดควรพูดปลุกกำลังใจตนเองในใจ เช่น สู้ตาย , การพูดในหัวข้อนี้ข้าพเจ้ารู้ดีที่สุด , ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้เราเต็มที่ไว้ก่อน ฯลฯ
ฉะนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ตามคำแนะนำข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความประหม่าไปได้บางส่วน แต่ข้อแนะนำที่สำคัญที่สุด ในการแก้ความประหม่าก็คือ ท่านต้องขึ้นพูดบ่อยๆ นั้นเอง เพราะ ถ้าเรากลัวสิ่งไหนแล้วเราทำสิ่งนั้น ความกลัว ความประหม่า ก็จะลดน้อยลงไปเอง
และไม่ควรเชื่อคำแนะนำที่ผิดๆ เนื่องจากบางท่านมีอาการประหม่า จึงไปถามเพื่อนฝูงว่าจะแก้ไขอย่างไร เพื่อนฝูงบางท่านจึงแนะนำให้ไปดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หรือ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ซึ่ง หากท่านใดปฏิบัติตามอาจก่อให้เกิดปัญหาได้มากกว่าที่จะแก้ปัญหา เนื่องจากเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เมื่อดื่มไปมากๆ มักทำให้ผู้พูด ขาดสติหรือมีสติลดน้อยลง อาจทำให้เกิดการผิดพลาดในการพูดได้
แต่ หากว่าเรามองโลกในแง่ดี ความจริงความประหม่า ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะเจ้าตัวประหม่านี้จะทำให้นักพูดท่านนั้น เกิดพัฒนาตนเองได้มากขึ้น เนื่องจากหากข้อมูลไม่พร้อม การเตรียมตัวไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดความประหม่าหรือความกลัว ฉะนั้น เพื่อลดความประหม่าและลดความกลัว จึงทำให้เกิดการเตรียมข้อมูลมากขึ้น เตรียมการพูดมากขึ้น เมื่อเตรียมการพูดมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจในการพูดยิ่งขึ้น
ตรงกันข้าม หากผู้ใดไม่มีความประหม่า ไม่วิตกกังวลเลย ก็จะทำให้ผู้นั้นประมาท ซึ่งมีผลทำให้ขาดการเตรียมข้อมูล ขาดการเตรียมตัว ไม่ทำการบ้าน กล่าวคือมีความรู้แค่ไหนก็พูดแค่นั้น ทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ไม่มีคุณภาพ ไม่มีข้อมูลใหม่ๆ มานำเสนอ ขาดตัวอย่างประกอบ

ดังนั้น หากท่านปรารถนาจะเป็นนักพูด ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ไม่มีใครหรืออิทธิพลอันใดที่จะช่วยท่านได้ นอกจากตัวของท่านเอง ตัวเราเองต่างหากที่กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง ว่าเราจะเป็นนักพูด ตามที่เราใฝ่ฝันได้หรือไม่ ตัวเราเองต่างหากต้องสร้างความเชื่อมั่น สร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับตัวเราเอง เราจะเป็นนักพูดระดับธรรมดาสามัญ หรือ นักพูดที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและความปรารถนาอย่างแรงกล้าในตัวของเรา




...
  
6 W 1 H สำหรับการพูด
6 W 1 H สำหรับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดการนำเสนอที่ดี ผู้พูดควรรู้จักวิเคราะห์สถานการณ์ และควรมีหลักการในการนำเสนอ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ ในบทความนี้ กระผมขอนำเสนอในเรื่อง 6 W 1 H สำหรับการพูด มีดังนี้
1 What คือ เราต้องตอบคำถามก่อนว่า เราจะนำเสนอเรื่องอะไร การที่เราจะไปพูดในงานต่างๆ เราต้องทราบก่อนว่า เจ้าของงานต้องการให้เราพูดเรื่องอะไร ฉะนั้นเราต้องถามรายละเอียดต่างๆก่อนที่จะไปพูด เนื่องจากบางแห่ง ต้องการให้เราไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่ในความเป็นจริงเรื่องสัตว์ปีกมีจำนวนมาก ผู้พูดจึงควรถามให้ลึกลงไปว่า ที่ว่าจะให้พูดเรื่องสัตว์ปีกจะให้พูดเน้นไปในสัตว์ปีกชนิดไหน เช่น ไก่ เป็ด ห่าน ฯลฯ เพราะในสมัยอดีต เคยมีเรื่องเล่ากันว่า ชาวบ้านหมู่บ้านแห่งหนึ่งต้องการให้อาจารย์ท่านหนึ่งไปพูดเรื่องสัตว์ปีก แต่อาจารย์ท่านนี้เคยมีประสบการณ์ทางด้านการพูดอยู่มาก จึงถามผู้เชิญไปพูดว่า ที่ต้องการให้พูดเรื่องสัตว์ปีกเป็นสัตว์ปีกประเภทไหน ปรากฏว่าชาวบ้านต้องการให้ผู้พูดพูดเกี่ยวกับสัตว์ปีกประเภท จิ้งหรีด แมงมัน เพราะชาวบ้านคิดว่า จิ้งหรีด แมงมันคือสัตว์ปีก ดังนั้น ผู้พูดต้องถามเจ้าของงานให้ชัดเจนถึงเรื่องที่จะให้พูด
2 Why คือ นำเสนอทำไม มีวัตถุประสงค์อย่างไร การพูดที่ดี เราควรรู้ว่างานที่ให้ไปพูดเขามีวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น ต้องการได้รับความรู้จากผู้พูด หรือต้องการได้รับความบันเทิงสนุกสนานในการพูดหรือต้องการให้ผู้พูดพูดจูงใจให้ผู้ฟังคล้อยตามและนำไปปฏิบัติ หากว่าผู้พูดทราบวัตถุประสงค์ของเจ้าของงานแล้ว ก็จะทำให้ผู้พูดพูดได้ตรงตามวัตถุประสงค์ยิ่งขึ้น
3 Whom นำเสนอต่อใคร ใครเป็นผู้ฟัง ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมีความสำคัญมากต่อความสำเร็จในการพูด หากผู้พูดต้องการความสำเร็จในการพูด ผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร อายุ เพศ วัย การศึกษา การนับถือศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีอะไร
4 Who ผู้พูดต้องทราบว่าตนเองนำเสนอหรือพูดในฐานะใด เนื่องจากคนเราส่วนใหญ่มีบทบาทต่างๆ มากมาย เช่น เป็นผู้บริหาร เป็นนักขาย เป็นนักเขียน เป็นนักจัดรายการ เป็นนักศึกษา เป็นนักร้อง ฯลฯ ดังนั้น หากเราสวมบทบาทนักศึกษา การนำเสนอก็ต้องออกมาอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าเราสวมบทนักขายเราก็ต้องพูดนำเสนออีกรูปแบบหนึ่งแก่ลูกค้า เป็นต้น
5 Where นำเสนอการพูดที่ไหน สถานที่ สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น พูดในวัด พูดในห้องประชุม พูดกลางท้องสนามหลวง พูดในห้องอบรมบรรยาย ฯลฯ การวิเคราะห์สถานที่จะทำให้เราเตรียมการพูดให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานที่นั้นๆ
6 When นำเสนอเมื่อไร สถานการณ์เป็นอย่างไร การพูดที่ดีต้องรู้จัก วิเคราะห์สถานการณ์ในการพูด ว่าเราควรพูดด้วยคำพูดอย่างไร ถึงจะเข้าถึงใจผู้ฟัง เช่น สถานการณ์การชุมชนทางการเมือง ควรพูดด้วยท่าทางที่จริงจัง เสียงดัง ฟังชัด ไม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา เนื่องจากการพูดทางด้านการเมืองต้องใช้ ท่าทาง น้ำเสียง ภาษา การอ้างอิง เพื่อที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือและยอมรับ
1 How เสนออย่างไร จึงจะประสบความสำเร็จในการพูด การนำเสนอมีส่วนสำคัญมากต่อการพูด ยิ่งในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยช่วยในการนำเสนอ เช่น มีคลิปวีดีโอ มีเสียง มีคอมพิวเตอร์ มีโปรแกรมต่างๆ ที่จะทำให้การนำเสนอของเราเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น จงกล้าที่จะเรียนรู้ เทคโนโลยี เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพูด
6 W 1 H จึงเป็นหลักการที่สามารถนำมาใช้หรือนำมาประยุกต์ใช้ในการพูดของท่านได้ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ขอให้ท่านได้โปรดเรียนรู้ พัฒนา ตนเองเพิ่มเติม อีกทั้ง หลักการ 6 W 1 H ยังสามารถนำไปใช้ในศาสตร์ต่างๆ เช่น ศาสตร์ทางด้านการขาย 6 W 1 H สามารถนำไปประยุกต์ใช้วิเคราะห์ลูกค้า หรือ 6 W 1 H สามารถนำไปใช้สำหรับเป็นหลักในการเขียนหนังสือได้อีกด้วย

