หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การบริหารเวลา การตรงต่อเวลา
การบริหารเวลา การตรงต่อเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
จากการสังเกตของกระผม คนไทยเราเป็นจำนวนมากมักมีปัญหาในเรื่องของการตรงต่อเวลา เมื่อถึงเวลานัดหมายมักไปสายหรือไปช้ากว่าเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นการอบรม การสัมมนา การนัดหมายเพื่อทำธุระส่วนตัว หรือ การเข้าชั้นเรียนของบรรดานิสิต นักศึกษา
การฝึกให้เป็นคนตรงต่อเวลา มีข้อดีหลายอย่าง เช่น จะทำให้เราได้ผลงานเป็นจำนวนมาก ฝึกตนเองให้เป็นคนมีวินัย ฝึกการฝืนใจตนเอง ฝึกการปฏิเสธใจของตนเอง เป็นต้น ตัวอย่าง ถ้าหากคุณเป็นนักเขียน คุณกำหนดเวลาตั้งแต่ 20:00-23:00 น. คุณจะเขียนหนังสือ แต่หากมีเพื่อนชวนไปดูภาพยนตร์หรือชวนไปเดินเที่ยว แล้วคุณไม่มีวินัยหรือไม่กล้าปฏิเสธ ก็จะทำให้เวลาเขียนหนังสือของคุณลดน้อยลงไป ผลงานหนังสือที่ต้องการก็จะไม่ได้ตามกำหนดที่ได้ตั้งไว้ แต่หากว่าเรามีการทำงานที่ตรงต่อเวลา ก็จะทำให้ร่างกาย จิตใจของเราเปลี่ยนสภาพ เตรียมพร้อม เตรียมพลังงานไว้สำหรับเวลานั้นๆ(กำหนดเวลาตั้งแต่ 20:00-23:00 น. เขียนหนังสือ)
การตรงต่อเวลานี้ ยังรวมไปถึง การไม่ยอมส่งงานตามเวลาที่กำหนด ทำให้หลายคนติดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ทำให้งานค้างเป็นจำนวนมาก ดังสุภาษิตว่า “ ดินพอกหางหมู ” บางคนงานค้างจนกระทั่ง “ ดินจะพอกตัวของหมูไปอีกต่างหาก” ฉะนั้น หากใครรู้ว่ามีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งก็จงแก้ไขโดยเร็ว เพราะการผัดวันประกันพรุ่งจะทำให้งานง่ายเปลี่ยนเป็นงานยากและงานที่ยากอยู่แล้วเป็นงานที่ยิ่งยากขึ้นอีก
ลักษณะการตรงต่อเวลา จึงเป็นนิสัยของคนทำงานเก่ง
พลตรีหลวงวิจิตรวาทการเป็นตัวอย่างเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ท่านเป็นคนที่มีลักษณะตรงต่อเวลา ด้วยความเพียรทำให้ท่านมีผลงานการเขียนมากถึง 200 กว่าเรื่อง
โทมัส อัลวา เอดิสัน ด้วยความเพียรและทำงานตรงต่อเวลาที่ตนเองได้กำหนด ทำให้เขามีสิ่งประดิษฐ์มากกว่า 1,000 ชิ้นซึ่งเขาได้นำไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์
ตรงกันข้าม คนที่ไม่ตรงต่อเวลา มักจะเป็นคนที่ขี้เกียจ คนที่ไม่มีระเบียบวินัย เป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ เช่นการผิดนัดเป็นประจำ(ข้อแนะนำควรไปก่อนเวลานัดสักประมาณ 10 นาที)หรือไม่ยอมส่งงานตามกำหนดเวลาหรือไม่ยอมให้บริการตามเวลาที่กำหนดไว้(ตัวอย่าง สายการบินใด ไม่ตรงต่อเวลา ความน่าเชื่อถือก็จะลดลง) เป็นคนหลีกเลี่ยงงาน ฉะนั้น หากท่านต้องการความสำเร็จ ท่านควรฝึกการวางแผนการใช้เวลา ไม่จะเป็นเวลากิน เวลานอน เวลาทำงานต่างๆ ให้ติดตัวของท่าน อีกทั้งควรหาเครื่องมือช่วย เช่น มีนาฬิกาตั้งเวลาหรือนาฬิกาคอยเตือน , มีหนังสือวางแผนงาน , มีการทบทวน ตรวจสอบการใช้เวลาก่อนเข้านอน เป็นต้น



...
  
คุณก็สามารถร่ำรวยได้
โมติเวท : คุณก็สามารถร่ำรวยได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนธรรมดาโดยทั่วๆไปอย่างกระผมหรืออย่างท่านผู้อ่าน ก็สามารถร่ำรวยได้ ถ้าหากว่าเรามีเป้าหมาย เรามีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา เรามีความขยันอดทน ดังตัวอย่างบุคคลที่ร่ำรวยที่กระผมจะยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
- ลอร์ด ทอมป์สัน เชาได้ชื่อว่าเป็น ราชาในวงการหนังสือพิมพ์คนหนึ่งของโลก เขาเป็นเจ้าของ
นิตยสารจำนวน 138 ฉบับ เจ้าของหนังสือพิมพ์อีก 183 ฉบับ ซึ่งหนังสือพิมพ์ของเขามีขายไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยของเรา
ลอร์ด ทอมป์สัน เสียชีวิตเมื่ออายุได้ 82 ปี ทิ้งมรดกให้แก่ลูกหลานจำนวน 6,000 ล้านบาท หลายคนคงคิดว่าเขาร่ำรวยมาแต่เกิดหรือไม่ คำตอบคือ เปล่าเลยครับ ภรรยาของเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ตอนที่แต่งงานกับลอร์ด ทอมส์สัน ใหม่ๆ ค่านมค่าอาหารที่ทานทุกๆวัน แทบไม่มีจ่าย แต่เขาดันเพ้อฝันและบอกภรรยาว่า “ สักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นเศรษฐี” ภรรยาของเขาก็หัวเราะ
เขาเริ่มต้นทำธุรกิจเมื่ออายุได้ 40 ปี โดยการยืมเงินเพื่อนฝูง งานแรกของเขาคือ เขาจัดรายการทางวิทยุและทำงานด้านหนังสือพิมพ์ควบคู่กันไปด้วย โดยเขาใช้เวลาอยู่ในวงการถึง 40 ปี ในที่สุดเมื่อปี ค.ศ.1967 เขาลงทุนซื้อ ธุรกิจหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ซึ่งขณะนั้นใกล้ที่จะล้มละลาย เพราะมีปัญหาเรื่องของการบริหาร มีการขาดทุนจำนวนมากมายมหาศาล แต่เขากลับกล้าที่จะเสี่ยงลงทุน เขาบริหารจัดการจนหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ กลับมามีกำไรอีกครั้ง จนทำให้เขามีชื่อเสียงและวงการสื่อสารมวลชนยอมรับความสามารถในตัวเขา ซึ่งเขาบอกเคล็ดลับที่ประสบความสำเร็จของเขาให้แก่คนรุ่นหลังว่า “ จงทำงานอย่างหนักและมีความละเอียดรอบคอบในการบริหารนี่คือปัจจัยในการนำไปสู่ความสำเร็จของเขา”
- ริชาร์ด แบรนสัน พ่อมดแห่งโลกธุรกิจ เจ้าพ่อแห่งอาณาจักรเวอร์จิ้น เขาใช้ชีวิตแบบไม่ธรรมดา
เมื่ออายุเพียง 16 ปี ก็ลาออกจากชีวิตการเป็นนักเรียน เพื่อออกมาทำหนังสือ Student แล้วจึงมาตั้งบริษัท Virgin Galactic ซึ่งปัจจุบันเขาได้ทำธุรกิจมากมาย เช่น ธุรกิจชุดเจ้าสาว น้ำอัดลม เครื่องสำอาง ถุงยาง โรงแรม รถไฟ มือถือ สายการบิน ธุรกิจการเงิน และทัวร์อวกาศ ฯลฯ
ริชาร์ด แบรนสัน เกิดในครอบครัวคนชั้นกลาง โดยส่วนตัวเขาแล้ว เขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ซึ่งชอบทำอะไรแปลกๆใหม่ๆตลอดเวลา เขาชอบคิดนอกกรอบ อีกทั้งมีความเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
เช่น บริษัทอื่นๆต้องจ้าง บริษัทโฆษณา บริษัทประชาสัมพันธ์ เพื่อจัดกิจกรรมทางด้านการตลาด ซึ่งต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากมายมหาศาล แต่เขากลับใช้วิธี การทำลายสถิติโลก ด้วยการขึ้นบอลลูนและการแล่นเรือ เพื่อโปรโมทองค์กรของเขาแทน อีกทั้งมีการประชาสัมพันธ์ตนเองด้วยการแสดงภาพยนตร์ เรื่อง “ เจมส์บอนด์ ” ซึ่งทำให้คนรู้จักเขาไปทั่วโลก และเขายังบริจาคเงินจำนวน 3,000 ล้านเหรียญเพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน และสร้างโรงเรียนในประเทศแอฟริกาใต้ พร้อมทั้งอนุญาตให้เอาชื่อของเขาเป็นชื่อโรงเรียน พิธีเปิดโรงเรียน เขาประทับรอยเท้าที่ Branson School of Entrepreneurship จนหลายคนยกย่องให้เขาเป็น “นักประชาสัมพันธ์ชั้นยอด”
นี่คือตัวอย่างเพียงแค่ 2 ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และยังมีบุคคลที่ประสบความสำเร็จอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเราสามารถนำเอามาเป็นแบบอย่าง และท่านผู้อ่านสามารถหาซื้อหนังสือต่างๆ ณ ร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ เพราะการอ่านประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ จะทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น






