หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ขายอย่างเซียน
เอกสารประกอบการบรรยาย "ขายอย่างเซียน" ...
  
ร่วมรายการโทรทัศน์
ร่วมสัมภาษณ์ อาจารย์อุสมาน ลูกหยี ในรายการแคป วิชั่น ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในประเด็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จในวงการกีฬา .. ...
  
พูดเก่ง...ด้วยปัญญา...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

คนไร้วิชา สกุณาไร้ปีก ย่อมไปได้ไม่ไกล
คนที่จะเป็นคนพูดเก่ง พูดดี พูดเป็นและพูดจูงใจคนได้นั้น คนๆนั้นต้องมีปัญญา ซึ่งการมีปัญญาของคนเรานั้น สามารถฝึกฝนหรือสะสมกันได้หลายทาง เช่น ปัญญาเกิดจากการอ่าน , ปัญญาเกิดจากการฟัง , ปัญญาเกิดจากการคิด และปัญญาเกิดจากการเรียนรู้จากประสบการณ์
- ปัญญาเกิดจากการอ่าน หมายถึง คนที่พูดเก่ง มักจะเป็นนักอ่าน การอ่านจะทำให้มีข้อมูลในการพูด แต่สำหรับนักพูดมืออาชีพแล้ว จะไม่อ่านหนังสือแบบผ่านๆ แต่จะมีสมุดบันทึกประจำตัว ไว้จดข้อมูลต่างๆ ที่สนใจ เพื่อจะนำไปใช้เป็นข้อมูลในภายภาคหน้า
- ปัญญาเกิดจากการฟัง ผู้ที่จะเป็นนักพูดที่เก่งหรือเป็นมืออาชีพ มักจะเป็นนักฟัง ถ้ามีโอกาส เขาจะตามไปฟังนักพูดที่เก่งๆ เขาพูด ซึ่งการฟังนั้น ไม่ฟังเปล่าแต่เขาจะใช้ปัญญาวิเคราะห์ว่า ทำไมคนๆนี้ พูดแล้วคนชอบ ทำไมคนๆนี้ พูดแล้วน่าฟัง ทำไมคนๆนี้พูดแล้ว คนหัวเราะ ชอบใจ ทำไมคนๆนี้พูดแล้ว คนถึงร้องไห้ ทำไมคนๆนี้พูดแล้วคนถึงเชื่อแล้วทำตาม สำหรับในปัจจุบันนี้ เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ยุคเทคโนโลยี เราสามารถ ฟังนักพูดที่เราชอบ หลายๆครั้งโดยผ่านทางเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น เทป ซีดี วีซีดี MP3 ฯลฯ ซึ่งแตกต่างจากในยุคอดีตที่เราต้อง ตามไปฟังนักพูดที่เก่งๆ เขาพูดแต่ไม่สามารถจดจำหรือจดบันทึกได้หมด
- ปัญญาเกิดจากการคิด นักพูดบางคนมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้าน แต่เวลาพูดทำไมคนถึงอยากฟัง เพราะนักพูดท่านนั้น อาจมีความคิดที่ดีๆ อาจมีความคิดที่ทันสมัยและแง่มุมที่แปลกใหม่ อีกทั้งยังทำให้ผู้ฟังได้ความคิดที่ดีๆเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
- ปัญญาเกิดจากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ ทำไมคนที่มีอายุบางคน ทำไมคนที่มีตำแหน่งต่างๆบางคน ทำไมเวลาพูดแล้วคนอยากฟังหรือตามไปฟัง เพราะนักพูดท่านนั้น ผ่านประสบการณ์มาก่อนหรือผ่านประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ มาก่อน ผู้ฟังจึงสนใจฟัง เช่น ทำไมนักขายถึงอยากฟัง นักขายมืออาชีพระดับโลกพูด แต่ไม่อยากฟังนักขายสมัครเล่นพูด , ทำไมคนถึงอยากฟังนักพูดมืออาชีพระดับประเทศพูด มากกว่าอยากฟังนักพูดสมัครเล่นพูด ฯลฯ
สิ่งที่กล่าวข้างต้นนี้ มักทำให้เกิดปัญญา เมื่อคนเรามีปัญญาแล้ว คนๆนั้นจะมีข้อมูล ในการพูด หรือ มีความรู้ มีความคิด ที่เป็นประโยชน์ในการพูด







ดังนั้น เราจะสังเกตว่านักพูดที่พูดเก่งๆ ...มักจะต้องมีปัญญา ฉะนั้น ถ้าท่านอยากเป็นนักพูด ท่านจำเป็นที่จะต้องลงทุนในเรื่องของการอ่านหนังสือให้มากๆ ท่านจำเป็นจะต้องลงทุนฟังนักพูดที่เก่งๆ เขาพูดให้มากๆ ท่านจำเป็นจะต้องใช้เวลาว่างในการนั่งคิด นั่งวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ และท่านจำเป็นจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อก่อให้เกิดประสบการณ์ เพื่อที่จะนำไปใช้ในการพูดต่อไปในภายภาคหน้า
เมื่อท่านลงทุนในสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็จะเกิดปัญญา เมื่อท่านเกิดปัญญา ท่านก็จะเป็นนักพูดที่พูดแล้วมีหลักการ มีเหตุมีผล พูดแล้วคนเชื่อถือ พูดแล้วคนหัวเราะ พูดแล้วสามารถชักจูงใจคนฟังได้
และสิ่งที่ตามมา ก็คือเมื่อท่านพูดแล้วท่านจะได้เงิน เนื่องจากมีคนจ้างท่านให้ไปพูด ไปบรรยายหรือไปอบรมให้แก่หน่วยงานต่างๆ อีกทั้งท่านจะได้ชื่อเสียงและตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งทางด้านสังคม ตำแหน่งทางด้านการเมือง เป็นต้น

...
  
รองศาสตราจารย์ สุขุม นวลสกุล
การศึกษา
รัฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (รัฐศาสตร์และสังคมวิทยา) มหาวิทยาลัยเท็กซัส เอแอนด์เอ็ม (Master of Science [government & Sociology] Texas A & M University)
ประกาศนียบัตรสงครามจิตวิทยา สถาบันจิตวิทยาความมั่นคง กองบัญชาการทหารสูงสุด
[แก้] การงาน
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (สองสมัย สมัยแรก 15 ม.ค.26-14 ม.ค.28, สมัยที่สอง 15 เม.ย.28- 14 เม.ย.30)
อดีตที่ปรึกษา พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี
อดีตคอลัมนิสต์ นิตยสารมวยไทย
ลาออกจากราชการก่อนกำหนดเกษียณ (๑ ตุลาคม ๒๕๔๒) ตามโครงการเปลี่ยนเส้นทางชีวิต
มีผลงานแสดงเป็นครั้งคราว
[แก้] ปัจจุบัน
เป็นวิทยากรอิสระ รับบรรยายในสถาบันราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนหลายแห่ง
เป็นวิทยากร บรรยาย และทอล์คโชว์
วิเคราะห์การเมืองเป็นประจำ ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ คลื่น ๙๕ FM เวลา ๐๖.๔๕ - ๐๖.๕๐ และ ๙๗ FM เวลา ๑๔.๐๐ - ๑๔.๓๐ (กับคุณโอวาท พรหมรัตนพงศ์)
เขียนคอลัมน์ "ยิ้มสักนิด คิดสักหน่อย" ในนิตยสารกุลสตรี (รายปักษ์)
วิทยากร และที่ปรึกษา สถาบันฝึกอบรม มัลติสมาร์ท
วิทยากรประจำรายการ ช่วยคิดช่วยทำ ทางช่อง ๓
พิธีกรร่วมรายการ ก๊วนข่าวเช้าวันหยุด ทางช่อง ๓
[แก้] ผลงานทางวิชาการ
เล่นกับคน
แม่ไม้นักบริหาร
ทีเด็ดหัวหน้า
ปากเป็นเอก
คารมเป็นต่อ
สนุกกับชีวิตพิชิตงาน
เพลินกับงานสำราญกับชีวิต
ติดอาวุธนักบริหาร บรรณาธิการโดย รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน (๒๕๕๑) ฯลฯ
...
  
เทคนิคการพูด
เทคนิคการพูด
เมื่อมนุษย์ใช้ปัญญา ก็จะส่งผลให้มนุษย์มีวิธีในการกระทำสิ่งต่างๆขึ้นมา การเดินก็ต้องมีวิธีเดิน การค้าขายก็ต้องมีวิธีค้าขาย การต่อสู้ การเล่นกีฬา การสอน และ ฯลฯ ก็ต้องมีวิธีการ การกระทำนั้นๆจึงจะมีประสิทธิภาพ ฉันใด “ การพูด ” ก็ต้องมีวิธีพูด จึงจะพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉันนั้น


สารบัญ

บทที่ 1 การพูด คืออะไร

บทที่ 2 ถ้าอยากให้การพูดล้มเหลวท่านควรทำอย่างไร

บทที่ 3 หลักการพูดของอริสโตเติล

บทที่ 4 ทักษะพื้นฐานในการพูด

บทที่ 5 โครงสร้างของสุนทรพจน์

บทที่ 6 การวิเคราะห์ผู้ฟัง

บทที่ 7 การสร้างความสนใจ

บทที่ 8 การใช้ถ้อยคำ

บทที่ 9 การฝึกพูด

บทที่ 10 การอภิปราย

บทที่ 11 วาทะของสามรัฐบุรุษ

บทที่ 12 ยอดนักพูดในประวัติศาสตร์

...
  
จตุพล ชมพูนิช นักพูดชื่อดัง แนะเทคนิค "เส้นทางสู่อาชีพนักพูด"
อาจารย์จตุพล ชมภูนิช นักพูดชื่อดัง ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมเสวนา "บนเส้นทางสู่อาชีพนักพูด" แก่นักศึกษา บุคลากร และผู้สนใจ ซึ่งจัดโดยภาควิชาสื่อสารมวลชน ในโอกาสครบรอบ 38 ปีแห่งการสถาปนาคณะมนุษยศาสตร์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2552 ณ ห้องประชุมพวงแสด คณะมนุษยศาสตร์

อาจารยจตุพล ชมพูนิช นักพูดชื่อดังและศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสกลับมาเยือนรามคำแหง ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่ด้อยกว่าใคร แม้ว่าหลายคนที่เข้ามาเรียนที่นี่สอบเอนทรานซ์ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้หรือจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะการสอบเข้าเรียนได้ถือเป็นเพียงการวิ่ง 100 เมตรแรกเท่านั้น และการที่เราแพ้ใน 100 เมตรแรก ก็ไม่ใช่ว่าเราจะแพ้ทั้งชีวิต

"ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ถ้าไม่มีรามคำแหง ก็คงไม่มีผมในวันนี้ รามคำแหงจึงอยู่ในหัวใจของผมเสมอมา ซึ่งสมัยเรียนที่รามคำแหง ผมมีความตั้งใจเรียนอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว แต่เข้าร่วมกับชมรมต่างๆ ทั้งชมรมปาฐกถาโต้วาที และชมรมภาษาอังกฤษ เวลาว่างมักจะเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ เพราะผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก และมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักพูด ซึ่งการเป็นนักพูดที่ดีจะต้องมีความรู้ และต้องพยายามฝึกฝนทักษะการพูด ซ้อมพูดกับตัวเอง และสอนตัวเองตลอดเวลา

ครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูด ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะพูดแล้วไม่มีคนสนใจฟัง แต่ผมก็ยังพยายามฝึกฝนไปเรื่อยๆ และหากเราทำอะไรไม่สำเร็จ อย่าคิดว่าเป็นเพราะของสิ่งนั้นอยู่ไกล แต่อาจเป็นเพราะว่ามือเราสั้นไป ฉะนั้นจึงควรพยายามขยับไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรสูงเกินไปถ้าเราจะไขว่คว้า ผมฝึกพูดระหว่างเดินเข้าซอยทุกวัน และต้องสรุปการพูดของตัวเองในแต่ละวัน" อ.จตุพล กล่าว

อาจารย์จตุพล กล่าวต่อว่า ทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน อย่างแรกอยากให้เริ่มต้นที่หัวใจ ถ้าอยากเป็นนักพูด ใจก็ต้องมุ่งมั่นต่อสิ่งเดียวคือการเป็นนักพูด เหมือนกับกล้องที่ต้องโฟกัสให้นิ่งแล้วเป้าหมายจะชัด แต่ถ้าขยับเขยื้อนไปมา ภาพก็จะไม่นิ่ง เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนแล้ว การที่เราจะทำความฝันเป็นความจริงก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรามุ่งมั่นฝ่าฟันและลงมือทำมาตลอด สิ่งนั้นก็จะมาสู่ตัวเรา

ฉะนั้น ถ้าอยากทำสิ่งใดให้สำเร็จ 1. ต้องโฟกัสให้ชัด ให้นิ่ง อย่าเปลี่ยนบ่อย 2. ใจต้องรัก เมื่อใจรักแล้ว ปัญหาเล็กจะกลายเป็นไม่เป็นปัญหา ปัญหาใหญ่จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าใจรักแต่ไม่ลงมือทำก็ไม่เกิดประโยชน์ คนที่เก่งกว่าคือคนที่พยายามมากกว่า ซึ่งการพยายามมากกว่าคือการที่พยายามฝึกพูดตลอดเวลา ล้มแล้วต้องลุก และคนที่พูดบ่อยก็จะเป็นเหมือนการได้ฝึกฝน และจะมีทักษะในที่สุด และนอกจากจะมีฝัน มีใจแล้ว ต้องลงแรงลงกาย และต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

"การเรียนในรั้วมหาลัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย รับรองว่าเรียนจบทุกคน แต่ถ้าทำเกินกว่าการเป็นนักศึกษา หน้าที่ที่สำคัญคือตั้งใจเรียนหนังสือ หลายคนอยากจะมีความฝัน อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่ถ้าได้เป็นแล้วไม่เรียนหนังสือ ผมก็ไม่เห็นด้วย อยากให้เห็นความสำคัญของการเรียนเป็นอันดับแรก เรียนให้เต็มที่และเสริมสร้างความสามารถให้มากที่สุด เพราะถ้าคนมีความสามารถมากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า อย่าเรียนอย่างเดียวโดยไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เราต้องมีความสามารถพิเศษซึ่งเป็นสิ่งที่เราสนใจ

ผมเป็นคนชอบภาษาอังกฤษ มนุษย์ที่ได้เปรียบจะต้องรู้ภาษาและรู้เทคโนโลยี จะต้องสร้างเขี้ยวเล็บให้กับตนเอง แต่ต้องเรียนเป็นหลัก เช่น ถ้าอยากเป็นดารา ซึ่งอาชีพดารานั้นไม่ยั่งยน วันนี้แสดงเป็นพระเอก พรุ่งนี้อาจแสดงเป็นพ่อก็ได้ ฉะนั้น จะต้องมีปริญญาเป็นอาวุธ ต้องเสริมสร้างกระดูก เสริมสร้างความสามารถให้เพิ่มขึ้น แล้วรอโอกาส แต่ถ้าโอกาสยังไม่มา จะต้องสร้างโอกาสขึ้นมาเอง เช่น รายการตีสิบ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถได้แสดงความสามารถของตน ถ้าเรามีความสามารถ ก็ย่อมเข้าร่วมแสดงความสามารถได้ ถึงจะไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่อาจจะตรงตามความต้องการของคนอื่นได้" อ.จตุพลกล่าว

อาจารย์จตุพล กล่าวอีกว่า การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป ซึ่งศาสตร์คือการที่เราสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้หลักการออกเสียง อักขระ หรือการใช้ช่วงเสียงทำนองที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ดึงดูดใจผู้ฟัง ตลอดจนศิลปะการใช้ท่าทาง การสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ แต่ศิลป์คือ เมื่อเราเรียนรู้แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กัน ศิลปะแต่ละคนก็จะต่างกัน เสมือนกับการเรียนวาดรูป ที่เรียนมาเหมือนกัน แต่ความมีศิลป์ต่างกัน ซึ่งศิลป์เป็นสิ่งที่เราต้องเสริมหลังจากได้ความรู้ไปแล้ว

