หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  พูดแล้วดัง...ทำแล้วรวย....
  -  พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  ถ้าอยากเป็นนักพูด...เชิญทางนี้....
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  ลีลานักพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  การพูดต่อที่ชุมชน
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  พูดอย่างฉลาด
  -  การฝึกพูด
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  จงระวังความเคยชินในการพูด
  -  คิดอย่างสร้างสรรค์
  -  ภาษากายกับการพูด
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  ศิลปะการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์
  -  การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
  -  การพูดอย่างมีตรรกะ
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  คำพูดเจาะจิต
  -  การสร้างเสน่ห์ในการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  จังหวะในการพูด
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
  -  พูดให้ถูกสถานการณ์
  -  การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  โฆษกกับการพูดที่ดี
  -  มโนภาพกับการพูด
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
จังหวะในการพูด
จังหวะในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Let the speech be better than silence,or be silet.(จงทำให้การพูดนั้นดูดีกว่าความเงียบ ถ้าทำไม่ได้ก็เงียบเสียดีกว่า)
การพูดให้เกิดความน่าสนใจ การพูดที่ทำให้ผู้ฟังติดตามฟัง การพูดที่สร้างความประทับใจ จังหวะในการพูดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ผู้พูดต้องฝึกการพูดให้มีจังหวะจะโคน ต้องรู้ว่า เวลาไหนควรเงียบ เวลาไหนควรพูดต่อ ต้องมีการเว้นวรรค มีเสียงดัง เสียงเบา เสียงเน้น เสียงย้ำ มีการยืดเสียง ผู้พูดที่มีจังหวะในการพูด มักจะประสบความสำเร็จมากกว่า ผู้พูดที่พูดติดต่อกันไปเรื่อยๆยาวๆ โดยไม่มีจังหวะในการพูด
คำพูด เอ่อ..หรือ อ้า....มักทำให้จังหวะในการพูดเสียไปหรือไม่ชวนให้ผู้ฟังติดตาม แต่ในทางตรงกันข้ามจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ ดังนั้น ผู้พูดที่มีคำฟุ่มเฟื่อย เช่น เอ่อ อ้า นะครับ นะค่ะ ครับ ค่ะ ลงท้ายประโยคเป็นจำนวนมากๆ จึงควรหาทางแก้ไข ปรับปรุงตนเอง ให้มีลดน้อยลง
จังหวะในการพูดกับน้ำเสียง น้ำเสียงในการพูดมีความสอดคล้องกับจังหวะในการพูดอย่างแยกไม่ออก ผู้พูดที่ดี ควรรู้จังหวะในการใช้เสียง ว่าเวลาใดควรพูดเสียงสูง เวลาใดควรพูดเสียงต่ำ เวลาใดควรพูดเสียงปกติ ซึ่งการจะทราบถึงจังหวะเหล่านี้ได้ คงต้องใช้เวลาฝึกฝน อีกทั้งยังต้องผ่านประสบการณ์ในการพูดมาพอสมควร
จังหวะในการพูดกับการใช้อารมณ์ การพูดเรื่องเศร้า ก็ควรใช้อารมณ์เศร้า จังหวะในการพูดก็ควรช้ากว่าปกติ แต่ในทางกลับกัน หากพูดเรื่องสนุก ตื่นเต้น ก็ควรใช้จังหวะในการพูดที่เร็วกว่าปกติ อีกทั้งผู้พูดต้องทำอารมณ์ของตนเองให้สนุกสนานตามไปด้วย ซึ่งอารมณ์ของผู้ฟังมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้พูดอยู่เสมอ
หลายคนมักเข้าใจว่า ผู้พูดที่พูดโดยไม่หยุด พูดด้วยความเร็วมากกว่าปกติ มักจะได้รับความสนใจจากผู้ฟัง แต่โดยส่วนตัวกระผม เชื่อว่า การหยุดพูดหรือการเงียบ ในบางช่วงในการพูดจะทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ฟังไม่ใช่น้อย เพราะการหยุดพูดหรือการเงียบ จะทำให้ผู้ฟังคิดตาม ซึ่งสร้างความสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
จังหวะในการพูดกับการพูดคุยสนทนากัน จังหวะในการพูดยังมีความสำคัญและรวมไปถึงเรื่องของการพูดคุยสนทนากันอีกด้วย คนที่พูดคุยสนทนาเก่ง มักจะรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนควรเงียบ คนที่รู้จักจังหวะเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้ที่สนทนาด้วย เกิดความประทับใจ มากกว่า คนที่เอาแต่พูดโดยไม่รู้จักฟังหรือเงียบฟัง คู่สนทนา
ฉะนั้น หากท่านต้องการฝึกฝน จังหวะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน กระผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ลองหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือการ์ตูน ลองฝึกอ่านให้เป็นจังหวะ หรือ ในยุคนี้ เราสามารถหาหรือฟัง นักพูดที่เราชื่นชอบ ลองเอาเทปหรือเสียงในการพูดของเขา มาวิเคราะห์ หากเป็นไปได้ ลองเลียนแบบ เสียงหรือจังหวะในการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบ หากทำบ่อยๆ ก็จะทำให้จังหวะในการพูดของท่านพัฒนายิ่งขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการฝึกฝนในเรื่องของจังหวะในการพูดคุยสนทนา ท่านควรที่จะพัฒนาทักษะในการฟังให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง มีการตอบรับคู่สนทนาบ้างเพื่อให้คู่สนทนาทราบว่า เรากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ เช่น ครับ ค่ะ เยี่ยมครับ สุดยอดเลยครับเรื่องนี้ หรือ มีการพยักหน้าตอบรับ ในระหว่างการพูดคุยสนทนากัน ก็จะสร้างความประทับใจให้แก่คู่สนทนาได้
...
  