...
  
มีเวลาทำงานมาก ไม่ได้หมายความว่าทำงานได้ดี
มีเวลาทำงานมาก ไม่ได้หมายความว่าทำงานได้ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หลายคนมักคิดว่า หากมีเวลาทำงานมากขึ้น งานย่อมออกมาดีขึ้นและได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น แต่จริงๆแล้ว ไม่แน่เสมอไป
บริษัทส่วนใหญ่มักกำหนดเวลาทำงาน ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็น เคยมีบริษัทแห่งหนึ่ง อยากให้พนักงานทำงานให้บริษัทมากขึ้น เลยกำหนดเวลาใหม่ ให้พนักงานเข้าทำงานตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 6 โมงเย็น (เพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมง) ผลออกมาเป็นอย่างไร? ปรากฏว่า บริษัทแห่งนั้น มีผลงานน้อยกว่าเดิม เนื่องมาจากอะไร?
เนื่องมาจากพนักงานส่วนใหญ่ แทนที่จะมาถึงแล้วเริ่มต้นทำงานเลย กลับใช้เวลาในช่วงเช้าในการอ่านหนังสือพิมพ์ กินกาแฟสักแก้ว คุยกัน นินทากัน กว่าจะเริ่มทำงานจริงๆ ก็เป็นเวลา 9 โมงเช้า เท่าเดิม
สำหรับช่วงบ่าย ช่วงพักรับประทานอาหาร ก็ไปเดินเที่ยวห้าง ซื้อของ กว่าจะกลับมาที่โต๊ะทำงานก็ช้าไปอีกคนละเกือบ 5-10 นาที แล้วจึงเริ่มทำงาน พอ 5 โมงเย็น เริ่มที่จะจับกลุ่มคุยกัน วิจารณ์การเมือง พูดคุยกันเรื่องละคร ข่าวต่างๆ เหตุเพราะพนักงานส่วนใหญ่คิดว่า ต้องทำงานมากขึ้น 2 ชั่วโมง จึงอยากที่จะพักผ่อนบ้าง เหตุนี้จึงทำให้ปริมาณงานที่ทำไม่เพิ่มขึ้นและงานออกมาไม่ดีขึ้น
ที่นี่ เรื่องเป็นอย่างไรต่อ ผู้บริหารเริ่มสังเกตและมองเห็นเหตุการณ์ จึงมานั่งประชุม แล้วจึงสรุปว่า ให้พนักงานทุกๆคนกลับไปใช้ช่วงเวลาในการทำงานดังเดิม คือ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็น แต่ขอให้ทำงานอย่างเต็มที่ ผลปรากฏว่า ปริมาณงานมากขึ้นและงานออกมาดีขึ้นกว่าการทำงานในช่วงเวลา ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 6 โมงเย็น เพราะพนักงานมีความรู้สึกต้องทุ่มเทให้กับงานมากขึ้น
ฉะนั้น การมีเวลาทำงานมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่า งานนั้นจะออกมาดีหรือมีผลงานมากขึ้นเสมอไป 1 ชั่วโมงที่มีอยู่ของแต่ละคน บางคนอาจใช้อย่างคุ้มค่า แต่สำหรับบางคนก็มักจะปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า
เวลาเป็นเงินเป็นทอง หากว่าพวกเราลองสมมุติว่า 1 ชั่วโมง เรามีค่าเป็นเงิน 2,000 บาท เราคงไม่ปล่อยช่วงเวลา 1 ชั่วโมง ของเราไปกับ การนั่งคุยกัน นั่งนินทากัน แต่เราจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเราจะเลือกทำงานชิ้นสำคัญที่สุดก่อน
สำหรับการจะใช้เวลาทำงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพนั้น เราควรเลือกใช้เวลากับกิจกรรมหรืองานที่มีคุณค่าสูงอยู่เสมอ เช่น หากคุณเป็นนักขาย งานที่คุณค่าสูงของคุณ ก็คือการ ขายสินค้า , การโทรศัพท์ติดต่อลูกค้า , นำเสนอขาย , การกรอกข้อมูลรายงานการขายสินค้า เป็นต้น ดังนั้น คุณต้องใช้เวลาไปกับสิ่งเหล่านี้ให้มากกว่า การใช้เวลาพูดคุยกันกับเพื่อน แทนที่จะเป็นการพูดคุยกันกับลูกค้า , คุณควรใช้เวลาในการโทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้า มากกว่า พูดคุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว ฯลฯ
การควบคุมการใช้เวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าจะให้ดีคุณควรจัดทำแบบบันทึกปริมาณการทำงานของคุณไว้ด้วยยิ่งจะทำให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น หากคุณเป็นนักขาย คุณควรกำหนดรายละเอียดลงไปภายในแบบบันทึกปริมาณการทำงานของคุณ ว่าคุณมีเป้าหมายในการโทรศัพท์ไปหาลูกค้ากี่ราย และ โทรศัพท์ไปหาลูกค้าจริงๆ กี่ราย , เป้าหมายการไปพบเพื่อนำเสนอขายสินค้า สัปดาห์หนึ่งกี่คน แล้วคุณทำได้กี่คน เป็นต้น สำหรับแบบบันทึกปริมาณการทำงานคุณอาจต้องทำเป็น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ก็จะยิ่งทำให้การใช้เวลาในการทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



...
  