อ.จตุพล กล่าวว่า การเป็นนักพูดต้องมีความรู้ ตนเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ทำให้ได้รับความรู้จากหนังสือแล้วนำมาผ่านกระบวนการปรุงแต่งให้ได้รสชาติตามที่ต้องการ และต้องเสิร์ฟออก ซึ่งการพูด ถ้าจะพูดอย่างมีศิลป์ต้องสามารถพูดแล้วถูกใจคนฟัง ซึ่งการศึกษาเป็นกระบนการที่ทำให้เราค้นพบตัวเองอย่างแท้จริง ช่วงเวลาเรียนเป็นช่วงเวลานาทีทอง ทำให้เราได้รับความรู้และเป็นการเพิ่มความสามารถ ทำให้ค้นพบตัวเอง เพระาถ้าค้นพบตัวเองได้เร็วกว่า ก็สามารถพัฒนาต่อยอดไปได้เร็วกว่าคนอื่น

"การแสดงท่าทางประกอบการพูดถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การใช้ท่าทางจะต้องมีความเป็นธรรมชาติ และเสียงที่พูดต้องเป็นเธรรมชาติ เสียงต้องขึ้นลงตามจังหวะการพูด ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้พูดได้อย่างคล่องแคล่วคือ จะต้องฝึกอ่านหนังสือดังๆ และฝึกออกเสียงให้ถูกอักขระวิธี ถ้าอยากเป็นนักพูดต้องบรรจุความรู้เข้าสมองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และสามารถดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ต้องฝึกฝน เตรียมพร้อม เตรียมตัวมีจิตใจที่มุ่งมั่น และค้นหาตัวเองให้พบ

คนเกิดมาไม่ต่างกัน มีมือมีเท้าเท่ากัน อะไรที่เขาทำได้เราย่อมทำได้ อย่าขังตัวเองไว้กับสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ เพราะทุกหนึ่งความคิดจะเป็นหนึ่งปมที่ขังตัวเอง โลกของเรากว้างใหญ่เสมอ และท้องฟ้าไม่มีขีดจำกัดสำหรับคนที่ต้องการบิน เราสามารถจะบินได้สูงที่สุดเท่าที่ใจเราต้องการ ที่รามคำแหง พร้อมจะเปลี่ยนคุณให้มีราคา มากเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่หัวใจเราต้องการ ชีวิตเราเกิดมาเราสามารถเลือกได้ และขอให้ทุกคนเป็นบัณฑิตที่ทรงคุณค่าของรามคำแหงต่อไป" อ.จตุพลกล่าว

ข่าววันที่: 12/10/2009
แหล่งข่าว: หนังสือพิมพ์ข่าวรามคำแหง (12-18 ตุลาคม 2552)


...
  
คำบรรยายพิเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
คำบรรยายพิเศษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
หัวข้อ “ประเทศไทยในบริบทใหม่ของการแข่งขันในเวทีโลก”
(Thailand in New Competitive Landscape)

ในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ
“การพัฒนาผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง”
ณ อาคารคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์
ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพคเมืองทองธานี
วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2546 เวลา 09.40 น.



------------------------------------------


ท่านรองนายกรัฐมนตรี
ท่านรัฐมนตรี

ท่านหัวหน้าส่วนราชการ

ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด

ท่านผู้เข้าร่วมสัมมนา

ดร.ดาเวนพอร์ตฯ

วันนี้ผมถือว่าเป็นวันพิเศษ วันสำคัญของประเทศไทย ที่ท่านทั้งหลายที่มานั่งอยู่ที่นี้ กำลังจะนำประเทศไทยให้สูงขึ้นอีก ผลักดันประเทศไทยให้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และจะทำให้พี่น้องคนไทยเรานั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป้าหมายของการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารแบบไหนก็แล้วแต่ ต้องอยู่ที่ความผาสุกของประชาชน อยู่ที่ความก้าวหน้าของประเทศ นั่นคือ สิ่งที่เราอยากจะเห็น แต่วิธีการแบบไหนนั้น ต้องเลือกวิธีการที่ดีที่สุด ที่สำคัญต้องเป็นวิธีการที่จะต้องมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง จะต้องปลดปล่อยพลังสมองของคนในประเทศ เพื่อให้ได้ใช้สมองเหล่านั้นมารวมกันสร้างประเทศให้เข้มแข็ง นั่นคือหลักที่เราจะทำ ผู้ว่าฯ CEO เป็นวิธีการบริหารการจัดการอย่างหนึ่งที่เรากำลังจะเริ่มคุยกันวันนี้ ผมต้องขอขอบคุณทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ ที่เข้ามาร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) มาช่วยกันจัดหลักสูตร ท่านผู้ว่าฯ ทั้งหลาย ท่านจะเกร็ง อย่าตกใจว่าเรากำลังจะเปลี่ยนชีวิตท่าน ความจริงแล้วเรากำลังจะให้ท่านทำงานสนุก เพราะเรากำลังจะท้าทายท่าน แต่ว่าก่อนที่เราจะท้าทายท่านให้ไปออกสนามแข่งขัน เราจะต้องฟิตความสมบูรณ์ของท่าน เราจะต้องให้พลังงานท่าน เพื่อให้ท่านลงไปแข่งในสนามด้วยความมั่นใจ วันนี้ท่านปล่อยวางถึงเรื่องของความยากง่ายอะไรทั้งสิ้น ตั้งหน้าตั้งตาฟังการบรรยาย เพราะต่อไปนี้เรากำลังเชิญคนซึ่งคิดว่าจะเติมพลังความคิดทางสมองให้ท่าน

เพื่อให้ท่านเอาไปใช้สำหรับการทำงานที่ท้าทายยิ่งในชีวิตของท่าน แต่การท้าทายครั้งนี้เป็นการท้าทายที่ท่านกำลังต้องใส่พลังทั้งหมดเพื่อสร้างชาติของเรา เพราะว่าถ้าเราขืนปล่อยประเทศไทยเป็นแบบนี้ ทำงานบริหารกันแบบเดิม ๆ อย่างนี้ ไปไม่รอด และผมเชื่อว่าหลายประเทศจะไปไม่รอดถ้าหากว่าไม่ปรับปรุงอย่างแรง ท่านลองไปย้อนดูอดีต ประเทศกัมพูชาเคยเฟื่องฟูมาในอดีต นครวัดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก วันนี้เป็นอย่างไรครับ แน่นอนว่าเกิดจากปัญหาการขัดแย้งภายในด้วย แต่การปรับตัวและเปลี่ยนตัวเองในทุก ๆ ช่วงการพัฒนาของโลกนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกประเทศต้องปรับ ถ้าไม่ปรับจะแย่

หนังสือที่ผมให้ท่านทั้งหลายไปอ่านเพื่อจะปูพื้นให้ท่าน เพื่อให้ท่านได้รู้ว่าวิธีคิดต้องเปลี่ยน วิธีทำงานต้องเปลี่ยนเพราะโลกเปลี่ยน เดี๋ยวผมจะพาท่านไปเที่ยวรอบโลก เมื่อก่อนนี้เรามีอุดมการณ์สองขั้ว ขั้วหนึ่งคือคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยม อีกขั้วหนึ่งคือประชาธิปไตย ขั้วสังคมนิยมนั้นพยายามจะสรรหาความสมบูรณ์ว่าทุกอย่างไม่เท่าเทียมกัน คือไม่มีหรอกในโลกนี้ นิ้วห้านิ้วยังไม่เท่ากัน ลูกเกิดมาจากพ่อแม่สายพันธุ์เดียวกัน ยังตัวสูงตัวเตี้ยตัวอ้วนตัวผอมไม่เท่ากัน แต่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดของระบบคอมมิวนิสต์คือมีอุดมการณ์ ระบบคอมมิวนิสต์นั้นมีอุดมการณ์แต่ไม่มีเป้าหมาย แต่ระบบประชาธิปไตยซึ่งใช้ระบบของทุนนิยมเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เศรษฐกิจแบบทุนนิยมนั้นดีตรงมีเป้าหมายแต่ขาดอุดมการณ์ เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลไทยกำลังจะแก้ปัญหาโดยนำสิ่งที่ดี ๆ ของทุกระบบมาใช้ ออกมาแล้วเป็นสูตรของเราไม่ใช่สูตรของใคร แต่แน่นอนถ้ามองมุมนี้ก็หน้าตาคล้ายตรงนั้น ถ้ามองมุมนั้นหน้าตาคล้ายตรงนี้ เหมือนทฤษฎีจีโนมิกส์ หรือ GMOs ที่พยายามจะเอายีนตรงนั้นยีนตรงนี้มาใส่กัน สมมติว่าตอนนี้เขาสามารถ Mapping DNA ได้แล้ว DNA คือตัวที่บ่งบอกลักษณะของสิ่งมีชีวิต เขาสามารถเลือกได้แล้ว อีกหน่อยเราสามารถเลือกมนุษย์พันธุ์ที่ปรารถนาได้ อยากได้ไอคิวสูง อยากได้จมูกโด่งรูปหล่อ อยากได้ผิวเข้ม สูง หล่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็เอายีนเหล่านั้นมาผสมกัน

เหมือนกันครับ วันนี้เรากำลังเลือกระบบที่ดีที่สุดที่เข้ากับประเทศไทยที่สุด โดยการเอาสิ่งที่ดี ๆ หลายอย่างมาผสมกันแล้วให้เป็นไปได้กับการประยุกต์ใช้กับประเทศไทย ผมเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง สมัยหน้าท่านจะเห็นว่าระบบการบริหารราชการของเราจะเปลี่ยนไปอย่างมาก แทบจะจำไม่ได้ เปลี่ยนทุกอย่าง เขาเรียกว่า Change for the better ต้องเปลี่ยนให้ดีขึ้น นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังตั้งใจจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ถ้าท่านจำได้ เมื่อวันที่ผมรับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ผมได้พูดว่าผมจะไม่ยอมเป็นเพียงผู้นำตามกฎหมาย แต่ผมขอเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง เพราะผมรู้ว่าประเทศไทยนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมานานแล้ว แต่เราเปลี่ยนไม่ค่อยได้เพราะการเมืองอ่อนแอ หรือว่าเพราะว่าเราไม่สามารถแสวงหาแนวทางที่เหมาะสมกับประเทศไทยได้ แต่ในโลกยุคใหม่เขาบอกว่าไม่ต้องรอความสมบูรณ์ แค่วางแผนเท่านั้น ต้อง Experiment ต้องเดินทันที ผมไม่ใช่แบบที่จะต้องรอทุกอย่างให้สมบูรณ์แล้วค่อยเดิน แต่วันนี้ที่ผมกำลังจะเชิญท่านทั้งหลายมาปรับวิธีการทำงานนั้น เพราะเราได้เริ่มต้นแล้วจากการปฏิรูประบบราชการ แต่การปฏิรูประบบราชการนั้นเป็นการปฏิรูปเพียงโครงสร้าง นั่นเป็นเบื้องต้น แต่ถ้าไม่เริ่มเดินก้าวที่หนึ่งแล้วจะไม่มีก้าวที่สอง สาม สี่ เราได้ปรับโครงสร้างโดยการดึงเอาส่วนราชการที่มีกิจกรรมอย่างเดียวกันใกล้เคียงกัน มารวมกันอยู่ในองค์กรเดียวกัน เราเรียกว่าการจัดองค์กรแบบ Agenda Based หลังจากนั้นเราใส่โปรแกรมเข้าไปคือสร้างวัฒนธรรมในการทำงานใหม่ โดยการให้เข้าใจคำว่า Matrix reporting system คือมีการรายงานหลายทาง ไม่ใช่รายงานนายเดียว องค์กรมีความเชื่อมโยงกัน มีลักษณะขององค์กรเครือข่ายหรือ Networking มากขึ้น

นี่คือสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว แต่ต่อไปนี้เรากำลังจะทำต่ออีก คือปรับวัฒนธรรมลงไปลึกอีก แม้กระทั่งเรื่องของการให้คุณให้โทษ แต่สิ่งที่เรากำลังจะทำกันนี้คือการทำเรื่องของผู้ว่าฯ CEO หลายคนไม่เข้าใจ ไปคิดว่านี่คือการบิดเบือนการกระจายอำนาจ อันนี้เป็นธรรมชาติของคนชอบวิจารณ์ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดขอวิจารณ์ไว้ก่อน ยังไม่รู้เลยว่าจริง ๆ คืออะไร นี่คือการลดขนาดและอำนาจจากส่วนกลางลงไปสู่ภูมิภาค เขาเรียกกระจายอำนาจที่แท้จริง เมื่อก่อนนี้ถ้าท่านนึกถึงสี่เหลี่ยมคางหมู ท่านแบ่งสี่เหลี่ยมคางหมูออกเป็นสามส่วน ส่วนบนคือส่วนกลาง ส่วนกลางคือส่วนภูมิภาค ส่วนล่างคือส่วนท้องถิ่น แต่วันนี้เรากำลังจะยืดสี่เหลี่ยมคางหมูให้เป็นสามเหลี่ยมพีระมิด โดยที่ทำส่วนกลางให้เล็กลงเป็นสามเหลี่ยมตรงยอดนิดหน่อย แล้วส่วนภูมิภาคให้ใหญ่ขึ้น ส่วนท้องถิ่นเรายังไม่แตะ ยังเท่าเดิม แต่ต่อไปจะมากขึ้น นี่คือการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค ทำไมต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าภาคบริการประชาชนอยู่ที่พื้นที่คือภูมิภาค การตอบสนองต่อปัญหาประชาชนอยู่ที่พื้นที่ คนที่จะตรวจพบความเดือดร้อนของประชาชนได้เร็วที่สุด แก้ได้เร็วที่สุด ตอบสนองได้เร็วที่สุดคือพื้นที่ พื้นที่ไม่มีหัวหน้า เราเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเสียเท่ แต่ไม่ได้ให้อำนาจ ไม่ได้มอบภารกิจที่ชัดเจน ผลสุดท้ายผู้ว่าราชการจังหวัดทำงาน Ceremonial เปิดแพรคลุมป้าย ไปเป็นเจ้าภาพงานศพ งานแต่งงาน ว่าง ๆ ก็จัดงานเลี้ยง แถมมีเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลมาเต็มบ้านอีก

ต่อไปนี้ไม่ใช่ครับ เราจะให้ผู้ว่าฯ เป็นประธานคณะผู้บริหารจังหวัด Chief Executive Officer แต่ว่าประธานคณะผู้บริหารแสดงว่าเราจะบริหารแล้ว เราไม่ใช่รอรับคำสั่ง เมื่อก่อนผู้ว่าราชการจังหวัดคือผู้รอรับคำสั่ง แล้วนอกจากนั้นถ้าไม่รับคำสั่งก็ทำงานประจำ วันนี้เรามีข้าราชการมาก ใครบอกข้าราชการมีน้อย ผมว่ามีมาก บางหน่วยมีมาก อย่างตำรวจมีมาก 240,000 คน คิดเป็น 1 ต่อ 300 กว่า ประเทศที่รวยกว่าเรายัง 1 ต่อ 500 มีมากแล้วปัญหามาก ดร.ลอเรนซ์ ปีเตอร์ เขาบอกว่าผู้จัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพมักจะจ้างคนเพิ่มตลอดเวลา แทนที่จะจัดการกับคนที่มีอยู่ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กลับไปคิดว่าเพิ่มคนลูกเดียว นั่นคือระบบราชการที่ผมพูด ในที่นี้ไม่ได้ว่าตำรวจ คือระบบราชการทั้งระบบ ระบบราชการทั้งหมดคือว่าเวลาใช้งานทีไรผู้บังคับบัญชาจะยืนขึ้นมาบอกว่า “ขาดงบประมาณครับ ขาดคนครับ ขาดเครื่องมือเครื่องใช้ครับ” 4 M โบราณคือ Management Men Material และ Money ปรากฏว่า Management นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เลิกใช้เลย ใช้ Men ก็ขอคน Money ก็ขอเงิน Material คือขอวัสดุอุปกรณ์ แต่ Management ไม่พูด เพราะ Management นี่ถูกเงินที่สุด คือไม่ต้องใช้เงินแต่ใช้ความสามารถ ใช้สมอง พอไม่มีสมอง ไม่มีความสามารถ ไม่มีความกล้า ก็เลยจะไปเอา 3 M นั้น ระบบราชการเลยใหญ่ ใหญ่แต่อ่อนแอที่สุด

