หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ทำทันที(ททท.)
ททท.หรือทำทันที
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หลายๆ คนมีความคิดดีๆ มีคำพูดดีๆ แต่ก็ไม่ยอมลงมือทำเสียที ปล่อยให้ความคิดและคำพูด หายไปกับอากาศและสายลม แล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ พวกเขามักเป็นคนที่ คิด พูดแล้ว ลงมือทำ ถึงแม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่แปลกๆ ก็ตาม
สำหรับการที่คนเราไม่ยอมลงมือทำทันที(ททท.)อาจมีหลายสาเหตุ เช่น กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์, กลัวคนไม่ชอบ ,กลัวถูกตำหนิ อาย ความไม่มั่นใจ กลัวความล้มเหลว เป็นต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการไม่ ททท.หรือทำทันที
1. ไม่กล้ายกมือถามเป็นคนแรก กระผมมีอาชีพเป็นวิทยากรอิสระ เมื่อบรรยายเสร็จแล้ว มักจะเหลือเวลาสัก 5-10 นาที เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้สักถาม แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครกล้าถาม ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จจงกล้าที่จะถามหรือแสดงความคิดเห็นเป็นคนแรกให้ได้ ทั้งนี้ ความคิดเห็นเป็นเรื่องที่ไม่มีถูกผิด เป็นความคิดเห็นส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเป็นความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยมก็ได้ หากท่านกล้ายกมือถามเป็นคนแรก ประโยชน์ก็จะตกกับท่านอีกมากมาย เช่น เป็นการสร้างท่านให้มีภาวะผู้นำเพิ่มมากขึ้น , ทุกคนในที่อบรมรู้จักท่านและอยากรู้จักท่านมากยิ่งขึ้น , เป็นการสร้างความมั่นใจในตนเอง ฯลฯ
2. ไม่กล้านั่งแถวหน้าสุด ในการฝึกอบรมแต่ละครั้ง กระผมเป็นวิทยากร กระผมมักสังเกตเห็นว่า คนมาก่อนมักนั่งหลัง คนมาหลังมักนั่งหน้า หากท่านอยากเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.) นั่งด้านหน้าสุดครับ จากการอ่านหนังสือเรื่อง “ คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก ” กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า หากท่านต้องการเป็นผู้นำและเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง ขอให้ท่านฝึกนั่งด้านหน้าสุดเสมอ
3. ไม่กล้าทำอะไรเนื่องจากแคร์สายตาหรือคนรอบข้าง หลายคนไม่กล้าลงมือทำอะไร หรือ ไม่กล้าทำสิ่งใดบางสิ่ง ก็เนื่องจากแคร์สายตาคนรอบข้าง ซึ่งการแคร์สายตาคนรอบข้าง ทำให้เราเสียโอกาสสำคัญๆ ไปอย่างน่าเสียดาย บางคนมีความฝัน เล่าให้เพื่อนๆ ฟัง หรือ คนรอบข้างฟัง แล้วเขาก็หัวเราะเยาะ จนในที่สุด เขาก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ความสำเร็จจึงไม่เกิดขึ้น จงกล้าที่จะทำแล้วท่านจะพบกับความสำเร็จ จงอย่าแคร์สายตาหรือคนรอบข้างมากจนเกินไป
4.ไม่มีจังหวะในการลงมือทำ หลายๆ คน ต้องรอดูจังหวะ รอดูดวง การรอจังหวะมากจนเกินไป ทำให้เกิดผลเสียคือ เขาจะไม่ยอมลงมือทำหรือลงมือปฏิบัติ หากต้องรอให้พร้อม 100 % ก็คงไม่ต้องทำอะไร ดังคำกล่าวของอดีตนายก ทักษิณ ชินวัตร ในงานพิธีเปิดโครงการปฐมนิเทศและพัฒนาผู้รับผิดชอบการบริหาร “ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในข้ามคืนหรอก... ผมเป็นคนที่มีความคิดแล้วลงมือทำ ถ้ามองเห็นว่าไปได้เกิน 60 เปอร์เซ็นต์ ลุยเลย อีก 40 เปอร์เซ็นต์ไปแก้เอาข้างหน้า แต่ถ้า...รอให้ครบ 100 แล้วค่อยทำแล้ว ชาตินี้ไม่มีคำว่าร้อย ต้องรอตายอีกสิบชาติก็ยังไม่มีร้อย เพราะไม่อะไรสมบูรณ์”
5.ไม่ต้องการท้าทายแต่ต้องการความมั่นใจ หลายคนไม่กล้าลงมือทำทันที(ททท.) เนื่องจากกลัวเรื่องของความ
มั่นคง หลายคนไม่มีความสุขในการทำงานหรืออยู่ภายในองค์กรนั้นๆ แต่ก็ไม่กล้าลาออกเพื่อไปเริ่มงานใหม่ก็เนื่องจากกลัวความมั่นคง ปลอดภัย ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็เคยเป็นมาก่อน จนสุดท้ายต้องตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วผู้เขียนจึงได้พบเจอกับคำว่า “อิสระ การไม่ยึดติดกับสภาพปัจจุบันปล่อยให้ไหลไปตามธรรมชาติแล้วว่ายตามมันไป ”
โดยสรุป คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ไม่ยอมลงมือทำทันที(ททท.) ความลังเลสงสัย ความไม่กล้า ความอาย เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวคุณเองเพื่อที่จะเดินทางไปสู่ความสำเร็จ จง ทำทันที(ททท.)แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
...
  