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมในยุคปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคที่หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง หรือ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้รับการอบรม ผู้เรียน นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง และ เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง
1.การบรรยาย (Lecture) เป็นการพูด โดยเน้นสอนเรื่องทฤษฏี เนื้อหาต่างๆ ตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ อาจมีการใช้สื่อต่างๆประกอบ เช่น สไลด์ รูปภาพ คลิปภาพยนตร์ ฯลฯ
2.การอภิปรายเป็นคณะ(Panel Discussion) เป็นพูดอภิปรายโดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่มักจะมีจำนวน 3-5 คน เป็นการพูดแสดงข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหา ตามหัวข้อที่กำหนดเอาไว้
3.การสาธิต(Demonstration) เป็นการแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างจริงๆ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การสาธิตการว่ายน้ำ การสาธิตการพูดต่อหน้าที่ชุมชน การสาธิตการขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้ฝึกอบรม นักศึกษา นักเรียน เป็นศูนย์กลาง
1.กิจกรรมนันทนาการ(Recreational Activity) เป็นการจัดหากิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการสนุกสนาน เกิดการแข่งขันกัน หรือก่อให้เกิดการละลายพฤติกรรม ซึ่งเกมเพื่อการศึกษามีจำนวนมากและหลากหลาย ทั้งนี้ ควรเลือกเกมส์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
2.การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่ให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เสรี ไม่มีคำว่าผิด หรือ ถูก ไม่มีคำว่า ดี หรือไม่ดี เมื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึงแล้ว ผู้สอนควรนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่บทสรุป
3.กรณีศึกษา(Case study) เป็นการนำเรื่องราวจริง มานำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการแก้ไขปัญหาและเกิดการตัดสินใจ ซึ่งกรณีศึกษาที่ดีควรมีลักษณะคล้ายหรือสอดคล้องกับปัญหาต่างๆที่ผู้รับการอบรมประสบ
4.การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing) มีลักษณะคล้ายกับกรณีศึกษาแต่เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงให้ผู้เรียนได้มีการเล่นการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ จากสถานการณ์ที่จำลองมาจากสถานการณ์จริงๆ
5.การสัมมนา(Seminar) เป็นการประชุมหรือพูดคุยกัน เกี่ยวกับปัญหาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมมีความสนใจหรือประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องเดียวกัน
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง
1.สอนโดยภาพยนตร์(Instructional Film) เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์ เป็นหลักโดยผู้สอน เปิดภาพยนตร์ให้ผู้เรียนดูจนจบ แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่างๆ แล้วจึงหาข้อสรุป
2.สอนโดยใช้เทคโนโลยี เป็นการออกแบบเทคโนโลยีขึ้นมาให้เหมือนกับของจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เช่น เครื่องบินจำลอง F 16 ซึ่งภายในห้องทดลองมีการออกแบบที่เหมือนจริงกับเครื่องบิน F16 ทุกประการ
3.สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer Aided Istruction) เนื่องจากยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ มีความทันสมัยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่น เราสามารถสอนผู้เรียนเรียนพิมพ์ดีด โดยการใช้โปรแกรมพิมพ์ดีด เข้าช่วย
ฉะนั้น การเป็นวิทยากรที่ประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เช่น มีการบรรยาย มีการระดมความคิดเห็น มีกิจกรรมนันทนาการ มีการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้จัด วัตถุประสงค์ในการจัด เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับผู้เข้ารับการอบรมหรือผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้การผสมผสานเทคนิคต่างๆ มากหรือน้อย บางเทคนิคก็ไม่สามารถนำเอาไปใช้ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของวิทยากรที่จะต้องวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่างๆ

...
  
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนา การฝึกอบรมที่ดีจึงต้องสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ หากว่าการฝึกอบรมไม่สามารถสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ การฝึกอบรมนั้นๆ จะได้รับประโยชน์ที่ลดน้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมมีประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร และการฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวของบุคลากร ซึ่งผู้เขียนของขยายรายละเอียด ตามข้อความด้านล่างนี้
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร ดังต่อไปนี้
1.ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้ กำไร ให้แก่หน่วยงาน
2.ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา ลดอุบัติเหตุ ลดการลาออกของบุคลากร
3.ช่วยให้เกิดความสามัคคี ช่วยให้เกิดมีทิศทางในการทำงานไปในทิศทางอย่างเดียวกัน
4.ช่วยให้หน่วยงาน ขยายงาน ขยายสาขาได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้หน่วยงาน มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวได้ทันต่อการแข่งขัน
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อบุคลากร ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่บุคลากร
2.เป็นการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีของบุคลากร
3.ทำให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำ
4.ลดการกำกับควบคุม การติดตามการทำงานของบุคลากร
5.เพิ่มศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในการกล้าแสดงออกของบุคลากร

...
  
