หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  สู้แล้วรวย
  -  ขายเก่ง....รวยก่อน.....
  -  เทคนิคการประชุม
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  นักบริหารกับความสำเร็จ
  -  เด็กขายตัว
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  การพูดหน้าชุมชน
  -  ยาเสพติดประเทศไทย
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  เหล้ากับเทศกาลสงกรานต์
  -  การเผาป่า
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  ผู้นำกับองค์กรเรียนรู้
  -  ศิลปะการฟัง
  -  ทีม
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  บทบาทนักบริหาร
  -  เอดส์ สังคมไทย
  -  เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  ผู้บริหารกับประชาสัมพันธ์
  -  หัวใจงานบริหาร
  -  กิ๊ก
  -  เมืองไทยเมืองเซ็กส์
  -  แฟชั่น นักศึกษา
  -  ปัจจัยในการบริหาร
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  น้ำมันยังเป็นปัญหาใหญ่
  -  บุหรี่
  -  สายสัมพันธ์กับนักบริหาร
  -  ขยะเป็นทอง
  -  หมวก 6 ใบ
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  เด็กนอกระบบ
  -  สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
  -  ความคิดสร้างสรรค์
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
พ่อแม่ รังแกฉัน
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อันชนกชนนีนี้รักเจ้า เทียมเท่าชีวาก็ว่าได้
เมื่อ สมัยเด็กๆ เมื่อตอนที่กระผมกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียน กระผมได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาที่ดีและให้แง่คิดมาก กระผมคิดว่าคนรุ่นวัย 20 ปี ขึ้นไป หลายคนคงได้อ่านเช่นกัน หนังสือเล่มนั้นก็คือ หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่ รังแกฉัน “ เนื้อ เรื่อง เท่าที่จำได้ พอสรุปได้ว่า เป็นเรื่องราวความรักของพ่อแม่ที่ผิดพลาดโดยการ “ ตามใจ” เรื่องมีอยู่ว่าพ่อแม่ เป็นเศรษฐี รักลูกมากๆ มีอะไรก็หามาให้ ตามใจสารพัด ใครจะว่า กล่าวด่าลูกก็ไม่ได้ ลูก จะผิดจะถูกอย่างไรก็ไม่เคยเตือน สอนสั่ง เมื่อลูกไม่สนใจการเรียนก็ไม่เคยเตือน จนลูกเข้าสู่วัยรุ่น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่เคยห้าม คบเพื่อนไม่ดี พากันไปเที่ยว พากันไปกินเหล้า พากันเที่ยวไม่ยอมเรียนหนังสือ พ่อแม่ก็ไม่ว่า ตามใจทุกอย่าง จนเมื่อลูกโตใหญ่และพ่อแม่ก็แก่ตามไปด้วย ปรากฏลูกเศรษฐี เอาไม่รอด ความประพฤติชั่วช้า จนพ่อแม่ตายไปชีวิตที่ร่ำรวยเงินทองจากพ่อแม่ก็กลับเป็นยากลำบาก เพราะหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ในที่สุดต้องกลายเป็นขอทาน ตอนเป็นขอทานกลับไม่สำนึก โทษพ่อแม่ว่าเป็นความผิดที่ตามใจ(รังแกฉัน) จนกระทั่งได้พบกับซินแส ได้เล่าเรียนจนประกอบอาชีพได้
นี่คือ ยาพิษของการเลี้ยงลูกด้วยการตามใจ
หนังสือ เล่มนี้ สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ ที่รักลูกมากเกินไป ตามใจเกินไป ใครว่ากล่าว สั่งสอนไม่ได้ ในที่สุด เมื่อลูกโตใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่เอาตัวไม่รอด
ฉะนั้น ความรักจึงเป็นเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งถูกใช้ในการถากถางในการดำเนินชีวิตและอีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นอาวุธ ที่ร้ายแรงคอยทิ่มแทงผู้ที่ใช้ความรักได้เช่นกัน
และ ถ้าจะให้ดี ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาก็ควรที่จะให้เด็กไทยรุ่นใหม่ได้มีโอกาส อ่าน วรรณกรรมประเภทเหล่านี้ให้มากๆ ในโรงเรียนถ้ากระผมจำไม่ผิด หนังสือเรื่อง “ พ่อแม่รังแกฉัน” น่าจะเป็นหนังสือคำประพันธ์บางเรื่องของ ท่านพระยาอุปกิตศิลปสาร
ใน สังคมไทยเราปัจจุบันมีมากมาย ไม่ว่าเศรษฐี ไม่ว่าชาวไร่ชาวนา หาเช้ากินค่ำ ผู้หลักผู้ใหญ่บางคน ที่สอนลูกในลักษณะนี้ คือ ตามใจลูก ลูกผิดครูสั่งสอนก็ไม่ได้ ใครจะเตือนก็ไม่ได้ จึงทำให้เด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงมีนิสัย ที่ชั่วร้าย ไม่โต ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้
ในสังคมไทยเราปัจจุบันเราต้องยอมรับเลยว่า การเลี้ยงลูกในสมัยนี้ยากกว่าสมัยก่อน มาก เพราะ
สังคมปัจจุบันเรามีสิ่งเร้า สิ่งยั่วยุ สิ่งเสพติด สิ่งอบายมุข การพนัน เกมส์ และรวมทั้งสื่อลามกอนาจารเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น วิธีการเลี้ยงดูลูกหลาน จึงต้องเปลี่ยนแปลงจากอดีต พ่อแม่ผู้ปกครองต้องดูแลให้เวลาลูกหลานเพิ่มมากขึ้น มีศาสตร์และมีศิลป์ในการสอน และต้องมีวิธีการดูปัญหา แก้ปัญหา เป็นระบบ
ไม่ มองจุดเดียว เพราะปัญหาของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ค่อนข้างเชื่อมโยงกัน เช่น ปัญหาเด็กติดเกมส์ก็มักจะทำให้เด็กเสียการเรียน ร้านเกมส์บางร้านอาจเป็นแหล่งมั่วสุม ซึ่งเป็นที่มาของการขายยาเสพติด การล่อลวงเด็กไปมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเด็กต้องการเล่นเกมส์ ต้องการหาเงินไปซื้อยาเสพติด ก็จะเกิดปัญหาลักขโมยตามมา เด็กบางคนอาจมีปัญหามากจนเกิดอาการซึมเศร้า จนกระทั่งต้องฆ่าตัวตายก็มี และยังมีปัญหาที่เชื่อมโยงกับปัญหาเหล่านี้อีกมากมาย
เรา จะเห็นได้ว่าปัญหาเด็กและเยาวชน เป็นปัญหาที่ใหญ่ และถ้ายังไม่ช่วยกันแก้ อนาคตของประเทศไทยเราก็คงต้องแย่ เพราะ เด็กและเยาวชนก็คืออนาคตของชาติ (เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า)
ความรักความห่วงใย คือ สายใยของครอบครัว

...