...
  
พูดอย่างฉลาด
พูดอย่างไรเรียกว่าพูดอย่างฉลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“อันพูดนั้นไม่ยาก ปานใด เพื่อนเอย
ใครที่มีลิ้นอาจ พูดได้
สำคัญแต่ในคำ ที่พูด นั่นเอง
อาจจะทำให้ชอบ และชัง”
พระราชนิพนธ์ดุสิตสมิต

จากพระราชนิพนธ์ดุสิตสมิต ทำให้เราทราบถึงความสำคัญของคำพูด ว่าการพูดนั้นทำให้คนชอบก็ได้ หรือคนชังก็ได้ จึงขึ้นอยู่กับคนที่ใช้คำพูดนั้นๆ ซึ่งการพูดหรือคำพูดที่มีลักษณะที่ดี และคนที่ฉลาดมักเลือกใช้มักจะมีลักษณะดังนี้
1.เป็นคำพูดที่แสดงถูกกาล กล่าวคือ เป็นคำพูดที่พูดถูกจังหวะ ถูกเวลา ถูกสถานที่
1.1.การพูดถูกจังหวะ คนมักชอบ ดังคำที่เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า “ พูดมากก็มากเรื่อง พูดน้อยก็พลอยเคียง ไม่พูดก็ไม่รู้เรื่อง แต่การพูดผิดจังหวะคนมักชัง ตัวอย่าง ในการสนทนากัน บางคน พูดไม่ถูกจังหวะ เขาพูดยังไม่จบรีบพูดแทรกในขณะที่คนอื่นพูดไม่จบ การพูดที่ผิดจังหวะนี้เมื่อทำบ่อยๆ คนที่สนทนาด้วยก็มักจะไม่ชอบ แต่เขามักจะชัง
1.2.การพูดถูกเวลา คนมักชอบ แต่การพูดผิดเวลาคนมักชัง ดังนั้น ในบางกรณี ก่อนที่เราจะพูด เราควรถามอีกฝ่ายหนึ่งก่อนว่า “ ขอโทษครับ ผมขอเวลาปรึกษาเรื่อง...ไม่ทราบว่าคุณจะพอมีเวลาว่างให้ผมไหมครับ ”
1.3.การพูดถูกสถานที่ การพูดเรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรนำไปพูดในบางสถานที่ เช่น เขากำลังทำพิธีสวดศพอยู่ เราดันไปพูดเรื่องตลก หัวเราะชอบใจในงานศพ เมื่อเจ้าภาพเห็นเขาอาจ ไม่รู้สึกสนุกเหมือนเราสนุกก็เป็นได้
2.น้ำเสียงสอดคล้องกับเรื่องที่พูด น้ำเสียงมีความสำคัญต่อเรื่องที่พูด มีคนเคยกล่าวว่า “ ภาษาสื่อถึงความหมาย
แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดความหวั่นไหวในใจ ” คำพูดดังกล่าวมีความเป็นจริงมากอยู่ทีเดียว เช่น เรากล่าวแสดงความเสียใจในการจากไปของบิดาของเพื่อนสนิท แต่เรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น ดีใจ ชอบใจ เพื่อนจะมีความรู้สึกเช่นไร ถึงแม้เราจะใช้ภาษาที่บอกว่าเราเสียใจนะ แต่น้ำเสียงเราไม่สอดคล้องกัน อาจทำให้เพื่อนเรา ชังเราได้
3.มีอารมณ์ขันบ้าง การพูดที่ทำให้คนชื่นชอบ มักเป็นคำพูดที่ทำให้คนหัวเราะ ดังนั้น หากผู้พูดท่านใดเป็นนักสะสมอารมณ์ขัน หรือ เรื่องราวที่สนุกๆ คนมักจะชื่นชอบ อีกทั้งทำให้มีเพื่อนมาก คนอยากรู้จัก แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ผู้พูดควรต้องรู้จักวิเคราะห์ เนื้อหาในข้อที่ 1 เพิ่มด้วย คือ ควรใช้อารมณ์ขันให้ถูกกาล (ถูกจังหวะ ถูกเวลาและถูกสถานที่)ด้วย
4. พูดให้เนื้อหามีความชัดเจน ชวนติดตาม ผู้พูดที่ผู้ฟังชื่นชอบ มักพูดเนื้อหาให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้เกิดการติดตาม มีการจัดลำดับในการพูดเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผู้ฟังไม่สับสน มีการพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ผู้ฟังจึงสนใจที่อยากจะฟัง
5.ภาษาที่มีความเหมาะสมกับเรื่องและผู้ฟัง ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศมากจนเกินไปหากพูดกับผู้ฟังที่เขาไม่มีความรู้ในภาษานั้น หรือ คำศัพท์ในวงการนั้นๆ ไม่ควรมีคำฟุ่มเฟือย คำแสลง มากจนเกินไป หลีกเลี่ยงการระบุชื่อ หากสื่อถึงผู้นั้นในทางที่เสียหาย เพราะอาจทำให้เกิดโทษมากกว่า ประโยชน์ บางครั้ง ผู้พูด ใช้คำพูดที่ระบุถึง ความเสียหายของบุคคลโดยระบุชื่อ ก็อาจจะถึงกับขึ้นโรง ขึ้นศาลไปเลยก็มีมาแล้ว เพราะอาจโดนผู้ที่เสียหายฟ้องหมิ่นประมาทได้
6.การให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม การพูดโดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หากผู้พูดเปิดโอกาสให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมก็จะทำให้ผู้ฟัง มีความสุขที่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง ดังนั้น ผู้พูด เมื่อพูดไป ก็ควรตั้งคำถามให้ผู้ฟังตอบหรือขอให้ผู้ฟังแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวที่ผู้พูดพูด เพราะผู้ฟังอาจจะไม่สนใจในสิ่งที่ผู้พูด พูดเลย หากผู้พูดไม่ให้ความใส่ใจในตัวผู้ฟัง
การพูดที่พูดถูกกาล , การใช้น้ำเสียง ,การใช้อารมณ์ขัน , การพูดให้เกิดความชัดเจน , การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมและการให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม ในการพูด จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดที่ฉลาดควรกระทำกัน
...
  