แนวความคิดในการบริหารเวลา
แนวความคิดในการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ปัญหาของคนส่วนใหญ่ในเรื่องของการบริหารเวลาหรือการใช้เวลาไม่มีประสิทธิภาพก็คือ การไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญของงาน , การเสียเวลากับการรอคอย , การผัดวันประกันพรุ่ง , การไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน , การขาดวินัย , การไม่ได้มีการวางแผน ฯลฯ
ซึ่งเหตุผลต่างๆ ข้างต้นคือ สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาได้ไม่ดีพอ แล้วถามว่าเวลาสามารถบริหารได้หรือไม่ ตามความคิดเห็นของกระผม เวลาเป็นทรัพยากรที่สำคัญประเภทหนึ่ง กระผมคิดว่าเวลาก็เหมือนกับทรัพยากรอื่นๆ เช่น ที่ดิน คน เงิน สิ่งของ วัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ ฯลฯ ถ้าทรัพยากรต่างๆ เราสามารถบริหารได้ ทำไมทรัพยากรเวลา เราจะบริหารไม่ได้
แต่ทรัพยากรด้านเวลามีความแตกต่างจากทรัพยากรโดยทั่วไปกล่าวคือ ทรัพยากรเวลา ไม่สามารถสะสมหรือทดแทนกันได้ เป็นทรัพยากรที่คนเราทุกๆคน มีอย่างเท่าเทียมกัน ไม่สามารถหยิบยืมหรือขอซื้อกัน ดังนั้นเมื่อคนเรามีเวลาเท่ากัน 24 ชั่วโมงต่อวัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขามักใช้เวลาที่มีเท่าเทียมกันได้อย่างคุ้มค่ากว่าคนโดยทั่วไป
หากว่าเรามีทรัพยากรเวลาที่มีจำกัด เราจะทำอะไร เราจะสามารถใช้ทรัพยากรเวลาให้เกิดความคุ้มค่ากับตัวเราได้มากน้อยขนาดไหน สำหรับคนเราโดยส่วนใหญ่มักจะเสียเวลาหรือเวลาถูกแบ่งไปดังนี้ เวลาทำงานประมาณ 8 ชั่วโมง เวลานอนประมาณ 8 ชั่วโมงและเวลาส่วนตัวประมาณ 8 ชั่วโมง นี่คือภาพรวมของการใช้เวลาของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้
หากเราต้องการเวลาทำงานมากขึ้น เราก็ควรลดเวลาในช่วงอื่นลง เช่น ท่านอาจจะต้องลดหรือเพิ่มหรือยืดหยุ่นเวลานอนและเวลาส่วนตัวลง เนื่องจากการหลับโดยเฉลี่ยแล้วคนเรานอนโดยประมาณ 8 ชั่วโมง แต่ทางการแพทย์ได้มีการวิจัยมาแล้วว่า คนเราทุกๆคนมีความต้องการหลับมากน้อยไม่เท่ากัน เพราะบางคนอาจต้องการนอนหลับมากกว่าหรือน้อยกว่า 8 ชั่วโมงก็ได้ เช่น
โทมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลกตามประวัติใช้เวลานอนเพียงคืนละ 4 ชั่วโมง แต่จะหาโอกาสงีบหลับครั้งละ 5 -10 นาทีในระหว่างทำงาน บางคนก็อาจจะนอนหลับวันละ 9-10 ชั่วโมง หากว่านอน 8 ชั่วโมงแล้วยังรู้สึกง่วงซึมหรือบางคนสุขภาพแย่ร่างกายก็ต้องการนอนพักผ่อนมากกว่า 8 ชั่วโมงเป็นต้น
ฉะนั้น หากท่านต้องการทราบว่าท่านความต้องการในการนอนของท่านต้องการนอนวันละกี่โมง ท่านคงจะต้องใช้วิธีการทดลอง ด้วยการกำหนดระยะเวลาของการนอนที่แตกต่างกันออกไปแต่ละช่วง เช่นกำหนด 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง 9 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง หากว่าท่านนอนเพียงแค่ 5 ชั่วโมงแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า นั้นแสดงว่าช่วงเวลานอนของท่านนอนแค่ 5 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้น ขอให้คุณจงบริหารเวลา ก่อนที่เวลาจะมากำหนดชีวิตหรือบริหารตัวคุณ
...
  