  
เด็กนอกระบบ
เด็กนอกระบบ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2553 กระผมได้มีโอกาสไปร่วมเป็นวิทยากรร่วมงานเสวนา “ พลังรักพลังอำนาจของเยาวชนในเทศบาลแม่กาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ” จัดโดย เทศบาลแม่กา สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ(สสส.)และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)
โดยในเวทีได้พูดถึงเรื่องประเด็น เด็กนอกระบบ สถานการณ์ในปัจจุบันของเด็กนอกระบบตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา และ วิธีการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ ซึ่งมีตัวแทนจาก ภาคศาสนา(พระสงฆ์) , ภาควิชาการ(กระผม),ภาคการศึกษานอกโรงเรียนและตัวแทนเทศบาลแม่กา
ถ้าพูดถึง เด็กนอกระบบ หมายถึง เด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียนในระบบการศึกษา (โดยปัจจุบันมีเด็กนอกระบบ ที่ออกจากระบบการศึกษาในระดับประถมศึกษา(สูงสุด)และเด็กนอกระบบที่ออกจากระบบการศึกษาในระบบ ระบบมัธยมศึกษา(รองลงมา) ถึงแม้ทางรัฐบาลได้ออกกฏหมายบังคับให้เด็กเรียน 15 ปี ในระบบก็ตาม แต่ความเป็นจริง แต่ละโรงเรียนก็มีการถูกประเมินการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สมศ. จึงทำให้แต่ละโรงเรียนต้องสร้างเด็กให้ได้มาตรฐาน ทั้งเป็นคนดีและเป็นคนเก่ง จึงทำให้เด็กที่มีคุณภาพต่ำกว่าจากมาตรฐานหลุดออกจากการศึกษาในระบบที่ละคนสองคน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่น่าสงสารเนื่องจาก เป็นเด็กที่เรียนไม่เก่ง หัวไม่ดี มีปัญหาครอบครัว เป็นเด็กยากจน มีปัญหา ขาดคนเข้าใจ
เมื่อเด็กกลุ่มดังกล่าวหลุดออกจากระบบการศึกษาก็ทำให้เด็กดำเนินชีวิตตามยถากรรม ขณะที่เพื่อนเรียนในระบบ ใช้เวลาอยู่ในระบบ แต่เด็กกลุ่มนี้ ต้องอยู่ที่บ้าน อยู่ตามร้านเกมส์ อยู่ตามสถานบันเทิงต่างๆ แล้วเด็กกลุ่มดังกล่าวก็จะก่อปัญหาแก่สังคมต่อๆไป ไม่ว่า ก่อปัญหายาเสพติด ก่อปัญหาอาชญากรรม ก่อปัญหาการทำร้ายร่างกายกัน ปัญหาลักจี้ชิงปล้น และปัญหาอื่นๆ
สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ เราจะทำอย่างไร กระผมขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า เราก็คงต้องเอา เด็กนอกระบบ กลับเข้าสู่ระบบ เสีย แต่ถ้าเป็นระบบในปัจจุบัน กลุ่มเด็กนอกระบบดังกล่าวคงไม่สามารถเข้าไปสู่ในระบบได้ เนื่องจากโรงเรียนแต่ละแห่งคงไม่อยากรับ เราคงต้องหาระบบที่มีมาตราฐานต่ำกว่าการศึกษาในระบบ เช่น ระบบการศึกษานอกโรงเรียน(กศน.) หรือ การออกแบบกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานหรือองค์กรพัฒนาเอกชน(NGO) ต่างๆ ที่ต้องออกแบบกิจกรรมหลักสูตรเพื่อรองรับ เด็กนอกระบบ ดังกล่าว เช่น หลักสูตรประกอบอาชีพเพื่อให้เด็กนอกระบบมีอาชีพในการทำงานได้ในอนาคต
ด้าน วัดหรือสถานปฏิบัติธรรมก็ช่วย เด็กกลุ่มนี้ได้ระดับหนึ่ง แต่คงต้องมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรมในการสอนหรืออบรม (ขนาดเด็กในระบบบางส่วนยังไม่ค่อยชอบในการอบรมของวัดบางแห่งซึ่งการอบรมไม่เร้าใจและไม่สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ในเด็กกลุ่มนี้)
สรุป ปัญหาเด็กนอกระบบ คงต้องหาเจ้าภาพดูแล เจ้าภาพที่ควรดูแลมากที่สุด คงต้องเป็นรัฐบาล แต่เราจะไปหวังอะไรมากจากรัฐบาลไม่ได้ เนื่องจากรัฐบาลแต่ละชุดมีปัญหาในระดับประเทศต้องแก้ไขมากมาย ดังนั้นจึงคงต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นที่ต้องสัมผัสกับเด็กนอกระบบในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่น เช่น เทศบาล , อบต. , อบจ. ฯลฯ ซึ่งสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) คงมีแนวความคิดนี้เช่นกัน จึงได้ให้ทุนองค์กรส่วนท้องถิ่นหรือหาความร่วมมือโดยการจัดทำโครงการเพื่อการแก้ไขปัญหาเด็กนอกระบบ
แต่การแก้ปัญหาเด็กนอกระบบไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เนื่องจาก ปัญหาดังกล่าวเปรียบเทียบแล้ว คงเหมือนเชือก 1 เส้น ที่มีปมหลายปม แก้ปมนี้ อาจจะต้องเจออีกปมหนึ่ง เนื่องจากปัญหาเด็กนอกระบบมีความซับซ้อน และเกี่ยวโยงกับปัญหาอื่นๆ ด้วย กล่าวคือ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว,เกี่ยวกับปัญหาบริโภคนิยม,เกี่ยวกับปัญหายาเสพติด,เกี่ยวกับปัญหาสังคม ฯลฯ




...
  
สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วม เวที สภาประชาชน “ คนพยาว ฮ่วมกึ๋ด อู้จ๋า สภาผู้บริโภค ” ณ ห้องประชุมพุดตาน โรงแรมเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา ภายในงานมีรายการต่างๆ เช่น มีการแสดง จ๊อย ซอ เรื่องสิทธิผู้บริโภค , ชมวีดีทัศน์ “ หนึ่งปีที่ผ่านมากับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา ” , พิธีเปิด “ เวทีสภาผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” , บรรยาย “ ทิศทางการทำงานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดและ ความร่วมมือเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” , บรรยายเรื่อง “ ผู้บริโภคได้อะไรจาก พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ” , และมีการแบ่งกลุ่มห้องเรียนผู้บริโภคในหัวข้อต่างๆ เช่น ห้องที่ 1 ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม , ห้องที่ 2 พฤติกรรมผู้บริโภคกับการใช้ยา , ห้องที่ 3 รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ , ห้องที่ 4 ภัยใกล้ตัวผู้บริโภค จากผลิตภัณฑ์แร่ใยหิน , ในช่วง บ่าย มีการแสดง ละครสั้น “ สะท้อนปัญหาผู้บริโภค ” โดยแกนนำเยาวชนชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภค โรงเรียนพะเยาพิทยาคม และมีการสรุป นำเสนอความคิดเห็นของผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา