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง(ศิลปะการโต้วาที)
การใช้วาทศิลป์ขั้นสูง...(ศิลปะการโต้วาที)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การโต้วาทีถือได้ว่าเป็นการใช้วาทศิลป์ขั้นสูง ถามว่า “ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” เพราะบุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานเกี่ยวกับการพูดหลายๆด้าน เช่น ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์ เป็นต้น
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน ในยุคปัจจุบันมีหนังสืออยู่มากมาย ตามท้องตลาด ซึ่งภายในหนังสือจะมีทฤษฏี มีหลักการ มีคำแนะนำต่างๆ ที่ทำให้ผู้อ่าน สามารถนำไปใช้ นำไปปฏิบัติได้ ซึ่งจะพูดไปแล้ว การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์คือเราสามารถอ่าน สามารถฟัง และเข้ารับการอบรมเพื่อให้ได้ความรู้มา ศิลป์คือ การนำเอาศาสตร์ไปประยุกต์
ฉะนั้น บุคคลที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะมีศิลป์หรือมีศิลปะในการนำเอาคำพูดไปใช้ได้มากกว่า ดีกว่า เก่งกว่า บุคคลที่พูดไม่เป็น พูดไม่เก่ง
ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร บุคคลที่จะโต้วาทีได้ จำเป็นต้องมีไหวพริบ ปฏิภาณในการพูด ซึ่งบุคคลที่จะมีไหวพริบ ปฏิภาณได้จำเป็นจะต้องมีการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนและการโต้วาทีบ่อยๆจะเป็นการฝึก ไหวพริบ ปฏิภาณได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้บุคคลที่จะโต้วาทีให้ได้ดี จำเป็นจะต้องมีชั่วโมงบิน หรือมีประสบการณ์ในการทางการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง
ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด ในการโต้วาที เราต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่อง ว่าขึ้นต้นเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตอนกลางเราจะพูดอะไร และสรุปจบอย่างไร ถึงจะเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง
ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทาง บุคคลที่มีบุคลิกภาพดีมักจะได้เปรียบบุคคลที่มีบุคลิกภาพไม่ดี นักโต้วาทีควรมีการฝึก การใช้ท่าทางประกอบการพูด เช่น การผายมือ , การชี้นิ้ว , การใช้เอกสารประกอบการพูด , การยืน ตลอดจนการใช้สีหน้า การเคลื่อนไหวต่าง เป็นต้น
ศิลปะในการใช้วาทศิลป์ การใช้คำพูด มีความสำคัญ การใช้คำพูดทำให้คนสนใจฟัง คำบางคำมีความหมายเหมือนกัน แต่ความเบา ความแรง ความสุภาพ ความเป็นกันเองต่างกัน และการใช้กับบุคคลมีความแตกต่างกัน เช่น กิน ทาน รับประทาน แดก ดื่ม ฉันท์ ฯลฯ
ตลอดการใช้ภาษาไทยควรให้มีความถูกต้องตามหลักภาษาไทย มีการออกเสียง ร,ล คำควบกล้ำให้ชัดเจน และควรงดเว้นคำฟุ่มเฟื่อย
ตลอดจนต้องรู้จักประเภทของการพูด ซึ่งประเภทของการพูดมี 3 ประเภทใหญ่ๆ 1.จูงใจ 2.บรรยายหรือบอกเล่า 3.บันเทิง สำหรับการพูดโต้วาทีจะอยู่ในการพูดประเภทที่ 1 คือการพูดจูงใจหรือพูดให้คล้อยตาม
เมื่อผู้พูด มีพื้นฐานข้างต้นแล้ว (ต้องมีความรู้เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าสาธารณชน , ต้องผ่านทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาพอสมควร,ต้องรู้จักการสร้างโครงเรื่องในการพูด,ต้องมีศิลปะในการใช้ท่าทางและศิลปะในการใช้วาทศิลป์) ผู้พูดคนนั้นจะมีความสามารถในการพูดโต้วาทีได้เป็นอย่างดี


...
  
