หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
โค้ชสิริลักษณ์ ตันศิริ ตอนที่1
4
...
  
การเป็นพิธีกรและวิทยากรมืออาชีพ
แต่งโดย ถวัลย์ มาศจรัส ...
  
การพัฒนาศักยภาพตนเอง
การพัฒนาศักยภาพตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพัฒนาศักยภาพของตนเองมีความสำคัญมากกับความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การทำงาน คนที่ต้องการประสบความสำเร็จควรจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ซึ่งคงต้องมีการพัฒนากันหลายๆ ด้าน เช่น
1.การอ่านหนังสือ คนที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ต้องเป็นคนที่ชอบการอ่าน รักการอ่าน การสร้างนิสัยรักการอ่าน เราควรฝึกอ่านหนังสือในแนวที่เราชอบหรือรักก่อน แล้วจึงขยายไปอ่านหนังสือในแนวต่างๆ สำหรับการอ่านเพื่ออาชีพ เราควรหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเรา อ่านให้มากที่สุด อย่างน้อยเดือนละ 3-5 เล่ม ต่อเดือน และควรหาวารสารนิตยสารเกี่ยวกับอาชีพที่เราทำ อ่านเพื่อหาความก้าวหน้า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในแวดวงอาชีพนั้น
2.การเข้าฟังสัมมนาดีๆ การอบรมดีๆ ถือว่าเป็นทางลัดในการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพราะวิทยากรหรืออาจารย์มักมีประสบการณ์หรือมีเทคนิคต่างๆ ในการสัมมนาหรือการอบรม ทำให้เราสามารถนำเทคนิคต่างๆ เหล่านั้น มาปรับใช้ ประยุกต์ใช้ได้ด้วย
3.การฟังเทปหรือCD วิชาการในรถ เมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในที่ต่างๆหรือไปยังสถานที่ต่างๆ เท่าที่มีเวลาว่างหรือโอกาส เราควรใช้เวลาว่างนั้นๆ ในขณะขับรถโดยการเปิดฟังเทปหรือCD วิชาการ ฟัง
4.หาทางเข้าสังคมหรือการสร้างเครือข่ายในอาชีพ หรือในงานอดิเรกที่เราสนใจ เช่น สมาคม สโมสร ชมรม ( สมาคมฝึกพูด , สโมสรนักเขียน , ชมรมกีฬาต่างๆ) เพื่อหาเพื่อนหรือเครือข่ายในการช่วยเหลือกัน
5.การดูแบบอย่าง การหาแบบอย่าง การดูต้นแบบ จะทำให้เราเกิดการลอกเลียนแบบ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว มักมีต้นแบบเสมอ เราจะสังเกตเห็นว่า บางคนตอนเด็กๆ อย่างเป็นนักร้องแบบนักร้องคนโน้นคนนี้ จึงเริ่มต้นฝึกร้องเพลงหรือบางคนอย่างชกมวยเก่งแบบเขาทราย เขาจึงเอาหนังสือประวัติของเขาทรายมาอ่าน แล้วเขาก็จะมีกำลังใจในการฝึกฝน อดทนในการซ้อมชกมวย ฯลฯ
6.หาเวลาว่างให้กับตนเอง การใช้ชีวิตของคนเราในภาวะปัจจุบันเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ทำให้ทุกๆคนต้องแข่งขันกันเกือบทุกๆด้าน บางคนยุ่งวุ่นวายมากจนไม่มีเวลาให้ ครอบครัว หรือแม้กระทั่งตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จมักจะต้องจัดเวลาให้แก่ตนเอง เพื่อใช้ในการคิดหรือเพื่อใช้เวลาสำหรับการพักผ่อน
7.ฝึกจดบันทึกส่วนตัว เกี่ยวกับความสำเร็จ ไอเดียใหม่ๆ การใช้ชีวิตประจำวัน การจดสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่ลืม หรือ สามารถนำเอาไอเดียเหล่านั้นมาใช้เพื่อสร้างเป็นธุรกิจหรือการทำงานของเราได้ อีกทั้งท่านสามารถรวบรวมเป็นหนังสือโดยการรวมเล่มขายได้อีกด้วย
8.ต้องฝึกปฏิบัติหรือพัฒนาตนเองตลอดเวลา จะมีประโยชน์อันใด หากว่าเราอ่านหนังสือ เรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการสัมมนา ฟังเทปหรือCD วิชาการ ถ้าเราฟังแบบสนุกหรือผ่านๆ ไป แต่ไม่นำมาปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเราเอง และไม่เกิดการพัฒนา ชีวิตของเราก็จะคงเดิม ไม่ก้าวหน้า
เช่น เรียนรู้เทคนิคทางด้านการพูดแต่ไม่นำเอาเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ หรือไปอบรมเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองแต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนเรื่องของการแต่งกาย เรื่องของท่าทางในการเดินการนั่ง หรือ ฟังเทปหรือCD เรื่องการบริหารเวลาแต่ไม่มีความจริงจังในการทำแบบฝึกหัดที่วิทยากรบรรยาย ฯลฯ
ฉะนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างแท้จริง เมื่อได้อ่าน เมื่อได้ฟังสิ่งใดแล้วเกิดประโยชน์กับตนเอง แล้วคิดว่าเราน่าจะพัฒนาสิ่งนี้ ก็ขอให้รีบนำสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติ ก็จะทำให้ตนเองเกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง
คนเรามักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลง
...
  
เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร
เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
การกระทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 มี 5 สถาน คือ 1.ประหารชีวิต 2.จำคุก 3.กักขัง 4.ปรับ และ 5.ริบทรัพย์สิน หมายเหตุ โทษประหารชีวิตและโทษจำคุกตลอดชีวิตมิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี และ ในกรณีผู้ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีได้กระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษ ดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจำคุกห้าสิบปี
แต่ถ้าท่านหรือญาติของท่านเป็นคนหนึ่งที่ถูกคดีฟ้องร้องถึงขั้นจำคุก ท่านสามารถรอดคุกรอดตะรางได้ โดยมีปัจจัยที่ทำให้ท่านรอดคุกรอดตะรางดังนี้
- หากว่าท่านเป็นจำเลย ถ้าหากพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด ท่านอาจรอดคุกรอดตะรางได้ กระผม
ขออธิบายเพิ่มเติม ในการทำคดีอาญา จะมี 2 ฝ่ายเสมอ คือมีโจทก์เป็นผู้ฟ้อง และมีจำเลยคือผู้ถูกฟ้อง และการสืบพยานก็มักจะมีพยาน 2 ฝ่าย คือ พยานโจทก์และพยานจำเลย โดยที่พยานโจทก์จะเบิกความเพื่อกล่าวหาว่าจำเลยมีความผิดและพยานจำเลยก็มักจะเบิกความว่าจำเลยไม่ผิด ดังนั้น พยานโจทก์จึงมีความสำคัญที่จะทำให้จำเลยติดคุกได้ หากว่าพยานโจทก์เบิกความไม่ดีหรือผิดพลาด จำเลยก็มีสิทธิหลุดได้ อีกทั้งแนวทางการต่อสู้ของทนายความจำเลยก็มีความสำคัญ กล่าวคือหากทนายความจำเลยสามารถถามค้านพยานโจทก์ เพื่อให้พยานโจทก์ตอบให้เกิดความสงสัยได้ยิ่งมากยิ่งดีจะทำให้ศาลมีโอกาสยกฟ้องได้สูงขึ้น
- เด็กมีสิทธิรอดคุกรอดตะรางหรือไม่ มีครับ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกินสิบปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษพนักงานสอบสวนส่งตัวเด็กตามวรรคหนึ่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการ คุ้มครองเด็ก เพื่อดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
หมายเหตุ : มาตรา 73 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
มาตรา 74 เด็กอายุกว่าสิบปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) ว่ากล่าวตักเตือนเด็กนั้นแล้วปล่อยตัวไป และถ้าศาลเห็นสมควรจะเรียกบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาตักเตือนด้วยก็ได้
(2) ถ้าศาลเห็นว่า บิดา มารดา หรือผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กนั้นได้ ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้แก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองไป โดยวางข้อกำหนดให้บิดา มารดา หรือผู้ปกครองระวังเด็กนั้นไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดซึ่งต้อง ไม่เกินสามปี และกำหนดจำนวนเงินตามที่เห็นสมควรซึ่งบิดา มารดา หรือผู้ปกครองจะต้องชำระต่อศาลไม่เกินครั้งละหนึ่งหมื่นบาท ในเมื่อเด็กนั้นก่อเหตุร้ายขึ้น
- ถ้าเด็กนั้นอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และศาลเห็นว่าไม่สมควรจะเรียกบิดา มารดา หรือผู้ปกครองมาวางข้อกำหนดดังกล่าวข้างต้น ศาลจะเรียกตัวบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่มาสอบถามว่า จะยอมรับข้อกำหนดทำนองที่บัญญัติไว้สำหรับบิดา มารดา หรือผู้ปกครองดังกล่าวมาข้างต้นหรือไม่ก็ได้ ถ้าบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ยอมรับข้อกำหนดเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลมีคำสั่งมอบตัวเด็กให้แก่บุคคลนั้น ไปโดยวางข้อกำหนดดังกล่าว
(3) ในกรณีที่ศาลมอบตัวเด็กให้แก่บิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลที่เด็กนั้นอาศัยอยู่ตาม (2) ศาลจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้นเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 56 ด้วยก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลแต่งตั้งพนักงานคุมประพฤติหรือพนักงานอื่นใดเพื่อคุมความประพฤติเด็กนั้น
(4) ถ้าเด็กนั้นไม่มีบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง หรือมีแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถดูแลเด็กนั้นได้ หรือถ้าเด็กอาศัยอยู่กับบุคคลอื่นนอกจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครอง และบุคคลนั้นไม่ยอมรับข้อกำหนดดังกล่าวใน (2) ศาลจะมีคำสั่งให้มอบตัวเด็กนั้นให้อยู่กับบุคคลหรือองค์การที่ศาลเห็นสมควร เพื่อดูแลอบรม และสั่งสอนตามระยะเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ในเมื่อบุคคลหรือองค์การนั้นยินยอม ในกรณีเช่นว่านี้ให้บุคคลหรือองค์การนั้นมีอำนาจเช่นผู้ปกครองเฉพาะเพื่อ ดูแล อบรม และสั่งสอน รวมตลอดถึงการกำหนดที่อยู่และการจัดให้เด็กมีงานทำตามสมควร หรือให้ดำเนินการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นก็ได้ หรือ
(5) ส่งตัวเด็กนั้นไปยังโรงเรียน หรือสถานฝึกและอบรม หรือสถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อฝึกและอบรมเด็ก ตลอดระยะเวลาที่ศาลกำหนด แต่อย่าให้เกินกว่าที่เด็กนั้นจะมีอายุครบสิบแปดปี
- คำสั่งของศาลดังกล่าวใน (2) (3) (4) และ (5) นั้น ถ้าใน ขณะใดภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดไว้ ความปรากฏแก่ศาลโดย ศาลรู้เอง หรือตามคำเสนอของผู้มีส่วนได้เสีย พนักงานอัยการ หรือ บุคคลหรือองค์การที่ศาลมอบตัวเด็กเพื่อดูแล อบรมและสั่งสอนหรือ เจ้าพนักงานว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปก็ให้ ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งนั้น หรือมีคำสั่งใหม่ตามอำนาจ ใน มาตรานี้
หมายเหตุ : มาตรา 74 วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมปอ. (ฉบับที่ 21) พ.ศ.2551
สำหรับ เรามีโอกาสรอดคุกรอดตะรางได้อย่างไร กระผมจะทยอยเขียนเป็นตอนๆ เพราะยังมีอีกหลายกรณีที่เราสามารถรอดคุกรอดตะรางซึ่งสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น คนบ้ามีสิทธิรอดคุกรอดตะรางได้ , ครอบครัวสามีภรรยาพี่น้องลูกหลานพ่อแม่ทำผิดอาญาต่อกันสามารถรอดคุกรอดตาราง(ในบางกรณีครับ) ฯลฯ


...
  