วันนี้เรากำลังจะปรับใหม่เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นเป็นประธานคณะผู้บริหารของจังหวัด แต่ผมไม่ได้บอกว่าท่านเป็นประธานผู้ปฏิบัติการ ถ้าท่านจะทำเรื่องเกษตร ประธานผู้ปฏิบัติการทางด้านเกษตรคือเกษตรจังหวัด ถ้าท่านจะปราบยาเสพติด ประธานผู้ปฏิบัติการคือตำรวจ ผู้บังคับการตำรวจ แต่ท่านมีหน้าที่บริหารวางแผนร่วมกัน และคอยติดตาม คอยจี้ คอยให้กำลังใจ คอยให้เขาทำงาน คอยให้เขาทำให้ถูกต้อง ทุกวันนี้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่คนบอกว่าผมทำงานทำไมรู้หมด ทำมาก เพราะผมไม่ได้เป็นผู้ทำเอง แต่ผมเป็นผู้บริหาร ผมมอบหมด ผมไม่มีแม้แต่กระทรวงเดียวที่ดูแล ผมกระจายงานหมด รองนายกรัฐมนตรีรัฐบาลผมเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่มีมาก 7 คน แต่เหนื่อยที่สุดตั้งแต่มีรองนายกรัฐมนตรีมา เพราะว่าผมให้ทำงานมาก และยังให้ดูพื้นที่อีกต่างหาก ผมไม่ได้ถือว่าผมดี แต่ผมคิดว่าวันนี้ผมสบาย ผมทำงานแล้วยังมีเวลาว่าง วันนี้ 14.00 น. ผมจะพาลูกสาวไปดูเดี่ยวไมโครโฟนของโน้ส อุดมฯ ได้สบาย เพาะผมมีเวลา ต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัว เพราะชีวิตคนเราอยู่ที่โลกของความเป็นจริง คือ Real Alive ของคนอยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าใจคำว่า Real Alive คืออะไรแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นนักบริหารที่ดีได้

เพราะฉะนั้นเราจะเป็นนักบริหารที่ดีได้เราต้องรู้จักคำว่ากระจายอำนาจ ซึ่งผมเคยพูดอยู่นานว่ามีคำหนึ่งที่เรียก Management Syndrome คือผู้บริหารอยู่ในอาการที่เรียกว่า Inability to delegate คือขาดความสามารถในการกระจายอำนาจ ในการมอบอำนาจ เพราะหวงไว้ นึกว่าเซ็นแฟ้มเองนั้นเท่ บางคนเห็นหอบแฟ้มเข้าบ้านกองใหญ่นี่เท่ อย่างน้อย ๆ ภรรยาก็เห็นว่าทำงาน แต่ไม่เท่เลยครับ โง่ด้วย ฉะนั้นวิธีดีที่สุดคือกระจายอำนาจ ใช้คนทำงานแทนเรา แล้วได้ผลงานดีกว่าที่เราทำเองนั้นคือสิ่งที่ฉลาดที่สุด คนที่กระจายอำนาจคือคนมีอำนาจ คนไม่กระจายอำนาจคือคนกำลังหมดอำนาจ ใครที่เก็บอำนาจไว้กับมือคนเดียว ทำคนเดียวทุกอย่าง สักเดี๋ยวก็หมดอำนาจ คือทำงานไม่สำเร็จแล้วก็ปลด เพราะว่าเขาคาดหวัง วันนี้เขาคาดหวังมากเพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน เหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงเร็วมากในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์กำลังทำให้โลกเปลี่ยนแปลง เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ผลักดันให้วิทยาศาสตร์ออกจากห้อง Lab มาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสม แล้วธุรกิจก็จะหยิบเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาทำให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ แล้วนำไปสู่การพัฒนาการบริหารการจัดการองค์กรที่ทันสมัยขึ้น ที่ดีขึ้น

ถ้าท่านมองดูการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยยุคอุตสาหกรรมเฟื่องฟู เขาเรียกว่ายุคของ Industrial Economy ยุคนั้นเป็นยุคที่เราค้นพบเรื่องของวิศวกรรมเครื่องกล คือเรื่องของรถยนต์ เราค้นพบเรื่องของเครื่องจักรกลในโรงงาน โรงงานเหล็กขยายตัว โรงงานอุตสาหกรรมทางด้านรถยนต์ อุตสาหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แล้วช่วงนั้นระบบการบริหารจัดการก็มีเรื่องทฤษฎีของเฟร็ดเดอริก ดับบลิว เทย์เลอร์ พัฒนามาเป็นเอลตัน เมย์เยอร์ อะไรต่ออะไรมากมาย นั่นก็เกิดจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตขึ้น ผลักดันธุรกิจให้เปลี่ยนแปลง ผลักดันโลก แต่พอหลังจากนั้นมาเข้าสู่ยุคของ Information Technology ซึ่ง Information Technology ยังมีหลายขั้น ซึ่งมีเรื่องของ Internet World Wide Web ทั้งหลายเกิดขึ้นมา ก็ยิ่งผลักดันให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทุก ๆ 10 ปี การเปลี่ยนแปลง การวิวัฒนาการเศรษฐกิจของโลกทั้งหลาย จะมีความเร็วขึ้นสองเท่า ความเปลี่ยนแปลงนี้จะเร็วขึ้น วงจรจะเร็วขึ้นสองเท่า ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่หรือมีเศรษฐกิจใหม่ เขาเรียกว่าเป็น Molecular Economy ขับเคลื่อนโดยวิทยาศาสตร์ 3 ตัว คือเรื่องของ Biotech เรื่องของนาโนเทคโนโลยี เรื่องของ Material Science สิ่งเหล่านี้กำลังเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพราะวิทยาศาสตร์เหล่านี้ถูกนำมาเป็นเทคโนโลยีเพื่อการค้า เพื่อการพัฒนามากขึ้น เลยทำให้การเปลี่ยนแปลงยิ่งเร็วขึ้นไปอีก

ท่านลองคิดว่าเดี๋ยวนี้เขาสามารถคิดค้น ญี่ปุ่นสามารถที่จะเอากลไกของรถยนต์หนึ่งคัน ใส่ลงไปด้วยขนาดเท่ากับเม็ดข้าว 1 คิวบิกเซ็นต์ สามารถย่อห้องสมุดลงไปได้หมด ด้วยเทคโนโลยีด้าน Material Science กับนาโนเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหมดแล้ว ท่านเห็นไหมกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กลงทุกวัน ต้องระวังนะครับจะไปทำอะไรระวังกล้องแอบถ่าย ฉะนั้นการผสมผสานของวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เรียกว่าเกิด Convergence of technology มีการ Converge ระหว่างเทคโนโลยีทางด้าน Biology กับด้านของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารเป็น Bio Informatic ขึ้นมา แล้วยังมีนาโนเทคโนโลยีเข้ามาผสมอีก เลยไปกันใหญ่ ต่อไปเขาบอกว่าแทนที่จะกินยา ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวนี้สามารถปลูกผักพันธุ์ที่แก้เบาหวาน คนเป็นโรคเบาหวานกินผักประเภทนี้ ผักพิเศษนี้ ไม่ต้องไปกินยา หรือว่าเขาอาจจะทำชิ้นส่วนเล็ก ๆ เท่ากับไวรัสใส่เข้าไปในร่างกาย วิ่งเข้าไป แล้วไปฉีดยารักษาตรงจุดที่เป็นโรค ไม่ต้องผ่าตัด วิ่งเข้าไป ไปโน่นแล้ว อีกหน่อยท่านดูโทรทัศน์จะมีกลิ่น เวลาไปถ่ายที่ที่กำลังเกิดไฟไหม้ กลิ่นควันออกที่บ้านเลย ต่อไปท่านซื้อน้ำหอม อยากจะซื้อน้ำหอมเข้า E – Commerce เข้า Internet ที่บ้าน เข้าไปขอซื้อน้ำหอม ยี่ห้อนี้ดีไหมอยากดมกลิ่น ขอดมกลิ่น พอกลิ่นออกมาก็ดมเลย ท่านสามารถได้กลิ่นน้ำหอมที่บ้าน จะซื้อน้ำหอมยี่ห้อคาร์เทียร์ที่แฮร์รอดส์ ปรากฏว่ากลิ่นเป็นอย่างไร เรียกภรรยามาดม ชอบไหม ดมที่บ้าน นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันสิ่งที่ผมพูดนี่ออกมาหมดแล้ว ระบบการสื่อสารเปลี่ยนแปลงได้ สวมใส่ได้แล้ว เมื่อก่อนนี้โทรศัพท์หิ้วกันแขนโก่งเลย เดี๋ยวนี้เล็กลงเรื่อย ๆ แล้วถามว่าเราจะมัวบริหารกันแบบเช้าชามเย็นชามกันอย่างนี้หรือ ไหวหรือไม่ เราอยากเห็นเราเป็นเหมือนหลายประเทศหรือไม่ เอเชียมี 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกซึ่งอยู่ในเอเชีย 4 แต่วันนี้เอเชียเป็นอย่างไร แพ้ลิบ บางบริษัทตัวมูลค่าการตลาดใหญ่กว่า GDP ประเทศไทย เกิดอะไรขึ้น ถามว่าเรามีคนโง่หมดหรือไม่ในประเทศไทย ไม่ใช่เลย เด็กที่เกิดที่สันกำแพงกับเด็กที่เกิดที่นิวยอร์ค ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ สมอง ความสามารถมีเท่ากัน แต่พัฒนาการจนเติบโตขึ้นมาและการเรียนรู้นั้นต่างกัน เป็นเพราะว่าทั้งหมดอยู่ที่การบริหารจัดการของเราไม่ดี

วันนี้ผมเข้ามาท่านเห็นไหมครับ บางคนนึกว่าผมใช้เงินมาก ใช้เงินมากอะไร หนี้ลด แต่บังเอิญว่าผมใช้เงินในสิ่งที่ปรากฏเห็นชัดต่อความเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์ ผมไม่ใช้เงินไปสร้างเรื่องโง่ ๆ เพราะเราเสียเวลากับเรื่องโง่ ๆ มามากแล้ว วันนี้ขอใช้เงินเพื่อให้เป็นคนฉลาดหน่อย เพราะฉะนั้นผมจะเน้นเรื่องการบริหารจัดการเป็นหลัก เพราะภูมิหลังผมโตมาด้วยการบริหารจัดการ ผมไม่ได้โตมาเพราะเป็นเซียนการเมือง เพราะฉะนั้นผมจะ Manage ทุกอย่าง จะต้องมีการบริหารการจัดการ วันนี้การบริหารการจัดการต้องลงไปถึงระดับล่าง เพราะว่าองค์กรคือสิ่งมีชีวิต เมื่อองค์กรคือสิ่งมีชีวิต การสร้างความสมดุลให้องค์กรมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้นคือสิ่งที่จำเป็น เหมือนร่างกายมนุษย์ ถ้าองค์กรหนึ่งองค์กรเปรียบเสมือนมนุษย์หนึ่งคน ความจริงแล้วทฤษฎีนี้มีมานานมาก ตั้งแต่ผมเรียนปริญญาเอกเมื่อปี 1976 เป็นเรื่องของทฤษฎีว่าด้วยทฤษฎีระบบ ผมจำชื่อไม่ได้ คือเป็นคนสแกนดิเนเวียน คน ๆ นี้เขาเปรียบเทียบเรื่องอนาโตมีของมนุษย์กับองค์กร เขาเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของชิ้นส่วนต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์กับองค์กรที่มีหน่วยต่าง ๆ ภายในองค์กรที่ต้องมีความสัมพันธ์กัน

แต่ปรากฏว่าในวันนี้เขาไปเอาเรื่องทางชีววิทยามาสัมพันธ์เรื่องของธุรกิจ และเกิดอะไรออกมาเชื่อมความสัมพันธ์ตรงนี้ เหมือนทฤษฎีระบบที่ผมเรียนมาเมื่อปี 1976 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย เพราะสิ่งมีชีวิตต้องมีการปรับตัว เราไปอยู่เมืองหนาวเราก็ไม่ตาย เพราะในร่างกายมีการปรับตัวอัตโนมัติ เราอยู่เมืองร้อนเราก็ไม่ตายเพราะเราปรับตัว วันเดียวเช้าไปอยู่หิมะ เย็นกลับมาอยู่ที่แดดจ้าเลยก็ไม่เป็นอะไร เพราะปรับตัวได้ การปรับตัวนี้เมื่อปรับบ่อย ๆ จะเกิดการปรับเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมไปด้วย แม้กระทั่งสัตว์ยังเปลี่ยน Species เลยถ้าการปรับตัวนานเข้า ตอนโลกเย็นลงใหม่ ๆ หลังจากนั้นมียีราฟเกิดขึ้น ยีราฟตอนสมัยก่อนเป็นยีราฟคอสั้น แต่ต่อมายีราฟต้องปรับตัวในการกินอาหารเพราะต้องกินอาหารจากยอดไม้ ยีราฟก็คอยาวขึ้นยืดขึ้น ๆ วันนี้เรามียีราฟคอยาว ส่วนยีราฟคอสั้นไม่มีแล้ว ปรับเปลี่ยน Species เพราะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต

วันนี้เรากำลังจะปรับตัวครั้งใหญ่ของระบบการบริหารราชการไทย เพราะเราต้องการให้เราตอบสนองต่อปัญหาที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ การเปลี่ยนแปลงของโลกวันนี้ไม่มีการลากเส้นตรงอีกแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่อ่านหนังสือวันนี้ก็ยังคิดว่า Linear ไม่มีครับ ทุกอย่างไม่มี Linear และทุกอย่างเริ่มไม่สามารถทำนายได้เพราะความซับซ้อน การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แล้วยังไม่พอ เกิดการรวมตัวของวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ขึ้นมา เมื่อเกิดความรู้ใหม่ ๆ ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อน ทำให้มีผลต่อเศรษฐกิจมากขึ้น มีผลต่อการบริหารจัดการองค์กรมากขึ้น เมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอย่างนั้น เราจะเปลี่ยนแบบนาน ๆ เปลี่ยนครั้งไม่ได้แล้ว ต้องปรับตัวตลอดเวลา ตอบสนองต่อสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้รอด วันนี้โลกแข่งขันกันที่ความรู้ เพราะฉะนั้นสินค้าที่ดีที่สุดคือปัญญา แต่วันนี้สังคมไทยสะสมทุนทางปัญญาไว้น้อยไป แน่นอนเรามีทุนปัญญาดั้งเดิมแต่ไม่มีทุนปัญญาสมัยใหม่ ที่จะไปแข่งขันในโลกสมัยใหม่ เด็กรุ่นใหม่อาศัยหัวและเพื่อนไม่กี่คน และความโชคดี รวยอย่างรวดเร็วไม่รู้เรื่องเลย

ที่นายฮวน เอนริเก้พูดไว้ว่าเราจะมีเศรษฐีพันธุ์ใหม่กับคนจนพันธุ์ใหม่ เพราะว่าด้วยวิทยาศาสตร์ความรู้สมัยใหม่ ทำให้การหารายได้รวดเร็วมาก คิดดูสิ เราปลูกข้าวสุดลูกหูลูกตา เกี่ยวแทบตายซื้อคอมพิวเตอร์ได้ไม่กี่ตัว คอมพิวเตอร์เกิดจากอะไร แน่นอนครับสมองมนุษย์ ผมก็ย้อนกลับไปอีกว่าสมองคนไทยด้อยกว่าสมองคนชาติอื่นหรือ ไม่ใช่ การเรียนรู้ระบบท้าทายความสามารถ การให้โอกาส นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ ที่ต้องร่วมกันทำ ถ้าสังคมไทยไม่ทำตรงนี้ อีกหน่อยเราจะสูญเสียการแข่งขัน นั่นคือการเคลื่อนตัวของประเทศ ถ้าเมื่อไรการเคลื่อนตัวช้ากว่าการเคลื่อนตัวโดยรวมของโลก แสดงว่าเราถอยหลัง เพราะฉะนั้นเราต้องเคลื่อนตัวไม่น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลก แต่วันนี้ถ้าเป็นไปได้ต้องเคลื่อนตัวสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลก เพราะว่าเราช้ามานานแล้ว เมื่อก่อนนี้ท่านจำได้ไหม 40 ปีที่แล้วไต้หวันทำอะไรเราไม่ได้เลย เราใกล้เคียงญี่ปุ่น และ 40 กว่าปีที่แล้วเช่นกัน สิงคโปร์มาดูงานที่พนมเปญ มาดูเรื่องระบบของการบริหารเมือง ระบบท่อระบายน้ำ ประปา แต่วันนี้เป็นอย่างไร เมื่อไรที่หยุดพัฒนาหรือพัฒนาในความเร็วที่ช้ากว่าคนอื่น ในที่สุดเราก็ตกโลก