การฝึกพูด
การฝึกซ้อมพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การฝึกซ้อมพูด มีความสำคัญต่อความสำเร็จในการพูดแต่ละครั้ง เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า นักกีฬามืออาชีพต่างๆ มักมีการฝึกซ้อมฝึกฝนเป็นจำนวนมากก่อนที่จะแข่งขันจริงๆ เพียงหนึ่งถึงสองวัน เช่น นักมวย ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักกว่าจะขึ้นชกชิงแชมป์เพียงแค่วันเดียว , นักวิ่ง ต้องซ้อมวิ่งทุกๆวัน กว่าจะถึงวันแข่งขันการวิ่งซึ่งใช้เวลาในการแข่งขันวันสองวัน เป็นต้น
การพูดก็เช่นกัน หากผู้พูดต้องการพูดให้ได้ดีในเวลาอยู่บนเวที ผู้พูดจะต้องมีการซ้อมพูดอยู่เสมอ ซึ่งการซ้อมพูดเราสามารถซ้อมพูดได้ดังนี้
1.การซ้อมพูดกับคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน สำหรับวิธีนี้จะมีคนที่เรารู้จักคุ้นเคยมานั่งฟังเราซ้อม จะมีกี่คนก็ได้ การซ้อมวิธีนี้ เราสามารถมองเห็นกริยาอาการผู้ฟัง ว่ามีความสนใจใส่ใจเรื่องที่เรานำเสนอมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่สำคัญ ก่อนการซ้อม เราควรบอกให้ผู้ฟัง ช่วยเสนอแนะ หรือ แนะนำ เกี่ยวกับการพูดของเราเพื่อนำไปปรับปรุง ก่อนที่จะขึ้นเวทีพูดจริงๆ
2.การซ้อมพูดใส่ในเทปหรือบันทึกวิดีโอ เพื่อนำมาเปิดฟังหรือเปิดดู วิธีนี้จะช่วยให้เราได้รู้ว่ากริยาท่าทางเราเป็นอย่างไรหากเราเปิดดูจากกล้องวิดีโอ หรือ การใช้ภาษาเราออกเสียงคำควบกล้ำต่างๆ ชัดเจนไหม ร / ล การใช้เสียงเน้น หนักเบา จังหวะในการพูดว่าเร็วหรือช้า ฯลฯ
3.การซ้อมพูดกับหน้ากระจก เป็นการซ้อมที่ทำให้เราเห็นข้อบกพร่องผิดพลาดเกี่ยวกับการใช้ท่าทางในการพูดของเราในทันทีกับกระจกที่เราดู ซึ่งเราสามารถนำมาแก้ไขได้ในทันที
ทั้งนี้ หากถามกระผมว่า “ การซ้อมพูดวิธีใดหรือรูปแบบใดดีที่สุด ” กระผมก็คงตอบให้ไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากการพูดเป็น ศาสตร์และศิลป์ เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ อีกทั้งต้องขึ้นอยู่กับจริต นิสัย ของแต่ละบุคคล นักพูดในประวัติศาสตร์ มีการซ้อมพูดที่แตกต่างกันไป เช่น เดล คาร์เนกี ซ้อมพูดในขณะถอนหญ้า , Abraham Lincoln อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซ้อมพูดขณะเดินทางไปยังต่างรัฐ โดยการซ้อมพูดบนหลังม้า , อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เคยซ้อมพูดขณะเดินทางกลับบ้านโดยเริ่มซ้อมพูดจากการเดินกลับบ้านจากต้นซอยถึงท้ายซอย เป็นต้น
แต่โดยส่วนตัวกระผมคิด การซ้อมพูดมีความสำคัญมากๆ เนื่องจากปัจจุบันกระผมมีอาชีพเป็นวิทยากรอิสระ ก่อนจะขึ้นพูดบนเวที กระผมจะต้องซ้อมพูดก่อนทุกครั้ง และเพื่อให้เห็นความสำคัญของการซ้อมพูด สโมสรฝึกการพูดแห่งลานนาไทย เชียงใหม่ ถึงกับได้ระบุไว้เป็นคำมั่นสัญญาในหนังสือ “ คู่มือนักพูด” ไว้ว่า
“ ถ้าท่านเตรียมตัวอย่างดี และฝึกพูดคนเดียว 10 ครั้ง ท่านจะเป็นนักพูดดีที่สุดประจำสัปดาห์และได้ถ้วยรางวัล
ถ้าท่านเตรียมตัวอย่างดี และซ้อมพูดคนเดียว 5 ครั้ง ท่านจะเป็นผู้พูดที่ดีที่สุดประจำสัปดาห์ แต่อาจไม่ได้ถ้วยรางวัล
ถ้าท่านเตรียมตัวอย่างดี และซ้อมพูดคนเดียว 3 ครั้ง ท่านจะผ่านบทนั้นๆ ได้อย่างสบาย ”
หมายเหตุ : สำหรับสโมสรฝึกการพูดแห่งลานนาไทย เชียงใหม่ ใช้ระบบการฝึกการพูด แบบ Toastmasters