โมติเวท : ศาสตร์แห่งความร่ำรวย
ศาสตร์แห่งความร่ำรวย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ถ้าคนที่อยู่ในประเทศของเรา อยู่ในจังหวัดของเรา สามารถสร้างความร่ำรวยได้ เราก็สามารถทำได้เช่นกัน
ศาสตร์แห่งความร่ำรวยมีอยู่จริง ซึ่งศาสตร์แห่งความร่ำรวยก็เหมือนกับศาสตร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ศาสตร์ทางด้านคณิตศาสตร์ ศาสตร์ทางด้านสังคมศาสตร์ ศาสตร์ทางด้านโหราศาสตร์ ฯลฯ
หากเราลองไปสังเกตคนที่ร่ำรวยแล้วเราจะรู้ว่าเขาไม่ได้ฉลาดเกินกว่าเรา เขาไม่ได้เก่งกว่าเรา หรือเป็นอัจฉริยะ แต่สิ่งที่มีความต่างแตกกันก็คือเรื่องของความคิด T.Harv Eker ผู้สอนและเขียนหนังสือเรื่อง “ ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน” เขาพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ ให้เวลาเขา 5 นาที แล้วเขาจะทำนายอนาคตทางการเงินตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ” ถามว่าเขาทำนายจากสิ่งใด เขาสามารถทำนายได้จากแนวความคิดและแผนผังการเงินในสมองของคุณ เขายังเชื่อว่า หากต้องการเป็นคนที่ร่ำรวย สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ ท่านจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านจะต้องเลียนแบบวิธีคิดของคนรวย อีกทั้งต้องตั้งโปรแกรมความคิดเสียใหม่ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ ท่านต้องพูดกับตัวท่านเองทุกๆวัน และทุกๆโอกาส เช่น ฉันสามารถร่ำรวยได้ , ฉันมีความคิดแบบมหาเศรษฐี , ฉันมีสมองเงินล้าน เป็นต้น
หนังสือ The Secret กฏแห่งการดึงดูด ความลับของ The Law of Attraction.(ท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติ่ม)กล่าวไว้ว่า หากว่าท่านต้องการสิ่งใด ขอให้ท่านคิดเรื่องนั้นบ่อยๆ กฎแห่งการดึงดูดก็จะทำงาน หากท่านคิดเรื่องร้ายๆ เรื่องร้ายๆก็จะมาหาท่าน แต่ตรงกันข้ามหากท่านคิดแต่เรื่องที่ดีๆ เรื่องที่ดีๆก็จะเข้ามาหาท่าน ดังนั้น หากท่านต้องการร่ำรวย ท่านก็จงคิดแต่เรื่องที่จะนำพาท่านไปสู่ความร่ำรวย จงมุ่งความคิดของท่านไปที่การจะหาทรัพย์สิน การสร้างธุรกิจมากกว่าการชำระหนี้สินหรืออุปสรรค
และเนื้อหาในหนังสือ The Secret บางตอน ยังได้แนะนำเพิ่มเติมว่า ให้ท่านตัดภาพวาดเกี่ยวกับ บ้าน รถ สระว่ายน้ำ เงินทอง หรือสิ่งต่างๆที่ท่านต้องการไว้ดู โดยติดไว้ในสถานที่ที่ท่านเห็นได้บ่อยๆ หรือตลอดเวลาได้ยิ่งดี
หนังสือ the new science of getting rich หรือ ไขรหัสศาสตร์สู่ความร่ำรวย ก็ได้กล่าวและมุ่งเน้นไปที่เรื่องของความคิด โดยสรุปก็คือ หากท่านต้องการร่ำรวย ท่านจงเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านก่อนเป็นลำดับแรก
หลายๆคนอาจจะตั้งข้อสงสัย หลายๆท่านอาจจะมีความคิดที่โต้แย้ง แต่หากว่าท่านใดมีความเชื่อและยอมรับมันหมดหัวใจ ท่านก็จะเดินทางไปสู่ความร่ำรวยได้เร็วกว่าคนอื่นๆที่ไม่ยอมรับและมีข้อโต้แย้ง เพราะการไม่ยอมรับจะทำให้เขาไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด ทั้งนี้หากว่าท่านต้องการร่ำรวยอย่างแท้จริง ขอให้ท่านขจัดความคิดเก่าๆของท่านทิ้งไป แล้วคิดใหม่ คิดว่าท่านสามารถร่ำรวยได้ คิดว่าท่านสามารถกุมโชคชะตาของตนเองได้

คนที่ร่ำรวยมักชอบการสร้างสรรค์มากกว่าการแข่งขัน เพราะการแข่งขันจะทำให้รู้สึกกดดัน ไม่มีความสุข เกิดความเครียด แต่หากว่าเรามีความคิดที่สร้างสรรค์ เรามักสร้างสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ จากตัวเราเองทำให้เราไม่เกิดการกดดันใดๆ อีกทั้งการแข่งขันจะทำให้เกิดความคิดในทางลบมากกว่าทางบวก เช่น เกิดความอิจฉา เกิดความคิดที่อยากจะทำลาย เป็นต้น
จงสร้างสรรค์ผลงานในการทำงานของท่านให้ดีขึ้นตลอดเวลา เช่น การสร้างสรรค์งานเขียนใหม่ๆ การสร้างสรรค์ผลงานเพลงใหม่ๆ การสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆ การสร้างสรรค์การออกแบบเสื้อผ้า ทรงผมใหม่ๆ เป็นต้น
T.Haarv Eker เขาเปลี่ยนตัวเขาเองจากคนที่เคยถังแตกมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านภายใน 2 ปีครึ่ง , Donald J.Trump (โดนัลด์ เจ ทรัมพ์) เปลี่ยนจากคนที่ใกล้จะล้มละลาย มาร่ำรวยยิ่งขึ้น ก็เพราะเขามีความคิดซึ่งเป็นความคิดของมหาเศรษฐีนั่นเอง
จงเปลี่ยนแปลงความคิด แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

...
  