โครงการฝึกอบรม จริยธรรม คุณธรรม ในระบบราชการ
โครงการ “ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ในราชการ ” จัดโดย ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย โดยมีวิทยากร คือ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายในหัวข้อ “ กลไกต่างๆ ของภาครัฐในการส่งเสริมและป้องปรามให้ข้าราชการประพฤติตนอย่างมีคุณธรรม ...
  
ศ.ธรรมทัสสี
ต้องเตรียมการพูดด้วยตนเอง ไม่งั้นจะเป็นเช่นนี้

เพื่อนผมหลายที่เป็นนักพูด เป็นวิทยากรที่ชั่วโมงบินสูงๆ ถ้าต้องพูดที่ซ้ำๆ มักจะไม่เตรียมข้อมูลล่วงหน้า สังเกตเวลาไปพูดหัวข้อนี้ที่ไหนเหมือนก๊อปปี้ไป ขาดชีวิตชีวาในการพูด หากคนฟังเคยเห็นเขาพูดเรื่องนี้มาก่อนจะรู้สึกว่าไม่ให้เกียรติเขา เพราะไม่ยอมปรับปรุงข้อมูล แต่เพื่อบางคนก็จะเตรียมปรับข้อมูลใหม่ตลอด จนกลายเป็นนักพูดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีคิวพูดข้ามปีค่าตัวแพงมาก เพื่อนบางคนเห็นหัวข้อที่คล้ายกันเขาก็แทบจะไม่เตรียมอะไรเลย แต่เขาก็พูดได้ดีมากรื่นไหล และผมก็เอาอย่างบ้าง แต่ข้อจำกัดของผมคือโกหกไม่ค่อยเก่ง

ครั้งหนึ่งผมได้รับเชิญให้พูดหัวข้อที่คุ้นเคย มีข้อมูลสะสมไว้มาก และรู้ลึกว่าตนเองซึ้งแตกฉานมาดเป็นพิเศษ นั่นคือเรื่อง “นักบริหารเชิงพุทธศาสนา” เมื่อได้รับหัวข้อจึงรู้สึกลิงโลดใจมาก ที่จะได้ถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองมีความถนัด เพราะได้ศึกษาและนำหลักพุทธศาสนามาใช้กับงานบริหารมาเป็นเวลานาน ทำให้รู้และเข้าใจปัญหาต่างๆ ในการนำไปประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติได้ดี จึงเตรียมเพียงโครงสร้างเนื้อหาให้เหมาะสมกับเวลาอย่างคร่าวๆ เท่านั้น และออกแบบเพาเวอร์พ้อยไม่ค่อยละเอียดเหมือนทุกครั้ง คือเน้นออกแบบเฉพาะหัวข้อใหญ่ๆ หรือหลักๆ ประมาณ ๔ หัวข้อต่อ ๓ ชั่วโมงเท่านั้น เพราะคิดว่าตนเองสามารถพูดรายละเอียดเชื่อมโยงได้ดี เพียงแค่เห็นหัวข้อหลักเท่านั้น ซึ่งตามปกติถ้าหัวข้อใหญ่ ๔ หัวข้อ จะทำหัวข้อย่อยอีกอย่างน้อย ๕-๕ หัวข้อ และจะทำด้วยตนเองทั้งครั้ง วิธีนี้ช่วยทำให้คุ้นเคยและจำเนื้อหาได้แม่นยำกว่าให้คนอื่นทำให้ เนื่องจากการที่เราออกแบบ แก้ไข เปลี่ยนเนื้อหา และรูปแบบเองไปมาบ่อยๆ จะทำให้จำได้ขึ้นใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาทำความเข้าใจ แม้ขณะกำลังพูดโสตทัศนูปกรณ์เกิดมีปัญหาในระหว่างพูด ก็ยังสามารถพูดต่อได้ตามกรอบที่กำหนดไว้ได้แบบสบายๆ ไม่เกร็งไม่เครียด ไม่หลงประเด็นไม่ออกนอกทาง และควบคุมเวลาได้ เพราะขณะเราเตรียมข้อมูลไป ก็ฝึกพูดในใจไป และจับเวลาไปพร้อมกัน

ครั้งนี้จึงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ทำเพาเวอร์พ้อยและจัดเตรียมข้อมูลตามแบบที่กำหนดให้อย่างคร่าวๆ เพียงหัวข้อหลักดังที่กล่าวมา และไม่ได้ฝึกซ้อมการพูดเพียงแต่นั่งดูผ่านๆ ไม่ได้ฝึกพูดแม้ในใจหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนทุกครั้ง แต่ก็มั่นใจว่างานนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะเป็นหัวข้อที่เข้าใจลึกซึ้งที่สุด เคยพูด และเคยนำไปประยุกต์ใช้ในงานมานาน ซึ่งตามความจริงแล้วคนที่มีประสบการณ์พูดหัวข้อใดมานานๆ ก็น่าจะราบรื่นคล่องตัว แม้ไม่ได้เตรียมตัวมากนัก แต่เนื่องจากผมมักจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการพูด เช่น รูปแบบ และรายละเอียดบ่อยๆ เพื่อให้ไม่น่าเบื่อ ซึ่งแตกต่างจากการเกาะแน่นกับโครงสร้างเดิมตลอดปี หรือนานๆ จึงปรับปรุงครั้งหนึ่ง เนื่องจากเคยเห็นนักพูดมืออาชีพที่มีชื่อเสียงบางท่านที่มีคิวพูดยาวเหยียดตลอดปี จนไม่มีเวลาปรับปรุงเนื้อหา (ซึ่งตามที่เคยมีประสบการณ์ระยะแค่ไม่เกิน ๖ เดือนข้อมูลก็ล้าสมัยไปแล้ว) จึงทำให้ได้รับความนิยมลดลง หรือมีชื่อเสียงในระยะสั้น แต่ก็มีบางท่านที่ให้ทีมงาน (ซึ่งรวมทั้งผมด้วยในตอนนั้น) เตรียมหาข้อมูลใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับเนื้อหาในแต่ละหลักสูตรที่กำหนดไว้ในตารางการพูด ทำให้นักพูดท่านนี้ (ซึ่งพวกเรารู้จักกันดี) มีชื่อเสียงโด่งดังได้รับความนิยมสูงสุดนานนับสิบปี จนมีฐานะร่ำรวยจากการพูด นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการพูด ยังเป็นการใช้ข้อมูลที่สะสมไว้มากๆ ให้เป็นประโยชน์ได้คุ้มค่าครบถ้วนทำให้ “ไม่สำลักข้อมูล” จนทำให้การพูดมั่วไปหมดอีกด้วย การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการพูดยังเป็นการกระตุ้นอย่างอัตโนมัติให้เราแสวงหาความรู้ใหม่ๆ ให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้คนฟังคาดหวัง และมั่นใจในองค์ความรู้ที่เราถ่ายทอดให้ว่าดีที่สุด ใหม่ที่สุด ได้รับความนิยมที่สุด

พอถึงวันพูดผมรู้สึกสบายๆ ไม่กดดัน พูดคุยกับผู้เข้ารับการฝึกอบรม ผู้บริหาร หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ตามปกติ ไม่รู้สึกพะวงกับเนื้อหาที่จะพูด พอถึงเวลาพูดหลังพิธีกรแจ้งวัตถุประสงค์และแนะนำวิทยากรเสร็จ ผมเดินขึ้นเวทีพร้อมเสียงปรบมือตามปกติ และเริ่มต้นทักทายตามแบบฉบับของตนเอง ที่สอดคล้องกับกาลเทศะและเนื้อหา สำหรับเรื่องการกล่าวคำทักทายที่ชวนติดตามสนุกเป็นกันเอง เนื้อเรื่องที่กลมกลืนทั้งการแทรกตัวอย่าง คำคม คำกลอน ภาษิต และอารมณ์ของลีลาถ้อยคำได้อย่างธรรมชาติ และการสรุปที่ประทับใจอยากปฏิบัติตามหรือค้นหานี้ ผมให้ความสำคัญมากที่สุดเท่ากัน แต่ที่พลาดไม่ได้คือหัวกับท้าย หรือคำกล่าวเริ่มต้นกับบทสรุป เพราะคนจะจำได้แม่นที่สุด หลังจากกล่าวคำทักทายและเกริ่นนำประมาณ ๓ นาที ผมก็เข้าสู่เนื้อเรื่อง วันนี้รู้สึกพูดได้คล่องดีมาก สมองปลอดโปร่งคิดและใช้คำได้รวดเร็ว โดยสรุปการพูดช่วงเช้าไม่มีปัญหาราบรื่นดีมาก