...
  
การพูดให้น่าเชื่อถือ
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมักจะมีความเชื่อถือ ศรัทธาผู้พูดมากน้อยเพียงใด มักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทั้ง 3 ปัจจัย ดังนี้
1.ตัวผู้พูด ตัวผู้พูดสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้โดย
- .การสร้างบุคลิกภาพ บุคลิกภาพของผู้พูดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเหลื่อมใส ศรัทธา เชื่อถือหรือไม่ เช่น การแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ , การใช้ท่าทางประกอบการพูด , การพูดให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ตลอดจนการใช้สายตา น้ำเสียง การเดิน การทรงตัว การใช้ภาษา การแสดงสีหน้า การใช้ไมโครโฟน ฯลฯ
- เทคนิคการพูดที่นำเสนอ เช่น พูดให้ผู้ฟังกลัว เมื่อผู้ฟังกลัวผู้ฟังมักจะเชื่อแล้วยอมปฏิบัติตาม , พูดให้ผู้ฟังอยาก เมื่อผู้ฟังมีความอยากแล้วผู้ฟังก็มักจะเชื่อและยอมทำตาม , พูดด้วยความมั่นใจ หากผู้พูดพูดด้วยความไม่มั่นใจเสียแล้ว ผู้ฟังมักจะไม่เชื่อ ฯลฯ
2.เรื่องที่นำเสนอ เราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้จากเรื่องที่นำเสนอ ส่วนใหญ่แล้วผู้ฟังมักเชื่อเรื่องที่ผู้พูด พูดนำเสนอ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฟัง เช่น เรื่องที่นำเสนอนั้น ผู้ฟังได้ประโยชน์อะไรบ้าง (หาเงินได้มากขึ้น,ประหยัดเวลา,ได้เลื่อนตำแหน่ง,ทำงานได้ดีขึ้น), เรื่องที่นำเสนอนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่(อ้างงานวิจัย ,อ้างกฎหมาย ,อ้างระเบียบ) , เรื่องที่นำเสนอนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
3.เหตุผลที่นำมาประกอบการพูด ผู้พูดอาจชักจูงใจให้ผู้ฟังเชื่อถือได้ โดยการใช้หลักฐานประกอบ เช่น มีการอ้างอิงตำรา , มีการอ้างอิงสุภาษิต คำพังเพย , มีการอ้างอิงบุคคลสำคัญๆ (พระพุทธเจ้า , นักปราชญ์ , พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , พระเยซู ฯลฯ) , มีการอ้างอิงวัฒนธรรม ประเพณีหรือสิ่งที่ทุกคนให้ความเคารพบูชา , มีการอ้างอิงผลได้ผลเสียของเรื่องที่นำมาพูด , มีการอ้างอิงประชามติหรือเสียงในที่ประชุม , มีการอ้างอิงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ทั้งการพูดให้ผู้ฟังเชื่ออาจจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่น การจะพูดให้คนอื่นเชื่อ ตัวผู้พูดต้องมีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวก่อน , การจะพูดให้ผู้ฟังกลุ่มใหญ่ๆ เชื่อ เรื่องของจิตวิทยาฝูงชนมีความสำคัญซึ่งผู้พูดจำเป็นจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติม , ผู้ฟังมักจะฟังหรือเชื่อถือ ผู้พูดที่มียศ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่พูด , ผู้พูดต้องพูดด้วยความจริงใจ พูดด้วยอารมณ์ พูดเข้าไปนั่งในหัวใจผู้ฟัง ฯลฯ
อีกทั้งยังต้องวิเคราะห์ว่าผู้ฟังคือใคร นักขาย เจ้าหน้าที่ อาจารย์ ครู นักเรียน นิสิต นักศึกษา ฯ,ฯ เพศของผู้ฟังคือใคร ผู้หญิงฟังหรือผู้ชายฟัง วัยไหน วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยชรา , ความเชื่อของผู้ฟัง การนับถือศาสนา , การศึกษา ฐานะ อาชีพ ความสนใจ ของผู้ฟัง
ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายด้วยบทกลอนของท่านอาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ว่า
“ อันจูงวัว จูงควาย จูงล่อลา หรือจูงม้า จูงช้าง ช่างแสนง่าย
แค่เอาเชือก ร้อยวน สนตะพาย จูงสบาย จะไปไหน ก็ไปกัน
แต่จูงคน จูงยาก ลำบากเหลือ จูงให้เชื่อ ในวจี ที่เสกสรร
พูดจูงใจ ให้คล้อยตาม ลำบากครัน ต้องเหนือชั้น วิทยา วาทะการ ”
...
  