วันนี้ท่านเห็นไหม บางทีผมนั่งขำ นักวิชาการบางคนออกมาพูดอะไร ผมรู้ผมนั่งขำเพราะตกโลกไปเรียบร้อยแล้ว คนที่มี Ph.D. วันนี้ถ้าไม่อ่านหนังสือ ไม่ได้ฉลาดกว่าคนที่จบปริญญาตรีที่อ่านหนังสือทุกวัน เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการปรับตัว ไม่อย่างนั้นเราไม่รู้จะปรับทางไหนเพราะเราไม่มีทิศทาง แต่การเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของรอบตัวเรา และเรียนรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต จะทำให้เราปรับตัวถูกทิศถูกทางถูกจังหวะถูกเวลา อย่างนั้นเราถึงจะไปรอด

การบริหารงานแบบผู้ว่าฯ CEO นั้นต้องการเห็นอะไร ต้องการเห็นเจ้าภาพที่มองทุกตารางนิ้วในจังหวัดของท่าน เป็นภารกิจหน้าที่ที่ท่านจะต้องดูแลจัดการแก้ไข ป่าไม้ถูกทำลาย บอกว่าไม่รู้เรื่องเพราะอยู่ไกล คำตอบอย่างนั้นใช้ไม่ได้กับโลกยุคใหม่ ถามว่าทำไมโรงงานนี้ทิ้งน้ำเสียลงทั้ง ๆ ที่ใบอนุญาตถูกต้อง แล้วตอบว่านั่นสิผมไม่รู้เหมือนกันทำไมเป็นอย่างนี้ แขวนคอเลยถ้าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่านผู้ว่าฯ จะต้องมีมือและจะต้องรู้หมด นี่คือการแก้ปัญหา เขาเรียกว่าวิ่งตามลูกไม่ได้ลูก นักฟุตบอลวิ่งตามลูกไม่ได้ลูก ต้องวิ่งนำหน้าลูก ต้องเริ่มวิเคราะห์ปัญหา วิเคราะห์ปัญหาเสร็จมองไปข้างหน้า ดูศักยภาพตัวเองแล้วมองไปข้างหน้าว่าเราจะไปตรงไหน ถ้าเราจะไปตรงไหน วางแผน แล้วลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติไปแก้ไป อย่าไปรอว่าสมบูรณ์เมื่อไรค่อยทำ ไม่มี โลกนี้ไม่มีคำว่าสมบูรณ์ ถ้าใครรอสมบูรณ์ต้องตายไปอีกสิบชาติ แล้วค่อยมาเกิดใหม่ ไม่มี ต้องคิดว่าอะไรดี เดินได้เดิน เดินไปแล้วเจอปัญหาอุปสรรคก็แก้ ทุกอย่างต้องมีเป้าหมาย นักกีฬาเขายังมีการวิเคราะห์ เขาวิเคราะห์เลยว่าประสิทธิภาพของนาย ก. กับ นาย ข. เป็นอย่างไร พอเล่นครู่เดียวเอาตัวประสิทธิภาพมาอีก มาวัดกับตัวประสิทธิภาพเดิม แล้วยังยืนยันอยู่ก็รู้แล้วว่าใครชนะ วันนั้นถ้าใครดูภราดรแข่งกับร็อดดริก เวลาเขาขึ้น Analysis ของประสิทธิภาพของการตีเทนนิสของทั้งสองคน ท่านก็รู้แล้วว่าแพ้แน่ ฉะนั้นทุกอย่างมีตัวเลขมีตัวชี้วัดอยู่ จังหวัดก็มีตัวชี้วัด เพราะฉะนั้นท่านต้องไปสร้างตัวชี้วัด สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะเป็นเจ้าภาพหลัก ในการคิดเรื่องของตัวชี้วัดของท่านทั้งหลาย ท่านจะได้บอกว่าวันนี้ตัวชี้วัดผมเป็นอย่างนี้ ตัวนี้ผมอ่อน ผมจะทำให้แข็งแรง ตัวนี้แข็งแรงอยู่แล้ว ผมทำให้แข็งแรงกว่านี้ได้อีก นั่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต แต่ท่านต้องคิดอีกว่าอนาคตจังหวัดของท่านหรือหน่วยงานของท่านควรจะทำอะไรที่แตกต่างจากวันนี้และดีกว่า นั่นคือสิ่งที่ต้องช่วยกันคิด ท่านคิดคนเดียวได้ แต่คิดแล้วต้องเอามาแบ่งปันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นได้หรือไม่ช่วยกันคิดช่วยกันทำ แบ่งแล้วก็ทำ

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมย้ำอีกครั้งว่า ปลดปล่อยพลังสมองของคน หลายหัวดีกว่าหัวเดียว ให้คนที่อยู่ในองค์กรของท่านได้ปลดปล่อยพลังสมองของเขา ให้เขาพูดให้เขาคิด แล้วมาวางแผนร่วมกัน ทำร่วมกัน แล้วต้องให้เห็นทิศทางร่วมกัน ผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเป็นผู้ที่สามารถสื่อให้คนในองค์กรได้รู้ว่าเราจะไปทางไหน ไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ไปแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อคนในองค์กรและต่อองค์กรแค่ไหน ท่านจะต้องสามารถสื่อ อธิบายให้เขาเข้าใจ และต้องพยายามปลุกเร้าให้เขาเห็นด้วยและเดินไปด้วยกันถึงจะเกิดพลัง วันนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะถามว่าอำนาจมีไหม ท่านเอาไปเลยอำนาจนายกรัฐมนตรี ท่านคือตัวแทนนายกรัฐมนตรีในจังหวัดนั้น เอาไปเลย เท่ากับเวลานี้เรามีนายกฯ เล็ก 76 จังหวัดรวมผู้ว่าฯ กทม. เอาไปเลย งบกลางผมก็จะแบ่งไปให้ท่าน จัดการแก้ปัญหาอย่างฉับไว งบกลางต้องใช้อยู่แล้ว แทนที่ผมจะสั่งเองผมให้ผู้ว่าฯ สั่งแทนผมไม่ดีหรือ ช่วยกันสั่งช่วยกันทำไปเลย เพราะทั้งหมดทำเพื่ออะไร “เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ” นั่นคือต้องท่องคาถาไว้เลย จะพลิกแพลงระบบบริหารอย่างไร พลิกอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายทำเพื่อประชาชน

ถ้าทำตรงนี้ได้ ระบบผู้ว่าฯ CEO ไม่มีปัญหา การประชุมเป็นประจำ คณะรัฐมนตรีประชุมวันอังคาร ท่านประชุมวันพุธก็ได้ ดูว่ามติคณะรัฐมนตรีมีอะไร ท่านจะได้เอาไปต่อว่ามติคณะรัฐมนตรีอย่างนี้พวกเราจะต้องตั้งรับอย่างไร พวกเราจะต้องรุกอย่างไรแล้วประชุมกันต่อ เอาประชาคมจังหวัดมารวมด้วย แม้กระทั่งเจ้าคณะจังหวัดยังช่วยได้เรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด การอบรมเยาวชน ยังแก้ได้ แม้กระทั่งเรื่องของประธานสภาอุตสาหกรรม ประธานหอการค้า เอามาร่วมด้วย นายกเทศมนตรี ประธานองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานองค์การบริหารส่วนจังหวัด เอามาร่วมด้วยเป็นครั้งคราวก็ได้ ถ้ามากเกินไปจะประชุมมากไม่รู้จบ เอามาร่วมเป็นครั้งคราวเป็นเรื่อง ๆ เป็นการทดสอบ

ผมต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่ยังไม่เกษียณ และมีโอกาสได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบ CEO เพราะกำลังท้าทายความสามารถของท่าน และท่านกำลังจะเปลี่ยนบริบทใหม่ของการบริหารการจัดการจังหวัด ที่สำคัญคือจะต้องยอมรับเทคโนโลยี ใครที่ไม่มั่นใจในวิชาการตัวเองหลังจากเรียนหลักสูตรนี้แล้ว มีมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้ ๆ ถ้าไม่มีมหาวิทยาลัย มีสถาบันราชภัฏ มีสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล อาจารย์ทั้งหลายอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา รัฐบาลก็เสียเงินสนับสนุนไปมาก นักเรียนทุนบ้างไม่ทุนบ้าง เชิญเขามาให้คำปรึกษา และจะทำให้เขาได้มีโอกาสประยุกต์ทฤษฎีที่เรียนมากับการปฏิบัติบ้าง ไม่เช่นนั้นมีแต่ทฤษฎี ไม่มีการปฏิบัติ จะทำให้เขาได้มามีส่วนร่วม และท่านจะได้มีวิชาการ วันนี้ถ้าบริหารงานแบบไม่มีวิชาการ ลองผิดลองถูกนั้น โอกาสไม่สำเร็จมีมากกว่าโอกาสสำเร็จ ไม่มีอีกแล้วระบบลองผิดลองถูกโดยขาดหลักวิชา ไม่มีอีกแล้วในโลกยุคใหม่ โลกยุคใหม่ทำอะไรต้องใช้หลักวิชาการ ต้องมีการวิเคราะห์ ต้องมีการเปรียบเทียบ ต้องมีตัวชี้วัด ต้องมีคำว่า Productivity ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะเสียเวลามากกับประเทศไทย กับการบริหารประเทศแบบเดิม ประเทศเสียโอกาส วันนี้รัฐบาลได้พยายามใช้หลักวิชาอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าใครจะวิจารณ์สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำต้องพลิกตำรานิดหน่อย ห้ามใช้ความรู้สึกวิจารณ์

ผมอยากเห็นจังหวัดได้ใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารการจัดการ ผมขอให้ภาพรวมท่านก่อน รัฐบาลกำลังเร่งทำระบบ E – Government คือทุกกรมมีเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วจะเชื่อมกันมาเป็นกระทรวง กระทรวงก็เชื่อมกันมาโดยที่มีศูนย์ Operation Center อยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี แล้วทุกระบบเชื่อมกัน หลังจากนั้นก็จะแตกลูกเป็น E – Service ทั้งหลาย การให้บริการประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น กรมสรรพากรได้ทำแล้ว ต่อไปจังหวัดก็จะมี E – Province คือมีระบบ

อินเทอร์เน็ตใช้กับจังหวัด เชื่อมหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัด รวมทั้งมีการให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต วันนี้ท่านอย่าไปคิดว่าบ้านนอกไม่ใช้อินเทอร์เน็ต ทุกตำบลของประเทศไทยวันนี้มีอินเทอร์เน็ตตำบลแล้ว กรมไหนไม่มี จังหวัดไหนไม่มีแสดงว่าท่านด้อยพัฒนากว่าตำบลนั้น ตำบลมีแล้ว ท่านลองเข้าไปใน www.thaitambon.com บางตำบลขายสินค้าผ่าน E – Commerce แล้ว มีภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ ด้วย Product Champion ทั้งหลายอยู่ในเว็บไซต์หมดแล้ว ของ OTOP แหล่งท่องเที่ยว สถานศึกษาอะไรต่าง ๆ มีข้อมูลในนั้นมากพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้นท่านต้องใช้ระบบ ICT กับการบริหารการจัดการของจังหวัด ผมไม่ทราบว่าคณะผู้จัดหลักสูตรกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหลาย ได้ไปเรียนอินเทอร์เน็ตบ้างหรือเปล่า น่าจะหาเวลาสักหน่อย ท่านอย่าไปกลัว คอมพิวเตอร์ไม่มีอะไรเลย อย่าไปกลัว ผมเอาเด็กประถม 4 ไปหัดมาแล้ว 9 ชั่วโมงเป็นเลยครับ ทำเว็บเพจได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ยาก ผมไม่ได้ให้ท่านเขียน Software แต่ให้ท่านใช้ เพราะว่าห้องสมุดของโลกอยู่ในอินเทอร์เน็ต ท่านอยากรู้อะไรท่านเข้าที่นี่ บางทีคำเดียวท่านนั่งทั้งวันยังไม่จบ เพราะแหล่งข้อมูลมากเหลือเกินในโลกนี้ ข้อมูลไหลออกมา ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวินาที แต่ถ้าเรายังมัวด่ากันไปด่ากันมาอยู่อย่างนี้ไปไม่รอดหรอก ต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองและพัฒนาองค์กร ถึงจะไปได้ดี

สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำต่อไป แล้วจะกระทบต่อการทำงานของท่านโดยตรงคือระบบ GFMIS - Government Financial Management Information System เป็นระบบที่ Automate ระบบจ่าย ระบบรับ เราจะทดลองตุลาคมนี้ กับหน่วยงานอันได้แก่ สำนักบริหารหนี้ ฯ สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ต่อไประบบนี้จะเชื่อมไปถึงทุกกรม การเบิกจ่ายจะผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องเบิกเงินสด ไม่ต้องเขียนเช็ค ใช้อิเล็กทรอนิกส์เชื่อมไปถึงคลังจังหวัดในตุลาคมปี 2547 ตุลาคม 2548 จะไปถึงคลังอำเภอ แล้ววันนั้นเราจะแปลง เราจะมีการฝึกอบรมคลังจังหวัดเป็น CFO (Chief Financial Officer) คำว่า CFO นั้นมีมากกว่าการเป็นนักบัญชี ทำบัญชีรับ – จ่าย นั่นคือการบริหารเงิน คลังจังหวัดจะต้องทำหน้าที่บริหารเงินด้วย บริหารเงินหมายความว่าบริหารเงินปัจจุบันและเงินอนาคตด้วย ต่อไปข้างหน้าคณะกรรมการจังหวัดซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าฯ เป็นประธานคณะผู้บริหาร หลังจากที่มีนโยบายมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการพัฒนาจังหวัดแล้ว สามารถเร่งการพัฒนาโดยการออก Bond ในจังหวัดตัวเองได้ แต่อีกพักใหญ่ ๆ ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นคลังจังหวัดจึงต้องบริหารเงิน ต้องเป็น CFO นั่นคือแนวทางใหม่

ประเทศจะถูกบริหารเหมือนกับเอกชน แต่เป็นการบริหารภายใต้เศรษฐกิจทุนนิยมที่มีอุดมการณ์ แต่วันนี้ที่เราต้องพยายามทำในเศรษฐกิจสองแนวทาง คือเศรษฐกิจรากหญ้าด้วยนั้นเพราะว่าเศรษฐกิจระบบทุนนิยมที่ควบคู่เป็นฝาแฝดกับประชาธิปไตยนั้น ทำให้คนที่ไม่พร้อมได้อ่อนแอลงไปอีก เพราะฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องจูงแขนคนที่ไม่พร้อมให้เขาเดิน จนกว่าเขาจะแข็งแรงแล้วค่อยปล่อยเขาวิ่ง นี่คือแนวทางที่เรากำลังทำ ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยในทุก ๆ มิติ เพราะฉะนั้นท่านที่อยู่ในช่วงนี้ ท่านต้องคิดว่าการเปลี่ยนผ่านถ้าเปรียบเสมือนสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือยังไม่พัฒนา อีกฝั่งหนึ่งพัฒนาแล้ว ท่านคือสะพาน คือนอนคว่ำเป็นสะพานให้คนเดินข้ามจากไม่พัฒนาไปสู่ที่พัฒนา เพราะฉะนั้นคนที่เป็นสะพานจะต้องหลังแอ่น เหนื่อย หนัก แต่ควรจะภูมิใจว่าเราเป็นสะพานส่งผ่านให้คนจนหายจน ให้ประเทศที่พัฒนาน้อยไปสู่การพัฒนาที่มากขึ้น ประเทศที่ไม่ค่อยทันการพัฒนาของโลกไปสู่ประเทศที่ทันการพัฒนาของโลก ต้องยอมเหนื่อย ยอมเจ็บปวด แต่ว่าเราสุขใจ เราอิ่มใจ อย่างน้อย ๆ บุญกุศลก็คงได้กับครอบครัวของเราเอง ตัวเราไม่เป็นไรไปเอาชาติหน้าก็ได้