พูดให้ถูกสถานการณ์
พูดให้ถูกสถานการณ์
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะต้องรู้จักสถานการณ์ในการพูด ในบางสถานการณ์ก็ต้องรู้จัก “ นิ่งเงียบ” เพราะ การนิ่งเงียบก็คือการใช้คำพูดที่ดีที่สุดในภาวะสถานการณ์นั้น หรือในบางสถานการณ์ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพูด เพราะถ้า ไม่พูด เราและคนรอบข้างก็จะเกิดความเดือดร้อนและไม่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นั้น
“นิ่งเงียบ” พวกเราคงได้ยิ่ง คำพูดของคนโบราณที่พูดว่า “พูดไปสองไพร่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในบางครั้ง การนิ่งเงียบ ก็มีประโยชน์และสร้างชัยชนะให้เกิดขึ้นอย่างเหนือชั้น มีคนถามแล้วสถานการณ์แบบไหนละ ที่ควรจะ “นิ่งเงียบ” สถานการณ์ที่เราควรจะนิ่งเงียบ คือ สถานการณ์ที่เราต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกัน การไม่พูดหรือการนิ่งเงียบ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่อีกฝ่ายจนลืมไม่ลง
ครั้งหนึ่งมีนักกีฬา ฟุตบอลคนหนึ่ง อยู่ระหว่างการเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งขัน นักฟุตบอลคนนี้แอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน ซึ่งผิดกฏระเบียบของทีมที่ได้ตกลงกันเอาไว้ โดยหากว่าผู้ใดกระทำการผิด ก็จะถูกโค้ชสั่งให้ลงโทษอย่างหนัก เขาเตรียมรับกับการถูกลงโทษและถ้าอดทนไม่ไหว เขาก็จะขอทะเลาะกับโค้ชและจะลาออกจากทีมไป แต่เมื่อมาถึง โค้ชกับไม่ได้ว่าอะไรเขา แม้แต่คำเดียว แต่โค้ชกลับ “นิ่งเงียบ” ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั้น นักฟุตบอลคนนี้ คือผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีม เขาตั้งใจฝึกซ้อมและไม่เคยหนีเที่ยวอีกเลย
อีกหลายปีต่อมา เขาได้จบการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลอง ปรากฏว่าเขาได้เจอโค้ชคนนี้ที่งานเลี้ยง เขาจึงตรงเขาไปสารภาพว่า “ เขาเคยหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน แทนที่โค้ชจะลงโทษผมอย่างหนัก แต่โค้ชกับนิ่งเงียบ ทำให้ผมไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผมจึงขอสารภาพผิดกับโค้ช” เมื่อนักฟุตบอลผู้นั้น สารภาพผิดจึงเกิดความสบายใจขึ้น
“ขอโทษ” ต้องรู้จักพูดคำว่า “ขอโทษ” อดีตนายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยกล่าวคำคมไว้ประโยคหนึ่งว่า “ ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา” ในเรื่องของการใช้คำพูด เมื่อเราได้มีโอกาสใช้มากเท่าไร โอกาสผิดพลาดก็ยิ่งมีมาก แต่จะทำอย่างไรให้ สิ่งที่เราเคยพูดผิดพลาดไป ทำให้เราเกิดผลเสียกับเราน้อยที่สุด
พวกเราคงเคยเห็นดาราหลายๆ คนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยกล่าวโจมตี บุคคลอื่น จึงทำให้ตนเองเกิดภาพพจน์ที่เสียหายในเวลาต่อมา แต่เมื่อเราทำผิดพลาดแล้ว เราจะทำอย่างไร การพูดคำว่า “ขอโทษ” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ผลเสียอันเกิดจากการพูดลดน้อยลง ดังนั้น จงกล่าวคำว่า “ ขอโทษ” หากว่าท่านเป็นผู้ผิด ดีกว่าจะทำเป็น นิ่งเงียบหรือหาทางแก้ตัว
“ไม่ผูกมัด” นักการทูตที่ดีหรือนักการเมืองที่ดี ไม่ควรพูดผูกมัดตัวเอง แต่ควรมีการเลือกใช้คำพูดประเภทยืดหยุ่น เช่น บางคน บางครั้ง บางเวลา หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น หากมีผู้ใหญ่ที่เรานับถือมาเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเรา เราก็ให้การต้อนรับ หลังจากที่ผู้ใหญ่ท่านนั้น จะลากลับ ก็ได้ชวนเราให้ไปเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเขาบ้าง เราก็ควรหาคำตอบที่มีลักษณะยืดหยุ่นและไม่ผูกมัดตัวเองว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม กระผมจะได้ไปเยี่ยมเยือนท่าน” ซึ่งการพูดลักษณะนี้ มีลักษณะยืดหยุ่นสูง เพราะคำว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม” คำว่า “เหมาะสม” อาจเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ (อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า) แต่ถ้าคนพูดไม่เป็นก็จะรีบพูดผูกมัดตัวเอง “ ขอเป็นเดือนหน้าครับ” ผมไปเยี่ยมเยือนท่าน ซึ่งการพูดลักษณะนี้ เราจะต้องไปจริงๆ หากติดธุระหรือไปไม่ได้ ก็จะเป็นการผิดคำพูด ที่ได้พูดออกไป
ดังนั้น จึงขอสรุปว่า คนที่พูดเก่ง พูดเป็น จะต้องรู้จักใช้คำพูดให้ถูกกับสถานการณ์ เพราะคำพูดของคนเราเป็นทั้งศาสตร์และเป็นทั้งศิลป์ เราจึงต้องควรเรียนรู้ การใช้คำพูดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ คำพูดจึงจะก่อประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึง สังคมและประเทศชาติอีกด้วย

...
  