สำหรับเรื่อง รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ วิทยากรหลักโดย ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี สำหรับความคิดเห็นของกระผมคิดว่าเรื่องของการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะถ้าเทียบจากอดีตกระผมคิดว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเทียบกับหลายประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศไทยของเราก็คงเทียบในเรื่องการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะนั้นคงยาก ด้านอุบัติเหตุที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเดือนมีนาคม 52 – กรกฏาคม 53 (1 ปี 4 เดือน) ในรถประเภทต่างๆ อุบัติเหตุจำนวน 260 ครั้ง จำนวนผู้ประสบภัย 2,139 คน บาดเจ็บ 1,988 คน เสียชีวิต 151 คน กระผมคิดว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก คนขับรถโดยสาร สภาพรถโดยสารที่ไม่มั่นคงปลอดภัย(ล้อรถไม่มีดอกยาง รถมีการดัดแปลง มีความไม่แข็งแรง) สภาพถนนต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเนื่องจากการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ , ภาระค่ารักษาที่มากกว่าเงินประกันภัยที่ได้รับ , การเสียโอกาสในการเดินทางและการทำงานในอนาคต และ สภาพจิตใจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู สำหรับเรื่องของสภาพรถโดยสาร บางคัน ผมเคยเห็นบางคัน ไม่น่าจะมาเป็นรถโดยสารได้ เนื่องจากสภาพรถที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แต่ก็มีรถหลายคันยังสามารถขับขี่บนท้องถนนได้ ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาแล้วก็ตาม กระผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ด้านสถานีขนส่งหลายจังหวัดมีสภาพคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สภาพห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น แถมบางแห่งยังมีการเก็บค่าเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก สภาพถนนที่มีสภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ส่วนบริษัทประกันภัย ก็ได้เสนอจ่ายเงินค่าชดเชยหรือผลของการเยียวยา จำนวนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการเกิดอุบัติเหตุ จนต้องมีการฟ้องร้องและไกล่เกลี่ยเจรจากัน หลังฟ้อง เช่น กรณีนางสาวคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บใบหน้าฟกช้ำ เลือดคั่งในสมอง บริษัทประกันภัยได้เสนอจ่าย 4,700 บาท ตกลงกันไม่ได้กับผู้เสียหาย จึงฟ้องร้องในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ยหลังฟ้องเป็นคดีได้รับเงิน 50,000 บาท
กระผมขอฝากท่านผู้อ่านในเรื่อง สิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 10 ประการ ตามสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้ 1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถโดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ 2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ 3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม 4.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆ ด้านจากการใช้บริการรถโดยสาร 5.สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน 6.สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น 7.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิงเวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความ 8.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิด 9.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด 10.สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและของผู้อื่น
สำหรับ เรื่อง ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม ส่วนใหญ่ประชาชนชาวพะเยาที่เข้าร่วมสัมมนามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมในการใช้บริการของโทรศัพท์ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มีค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมหลายๆ อย่าง เช่น การสมัคร SMS ง่าย แต่ยกเลิกยาก , มีการหักเงินหรือเรียกค่าใช้จ่ายเกินจริงหรือจำนวนที่ใช้จริง ฯลฯ
ฉะนั้น พวกเราในฐานะผู้ใช้บริการ ขอให้ช่วยกันเรียกร้องความยุติธรรมเกี่ยวกับการใช้บริการ อย่าให้บริษัทหรือเจ้าของกิจการเอาเปรียบได้


...