ระบบอินเทอร์เน็ตจะถูกใช้อย่างกว้างขวาง เพราะว่าในโลกนี้ใช้แล้ว เรื่องเทคโนโลยีทางด้าน ICT เป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ประเทศไทยวันนี้สิ่งที่เราแก้ปัญหา หลายครั้งที่ผมแก้ปัญหายากมาก บางอย่างผมต้องช้าในการตัดสินใจ เพราะเราไม่มีคำว่า DETA แค่ข้อมูลเรายังไม่มีเลย มีก็ไม่พอ หรือไม่ก็ล้าสมัย เพราะเราไม่ได้วางระบบพวกนี้ไว้ เพราะว่าเราต้องการมีความลับ เราต้องการเก็บไว้เองรู้เอง เพื่อให้มีความสำคัญ นี่คือจุดอ่อนของวัฒนธรรมการบริหารงานระบบราชการไทย ต้องการเก็บไว้รู้เอง แต่ผลสุดท้ายก็รู้ไม่จริง ต้องการให้ทุกอย่างจับผิดไม่ได้ เปรียบเทียบประสิทธิภาพไม่ได้ ต้องการอยู่แบบไม่มีความกดดัน นี่คือจุดอ่อนของระบบราชการไทย รวมทั้งระบบขององค์กรภาคเอกชนใหญ่ ๆ หลายองค์กรที่ไม่พัฒนาตัวเอง

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อเรื่อง “The Power Of Mind At Work” หนังสือเล่มนี้เขาพูดถึงว่าถ้าขาดข้อมูลก็จะขาดความรู้ ถ้าขาดความรู้ก็จะขาดความฉลาด เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่าศีล สมาธิ และปัญญา ขาดศีล ขาดสมาธิ ขาดปัญญาแน่นอน ไม่มีข้อมูล ไม่สามารถที่จะมีความรู้ เมื่อไม่มี ความรู้จะมีปัญญาได้อย่างไร การจะมีปัญญาคือมีความรู้ แล้วประยุกต์ความรู้บ่อย ๆ จนเกิดความคล่องตัว จนเป็นสัญชาติญาณ เพราะฉะนั้นจังหวัดหรือองค์กรทุกองค์กรที่ท่านบริหาร ท่านจะต้องมีระบบข้อมูลที่ดี แล้วรู้จักนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความรู้ว่าแย่ตรงนี้ ดีตรงนี้ แล้วปรับปรุงแก้ไขบ่อย ๆ จนเกิดปัญญาความฉับไว ความแม่นยำในการแก้ปัญหาทุกเรื่อง นี่คือความรอบรู้ ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายต้องอย่ารังเกียจการรู้ โลกสมัยใหม่ ยิ่งรู้จริงยิ่งได้เปรียบมาก ยิ่งไม่รู้ยิ่งโง่ เพราะฉะนั้นการรู้จริงอย่าอายที่จะรู้จริง เขาบอกว่าข้อมูลออกมาอย่างนี้ของท่านแย่ ไม่เป็นอะไรครับคราวหน้าผมแก้ใหม่ ผมรู้แล้วตรงนี้จุดอ่อน ต้องดีใจที่มีคนชี้ให้ดูว่าตรงนี้อ่อน ท่านไปตรวจเลือดทำไม ถ้าตรวจเลือดแล้วท่านไม่สนใจผลเลือดของท่านอย่าไปตรวจเลย ให้เข็มแทงเจ็บเปล่า ๆ ถ้าตรวจแล้วต้องสนใจว่าผลเลือดของท่านนั้นเป็นอย่างไร ตรวจแล้วแย่เลยน้ำตาลเราขึ้น คลอเลสเตอรอลสูง ต้องรู้ว่าเท่าไรถึงเรียกว่าสูง ถ้าสูงแล้วทำอย่างไรต่อ คลอเลสเตอรอลสูง คุมอาหารก่อนเบื้องต้น ถ้าคุมอาหารแล้วไม่อยู่แสดงว่าระบบของร่างกายเราไม่ดี จำเป็นต้องกินยาช่วยหรือหาหมอ นี่คือการแก้ปัญหาของสิ่งมีชีวิต แล้วองค์กรคือสิ่งมีชีวิต วิชา Biology ใช้กับองค์กรได้เลย

เพราะฉะนั้นท่านต้องรู้ว่าตัวเลขวันนี้อันตราย วันนี้ความยากจนเพิ่มขึ้นอีก ทำไมยิ่งแก้ยิ่งแย่ ไปปรึกษาเลย ไปปรึกษาคุยกับคนจนเลย ทฤษฎีใหม่เขาปรับวิธีคิดหมดแล้ว จากตัวเองเป็นศูนย์กลางเป็นลูกค้าหรือประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้นยุทธศาสตร์ทุกอย่างจะเป็น Demand Strategy มากกว่าที่จะเป็น Supply Strategy หรือเรียกว่า Outside in Approach มากกว่า Inside out เพราะฉะนั้นทุกอย่างการรับรู้จากสิ่งที่เกิดปัญหาขึ้นจริงนั้น คือสิ่งที่ดี ท่านรู้หรือไม่ว่า GE ขายตู้เย็น เขาเอาคอมพิวเตอร์แบบ Touch Screen ไปวางที่คนจำนวนมาก แล้วให้คนจิ้มเล่น คนชอบตู้เย็นแบบ 4 ประตู กด คุณชอบประตูตู้น้ำแข็งอยู่ตรงไหน อยู่ข้างบน ตรงกลาง หรือล่าง ก็กด แล้วคุณชอบเปิดทางซ้าย ทางขวา เปิดอย่างไร กด คุณชอบสีอะไร กด สถิติเหล่านี้เขาเอาไปเก็บไว้ พอเอาไปเก็บไว้เขาก็ผลิตตู้เย็นออกมาตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบ ขายดีสต็อคก็ไม่เหลือ สมมติประชาชนบอกว่าชอบสีเขียวอะโวคาโด มากกว่าเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ สีเหลือง 30 เปอร์เซ็นต์ เขาก็ผลิตตามนั้น แล้วของก็ขายได้ตามนั้น ไม่ใช่บอกว่าบังเอิญเถ้าแก่ชอบสีแดง ผลิตสีแดงเลย ไม่ต้องขาย ขายให้ภรรยาคนเดียว

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “Just Ask A Woman” เป็นหนังสือวิชาการตลาด เขาบอกว่าการตัดสินใจซื้อของในโลกนี้ 80 เปอร์เซ็นต์เป็นการตัดสินใจของผู้หญิง เพราะฉะนั้นถ้าถามผู้หญิงไม่ค่อยผิดพลาดหรอกว่าควรจะผลิตอะไรและรูปแบบไหน เพราะผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจซื้อของมากกว่าผู้ชายคือ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 50 / 50 มีอะไรใหม่ ๆ ที่ออกมาทำให้เราเรียนรู้มาก เพราะฉะนั้นผมต้องการเห็นข้าราชการไทยยึดนิสัยที่เรียกว่า Life long learning ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต อ่านหนังสือบ้างสดับตรับฟังเรื่องใหม่ ๆ บ้าง และวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรตัวเองบ้างว่าเป็นอย่างไรบ้าง อาการเป็นอย่างไร แล้วดูความเป็นไป ดูข้างเคียงบ้าง เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องตื่นตัวหน่อย แล้วต้องการเห็นองค์กรของท่านเป็น Organization that learn หรือเป็น Learning Organization เป็นองค์กรที่มีการเรียนรู้ มีการประชุมพูดกันปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นในองค์กร นั่นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง

ผมประชุมคณะรัฐมนตรีทุกวันอังคารผมต้องมีเรื่องมาเล่า วันอังคารหรือส่วนใหญ่ผมจะเอาหนังสือใหม่ ๆ มาแนะนำ เพราะผมรู้ว่าคณะรัฐมนตรีผมไม่มีเวลาอ่านหรอก ผมเห็นใจเพราะผมใช้งานเขามาก ผมก็อ่านบ้างเพราะผมมีเวลาว่างมาก อ่านเสร็จก็มาเล่าให้เขาฟัง เขาก็รับรู้ ผมประชุมเชิง Coaching ท่านต้องเป็นผู้นำ และเป็นผู้สอนด้วย เป็นผู้จัดการพร้อมในตัว การจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ต้องมีการ Coaching หนังสือใหม่ที่ผมเพิ่งอ่านคือ It’s Alive เป็นหนังสือที่พูดถึงองค์กรทั้งหลายต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา เพราะถือว่าองค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต จะต้องมีการปรับตัว เพราะฉะนั้นการจะปรับตัวได้ก็อย่างที่ผมบอก จะต้องบริหารจากข้างล่าง คือไม่ใช่ว่าข้างล่างไม่ต้องจัดการ แม้กระทั่งภารโรงก็ต้องถูกบริหารจัดการ ต้องบริหารจัดการจากข้างล่างเลย อย่าไปคิดว่าปล่อยมันไป ให้มันจัดการตัวเอง ไม่ใช่ครับ จำ Mid-road ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ไหมครับ สุนัขพันธุ์กลางถนน สุนัขไทย ถ้าเอาไปฝึกไปเลี้ยงมันฉลาด ใช้ประโยชน์ได้ ดมยาเสพติดได้ ดมวัตถุระเบิดได้ แต่ถ้าปล่อยไม่จัดการ ปล่อยอยู่ข้างถนน ก็มีแต่ต้องไปฉีดวัคซีน เดี๋ยวเป็นโรคพิษสุนัขบ้า เพราะฉะนั้นทุกอย่างจัดการได้ทั้งนั้น

เราต้องการคำเดียวว่าการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นถ้าท่านจะเป็นผู้บริหารโดยไม่มีการจัดการ ไม่รู้จักคำว่าจัดการก็ลำบาก วันนี้ระบบราชการของเราคือเรามีหัวหน้า คือหัวหน้างานคอยเป็นหัวหน้า เพราะเพื่อจะได้อนุมัติวันลาลูกน้อง เป็นหัวหน้าตามอำนาจตามกฎหมาย เพราะจำเป็นต้องมีอำนาจการบังคับบัญชาเป็นชั้น ๆ แต่เราไม่มีผู้จัดการ คนเหล่านั้นไม่ใช่เป็นผู้จัดการเลย หัวหน้าแผนกก็ไม่ใช่ เมื่อไม่ Manage ก็ไม่ใช่ผู้จัดการ แล้วจะทำอย่างไร ก็แสดงว่าเป็นองค์กรที่ขาดการบริหารจัดการ อย่างผมตั้งพรรคการเมือง คนก็ดูแคลนสารพัด เดี๋ยวจะพังเดี๋ยวจะแตกกัน แล้ววันนี้เป็นอย่างไรที่ดูแคลนไว้ผิดหมด เพราะเขานึกว่าพรรคการเมืองจะต้องเหมือนกับธรรมชาติ ความจริงแล้วพรรคการเมืองคือองค์กร องค์กรที่ต้องการการบริหารการจัดการ ถ้าใช้หลักวิชาการบริหารการจัดการเข้าไป ก็ถูกจัดการอย่างถูกต้อง องค์กรไหนที่ไม่ได้มีการจัดการ แล้วเป็นองค์กรที่ไร้วัฒนธรรม ไร้ศีลธรรม ก็จะไม่ผิดอะไรกับแก๊งค์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาองค์กรด้วยการบริหารการจัดการจากข้างล่างขึ้นมา

ผมย้ำอีกครั้งว่าอนาคตข้างหน้าไม่สามารถทำนายได้ ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายไม่เป็นแบบเส้นตรง เพราะความซับซ้อนของความรู้และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้ามามีบทบาทสูงมาก แต่เราไม่ตระหนัก เพราะความแข็งของเรายังเป็นความแข็งของโลกสมัยเก่า นั่นคือเกษตรที่ยังมีเทคโนโลยีไม่ถึงขั้น มี แต่ยังไม่ถึงขั้นแบบอเมริกา ที่มองว่ากำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วข้างหน้า เรายังไม่ถึงขั้น แต่เรามีทักษะความชำนาญที่เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของเรา ถ้าเปรียบเสมือนทฤษฎี S Curve เหมือนตัว S ที่เอสหัวกำลังจะตก ถ้าเรามีวิธีเดียววันนี้ช่วงนี้ที่ผมเข้ามา 7 - 8 ปี คือการลากตัวเอสให้ยาวขึ้นมาอย่าเพิ่งให้หัวตก ลากไปเรื่อย ๆ อย่าให้ตก แล้วรีบหาเอสตัวใหม่มาคล้อง ไม่อย่างนั้นจะหมดมุขในการทำมาหากินให้ประเทศ ฉะนั้นระหว่างที่ผมจะยืดเอสผมต้องมาปรับฐานการบริหารการจัดการทั้งประเทศใหม่ ถ้าผมไม่ปรับการบริหารการจัดการทั้งประเทศใหม่ จะรองรับเอสตัวใหม่ไม่ได้ ไม่มีที่ยืนเพราะฐานเก่าทรุดตัวหมดแล้ว

วันนี้ผมถึงต้องขอร้องพวกท่านว่า ผมก็เคยเป็นอดีตข้าราชการเหมือนกับท่าน เราตัดสินใจรับราชการเพราะเราต้องการรับใช้ชาติ โอกาสอันดีมาแล้ววันนี้ ผมกำลังให้ศักยภาพให้โอกาสท่านเต็มที่ แสดงฝีมือให้เต็มที่ คนทำงานด้วยความปรารถนาดี ตั้งใจดี ผิดพลาดไม่เคยตาย แต่คนไม่ทำงานเกียจคร้าน คนขี้โกง ตายแน่ ผมผ่านชีวิตของการทำอะไรที่ผิดพลาดมา ผมเข้าใจว่าคนผิดพลาดด้วยอะไร ถ้าผิดพลาดเพราะตั้งใจทำงาน แต่พลาดเพราะว่าความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดแต่ปรารถนาดีตั้งใจดีนั้น ให้อภัยได้เสมอ แต่คนขี้โกง คนดื้อ ไม่ทำงาน อภัยไม่ได้ วันนี้เราตั้งระบบรองรับไว้หมดแล้ว การให้รางวัลและการลงโทษชัดเจน ถ้าไม่เช่นนั้นไม่เดิน ผมต้องลงโทษข้าราชการ รับรองว่าไม่ใช่เพราะว่าผมรังเกียจหรือไม่ชอบหน้าท่าน ไม่มีครับ Performance อย่างเดียว ใครที่โกรธผมวันนี้แล้ววันหน้าคุณจะเข้าใจ ว่าผมจะลงโทษใคร จะตำหนิใคร เพราะ Performance อย่างเดียว ผมต้องการความสงบในชีวิตของครอบครัวผม เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องมาวิ่งเต้นเลย วิธีวิ่งเต้นกับผมที่ดีที่สุดคือทำงานให้ดีให้ได้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ทำไปเถิดครับ วันเกิดผมก็ไม่ยอมเลี้ยง เพราะเดี๋ยวบางคนไม่ได้มา แล้วถูกลงโทษ จะหาว่าเพราะไม่ได้มาวันเกิดผม หรือบังเอิญบางคนได้ดีเพราะมาวันเกิด ก็จะกลายเป็นว่าได้ดีเพราะมาวันเกิดผม เพราะฉะนั้นผมไม่ขอทำอะไรทั้งสิ้น ส่วนตัวผมไม่เอาอะไรเลย ผมไม่ต้องการอะไรจากแผ่นดินนี้แล้ว เพราะผมพอแล้ว ผมขอทำงาน ท่านไม่ต้องห่วงผม ข้าราชการทุกคนไม่ต้องห่วง ไม่ต้องมาทำความดีส่วนตัวให้ผม ขอให้ทำความดีให้กับชาติ แล้วตรงนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ท่านให้ผม เพราะท่านให้ชาติ