ความสำเร็จเริ่มต้นที่ตัวเอง
ความสำเร็จเริ่มต้นที่ตัวเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักพูดว่าความสำเร็จนั้นสามารถเรียนรู้ ศึกษา ฝึกฝนได้ โดยเริ่มต้นที่ตัวของคนเอง โดยการเปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิด การพูดและการลงมือทำ ซึ่งทุกๆท่านก็สามารถประสบความสำเร็จได้โดยการเริ่มต้นที่ตัวเอง ดังนี้
1.จงเขียนเป้าหมายในชีวิต จงกำหนดทิศทางของตนเอง ว่าตนเองต้องการอะไรในชีวิต อย่าไปเสียเวลา เสียเงินทอง เสียพลังงาน กับสิ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายของชีวิต จงกำหนดทิศทาง ของตนเองแล้วมุ่งไปในทิศทางดังกล่าว จงซื่อสัตย์กับตัวคุณเอง จงทบทวนตนเองว่าเรามีความต้องการอะไรจริงๆ ในชีวิตนี้
2.จงเขียนลงในกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นแผนการ ปัญหาต่างๆ การเขียนลงในกระดาษเป็นตัวหนังสือ หรือเขียนลงในกระดาษเป็นรูปแบบต่าง เช่น Mind Map รูปภาพต่างๆ ฯลฯ จะทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ฉะนั้น เมื่อคิดแล้วจงเขียนลงในกระดาษดีกว่าจะคิดอยู่แต่ในสมองโดยไม่มีการเขียน
3.จงบริหารเวลาของตัวคุณเอง เวลาของทุกคนมีเท่ากัน แต่การบริหารเวลาของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน คนที่ประสบความสำเร็จมักมีความสามารถในการบริหารเวลา ให้เกิดความสมดุลสำหรับชีวิต จงเรียนรู้เทคนิคการบริหาร จงใช้เครื่องมือต่างๆเข้าช่วยในการบริหารเวลา จงใช้เวลาให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด และที่สำคัญควรฝึกการ ปฏิเสธหรือไม่ ด้วย เมื่อเราลองมองย้อนกับไปในอดีต เราต้องเสียเวลาเป็นอันมากก็เนื่องมาจากความใจอ่อน ความขี้เกรงใจคน ความอยากช่วยเหลือผู้อื่นจนลืมนึกถึงเวลาของตนเองไป ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงการเสียเวลาของเราโดยการ ฝึกพูดคำว่า “ ไม่ ” หรือหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์โดยไม่มีความจำเป็น
4.กล้าทำ คนไม่มีความจำเป็นว่าต้องมีความพร้อมหรือความมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนแล้วจึงจะลงมือทำ จงกล้าทำ ถึงแม้สิ่งที่คุณทำจะเกิดปัญหาในอนาคตให้ต้องทำการแก้ไขก็ตาม และอย่าได้กลัวคำวิจารณ์ต่างๆ ขอให้จำไว้ว่า “ คนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดเลยก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ” เราจึงเห็นได้ว่าในอดีต ในปัจจุบันและในอนาคต การเรียนการสอนต่างๆ ของเด็กๆ จึงต้องมียางลบ เพื่อนำไปลบคำผิดนั้นเอง
5.จงคิดบวกอยู่เสมอ การคิดบวกจะทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน จงใช้พลังในการทำงาน ไม่ใช่มัวแต่กังวล คิดลบ คิดว่าทำไม่ได้ คิดว่าตนเองไม่มีความสามารถ และเมื่อรู้ว่าตนเองคิดลบแล้ว จงรีบเปลี่ยนแปลงความคิดดังกล่าวเป็นคิดบวกทันที ก็จะทำให้เรามีพลังงานในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป
6.จงสร้างนิสัย ททท.หรือทำทันที การผัดวันประกันพรุ่ง เป็นนิสัยหรือธรรมชาติที่ไม่ดีของมนุษย์เรา หากรู้ว่างานใดควรทำให้เสร็จภายในวันนี้ ก็ควรรีบทำให้เสร็จ อย่าเปล่าให้งานที่ตนเองทำค้าง เหมือนคำสอนของคนโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ ดินพอกหางหมู ” เพราะอีกนิด ดินนั้นจะมีโอกาสพอกตัวหมูไปด้วย
7.จงแบ่งงานให้เป็นชิ้นที่เล็กลง เมื่อเราเจองานใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำงานที่มาก เราควรแบ่งให้งานเป็นชิ้นที่เล็กลง เช่น เรามีแผนการจะเขียนหนังสือ จำนวน 20 บท จงวางแผนในการทำงานโดยการแบ่งงานแต่ละบท ว่าแต่ละบทมีเนื้อหาอะไร แล้วจึงลงมือเขียนที่ละบท เหมือนดังคำกล่าว “หากจะกินช้างซึ่งตัวใหญ่ เราไม่สามารถกินได้ทั้งตัว แต่เราสามารถกินช้างทั้งตัวได้โดยการกินที่ละคำ”
สรุป เราสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ โดยการเริ่มต้นที่ตัวเราเอง โดยการเขียนเป้าหมายในชีวิต , การเขียนลงในกระดาษ , การบริหารเวลา , กล้าที่จะทำ , การคิดบวกอยู่เสมอ , นิสัย ททท.หรือทำทันที และจงแบ่งงานให้มีชิ้นที่เล็กลง เป็นต้น
...
  