การพูดอย่างมีตรรกะ
การนำเสนออย่างมีตรรกะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การนำเสนออย่างมีตรรกะ เป็นการสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งทำให้ผู้รับการฟังหรืออ่าน เกิดความเข้าใจ เกิดความศรัทธา เกิดความเชื่อถือในตัวของผู้พูดหรือผู้เขียน การนำเสนออย่างมีตรรกะจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรที่จะศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนกัน
สำหรับกระบวนการสื่อสารอย่างมีตรรกะ เราควรคำนึงถึง เรื่องของ 1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอ 2.วิธีการนำเสนอ 3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร 4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ
1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอเป็นสิ่งที่ผู้นำเสนอจะต้องมีความเข้าใจว่าสิ่งที่นำเสนอในครั้งนั้น เราต้องการอะไร เช่น เราต้องการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของความบันเทิง , เราต้องการการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของการจูงใจหรือเราต้องการสื่อสารเพื่อให้ข้อมูล ให้ความรู้ ในการนำเสนอในครั้งนั้นๆ
2.วิธีการนำเสนอ เมื่อเราทราบวัตถุประสงค์แล้ว สำหรับการพูด การเขียน เราจำเป็นจะต้องหาวิธีการเพื่อที่จะทำให้การนำเสนอของเราเกิดความน่าสนใจ เช่น หากเป็นการนำเสนอเพื่อให้ความรู้ในห้องฝึกอบรม เราก็ควรที่จะมีวิธีการนำเสนอที่หลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย มีกิจกรรม มีเกมส์ สลับสับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานในห้องประชุม หรือ หากเป็นการนำเสนอด้วยการเขียน หากวัตถุประสงค์ในการเขียนในครั้งนั้นๆ เป็นการเขียนเพื่อความบันเทิง เช่นการเขียน นิยาย เราก็ควรมีการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการเขียนในงานวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ เป็นต้น
3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร มีความสำคัญมากต่อการสื่อสารเกือบทุกประเภท เพราะหากว่าเรานำเสนอได้ดีขนาดไหน แต่ผู้ฟัง ผู้อ่าน ไม่ชอบเรา มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเราแล้ว ผลที่ออกมาจากการประเมินก็มักจะไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้นเราจึงไม่แปลกใจที่เราเห็นนักนำเสนอในยุคปัจจุบัน มักมีการสร้างแฟนคลับ ผ่านสื่อต่างๆ เช่น Facebook , การจัดรายการทางโทรทัศน์ , การจัดรายการผ่านวิทยุ , การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ ในการนำเสนอทุกแห่ง มักมีเรื่องของการกำหนดเวลาพูดให้แก่ผู้พูดหรือพื้นที่สื่อให้แก่ผู้เขียน ดังนั้น เราควรนำเสนอหรือทำการบ้าน ว่าจะทำเสนอให้สั้น ยาว ย่อ ขยาย ในส่วนใดบ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องของเงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อที่มีอย่างจำกัด
Why Why Why (ทำไม ทำไม ทำไม) เป็นคำถามที่นักนำเสนออย่างมีตรรกะ ควรใช้เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามและตอบคำถาม เพื่อการตั้งคำถาม ทำไม จะทำให้เราทราบถึง สาเหตุ ของปัญหา ยิ่งเราถามคำถามว่า ทำไม ซ้ำไปซ้ำมา หลายๆ เที่ยว ก็จะทำให้เราทราบต้นตอที่มีความลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น
เมื่อมีปัญหาในหน่วยงานหรือองค์กร ท่านลองตั้งคำถามว่า “ ทำไม” ดูซิครับแล้วที่จะพบคำตอบในการแก้ไขปัญหา และถ้าจะให้ดีท่านควรที่จะมีการสื่อสารโดยการพูดคุยกันต่อหน้า ซึ่งจะดีกว่าการนำเสนอโดยผ่านการรับโทรศัพท์ การส่งอีเมล์ การส่งแฟกซ์ เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง บริษัทโตโยต้า ได้นำ 5 Why คือวิธีวิเคราะห์การทำงานมาใช้ในการทำงาน ซึ่งมีการถาม Why (ทำไม) ซ้ำไปซ้ำมาถึง 5 ครั้ง ทำให้เกิดกระบวนการปรับปรุงงานได้ดียิ่งขึ้น
ศาสนาพุทธ โดยพระศาสดา พระพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างที่ดีในการนำเสนอแบบตรรกะ ซึ่งเป็นการสอนแบบมีเหตุมีผล ซึ่งก่อนที่ศาสนาพุทธเกิด ก็ได้มี ศาสนา ความเชื่ออื่นๆ เกิดขึ้นมาก่อนมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมกว้างขวางก็เพราะการสอนโดยการขาดความมีตรรกะหรือขาดความมีเหตุผล บางศาสนา บางความเชื่อ ก็สูญหายไปจากโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 2556 ปี
อัลเบิร์ต ไอสไตล์ นักวิทยาศาสตร์เอกระดับโลก บุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะได้กล่าวก่อนเสียชีวิตว่า หากให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เขาจะเลือกนับถือ ศาสนาพุทธ เขาได้ให้เหตุผลว่า เพราะศาสนาพุทธ สอนอย่างมีเหตุมีผล นั่นเอง
...
  
ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce
ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และ บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone
สำหรับการเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเข้าสู่ AEC ในครั้งนี้ หลายฝ่าย หลายหน่วยงาน หลายกระทรวง ได้ให้ความสำคัญและมีการพูดถึงกันมาก ซึ่งหลายๆหน่วยงานได้มีการจัดให้ความรู้แก่ประชาชนในหลายๆ วิชา ไม่ว่าจะเป็นเรี่องของ กฎหมาย , การจัดการ, การบัญชี , การเงิน , ประกันภัย และอีกหลายวิชา
สำหรับบทความนี้ กระผมขอกล่าวถึงเฉพาะเรื่องของการตลาด E-Commerce หรือ “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” คำว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” มีผู้ให้คำนิยามไว้หลายความหมาย เช่น
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)
“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)
การตลาด E-Commerce มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ การบริหาร การจัดการ เพื่อทำให้องค์กรเกิดความก้าวหน้า เกิดกำไร เกิดความมีชื่อเสียง ทำไมต้องทำการตลาด E-Commerce สำหรับ AEC เพราะ โลกยุคนี้เป็น โลกของการรวมเป็นหนึ่ง โลกแห่งการสื่อสาร โลกแห่งเครือข่าย โลกแห่งการไร้ซึ่งขอบเขต ซึ่งทำให้ประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจจะต้องทำงานค้าขายร่วมกับประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น
หากพูดถึงเรื่องของการตลาดในยุคก่อน เรามักมีการใช้การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่ยุคนี้ สื่อที่มีความสำคัญและมาแรงมาก ได้แก่ สื่อทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีคนใช้การเกือบครึ่งโลก การตลาดแบบ E-Commerce จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน
ข้อมูลประเทศใน AEC ที่ใช้ อินเตอร์เน็ต ประเทศสิงคโปร์มีประชาชนใช้อินเตอร์เน็ต เกือบ 100 % (เนื่องจากประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆและมีประชากรไม่มากนัก) รองลงได้แก่ประเทศ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์
สำหรับช่วงเวลา ชั่วโมง ในการเล่นอินเตอร์เน็ตของคนในประเทศ AEC ที่ใช้เวลาในการเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมากที่สุด ได้แก่ เวียดนาม ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ตามลำดับ
ด้านแนวโน้มการใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้งานผ่านอินเตอร์เน็ตของคนไทย ในอนาคต คนไทยจะเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ในจำนวนที่ลดน้อยลง แต่คนไทยจะเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือและTablet มากขึ้น และราคาโทรศัพท์และราคา Tablet ก็จะมีราคาที่ถูกลง
ข้อมูลในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 66 ล้านคน คนไทยใช้อินเตอร์เน็ต 20 ล้านคน เรามีการใช้โทรศัทพ์มือถือเป็นจำนวนมาก บางคนใช้ 2-3 เครื่อง มีการเล่นอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนถึง 26 เปอร์เซ็นต์ มีการใช้ Social Network ถึง 18 ล้านคน การใช้อินเตอร์มากขึ้นในยุคปัจจุบัน จึงทำให้คนไทยคุยโทรศัพท์กันน้อยลง แต่จะคุยกันผ่านอินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น
การที่คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตกันมากในยุคปัจจุบัน ทำให้มีการทำธุรกรรมผ่าน Internet/Mobile Banking in Thailand กันมากขึ้น เพราะมีความสะดวก เสียค่าใช้จ่ายถูก รวดเร็ว ใช้ง่าย ซึ่งแต่ละธนาคารมีการลงทุน มีการจัดระบบ และมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้ามาใช้กันมากขึ้น
การซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกๆปี ซึ่งสินค้าที่ขายดีในอินเตอร์เน็ต ยุคนี้ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์, เครื่องแต่งกายแฟชั่น , โรงแรมและการท่องเที่ยว,ผลิตภัณฑ์ยานยนต์,สิ่งพิมพ์เครื่องใช้สำนักงานและธุรกิจบริการ
ฉะนั้น หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการทำการตลาดผ่าน E-Commerce ท่านคงต้องมีวิธีการดูแลลูกค้าหรือมีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งเราสามารถทำได้โดยผ่านทาง เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ , มีอีเมล์หรือส่งคำถามผ่านหน้าเว็บไซต์ , มีการใช้ระบบสนทนาลูกค้าผ่าน Live Chat เช่น MSN , Skype , Gtalk เป็นต้น
สำหรับ วิธีการประชาสัมพันธ์ธุรกิจก็มีความสำคัญไม่ใช่น้อย หากว่าท่านมีเว็บไซต์ มีระบบการตลาด E-Commerce ดี แต่ท่านไม่ได้ทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาใช้บริการของท่าน ก็จะทำให้สูญเสียโอกาสในการทำกำไร ท่านควรมีการทำการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ผ่านทั้งวิธีออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ธุรกิจจำนวนมากมีระบบ E-Commerec มีเว็บไซต์ที่ดีและสวยงาม แต่ไม่ได้ทำการโฆษณาและทำการประชาสัมพันธ์เป็นจำนวนมาก มากถึง 66 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
การมีเว็บไซต์มีความสำคัญมาก เพราะเว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านค้า ซึ่งวัตถุประสงค์ของการจัดทำเว็บไซต์ E-Commerce ก็ เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อสินค้าบริการ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค เพื่อลดต้นทุนการบริหารงาน และเพื่อความทันสมัยทันยุคทันเหตุการณ์
ในการทำธุรกิจ E-Commerce เราสามารถให้ลูกค้ามาชำระสินค้าเราได้หลายทาง โดยผ่านทางออฟไลน์(โอนเงินเข้าบัญชีทางธนาคาร,โอนเงินชำระทางไปรษณีย์,ชำระกับพนักงานโดยตรง,จ่ายเงินผ่าน 7-11) หรือใช้วิธีการออนไลน์ (ตัดเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ,ตัดผ่านบัตรเครดิต,ชำระผ่าน ATM )
ส่วนการจัดส่งสินค้าของธุรกิจ E-Commerce มีหลายวิธี ซึ่งปัจจุบันทำได้ง่ายดายกว่าในอดีต เช่น ใช้พนักงานขนส่งของบริษัทตนเอง, ส่งสินค้าผ่านทางไปรษณีย์(ซึ่งถือว่าพนักงานไปรษณีย์รู้สถานที่ต่างๆดีที่สุดและมีมาตราฐานระยะเวลาในการจัดส่งที่ได้มาตราฐานมีระบบตรวจเช็คประกันสินค้า),การใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านบริษัทเอกชน, การส่งข้อมูลต่างๆผ่านทางออนไลน์ เป็นต้น
อุปสรรคที่สำคัญ ที่ก่อให้เกิดปัญหาในการจัดส่งสินค้า ได้แก่ ราคาค่าขนส่งมีราคาที่สูง , การส่งสินค้ามีความล่าช้าในการจัดส่ง , ไม่มีการรับประกันการส่งมอบสินค้า, คุณภาพในการจัดส่งไม่มีมาตรฐาน, ขั้นตอนในการจัดส่งยุ่งยากไม่สะดวก เป็นต้น
ในแง่ของพฤติกรรมของลูกค้าที่เป็นอุปสรรคต่อพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรือ E-Commerce คือ ลูกค้ากลัวปัญหาการฉ้อโกง เพราะลูกค้าต้องส่งเงินไปก่อนแล้วได้รับสินค้าในภายหลัง , กลัวได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณาเพราะไม่ได้เห็นสินค้าก่อนการสั่งซื้อดูแต่รูปภาพ , ไม่มีความเชื่อมั่นในการชำระเงิน , ลูกค้ามีความกลัวในการขโมยข้อมูลบัตรเครดิต , ลูกค้ามีความต้องการให้ผู้ขายพูดคุยมากกว่าการติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ต , ลูกค้ากลัวการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ฯลฯ
สำหรับสินค้าประเภท OTOP ของไทยซึ่งมีจำนวนมาก หากต้องการขายสินค้าผ่าน E-Commerce ก็คงต้องมีการพัฒนาหีบห่อ มีการพัฒนาคุณภาพของสินค้า อีกทั้งต้องมีระบบการจัดส่งสินค้าที่ดีอีกด้วย
หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการทำการตลาด E-Commerce ท่านควรหารูปแบบในการขายสินค้าและการทำการตลาดเป็นของตนเอง เช่นท่านต้องมีหน้าร้านออนไลน์ ท่านต้องมีการพนักงานรับโทรศัพท์ ท่านต้องมีการจัดระบบที่ดีคือ มีการจัดการสินค้าและข้อมูลสินค้า มีกระบวนการดำเนินการซื้อขาย มีการให้บริการชำระเงิน มีการจัดส่งที่มีมาตรฐาน และมีฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์(ให้บริการช่วยเหลือและให้ข้อมูลสินค้าแก่ลูกค้า ให้บริการตอบข้อซักถามเกี่ยวกับการสั่งซื้อสินค้า บริการหลังการขายสินค้าหากมีปัญหา แจ้งสถานการณ์สั่งซื้อสินค้าตั้งแต่การแจ้งให้ชำระเงิน) มีการบริการหลังการขาย ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องมีการสื่อสารการตลาดที่ดีด้วย
การทำการตลาดผ่าน E-Commerce จึงมีข้อดีดังนี้ เราสามารถเปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมงผ่านโลกอินเตอร์เน็ต , เราสามารถดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลกอีกทั้งยังตัดปัญหาด้านการเดินทาง , มีการใช้งบประมาณลงทุนน้อย เป็นการประหยัดเวลาและต้นทุนในการรับส่งสินค้าและบริการ, ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์โดยสามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลกและบริษัทผู้ผลิตสามารถขายสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง สำหรับข้อเสีย อาจมีอยู่บ้าง เช่น หลายประเทศไม่มีกฎหมายรองรับสำหรับผู้ซื้อผู้ขาย , ไม่มีการดำเนินการทางภาษีที่ชัดเจน ,ผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีความรู้ทางเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ใช้บริการ E-Commerce ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ซื้อของออนไลน์เป็นประจำ, ผู้ใช้งาน Internet เป็นประจำ, ผู้ที่มีความต้องการหาสินค้าแปลกใหม่,ผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการซื้อ ฯลฯ
สรุป ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce หากว่าท่านต้องการขยายฐานการตลาดให้ใหญ่ขึ้น หากว่าท่านต้องการกำไรมากขึ้น หากว่าท่านต้องการขายสินค้าและบริการให้ได้มากขึ้น การตลาด E-Commerce ช่วยท่านได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยของเราในการค้าขายในยุค AEC ก็คือ เรื่องของภาษาอังกฤษ เพราะการติดต่อสื่อสารใน AEC เราต้องใช้ภาษาอังกฤษ เป็นสื่อกลาง หากว่าท่านไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็จะทำให้การสื่อสารมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการพูดติดต่อค้าขาย การเขียนเรื่องราวต่างๆลงในเว็บไซต์
สำหรับโอกาสในการทำธุรกิจของท่านจะมากขึ้น เนื่องจากประเทศใน AEC มีการใช้อินเตอร์เน็ตกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต การซื้อขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปี การสร้างเว็บไซต์ก็มีค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับการเปิดร้านค้า
...
  