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายๆคน มักมีความคิดว่า คนที่พูดเก่ง เขามักมีพรสวรรค์ หรือ พูดเก่ง มาตั้งแต่เกิด การคิดเช่นนี้ จึงทำให้หลายๆคน ไม่อยากที่จะพัฒนาตนเองในด้านการพูด เพราะเชื่อว่า ถึงอย่างไร เราก็พูดไม่เก่ง หรือพูดเก่ง สู้คนอื่นเขาไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การพูดสามารถฝึกฝนได้ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน
หากเราได้มีโอกาส ไปสอบถามนักพูดระดับประเทศ หรือ นักพูดระดับโลก เราก็จะได้คำตอบในลักษณะเดียวกันจากปากของนักพูดท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักจะมองตอนที่เขาประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงทางด้านการพูดแล้ว แต่ถ้าไปสืบค้น เบื้องหลัง กว่าที่นักพูดระดับประเทศ นักพูดระดับโลก จะมีชื่อเสียง เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก เขาจะต้องทุ่มเท เขาจะต้องลงทุน ลงแรง และเสียเวลาในการฝึกฝนและพัฒนาการพูดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังคำพูดของ ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่แห่งประเทศสหรัฐ ได้กล่าวไว้ว่า “ เราไม่ต้องไปวิตกกังวลถึงผลของการฝึกฝนของเราเลย ขอให้ฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ อย่าได้หยุดยั้ง แล้วสักวันหนึ่ง เราจะพบว่า เราไม่ได้เป็นรองใครเลยในวงการหรือยุทธจักรที่เราได้ฝึกฝนไป บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่เขามีความแตกต่างตรงที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักจะเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายและไม่เคยท้อแท้ท้อถอยนั้นเอง”
อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียงไม่กี่ปี แต่เขากลับกลายเป็นนักพูดระดับโลก ก็เพราะการฝึกไป เรียนไป
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เขาเป็นคนพูดติดอ่าง ผู้ฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่เขา ฝึกไป เรียนไป เขากลายเป็นนักพูดชั้นเยี่ยมของโลก
เดมอส เทนิส เขาพูดในรัฐสภาครั้งแรก ถูกฮาป่า ถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศว่า เป็นคนที่พูดจาไม่มีวาทะศิลป์ การแสดงกิริยาท่าทางน่าเกลียดมาก เขาได้รับการอัปยศอดสู แต่ ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป เขาต้องใช้เวลาในฝึกพูดตามชายหาดทะเลอยู่ยาวนาน เขาฝึกอ่านสำนวนโวหาร และเขาก็ฝึกคิดสำนวนโวหารของตนเอง สุดท้าย เขาได้รับการให้เกียรติจากรัฐสภา และจากคนทั่วประเทศ
ฮิตเล่อร์ อดีต ผู้นำของประเทศเยอรมัน ไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย ฮิตเล่อร์ เป็นนักพูดที่สามารถพูดครองใจคนเยอรมันได้ทั้งประเทศในช่วงนั้น
ฉะนั้น การพูดจึงสามารถฝึกฝนได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เรามีสถาบันที่ให้การฝึกอบรม มากมาย อีกทั้งมีองค์กรต่างๆเช่น สมาคม ชมรม กลุ่ม ทางการฝึกพูดให้เรา สามารถเข้าไปฝึกฝนได้ เช่น สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , สโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด , ชมรมฝึกการพูดในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อและกล้ายืนยันว่า การพูดเป็นพูดเก่งพูดดี นั้นสามารถฝึกฝนได้ ตอนเด็กๆ กระผมเป็นคนไม่ค่อยพูดมาก พูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น แต่พอตอนกระผมได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย จึงได้มีโอกาส เข้าชมรมฝึกการพูด ภายหลังก็ได้มีโอกาสเข้าไปฝึกฝนการพูดที่สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย และ ตอนทำงานก็ได้มีโอกาสไปฝึกฝนการพูดตามสโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด
แน่นอน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า เราอาจเรียนรู้การพูดจากการอ่านหนังสือและการฟังได้ไม่ใช่หรือ แต่แท้ที่จริงแล้ว วิชาการหลายอย่างเราสามารถอ่านและฟังได้ แต่ก็มีวิชาการอีกหลายอย่างที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการฝึกปฏิบัติ การพูดจึงเป็นวิชาการในประเภทหลังนี้ คือ ต้องมีการอ่านจากในหนังสือและฟังบุคคลต่างๆพูด แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราพูดเก่ง พูดเป็น พูดดี ก็คือการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ นั้นเอง

...
  
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน หากท่านต้องการประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การใช้เงินในการซื้อเสียง ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินในการซื้อเสียง ท่านอาจจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ก็ด้วยปัจจัยดังนี้
1.องค์กรของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องต่อต้านการซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งควรเพิ่มบทลงโทษให้หนักและรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
2.เกิดกระแสฟีเวอร์ เช่น ในสมัยหนึ่ง มีกระแสนิยมในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งเกิดกระแส จำลองฟีเวอร์ ในขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคพลังธรรม ก็เพราะด้วยความศรัทธาในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น
3.ความเด่น ความดัง ความมีชื่อเสียง หลายๆคนประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง เช่น อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงดัง เขาแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ที่โด่งดังก็คือเรื่อง คนเหล็ก เขาชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2546 และ ปี 2549 สำหรับประเทศไทยเราก็มีคนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
4.การตื่นตัวของประชาชน เช่น หลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค(14 ตุลาคม 2516) และ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พฤษภาคม 2535 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียง แต่สามารถได้รับชัยชนะ ก็เนื่องมาจากประชาชนในพื้นที่เกิดการตื่นตัวอยากที่จะได้นักการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่าต้องการอามิสสินจ้างใดๆ
5.ความโดดเด่นทางการพูด นักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็เนื่องมาจากความสามารถในการพูด เช่น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีฐานะการเงินที่ดี แต่เขามีความสามารถในการพูดการสื่อสาร , อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่สูงดีนัก เขาเคยไปเป็นกรรมกร เขาเคยเป็นจินตกรขายภาพวาดสีน้ำ แต่สุดท้ายเขาได้เป็นผู้นำของประเทศเยอรมันนี ก็ด้วยเพราะความสามารถในการพูดจูงใจคนของเขานั้นเอง ประเทศไทยของเราก็มีนักการเมืองหลายๆคนที่มีความสามารถในการพูด ซึ่งทำให้ได้รับชนะในการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
6.การสร้างผลงานและการสะสมผลงาน นักการเมืองหลายๆคน ได้รับชัยชนะโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองได้ สร้างผลงานฝากไว้ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายๆคน ได้มีการพัฒนา ได้มีการปรับปรุง ได้มีการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆให้กับจังหวัดหรือในพื้นที่ ที่ตนไปอยู่ การฝากผลงานและการสะสมผลงาน ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากๆ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง
ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ประสบชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ซึ่งบุคคลที่ประสบชัยชนะไม่จำเป็นจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทุกปัจจัย บางคนมีแค่ 1-2 ปัจจัยก็สามารถนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ ความรัก ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงจะต้องมีมากพอที่จะเอาชนะอำนาจเงินของนักเลือกตั้งที่ใช้เงินในการซื้อเสียงได้







...
  