จงระวังความเคยชินในการพูด
จงระวังความเคยชินในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ต้องการเป็นนักพูด วิทยากรหรืออาชีพที่ต้องใช้คำพูด มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะคนที่ไม่พัฒนาตนเองมักจะอยู่กับที่ ส่วนคนที่มีการพัฒนาตนเองก็จะก้าวหน้าในสายงานอาชีพ การพูด วิทยากร จงระวังความเคยชินเป็นคำพูดธรรมดา ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คนเราส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจความเคยชิน โดยเฉพาะความเคยชินในด้านลบ แต่หากเราต้องการประสบความสำเร็จแล้ว ขอให้พึ่งระวังความเคยชินในด้านลบ แล้วพัฒนาสิ่งเหล่านั้นให้เป็นด้านบวก เช่น ความเคยชินในการใช้ภาษาคำฟุ่มเฟือยเวลาพูด( คำว่า เอ้อ อ้า นะครับ นะค่ะ ) , ความเคยชินในเรื่องของบุคลิกภาพ ( ล้วง แคะ แกะ เกา หาว ยัก โยก ถอน ค้อน กระพริบ) , ความเคยชินในเรื่องของการไม่แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ได้แต่นำเสนอความรู้เดิมๆที่มี เป็นต้น
1. ความเคยชินในการใช้ภาษาคำฟุ่มเฟือยเวลาพูด เช่น คำว่า เอ้อ อ้า นะครับ นะค่ะ เป็นถ้อยคำที่หากมีมากจนเกินไปก็จะก่อความน่ารำคาญในการฟัง ดังนั้น หากท่านต้องการเป็นนักพูด วิทยากร จงระวังความเคยชินในการใช้คำเหล่านี้ โดยใช้ให้น้อยที่สุด เพราะคำว่า เอ้อ อ้า มักเป็นคำที่ผู้พูด คิดไม่ทันในสิ่งที่จะต้องพูด ผู้พูดเลยหยุดใช้ความคิดในช่วงนั้นโดยใช้คำว่า เอ้อ อ้า และ ผู้ฝึกการพูดใหม่ๆ มักจะใช้คำว่า นะครับ นะค่ะ มากจนเกินไป คำว่า นะครับ ครับ นะค่ะ ค่ะ ฟังดูแล้วอาจสุภาพ แต่หากมีมากจนเกินไปก็ทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญและไม่อยากฟังได้
2. ความเคยชินในเรื่องของบุคลิกภาพหรือการใช้ภาษากาย ( ล้วง แคะ แกะ เกา หาว ยัก โยก ถอน ค้อน กระพริบ) การใช้ภาษากายเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้พูด วิทยากร ประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลวในการพูด เพราะนักพูดบางท่านพูดดี มีสาระ มีอารมณ์ขันผู้ฟังฟังแล้วชื่นชอบ แต่ภาษากาย สื่อออกมาไม่ดีก็จะทำให้ผู้ฟังลดความน่าเชื่อถือลงและไม่ศรัทธาในผู้พูด เช่น ผู้พูด พูดไป เลียริมฝีปากหรือแลบลิ้นไป หรือ ผู้พูด พูดไป แคะขี้มูกไป อย่างนี้ ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่เกิดความศรัทธาในตัวผู้พูดขึ้นมาได้ ผลสำรวจและวิจัยในเรื่องการสื่อสารได้ระบุว่า คนมักจะจดจำคำพูดได้ประมาณ 7 % จำเสียงหรือน้ำเสียงได้ 38 % และจดจำท่าทางได้ตั้ง 55 % ดังนั้น พึ่งระวังความเคยชินในการใช้ภาษากาย
3. ความเคยชินในเรื่องของการไม่แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ได้แต่นำเสนอความรู้เดิมๆที่มีมาพูด
นักพูดหรือวิทยากรที่ดี ต้องมีข้อมูล ต้องรู้จริง รู้ลึก รู้กว้าง ในเรื่องราวที่พูด ฐานต้องแน่น เพราะถ้าเอาแต่ฉาบฉวย ความรู้ไม่แน่น เอาแต่ความมันส์เวลาพูด คงไปได้ไม่ไกล ดังนั้น ถ้าอยากเป็นนักพูด วิทยากร ท่านจำเป็นต้องอ่านมาก ฟังมาก คิดวิเคราะห์ให้มากๆ
ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องของการพูด ท่านพึ่งต้องระวังความเคยชิน ท่านจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่สม่ำเสมอ ไม่หยุดนิ่ง เพราะหากท่านหยุดนิ่ง ในขณะที่ผู้อื่น เขาไม่หยุด เขาเคลื่อนไปข้างหน้า นั้นก็แสดงว่าท่านถอยหลังนั่นเอง
มนุษย์เรามักกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์เราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยการเปลี่ยนแปลงเสมอ
...
  