การบริหารเวลา : เทคนิคในการประหยัดเวลา
การบริหารเวลา : เทคนิคในการประหยัดเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เนื่องจากเวลาของคนเรามีจำนวนจำกัด เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเลย ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
การรู้จักประหยัดเวลาจึงมีความจำเป็นสำหรับบุคคลที่รักความก้าวหน้า รักการพัฒนาตนเอง และต้องการประสบความสำเร็จจะต้องทำการเรียนรู้ ทำการศึกษาอีกทั้งต้องฝึกฝนตนเอง เทคนิคในการประหยัดเวลามีดังนี้
1.เราสามารถทำงาน 2 อย่างในเวลาเดียวกันได้ โดยปกติคนเราจะทำงานหรือทำกิจกรรมทีละอย่าง แต่สำหรับบุคคลที่เห็นคุณค่าของการใช้เวลา เขาพร้อมที่จะทำงานหรือทำกิจกรรม 2 อย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ในช่วงอาบน้ำหรือเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว เขาจะเปิดเพลงภาษาอังกฤษหรือข่าวภาษาอังกฤษฟังไปด้วยเพื่อเรียนภาษาอังกฤษในขณะที่กำลังอาบน้ำหรือกำลังเดินทาง , ในขณะที่รอขึ้นเครื่องบินเราสามารถทำงานโดยการอ่านหนังสือหรือส่งอีเมล์หรือติดต่องานต่างๆได้ เป็นต้น
2.เราสามารถจัดระบบการทำงานได้ โดยมี โต๊ะทำงาน , ตู้เอกสาร , ถาดใส่เอกสาร , ไดอารี่ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้เราทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งหลายๆครั้งเรามักเสียเวลา หากระดาษแค่แผ่นเดียว บางคนเสียเวลาไปทั้งวัน แต่หากว่าเรามีการจัดระบบการเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ เราก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความรวดเร็วขึ้น
3.เราต้องกล้าที่จะปฏิเสธ หลายๆครั้ง เราต้องเสียเวลาไปกับงานหรือกิจกรรมของคนอื่นๆ ที่ต้องการให้เราช่วย หรือในขณะที่เราทำงาน หลายๆคนมักจะชวนเราพูดคุย เราจึงต้องหัดกล้าที่จะปฏิเสธการพูดคุยในครั้งนั้น เพื่อที่จะได้มีเวลาทำงานที่สำคัญๆของเราต่อไป
4.เราต้องหัดเป็นคนที่มีการวางแผนการทำงาน อีกทั้งต้องมีวินัยในการควบคุมตนเองในการที่จะทำงานให้ตรงไปตามแผนงานที่เราวางเอาไว้ ซึ่งการวางแผนงานที่ดี เราควรทำเป็นแผนงานระยะยาว ระยะกลางและระยะสั้น ซึ่งแต่ละระยะต้องมีความสอดคล้องกันหรือไปในแนวทางเดียวกัน
5.เราต้องรู้จักแยกแยะงานที่สำคัญและไม่สำคัญ งานที่เร่งด่วนหรือไม่เร่งด่วน ซึ่งหากเราไม่สามารถแยกแยะได้ เราอาจจะต้องเสียเวลาไปกับงานที่ไม่มีความสำคัญ จึงทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ เพราะทั้งนี้ถ้าหากเป็นงานที่ไม่สำคัญ เราสามารถประหยัดเวลาได้โดยการให้คนอื่นๆ ทำแทนเราได้ เช่น การเสียค่าโทรศัพท์ การฝากเงินธนาคาร การเสียค่าไฟฟ้า การทำงานบ้าน ฯลฯ งานเหล่านี้เราอาจหาลูกน้องหรือลูกจ้างทำแทนเราได้
6.เราต้องรู้จักค้นหาวิธีการทำงานให้ดีขึ้น เร็วขึ้นกว่าเดิม เช่น การเดินทางไกล เราอาจจะต้องค้นหาวิธีการให้เดินทางได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เราอาจหาเส้นทางใหม่ๆ หรือ เดินทางโดยรถไฟฟ้าหรือโดยเครื่องบินแทนที่การเดินทางโดยทางรถ
7.เราต้องรู้จักทำงานให้รอบคอบไม่ควรทำงานผิดพลาดบ่อยๆ เพราะหลายๆคน สักแต่ทำงานและคิดว่าทำงานไปก่อน หากผิดพลาดแล้วค่อยมาแก้ไขภายหลัง หากเรามีแนวคิดอย่างนี้ เราจะต้องคอยกลับมาแก้ไขงานที่ผิดพลาดใหม่ในภายหน้า ทำให้เราเสียเวลาในการทำการแก้ไข ถ้าเป็นไปได้ เราหัดทำงานให้มีความถูกต้อง แม่นยำ หากทำได้เช่นนี้ เราจะได้ไม่ต้องกลับมาแก้ไขงานที่ผิดพลาดในภายหลัง ทำให้เราประหยัดเวลาไปได้มาก
8.เราควรหาสมุดจดบันทึก เพื่อเตือนความจำ บางคนสัญญาอะไรกับใครไว้แล้ว ลืม หากมีสมุดจดบันทึกไว้ ก็จะทำให้เราป้องกันการลืมได้ การจดบันทึกเราควรจดทุกอย่างที่เราต้องการทำในแต่ละวันหากว่าเราทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราควรทำการขีดฆ่า ก็จะทำให้เราเกิดความสนุกไปกับมันด้วย
สรุป เทคนิคในการประหยัดเวลา เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ซึ่งแต่ละบุคคลควรต้องเรียนรู้และประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี เราควรต้องฝึกฝนตนเอง เพราะหากว่าเราได้เรียนรู้แล้ว เราไม่ได้นำไปปฏิบัติ ผลก็คือว่า เราได้รู้ แต่ตรงกันข้าม หากว่า เราได้เรียนรู้แล้ว เรานำไปปฏิบัติ ผลลัพธ์ก็จะเกิดกับตัวของเราเอง
จงนำเทคนิคดังกล่าวไปปฏิบัติ แล้วท่านจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวของท่าน
...
  
สู่ผู้นำ
เส้นทางสู่ความเป็นผู้นำ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

บางคนเกิดมามีชาติตระกูลดี มีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว บางคนเกิดมาต้องมาฝึกฝนตนเองก่อนจึงจะสามารถเป็นผู้นำได้ แต่บางคนเมื่อเกิดเหตุการณ์สถานการณ์ที่วิกฤตจึงได้เป็นผู้นำตามสถานการณ์นั้นๆ


แล้วถ้าเราเกิดมา ไม่ได้มีชาติตระกูลที่ดี แต่เราต้องการเป็นผู้นำ เราก็สามารถฝึกฝนได้ ซึ่งคนเราสามารถฝึกฝนและเรียนรู้ได้หลายทาง ดังนี้


- ต้องมีจิตใจที่มุ่งหมั้น อดทน ตั้งเป้าหมายว่าเราจะเป็นผู้นำให้ได้และเมื่อได้เป็นผู้นำในองค์กรใด องค์หนึ่งแล้ว จงแสดงฝีมือออกมาให้ปรากฏ ถ้ามีปัญหาอุปสรรคก็ขอให้ทำใจเยือกเย็น รับสถานการณ์ต่างๆให้ได้


- ต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูกน้องบ้าง แต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดก็ได้ เพราะการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้นำ


- กล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆ แน่นอน มนุษย์เราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงแต่มนุษย์ของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ด้วยการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การคิดอะไรใหม่ๆ การทำอะไรใหม่ๆ ช่วยให้เกิดการพัฒนาตนเอง พัฒนาองค์กร รวมทั้งพัฒนาประเทศชาติด้วย จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา


- กล้าที่จะเสี่ยง พร้อมที่จะยอมรับความล้มเหลว คนเราเมื่อดูภาพคนที่ประสบความสำเร็จมักจะดูด้วยความสรรเสริญ แต่หารู้ไม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จโดยมากมักผ่านการล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น เช่น อดีตนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ อดีตประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่มักผ่านการสอบตกหรือไม่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วตั้งมากมาย แต่สุดท้ายและท้ายสุด เขาเหล่านั้นจึงประสบความสำเร็จ