  
ความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อพูดถึงเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทยเรา เรายังมีความคิดสร้างสรรค์กันน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอเมริกา ซึ่งมีนักคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างผลงานใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์แก่โลกของเรามากมาย เช่น
- โทมัส อัลวา เอดิสัน คิดค้น หลอดไฟฟ้าหลอดแรกของโลกได้ ซึ่งทำให้โลกของเรามีความ
สว่างในเวลากลางคืน
- สองพี่น้องตระกูลไรค์ คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทาง
ข้ามทวีปได้อย่างง่ายดายกว่าในอดีต
- ฟิโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ ชาวอเมริกัน ผู้ที่คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรกของโลก
- สตีฟ จอบส์ คิดค้นสินค้าตระกูล I ซึ่งทำให้เราได้ใช้สินค้าที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น
ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสิ่งใหม่ๆ
(Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่แตกต่างไปจากสิ่งที่มีอยู่เดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
เช่นกระผมปัจจุบันทำงานเป็นวิทยากรอิสระ หากว่ากระผมแก้ผ้าไปบรรยาย พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ไหม เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ กระผมขอตอบว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งใหม่ก็จริง แต่มีความไม่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ไม่ได้เนื่องจากผิดมารยาททางสังคม จึงไม่ถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์
ทำไมคนไทยเราถึงมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าสังคมอเมริกา อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุเช่น
1.สังคมไทยเป็นสังคมที่พึ่งพาผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสมากกว่าพึ่งพาตนเอง เช่น ลูกพึ่งพาพ่อแม่ถึงแม้ลูกจะ
หางานทำมีงานทำแล้ว แต่ลูกบางคนยังขอเงินพ่อแม่อยู่ , ผู้น้อยพึ่งพาผู้ใหญ่ สังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ เป็นสังคมที่มีเส้นมีสาย , สังคมไทยเมื่อมีปัญหามักจะพึ่งพาผู้มีอำนาจ ผู้ที่มีเงินมากกว่าที่จะระดมความคิดแก้ไขปัญหากันเอง
2.ระบบการศึกษาของไทยมักสอนให้เด็กท่องจำมากกว่าสอนให้คิดเอง เมื่อตอนเด็กๆ เรามักได้ทำข้อสอบที่เป็นปรนัย( กขคง)มากกว่าข้อสอบอัตนัย(เขียนบรรยาย) เช่น เราเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับประเทศพม่าครั้งที่หนึ่งในสมัยของใคร ก.พระเจ้ามหาราช ข.พระเจ้าอู่เงิน ค.พระเจ้าอู่ทอง ง.ผิดหมดทุกข้อ
แต่หากข้อสอบเป็นอัตนัย(เขียนบรรยาย) ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้คิดมากขึ้น เช่น ท่านคิดว่าหากเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ ท่านมีวิธีใดที่จะไม่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าในครั้งที่หนึ่ง
3.คนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องของพรสวรรค์ มากกว่าพรแสวง เช่น เห็นนักวาดรูป ศิลปิน นักแต่งเพลง ฯลฯ คนไทยมักคิดว่าเราสร้างสรรค์งานเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่แท้จริงแล้ว ความคิดสร้างสรรค์ เราสามารถสร้างและพัฒนาได้ ฝึกฝนเรียนรู้ได้
4.สังคมไทยเป็นสังคมที่กลัวความล้มเหลว เรามักได้ยินคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ผิดเป็นครู” แต่เรามักไม่ชอบในครูคนนี้สักเท่าไร แต่ตรงกันข้ามกับสังคมอเมริกาที่คนของเขากล้าที่จะล้มเหลว โดยไม่กลัวความล้มเหลว เนื่องจากคนของเขาคิดว่า ยิ่งล้มเหลวมาก ยิ่งประสบความสำเร็จมาก ดังเช่น บุคคลที่กระผมกล่าวในข้อความข้างต้น เอดิสัน กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จซึ่งเป็นดวงแรกของโลกเขาต้องล้มเหลว นับพันๆครั้ง เป็นต้น
ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นที่มาของคนไทยที่ไม่ชอบคิดสร้างสรรค์ สินค้าใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จึงไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยมากมาย แต่ตรงกันข้ามสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบลอกเลียนแบบ เช่น การลอกเลียนแบบ เพลง ภาพยนตร์ โดยการ Copy ขาย ฯลฯ ดังนั้นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป
...