คิดอย่างสร้างสรรค์
คิดอย่างสร้างสรรค์...ชีวิตเปลี่ยน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนไทยเราส่วนใหญ่มักมีปัญหาคือ ไม่ค่อยใช้ความคิด โดยเฉพาะการคิดอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเหตุผลก็มีหลายประการ เช่น ระบบการศึกษา , ระบบอาวุโส , ระบบราชการ ฯลฯ
แต่จริงๆ แล้ว ความคิดสร้างสรรค์ก่อให้เกิดความแตกต่าง จะดีไหม หากคนไทยคิดไม่เหมือนกัน 63 ล้านคน เราก็จะได้ความคิดใหม่ๆถึง 63 ล้านความคิด
คนที่เรียนวิชาการตลาด มักให้คำจำกัดความว่า “ การตลาด คือ การสนองตอบความต้องการของลูกค้า ” แต่จริงๆแล้ว มันอาจถูกต้องแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ในทางกลับกัน การตลาด ก็คือ การสร้างความต้องการให้ลูกค้าเกิดความต้องการในสินค้าของเรา เช่นตัวอย่าง เคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ Steve Jobs(สตีฟ จอส์บ) ว่าเขาใช้บริษัทวิจัยการตลาดอะไรหรือทำการวิจัยสินค้าอย่างไร เขาตอบนักข่าวโดยทันทีว่า เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องการวิจัยตลาด เพราะลูกค้าไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร พร้อมกันนั้นเขายังยกตัวอย่างว่า ในอดีต หาก เฮรี่ ฟอร์ด คนสร้างรถยนต์คันแรก มัวแต่ไปวิจัยการตลาดว่าคนต้องการ รถม้าอย่างไร(ซึ่งตอนนั้นคนยังเดินทางโดยสารโดยรถม้า) คำตอบที่ได้ก็คือ คนต้องการรถม้าที่แข็งแรงและม้าต้องวิ่งไวที่สุด ดังนั้นพวกเราจึงไม่ต้องแปลกใจที่ Steve Jobs(สตีฟ จอส์บ) ได้คิดค้น นวัตกรรมใหม่เป็นสินค้าตระกูล I เช่น IMac , IBook , IPod ฯลฯ ให้ลูกค้าใช้
ดังนั้น กระผมเชื่อว่า ประเทศไทยของเราต้องการคนประเภท Steve Jobs(สตีฟ จอส์บ) มากๆ แต่สิ่งที่เป็นตัวขัดขวางก็คือ ระบบการศึกษา ผมยังจำได้ว่า ตอนเด็กๆ ครูมักสอนให้ท่องจำมากกว่าสอนให้นักเรียนรู้จักคิด เช่น สอนให้จำปีที่คนไทยต้องเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1และครั้งที่ 2 ว่าเป็น พ.ศ.อะไร แต่ไม่สอนให้ใช้ความคิดว่า ทำไมถึงต้องเสียกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งระบบการศึกษาในอดีตและทั้งปัจจุบัน ยังไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ อีกทั้งเด็กนักเรียนไทยไม่กล้าถาม เพราะหากถามหรือมีความคิดที่แตกต่างไปจากคุณครู มักจะโดนดุด่า ทำโทษ จึงทำให้เด็กไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
ระบบอาวุโส คนไทยเราตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน มักมีความเคารพนับถือ เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ ผมไม่ได้รังเกียจระบบอาวุโส แต่ระบบอาวุโส เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยเราส่วนใหญ่ เด็กๆ มักจะไม่กล้าโต้แย้งกับผู้ใหญ่ พวกเรามักเคยได้ยินคำโบราณที่ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบใช้อ้างถึงเวลาสอนเด็กว่า “ ฉันเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนแก ” ทำนองนี้
ระบบราชการ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่คอยขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ในระบบนโยบายสำคัญๆ หรือ คำสั่งสำคัญๆ มักมาจากเบื้องบน ผู้ที่อยู่เบื้องล่าง ต้องปฏิบัติตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาสำคัญๆ ต้องอาศัยความคิดที่ดีๆ ในการแก้ปัญหา ความคิดเห็นของคนเบื้องล่างก็อาจมีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาได้เช่นกัน
เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน พวกเราส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตที่เหมือนเดิมทุกๆวัน บางคนเบื่อหน่ายกับชีวิต แต่เราสามารถสร้างความสนุกให้กับชีวิตได้ก็ด้วยการคิดสร้างสรรค์ นั้นเอง ตัวอย่าง ท่านลองเปลี่ยนเส้นทางเดินทางไปทำงานบ้าง , ท่านลองจดกระดุมให้แตกต่างกันทุกวันบ้าง (วันนี้จดจากบนลงล่าง,พรุ่งนี้จดจากล่างขึ้นบน,เมื่อเรื่องนี้ จดจากตรงกลางลงล่างแล้วขึ้นข้างบน เป็นต้น) , ท่านลองสร้างสรรค์โดยการตกแต่งห้องทำงานใหม่ เพราะหลายท่านต้องใช้เวลาทำงานที่ทำงานนานกว่าที่บ้านจึงควรให้ความสำคัญกับบรรยากาศในการทำงาน


...
  
ภาษากายกับการพูด
ภาษากายของนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ภาษากาย กิริยาท่าทาง ในการแสดงออกบนเวทีการพูด มีความสำคัญเป็นอันมาก เพราะหากผู้พูดพูดดี แต่มีภาษากายที่ไม่สอดคล้องกับเรื่องที่พูดหรือมีบุคลิกภาพที่ผู้ฟังไม่ศรัทธา เชื่อถือ ก็จะทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ไม่ประสบความสำเร็จ ในตอนนี้เราจะมาพูดถึงในเรื่องการใช้ “ ภาษากายของนักพูด”
การใช้สายตา (Eye-contact) สายตาเป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ดังคำโบราณเคยกล่าวไว้ว่า “ ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ” การใช้สายตาของนักพูดควร มองไปยังกลุ่มผู้ฟังให้ทั่วถึง ไม่ใช่มองเพดาห้อง มองพื้นห้อง มองผนังห้อง มองประตูห้อง ตลอดเวลาหรือบ่อยๆ เมื่ออยู่บนเวที การที่ผู้พูดมองผู้ฟังจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความจริงใจของผู้พูดที่ออกมาทางสายตา
การเดิน(Walking) ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีหรือเดินบนเวที การเดินของผู้พูดทำให้เป็นที่สะดุดตาหรือเป็นจุดที่สนใจของผู้ฟัง การเดินที่ดีผู้พูดต้องเดินไปด้วยความเชื่อมั่น ไม่เร็วเกินไปหรือช้าจนเกินไป ยืดอกพร้อมทั้งต้องเดินอย่างสง่างาม ไม่ก้มหน้า ไม่เดินหลังโก่ง ขณะที่เดินแขนก็ควรแกว่งไปตามธรรมชาติ ดังนั้นผู้พูดควรที่จะต้องมีการฝึกหัดเดินบ่อยๆ ใหม่ๆ อาจจะต้องใช้หนังสือวางไว้บนศีรษะ เพื่อให้หลังตรง ศีรษะตรง
การทรงตัว(Posture) การทรงตัวเวลาพูดบนเวที เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้พูด เท้าทั้งสองของผู้พูดควรห่างกันประมาณ 1 คืบ(โดยประมาณนะครับ ไม่ต้องถึงขนาดก้มลงไปวัด) ท่ายืนไม่ต้องเกรง มืออยู่ข้างลำตัวในกรณีที่ยังไม่ใช้มือประกอบ ไม่ควรยืนห่อไหล่ เวลายืนไม่ควรเขย่งเท้า ไม่ควรโยกตัวไปมาขณะพูด ไม่ควรเอามือท้าวสะเอวตลอดเวลา หรือเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา
การแสดงออกทางหน้าตาใบหน้า(Facial Expression) สีหน้าของผู้พูดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการพูด เพราะถ้าหากสีหน้าของผู้พูด สื่อไม่ไปในทิศทางเดียวกันกับเรื่องที่พูด ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เช่นพูดเรื่องเศร้า ใบหน้าของผู้พูดก็ควรแสดงไปในทิศทางเดียวกันไม่ควรหัวเราะหรือยิ้ม หรือพูดเรื่องทั่วไป สีหน้าของผู้พูดก็ควรยิ้มแย้มเพื่อบรรยากาศในการพูดออกมาดี
การแสดงท่าทาง(Gesture) การแสดงท่าทางประกอบการพูด จะทำให้การพูดในครั้งนั้นเกิดความน่าสนใจ เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดึงดูดผู้ฟังให้เกิดความสนใจในตัวผู้พูด เช่น การใช้มือหรือนิ้วประกอบการพูด “ ผมมีพี่น้องสามคน” (เราก็ควรชูนิ้วขึ้นมา 3 นิ้ว เพื่อประกอบการพูด) , เมื่อต้องการเรียกผู้ฟัง เราก็ควรหงายมือเพื่อเชิญผู้ฟังลุกขึ้นมาตอบคำถาม(ไม่ควรชี้นิ้วไปยังผู้พูด เพราะในสังคมไทยถือว่าไม่มีมารยาท แตกต่างกับสังคมอเมริกาที่เขาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา)
การแต่งกาย ควรให้เหมาะสมกับสถานที่ บุคคล การแต่งกายที่ดี ควรแต่งให้เสมอผู้ฟังหรือแต่งให้สูงกว่าผู้ฟังระดับหนึ่งเพียงเล็กน้อย เช่น หากไปพูดให้ชาวนาฟังที่บริเวณทุ่งนาก็ไม่ควรใส่สูทไป แต่ควรแต่งชุดพื้นเมืองเหมือนกันกับชาวนา หรือไปพูดที่โรงแรมก็ควรใส่สูทไป ไม่ควรใส่เสื้อยืด เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟัง เป็นต้น
การใช้ไมโครโฟน ที่ดีควรอยู่ห่างระดับปากประมาณ 1 ฝ่ามือ (โดยประมาณ แต่หากเสียงของผู้พูดดังไปก็ควรให้ไมโครโฟนอยู่ในระดับที่ห่างไปอีก ในทางกลับกัน หากเสียงของผู้พูดเบาไปก็ควรเอาไมโครโฟนให้ชิดปากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง)
ดังนั้น นักพูดที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้คนอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นต้องฝึกฝนในเรื่องของการใช้ภาษากาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้สายตา การเดิน การทรงตัว การแสดงออกทางใบหน้า การแสดงท่าทาง การแต่งกาย และ การใช้ไมโครโฟน
...
  