โมติเวท : ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะดีหรือร้าย
โมติเวท : ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะดีหรือร้าย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
- ราล์พ บันเช่ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ขณะที่ยังคงเรียนหนังสือ เขาเคยรับจ้างทำงานเป็นยามรักษาความปลอดภัย
- นอร์แมน วินเซนต์ พีล นักสอนศาสนาชื่อดังก้องโลก เคยเป็นลูกจ้างในร้านขายของชำเล็กๆ ในเมืองโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
- เฮนรี่ ฟอร์ด มหาเศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ ผู้คิดค้นรถยนต์คันแรกของโลก มีโอกาสเรียนเพียงแค่ระดับมัธยม
- สตีฟ จ็อบส์และบิล เกตส์ มหาเศรษฐีแห่งวงการคอมพิวเตอร์ เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป
- โทมัส เอดิสัน เคยถูกพ่อและคุณครูด่าว่าเป็นเด็กที่โง่ เมื่อเรียนหนังสือในโรงเรียนก็สอบได้ที่โหล่อยู่เป็นประจำ แต่ในที่สุด เขาเป็นนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก เขาคิดค้นหลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลกได้
- โทมัส มานน์ นักประพันธ์เอกระดับโลก ก็เรียนไม่เอาไหนเมื่อตอนที่เขาเด็กๆ
- ตัน ภาสกรนที หรือ ตัน โออิชิ ตอนนี้อาจเปลี่ยนเป็น อิชิตัน เขาก็ไม่ได้เรียนจบสูง อีกทั้งเขายังให้สัมภาษณ์ว่าเขาเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่เขาก็สามารถร่ำรวยได้ และสร้างอาณาจักรของตนเองได้
- เจ้าสัวธนินท์ เจียรนนท์ ก็ไม่ได้เรียนจบสูง แต่ก็มีลูกน้องจบปริญญาเอกมากมายที่ช่วยทำงาน จนสร้างอาณาจักรและบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งบริษัทในเครือจนโด่งดังไปทั่วโลก
บุคคลดังกล่าวข้างต้น เคยทำงานที่ต่ำต้อย หลายๆคนไม่มีการศึกษาหรือจบการศึกษาที่สูงเลย แต่เขาเหล่านี้ก็
สามารถประสบความสำเร็จ ดังนั้น หากตอนนี้ ท่านทำงานในหน้าที่ที่ต่ำต้อย ไม่ได้จบปริญญาตรี ท่านก็สามารถนำบุคคลเหล่านี้มาเป็นแบบอย่างได้
ในตอนนี้ชีวิตหลายๆ คนอาจมืดมน มีตำแหน่งหน้าที่การงานสู้เพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันไม่ได้ แต่ในอนาคต ใครจะไปทราบ ท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่เป็นมหาเศรษฐีก็เป็นได้ เพราะว่าวันนี้อาจจะร้าย พรุ่งนี้อาจจะดี ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่จำเป็นจะต้องจบการศึกษาที่สูง ไม่จำเป็นจะต้องทำงานที่ต่ำต้อยเหมือนในปัจจุบัน เพราะท่านสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ความสำเร็จ ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง หากว่าท่านสามารถทำได้ด้วยตนเอง ท่านจะเกิดความภาคภูมิใจมากกว่า การที่ท่านร่ำรวยมาแต่กำเนิด เพราะท่านจะเห็นคุณค่าของมัน ก็เนื่องจากท่านหามันได้ทำมันได้ด้วยความยากลำบาก สรุปคือท่านสามารถประสบความสำเร็จได้ดังบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายในโลกนี้ ขอให้ท่านโชคดี

...
  