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญต่อการทำการตลาด เพราะการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดการสร้างการยอมรับ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการชื่มชม ยินดี ทำให้เกิดความร่วมมือ สร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียง แก่บริษัท แก่องค์กร แก่สินค้า

ในความคิดเห็นส่วนตัวของกระผม ถ้าหากบริษัท ห้างร้าน องค์กรใด มีเงินทุนที่จำกัด ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ กระผมจะเลือกทำการประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะการประชาสัมพันธ์ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และถ้าหากจะเทียบผลตอบแทนแล้ว ประชาสัมพันธ์จะได้รับผลตอบแทนที่มีความคุ้มค่ามากกว่าการโฆษณา

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ก็โดยการเป็นนักประชาสัมพันธ์ นักการตลาด ให้กับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ จนได้รับฉายาว่าเป็นนักสร้างภาพชั้นเซียนของบริษัทโตโยต้า จนกระทั่งผู้บริหารของโตโยต้าที่ญี่ปุ่น ให้เขากระโดดจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายไปเป็นกรรมการบริหารโดยไม่ต้องเป็น กรรมการสมทบก่อน โดยการเป็นคนเก่งงานด้านการประชาสัมพันธ์และงานด้านการตลาด ต่อมา เขาได้ เป็น สส.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด

นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของฉายา Image maker ซึ่งเขาก็เอาหลักการประชาสัมพันธ์และหลักการตลาด มาใช้กับบุคคลโดยการทำธุรกิจปั้นดารา ขึ้นมา เพราะเขาคิดว่า ขนาดรถหรือสินค้าต่างๆ สบู่ ยาสีฟัน รองเท้า เสื้อผ้า กางเกง ยังปั้นได้ ทำไม ดาราจะปั้นไม่ได้ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปั้นดารา ดาราที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เขาปั้น เช่น วิลลี แมคอินทอช ,จอห์นนี่ แอนโฟเน่ , ดอม เหตระกูล , ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นต้น





ทำไมต้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อโฆษณามีราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน การประชาสัมพันธ์กลับเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่า และส่วนใหญ่จะเป็นการขอความอนุเคราะห์ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนมากกว่า

2. สื่อต่างๆในยุคปัจจุบัน มีหลายชนิด หลายประเภทมากขึ้นกว่าในอดีต จึงทำให้การใช้สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ จำเป็นจะต้องมีการวางแผนใช้สื่อที่แยกย่อยมากขึ้น และควรใช้สื่อให้ครบทุกประเภทเพื่อให้กลุ่มลูกค้าและประชาชนได้เห็น ข่าวสารที่เราต้องการสื่อได้มากที่สุด สรุปคือต้องใช้เครื่องมือสื่อสารแบบผสมผสานกัน

3.ทัศนคติ ความต้องการ รสนิยม ความชอบ กระแส ของกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง และมีการเปลี่ยนแปลงไวขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาดที่ดี เราอาจจะมีการแบ่งกลยุทธ์หรือวางแผนการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. แบบรุก เป็นการประชาสัมพันธ์แบบสร้างสรรค์ คือมุ่งสร้างสรรค์หาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆให้กับ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเองมากกว่า ที่จะรอคอยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาแก้ไข ในภาวะปกติหรือภาวะที่มีการแข่งขันอย่างในปัจจุบัน การประชาสัมพันธ์แบบรุก จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก

2. แบบรับ เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับ องค์กร บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้น มักที่จะทำลายชื่อเสียง ภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าหรือบริษัท แนวทางในการประชาสัมพันธ์แบบตั้งรับ ก็คือ การเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีความถูกต้อง ชัดเจน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา และ มีการตั้งทีมงานคอยควบคุมข่าวลือ ข่าวสารที่เป็นเท็จ มีการตั้งทีมงานการประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะจัดการกับภาวะวิกฤตหรือวิกฤตต่างๆที่จะเกิดขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดให้กับสินค้า บริการ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลักในการทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ เราอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

1.ต้องใช้มืออาชีพในการวางแผนการทำประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีนักวางแผนมืออาชีพช่วย ในการวางแผน วางกลุ่มเป้าหมาย วางแนวทางในการทำงาน วางเนื้อหา วางคนในการนำเสนอ วางจังหวะในการรุกและรับ เป็นอย่างดี

2.ต้องเชื่อในพลังแห่งการสื่อสาร มีนักวิชาการเคยกล่าวไว้ว่า “ ใครมีสื่อในมือคนนั้นมีอำนาจ ” หรือ “ สื่อเป็นที่มาของอำนาจ” เพราะหากใคร พูดเก่ง พูดได้ถูกจังหวะ เวลา และรู้ว่าควรพูดผ่านช่องทางไหน เขาย่อมกำชัยชนะ รวมไปถึงงานด้านการตลาดด้วย