- กล้ารับผิดชอบ คุณสมบัติของผู้นำที่ดีมีอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือ ความรับผิดชอบ แน่นอนไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด หรือ ผิดพลาด การตัดสินใจบางอย่างอาจก่อให้เกิดการผิดพลาด แต่คนที่เป็นผู้นำที่ดีต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนเอง


- มีความซื่อสัตย์ การเป็นผู้นำนอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังต้องมีความซื่อสัตย์และสัตย์ซื่อต่อองค์กร


เพราะถ้าผู้นำไม่มีความซื่อสัตย์เสียแล้ว เช่น โกงกินเงินขององค์กร เวลาลูกน้องโกงกินบ้างผู้นำมักจะไม่กล้าว่าให้แก่ลูกน้อง เพราะตนเองก็ทำมาก่อน


- ผู้นำที่ดีและมีใจที่กว้างต้องรู้จักสนับสนุนลูกน้อง และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ผู้นำที่ดีต้องรู้จักสร้าง


คนในองค์กร เพราะถ้าคนในองค์กรไม่มีความรู้ความสามารถ ก็มักจะทำให้องค์กรมีปัญหาได้


ดังนั้น ผู้นำที่ดีจำเป็นจะต้องสนับสนุนลูกน้องให้คนที่ทำงานได้เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง และเลื่อน


ขั้นเงินเดือนให้สูงขึ้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ลูกน้อง


- ผู้นำที่ดีต้องมีบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยม สุขภาพร่างกายดีแข็งแรง ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ มีใครเคยเห็น


ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ที่เจ็บป่วย เดินแทบไม่ได้ ขึ้นไปพูดหาเสียง พูดสุนทรพจน์บ้างไหม


ถ้ามีก็ดูแล้วไม่ค่อยสง่างาม ดังนั้น ผู้นำต้องรู้จักรักษาสุขภาพของตนเอง พัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด การเจรจาต่อรอง ต่างๆ


และมีอีกหลายปัจจัย ที่ผู้นำต้องนำไปฝึกฝน เรียนรู้กัน เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นผู้นำที่ดีได้ คนเราสามารถฝึกฝนกันได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเรียน การพูด บุคลิกภาพ นิสัย ใจคอ จิตใจ ดังนั้น ผู้ต้องการเป็นผู้นำต้องอดทน พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง แล้วเส้นทางสู่ความเป็นผู้นำจะอยู่ไม่ไกลจากเราครับ

...
  
บรรยาย " การสื่อสารในที่สาธารณะชน "
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ได้บรรายายในหัวข้อ " การสื่อสารในที่สาธารณะชน " เมื่อ วันที่ 8 มกราคม 2555 ณ โรงแรมวังคำ อ.เมือง จ.เชียงรายจัดโดย สำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้า
ร่วมกับ ศูนย์ประสานงานภาคประชาสังคมเชียงราย
และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองสถาบันพระปกเกล้า จังหวัดเชียงราย
...
  