ความรู้ในวันนี้เรามาอบรมกัน มาเรียนกัน อุตส่าห์เชิญอาจารย์จากต่างประเทศ เอาที่เก่ง ๆ มาสอนช่วยสอน ตอนบ่ายนี้ เพื่อนเก่าผม วิลเลี่ยม โคเฮน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ของประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ผมรู้จักกันตอนสมัยที่ท่านเป็นวุฒิสมาชิกสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขาจะมาบรรยายให้ท่าน เพราะฉะนั้นเรานำของดี ๆ มาให้ท่านเพื่อให้ท่านเปิดสมอง เปิดใจ มีสมาธิปล่อยใจให้ว่างแล้วข้อมูลจะเข้ามามากมาย ถ้าไม่มีสมาธิ นั่งเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง แล้ววันนี้หากข้อมูลยังไม่แน่นพอ บางเรื่องยาก ผมเข้าใจ เพราะว่าบางคนจบปริญญาตรีแล้วไม่ได้เข้าอบรมหลักสูตรอะไร นอกจากหลักสูตรของราชการธรรมดา ก็อาจจะไม่มีการพัฒนาความรู้เพิ่มขึ้น แต่หลายตำราที่ผมพูดถึงเป็นตำราที่เรียนปริญญาโท ปริญญาเอกทั้งนั้น ก็อาจจะยาก แต่ถ้าฟังหลาย ๆ รอบจะเข้าใจ แต่ผมจะพยายามไม่นำข้อความในตำรามาพูด แต่ผมจะประยุกต์ข้อมูลในตำรามาพูดกับท่าน โดยพูดเป็นภาษาชาวบ้านที่สุดเพื่อให้ท่านเข้าใจ

ต่อไปท่านจะต้องเข้าใจคำว่า Matrix Reporting System คือการรายงานมากกว่าหนึ่งแนวทาง ท่านรายงานกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่านได้เลย แต่ถ้าเรื่องเกษตรกรมีปัญหา ท่านจะต้องติดต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ หรือว่าจังหวัดนี้รองนายกรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูแลท่าน ท่านสามารถติดต่อท่านรองนายกฯ สมคิดฯ ได้ รัฐบาลผมในเรื่องของระเบียบพิธีไม่มีความสำคัญ เรื่องของความสำเร็จของงานสำคัญที่สุด ไม่ต้องมีเรียกกัน ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน โทรศัพท์มาได้ ขอเอาความสำเร็จของงานเป็นหลัก ถ้าท่านทำงานตั้งใจแล้วถูกกลั่นแกล้ง ผมพร้อมให้พบ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดี มาพบได้ทุกเวลาแต่ที่ทำงานไม่ใช่ที่บ้าน มาได้ทุกเวลา ถ้าวันนี้ผมงานยุ่งก็นั่งรอเดี๋ยวก็มีเวลาให้พบ ท่านไม่ต้องห่วงผมจะดูแลให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ขอให้ทำงานเพื่อบ้านเมือง เพราะฉะนั้นระบบการรายงานหลายแนวทางนั้นจะเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้ ทฤษฎีเก่าพวก Unity of Command ไม่มีแล้ว ไม่ได้ผล

อีกเรื่องที่อาจจะต้องคิดกันในอนาคต ถ้าเราสามารถมีตัวเลขทำ GDP จังหวัด ก็จะเป็นดัชนีอีกตัวในการชี้นำว่าท่านจะพัฒนา GDP ของจังหวัดท่านให้ดีขึ้นอย่างไร ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอนก็จะเป็นแบบนี้ อีกหน่อยจังหวัดแม่ฮ่องสอนถ้าได้ผู้ว่าราชการจังหวัดเก่ง ๆ ไปเจอลำปางได้ผู้ว่าฯ ไม่เก่งหลายสมัย สมมติครับ ไม่ใช่ปัจจุบัน ผมยังนึกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เดี๋ยวจะหาว่าผมไปเปรียบเทียบ แม่ฮ่องสอนอาจจะแซงลำปางขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นผู้ว่าการจังหวัดเก่ง ๆ เก่งในที่นี้ความเป็นผู้นำสำคัญมาก ถ้าความเป็นผู้นำไม่ดีก็ลำบาก จะนำพาไม่ได้ คำว่าความเป็นผู้นำส่วนหนึ่งที่เป็นนิสัยที่คนไทยต้องการคืออย่าเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวรับรองว่าท่านใช้ใครไม่ได้หรอก เห็นแก่ตัว ไม่ให้เกียรติคน เอาประโยชน์ส่วนตนตลอดเวลาอย่างนี้ รับรองว่าลำบาก ในหนังสือที่ผมแจกให้ท่านอ่านเรื่อง Rethink in the Future เขาพูดถึงสิ่งสำคัญของผู้นำแห่งศตวรรษที่ 21 เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังบางข้อที่เป็นประโยชน์

ขั้นแรกเขาบอกว่าให้มีสำนึกในเป้าหมาย คือมีวิสัยทัศน์ที่มีความหมาย แน่นอนครับท่านจะออกยุทธศาสตร์ได้อย่างไรถ้าท่านไม่มีวิสัยทัศน์ ท่านต้องมองไปข้างหน้าว่าอยากเห็นอะไร ภาษาอังกฤษเรียกว่า Where we want to go ? และ How to get there ? คือท่านต้องมีวิสัยทัศน์และออกมาเป็นยุทธศาสตร์ แล้วออกมาเป็นแผนปฏิบัติที่จะนำไปสู่จุดที่ท่านอยากเห็น อยากพัฒนาจังหวัด ท่านในที่นี้คือคณะผู้บริหารจังหวัดที่มีท่านเป็นหัวหน้า 2.ท่านต้องเป็นนักสื่อสารที่สามารถนำวิสัยทัศน์ของตนมาตอบให้ผู้อื่นรู้ คือท่านจะให้เขาร่วมปฏิบัติกับท่าน ร่วมเดินทางไปกับท่าน ท่านต้องบอกให้เขารู้ว่าไม่ได้พาเขาไปลงนรก ท่านกำลังจะพาเขาเดินไปในทิศทางที่พบกับความก้าวหน้า อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องอธิบาย ท่านต้องเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือคือว่า อย่าโกหก อย่าหลอกลวง เสียสละตรงไปตรงมา ท่านต้องเป็นบุคคลที่กล้าได้กล้าเสีย และพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ นั่นคือว่าเมื่อท่านวางแผนแล้วเดินทันที ไม่ใช่วางแผนอย่างเดียวแล้วไม่เดิน เดินไปเลยไม่ต้องกลัวผิด ผิดแล้วรีบแก้ คือคนที่นั่งทับปัญหาไว้ เลวร้ายกว่าคนที่ทำแล้วแก้ปัญหาไม่ได้

คนที่นั่งทับปัญหาแล้วไม่ทำอะไร คือปัญหาไม่ถูกแก้ เลยไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่ถ้าเดินไปแล้วแก้ แล้วแก้ผิด ก็ดีที่รู้ว่าผิด จะได้ทำใหม่ให้ถูกต้อง จะได้ไม่เสียเวลา เพราะที่ทับไว้ 10 ปีก็ล้าหลังไป 10 ปี แต่ถ้าเดินไป 1 ปีแล้วรู้ว่าผิด ปีแรกรู้ว่าผิดแล้ว ปีที่ 2 ก็ทำให้ถูกใหม่ ก็จะแก้ได้ นั่นคือสิ่งที่ต้องทำ ท่านต้องมีสำนึกและเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องให้มีภัยคุกคามให้เปลี่ยนแปลง แจ๊ค เวลท์ บอกว่า ต้องเปลี่ยนก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน คนเปลี่ยนแบบจนมุมนั้นจะเปลี่ยนแบบไม่มีท่า ไม่เท่ ถ้าเปลี่ยนแบบรู้ตัวก่อนว่าจะต้องเปลี่ยน ต้องเดินได้เท่สง่างาม เหมือนประเทศไทยที่ไม่เท่ในปี ค.ศ. 1997 วิกฤติทางเศรษฐกิจ เราควรจะต้องแก้ไขเรื่องราวของบ้านเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการบริหารการจัดการทางการเงินมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ทำจนให้เขาถล่ม ค่าเงินบาทตกต่ำไม่มีค่า ต้องขอความช่วยเหลือ IMF แถมยังถูกบังคับให้ขายของถูก เจ็บพอหรือยัง เพราะฉะนั้นจะต้องไม่มีอีก ต้องเปลี่ยนด้วยตนเอง เปลี่ยนเพราะเรารู้ว่าเราช้าแล้ว เราแย่แล้ว ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องทำในวันนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเราใช้หนี้ IMF รอบแรกในช่วงที่เราเข้า IMF เมื่อปี พ.ศ. 2524 แล้วเราก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เราใช้รอบแรกเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2533 เวลา 7 ปีเท่านั้นเองโดนอีกแล้วในปี พ.ศ. 2540 แล้วโดนหนักกว่าเดิม เพิ่งใช้หนี้เสร็จปี พ.ศ. 2546 ต้องไม่ให้มีอีก ต้องเข็ดเป็นบ้าง นั่นคือต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับองค์กรของเราโดยด่วน แก้ไขวัฒนธรรมที่อ่อนแอผิดพลาดมาโดยด่วน อย่ากลัวสิ่งที่ผิดพลาด นำมาศึกษาและแก้ไขใหม่ แล้วเดิน ต้องสำนึกและอย่ากลัวแล้วเดินต่อไป

ผู้นำยุคใหม่ต้องมีความสามารถในการสร้างสรรค์องค์กรของตนเอง ให้มีช่องทางที่จะสามารถมองพ้นไปจากกรอบองค์กรของตน คือคิดนอกกรอบ ต้องคิดให้หลุดพ้นจากเดิม ๆ ถ้าเราคิดในกรอบเดิมๆ คือโลกได้รับอิทธิพลจากวิธีสมัยก่อนโลกที่ไม่มีความเชื่อมโยง สมัยนักปรัชญาทั้งหลาย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โลกไม่มีความเชื่อมโยง ไม่มีคำว่าโลกาภิวัตน์ ความเชื่อมโยงของปัญหาไม่เกิด จึงทำให้เราคิดอย่างเดิม ที่ดร.เดอร์โบโนฯ พูดว่าคิดมิติใหม่หลุดจากกรอบเดิม ๆ ออกจากวิธีเดิม ๆ บ้าง แล้วเราจะเห็นว่าที่ผ่านมานั้นผิดอย่างไร จะได้แก้ไข นั่นคือสิ่งที่ผู้นำจะต้องกล้าคิด ท่านสังเกตดูไหมว่ารัฐบาลชุดนี้คิดไม่เหมือนเดิม ถึงได้ต้องมาเปลี่ยนกันขนาดหนัก ถ้าคิดเหมือนเดิมก็ไม่ต้องเปลี่ยน ทำงานประจำต่อไปไม่ต้องเหนื่อย เมื่อวันก่อนผมได้ไปดูฟุตบอลรีอัล มาดริด รัฐมนตรีสมศักดิ์ เทพสุทิน นั่งอยู่กับผม ถามผมว่าเดิมทีเดียวผมไม่ตั้งใจจะมานี่ ผมก็บอกว่าถ้าผมบอกว่าจะมาล่วงหน้าจะยุ่ง ผมไม่ชอบเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผมชอบทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ผมชอบเป็นตัวผมเองมากกว่าที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นคนเราจะต้องเป็นตัวของตัวเองในชีวิตจริง แต่การทำหน้าที่นั้นต้องทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง นั่นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำ

3. เขาบอกว่า ต้องกล้าที่จะทำให้องค์กรนั้นมีความกะทัดรัดคล่องตัว องค์กรเล็กจะมีความคล่องตัว ปรับตัวตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่อปัญหาได้เร็วที่สุด แต่ถึงแม้ว่าองค์กรจะขนาดใหญ่ก็ตาม เหมือนที่ Bill Gate ได้เขียนไว้ในหนังสือเรื่อง Business at The Speed of Thought พูดกันว่า ในโลกสมัยก่อนพูดถึง Economy of Scale หรือ ความใหญ่ยิ่งได้เปรียบ แต่โลกในสมัยใหม่บอกว่าเราต้องแข่งกันที่ความเร็วคือ Economy of speed คนจะเร็วได้องค์กรกะทัดรัดปรับตัวได้ จะปรับตัวอย่างไรทิศทางอย่างไรต้องมีข้อมูลที่ดี เพราะฉะนั้นจังหวัดหรือองค์กรของท่านต้องมีระบบฐานข้อมูลที่ดี แล้วต้องกระจายงานออกไปให้คนข้างล่างสามารถมีดุลยพินิจในการตัดสินใจได้ ไม่ใช่เพื่อโปรดพิจารณาตั้งแต่หัวหน้าแผนกถึงรัฐมนตรี ให้นายกรัฐมนตรีตัดสิน อย่างนั้นไม่รู้ว่ามีข้าราชการจำนวนมากทำไม ต้องให้ชั้นมีน้อย ไม่ใช่ตามหนังสือฉบับหนึ่งตามมาเป็น 3 เดือน เพิ่งจะมาเจอปรากฏว่าเพื่อพิจารณาทุกคน อย่างนี้เสียเวลา ที่ Bill Gate ใช้คำว่า Knowledge Worker คือ คนทำงานที่มีความรู้ที่สามารถตัดสินใจได้ จะมีความรู้แน่นอน นอกจากพื้นฐานความรู้แล้ว ต้องมีฐานข้อมูล ระบบข้อมูลในมือที่เขาสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำถูกต้อง อันนี้ท่านจะต้องสร้างตรงจุดนี้ขึ้นมา

ถ้าเขาบอกว่าเมื่อมีองค์กรย่อย ๆ ซ้อนกันมาเป็นองค์กรใหญ่ ท่านจะต้องเป็น Leader of the leaders คือทุกองค์กรเล็ก ๆ มีผู้นำอยู่หลายคน เพราะฉะนั้นผู้นำหลายคนท่านเป็นหัวหน้าองค์กรใหญ่ ท่านต้องสามารถทำตัวเป็น Leader of the leaders ได้ ถ้าท่านทำอย่างนั้นไม่ได้ ท่านก็จะบริหารองค์กรขนาดใหญ่ไม่ได้ ฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดต้องเข้าใจว่าเกษตรจังหวัดก็เป็นผู้นำ ศึกษาธิการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด คลังจังหวัดทุกคนเป็นผู้นำอยู่ในองค์กรย่อยของเขาที่ขึ้นอยู่กับองค์กรใหญ่ของท่าน ฉะนั้นท่านต้องเป็นผู้นำของผู้นำ นี่คือสิ่งที่จะต้องปรับตัว

สิ่งที่กำลังเป็นโอกาสของท่านวันนี้ บรรดาผู้นำทั้งหลายท่านจะต้องไปสร้างวัฒนธรรมองค์กรของท่านใหม่ นาทีทองแล้ว เพราะเรากำลังเขย่าองค์กรของทั้งระบบราชการให้หลวม นั่นคือการปรับโครงสร้างใหม่ ปฏิรูประบบเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว เราเขย่าตรงนี้แล้ว ยังไม่พอ กำลังเขย่าวัฒนธรรมของการทำงานระบบราชการอีก เพราะฉะนั้นท่านเข้าไปเป็นผู้นำใหม่ ท่านจะต้องไปสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ให้องค์กรของท่านเป็นองค์กรที่มีการปรับตัวได้ง่าย ตอบสนองต่อปัญหาของประชาชนและการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลที่จะสร้างความผาสุกให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ท่านต้องไปปรับวัฒนธรรมตรงจุดนี้ การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ง่ายที่สุด จะเกิดจากความเข้มแข็งและความสามารถในความเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นความเข้มแข็งและความสามารถในความเป็นผู้นำ จะสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมจากองค์กรนั้นใหม่ องค์กรของท่านถ้ามีอะไรที่ก่อให้เกิดการคงที่ เกิดความกระด้างเปลี่ยนไม่ได้ หรือมีเซลล์ที่ตายอยู่ในองค์กรท่าน ต้องจัดการแก้ไข เพราะเซลล์ทุกตัวต้องมีพลวัต มีการเปลี่ยนแปลง ถ้ามีอวัยวะในร่างกายของท่านไม่ทำงาน ต้องรีบรักษาหรือต้องผ่าตัด อย่าให้องค์กรของท่านมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไม่มีสัมผัสต่อการตอบสนองต่อปัญหา