3.ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น ต้องรู้ว่า ลูกค้ากลุ่มใด วัยใด อายุเท่าไร คือลูกค้าของเรา สินค้าใดมีความเหมาะสมกับ คนเพศใด วัยใด อายุเท่าไร เป็นต้น

4.ต้องมีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ เงินคือปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว หรือมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน บริษัท ห้างร้าน จึงต้องจัดสรรเงินในการทำการประชาสัมพันธ์ของสินค้าของตนเอง

5.ต้องมีเครือข่ายสนับสนุน การทำงานประชาสัมพันธ์ให้ประสบความสำเร็จ การหาเครือข่ายต่างๆช่วยเหลือ มีความจำเป็น อย่างมาก เช่น มีสื่อมวลชนช่วย , มีดาราหรือมีบุคคลที่มีชื่อเสียงช่วย , มีนักวิชาการ รวมไปถึงมีมวลชนให้การช่วยเหลือ เป็นต้น

6.ต้องสร้างความถี่ในลูกค้าได้เห็น สินค้า หรือ เจ้าของสินค้า ต้องขยันออกสื่อ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำและสมควรทำ การเสนอหน้าต่อสื่อจะทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และรู้จักสินค้าของเรามากขึ้น

7.ต้องมีการจัดกิจกรรมพิเศษหรือมีการจัดเหตุการณ์พิเศษบ้าง เช่น การจัดงานแสดงต่างๆ งานแสดงการค้า การแสดงโชว์ การแสดงศิลปะ การแสดงโชว์รถ เป็นต้น

8.ต้องมีการประกาศ เผยแพร่ข้อมูลทางสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นิตยสาร เอกสารแจกลูกค้า วิทยุ สื่อสมัยใหม่โดยผ่านช่องทางทางอินเตอร์เน็ต

9.ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมปลูกป่า, กิจกรรมบริจาคหนังสือ , กิจกรรมพัฒนาชนบท ,กิจกรรมสร้างบ้านให้คนยากจน,กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น

ฉะนั้น การประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญต่อการทำงานด้านการตลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จะทำให้ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ได้รับการยอมรับ ได้รับการสนับสนุน ได้รับผลประโยชน์ จากกลุ่มลูกค้าและประชาชน ตรงกันข้าม ถ้าหาก บริษัทใด ห้างร้านใด สินค้าใด ไม่มีการทำการตลาดผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ บริษัทนั้น ห้างร้านนั้น สินค้านั้น ก็จะขาดซึ่งการยอมรับ การสนับสนุน จากกลุ่มของลูกค้าและประชาชน ...
  
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเป็นจำนวนมากเมื่อถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนแล้ว มักเกิดอาการประหม่า ไม่มีสมาธิ วิตกกังวล ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สั่น เกิดความกลัว ไม่สามารถจัดเรียงความคิดให้เป็นปกติได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เกิดขึ้นกับผู้พูดต่อหน้าที่ชุมชนทุกๆคน แต่สำหรับคนที่ผ่านการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาเป็นจำนวนมากหรือขึ้นเวทีบ่อยๆ อาการต่างๆเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลงไป ทั้งนี้ ท่านสามารถแก้ไขตัวท่านเอง จากอาการเหล่านี้ได้โดย
1.เริ่มต้นด้วยความรัก ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ แล้วท่านอยากที่จะไป ท่านอยากที่จะพูด นั้นแสดงว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ถูกปลูกฝังไปยังตัวของท่านแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ ท่านรู้สึกไม่ชอบ ไม่มีความสุข ท่านก็จะไม่มีความมั่นใจ ท่านจะไม่สนุกกับมัน ความกล้าของท่านก็จะลดลง
2.เตรียมตัว เตรียมเนื้อหา ในการพูดทุกๆครั้ง การเตรียมตัวจะช่วยให้เกิดความกล้า และความมั่นใจมากขึ้นในการพูด ซึ่งการเตรียมตัว ต้องรวมไปถึง การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนที่จะไปพูดจริงๆ อีกทั้ง การเตรียมเนื้อหา ก็ต้องเตรียมให้มากกว่าที่จะไปพูดจริงๆ เพราะถ้าเราเตรียมเนื้อหาไปน้อยกว่าเวลาที่ผู้จัดได้มอบให้ เวลาพูดก็จะเหลือมาก การเตรียมเนื้อหาจึงควรเตรียมเนื้อหาให้มากกว่าเวลาที่เขามอบให้พูด ซึ่งหากว่าใกล้จะหมดเวลา เราก็สามารถตัดทอนเนื้อหาบางส่วนออก เพื่อให้การพูดของเราจบตรงเวลาที่ได้รับมอบหมาย การเตรียมเนื้อหา ยังรวมไปถึง ว่าเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางเราจะพูดอย่างไร สรุปจบปิดท้าย เราจะพูดอะไรด้วย
3.ฝึกซ้อมการพูด มีความสำคัญมาก เพราะการฝึกซ้อมการพูดจะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในการที่จะนำไปพูดจริงๆ เมื่อเรา เตรียมเนื้อหาแล้ว เราก็ควรฝึกซ้อมการพูดของเรา อาจจะฝึกต่อหน้ากระจก ฝึกซ้อมกับบุคคลที่เราคุ้นเคย ฝึกซ้อมในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆคนเดียว ดังเช่น นักพูดที่โด่งดังในระดับโลกในอดีต ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ฝึกซ้อมการพูดในขณะเดินทางซึ่งต้องอยู่บนหลังม้า(ในอดีตไม่มีรถ เวลาเดินทางไปไหนเป็นระยะเวลาไกลๆ จึงต้องใช้ม้า) , เดล คาร์เนกี ฝึกซ้อมการพูดคนเดียวในขณะถอนหญ้าอยู่ภายในสวน สำหรับกระผม กระผมจะฝึกซ้อมการพูด เวลาเดินออกกำลังกาย ทั้งนี้ การฝึกซ้อมการพูดไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมกับทุกคน แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเป็นหลักว่า ชอบหรือมีจริตอย่างไร
4.รู้จักระงับอาการตื่นเวทีบ้าง ในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน อาการตื่นเวที มีด้วยกันทุกคน เพียงแต่ใครจะมีมากหรือน้อย หรือควบคุมมันได้มากหรือน้อยแค่ไหน เริ่มจากความคิดของเราเองก่อนเป็นอันดับแรก เราต้องไม่คิดฟุ้งซ่าน เราต้องไม่คิดกังวล หลังจากที่เราเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเตรียมมา พูดออกไปให้มันเต็มที อีกทั้งควรมีการผ่อนคลาย ผ่อนอารมณ์ เช่น ดื่มน้ำอุ่นๆ สักเล็กน้อย , สูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอดอย่างช้าๆสัก 3-5 ครั้ง เมื่อถูกเชิญก็ควร ยิ้มแย้ม แจ่มใส ปรับทางเดินอย่างกระตือรือร้น พร้อมทั้งปรากฏกายอย่างสง่าผ่าเผย กระฉับกระเฉง
5.หาเวทีแสดงบ่อยๆ ความขลาดกลัวเกิดจากความไม่มั่นใจ ความไม่มั่นใจเกิดจากการทำสิ่งเหล่านั้นยังไม่มากพอหรือบ่อยพอ วิธีที่ทำให้เกิดความกล้าหรือความมั่นใจก็คือ ทำสิ่งนั้นบ่อยๆ ถ้าท่านกลัวการขี่ม้า ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขี่ม้าได้ นอกจากการที่ท่านต้องขึ้นไปขี่มัน ฉะนั้น ถ้าท่านกลัวสิ่งไหน ก็เข้าไปหาสิ่งนั้น ถ้าท่านกลัวการขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขึ้นมาได้ มีทางเดียว คือ ท่านจะต้องขึ้นไปพูดบ่อยๆ นั้นเอง