วิทยากรสมัยใหม่
วิทยากรยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความสำเร็จในการฝึกอบรมในแต่ละครั้ง เราคงไม่ปฏิเสธว่า วิทยากรเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้การฝึกอบรมในครั้งนั้นๆ เป็นไปด้วยดี มีประสิทธิภาพ หรือ เกิดความล้มเหลวในการฝึกอบรม ยุคอดีต การศึกษา สื่อต่างๆ เรามีโอกาสได้รับน้อยมาก แต่ในยุคปัจจุบัน คนจำนวนมากได้รับการศึกษา ได้รับการบริโภคสื่อต่างๆ อีกทั้งยังได้รับการอบรมในหลักสูตรต่างๆอีกมากมาย ฉะนั้น การคัดเลือกวิทยากรจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งวิทยากรยุคใหม่ ที่ได้รับการยอมรับในวงการฝึกอบรมควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.มีการนำเสนอที่หลากหลาย วิทยากรยุคใหม่ควรนำเสนอในการอบรมด้วยความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความหลากหลายในการใช้สื่อ(การใช้คลิปภาพยนตร์ประกอบ , การใช้เพลงประกอบการฝึกอบรม , การใช้โปสเตอร์ในการประกอบการฝึกอบรม, การใช้อุปกรณ์ต่างๆในการประกอบการฝึกอบรม เป็นต้น) ความหลากหลายในเนื้อหา (มีการอ้างอิงวิชาการ มีการอ้างอิงตัวอย่างจริง มีการใช้มุขตลกมาสอดแทรก มีการใช้แง่มุมความคิดเห็นของตนเองในการนำเสนอ มีการแนะนำหนังสือหรือเนื้อหาอื่นๆ ให้ไปอ่านเพิ่มเติม เป็นต้น)
2.มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้ในการบรรยาย นี่คือความแตกต่างระหว่าง วิทยากรสมัยใหม่กับวิทยากรในสมัยก่อน เลยทีเดียว เนื่องจากยุคนี้ เรามีการแข่งขันสูง การใช้เทคโนโลยี จึงมีการนำมาใช้ทุกวงการ ไม่ว่า วงการธุรกิจ วงการการเมือง วงการทหาร วงการตำรวจ ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่วงการวิทยากรเอง เราจะเห็นได้ว่า วิทยากรหนุ่มๆ มีความสามารถเป็นที่ดึงดูดใจ หรือผู้ฟังอยากฟัง มากกว่าวิทยากรสมัยเก่าบางท่าน ก็เนื่องมาจากปัจจัยหนึ่ง ก็คือ วิทยากรท่านนั้น มีการใช้เทคโนโลยีมาใช้ประกอบการฝึกอบรมนั่นเอง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขันในวงการวิทยากร
3.มีการนำเสนอที่ชัดเจน เข้าใจง่าย สนุก ไม่สับสน การเป็นวิทยากรสมัยใหม่ มักจะต้องทำเรื่องยากๆ ให้ดูเป็นเรื่องง่าย เรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องที่สนุก ไม่เครียด ตัวอย่าง สดๆร้อนๆ เมื่อสักครู่นี้เอง ก่อนที่กระผมจะเขียนบทความฉบับนี้ ได้มี โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ติดต่อให้กระผมไปเป็นวิทยากร แล้วก็บอกว่า “ อาจารย์ ขอให้พูดแบบสนุกๆ ไม่เครียด ไม่ต้องเอาสาระก็ได้ เอาฮาอย่างเดียว” ผมก็เกือบถามไปว่า “ถ้าวันไปบรรยาย ก็ขอให้เตรียมถาดให้หน่อย จะได้ไปตีหัวและเล่นตลกให้ดูเลย ” 555)
4.มีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อผู้เข้ารับการอบรมกลับไปทำงานตามปกติแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงาน เช่น พนักงานขายเมื่อก่อนขายไม่เคยขายเข้าเป้าหมาย แต่เมื่ออบรมไปแล้ว พนักงานขายคนดังกล่าวมียอดขายเกินเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ หรือ พนักงานส่วนใหญ่มีความเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ในการทำงาน แต่เมื่อได้รับการอบรมไปแล้ว พนักงานส่วนใหญ่มีความขยันทำงาน มีความรับผิดชอบในการทำงานมากขึ้น เป็นต้น
5.มีความรู้กว้างและรู้ลึก วิทยากรสมัยใหม่ ต้องมีความรู้ที่รอบด้าน รู้กว้างและรู้ลึก ในเรื่องราวต่างๆ เนื่องจาก สังคมยุคปัจจุบัน เป็นสังคมเปิด เป็นสังคมแห่งการแข่งขัน เป็นสังคมข่าวสาร หากว่า วิทยากรมีความรู้น้อยกว่าผู้เข้ารับการอบรม อีกทั้งไม่สามารถตอบคำถาม หรือ แก้ปัญหาให้เขาได้ วิทยากรท่านนั้นก็คงสำเร็จได้ยากในแวดวงวิทยากรสมัยใหม่
6.มีความรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ยุคสมัยใหม่ หรือยุคสมัยนี้ เราคงได้ฟังได้ยินว่า มีวิทยากรระดับโลก ได้มาบรรยายในหัวข้อต่างๆ ให้กับนักธุรกิจไทย หรือ ผู้สนใจฟัง ซึ่งวิทยากรระดับโลกได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ในการอบรมบางหัวข้ออาจมีคนไทยแปลให้ จึงทำให้เราทราบว่า การที่ท่านจะเป็นวิทยากรยุคใหม่ ท่านจะต้องมีความสามารถในการสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ ท่านจึงจะได้เปรียบกว่าวิทยากรรุ่นเก่าๆ ที่ไม่สามารถสื่อภาษาต่างประเทศได้ เพราะท่านอย่าลืมว่า ประเทศไทยเราได้ไปทำสัญญาการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศต่างๆ ภาษาอังกฤษจึงเป็นสื่อกลางที่มีความสำคัญมาก ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งหากท่านเป็นวิทยากรที่เก่งภาษาต่างประเทศ ท่านก็อาจจะได้มีโอกาสไปบรรยายในต่างประเทศ
สรุปคือ วิทยากรยุคใหม่ต้องมีการพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ความคิดในการนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย , การเรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการฝึกอบรม , มีการดัดแปลง ประยุกต์ เนื้อหาเพื่อให้เกิดความชัดเจน เข้าใจง่าย สนุกไม่สับสนในเนื้อหาที่บรรยาย , มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้อบรมในทางที่ดีขึ้นในการทำงาน , ต้องเรียนรู้ให้มากและหนัก ต้องรู้ลึก รู้กว้าง ในหัวข้อต่างๆ และต้องมีความรู้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษเพื่อที่จะนำไปใช้ในการบรรยายหากท่านได้มีโอกาสไปบรรยายในต่างประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น
...
  