แต่พอช่วงบ่ายผมรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ผมจะล้มเหลวหรือเกิดปัญหาระหว่างการพูดช่วงเวลานี้บ่อยๆ อาจเพราะผู้เข้ารับการอบรมท้องอิ่มหนังตาหนัก วิทยากรนั้นอาจง่วงและเมื่อยปากในการพูดช่วงเช้าเข้าไปด้วย ชีวิตชีวาและประสิทธิภาพในการพูดจึงลดลงบ้าง ผมเริ่มบรรยายต่อช่วงเริ่มพูดอาจเรียกเสียงฮาแก้ง่วงได้บ้าง แต่พอเข้าไปถึงกลางๆ ชั่วโมง กระตุ้นยังไงใช้มุกยังไงผู้เข้ารับการฝึกอบรมแค่ยิ้มแบบเป็นมารยาทเท่านั้น ตาปรือๆ กันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจอะอีแบบนี้เข้าวิทยากรสมองชักจะเริ่มไม่ปราดเปรื่องเหมือนเดิมซะแล้ว ปกติถ้าเจอะแบบนี้ จะแก้ไขโดยทำกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมที่แก้การง่วงได้ชงัดคือ ให้ทุกคนเตรียมออกมาพูดรายงานสรุปหน้าห้อง เพราะกระตุ้นผู้เข้ารับการอบรมจะตื่นตัวหัวใจเต้นรัวตลอดเวลา แต่ยังไม่ถึงเวลาตามตารางเพราะต้องจบเนื้อหานี้ก่อน ที่ผ่านๆ มาโสตทัศนูปกรณ์จะช่วยได้มาก โดยเฉพาะเพาเวอร์พ้อยที่แยกหัวข้อย่อยละเอียด และมีตัวหนังสือและภาพเคลื่อนไหวได้ เพราะเราสามารถให้เพาเวอร์พ้อยพูดแทนได้ (ให้อ่าน อธิบายเพิ่มเติมเล็กน้อย หรือยกตัวอย่างประกอบ) เราสามารถเกาะหัวข้อไปเรื่อยๆ จนจบได้ แต่ครั้งนี้เนื่องจากมั่นใจในตนเองมากเกินไป จึงเตรียมเนื้อหาในเพาเวอร์พ้อยไม่ละเอียดตามที่กล่าวมา ทำให้ไปไม่เป็นแม้ว่าจะมีข้อมูลมากก็ตาม ถ้าเป็นช่วงเช้าก็ยังพอไหว แต่นี่มันเป็นช่วงบ่ายและวิทยากรชักเริ่มมึนๆ แล้วการเรียบเรียงหัวข้อในสมองทันทีจึงทำไม่ได้ ที่ห้องอบรมจึงค่อนข้างเงียบ สถานการณ์แบบนี้วิทยากรอย่างผม จะเกิดอาการประหม่าตื่นเต้นอย่างฉับพลันทันทีทุกครั้ง ครั้งนี้ไม่พลาดผมประหม่าขึ้นมาทันที พูดต่อไม่ได้ ผู้เข้ารับการอบรมก็มองแบบงงๆ แต่ยังไม่รู้ว่าผมตื่นเต้นเพราะซ่อนอาการไว้ แต่ถ้าปล่อยเวลาต่อไปอีกอาการประหม่าจะปรากฏทางกายโชว์ต่อหน้าผู้เข้ารับการอบรมแน่ๆ จึงตัดสินใจพูดดังๆ ติดตลกว่า “เที่ยงนี้อาหารเที่ยงอร่อยซัดซะเต็มที่เลย สงสัยใส่ยานอนหลับไว้ด้วยตอนนี้กำลังออกฤทธิ์” เห็นยิ้มๆ กันไม่มีหัวเราะก็เลยพูดต่อว่า “ท่าทางพวกเราจะไปไม่รอดรวมทั้งอาจารย์ด้วยงั้นเดี๋ยวเบรกก่อนเวลาตอนนี้เลย หลังเบรกยาวยันเลิกเลย ตกลงไหม” แหมตอนนี้พร้อมเพรียงกันดีจังขานรับเป็นแถว เป็นเอาว่าเอาตัวไปแบบทุลักทุเล ต้องไปเตรียมการพูดอย่างฉุกละหุก แต่พอถึงเวลาพูดก็แบบเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่มืออาชีพจนจบ

หลังจากครั้งนี้แล้ว ผมไม่เคยประมาทเลย ต้องเตรียมการอย่างละเอียดล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถนัดหรือหัวข้อใหม่ก็ตาม จะพกกระดาษติดตัวสองแผ่น A4 หนึ่งแผ่น และขนาดครึ่ง A4 หนึ่งแผ่น ใบแรกสำหรับบันทึกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะพูด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตามจะพกติดตัวตลอด แม้เวลานั่งสนทนากับเพื่อน หรือร้านอาหารทุกที่จะมีข้อมูลให้บันทึกตลอด เช่น คำคม สำนวน คำกลอน คำนิยม คำแปลกๆ และข้อมูลต่างๆ วิธีนี้เหมือนกาวจับแมลงวันข้อมูลจะไหลมาชนิดไม่ต้องเปิดตำรา หรือค้นคว้าที่ไหนเลย และอีกใบก็เขียนโครงสร้างเนื้อหาเป็นหัวข้อหลักๆ จะเขียนกำกับทุกหัวข้อว่าจะใช้เวลาเท่าไร และจะแทรกข้อมูลจากใบแรกตรงไหน มีอะไรบ้าง และพยายามให้กลมกลืนกับเนื้ออย่างเป็นธรรมชาติ (เนียน) และตอนเย็นทุกวันก็จะนำเอาทั้งสองส่วนนี้มาออกแบบแทรกลงในเนื้อหาในอีกแผ่นหนึ่ง (แผ่นที่สาม อาจมีหลายแผ่นแต่ไม่ควรเกิน ๓ แผ่น เพราะจะทำให้งง) แผ่นนี้จะเขียนเนื้อหาแบบย่อๆ แยกโครงสร้างเป็นข้อๆ แล้วใช้แผ่นนี้ฝึกพูดทุกวัน (หากไม่มีเวลาก็พูดในใจ) เสร็จแล้วก็ย่อโครงสร้างให้ใส่ในกระดาษแผ่นที่ ๔ (แข็งนิดหนึ่ง) ขนาดพอดีฝ่ามือ และให้อยู่ในหน้าเดียวกันทั้งหมด และใช้ใบนี้ฝึกพูดต่อจากใบแรก เพื่อดูว่าถ้าเห็นแค่หัวข้อย่อๆ จะสามารถพูดต่อได้ครบไหม และวันต่อมาๆ ก็ทำเหมือนกัน ข้อมูลอาจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน วิธีนี้ช่วยให้เราจำได้แม่นโดยไม่ต้องท่องจำ และทำได้พร้อมๆ กันหลายหลักสูตร (ไม่ควรเกิน ๓ หลักสูตร) พอใกล้วันพูดประมาณ ๑ สัปดาห์ เราก็เอาที่ใบ ๓ และ๔ ไปทำเพาเวอร์พ้อย และฝึกพูดกับเพาเวอร์พ้อยพร้อมกัน เวลาขึ้นพูดจริงๆ ก็ควรจะนำแผ่นที่ ๓ กับ ๔ ติดตัวไปด้วย เพื่อป้องกันคอมเสียเราจะสามารถพูดต่อได้เลย รับรองไม่มีอาการล้มเหลวกลางครันแน่นอน

...
  
หลักการพูด
หนังสือ "หลักนักพูด"
** ผู้เขียน: สำเนียง มณีกาญจน์ และ สมบัติ จำปาเงิน
** เนื้อหา : ศิลปะ และหลักการพูดในโอกาสต่างๆ อย่างละเอียด นำไปประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
** สำนักพิมพ์ ข้าวฟ่าง

ท่านผู้อ่านสามารถซื้อมาอ่านกันได้ กระผมไม่แน่ใจว่าได้มีการจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกหรือไม่
ส่วนกระผมได้มีได้มาอ่านจากร้านหนังสือมือสองครับ

...
  
คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมและปาฐกถาพิเศษ

เรื่อง “แนวคิดใหม่ในการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน”

ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2546 เวลา 09.30 น.



*******************************



จากการที่ผมได้มาอยู่ในเมือง และได้มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพฯ อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งต้องไปพบปะกับประชาชนทั่วประเทศ ได้เห็นชีวิตทั้งหลาย ตลอดจนการที่ได้ไปเรียนหนังสือมานั้น ผมจะนำมาพูดว่า ทำอย่างไรเราจะทำให้การเผยแพร่กฎหมาย การรับรู้กฎหมายของประชาชนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่กิจกรรมหลายกิจกรรมมักจะมีประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่ถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อจะให้การกระทำนั้น ๆ ถือว่าประชาชนอนุญาตแล้ว แต่ข้อเท็จจริงแล้ว ประชาชนของเราส่วนใหญ่จะใช้ภาวะที่เรียกว่า ไม่ค่อยรับรู้ ไม่ค่อยสนใจเพราะชีวิตต้องทำมาหากินไปเรื่อย ๆ แต่จะมีประชาชนอยู่กลุ่มหนึ่งที่คล่องแคล่ว ว่องไว แข็งขัน แต่ก็เป็นกลุ่มน้อย สังคมไทยเราเป็นสังคมที่เรียกว่าสังคมกระแส จนชาวต่างชาติเรียกเราว่า สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยกระแส ซึ่งหากท่านลองสังเกตดูตอนที่ผมเป็นรัฐบาลอยู่นี้ ถ้ามีใครที่พยายามจะก่อกระแสที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและทำให้สังคมสับสน ผมจำเป็นต้องออกมาดับกระแส ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่รับฟังใคร แต่บางคนนั้นฟังไม่ได้ ฟังแล้วทำให้สังคมสับสน ผมต้องพูดเพื่อให้สังคมหยุดสับสน ถ้าหากผู้นำประเทศไม่พูดอะไร ปล่อยให้สังคมสับสนในเรื่องที่ไม่เป็นสาระจะเป็นอันตราย

แต่วันนี้ผมดีใจที่กระทรวงยุติธรรมได้มาจัดทำเรื่องของการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย แต่หลักของการเผยแพร่ความรู้กฎหมายนั้น ผมต้องขอย้อนยุคนิดหน่อย โบราณสมัยก่อนไม่มีกฎหมาย เรามีความเชื่อ มีการนับถือศาสนาเป็นตัวยึดเหนี่ยวให้คนนั้นทำในสิ่งที่เป็นเรื่องดีงาม และยึดถือมาจนกลายเป็นจารีตประเพณีหรือเป็นบรรทัดฐานของสังคมนั้น ๆ คนที่ไม่ทำตามจารีตประเพณีหรือบรรทัดฐานที่สังคมยอมรับที่บอกว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดีและเรื่องที่ไม่ดี คนที่ทำตัวไม่ดีก็จะถูกสังคมลงโทษ ซึ่งมีวิธีการลงโทษหลายแบบ ที่ง่ายที่สุดคือ สังคมต่อต้าน คือไม่ยอมรับ ไม่สังฆกรรมด้วยหรือเรียกว่าการคว่ำบาตรทางสังคม (Social Sanction) แต่ถ้าหนักขึ้นไปอีกนิดคือ อาจจะมีการลงโทษโดยใช้หัวหน้าหรือที่สมัยก่อนเรียกว่าหัวหน้าชนเผ่า เป็นผู้ที่ลงโทษ นั่นคือสิ่งที่เป็นกฎหมายในสมัยเดิม แต่ความเชื่อก็ดี ผู้ปกครองสมัยก่อนก็ดี ได้เริ่มใช้ แต่บางครั้งการที่จะชี้นำหรือชักชวนให้คนในสังคมเชื่อและปฏิบัติตามนั้นทำไม่ได้ จึงอ้างภูตผีเทวดาว่า ถ้าทำอย่างนั้นเทวดาฟ้าดินจะลงโทษ แต่บางครั้งเมื่ออ้างบ่อย ๆ เริ่มจะอ้างในลักษณะที่เป็นประโยชน์เพื่อตัวเอง เพื่อที่ตนเองจะได้มีอำนาจปกครองคนเหล่านั้นได้อย่างเด็ดขาดมากขึ้นก็จะอ้างถึงภูตผีปีศาจหนักขึ้นไปอีก ซึ่งประชาชนไม่สามารถพิสูจน์ได้ จึงกลายเป็นเรื่องของความเชื่อของคนในสมัยก่อน