  
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คุณสามารถสร้างภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ ตัวตนของคุณให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักได้โดยการสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณเอง
พวกเราคงเคยเห็นสินค้าในท้องตลาดหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมักมี ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง มักให้ความสำคัญในการสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยการโหมโรงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
แต่จริงๆแล้ว การสร้างตรายี่ห้อหรือBrand ไม่ได้เกิดเฉพาะตัวของสินค้าที่ไม่มีชีวิตเท่านั้น คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็สามารถสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand ส่วนตัวได้เช่นกัน การสร้าง ตรายี่ห้อหรือ Brand ส่วนตัว หากว่าจะทำให้ได้ผลและเกิดความรวดเร็ว เราจะต้องนำเอาเรื่องของการตลาดมาประยุกต์ใช้ ในบทความฉบับนี้ เราจะพูดถึงเรื่องนี้กัน
ก่อนอื่นเรามาทราบความแตกต่างระหว่าง สินค้าที่มีการสร้าง Brand กับ สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand กันก่อน สินค้าที่มีการสร้าง Brand มักจะเป็นที่จดจำมากกว่า ถูกลูกค้าถามซื้อมากกว่า มีราคาสูงกว่า เป็นที่ประทับใจ เป็นที่จดจำได้มากกว่า มีภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ที่ดีกว่า สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับบุคคลที่ต้องการสร้าง Brand ส่วนตัว ให้กับตัวเอง ให้ออกมาดีเขาจะเป็นคนที่มีลักษณะดังนี้ คือ เขามักจะเลือกที่จะทำงานให้แก่ตนเอง มากกว่า ทำงานรับจ้างกินเงินเดือน เขาจะเป็นคนมีความมั่นใจในตนเองสูง มีความมั่นคงภายใน มีการวางแผนอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะการวางแผนทางด้านการตลาด มีเครือข่ายหรือสายสัมพันธ์มาก มีภาพลักษณ์ที่ดูดี เป็นที่น่าสนใจในวงกว้าง เป็นต้น
การสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณต้องเริ่มที่ตัวของคุณเอง หากมีเวลาว่างๆ ลองนั่ง วิเคราะห์ SWOT สำหรับตัวของคุณเอง(STRENGTHS จุดแข็ง , WEAKNESSES จุดอ่อน , OPPORTUNITIES โอกาส และ THREATS อุปสรรคหรือการคุกคาม)
จงพัฒนาจุดแข็งของคุณ ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพราะการพัฒนาจุดอ่อนจะทำให้คุณเสียเวลา เสียเงินเป็นจำนวนมากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มักจะไม่ได้ดังใจหวัง แต่หากคุณรู้ว่าจุดแข็งคุณเป็นอย่างไร คุณก็จะโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะจุดแข็ง มักเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ เช่น คนบางคนชอบเขียนหนังสือ แต่ไม่ชอบเล่นดนตรี ดังนั้น จุดแข็งของเขาคือ การเขียนหนังสือ เขาสามารถเขียนหนังสือขาย สร้างอาชีพ สร้างความร่ำรวยได้ แต่หากเขามัวแต่ไปพัฒนาจุดอ่อนคือ เล่นดนตรีหรือพัฒนาในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่มีใจรัก เขาจะรู้สึกเหนื่อย หมดพลัง ฉะนั้นจงพัฒนาจุดแข็งของคุณ มากกว่าการที่คุณจะนำพลังไปใช้ในการพัฒนาจุดอ่อน
เรื่องของโอกาสและอุปสรรค ก็มีความสำคัญมาก โอกาสจะเป็นตัว ช่วยเร่งให้คุณเติบโต แต่อุปสรรคจะเป็นตัวขวางกั้นให้คุณเติบโตอย่างช้าๆ
เคล็ดลับในการสร้าง Brand ส่วนตัว คุณจำเป็นต้องคิดต่าง ทำต่าง เพราะหากว่าคุณคิดเหมือนคนอื่นๆ ทำเหมือนกับคนอื่นๆ คุณก็คงไม่มีความโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่หากว่าคุณ คิดต่าง ทำต่าง คุณก็สามารถสร้างความโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณหาความแตกต่างได้แล้ว คุณมีความจำเป็นต้องนำเสนอตัวของคุณเองอย่างเป็นระบบด้วยการวางแผน เช่น การเขียนบทความลงในสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว รวบรวมเป็นเล่ม การหาโอกาสออกสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ โดยการทำอย่างเป็นระบบ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์
บุคลิกลักษณะ มีความสำคัญในการกำหนดหรือการสร้างภาพของตัวคุณ หากว่าคุณมีความกระตือรือร้นเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วกับอีกคนหนึ่งเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ , หากว่าคุณเป็นคนพูดเสียงดัง กับอีกคนหนึ่งพูดจาเสียงเบา , หากว่าคุณชอบแต่งกายสีสดใส เร้าใจ กับอีกคนหนึ่งชอบใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความรู้สึกภาพลักษณ์ภายในใจของลูกค้าของคุณเองได้ทั้งสิ้น