จงพัฒนาตนเอง ทุก 10%
จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้าน อีกทั้งยังเป็นคนที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความคิด การพูดและการกระทำ ซึ่ง คนเราทุกๆคน สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองให้สู่ความสำเร็จได้ แต่หลายๆท่านอาจท้อแท้ เนื่องจาก ทางที่สู่ความสำเร็จในมันไกลเหลือเกิน แต่คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้โดยการพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
พวกเราคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง เต่ากับกระต่าย หาว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ยาวไกล ท่านก็ควรมีแนวความคิดเหมือนกับเต่า กล่าวคือ การเดินไปอย่างช้าๆ การพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ
ในบทความฉบับนี้ กระผมขึ้นต้นว่า จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนครับ เพียงแค่คุณพัฒนาตนเองทุกๆวันแค่วันละ 10 % ภายใน 1 ปี คุณจะมองเห็นความแตกต่างในตัวคุณเองอย่างชัดเจนและจะส่งผลให้คุณประสบความสำเร็จได้เพิ่มขึ้น การหาบน้ำ 100 ถัง ในครั้งเดียวหนักและเหนื่อยไหมครับ แต่หากว่าเราหาบน้ำทีละ 10 ถัง 10 เที่ยว เราจะรู้สึกว่าเราทำได้และเหนื่อยน้อยลงใช่ไหมครับ
เราจะพัฒนาตนเองทุกๆวัน วันละ 10% ด้านใดบ้าง
1. บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่คุณควรพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย ทรงผม การเดิน การนั่ง การเคลื่อนไหว สีหน้าท่าทาง ฯลฯ เพียงคุณใช้เวลา 10 % ในการคิดถึงและปรับปรุงบุคลิกภาพ ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดีขึ้นในสายตาของผู้อื่นอย่างรวดเร็ว โดยการพัฒนาตนเองอย่างง่ายๆ คุณลองหาต้นแบบของคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขามีบุคลิกภาพอย่างไร แล้วเราก็ปรับปรุงพัฒนารูปแบบตามเขาแล้ว เราจึงนำมาแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในสไตล์ของเราเอง
2. สุขภาพ เป็นสิ่งที่คุณควรพัฒนาตนเอง เนื่องจากสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นผู้นำคนใดในโลกที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ ดังนั้น เราควรพัฒนาตนเองให้มีร่างกายแข็งแรงทุกๆวัน วันละ 10% แต่ไม่ใช่ว่าอ้วนขึ้นทุกๆวัน วันละ 10% นะครับ สิ่งที่คุณควรระวัง ควรควบคุมน้ำหนักและไขมันส่วนเกินอยู่เสมอ ออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
3. การสื่อสาร เราสามารถพัฒนาการสื่อสารระหว่างบุคคลโดยการพัฒนาทุกวันๆละ 10% ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูด การเขียน การใช้ภาษากาย เมื่อคุณพัฒนาการสื่อสารทุกๆวัน วันละ 10% ก็จะทำให้หน้าที่การงานของคุณเจริญก้าวหน้า มั่นคงขึ้น
4. ควบคุมตนเองและสร้างวินัย หากเรามีสติควบคุมตนเองและสร้างวินัยให้ตนเองได้ ทุกๆวัน วันละ 10% ภายใน 3 เดือน ท่านจะเห็นว่าแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เช่น การมีวินัยในการทำงานให้ตรงต่อเวลา การควบคุมตนเอง ไม่ให้ออกนอกเส้นทางที่ท่านได้วางเป้าหมายไว้ เป็นต้น
5. การบริหารเวลา คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกๆคน แต่คนที่ประสบความสำเร็จ สามารถบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก หากท่านสามารถพัฒนาตนเองในเรื่องการบริหารเวลา การวางแผนการใช้เวลา ทุกๆวัน วันละ 10% ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
6. งานที่ท่านทำ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักคิดถึงงานเป็นอันดับแรก หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ลองพัฒนาตนเองให้ทำงานให้ดีขึ้นทุกๆวัน วันละ 10% ท่านก็จะประสบความสำเร็จในหน้าการงานของท่านได้
จงจำไว้ว่า เราสามารถพัฒนาตนเองได้เกิน 100 % ต่อปี ก็ด้วยการพัฒนาตนเองทุกๆวัน วันละ 10% การพัฒนาตนเอง 10 X 10 % มีค่าเท่ากับ 100 % ได้ หากว่าท่านยึดหลัก จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น แนวทางนี้ในการดำเนินชีวิตกระผมเชื่อแน่ว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน

...
  
การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต มักเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในเรื่องของการบริหารเวลา ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีเป้าหมายและรู้จักคุณค่าของการใช้เวลาแต่ละนาที ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จและรู้จักคุณค่าของเวลา ท่านจงตั้งเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งแต่ละบุคคลมักมีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน เช่น
- บางคนมีเป้าหมายอยากได้บ้านเป็นของตนเอง
- บางคนอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง
- บางคนอยากที่จะลดน้ำหนัก
- บางคนอยากเรียนต่อในระดับปริญญาเอก
- บางคนอยากเป็นเศรษฐี
- บางคนอยากมีเงินสด 1 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี
ดังนั้นหากว่าเรามีเป้าหมาย เราสามารถที่จะวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
เพราะเป้าหมายเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ใช้ในการเดินทาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคุณจำเป็นจะต้องมีความจริงจังกับเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ก็จะทำให้คุณไม่ปล่อยเวลาให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลาของคุณจะมีค่า สำหรับการวางเป้าหมายที่ดี เราควรมีการกำหนดระยะเวลาลงไปด้วย เพราะหากไม่มีการกำหนดระยะเวลา เราก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งควรมีการวางเป้าหมายเป็นด้านๆไป เช่น เป้าหมายในเรื่องการทำงาน , เป้าหมายในเรื่องสุขภาพ , เป้าหมายในเรื่องชีวิตครอบครัว และเป้าหมายในเรื่องสังคม
ด้านการวางแผนที่ดี เราควรวางแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่น หากว่าคุณฝันหรือมีเป้าหมายอยากมีเงินสด 1 ล้านบาท ภายใน 5 ปี คุณจำเป็นที่จะต้องวางแผนการออมเงินให้ได้ปีละประมาณ 2 แสนบาท หรือ เดือนละ 16,600 บาท เป็นต้น
การวางแผนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มีการวิจัยหรือการค้นคว้าของนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องของการวางแผน ได้กล่าวไว้ว่า มีคน 2 คน คนหนึ่งใช้เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง แต่อีกคนหนึ่งใช้เวลาสำหรับการวางแผนเพียง 8 นาที เขาใช้เวลาทำงานเพียงแค่ 7 ชั่วโมง ฉะนั้นเขาสามารถประหยัดเวลาได้ตั้ง 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ดังคำพูดของ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 16 อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า “ หากข้าพเจ้าต้องการตัดไม้ทั้งป่า สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าจะต้องทำคือ ข้าพเจ้าจะลับขวานให้คมก่อน” การวางแผนก็เหมือนกับการลับขวานให้คมนั้นเอง
เป็นหนุ่มสาวไม่ขยันทำงาน แก่เฒ่าจะไร้ค่า
...
  