ในสมัยนั้นสังคมเป็นสังคมเล็กไม่มีความเชื่อมโยงกัน ภูเขานี้มีหมู่บ้านหนึ่ง ภูเขาโน้นมีอีกหมู่บ้านหนึ่ง ลุ่มน้ำนี้มีชุมชนหนึ่ง ลุ่มน้ำโน้นมีอีกชุมชนหนึ่ง การคมนาคมไปมาหาสู่กันนั้นลำบาก เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในที่หนึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเหมือนในอีกที่หนึ่ง หรือไม่ต้องรับรู้ ไม่เหมือนกับปัจจุบัน แต่ต่อมาระบบภูตผีปีศาจนั้นมีมากขึ้น จึงมีผู้รู้ซึ่งเป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย ได้กลับมาคิด เพราะชุมชนใหญ่ขึ้น ความเชื่อมโยง ความรู้ต่าง ๆ เริ่มใกล้กันเข้ามา นักปราชญ์เริ่มมีความรู้สึกว่า สิ่งที่หลอกเรื่องภูตผีปีศาจ เทพยดาฟ้าดินนั้นไม่จริง นักปราชญ์เหล่านั้นจึงพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่จริง เมื่อไม่จริง ความเชื่อในสิ่งที่เร้นลับจึงเริ่มลดลงไป คนเหล่านั้นจึงคิดว่าแล้วจะทำอย่างไรจึงจะออกกติกา ยุคนั้นเราเรียกว่า ยุคแห่งความสุกสว่าง คือ เป็นช่วงที่มีการจุดประกายความคิดด้วยเหตุและผลมากขึ้น เมื่อยุคนั้นเกิดขึ้นนักปราชญ์จึงเกิดขึ้นหลายฝ่าย จนมีสัญญาประชาคม หรือที่เรียกว่า Socail Contract เกิดขึ้น ซึ่งตกลงกันว่า การที่ประชาชนมารวมอยู่เป็นรัฐขึ้นมา ไม่สามารถขึ้นมาบริหารประเทศด้วยกันทุกคนได้ จึงเลือกตัวแทนขึ้นไปบริหารแทน ตัวแทนมีหน้าที่ทำให้คนเหล่านั้นอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่มีการเบียดเบียน ข่มเหงรังแกกัน ไม่ให้ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าข่มเหงรังแก เอาเปรียบผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า นั่นคือกติกาที่ตกลงกันไว้ เป็นกติกาซึ่งเป็นที่มาของประชาธิปไตย กติกายังบอกต่อด้วยว่า รัฐจะยึดสิทธิเสรีภาพบางส่วนของประชาชนออกมา เพื่อนำมากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้เขาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ให้นำมาเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่นำมามาก เช่น ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขามากเกินไปไม่ได้ ให้นำมาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แล้วนำมาออกกติกา ออกกฎหมายเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ออกจนมากเกินไปคุมหมดทุกอย่าง เช่น กินข้าวต้องนั่งตัวตรง กินข้าวต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนนั้นออกเป็นกฎหมายไม่ได้ กฎหมายนั้นต้องออกมาในลักษณะเท่าที่จำเป็น เท่าที่ให้สังคมอยู่ร่วมกันโดยไม่มีการเอาเปรียบ รังแกซึ่งกันและกัน นั่นคือสิ่งที่เป็นกติกา แต่ปรากฏว่า บางรัฐไปนำสิทธิเสรีภาพของประชาชนมามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้นำมาเพื่อประชาชน นำมาเพื่อความอยู่รอดและอยู่ยงคงกระพันของตนเอง อย่างนั้นถือว่าผิดกติกาที่ตกลงกันไว้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลที่ดีต้องพยายามคืนเขาไป ซึ่งเรียกว่า People Empowerment คือการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนไปเรื่อย ๆ ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากที่สุดเท่าที่เขาจะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นี่คือกติกา ถ้าเราเข้าใจกติกาตรงกัน ผมคิดว่าการออกกฎหมายทั้งหลายจะออกได้เหมาะสม และกฎหมายทั้งหลายจะนำมาพิจารณาทบทวนกันใหม่

วันนี้รัฐบาลนี้กำลังทบทวนหลายเรื่อง กฎหมายล้าสมัยต้องเลิกให้หมด กฎหมายที่หมดสภาพการบังคับใช้ต้องเลิกให้หมด อย่าเหลือไว้ หากเหลือไว้จะเกิดการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้กฎหมายเหล่านั้นข่มเหงรังแก คอร์รัปชั่นจากประชาชน กฎหมายใดที่ละเมิดสิทธิของประชาชนมากเกินไปและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องละเมิดขนาดนั้นก็ต้องคืนไป เรียกว่าการคืนอำนาจให้แก่ประชาชน นี่คือกระบวนการที่รัฐบาลนี้กำลังต้องทำ คือมองกฎหมายทั้งระบบและความเชื่อมโยง การมีกฎหมายมากเกินไปไม่ใช่สิ่งดีซึ่งผมได้เรียนไปแล้ว แต่หลายรัฐบาลพยายามออกกฎหมายในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเป็นกฎหมาย นี่คือจุดที่เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างนักบริหารกับกลไกที่ต้องการจะบังคับให้กับรัฐบาลที่ไม่ค่อยบริหารปฏิบัติ เพราะเมื่อใดที่การเมืองเสื่อม การเมืองอยู่ในขั้นที่มีคนเข้ามาเสวยสุขทางการเมือง ไม่ได้เข้ามาทำเพื่อประชาชน การเมืองที่เต็มไปด้วยคนที่รู้น้อย แต่เอาเปรียบประชาชน ตอนนั้นสังคมก็จะกดดันให้ออกกฎหมายเพื่อบังคับให้นักการเมืองเหล่านั้นต้องบริหารตามกฎหมาย เมื่อนักบริหารเข้ามามีจิตสำนึกว่าจะต้องบริหารเพื่อประชาชน กฎหมายตัวนี้จะเป็นอุปสรรค เพราะบังคับทุกขั้นตอน ทำให้ไม่มีโอกาสที่ได้ใช้ดุลยพินิจในการแก้ปัญหาของชาติ ตรงนั้นจะกลายเป็นอันตราย เพราะฉะนั้นความพอดีอยู่ที่ไหน นั่นคือสิ่งที่นักวิชาการทางกฎหมายจะต้องคิดว่าความพอดีอยู่ตรงไหน ถ้าใครมองมิติของตัวเอง ไม่เข้าใจมิติของคนอื่นจะออกมาอย่างที่เคยเห็น กฎหมายบางฉบับออกมาเป็นเรื่องที่ ไม่จำเป็นต้องเป็นกฎหมาย แต่ต้องเป็นกฎหมาย เพราะเกรงว่านักการเมืองผู้มีอำนาจขึ้นมาแล้วจะ ไม่ทำตามอย่างนี้ แต่เมื่อคนที่เข้ามามีจิตสำนึกต้องทำแล้วทำเป็นก็จะมีความไม่คล่องตัวมาก เพราะกฎหมายบังคับจนขั้นตอนมากเกินไป แต่กฎหมายนั้นไม่สามารถที่จะรู้ทุกขั้นตอนได้หมด แต่การออกไปทำให้ต้องตีความ ต้องทำอะไรมากมาย

ต่อไปเราหันมาดูโครงสร้างของสังคมในประเทศไทย สังคมประเทศไทยนั้นมีโครงสร้างที่ต่างกัน สังคมส่วนหนึ่งคือสังคมคนจน คนชนบท คนมีการศึกษาน้อย แน่นอนคนเหล่านี้คือคนที่รู้กฎหมายน้อย จึงมีโอกาสถูกเอารัดเอาเปรียบ โอกาสเข้าหาแหล่งที่เป็นทุน แหล่งที่เป็นทรัพยากร แหล่งที่เป็นความรู้น้อย กลุ่มนี้คือกลุ่มที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่จะต้องมาช่วยกันแก้ให้เขามาเป็นผู้ที่รู้กฎหมาย เพราะมีกฎหมายที่เขียนไว้ว่า ผู้ใดจะอ้างความไม่รู้กฎหมายเพื่อเป็นเหตุแห่งการพ้นผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้กฎหมายอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงอยู่อย่างไม่รู้กฎหมายและเสียเปรียบต่อไป กระทรวงยุติธรรมจึงต้องทำเรื่องนี้ นี่คือคนส่วนใหญ่ในโครงสร้างของสังคมไทย กลุ่มที่สองคือคนที่อยู่ในเมือง คนที่อยู่ใกล้ปืนเที่ยงทั้งหลาย มีการศึกษา ถึงแม้ไม่ได้ศึกษากฎหมายโดยตรง คนเหล่านี้พอรู้กฎหมายที่เอาตัวรอด รู้เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญจำนวนหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เป็นคนส่วนใหญ่ในเมือง คนเหล่านี้มีมากรองลงมา ถ้ามองฐานพีระมิด พีระมิดฐานล่างใหญ่ที่สุด กว้างที่สุดคือกลุ่มแรกที่ผมพูดถึง และนี่คือกลุ่มที่สอง กลุ่มที่สามคือผู้ที่รู้กฎหมายจริง ๆ เพราะเป็นนักกฎหมายหรือสนใจกฎหมายเป็นพิเศษ กลุ่มนี้จะมีน้อยซึ่งในกลุ่มนี้จะแยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งคือผู้ที่รู้และเชี่ยวชาญกฎหมาย เพราะเป็นอาชีพที่จะต้องรักษาความยุติธรรมให้กับสังคม เป็นอาชีพที่จะต้องประดิษฐ์กฎหมายขึ้นมาเพื่อสังคม แต่คนส่วนน้อยของคนกลุ่มนี้คือคนที่รู้กฎหมายแล้วใช้เล่ห์เหลี่ยมกฎหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง กลุ่มนี้คือบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา รู้แล้วอันตราย เพราะฉะนั้นเราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้คนส่วนใหญ่ที่ไม่รู้กฎหมายวันนี้ได้รู้กฎหมาย นั่นคือสิ่งที่เรามากำลังมาทำกันในวันนี้