ตรงนี้ท่านจะต้องไปดูและสร้างวัฒนธรรมใหม่ สร้างวัฒนธรรมขององค์กรที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางให้ได้ รัฐบาลส่วนราชการต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ถ้าเมื่อไรที่ท่านไม่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ท่านกำลังผิดในโลกยุคใหม่ ท่านต้องสร้างวัฒนธรรมที่รู้จักใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ในการแก้ปัญหาและการบริหารจัดการ ท่านต้องสร้างวัฒนธรรมขององค์กรที่ปลดปล่อยศักยภาพและพลังของสมองของคนในองค์กรให้มีความคิดสร้างสรรค์ให้มาก ท่านอย่าไปรังเกียจพวกที่ชอบพูดอะไรแผลง ๆ ประหลาด ๆ แต่สร้างสรรค์ อย่าไปมองว่าน่าชัง พวกนี้เป็นพวกที่ท่านจะต้องสร้างบรรยากาศให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาเกิดขึ้นในองค์กรของท่าน แล้วองค์กรของท่านจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและมีความคิดสร้างสรรค์ มีการเดินหน้าได้ดี มีอีกหลายมิติในเรื่องของวัฒนธรรม แต่ท่านต้องไปสร้างไปปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมที่ผิดต้องเลิก สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมที่ดีต้องเพิ่มเข้าไป ถ้าผมกำลังจะปล่อยยาดีลงไปในระบบราชการ แสดงว่าท่านคือคนที่จะไปรักษาเซลล์หรือองค์กรย่อยๆ แต่ละองค์กรในระบบราชการนั้น ฉะนั้นวันนี้ถ้าท่านรับได้เกี่ยวกับแนวคิดในการปรับปรุงประเทศไทย การบริหารประเทศใหม่ ถ้าท่านรับได้ เข้าใจได้ แล้วท่านเห็นคล้อยด้วย แสดงว่าท่านเป็นยาดีที่กำลังจะเข้าไปฉีด รักษาเซลล์แต่ละตัว คือองค์กรแต่ละตัว เพื่อให้องค์กรแต่ละตัวกลายเป็นองค์กรที่เข้มแข็งขึ้นมา แล้วคนที่เหลือที่ไม่ได้รับการอบรมจากนี้ก็จะถูกนำโดยท่าน โดยใช้ระบบขององค์กรของวัฒนธรรมองค์กรนี้ผลักดัน ขับเคลื่อนทำให้เขาคิดอย่างท่าน ทำอย่างท่าน ผมไม่สามารถอบรมข้าราชการทั้ง 2,000,000 คนได้ ไม่สามารถสร้างหลักสูตรได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ผมกำลังสอน ใช้หลักสูตรเหล่านี้มาสอนพวกท่าน เพิ่มพูนความรู้ท่าน เปลี่ยนทัศนคติของท่าน คิดปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของท่าน เมื่อได้แล้วท่านก็นำไปฉีดลงไปในองค์กรของท่าน เป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมเพื่อสะท้อนสิ่งที่ท่านรับรู้และเรียนรู้ในวันนี้ ตรงนี้คือการปล่อยเชื้อยาลงไปรักษาหน่วยทุกตัว ให้เซลล์เหล่านั้นเกิดการกระตุ้นใหม่ ๆ ขึ้นมา สดชื่นขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชากรในประเทศไทยแข็งแรงขึ้น

สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ภาคเอกชนนำไปใช้ได้ เพราะภาคเอกชนไทยยังมีอีกมากที่ยังไม่ค่อยใช้หลักวิชาในการบริหาร เรียนกันทำไม โรงเรียนที่ดังทั่วโลกก็ส่งไปเรียนกันหมดแล้ว เรียนมาแล้วไม่ใช้หลักวิชาในการบริหาร เรียนทำไม เรียนแล้วไม่วิจัยไม่ศึกษาค้นคว้า เรียนมาทำไม เมื่อเรียนแล้วต้องใช้ มีนักวิชาการอยู่ทั่วไป มีคนมีความรู้อยู่ทั่วทุกองค์กร นำมาใช้ ยังไม่สาย เพราะแต่ละคนมีฐานความรู้ แต่ให้ปรับให้ทันสมัย เมื่อมีความทันสมัยแล้วสร้างวัฒนธรรมให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูล มีการถกเถียงทางวิชาการ มีการเดินหน้าอย่างมีวิชา แล้วทุกอย่างไปได้หมด สังคมไทยวันนี้ทะเลาะกันตลอดเพราะคนไม่รู้กำลังเถียงกับคนไม่รู้ เพราะความไม่รู้จริงเกิดขึ้นจึงเถียงกันไม่จบ ถ้ารู้จริงเถียงไม่ได้หรอก

นี่คือความรู้ คุณเถียงทำไม แต่นี่เถียงกันไปมาเพราะคนไม่รู้มาเถียงกัน พอเถียงกันมาก ๆ เข้า สื่อก็เอาไป ลง เด็กเยาวชนรุ่นหลังก็มองจนชิน เพราะฉะนั้นคำว่า ชาตินิยมจึงไม่มี

ผมเคยพูดในหลายโอกาสว่า อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยบอสตันได้ทำการวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจทุนนิยมนั้นทำไมล้มเหลวไปหมด มีประสบผลสำเร็จมากชัดเจนที่สุด 5 ประเทศ คือประเทศอังกฤษ ประเทศอเมริกา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมัน ประเทศญี่ปุ่น ทำไม เขาบอกว่าส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในนั้นคือคำว่า ชาตินิยม ดีกรีของชาตินิยมของ 5 ประเทศนี้แข็งแรงมาก อเมริกาน่าทึ่ง คนในอเมริกาคือคนที่ไปจากทั่วโลกไปอยู่ที่นั่น แต่ไปอยู่แล้วถึงเวลาผู้นำของเขา “God Bless America - รักอเมริกา” ภาคเอกชนขึ้นธงชาติใหญ่ นั่นคือสิ่งที่เขามีความเป็นชาตินิยมสูง อเมริกาในปี ค.ศ. 2060 คนอเมริกัน White อเมริกันจะเป็นคนส่วนน้อยของประเทศแล้ว เพราะว่าคนต่างชาติที่ไปอยู่ รวมทั้งพวกคนแอฟริกัน นิโกร รวมทั้งคนจากทั่วโลก จะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ แต่ว่าความเป็นอเมริกา ความรักชาติอเมริกาสูงมาก เราเป็นประเทศประชาธิปไตย มีฝาแฝดชื่อนายทุนนิยม แยกจากกันไม่ได้ แล้วเรามีสังคมที่เถียงกันเพราะว่าไม่มีการวิจัย ไม่มีการวิเคราะห์ ไม่มีความรู้ที่ชัดเจน เลยเถียงกันไม่จบ ผลสุดท้ายคือส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งกันในสังคม ไม่เป็นเรื่อง เพราะฉะนั้นขอให้รู้ พอรู้แล้วจะได้เลิกขัดแย้งกันในสิ่งที่ไม่รู้ ในการรู้จะต้องมีข้อมูล พัฒนาเป็นความรู้ มีความรู้ก็มีปัญญา เพราะฉะนั้นข้าราชการไทยทุกคน ผู้นำส่วนราชการทุกส่วน จะต้องไปสร้างระบบฐานข้อมูลในสำนักงานของท่าน แล้วใช้ฐานข้อมูลนั้นอย่างชาญฉลาด อย่างมีวิชาการ แล้วท่านก็จะไปเป็นผู้นำที่มีความสามารถ

ที่น่าสนใจมีอีกคำหนึ่งเขาใช้คำว่า Global Literacy แปลว่าอ่านออกเขียนได้ในยุคโลกาภิวัตน์ คือ 1. การรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งเราอ่อน กำลังพยายามหาทางส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษ 2. อินเทอร์เน็ต ซึ่งยังอ่อนอยู่ แต่กำลังส่งเสริมถูกทางแล้ว มีกระทรวง ICT แล้ว 3. คือ International Culture ความเข้าใจวัฒนธรรมนานาชาติ 3 ตัวนี้สำคัญ ฉะนั้นเราจะต้องช่วยกันสร้างให้ประเทศไทย เพราะว่าวันนี้ยุคโลกาภิวัตน์ เราบอกว่าผมจะอยู่ของผมอย่างนี้ ใครจะอย่างไรก็ช่างอย่ามายุ่งกับผม ก็ล้มเหลวเลย เพราะฉะนั้น 3 ตัวนี้เป็นสิ่งที่ต้องส่งเสริมให้ข้าราชการและเยาวชนต้องเข้าใจ ท่านผู้ว่า ฯ จังหวัดที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านมีชายแดนติดกัน ท่านต้องเข้าใจวัฒนธรรมของเขา ท่านต้องสังคมกับเขา บางประเทศใช้ภาษาอังกฤษ ไม่มีปัญหา และเมื่อมี E – Government เกิดขึ้น เรื่องอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ท่านต้องรับรู้แล้ว และท่านจะใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อันนี้เป็นพื้นฐานที่ต้องรีบปรับด่วนของประเทศ

มีอีกคำหนึ่งที่สูงกว่านั้น น่ากลัวกว่านั้นคือคำว่า Technology Literacy นี่คือตัวแข่งกันรวยแข่งกันจนในโลกยุคใหม่ เรามีภาษาดิจิตอล 0,1 - 1,0 เป็นดิจิตอลโค้ด Genetic Code A T C G แล้วก็มีภาษาธรรมดา ท่านลองคิดดูว่าเช็คสเปียร์สามารถเอา A – B – C – D ถึง Z หรือภาษาธรรมดามาแต่งให้สละสลวยได้ บทประพันธ์ของเช็คสเปียร์ก็เลื่องลือขายได้ นั่นคืออดีต ต่อมาคนรู้ว่ารหัส 0,1-1,0 เป็นดิจิตอลโค้ด

ก็สามารถอ่านโค้ดได้ ทำ Software เขียน Software ได้ก็รวย แต่ต่อมาคนรู้โค้ด A T C G สามารถทำแผนที่พันธุกรรมได้แล้ว คือ Mapping DNA ได้แล้ว ต่อไปสามารถที่จะเอาโค้ดเหล่านี้มาเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เกิดพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา ท่านลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่คือเรียกว่า Technology Literacy ซึ่งหมายถึงความรวยความจนแข่งกันในอนาคต เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะต้องสร้างต้องส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กัน Global Literacy และ Technology Literacy นี่ผมแถมให้นอกเหนือจากคำว่า CEO

สิ่งที่ผมพยายามพูดสองตัวนี้เพื่อให้เห็นว่าเราต้องพัฒนาอีกมาก เพราะวันนี้ความเชื่อมโยงของโลกน่ากลัวมากถ้าเราอยู่เฉย ๆ เราจะต้องพัฒนาและปรับปรุงตัวเองมากขึ้น และในฐานะที่ท่านทั้งหลายคือบุคคลสำคัญของชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเทียบเท่าอธิบดี แสดงว่าท่านต้องบริหาร 1 ใน 76 ส่วนของประเทศ อธิบดีท่านกำลังบริหารหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องของประเทศในเชิงลึก วันนี้องค์กรจะต้องถูกมองหลายมิติ ไปมองมิติเดียวไม่ได้ มี 4 D ไม่ใช่ 3 D กว้างยาวลึกล้าสมัยแล้ว ต้องมีเรื่องการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและการมอง

วันนี้การมององค์กรจะมองเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มองมิติเดียวมิติหนึ่งไม่ได้แล้ว ต้องมองความเชื่อมโยง มองอะไรหลาย ๆ มุม สิ่งที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้เพราะอยากให้ท่านได้ช่วยกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องผลักดันประเทศเราทุกมิติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เราต้องหันกลับมาพูดเรื่องคนยากจน ชาวบ้าน พูดถึงเรื่องนโยบายของรัฐบาลเป็นอย่างไร ท่านเชื่อหรือไม่ว่าขณะนี้นโยบายของรัฐบาลกำลังเป็นที่จับตาและวิเคราะห์ของหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย วันนี้ทุกคนก็ตันกับการแก้ปัญหา ตามที่ผมพูดคือ ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเป็นฝาแฝดกับระบอบประชาธิปไตย และล้มเหลวในแทบจะทุกประเทศ ยกเว้นใน 5 ประเทศนั้นประสบผลสำเร็จ และตามที่ผมพูด ทุนนิยมไม่มีอุดมการณ์แต่มีเป้าหมาย สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์มีอุดมการณ์แต่ไม่มีเป้าหมาย เพราะฉะนั้นเราต้องบริหารแบบมีเป้าหมายและมีอุดมการณ์ไปพร้อมกัน จะมีเป้าหมายและมีอุดมการณ์ได้ก็ต้องพาคนจน คนที่อยู่ระดับรากหญ้าพ้นภัยให้ได้ เพราะฉะนั้นลักษณะของการบริหารประเทศไทยวันนี้เราถึงใช้หลายทฤษฎีผสมผสาน

อาจารย์วิษณุฯ ไปเบิร์คเลย์มา บอกว่าอาจารย์ที่เบิร์คเลย์วิเคราะห์ว่า รัฐบาลนี้เป็น Rebirth หลายเรื่องที่เราทำวันนี้คือสิ่งที่เคยทำแล้วล้มเหลวในอดีต เอามาจัดใหม่ ทำใหม่แล้วสำเร็จ สิ่งที่เราทำวันนี้หลาย ๆ ทฤษฎีเอามารวมกันเป็นเรื่องใหม่เกิดขึ้น เขาเรียก Rebirth ปรากฏว่าสำเร็จ ยกตัวอย่างง่าย ๆ มีคนหนึ่งบอกให้ไปผัดผัก เขาก็เอาผักมาผัดก่อน ผัดจนผักเละ แล้วเอาหมูใส่ลงไป พอเห็นผักเละก็ตกใจ รีบเอาขึ้น จึงกินผัดหมูดิบและผักเละ ก็ไม่อร่อย พอมาบอกให้เราทำ เราก็เอาหมูลงไปผัดก่อน เมื่อหมูผัดกำลังได้ที่ใส่ผักเข้าไป ปรากฏว่าผักก็กรอบหมูก็หอมสุก จึงอร่อย ความจริงไม่มีอะไรมาก มาจัดลำดับให้ถูก รู้ว่าควรประยุกต์อะไร เพราะเราอยู่บนโลกความเป็นจริง นั่นคือวิธีการที่เราใช้ในการแก้ปัญหา ฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ต้องเข้าใจ

เรามี 4 – 5 ข้อที่พึงต้องจำ 1.เราจะทำทุกอย่างเพื่อลดรายจ่ายภาคประชาชน นี่เป็นคาถาบทแรกให้ท่องเอาไว้ ทำอะไรก็ได้ที่ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 2.เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน 3. ขยายโอกาสให้กับประชาชน คาถา 3 ข้อนี้หลวงพ่อ 3 องค์นี้ท่านแขวนใส่คอไว้เลย รับรองเป็นเมตตามหานิยมแน่นอน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส อย่างนี้เขาไม่เรียกประชานิยม 3 ข้อนี้ทำไปเถิดเป็นการช่วยคนฐานรากให้รอด แล้วจะทำให้เขาพ้นจากความยากจน และสิ่งที่กำลังทำต่อไปคือองค์ประกอบ เพื่อให้ 3 ข้อนี้ยั่งยืน คือการทำสังคมให้ดีให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยาเสพติด การปราบปรามผู้มีอิทธิพล สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กัดกร่อนสังคม และสังคมทุกครั้งที่ถูกกัดกร่อน คนจนโดนก่อน เจ็บก่อนหายช้า เจ็บก่อนหายทีหลังทั้งนั้นคือคนจน โดนก็โดนก่อนเพื่อน เวลาจะพ้นก็พ้นทีหลังเพื่อน วิกฤติเศรษฐกิจก็โดนก่อนเพื่อน คนรวยมีอะไรมาอุ้มไว้เป็นชั้น ๆ คนจนลำบาก กว่าจะพ้นก็ติดคุกไปเรียบร้อยเพราะว่าไปปล้นทรัพย์เขากิน ไม่มีอะไรจะกิน เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องทำสังคมให้สะอาด ยาเสพติดต้องจัดการให้เรียบอย่าให้เหลือ เราต้องสร้างคนจนพันธุ์ใหม่