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
นักการเมือง นักบริหาร นักปกครอง นักประชาสัมพันธ์ นักกฎหมาย ต้องเป็นนักพูด
การพูดต่อหน้าที่ชุมชนมีความสำคัญต่อความเป็นผู้นำและการประกอบอาชีพต่างๆ “หากท่านปรารถนาจะเป็นผู้นำ ท่านต้องลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้” เป็นคำพูดของหลวงวิจิตราวาทการที่ได้กล่าวมาอย่างยาวนานและเป็นอมตะวาจาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
“ ลิ้นเพียงสองนิ้ว ขงเบ้งยกเมืองให้เล่าปี่ได้” เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงทีเดียว ในการทำสงครามฝ่ายที่มีกำลังมากย่อมได้เปรียบกว่าฝ่ายที่อ่อนแอ แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่มีมันสมองบวกกับการรู้จักใช้คำพูดให้เป็นประโยชน์ ย่อมสร้างชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้ นักการทูตที่สำคัญๆ ของโลก ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศของตนเองอย่างมหาศาลก็ด้วยการใช้ลิ้นหรือคำพูดที่ก่อประโยชน์ในการเจรจาต่อรองตกลง ขอความช่วยเหลือฝ่ายต่างๆเพื่อให้ประเทศของตนเองอยู่รอดปลอดภัย
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านหลายท่านอาจมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิดคิดว่า นักพูดจะต้องคุยเก่ง พูดคล่อง พูดมาก หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่นักพูดหมายถึง คนที่สามารถใช้คำพูดให้เกิดประโยชน์ เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์ พูดแล้วคนเชื่อถือ พูดแล้วสามารถโน้มน้าว ใจคนได้
เคยมีคนโทรศัพท์มาถามผมหลายคนว่า แล้วถ้าอยากจะเป็นนักพูดที่ดีต้องทำอย่างไร คำตอบคือ ท่านจำเป็นจะต้องเป็นนักอ่าน นักค้นคว้า นักคิด นักฟัง และก็หมั่นฝึกฝน พร้อมกับต้องมีการปรับปรุง พัฒนาการพูดของตนเองอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้องเชื่อว่า การพูดนั้นสามารถศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนได้ จงเชื่อเรื่องของพรแสวงมากกว่าเรื่องของพรสวรรค์ ที่สำคัญนักพูดที่ดีต้องมีลักษณะดังนี้
1. ต้องมีความปรารถนาอยากที่จะเป็นนักพูด เพราะ ความรัก ความชอบ จะทำให้ทำเรื่องที่รัก ที่ชอบได้ดีกว่า หากว่าเราไม่รัก ไม่ชอบ สิ่งนั้น อีกทั้งเมื่อถูกเชิญให้ไปพูดเรื่องอะไร ตัวผู้พูดจะต้องมีประสบการณ์ในเรื่องที่จะพูดอยู่พอสมควร หรือ ศึกษาเรียนรู้เรื่องนั้นมานานพอสมควร แต่หากไม่รู้เรื่องนั้นก็ควรเตรียมตัวไปให้ดี ต้องอ่านให้มาก ต้องฟังให้มาก ต้องมีการวางแผนการพูดเป็นอย่างดี ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร ช่วงกลางจะพูดอย่างไรและสรุปจบอย่างไร ควรมีตัวอย่างหรืออุปกรณ์ หลักฐาน ประกอบหรือใช้อ้างอิงในการพูดแต่ละครั้ง
2. ต้องมีความสามารถในการสื่อสาร นักพูดที่ได้รับการยอมรับ มักมีเทคนิคในการพูดที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ฟัง บางคนมีมุขตลก บางคนมีแง่คิด บางคนพูดแล้วคนฟังเชื่อถือคล้อยตาม โดยมากมักต้องมีวิธีเล่าที่ง่าย น่าสนใจ ไม่ทำเรื่องง่ายให้ยาก แต่จะทำเรื่องยากให้ง่าย และเรื่องง่ายให้เป็นของสนุก
3. ต้องมีการฝึกซ้อมการพูดอยู่เสมอ นักพูดที่ยิ่งใหญ่ มักเคยผ่านการพูดเวทีสำคัญๆ และมีชั่วโมงบินในการพูดที่สูงกว่านักพูดธรรมดาสามัญ เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ คำว่า “ศาสตร์” อาจเรียนรู้กันได้ แต่คำว่า “ ศิลปะ” คงต้องขึ้นอยู่ตัวบุคคลนั้น จงพัฒนาและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ
4. ต้องมีการสอดใส่อารมณ์ในการพูด การพูดเป็นการสื่อสารชนิดหนึ่ง กล่าวคือ หากผู้พูดมีความรู้สึกถึงเรื่องที่พูดอย่างไร ผู้ฟังมักจะรู้สึกและสัมผัสได้ว่าผู้พูดมีความรู้สึกถึงเรื่องนั้นอย่างนั้น กล่าวคือ หากว่าผู้พูดพูดเรื่องใด ผู้พูดต้องทำน้ำเสียง กริยา ท่าทาง สีหน้า ไปในทางเดียวกับเรื่องที่พูดด้วย
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า การพูดต่อหน้าที่ชุมชน เป็นการสื่อสารที่มีอานุภาพมาก เป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จและล้มเหลวได้พอๆกัน ฉะนั้น หากท่านต้องการความสำเร็จ ท่านจะต้องมีการฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน การพูดอยู่เสมอ
...
  