เทคนิคในการเร่งภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง
1.คุณมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ออกแบบการใส่เสื้อผ้าของคุณให้มีความแตกต่าง หากเปรียบตัวของเราคือสินค้า เสื้อผ้าจึงเปรียบได้ดังบรรจุภัณฑ์ จงเลือกสีเสื้อผ้า รูปแบบของเสื้อผ้า ให้ตรงกับบุคลิกของตัวคุณเอง จงใส่เสื้อผ้านั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ
2.คุณต้องออกแบบทรงผม ให้โดดเด่น พวกเราคงเห็น ดารา นักกีฬาฟุตบอลระดับโลก หลายๆ คน ที่มักจะเปลี่ยนทรงผมแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การออกแบบทรงผมเป็นอุปกรณ์หรือเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการช่วยในการสร้าง Brand สำหรับตัวของคุณเอง
3.คุณต้องหาสัญลักษณ์ ออกแบบเครื่องหมายการค้า คำพูด แปลกๆ เก๋ๆ เพื่อสร้างความจดจำต่อผู้พบเห็น
4.คุณต้องสร้างหรือพัฒนาบุคลิกของคุณให้มีความสอดคล้องกับ สีเสื้อ สัญลักษณ์ ทรงผ้าของคุณ เช่น คุณชอบใส่เสื้อผ้าสีสดใส คุณต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีชีวิตชีวาตลอดเวลาต่อผู้พบเห็น
หากคุณปฏิบัติได้ดังข้อความข้างต้นกระผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง จะถูกจดจำต่อสาธารณชนอย่างรวดเร็ว เพราะคุณแตกต่าง คุณจึงสร้างความจดจำได้ดีกว่าและรวดเร็วกว่านั้นเอง
พลังของชื่อ พวกเราคงได้อ่าน หรือ เคยได้ฟังว่า นักร้อง ดารา หลายๆคน เมื่อเข้าสู่วงการมักจะมีการเปลี่ยนชื่อ เช่น คุณสิเรียม จากเดิมชื่อ วิริญญ์(อ่านว่า วิริน) กิ๊ปสั้น หรือ คุณแอน ทองประสม เมื่อก่อนชื่อ ศรีจันทร์ ทองประสม ฯลฯ ชื่อจึงมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ
พลังของคำและวลีที่ติดปาก หากเราได้ยินคำว่า “ ถูกต้องนะครับ ” เรามักคิดถึงพิธีกรทางโทรทัศน์ชื่ออะไร , “ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ” เป็นคำพูดของนักการเมืองท่านใดในอดีต , “ ฟังธง ” เป็นคำพูดของหมอดูที่ชื่ออะไร พลังของคำและวลีที่ติดปาก ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการสร้าง Brand ส่วนตัวของเราเองได้เช่นกัน
จงใช้พลังของสื่อ เราต้องยอมรับว่า สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลมาก อีกทั้งยังไม่สามารถปิดกั้นข้อมูล ข่าวสาร ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว ในอดีต รัฐบาล คณะปฏิวัติ มักยึดสื่อหลักๆ ในการปฏิวัติแต่ละครั้ง แต่ยุคปัจจุบัน สื่อหลายๆ ชนิดไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สื่อทางอินเตอร์เน็ตมีการเขียนข้อมูลได้อย่างเสรี บางคนเขียนด่ากันหรือให้ข้อมูลแบบผิดๆไปเลยก็มี , สื่อวิทยุชุมชนปัจจุบันนี้มีมากมายเหลือเกิน มากจนฝ่ายที่ทำหน้าที่ควบคุมไม่สามารถควบคุมกันได้ทั้งหมด เป็นต้น
จงใช้สื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ Brand ของตัวเองให้เป็น แล้วชื่อเสียงของคุณก็จะพุ่งอย่างจรวด
สุดท้ายนี้อย่างขอสรุปว่า คุณก็สามารถสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณได้ เพราะคุณคือ U R A BRAND
จงวางแผนลงบนกระดาษเปล่า จงคิดใหม่ ทำใหม่ จงวิเคราะห์ตัวเราเอง( SWOT) จงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่หากว่าชื่อของคุณไม่โดนหรือเร้าใจ จงสร้างคำพูดวลีที่ติดปากของคุณ จงออกแบบเครื่องแต่งกาย การเลือกใช้สีเสื้อให้สอดคล้องกับบุคลิกของคุณตลอดจนออกแบบทรงผม จงหาสัญลักษณ์ เครื่องหมายการค้ามาใช้เพื่อสร้างความจดจำ จงใช้สื่อให้เกิดประโยชน์และที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณต้องลงมือทำ เพราะหากคุณได้แต่คิด ผลลัพธ์ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น จงลงมือทำแล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand ส่วนตัวอย่างแน่นอนครับ
...
  
มึงสู้จริงหรือเปล่า
มึงสู้จริงหรือเปล่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จก็ขอให้ พยายาม พยายาม และพยายาม ทำต่อไป.........
ความสำเร็จจะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวมัน แต่จง พยายาม พยายามและพยายาม ทำต่อไป......