อาหารปลอดภัย
ตลาดอาหารปลอดภัย

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ความจริงการขายอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากทำให้สุขภาพของคนไทยในปัจจุบันดีขึ้น แต่ผู้ปลูกผักไร้สารพิษหรือผู้ผลิตอาหารปลอดภัย มักจะบ่นว่าไม่มีตลาดรองรับ โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด


ถึงแม้ว่าหลายจังหวัดได้มีโครงการและส่งเสริมการตลาดสำหรับอาหารปลอดภัย เช่น จังหวัดจันทบุรี ได้จัดโครงการตลาดอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ ในช่วงเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการตรวจเลือดหาสารพิษในร่างกายจำนวน 152 คน โดยมีประชาชนที่ตรวจมากถึง 77 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มาตรวจเลือดหาสารพิษก็ว่าได้


หรือที่กรุงเทพมหานคร ก็ได้มีการจัดให้มีการประกวดตลาดสะอาดได้มาตรฐานอาหารปลอดภัย ตั้งแต่ มีนาคมที่ผ่านมาโดยมีตลาดที่เข้าประกวดทั้งสิ้น 61 แห่ง แต่เข้าเกณฑ์ตลาดสะอาดได้มาตรฐานเพียง 41 แห่ง


และจังหวัดพะเยา ก็ได้จัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษฅรคุณภาพจากผู้ผลิตส่งผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ในวันที่ 19 สิงหาคม 2552 ณ ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพะเยาภายในงานก็มีการเสวนาเรื่อง “ สินค้าปลอดภัยจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ” โดยมีการจัดบอร์ดนิทรรศการ, การจัดตลาดนัดสินค้าเกษตรปลอดภัย,การตอบปัญหาด้านเกษตรและการตรวจสารพิษตกค้างในเลือดอีกทั้งสารปนเปื้อนในอาหารด้วย


ถามว่าทำไมเกษตรกรถึงใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้ผู้บริโภคไม่ปลอดภัย คำตอบอาจเป็นเพราะ ค่านิยมที่เกิดจากตัวผู้บริโภคเองที่ต้องการ ผัก ผลไม้ต้องสวย จึงทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาพึ่งสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สำหรับผัก ผลไม้ที่ไม่ใช่สารเคมี ต้องคัดแยกผัก ผลไม้ที่ต้นหรือผลไม่สวยออก จนบางครั้งต้องคัดทิ้งถึง


25 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


สำหรับกระผมเชื่อว่า ถ้าพวกเราเลือกได้อยากรับประทานอาหารปลอดภัย ไม่ว่า ไก่ กุ้งแช่แข็ง ผักสด ผลไม้ และสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ มากกว่า อาหารที่มีสารพิษ ที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ถึงแม้อาหารปลอดภัย อาจจะแพงกว่าอาหารที่มีสารเคมีเพียงเล็กน้อยก็ตาม


ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ผลิตผู้ขาย สินค้าปลอดภัยมักบ่นว่าไม่มีตลาดสำหรับการขายให้แก่ผู้บริโภค และผู้บริโภคก็ไม่รู้จะไปซื้อสินค้าอาหารปลอดภัยจากไหน ถ้าไม่มีการจัดโครงการที่ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาพบกัน และสิ่งที่สำคัญ เราจะทราบได้อย่างไรถ้าซื้อสินค้านั้นในตลาดทั่วไปว่านี่คือ อาหารปลอดภัย เพราะ ผัก ผลไม้ ไก่ สินค้าเกษตรที่เห็นมันไม่สามารถแยกได้ด้วยสายตาคนเรา ถ้าไม่มีการตรวจสารปนเปื้อน


ดังนั้น ผมคิดว่า ผู้ผลิตและผู้ขายอาหารปลอดภัย ควรพัฒนาตราสินค้าของผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยโดยเฉพาะการเกษตร โดยอาจนำคนกลางมีการควบคุมมาตรฐาน ดังตัวอย่าง ถ้าใครต้องการส่งออกต้องมี ISO ก่อน ฉะนั้น จังหวัดควรให้การสนับสนุนและหาหน่วยงานมาดูแลเป็นพิเศษ ถ้ารอนโยบายจากส่วนกลางอาจล่าช้า อีกทั้งควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำโครงการเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เกษตรกรที่ผลิตอาหารปลอดภัยตามยถากรรม


เช่นจังหวัดนครปฐมมีกลุ่มแม่บ้านเกษตรผู้ปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านห้วยพระ ต.ห้วยพระ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม รวมกลุ่มผลิตผลไม้ ผักปลอดสารส่งให้กับ บริษัท กำแพงแสน คอมเมอร์เชียล จำกัด หรือ KC Fresh


ดังนั้น การตลาดหรือช่องทางการตลาด อาหารปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรกรภายในจังหวัด หน่วยงานราชการ รวมทั้งคนในจังหวัดต้องร่วมมือกัน


เกษตรกรภายในจังหวัดที่ปลูกหรือผลิต อาหารสารพิษ ต้องจริงจังและจริงใจ ในการปลูกโดยไม่ใช่สารเคมีจริงๆ เพราะบางกรณี เมื่อขายได้แล้ว มีคนเชื่อว่าเป็นอาหารปลอดภัยจริง ไม่มีสารพิษจริง ถึงตอนนั้นเกษตรกรบางรายกลับหันไปใช้สารเคมี เนื่องจากขายไม่ทัน การใช้สารเคมีทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และไม่ต้องทิ้งผักหรือผลไม้ที่ไม่สวย 25 เปอร์เซ็นต์ทิ้ง


หน่วยงานราชการ ต้องช่วยกันสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ สนับสนุน มีหน่วยงานพิเศษที่ลงมาดูแลเรื่องดังกล่าว มีหน่วยงานรับรองอาจให้ป้ายรับรองว่าร้านนี้เป็น อาหารปลอดภัยจริง


ประชาชนภายในจังหวัดก็ควรให้การสนับสนุน ซื้ออาหารปลอดภัย ภายในจังหวัดของตนก่อน การซื้อของประชาชนภายในจังหวัดจะทำให้ เกษตรกรที่ผลิตหรือขาย อาหารปลอดภัย อยู่ได้ อีกทั้งสุขภาพของผู้บริโภคก็จะดี ไม่มีโรคภัยที่เกิดจาก อาหารที่ปนกับสารเคมี







...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.