การพูดเชิงบวก
การพูดเชิงบวก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูดเชิงบวกมีความสำคัญพอๆกับการคิดเชิงบวก เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่คิดบวกมากกว่าเป็นคนที่คิดลบ และ คนที่ประสบความสำเร็จมักพูดเชิงบวกหรือพูดในแง่ดี มากกว่า การพูดลบหรือพูดในแง่ร้าย
โดยปกติแล้ว คนที่ชอบพูดเชิงบวก มักเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเคารพตนเอง มีความยืดหยุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับคนชอบพูดเชิงลบ มักเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความเคารพนับถือตนเอง และขาดความยืดหยุ่น
สำหรับคนที่ต้องการเป็นคนพูดบวก ควรหัดเป็นคนคิดบวกด้วย เนื่องจากความคิดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ อีกทั้งความคิดเป็นตัวการกำหนดการกระทำ รวมทั้งคำพูดด้วย ดังนั้น หากท่านต้องการพูดเชิงบวก ท่านจึงต้องพยายามพัฒนาความคิดให้เป็นไปในเชิงบวกด้วย
ความคิดเชิงลบและการพูดเชิงลบที่มักพบเห็นกันบ่อยๆ ได้แก่
1.การคิดแบบสุดโต่ง กล่าวคือ เป็นความคิดที่ ไม่ยืดหยุ่น มักมองอะไรเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็มองเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นหากดีก็ต้องดีสมบูรณ์แบบ(100 เปอร์เซ็นต์) หากไม่ดีก็ล้มเหลว(0 เปอร์เซ็นต์) เช่นความคิดลบหรือคำพูดเชิงลบ ก็จะออกมาในลักษณะ ฉันล้มเหลว ฉันสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ฉันโง่เอง ฉันมันไม่ดี เป็นต้น
2.การคิดแบบคิดไปก่อน การคิดแบบนี้ มักคิดว่า อะไรที่มันร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นแล้ว มักเกิดขึ้นอีก คำพูดเชิงลบของคนที่คิดแบบนี้ ก็มักจะเป็นคำพูดที่ว่า “ ฉันทำน้ำหกแต่เช้า วันนี้คงต้องซวยกันทั้งวัน ” หรือ “ รถเสียแต่เช้า วันนี้คงต้องมีเรื่องร้ายเข้ามาแน่นอน”
3.การคิดแบบชอบโทษตัวเอง การคิดแบบนี้ มักจะเอาตัวเองไปเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆซึ่งบางอย่างอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือบางเรื่องอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วคิดมากจนเกินไปจนตนเองเกิดความรู้สึกต้องรับผิดชอบ ทำให้เกิดความละอาย ความสิ้นหวัง ท้อแท้ คนที่คิดแบบนี้มักใช้คำพูดที่ว่า “ ฉันมันไม่ดีจริงๆ เขาถึงทอดทิ้งฉันไป” หรือ “ถ้าฉันเรียนคณะอื่น มหาวิทยาลัยอื่น ฉันคงไม่เสียใจหรือซวยขนาดนี้”
สำหรับเทคนิคในการสร้างตนเองให้มีคำพูดเชิงบวก ได้แก่
1.มีความเชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งต้อง คิดดี ทำดี แล้วคำพูดก็มักจะออกมาในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ พูดดีหรือพูดเชิงบวกด้วย
2.แปลงขยะเป็นทองคำ กล่าวคือ นำสิ่งที่ร้ายหรือไม่ก่อประโยชน์ ให้กลับกลายเป็นดี เช่น เมื่อเจองานหนักๆ หรือถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง ก็ขอให้คิดเสียใหม่ว่า นี่คือบททดสอบว่าเราเป็น “มืออาชีพหรือไม่” หรือ สิ่งเหล่านี้จะฝึกให้เราเป็นมืออาชีพในอนาคต
3.หมั่นให้กำลังใจตนเอง ด้วยการฝึก พูดบวกกับตนเอง ให้บวกยิ่งขึ้น มีนักวิจัยเคยวิจัยว่า อะไรก็ตาม หากว่า เราทำซ้ำๆกันให้ได้ 21 วัน วันที่ 22 เราก็มักจะมีนิสัยดังกล่าว เช่น หากเราหมั่นพูดเชิงบวกกับตัวเอง บ่อยๆ เราก็จะเกิดเป็นนิสัยขึ้นมาได้ เช่น ฉันมีพลัง ฉันมีความเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันสุดยอด ฉันสุขภาพดี ฉันยอดเยี่ยม ฉันวิเศษสุดๆ เป็นต้น
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้เป็นคนพูดเชิงบวก ท่านควรฝึกความคิดบวกและการกระทำที่บวกไปด้วย เนื่องจากมันมีความสัมพันธ์กัน อีกอย่างสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านควรฝึกฝนด้วยความมุ่งมั่น จนเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวท่าน ขอให้ทุกท่าน ประสบความสำเร็จดังที่ใจปรารถนาทุกประการ
...
  
Promotion ทางการเมือง
Promotion ทางการเมือง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เมื่อใกล้วันเลือกตั้งการเมืองเกือบทุกระดับในปัจจุบัน เรามักจะเห็น พรรคการเมืองและนักการเมือง ได้นำการตลาดมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการทำการ Promotion ทางการเมือง ดังจะสังเกตได้ตามป้ายโฆษณาหาเสียง สื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรศัพท์ ใบปลิว อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
Promotion ทางการตลาด มีมากมายเหลือเกินที่ นักการเมืองขุดเอามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง ลด แลก แจก แถม การโฆษณา การขายภาพหัวหน้าพรรค การขายนโยบาย อีกทั้งมีรูปแบบที่มีความแหลกหลายในการใช้กลยุทธ์ต่างๆ จึงขอยกตัวอย่างในประเด็นที่สำคัญๆ ที่นักการเมืองนำ Promotion มาใช้ ดังนี้
1.การขายนโยบาย ลด แลก แจก แถม หรือ นโยบายประชานิยม เป็นนโยบายที่ได้นำการตลาดมาประยุกต์ใช้อย่างได้ผลค่อนข้างมาก ประชาชนคนเลือกตั้งหรือผู้บริโภค ถูกใจ อยากซื้อ หากว่า พรรคการเมืองหรือนักการเมือง นำมาใช้ได้อย่างโดนใจ ตัวอย่างเช่น พรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน ได้นำเอามาใช้
โครงการกองทุนหมู่บ้าน(ที่ให้ทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านมากู้ยืมเงินไปทำอะไรก็ได้) , โครงการบ้านเอื้ออาทร , โครงการรถยนต์คันแรก , โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร , โครงการแท็บแล็ต , โครงการค่าจ้างวันละ 300 บาท , โครงการเพิ่มเงินเดือน 15,000 บาท , โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี , โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ , โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ฯลฯ
2.การขายผลิตภัณฑ์ประเภทบุคคล การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 จะเห็นได้ชัดเจนว่า 2 พรรคการเมืองใหญ่ มีการขายผลิตภัณฑ์ประเภทบุคคลอย่างเด่นชัด พรรคเพื่อไทย มีการขายตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยผ่านการชูนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสโลแกนว่า “ ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” และด้านพรรคประชาธิปัตย์ก็มีการขายภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งพรรคการเมืองทั้งสองพรรค ต้องใช้เงินอย่างมากมายมหาศาลในการทำการประชาสัมพันธ์ การโฆษณา ตามสื่อต่างๆ
สำหรับการเลือกตั้งปี 2554 ที่ผ่านไปนั้น มีนักวิชาการและหน่วยงานต่างๆประเมินกันว่า การเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศแต่ละครั้งพรรคการเมืองต่างๆ ต้องใช้จ่ายเงินในการทำการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆมากถึง 20,000 ล้านบาทเลยทีเดียว ดังข้อมูลของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สคช.)หรือสภาพัฒน์ได้ประมาณการณ์ว่าน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงปี 2548 และ 2550(1) ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยคาดตัวเลขอยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท , ด้านศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินไว้สูงกว่านั้น คือคาดว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้งน่าจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้ามาในระบบ 4-5 หมื่นล้านบาท(ข้อมูลจาก ประชาไทย.com)
3.การขายผ่านการตลาดแบบหลายชั้น MLM นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทย ได้มีการระดมสมาชิกพรรคได้เป็นจำนวนมากทั่วทั้งประเทศ อีกทั้งยังมีการระดมเครือข่ายคนเสื้อแดง จึงทำให้เป็นฐานคะแนนแก่พรรคเพื่อไทย เช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการจัดตั้งสาขาไปทั่วประเทศ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งจึงทำให้ทั้งสองพรรคการเมืองได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งมีสาขาน้อยกว่า สมาชิกน้อยกว่า มีศูนย์ประสานงานน้อยกว่า ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่
4.การขายผ่านการตลาดแบบดึง เป็นการหาเสียงรณรงค์โดยผ่านสื่อต่างๆให้เกิดความคลอบคลุมกับประชาชนผู้เลือกตั้งมากที่สุด โดยเฉพาะสื่อสารมวลชน(สื่อกระจายเสียง,สื่อสิ่งพิมพ์,สื่อภาพยนตร์) สื่อสมัยใหม่(อินเตอร์เน็ต) เพื่อให้เกิดความสนใจ แล้วก่อให้เกิดการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
5.การขายผ่านการตลาดแบบทางตรง กล่าวคือเจาะจงไปยังตัวผู้เลือกตั้งแต่ละคนไปเลย เช่น การส่งจดหมายแนะนำตัวผู้สมัคร , การส่งสารอวยพร , การส่งประวัติ นโยบายพรรค ฯลฯ ทางไปรษณีย์หรือไปให้ถึงที่บ้านตัวต่อตัว
6.การขายผ่านนวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา การเลียนแบบมักไม่เป็นที่จดจำ แต่หากใครทำอะไรใหม่ๆหรือเป็นคนแรกแล้วประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นที่จดจำแก่ประชาชนได้มากกว่า ถามว่าทำไมอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ จึงประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง เหตุหนึ่งก็คือ เขาได้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาตลอดเวลาในช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี เช่น การทำการตลาดเรียลิตี้โชว์วิธี “ แก้จน ” ที่อำเภออาจสามารถ , การแสดงความคิดหรือการที่จะขายหุ้นเพื่อซื้อทีมฟุตบอล(ซึ่งไม่ได้ทำ),การประชุมการหาเสียงผ่านวิดีโอลิงก์ ฯลฯ อีกทั้ง คุณทักษิณ เล่นกับสื่อเป็น จะเห็นได้ว่า ข่าวของคุณทักษิณ จะออกอยู่เป็นประจำไม่ว่าตอนอยู่ภายในประเทศหรือปัจจุบันอยู่ต่างประเทศ ก็ยังมีข่าวออกอยู่