ผมมาคิดดูว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้คนเหล่านั้นรู้กฎหมาย ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า ทุกวันนี้กฎหมายของเราเป็นธรรมหรือไม่ โดยทฤษฎีนั้นใช่ แต่ลงไปปฏิบัติลึก ๆ มีกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอยู่มาก กฎหมายไม่เป็นธรรมนั้นเพราะเนื้อหาไม่เป็นธรรม เพราะเข้าใจสังคมไม่ดีพอ เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่เขียนนั้นไม่ดีพอ อย่างที่สองคือ ที่ไม่เป็นธรรมเพราะความยากในความเข้าใจที่ประชาชนพึงจะมีต่อกฎหมายนั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา

ผมได้เคยไปพูดครั้งหนึ่งที่เนติบัณฑิตสภา ที่กระทรวงยุติธรรมจัดขึ้น ผมได้พูดถึงว่า การเขียนกฎหมายที่นักกฎหมายเขียน เหมือนกับให้ผมเขียนภาษาอังกฤษซึ่งผมเขียนไม่เก่ง พอได้แต่ไม่เก่ง แล้วไปบอกคนซึ่งไม่ได้เรียนหนังสือว่าผมเขียนง่าย ๆ ทำไมไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจหรอกเพราะเป็นคนละภาษา นักกฎหมายที่รู้ภาษากฎหมายจะเขียนภาษากฎหมายที่สวยอย่างไรนั้นก็เขียนได้ แต่เขารู้และเข้าใจ แต่คนทั่วไปที่ไม่เข้าใจนั้นมีมาก เพราะฉะนั้นกฎหมายที่ดีต้องเขียนในลักษณะที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่าย เพราะเราไม่ได้เขียนเพื่อให้ประชาชนไม่เข้าใจ แต่บางครั้งนักวิชาการบางคนถ้าเขียนแล้วคนอ่านไม่เข้าใจนั้นเท่ห์ ความจริงแล้วการเขียนกฎหมายเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้ง่ายและประชาชนทั่วไปเข้าใจ เพราะฉะนั้นกฎหมายจะต้องเป็นคำพูดที่ง่ายและเข้าใจได้ และที่สำคัญคือไม่มีกฎหมายฉบับใดที่ทันสมัยตลอดเวลาเป็น 10 ปี 20 ปี หรือ 100 ปี เพราะฉะนั้นกฎหมายต้องมีวันครบกำหนด เช่น เมื่อครบ 7 ปีกฎหมายฉบับนี้ต้องสิ้นสุด เพื่อบังคับให้ผู้ใช้อำนาจทางกฎหมายในขณะนั้น ๆ ได้ไปแก้ให้กฎหมายนั้นทันสมัย ทันเหตุการณ์ เพื่อจะได้ไม่เป็นการสร้างความไม่เป็นธรรมต่อสังคม

ผมคิดว่าเรื่องของกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สมมติว่า เราอยู่ร่วมกันในครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง ถ้าเรามีกฎกติกาที่เป็นที่เข้าใจของคนในครอบครัว การอยู่ร่วมกันนั้นโอกาสที่จะละเมิดกติกาจะไม่มีเพราะเข้าใจดี ยกเว้นแต่คน ๆ นั้นมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน แต่พฤติกรรมปกตินั้นจะเข้าใจกติกาชัดเจน ครอบครัวใหญ่คือประเทศ ถ้าเราจะออกกติกาให้ครอบครัวใหญ่เหล่านี้ได้อยู่ร่วมกันและเข้าใจกันอย่างดี กติกานี้จะต้องชัดและโปร่งใส

วันนี้ความยากจนของประเทศไทยส่วนหนึ่งคือ โครงสร้างทางกฎหมายมีส่วนทำให้คนจนนั้นลำบาก แต่วันนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามเข้าใจ พยายามจะช่วยเหลือคนจนด้วยจิตใจดี บริสุทธิ์และอยากช่วยเหลือ แต่ไปเน้นเรื่องสิทธิ ไม่ได้เน้นเรื่องหน้าที่ ไม่มีกฎหมายและไม่มีกติกาใดในโลกที่คนอยู่ร่วมกันจะมีแต่สิทธิไม่มีหน้าที่ ถ้าคนมีสิทธิอย่างเดียวไม่มีหน้าที่นั้นเป็นอภิสิทธิ์ชน ซึ่งเราไม่ต้องการและไม่ปรารถนา เพราะทุกคนจะต้องมีสิทธิและหน้าที่ เหมือนกันทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอะไร บางคนอาจจะเป็นฐานันดรพิเศษ เช่น สื่อมวลชน มีสิทธิเสรีภาพมากมายแต่ต้องมีหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิในฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่ง มีสิทธิที่ต้องดำเนินงานหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ตามที่กฎหมายให้ แต่ต้องมีหน้าที่ หน้าที่ที่สำคัญของนายก รัฐมนตรีคือ หน้าที่ที่จะต้องสร้างความผาสุกให้กับประชาน หน้าที่ที่จะต้องให้ความเป็นธรรมต่อสังคม หน้าที่ที่จะต้องนำพาประเทศชาติไปให้ก้าวหน้า ถ้าทำหน้าที่ตนเองไม่ได้ ประชาชนจะบอกว่าไม่เอาแล้ว เพราะทำหน้าที่ไม่ดี นี่คือกติกาที่อยู่ร่วมกันอย่างชัดเจน ทุกคนมีบทบาท ต้องมีสิทธิและหน้าที่ทั้งนั้น ประชาชนทุกคนเกิดมาเป็นคนไทยก็มีสิทธิและหน้าที่ทันที นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ

วันนี้ที่ผมพยายามคุยกับท่านทั้งหลายคือ ต้องการเน้นเรื่องกฎหมาย เน้นเรื่องความเข้าใจ แต่วันนี้รู้สึกว่าผมจะพูดทางวิชาการมากไป ทั้งที่พูดกับประชาชนทั่วไป แต่อยากจะให้เข้าใจปรัชญาเสียก่อน หากเราไม่เข้าใจปรัชญานั้นจะลำบากว่าเราจะเข้าใจกติกาการอยู่ร่วมกันได้อย่างไร บางครั้งต้องยอมถอยลงไป ท่านเห็นหรือไม่ว่าชาวเขา เมื่อก่อนนี้ปลูกฝิ่น และวันนี้บางส่วนบุกป่า เราไปบอกเขาว่า ทำไมถึงปลูกฝิ่น เขาบอกว่าเขาปลูกมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ทำไมบุกป่า เขาบอกว่าเขาต้องปลูกผักไว้กิน นั่นคือเขาไม่เข้าใจและอยู่ไกลปืนเที่ยง จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงพระราชทานคำแนะนำและหาทางเลือกให้แก่เขา ให้เขาไม่ปลูกฝิ่น ให้เขาปลูกพืชทดแทน เขาก็อยู่ได้โดยไม่ดิ้นรนไปปลูกฝิ่น เพราะว่าเขาไม่รู้ แต่ถ้าเราไปใช้กฎหมายทันที ไปจับเขานั้นได้ระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นการบังคับใช้กฎหมาย ความเข้าใจ ความรู้ว่าความจำเป็นของกฎหมาย ผลกระทบของพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างไร เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจ ทำไมต้องมีกฎหมายฉบับนี้ ต้องอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจ หลักการและเหตุผลที่ขึ้นไปอ่านในสภาฯ นั้น เป็นเรื่องที่เราเข้าใจกันเอง แต่ชาวบ้านเข้าใจอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ การที่จะให้คนร่วมมือกัน พัฒนาขึ้นมาให้เป็นกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นต้องใช้ความเข้าใจเป็นสำคัญ หากความเข้าใจไม่มี กฎหมายก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่คอร์รัปชั่น

วันนี้คอร์รัปชั่นมีมาก คนจนมีมาก ส่วนหนึ่งอยู่กับเรื่องเนื้อหาความเป็นธรรมของกฎหมายและความเข้าใจนอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมายในกระบวนการยุติธรรมแล้วด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้กระทรวงยุติธรรมต้องมีหน้าที่สังคายนาครั้งใหญ่ ดูความจำเป็นของกฎหมายแต่ละฉบับมีมากน้อยแค่ไหน เนื้อหาความง่ายต่อความเข้าใจมีมากแค่ไหน แล้วอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้แค่ไหน นอกเหนือจากต้องทำอยู่แล้วคือ การปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในการบังคับใช้กฎหมายนั้นให้เหมาะสมถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ถึงจะทำแล้วควบคู่ไปกับการขจัดความยากจนของประเทศ เราไม่สามารถบอกว่าเอาเงินไปแล้วไปทำนานะ แล้วหายจนนะ ไม่หายหรอกครับ เพราะจะต้องทำไปพร้อม ๆ กันถึงโครงสร้างทั้งระบบ โครงสร้างที่สำคัญที่สุดคือ โครงสร้างกฎหมายและโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม

วันนี้หากจะตำหนิกันนั้นตำหนิกันได้ทั้งระบบ โครงสร้างนั้นต้องปรับปรุงและแก้ไขอย่างหนัก เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำและต้องทำนานแล้ว แต่การเมืองเข้ามาได้ 3 เดือน ความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้น แล้วการเมืองส่วนใหญ่ไม่ทำการบ้าน เข้ามาถึงไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เพราะไม่มีการเสนอนโยบาย เข้ามาถึงถกเถียงกันจนชนะเลือกตั้ง เมื่อเข้ามาแล้วไม่รู้ว่าจะทำอะไร คนไทยรอได้ไม่นานพอเห็นท่าไม่เป็นอะไรจะบ่นและต่อว่า สื่อมวลชนก็จะลงต่อว่าตามกระแส ในที่สุดเมื่อศรัทธาตกจากประชาชน มือในสภาฯ หดหายไปเรื่อย ผลสุดท้ายรัฐบาลพัง พังชุดแล้วชุดเล่าจึงทำให้ปัญหาต่าง ๆ หมักหมม ปัญหาระยะยาวไม่เคยถูกแก้ไข สิ่งที่ผมพูดวันนี้คือปัญหาที่ต้องแก้ไขระยะยาว