ดิเอโก มาราโดนา นักแตะระดับโลก ซึ่งได้รับฉายาว่า “ หัตถ์พระเจ้า ” เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาต้องการเข้าสู่นักแตะอาชีพ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อม ฝึกฝน การแตะบอลวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบ 10 ปี สุดท้ายเขาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
บิล เกตต์ เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำในสิ่งที่เขารัก เขาต้องยุ่งอยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องมือไฟฟ้า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เขาต้องทนทำงานเหล่านี้ภายในโรงเก็บรถเก่าๆของพ่อเขา เขาใช้เวลาวันละไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ทุกๆวัน สุดท้ายเขาคือเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก
เออเนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล เขาต้องทุ่มเทและใช้เวลาเขียนหนังสือทุกๆวัน เขาแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาหลายๆปี อีกทั้งเขาต้องใช้เวลาอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง งานเขียนช่วงแรกๆ เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ สุดท้ายเขาคือผู้ชนะ โดยได้รับรางวัลระดับโลก
จิมมี เฮนดริกซ์ เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักกีตาร์มือดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน การเล่นกีฬาของเขาตลอดเวลา ทุกๆวัน เป็นเวลาหลายปี โดยเขาต้องฝึกฝนไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ต่อวัน สุดท้าย เขาได้รับยกย่องในระดับโลก
คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีเป้าหมาย รู้ว่าตนเองชอบอะไร แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไม่ลดละความพยายาม ตรงกันข้าม เขาจะฝึกฝน ฝึกซ้อม อย่างหนัก แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะโทษสิ่งต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง โทษดิน โทษฟ้า โทษอากาศ หรือ มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆนาๆ เช่น ฉันมันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีเงิน ฉันเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ฉันมัน......ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองอยากที่จะเป็นอะไร แล้วจึงฝึกฝน ฝึกซ้อมตนเอง ตามเป้าหมาย ตามความฝัน ทุกๆวันอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นเวลาหลายๆปี ท่านจึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนั้นๆ

...
  
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ความเคลื่อนไหวของประชาคมสุขภาพอาเซียน สถานการณ์สุขภาพของไทย ปรากฏว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนไทยเราเพิ่มสูงขึ้น ทั้งชายและหญิง เช่น ปี 2507 อายุชายไทยมีอายุเฉลี่ย 56 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 62 ปี จนกระทั้งถึงปี 2553 ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 77 ปี (ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2554 )
สาเหตุการตายจำแนกสาเหตุสำคัญต่อประชาการ 100,000 คน(ที่มา:สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข,2553) ไทยเรามีอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมาเป็นอันดับที่ 1 คือ ปี 2549 (83 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (91 คน ต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 2 คือ อุบัติเหตุ ปี 2549 (59 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (51 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 3 โรคหัวใจ ปี 2549 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 4 คือ โรคความดันเลือดสูงและหลอดเลือดสมอง อันดับที่ 5 คือ โรคปอดอักเสบและโรคปอดอื่นๆ อันดับที่ 6 คือโรคไตอักเสบ อันดับที่ 7 โรคเกี่ยวกับตับ อันดับที่ 8 โรคเบาหวาน อันดับที่ 9 โรคบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย อันดับที่10 โรควัณโรค อันดับที่ 11 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากไวรัส(เอดส์) เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคน้ำอัดลมต่อคนของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน(ที่มา BMI ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2554 )ไทยเราบริโภคสูงที่สุดในอาเซียนในอัตรา 41.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , ฟิลิปปินส์ ในอัตรา 31.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , สิงคโปร์ ในอัตรา 26.55 หน่วย:ลิตร/คน/ปี ,มาเลเซีย ในอัตรา 17.05 หน่วย:ลิตร/คน/ปี,เวียดนาม ในอัตรา 5.31 หน่วย:ลิตร/คน/ปี และอินโดนีเซีย ในอัตรา 3.13 หน่วย:ลิตร/คน/ปี เป็นต้น
ผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติ ปี 2553(ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและการเคหะ) ประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย มีประมาณ 2.7 ล้านคน (ซึ่งเท่ากับ 4.1 ของประชากรทั่วประเทศ) มากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพและภาคกลาง และร้อยละ 90 เป็นแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีการประเมินอีกว่า มีแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาผิดกฎหมายอีก 1 ล้านคน (รวมแรงงานต่างชาติโดยประมาณ 3 ล้านคน)
สำหรับผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่เข้ามารักษาในประเทศไทยมีมากขึ้น จึงทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
สาธารณสุข กับ อาเซียน เมื่อมีการเปิดประเทศมากขึ้น ประชากรในอาเซียนและทั่วโลก สามารถเข้าออกกันง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขตามมาอย่างมากมาย เช่น นักท่องเที่ยว แรงงานต่างด้าว จะนำพาโรคภัยต่างๆเข้ามามากขึ้น การค้าขายสัตว์ พืช อาหารต่างๆ จะนำพาเชื้อโรคหรือพาหะนำโรคเข้ามามากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ(เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด สารเคมีอันตราย)จะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ประชาชนต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ (โรคระบาด โรคอุบัติเหตุใหม่ โรคติดต่อทั้งเรื้อรังและไม่เรื้อรัง)