สำหรับปัจจัยเสริมที่ทำให้การทำ Promotion ทางการเมือง ประสบความสำเร็จ ก็คือ พรรคการเมืองที่ทำการสำรวจความต้องการ สำรวจความนิยม(Polling) อยู่อย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ จะทำให้รับรู้ความต้องการของประชาชนผู้เลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งช่วงรณรงค์หาเสียงก็จะมีการจัดทำอย่างเป็นระบบ จึงทำให้รู้ความต้องการและคาดเดาความต้องการในพื้นที่เลือกตั้งแต่ละแห่งได้
การทำ Promotion ทางการเมือง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคปัจจุบัน เพราะในปัจจุบันประเทศที่เป็นประชาธิปไตย และพรรคการเมืองที่ต้องการจะได้รับชัยชนะมักใช้การตลาดมาช่วยไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโอบามา ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งก็เพราะการนำการตลาดมาใช้ เช่น การนำเอาสื่อสมัยใหม่ การนำเอา Social Network มาใช้จนประสบความสำเร็จอย่างสูง การมีโลโก้ มีสโลแกน การขายตัวบุคคลคือขายตัวโอบามาเอง
สรุป การเมืองไทยคงยังต้องมีการใช้ศาสตร์ทางการตลาดเข้ามาผสมผสาน เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันเลือกตั้ง ซึ่งพรรคการเมือง นักการเมือง คนใด สามารถเลือกใช้ศาสตร์ทางการตลาดได้อย่างถูกต้องและถูกจังหวะก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่มีศิลป์ ในการนำเอาไปใช้ เพราะการตลาดเป็นทั้งศาสตร์กล่าวคือ สามารถทำการศึกษาได้จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจากการอ่านหนังสือ การเรียนในชั้นเรียน การสอบถามผู้รู้ แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการแตกต่างกันก็คือ ศิลป์ เพราะถ้าใครรู้จักประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ตรงสถานการณ์ก็จะได้ผลสำเร็จมากกว่าคนที่ประยุกต์ใช้ไม่เป็นหรือประยุกต์ใช้ไม่เก่ง ท่านผู้อ่านก็สามารถนำศาสตร์ทางการตลาดไปใช้กับการเมืองได้เช่นกัน ถ้าหากท่านมีความต้องการที่จะนำไปประยุกต์ใช้
...
  
โมติเวท : จงเรียนรู้ด้วยตนเอง
โมติเวท : จงเรียนรู้ด้วยตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน ไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนในระบบหรือบางคนก็เบื่อหน่ายต่อการเรียนในระบบ ซึ่งการเรียนในระบบมักบังคับให้ผู้เรียนต้องเรียนทุกวิชา ที่ทางโรงเรียนกำหนดให้ ทั้งๆที่ผู้เรียนบางคนไม่ชอบเรียนบางวิชาแต่ก็ต้องฝืนใจเรียน อีกทั้งการเรียนในระบบในหลายๆวิชา ไม่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้ บุคคลที่ประสบความสำเร็จจึงมุ่งที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตนเอง
เช่น โทมัส เอดิสัน เขาคิดค้นหลอดไฟฟ้าและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายก็ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาไม่ได้เรียนหนังสือในระบบมากมาย ตอนเรียนก็สอบได้ที่โหล่ จนพ่อและคุณครูต้องด่าเขาว่าเขาเป็นคนโง่ เนี่ยหากเราตั้งสมมุติฐานใหม่ หากว่า โทมัส เอดิสัน ได้เรียนจนจบถึงขั้นปริญญาตรี ทางวิศวกรรมศาสตร์ โลกก็คงมืดมิดอยู่ หลอดไฟฟ้าดวงแรกก็คงไม่เกิด แต่เขาเป็นคนชอบเรียนรู้ด้วยตนเอง เขาไม่เคยยอมแพ้ เขาจึงทุ่มเทเรียนรู้จากประสบการณ์ จากการทดลอง จากการลองผิดลองถูก จนเขาเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
2 พี่น้องตระกูลไรต์ ก็เช่นกัน เขาคิดและประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดสอนเกี่ยวกับการประดิษฐ์เครื่องบิน แต่ทั้ง 2 พี่น้อง ก็ช่วยการประดิษฐ์ จนเครื่องบินลำแรกได้เกิดขึ้น ก็เนื่องมาจากการเรียนรู้ด้วยตนเองของทั้ง 2 นั่นเอง
สำหรับการทดลองหลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก และ การทดลองประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลก ท่านไม่ต้องถามว่า เขาเหล่านี้ล้มเหลวกี่ครั้ง ทั้งนี้ คงไม่ใช่ 10 ครั้ง 100 ครั้ง 200 ครั้ง แต่เป็น พันๆครั้งขึ้นไป นั่นแสดงให้เห็นถึงความอดทน ความไม่ย่อท้อของพวกเขา
สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคเทคโนโลยี เราสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้หลายๆทางเช่น การเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ต การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านวารสาร การเรียนการศึกษาผ่านทางไกล การดูโทรทัศน์โดยเฉพาะรายการที่ประเทืองความรู้
ดังนั้น ในยุคปัจจุบันเราสามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ง่ายกว่าบุคคลในอดีต ซึ่งบุคคลในอดีตต้องคิดค้น ทดลอง ลองผิดลองถูกมากกว่าคนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น เมื่อ โทมัส เอดิสัน และ 2 พี่น้องตระกูลไรต์ สามารถสร้างความยิ่งใหญ่จากสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้ คนในยุคปัจจุบันยิ่งทำสิ่งต่างๆได้ง่ายดาย กว่าคนในยุคก่อน อีกทั้งคนในยุคก่อนไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี แต่คนในยุคปัจจุบันเรียนจบปริญญาตรีกันเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น เราเรียนรู้ทั้งในระบบ อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากนอกระบบ เราจึงน่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนในยุคก่อนๆ จริงไหมครับ
การศึกษาที่แท้จริง ก็คือการศึกษาด้วยตนเอง
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.