ศิลปะการพูด
ศิลปะการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ อันลิ้นคนนิ่งไม่ดี ที่ควรนิ่งนั้นมีแต่ลิ้นโค ”
พระราชนิพนธ์ “เวนิสวานิช” ของพระมหาธีรราชเจ้า ที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องของการพูด ซึ่งการพูดมีความสำคัญต่อโลกยุคปัจจุบันเป็นอันมาก เนื่องจากโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกของยุคการสื่อสาร เพราะฉะนั้น หากใครสื่อสารโดยเฉพาะเรื่องของการพูดได้ดี ก็มักจะได้เปรียบกว่าบุคคลที่สื่อสารไม่เป็น
การพูดนั้น คนเราทุกคนเกิดมาหากไม่มีปัญหาเรื่องของระบบเสียง ไม่มีความพิการทางด้านหู ด้านปาก ก็สามารถพูดกันได้ทุกคน แต่หากต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว บุคคลคนนั้นต้อง อาศัย ศิลปะ ต้องฝึกฝน เรียนรู้ ถึงจะสามารถพูดได้ดีและมีประสิทธิภาพมากกว่าคนโดยทั่วไป
การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเพียรพยายามจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่บุคคลที่ต้องการพูดเก่ง พูดเป็น ต้องนำไปปฏิบัติ การพูดเก่งนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้เราเป็นคนที่มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านบุคลิกภาพ การแต่งกาย , เกิดความก้าวหน้าในกิจการด้านการทำงาน , มีชื่อเสียงปรากฏขึ้นในวงสังคม , เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ และทำให้เกิดกำไรชีวิต อีกทั้งสร้างรายได้ต่างๆเข้ามาในชีวิตอย่างมากมาย
บุคคลสำคัญๆ เขามีวิธีการฝึกพูดอย่างไร เขาจึงประสบความสำเร็จ
- เฮนรี่ วอร์ค บีเชอร์ กล่าวว่า “ นักพูดที่ประสบความสำเร็จ ต้อง เป็นคนที่พูดอย่าง
กระฉับกระเฉง กระตือรือร้น กระปรี้กระเปร่า มีพลัง จึงจะสามารถทำให้เรื่องราวต่างๆ เป็นที่น่าสนใจของผู้ฟังได้ ”
- ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ กล่าวว่า นักพูดที่ดีต้องศึกษาค้นคว้า ฝึกฝนตนเอง อีก
ทั้งต้องมีการเจนจัดด้านภาษาศาสตร์ จึงจะทำให้คำพูดนั้นงดงามตรึงใจ แล่นลึก ตราตรึง ผู้ฟังได้”
- สุรวงศ์ วัฒนกุล กล่าวว่า ต้องยกตัวอย่างประกอบเยอะๆ เพราะการยกตัวอย่างจะทำให้ผู้ฟังฟัง
แล้วเข้าใจได้ง่าย อีกทั้งการหาเรื่องที่แปลกใหม่มักจะทำให้ผู้ฟังจดจำได้เป็นอย่างดี ”
- จตุพล ชมพูนิช กล่าวว่า “ การเตรียมตัวที่ดีมีความสำคัญมาก ทุกครั้งที่จะไปพูดจะต้องมีการ
เตรียมตัวที่ดีก่อน อีกทั้งต้องมีการวิเคราะห์ผู้ฟัง ”
- สุขุม นวลสกุล กล่าวว่า “ การจะเป็นนักพูดที่ดี ฐานต้องแน่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูล องค์
ความรู้ เนื้อหาต่างๆที่จะไปพูด ต้องอ่านมาก ฟังมาก”
- อภิชาต ดำดี กล่าวว่า “ ต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง ต้องคิด ต้องหาความรู้ ข้อมูล ตลอดเวลา อีกทั้ง
ต้องรับฟังคำวิจารณ์ของผู้อื่นเพื่อนำมาประเมินตนเอง แล้วปรับปรุงแก้ไขตนเอง”
เราจะเห็นได้ว่า บรรดา นักพูด บุคคลสำคัญ ที่กล่าวไปข้างต้น ให้ความสำคัญกับสิ่งต่อไปนี้ คือ การพูดอย่างมีชีวิตชีวา , การให้ความสำคัญในเรื่องของการใช้ภาษา , การยกตัวอย่างประกอบเพื่อทำให้เข้าใจง่าย , ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี , การวิเคราะห์ผู้ฟัง , การศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา และการปรับปรุงแก้ไขตนเอง
ดังนั้น หากท่านต้องการเป็นผู้ที่มีศิลปะการพูด ท่านจึงไม่ควรละเลยคำแนะนำข้างต้น และไม่ต้องกังวลในการฝึกฝนการพูดจนเป็นบุคคลวิตกจริต จงฝึกไปเรียนไป อย่างสม่ำเสมอ เท่านั้นเอง ดังคำกล่าวของ ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวไว้ว่า“ เราไม่มีความจำเป็นจะต้องไปวิตกกังวลกับผลของการฝึกของเรา ขอให้เราฝึกไป เรียนไปอย่างหยุดยั้ง แล้วเราจะพบว่า เราไม่เป็นรองใครเลยในวงการที่เราได้มีการฝึกฝน บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกไม่มีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่นหรือคนธรรมดาเลย เพียงแต่เขาเอาจริงเอาจังกับชีวิต ไม่หยุด ไม่ท้อถอยเท่านั้นเอง ”
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.