การเปลี่ยนแปลงในด้านสาธารณสุขเมื่อเปิดอาเซียน คือ การลงทุนเสรีจะมากขึ้น จะตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลจะง่ายขึ้น , ไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว การบิน การสัมมนา การแสดง การบริการทางด้านการแพทย์ ปัญหาทางด้านแรงงานจะไม่ขาดแคลนเพราะแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐาน เกิดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาสังคมสูงขึ้น
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การเปิดประชาคมอาเซียน 31 ธันวาคม 2558
จากปัญหาและการเปลี่ยนแปลงข้างต้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การเตรียมความพร้อม ต้องคิดในแง่ดีว่า อาเซียนคือโอกาสและสิ่งที่ท้าทาย จะทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเองเพื่อให้ต่อสู้กับการแข่งขัน
การเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านสาธารณสุข ต้องมีการเร่งผลิตบุคลากรสาธารณสุขให้เพียงพอ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค อสม. เป็นต้น อีกทั้งต้องมีการสร้างเสริมสมรรถนะภาพด้านภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี ไปพร้อมๆกัน
สำหรับแนวโน้มในอนาคตหากมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะมีแพทย์ พยาบาล อยากที่จะมาเปิดคลินิคหรือสถาพยาบาลในประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งหากมีการเปิดเขาก็คงเลือกเปิดในเมืองหลวง เขาคงไม่เลือกเปิดในชนบท เช่นเปิดที่ถนนสีลม ถนนสาธร ถนนสุขุมวิท ซึ่งจะเน้นลูกค้าชาติต่างประเทศ เพราะสามารถหารายได้ได้มากกว่านั้นเอง
การเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการด้านสุขภาพ ต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพในการทำงาน ให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น , มีแผนงานบริการชาวต่างชาติ แรงงานต่างชาติ นักท่องเที่ยว และมีกลยุทธ์ต่างๆที่ดึงดูดการใช้บริการ
การเตรียมพร้อมทางด้านตัวบุคคล คนทำงานสาธารณสุขต้องทำความเข้าใจประชาคมอาเซียน เปิดรับวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกในอาเซียน และปรับตัวในเรื่องของการสื่อสารทั้งการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญต้องไม่มีการหยุดพักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
การเตรียมพร้อมระดับองค์กร หน่วยงานสาธารณสุขต้องสร้างพันธมิตร ร่วมมือภายในและภายนอกอาเซียน มีการยกระดับหลักประกันสุขภาพให้สูงขึ้น องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ยกระดับหน่วยงานราชการให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ดังประเทศสิงคโปร์ ระบบราชการมีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำงาน
ท้ายนี้อยากฝาก คำพูดของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก องค์พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
“ True success exists not in learning, but in its application to the benefit of mankind”
หรือ “ความสำเร็จที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การเรียนรู้ หากแต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ”


...
  
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง หากว่าเราเป็นนักพูด นักบรรยาย วิทยากร เราสามารถวิเคราะห์ผู้ฟังได้จากภาษากาย ว่าผู้ฟังมีความตั้งใจฟังเรา สนใจฟังเรา หรือ มีความเบื่อหน่าย ไม่อยากที่จะฟังเรา ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟังได้จาก ใบหน้า ท่าทาง ความสนใจของผู้ฟัง การนั่ง ความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
นั่งกอดอก แสดงถึงการป้องกันตัวเอง เริ่มไม่ไว้วางใจ ความไม่สนใจในเรื่องที่พูด ความไม่ใส่ใจ การต้องการวางอำนาจเหนือผู้พูด และไม่ยอมเปิดใจที่จะรับฟัง
นั่งเอามือเท้าคาง เป็นลักษณะของคนกำลังใช้ความคิด หากเท้าคางแล้วเอนตัวมาข้างหน้า แสดงว่ากำลังสนใจกับเรื่องที่ผู้พูดพูด แต่ถ้าหากเท้าคางแล้วเอนตัวไปข้างหลัง แสดงว่า ไม่สนใจในเรื่องที่ผู้พูดพูด
นั่งขาถ่างหรือชอบนั่งอ้าขา แสดงถึงความเปิดเผย เป็นมิตร เป็นกันเอง เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ กล้าแสดงออก
นั่งไขว่ห้าง แสดงถึงการป้องกัน ไม่เปิดใจที่จะรับฟัง เป็นคนมั่นใจในตนเอง
นั่งตัวตรง แสดงถึงเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ มีพลัง มีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบสูง
นั่งจับจมูกบ่อยๆ แสดงถึงความไม่มั่นใจ ครุ่นคิด สับสน ต้องการใช้เวลาตัดสินใจ
นั่งพนักหน้าตอบรับเป็นระยะๆ แสดงความเป็นกันเอง รู้สึกมีความเห็นด้วยกับผู้พูด เป็นมิตร กำลังเชื่อในเรื่องที่ผู้พูดได้พูด
นั่งเอามือวางไว้ที่บนตัก แสดงถึงว่าเป็นคนที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รู้สึกเจียมตัว มีความเรียบร้อย
นั่งเอามือซุกกระเป๋า แสดงถึงว่าไม่ต้องการฟัง รู้สึกอึดอัดใจ
นั่งแล้วเอามือเกาศีรษะบ่อยๆ แสดงถึงอาการสงสัย ไม่เข้าใจในเรื่องที่ฟัง
นั่งกระดิกขา แสดงถึงอาการผ่อนคลาย เปิดเผย รู้สึกสบายๆ ไม่กระตือรือร้น
นั่งก้มหน้า แสดงถึง การซ่อนหรือเก็บความรู้สึกบางอย่าง ไม่อยากเปิดเผย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกประหม่า รู้สึกกลัว รู้สึกอาย
นั่งฟังแต่ไม่กล้าสบสายตา แสดงถึงการทำผิด ประหม่า ไม่มีความมั่นใจในตนเอง มีพิรุธ
นั่งหลังงอไหล่ห่อ เป็นคนที่สบายๆ ไม่ชอบเรื่องมาก ไม่ค่อยเครียด
แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ภาษากายหรืออ่านใจผู้ฟัง ควรใช้วิจารณญาณ สัญชาติญาณ สถานการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟัง ประกอบด้วย รวมไปถึงเรื่องความแตกต่างของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา ซึ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันในการวิเคราะห์และอาจจะไม่มีความถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์






...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.