...
  
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึงผู้ประกาศ ผู้โฆษณา เช่นโฆษณาสถานีวิทยุ ผู้แถลงข่าว แทนเช่นโฆษกพรรคการเมือง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึง ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา หรือผู้แถลงข่าวแทน
ดังนั้น ความหมายของโฆษก โดยรวมก็คือ ผู้เป็นปากเป็นเสียงแทน ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา ผู้ที่ทําหน้าที่ ส่งมอบข่าวสาร และข้อมูลต่างๆ ให้แก่สาธารณชน หรือประชาชนได้รับรู้
คุณลักษณะของการเป็นโฆษกที่ดีคือ
1 มีข้อมูลมีข่าวสารมีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองพูด
2 มีความน่าไว้วางใจมีความน่าเชื่อถือ
3 เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชนหรือสื่อมวลชน
4 มีความสามารถทางด้านการพูดการสื่อสาร
โฆษกควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดีดังนี้
1 การใช้คำ อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2 การใช้น้ำเสียง การใช้เสียง ประกอบ การพูดให้ถูกต้องกับสถานการณ์ นั้นๆ
3 การใช้อวัจนภาษา การใช้ท่าทางประกอบการพูด อย่างสอดคล้องเหมาะสม
จากเนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี
พศ 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
จากเนื้อเพลงข้างต้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการหรือทางการกับชาวบ้าน ที่มีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เราสามารถนำมาวิเคราะห์โดยผ่าน กระบวนการสื่อสาร ว่า เกิดความผิดพลาดตรงไหน อย่างไร
กระบวนการสื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ส่งสาร 2 สาร 3 ช่องทาง 4 ผู้รับสาร
1 ผู้ส่งสาร คือ ข้าราชการ ผู้รับนโยบาย จากรัฐบาล มาส่งต่อให้กับผู้นำชุมชน
2 สาร คือ การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกร เลี้ยงเป็ดและ สุกร(หมู)
3 ช่องทาง คือ การประชุม การใช้ไมโครโฟนพูดในที่ประชุม
4 ผู้รับสาร คือ ผู้ใหญ่ลี ที่เข้าใจผิด คิดว่า คำว่าสุกร หมายถึง หมาน้อย
จากกรณีศึกษาข้างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร...ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น...
ข้อที่ 1 ผู้ส่งสาร ควรเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ปัญหา หรือความไม่เข้าใจต่างๆ จากผู้รับสาร
ข้อที่ 2 สาร ผู้ส่งสารได้ใช้ภาษาราชการ ซึ่งมาจากส่วนกลาง เพราะในยุคนั้นชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นมักจะ คุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่น(หมู)มากกว่าภาษาจากส่วนกลาง(สุกร) เพื่อลดความผิดพลาด ควรใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ชาวบ้านใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ สื่อสารจะเกิด ประสิทธิภาพ มากขึ้น
ข้อ 3 ผู้รับสาร คือผู้ใหญ่ลี เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ หรือข้อสงสัย ก็ควรสอบถาม ข้าราชการ หรือทางการ ที่ส่งสาร หรือข้อมูล
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.