เมื่อมาถึงรัฐบาลนี้ก็ใช้การแก้ปัญหาระยาวอยู่หลายเรื่อง เริ่มต้นต้องแก้ไขปัญหาระยะยาว ไม่ใช่แก้ไขปัญหาระยะสั้น เรื่องของประกันสุขภาพเป็นต้น เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องปรับโครงสร้างการให้บริการสุขภาพกับประชาชนใหม่อย่างสิ้นเชิงทั้งหมด แต่ปรากฏว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่ายาก แต่เราทำได้เร็วกว่าที่คิด ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพี่น้องประชาชนตั้งตารอคอยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างนี้มานานแล้ว

กลับมาพูดเรื่องกฎหมายกันอีกครั้ง สิ่งที่จะเผยแพร่ได้ดีที่สุด คือ ต้องเข้าใจสังคมว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่อ่านน้อย ฟังมาก คือเป็นสังคมฟังมากกว่าสังคมอ่าน เมื่อเป็นสังคมฟังเราต้องพยายามทำอย่างไรถึงจะให้การอ่านนั้นง่ายขึ้น ท่านจำเรื่องมหาชนกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ได้หรือไม่ ตอนหลังมามีฉบับการ์ตูนซึ่งคุณชัย ราชวัตร เป็นผู้ทำ เพราะต้องการให้อ่านง่าย และต่อมาการอ่านได้แพร่หลายมากขึ้นเพราะด้วยการอ่านที่ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นหลักของการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายคือ ทำให้ง่าย อ่านให้ง่าย แล้วคนจะอ่าน อย่างที่สองทำอย่างไรจะให้ทั่วถึง เพราะประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายมีมากอย่างที่ผมว่า ฐานล่างของพีระมิดคือคนที่ไม่รู้กฎหมาย เพราะฉะนั้นต้องทำให้ทั่วถึง ทั่วถึงแล้วไม่พอต้องทำอย่างสม่ำเสมอ จนความรู้ทางกฎหมายนั้นเป็นอัตโนมัติอยู่ในใจ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโอกาสในชีวิตของเขา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตและโอกาสในชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเลือกขึ้นมาแล้วทำให้ง่าย ทำให้ทั่วถึงและทำอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดความเข้าใจกฎหมายนั้นอย่างอัตโนมัติ เหมือนย้อนกลับไปที่เรา ระบบเรื่องจารีตประเพณี บรรทัดฐาน จนทำให้จารีตประเพณีและบรรทัดฐานนั้นเกิดพฤติกรรมที่เป็นลักษณะที่มีจริยธรรมในการปฏิบัติตัว เช่นกันกับเรื่องของกฎหมาย ถ้าให้เขารู้จนกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมไทยทั้งหมดนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด บางครั้งเขาไม่รู้แล้วเราจะบอกว่าสักวันเขาจะรู้ไปเอง แต่วันที่ไม่รู้นั้นคือวันที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว

เราย้อนมองไปที่สังคมฐานราก คนที่เป็นโจรก่ออาชญากรรมส่วนใหญ่คือคนจน แล้วคนที่ติดคุก วันนี้ลองไปดู 98% คือคนจน แล้วคนที่เป็นเหยื่อของอาชญากรรมทั้งหลาย ถูกปล้นทรัพย์ ถูกชิงทรัพย์ ถูกทำร้ายร่างกายต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนจนทั้งนั้น วันก่อนที่ข้าราชการระดับ 7 โดนตีหัวที่สะพานลอยนั้นเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติจะไม่ค่อยมี ถ้าข้าราชการระดับ 3 โดนตีเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ถูกต้อง แต่ว่านาน ๆ จะมีคนซึ่งไม่ใช่คนจนแล้วตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมมีไม่มาก นี่คือโครงสร้างสังคมที่เป็นแทบทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ทั่วโลกก็เป็นอย่างนี้ เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เป็นประเทศที่ใช้เศรษฐกิจทุนนิยม เศรษฐกิจทุนนิยมเป็นเศรษฐกิจที่เขย่าขวด นับวันคนจะตกตะกอนมากขึ้น นับวันประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยจะมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งทุกวันนี้สังคมเข้าสู่สังคมยุคฐานความรู้ ถ้าไม่ทำอะไรให้ถูกต้องช่องว่างจะมากขึ้นอีก เพราะความรู้เป็นตัวขยายโอกาสมากกว่าในอดีต แล้วคนจนจะทำอย่างไร ลูกเกิดมาก็ต้องเป็นคนจนด้วย ซึ่งเราเรียกว่าลูกคนจน ลูกคนจนไม่เงินเรียนหนังสือ หรือได้เรียนก็เรียนในระดับโรงเรียนไม่ดี ผลสุดท้ายก็เรียนต่อไม่ได้ นี่เป็นส่วนใหญ่ แต่ลูกคนจนที่ได้ดีก็มีมาก จากนั้นคนเหล่านี้ก็ต้องไปทำงานเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เป็นแรงงานที่ค่าจ้างต่ำ มีลูกออกมาก็ต้องเป็นลูกคนจนอีก นี่เป็น วงจรอุบาทว์

เพราะฉะนั้นวันนี้ รัฐบาลนี้จึงต้องทำระบบใหม่ เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาทั้งระบบ ไม่ใช่ทำไปวันต่อวัน ทฤษฎีว่าอย่างนี้ก็จะทำอย่างนี้ ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก รู้ทฤษฎีมาก แต่ไม่เคยเชื่อทฤษฎีเดียว ไม่มีทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่อธิบายปัญหาได้ทั้งระบบ คนเป็นโรคหลายโรคกินยาเม็ดเดียวไม่มีทางหาย นี่คือเรื่องธรรมชาติที่เราต้องเข้าใจ อย่างวันนี้บางทีบางครั้งผมต้องเถียงกับนักวิชาการ เพราะมองมิติเดียว จุดอ่อนคือมองมิติเดียว เข้าใจโลกซีกเดียว ท่านลองไปถามเอสกิโม ถามคนที่อยู่ขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เขาจะบอกว่าโลกนี้ทำไมมีแต่ความเย็น มองไปทางไหนมีแต่น้ำแข็ง ลองไปถามคนที่อยู่ทะเลทรายเขาก็จะบอกว่าโลกนี้ร้อนจริง ๆ โลกนี้ไม่เคยมีความเย็นเลย น้ำแข็งเป็นอย่างไรไม่เคยรู้จัก นำสองคนนี้มาเถียงกันรับรองฆ่ากันตายก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง เพราะอยู่กันคนละโลก คนละซีก ต่างก็ไม่เคยเห็นอีกซีกหนึ่ง เหมือนกันกับวันนี้ที่นักวิชาการบางคนเรียนมาอย่างเดียว และรู้อย่างเดียว ทั้งชีวิตรู้เรื่องเดียว และพยายามจะบอกเหตุการณ์ทั้งหมดว่าอธิบายด้วยทฤษฎีที่ตนเองรู้มาเท่านั้น ซึ่งไม่พอ แล้วออกมาพูดให้สังคมสับสน

คนเราพูดมา 10 ปีก็พูดอย่างเดิม เพราะว่าคอยจะประดิษฐ์คำ ไม่มีการแก้ไขปัญหา ไม่มีแนวทางออก เสนอมาให้รัฐบาลดูว่ารัฐบาลต้องทำ 1,2,3,4,5 ผมจะได้ดูและจะขอบคุณด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่มี เปิดมาก็ว่าอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคนที่จะพูดต้องมาช่วยกันคิด วันนี้สังคมไทยเรากำลังต้องการความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอย้ำให้ท่านทั้งหลายที่ฟังอยู่ทั้งประเทศฟังดูอีกครั้งว่า สังคมประชาธิปไตยมีฝาแฝดคือระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่มีคำถามว่า ทำไมระบบทุนนิยมจึงล้มเหลวเกือบทั่วโลก มีประสบความสำเร็จอยู่ 5 ประเทศที่ชัดเจนที่สุดคือ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ถามว่าทำไม 5 ประเทศนี้ประสบความสำเร็จ เพราะว่า 5 ประเทศนี้หัวใจของเขาคือคำว่า “ชาตินิยม” เขามีความเป็นชาตินิยมสูงมาก เขาจึงประสบความสำเร็จ เพราะว่าทุกคนมองเห็นผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ดูตัวอย่างสหรัฐอเมริกาจากเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด ทุกคนลุกขึ้นมาเป็นหนึ่ง ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลไล่ล่าผู้ก่อการร้าย และเชิญธงชาติขึ้นทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้าขายสินค้ามีธงชาติติดอยู่เป็นแถว เพราะเขาถือว่าเขาต้องการจิตสำนึกของความเป็นหนึ่ง ทั้งที่อเมริกาเป็นประเทศที่คนหลาย ๆ ชาติอยู่รวมกัน ปีค.ศ. 2060 หรืออีก 57 ปี ข้างหน้าเขาคำนวณกันว่า คนอเมริกันขาวจะกลายเป็นคนส่วนน้อยของประเทศ เพราะว่าคนอเมริกันดำ คนลาติน คนเอเชีย และอีกหลาย ๆ ชาติ จะเข้าไปอยู่ในอเมริกาและมีลูกมีหลานออกมา และผลสุดท้ายจำนวนประชากรเหล่านี้จะมากกว่าคนอเมริกันขาวภายในปีค.ศ. 2060 แต่ความเป็นชาติเพราะไปอยู่ในแผ่นดินนี้จะต้องทำแผ่นดินนี้ให้เจริญ ความเป็นชาติตรงนี้ของเขาสูงมา

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นคิดถึงตนเองมากไป เมื่อตั้งหน่วยงานใดขึ้นมาก็จะสร้างเป็นอาณาจักรของตนเอง แต่ไม่คำนึงว่าผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวมนั้นคืออะไร นั่นคือสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นแน่นอนครับ การออกกฎหมายหลายอย่างไปออกกฎหมายให้ตนเอง จะให้ตนเองใหญ่ ให้ตนเองศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่ได้คิดว่าภาพรวมของชาติจะเป็นอย่างไร กฎหมายนี้จะเกิดความขัดแย้งในสังคมหรือไม่ กฎหมายนี้จะทำให้การทำงาน การบริหารงานมีปัญหาหรือไม่ ไม่ได้คิด ซึ่งเป็นจุดอ่อนอีกข้อหนึ่ง

เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงต้องวิเคราะห์สังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มี 2 ระดับทางเศรษฐกิจ คือเศรษฐกิจฐานบนเป็นเศรษฐกิจของคนมีความรู้ มีการศึกษา มีโอกาส เศรษฐกิจนี้เป็นเศรษฐกิจที่มีการแข่งขัน ใช้ทุนนิยม ไม่มีการว่ากัน แต่ต้องเป็นทุนนิยมที่มีอุมดมการณ์ ต้องยึดถึงประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ต้องมีกติกา ต้องไม่มีการใช้ความชำนาญเอาเปรียบ คดโกง ไม่โปร่งใส และใช้สินบนเพื่อให้อยู่รอดไม่ได้ ตรงระบบนี้ต้องแก้ไข ต้องเป็นสังคมทุนนิยมที่มีอุดมการณ์ สังคมฐานล่างเป็นสังคมคนยากคนจนทั้งหลาย ถือว่าเป็นสังคมที่รัฐยังจะต้องเข้าไปประคับประคองจนเขาแข็งแรง และเข้าไปแข่งขันในระบบทุนนิยมได้ สังคมนี้คือสังคมที่รัฐจะต้องเข้าไปช่วยว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะให้มีความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงในชีวิตคืออะไร ทางสหประชาชาติให้คำจำกัดความไว้ว่า “ความมั่นคงในชีวิต คือ ต้องเป็นคนที่มีเสรีภาพจากความหวาดกลัวหรือ Freedom from Fear และต้องมีเสรีภาพจากความต้องการหรือ Freedom from Want ในธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์” ถ้ามีเสรีภาพจากความกลัวและเสรีภาพจากความต้องการในธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ ถือว่าประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งผมเองต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สังคมไทยและคนที่เกิดมาเป็นคนไทย ยากดีมีจน จะต้องให้เกิดความมั่นคงในชีวิต นั่นคือสิ่งที่กำลังทำ ยกตัวอย่างเมื่อวานนี้ ทำเรื่องของประกันภัยเอื้ออาทร ปรากฏว่ามีคนไปกันจำนวนมาก หลักสำคัญคือต้องการให้ทุกคนมีหลักประกันในชีวิต สมมติว่า หัวหน้าครอบครัวคนหนึ่ง เพิ่งแต่งงานใหม่และมีลูกตัวเล็ก ๆ ไม่มีเงิน ต้องใช้มอเตอร์ไซด์ ขับมอเตอร์ไซด์ไปแล้วถูกรถชนตาย ประกันตาม พ.ร.บ. ให้เงินมา 30,000 บาท แต่บางคนที่ไม่มีประกัน พ.ร.บ. ยิ่งแย่ แต่ถ้าเงิน 30,000 บาทนั้นไม่พอ จึงได้มีระบบการประกันภัยที่เรียกว่าประกันภัยเอื้ออาทรนี้เกิดขึ้น จ่ายวันละ 1 บาท คือ 365 บาทต่อปี หากมีการตายอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้น ยกเว้นป่วยตาย จะได้เงิน 300,000 บาท ซึ่งทำให้หลักประกันเพิ่มขึ้น ลูกซึ่งเพิ่งเกิดมาก็จะยังมีเงิน 300,000 บาทนี้ไว้เป็นทุนให้กับแม่ได้ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงลูกต่อไป เพราะฉะนั้นความมั่นคงในชีวิตนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทำ แต่แน่นอนครับ ทุกอย่างจะต้องมีกติกาอย่างชัดเจน ไม่มีการเอาเปรียบ คนในระดับฐานล่างนี้ รัฐบาลจะต้องเข้าไปประคับประคองเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบจากระบบทุนนิยม เพื่อให้มีโอกาสเข้าหาแหล่งทุน เพื่อให้มีโอกาสเข้าหาแหล่งทรัพยากร

ต้นปีพ.ศ. 2547 นี้ ผมจะมีการให้จดทะเบียน ผมกำลังให้กระทรวงมหาดไทยวางกลไก และต้นปีพ.ศ. 2547 นี้จะให้ประชาชนคนไทยจดทะเบียนว่า ท่านที่อยากจะไปมีชีวิตเป็นเกษตรกร ต้องการที่ดินทำกินและต้องการเอกสารสิทธิ์ที่มั่นคง และเอกสารสิทธิ์เหล่านั้นสามารถจำนอง จำนำได้ ซึ่งผมคำนวณดูแล้วโดยประมาณ มีประชากรประมาณ 1,000,000 ครอบครัวที่ไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง สมมติว่า 1,000,000 ครอบครัว เราให้คนละ 20 ไร่ คนในเมืองอาจจะตกใจเพราะว่า 20 ไร่นี้เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับคนต่างจังหวัดที่ทำการเกษตร 20 ไร่นั้นเป็นจำนวนที่กำลังพอดี รวมแล้วจะเป็น 20,000,000 ไร่ วันนี้ที่ดิน สปก. เรามี 20,000,000 ไร่ เรายังมีที่ราชพัสดุ มีที่ป่าสงวนที่หมดสภาพความเป็นป่าแล้ว ป่าเสื่อมโทรมทั้งหลาย และยังมีที่ราชการที่มีไว้มากแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นตรงนี้เรามีพอเพียงที่จะจัดสรรให้กับประชากรที่ต้องการเป็นเกษตรกร ทำไมผมจึงต้องทำอย่างนั้น เพราะวันนี้ถ้าเราจะให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคมนั้นต้องให้โอกาสคนที่เกิดมาแล้วไม่มีโอกาส ท่านทั้งหลาย ผมเชื่อว่าหลายคนเป็นคนที่อยู่ในเมือง แต่อพยพมาจากชนบท แต่ถ้าใครยอมพ่ายแพ้กับชีวิตการต่อสู้ในสังคมเมือง อยากจะกลับไปเป็นเกษตรกรก็มีโอกาสที่จะทำได้ถ้าท่านไปลงทะเบียน แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะให้ที่ภูมิลำเนา กรณีข้ามภูมิลำเนานั้นเราไม่ค่อยให้ เพื่อที่จะให้จัดระเบียบได้ว่า คนอยู่ภูมิลำเนาไหนก็ควรจะมีที่ทำกินอยู่ในภูมิลำเนานั้น หรือใกล้เคียง เพราะฉะนั้นเราจะจัดเพื่อให้คนไทยทุกคนมีที่ทำกิน

ทุกอย่างจะมีกติกา กติกาทุกอย่างของรัฐบาลนี้จะเปิดเผยและบอกอย่างชัดเจน เพราะไม่ต้องการปกปิดซ่อนเร้นเพื่อให้ตนเองและพวกพ้อง ทุกอย่างต้องเปิดเผยและให้ประชาชนเหมือนกันหมด อย่างที่เราทำเรื่องบ้านเอื้ออาทร ผมจะไปกำกับแม้กระทั่งเรื่องการจับฉลาก การจัดซื้อจัดจ้างต้องคอยดูไม่ให้มีการทุจริต เพราะเป็นเรื่องของคนจน เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคเราก็เปิดเผยอย่างชัดเจนว่า 30 บาท ทุกคนเสีย 30 บาท เรื่องกองทุนหมู่บ้านเราก็เปิดเผยชัดเจนว่า ทุกหมู่บ้านและชุมชุนเมืองได้ 1,000,000 บาท ไม่มีใครได้มากกว่า ทุกอย่างตรงกันต้องเปิดเผย และนับดูเท่าไรก็ต้องเป็น 1,000,000 บาทครบ ไม่มีละลายระหว่างทาง เพราะฉะนั้นเราจะเป็นรัฐบาลที่ถ้ากำหนดกติกาทุกอย่างจะเปิดเผย ชัดเจนและมีขั้นตอนที่โปร่งใส มิเช่นนั้นจะไม่มีทางแก้ปัญหาความยากจนภายใน 6 ปีได้

ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมเป็นกระทรวงหลักในการจะสังคายนากฎหมายทั้งระบบของประเทศ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ในความก้าวหน้าของประเทศ ส่วนที่ 2 ในความเป็นธรรมของสังคม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสังคมระดับไหน แต่เราจะต้องเข้าใจว่า วันนี้สังคมฐานล่างเป็นสังคมที่เสียเปรียบ ซึ่งจะต้องได้รับแต้มต่อบ้าง

ผมตีกอล์ฟผมเข้าใจ เพราะถ้าจะให้ผมแข่งกับ ไทเกอร์ วูดส์ เท่ากับผมแพ้แน่นอน แข่งกี่รอบก็แพ้ ยิ่งแข่งนานผมยิ่งจน เพราะต้องเสียค่าเครื่องบินเดินทางไปแข่ง แต่ถ้า ไทเกอร์ วูดส์ ให้แต้มต่อผม แข่งเมื่อไรก็จะแข่ง ผมมีโอกาสชนะ แต่ชนะตรงแต้มต่อไม่ใช่ชนะเพราะฝีมือ เพราะฉะนั้นสังคมไทยโดยเฉพาะสังคมฐานล่างต้องเป็นสังคมที่มีแต้มต่อ วันนี้ใครจะบอกว่า ผมกำลังทำนโยบายประชานิยม ถ้าทำดีประชาก็นิยม ถ้าทำไม่ดีประชาก็ไม่นิยม

เพราะฉะนั้นเรื่องของกฎหมายจึงอยากจะฝากกับกระทรวงยุติธรรมว่า สังคายนากฎหมายปัจจุบันก่อน กฎหมายปัจจุบันฉบับใดล้าสมัยให้เลิก ฉบับใดยังมีผลบังคับใช้และต้องการก็ให้ใช้ แต่ต้องแก้ไขบ้างตามยุคตามสมัยก็ควรแก้ กฎหมายฉบับใดต้องบัญญัติขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อสังคมต้องบัญญัติ โดยเน้น 2 เรื่องของการบัญญัติกฎหมายใหม่หรือแก้กฎหมายคือ เรื่องความง่ายในการเข้าใจของประชาชนธรรมดา “ที่ไม่รู้กฎหมายได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และเรื่องเนื้อหาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยแท้กับประชาชน” โดยคำนึงถึงโครงสร้างของสังคมที่แตกต่าง เราไปมองว่าทุกคนเท่ากัน แต่ความจริงแล้วโอกาสของคนไม่เท่ากัน ต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย ถ้าเราไม่คำนึงถึง เราจะใช้ระบบประชาธิปไตยว่า ทุกคนเท่ากัน บังคับให้คนจนซึ่งเหมือนกับคนป่วยแข่งกับคนรวยที่เป็นคนแข็งแรงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ประกอบกัน นี่คือสิ่งที่ผมขอเน้นย้ำ และเน้นย้ำอีกเรื่องหนึ่งคือ การเผยแพร่ความรู้กฎหมายที่ขอว่าให้เข้าใจได้ง่ายและพยายามให้คนซึ่งไม่ค่อยอ่าน ได้รับรู้ได้ง่ายที่สุดด้วยวิธีใดนั้นแล้วแต่ และให้ทั่วถึงในทุกสังคม และทำอยู่อย่างต่อเนื่องจนความรู้กฎหมายนั้น ๆ เป็นอัตโนมัติในสังคม นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ

อีกเรื่องที่ต้องทำก็คือ ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายเพื่อให้เกิดกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมต่อสังคมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประกัน แม้กระทั่งเรื่องการศึกษา ระบบการศึกษาที่เราบอกว่าเป็นธรรม ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่เป็นธรรมตั้งแต่วินาทีแรก เพราะว่าเราสอบคัดเลือกเข้า คนจนไม่มีเงินกวดวิชา ความเป็นธรรมนั้นต้องดูให้ดี อย่าดูปลายทาง ถ้าดูปลายทางจะเป็นธรรมทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นต้องดูตั้งแต่ต้นทาง อะไรที่ไม่เป็นธรรมต้องแก้ไขให้หมด

ถ้าท่านจำได้ว่าเมื่อวันที่ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วผมออกมาแถลงกับประชาชนที่หน้าบ้านผม ผมบอกว่า ผมจะไปขอเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ขอเป็นเพียงผู้นำที่กฎหมายอนุญาตให้ผมเป็นผู้นำเท่านั้น แต่ผมจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมไทย เพื่อให้สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่ดีกว่าวันนี้ เพราะฉะนั้นผมเองได้เปลี่ยนหลายเรื่อง และพร้อมที่จะเปลี่ยน เปลี่ยนทุกวันก็ได้ ขอให้เปลี่ยนแล้วดีขึ้น ถ้าเปลี่ยนแล้วไม่ดีขึ้นอย่าไปเปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนแล้วดีควรเปลี่ยน เปลี่ยนทุกวัน เปลี่ยนทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีแรงเสียดทานของคนที่ผมเปลี่ยนแล้วกระทบ หรือบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง

เมื่อใดสังคมมีการเปลี่ยนแปลงจะแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 คือ ผู้สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ที่เฉย ๆ ไม่ว่ากัน กลุ่มที่ 3 คือ ผู้ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่องที่เปลี่ยน ซึ่งมีอย่างนี้ทุกสังคม เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการต่อต้าน เพราะฉะนั้นที่สำคัญพี่น้องประชาชนอย่าหนวกหูก็แล้วกัน ใครส่งเสียงดังนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง 1 เรื่อง ท่านเคยเห็นลูกแอ๊ปเปิ้ลสวย ๆ หรือไม่ กินผลก็ใช้ได้ถือว่าอร่อย แต่บางคนบอกว่าอยากกินน้ำแอ๊ปเปิ้ล ก็นำแอ๊ปเปิ้ลมาเข้าเครื่องปั่น ซึ่งต้องผ่าเสียก่อน ตอนผ่าครั้งแรกนั้นยังไม่ถึงกับขี้เหร่ พอนำเข้าไปใส่ในเครื่องปั่น กดเครื่องปั่นสักครู่แล้วเห็นแอ๊ปเปิ้ลเละ ๆ ถ้าคนมาเห็นตอนนั้นโดยยังไม่ได้เห็นตอนเสร็จแล้ว ก็จะบอกว่า แอ๊ปเปิ้ลลูกสวย ๆ คุณมาทำให้เละทำไม แต่เมื่อปั่นต่อไปอีกครู่หนึ่ง ทนหนวกหูอีกนิดหนึ่ง จะกลายเป็นน้ำแอ๊ปเปิ้ลสวยสะอาดและอร่อย แต่ระหว่างทางที่ปั่นอยู่นั้น เสียงปั่นก็หนวกหู ไปดูก็เละ เพราะฉะนั้นต้องดูตอนจบ ถ้าเรารู้ว่าจุดสุดท้ายเราต้องการอะไร ถ้าเราต้องการอะไรต้องดูตอนจบ ระหว่างทางต้องอดทนหน่อย

เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในประเทศไทย รวมทั้งเรื่องการเปลี่ยนโครงสร้างกฎหมายต่าง ๆ นั้น ท่านจะต้องทนหนวกหูหน่อย แต่ผมรู้ว่าเปลี่ยนแล้วบทสุดท้ายคืออะไร ผมต้องมั่นใจว่า สุดท้ายที่เปลี่ยนต้องดีกว่าก่อนเปลี่ยน แต่ระหว่างทางหนวกหูรำคาญบ้างต้องทน ถ้าผมไม่ทนการเปลี่ยนแปลงจะไม่จบ ถ้าสมมติว่าผมหยุดการปั่นน้ำแอ๊ปเปิ้ลกลางคันเพราะทนหนวกหูไม่ไหว ผมก็จะได้แอ๊ปเปิ้ลเละ ๆ กินก็ไม่ลงเพราะดูน่าเกลียด เป็นน้ำแอ๊ปเปิ้ลก็ไม่ใช่ เป็นผลแอ๊ปเปิ้ลก็ไม่ใช่ ยิ่งเสียหายเข้าไปอีกถ้าหยุดกลางคัน เพราะฉะนั้นผมต้องหยุดเมื่อจบ จึงต้องบอกขอพี่น้องประชาชนว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอีกมากมายหลายเรื่อง แต่เปลี่ยนทั้งหมด บรรทัดสุดท้ายอยู่ที่ความก้าวหน้าของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนในภาพรวมทั้งหมดครับ

วันนี้ดีใจที่ได้มาพบกับพี่น้องประชาชนในกรุงเทพและในต่างจังหวัดอีก 300 กว่าจุด ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลนี้จะปฏิรูประบบกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะไม่เสร็จสิ้นภายใน 1-2 ปีนี้ เพราะกฎหมายแต่ละฉบับนั้นต้องใช้เวลาและขั้นตอนยาวนานมาก แต่ผลสุดท้ายจะจบที่เป็นการทำให้กฎหมายเป็นธรรมอย่างแท้จริง ในสภาพความเป็นจริงของสังคมและการปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นธรรมเฉพาะตัวอักษรหรือตามทฤษฎี จะให้เป็นธรรมในสภาพแท้จริงของสังคม ในสภาพการปฏิบัติที่แท้จริง และที่สำคัญคือ จะให้กฎหมายเหล่านั้นที่เป็นกฎหมายที่จำเป็นของสังคมมีเท่าที่จำเป็น และเป็นที่รับรู้ของสังคม จนความรับรู้นั้นกลายเป็นบรรทัดฐานที่สังคมจะยึดถือว่าจะปฏิบัติตามแนวนั้น ๆ เป็นหลัก ถ้าประเทศไหนสามารถทำกฎหมายให้กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมได้นั้น ประเทศนั้นจะเป็นประเทศที่บรรลุจุดสูงสุดของการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมายที่แท้จริง

วันนี้หลาย ๆ อย่างในโลกยุคเก่ายังมีความดีที่เราทิ้งไป โลกยุคใหม่เราพัฒนาจนลืมสิ่งที่เป็นของดีในสมัยเก่า เพราะฉะนั้นเราจะต้องนำสิ่งที่พัฒนานั้นกลับมาหาสิ่งที่เป็นของดีของเก่านำมาประกอบกัน จึงจะไปได้ดี เหมือนกับวันนี้ที่เราพยายามจะพัฒนาประเทศ มีการแข่งขันกันมาก ผลสุดท้ายปรากฏว่าทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายหมด ซึ่งเราต้องกลับมาคิดว่า สิ่งที่ดี ๆ ของประเทศจะกลับคืนมาได้อย่างไร พร้อมกับการพัฒนาไปด้วย สิ่งที่ดีในสังคมไทยในสังคมสมัยก่อนนั้นคือ การสร้างสังคมนั้นให้มีบรรทัดฐานที่ดีและเป็นที่ยึดถือของคนทั้งระบบและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

แต่วันนี้เรามีกฎหมายมากขึ้น ปรากฏว่ากฎหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับถึงขั้นเป็นบรรทัดฐานของสังคมมากนัก เพราะความไม่รู้ของกฎหมายหรือความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย และในที่สุดวันนี้คนที่ก่ออาชญากรรมคือคนจน คนที่เป็นเหยื่อของอาชญากรรมก็คือคนจน นั่นคือสิ่งที่เราผิดพลาดอย่างต่อเนื่องในการพัฒนา ซึ่งไม่ได้เป็นเฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว ทุกประเทศเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาที่เราต้องย้อนกลับมาดูสิ่งที่ดีงามในอดีต และจะรักษาไว้ภายใต้ภาวะการพัฒนาปัจจุบันได้อย่างไร นั่นคือคำถามที่ต้องขบคิด ที่กระทรวงยุติธรรมและผมเองต้องคิดร่วมกันและทำร่วมกัน ในฐานะที่ผมเรียนหนังสือจบปริญญาเอกมาทางด้านนี้ ต้องมาประยุกต์สิ่งที่เรียนมาให้เข้ากับภาวะสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมที่เรื่องของเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลัก ในการที่นำพาประเทศไปพร้อมกับการสร้างสังคมให้สมดุลนั้นจึงกลายเป็นเรื่องที่ยาก แต่ไม่เป็นไรครับ “จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง” ขอบคุณครับ สวัสดีครับ



*******************************



ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

สยุมพร อยู่เอี่ยม / ถอดเทป / พิมพ์
อภิญญา ตันติรังสี / ตรวจ

...
  
เบื้องหลัง ข่าว แดง เหลือง
5
...
  
วิทยากร เชียงกูล
ประวัติอาจารย์วิทยากร เชียงกูล


วิทยากร เชียงกูล (ปี 2489 -2550 )
เกิด และเติบโตที่อำเภอบ้านหมอ สระบุรี เข้ามาอยู่กรุงเทพฯและเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ชั้นอุดมศึกษาที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (ปี 2508 – 2512) และสถาบันศึกษาสังคม ที่เมืองเฮก เนเธอแลนด์ (ปี 2523 – 2524)
เคยทำงานประจำกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช (ปี 2512 – 2515) เป็นนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายวิจัยวางแผน ที่ธนาคารกรุงเทพ
(ปี 2515 – 2525) เป็นอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ปี 2525 – 2538) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการ (ด้านการวิจัยและวางแผน) ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (ปี 2531 – 2534)
ตั้งแต่ปี 2534 ทำงานที่มหาวิทยาลัยรังสิต มาตลอดโดยเป็นรองอธิการบดี และผู้อำนวยการสำนักงานวางแผนและพัฒนา (ปี 2534 – 2538) รักษาการ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ (2538) คณบดีคณะศิลปศาสตร์ (ปี 2538 – 2540) ผู้อำนวยการศูนย์วิจันทางด้านสังคมศาสตร์ (ปี 2540 – 2546) และปัจจุบัน เป็นคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม เป็นนักเขียนบทความให้หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เขียนและแปลหนังสือที่พิมพ์เป็นเล่มถึงปลายปี 2547 รวม 89 เล่ม ได้รับรางวัลนักเขียนบทความดีเด่นกองทุนอายุมงคลโสณกุลปี 2536 และได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี 2541 (ดูเพิ่มเติมได้จาก www.rsu.ac.th/soc)
หรือที่ http://www.rsu.ac.th/csi/mr_witayakorn.htm

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.