คนจนพันธุ์ใหม่ที่ว่านี้คือพ่อค้ายาเสพติด ต้องให้หมดตัวให้ได้ ช่วยกันหน่อย หาหน่อย อยู่ที่ไหนเอาให้หมดตัว ต้องสร้างคนจนพันธุ์ใหม่ เพราะพันธุ์พวกนี้มีน้อย มีไม่กี่ตัว และเรื่องผู้มีอิทธิพล อย่าไปแกล้งแต่บอกให้หยุดยั้ง ขอให้เลิก ถ้าไม่เลิก คิดบัญชีย้อนหลัง ถ้าเลิกเป็นเลิก จบ เพราะเราต้องการให้เลิก เราไม่ต้องการแกล้ง เพราะสังคมในอดีตปล่อยช่องว่างมาก เราถือว่าไม่มีคดีติดตัวก็ถือว่าจบกัน เลิก แต่ของใหม่ไม่ได้ ยอมไม่ได้ ถ้าทำของใหม่ คิดบัญชีของเก่าเลย ก็จะเป็นคนจนพันธุ์ใหม่ถ้าอยากเป็น ตรงนี้จะช่วยทำให้การแก้ปัญหาลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส สามารถยั่งยืนได้ ไม่อย่างนั้นพวกนี้คือพวกที่เพิ่มค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

อีกเรื่องหนึ่งคือธุรกิจใต้ดินทั้งหลาย Underground Economy ต้องหยุดให้ได้ ต่อไปผมจะเอาตำรวจเป็นผู้เก็บภาษีให้ประชาชน ผมบอกว่าห้ามตำรวจรับส่วยผู้มีอิทธิพล ให้มารับส่วยจากรัฐบาลอย่างถูกกฎหมาย ตรงไปตรงมา นั่นคือเอาค่าสินบนนำจับ ค่าอะไรต่ออะไรไปเลย ถ้าอยากรวยไปยึดทรัพย์คนเลวที่ทำผิดกฎหมายและหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ อย่างนั้นได้รวย แต่นอกนั้นพอกินพอใช้ แล้วเศรษฐกิจทุกอย่างจะโปร่งใส ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ทั่วโลกยอมรับ เพราะเป็นประเทศที่ตรงไปตรงมา ในชีวิตผม การทำธุรกิจเรื่องระบบความโปร่งใสสำคัญมาก ระบบบัญชีตรงไปตรงมา เสียภาษีตรงไปตรงมา ดีที่สุดไม่ลำบากใจเลย และไม่ถูกโกงด้วย ถ้าเมื่อไรใครโกงรัฐก็จะโดนลูกน้องโกงตัวเอง บริษัทที่โกงภาษีรัฐโดนลูกน้องโกงทั้งนั้น เพราะบัญชีไม่ตรง เพราะฉะนั้นความโปร่งใสสำคัญที่สุด ต้องโปร่งใสทั้งระบบ เรื่องเศรษฐกิจใต้ดินทั้งหลายจะต้องไม่มี วันนี้หวยใต้ดินงวดนี้ยังขายได้ 600 กว่าล้านบาท - 700 ล้านบาทเท่าเดิม แสดงว่าตำรวจกำลังหากินอยู่กับเจ้ามือหวยใต้ดินอยู่มาก ถ้างวดหน้าไม่ขึ้น ผู้กำกับฯ อาจจะต้องถูกย้ายเกือบทั่วประเทศ นี่ผมพูดดัง ๆ เพื่อให้ได้ยิน งวดหน้าหวย 2 ตัว 3 ตัวของรัฐบาลต้องขึ้น ถ้าไม่ขึ้น ผู้บังคับการฯ จังหวัด

ผู้กำกับฯ จังหวัดที่มีหวยอยู่ โดนหมดทั่วประเทศ ไม่เป็นไรผมมีตำแหน่งว่างมาก ตำแหน่งประจำสำรองราชการมีอยู่ 6,000 กว่าตำแหน่งเอง พอไหว ให้รู้ไปว่าใครจะแน่กว่าใคร ความดีกับความไม่ดีสู้กัน ประเทศเราจะต้องอยู่ด้วยความดี ประเทศเราต้องอยู่ด้วยความตรงไปตรงมา แล้วคนจนจะมีโอกาส คนที่มีศักยภาพอยู่บ้านนอกก็มีโอกาส

เมื่อวานนี้ผมไปวางศิลาฤกษ์ที่เมือง Candy สร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่ศรีลังกา ผมไปถามเด็กผู้ชายบ้านนอกคนหนึ่ง หน้าตาก็บ้องแบ๊วดี เข้าไปถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เขาตอบว่าอยากขับรถบัส รถเมล์ เขาเรียนหนังสืออยู่ประมาณประถม 3 สะท้อนให้เห็นอย่างหนึ่งว่าคนจนไม่กล้าหวังสูง เพราะว่าในชีวิตที่เขาเห็นปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ พี่น้องของเขามานั้นหวังสูงไม่ได้ เพราะไปได้แค่นี้ เหมือนกันทั่วโลกครับ ผมกำลังจะบอกว่าถึงเวลาหรือยังที่เราจะทำลายวงจรอุบาทว์แห่งความยากจน ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปิดโอกาสให้คนไทยที่มีศักยภาพทั้งหลายได้มีการเติบโตอย่างเต็มที่ แล้วนำพาประเทศไทยให้สูงขึ้นกว่านี้อีก ทั้งหมดอยู่ในมือพวกท่าน ผมได้แต่นำ ได้แต่ให้โอกาสสนับสนุน แต่ผมลงไปทำเองทุกเรื่องไม่ได้ และไม่สามารถเห็นปัญหาเองได้ถึงที่ ท่านอยู่ใกล้ปัญหา ทั้งหมดอยู่ในมือพวกท่าน ทุ่มเททำเถิดครับ ความสำเร็จในงานที่เกิดขึ้นจะเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่แก่คนไทยทั้งประเทศ ช่วยกันเถิด หลายท่านเป็นเด็กมาจากบ้านนอก หลายท่านเป็นผู้มีความสามารถพิเศษจากบ้านนอก ที่ต้องมาแสวงหาโอกาสในเมือง เพราะบ้านนอกไม่ได้ให้โอกาสท่านเลย เพราะการที่เราเอาเงินทุนจากบ้านนอกมาเลี้ยงเมืองเป็นการตัดโอกาสของบ้านนอก เมื่อที่ไหนไม่มีโอกาสที่นั่น Talent หาย หนีหายหรือไม่ก็เป็น Talent ที่ไม่สามารถส่องแสงได้



เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดโอกาสในภูมิภาค ทุกจังหวัดจะต้องเติบโต ถ้าท่านใช้เงินเป็น สมมติว่าใส่ไป 100 บาทแล้วได้คืนมาแน่นอน 110 บาทหรือ 105 บาทหรือ 100 บาทอย่างเดียวก็ได้ ไม่หายไปไหน คำว่าข้อจำกัดทางการเงินไม่มี รัฐบาลผมถ้าหากว่าใส่เงินลงไปแล้ว 100 บาทแล้วได้กลับคืนมาไม่น้อยกว่า 100 บาท คำว่าข้อจำกัดทางการเงินไม่มีครับ 100,000 ล้านบาทก็มี แต่ถ้าใส่ไป 100 บาทควักกระเป๋าสัก 10 เปอร์เซ็นต์แล้วเอาไปทำอะไรเสียหายเหลือสัก 30 – 40 บาท เงิน 2,000,000 บาท หรือ 3,000,000 บาทก็ไม่มีครับ วันนี้ประเทศไทยมีเงินมาก เราไปเจอปัญหากับดักสภาพคล่อง (Liquidity Trap) คือเรามีเงินสภาพคล่องเหลืออยู่ในระบบ 800,000 ล้านบาท เลยทำให้คนฝากเงินต้องอุ้มหนี้เสียทางอ้อม ดอกเบี้ยต่ำ เพราะฉะนั้นรัฐบาลกำลังจะดูดเงินเหล่านี้ไปใช้ แต่ว่าใช้แล้วต้องมีกลับคืน ยกตัวอย่างที่ผมพูดเรื่องน้ำ 300,000 ล้านบาท เอาเงินไปทำน้ำ ผมดูตัวเลขง่าย ๆ ว่าคนที่อยู่นอกเขต

ชลประทานมีรายได้ครอบครัวละ 10,000 กว่าบาท คนที่อยู่ในเขตชลประทานมีรายได้ครอบครัวละ 40,000 กว่าบาท ต่างกัน 30,000 บาท ถ้าสมมติว่า 300,000 ล้านบาททำให้คนอีก 10,000,000 ครอบครัวอยู่ในเขตชลประทาน แสดงว่ารายได้ปีเดียวขึ้นมา 300,000 ล้านบาท อย่างนี้คุ้ม ให้ทำ เงินไม่ต้องห่วงครับ ผมใช้เงินเป็น ผมบริหารเงินเป็น

ท่านที่เป็นผู้ว่าฯ CEO ทั้งหลาย ท่านจะต้องเข้าใจในมิติของการเงินบ้าง วันนี้ยังไม่ต้องเรียนแต่ต้องเรียนในวันต่อไป ถ้าท่านไม่เข้าใจเรื่องมิติการเงินแล้วท่านจะไม่คล่องตัวในการใช้เงิน คนที่เก่งเรื่องการเงิน สามารถเสกกระดาษเป็นเงินได้ คนที่ไม่ประสาเรื่องการเงิน มีเงินอยู่แท้ ๆ ก็กลายเป็นกระดาษ นั่นคือสิ่งที่เป็นโลกใหม่ โลกที่เป็นโลกทุนนิยม แต่คนที่จะเสกกระดาษเป็นเงินได้มีสองข้อที่สำคัญ ข้อแรกที่สำคัญที่สุดคือความน่าเชื่อถือ Trust and Confidence ฉะนั้นระบบทั้งระบบต้องดี ต้องสร้าง Trust and Confidence ข้อที่สองคือความรอบรู้ในการลงทุนที่จะใช้เม็ดเงินที่ได้มาจากการเสกกระดาษเป็นเงินนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ถ้าคนมีสองข้อนี้รับรองว่าอยู่ในโลกทุนนิยมแล้วรวยได้ ถึงแม้ว่า Technology Literacy จะแผ่วไปหน่อยก็ไม่เป็นไร

ที่ผมพูดกว้างไปหลายเรื่องเพราะให้ท่านรู้ว่ายังมีความรู้ในโลกนี้อีกมากที่ท้าทายเราให้เข้าไปแสวงหาและค้นคว้า ผมกำลังจะสร้างห้องสมุดให้ประเทศ เป็นห้องสมุดที่มีชีวิต และจะสร้างพิพิธภัณฑ์ใหญ่ที่มีทุกอย่าง ไม่ใช่พิพิธภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง วันนี้เราจะต้องสร้างสิ่งที่เป็นช่องทางแห่งการเรียนรู้ให้เยาวชน และผู้ใหญ่วันนี้ต้องเริ่มเรียนรู้ได้แล้ว ถ้าท่านเรียนรู้เท่าไร ท่านจะมีความรู้สึกสนุก ชีวิตไม่น่าเบื่อ คนที่ไม่เรียนรู้นี่ชีวิตน่าเบื่อ ยิ่งอ่านหนังสือยิ่งสนุกเชื่อผมเถิด

ขอให้ทุกคนมีลักษณะนิสัยเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต และสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่มีการเรียนรู้ รับรองว่าประเทศเราไม่มีทางด้อยกว่าใคร ฝากประเทศไว้ในมือของทุกท่านแล้วผมจะยืนเคียงข้างท่าน พร้อมที่จะ Coach ทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อเราจะได้เดินทางไปด้วยกันในทิศทางเดียวกัน เพื่อคนไทยทั้งแผ่นดิน เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ และแน่นอนครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเรา ทรงเจริญพระชนมายุมากแล้ว ทรงเหน็ดเหนื่อยกับพวกเรามากแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องทำให้ท่านสบายพระทัย โดยที่ไม่ต้องทรงกังวลในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง โดยที่พวกเราจะเป็นผู้บริหารที่รับผิดชอบ เป็นผู้บริหารที่ใช้ความรู้ความสามารถในการทำงาน และตอบสนองต่อปัญหาของประเทศอย่างตรงไปตรงมาได้รวดเร็วที่สุด

ขอขอบคุณอีกครั้งที่ทุกฝ่ายได้จัดโครงการนี้ขึ้นมา ขอขอบคุณที่ตั้งใจฟัง และหวังว่าท่านคงจะตั้งใจฟังในชั่วโมงอื่น ๆ ด้วย เพื่อจะได้เป็นความรู้ประกอบกับการทำงานของท่าน ขอให้โชคดี ขอบคุณครับ



--------------------------------------------------------



ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

วิมลมาส รัตนมณี , ชมพูนุช ชาญกว้าง / ถอดเทป - พิมพ์

ดวงฤดี รัตนโอฬาร / ตรวจ




...
  
เบื้องหลัง ข่าว แดง เหลือง 2
6
...
  
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ประวัตินักเขียน ชื่อ : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

ประวัติย่อ

เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2425 เวลา 7.20 น. ในเรือลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง ปราโมช โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดระหว่างที่พระองค์เจ้าคำรบ เดินทางไปรับตำแหน่งที่มณฑลพิษณุโลก หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง ได้เสด็จประพาสมณฑลพิษณุโลก พระองค์เจ้าคำรบได้ปลูกพลับพลารับเสด็จและทรงอุ้ม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เข้าเฝ้าด้วย ปรากฏว่าดิ้นยืดแขนยืดขาจึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อว่า “คึกฤทธิ์”



เริ่มเรียนที่โรงเรียนวังหลัง และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนสอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 7 จากนั้นไปศึกษาต่อที่ Trent College และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยม ในสาขาปรัชญา เศรษฐศาสตร์และการเมือง ภายหลังได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกหลายสาขาวิชา



เริ่มทำงานที่กรมสรรพากร และถูกเกณฑ์ทหารตอนสงครามอินโดจีน ได้ยศสิบตรี จากนั้นไปทำงานธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ลำปาง และกลับมาทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรุงเทพฯ ได้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ “ก้าวหน้า” เมื่อพ.ศ. 2488 จากนั้นนายควง อภัยวงศ์ ชวนไปก่อตั้งพรรคใหม่ชื่อ “ประชาธิปัตย์”โดยนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรค อยู่สู้ในสภา 2 ปี ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2490 พลโทผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหารแต่ยังไม่พร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลของตนเองจึงไปชวนนายควง อภัยวงศ์ กลับมาเป็นนายยกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอย สั่งราชการกระทรวงการคลัง แต่อยู่ได้เพียง 5 เดือน จอมพลป.พิบูลสงคราม ก็ขึ้นบริหารประเทศแทน



วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2491 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ประกาศลาออก จากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรกลางสภา และลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะคัดค้านการขึ้นเงินเดิอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์สมยอมกับรัฐบาล จากนั้นได้ยุติบทบาททางกรเมืองโดยตรงอยู่นานจนหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จึงจัดตั้งและเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง “กิจสังคม” และจากการเลือกตั้งเมื่อพ.ศ. 2518 แม้พรรคกิจสังคมจะได้รับเลือกมาเพียง 18 คน แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชก็สามารถเป็นแกนกลางในการจัดตั้งรัฐบาลผสม และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 12 สมีนาคม พ.ศ.2518 – 20 เมษายน 2519



ในส่วนที่เกี่ยวกับการประพันธ์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เริ่มเขียนบทสักวา บทความ และสารคดี ลงในหนังสือพิมพ์ “เกียรติศักดิ์” เป็นประจำ ตั้งแต่ช่วงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพ.ศ. 2489 เพราะสละ ลิขิตกุลบรรณาธิการยุคนั้นผู้สนิทคุ้นเคยขอร้องให้ช่วยเขียน และได้กลายเป็นนักเขียนจริงจังเมื่อออกหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” รายวันของตนเอง ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 เป็นตันมา โดยระยะแรก ถูกบรรณาธิการคือ สละ ลิขิตกุล ของให้เขียนวันละ 3 เรื่อง มีเรื่องยาวประจำคือ สามก๊กฉบับ นายทุน บทบรรณาธิการ และเก็บเล็กผสมน้อย ในระยะต่อมาก็มีงานเขียนอื่นๆ อีกมาก รวมทุกประเภทมากกว่าร้อยเรื่องและล้วนได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างกว้างขวางทั้งสิ้นนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน กับ ไผ่แดง ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ หลายชีวิต แปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงได้ประกาศให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เมื่อ พ.ศ. 2528



ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช สมรสกับ ม.ร.ว. พักตร์พริ้ง ทองใหญ่ มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ ม.ล.รองฤทธิ์ และ ม.ล.วิสุมิตรา ปราโมช ต่อมาแม้จะหย่าขาดจากกัน แต่ต่างก็ไม่สมรสใหม่และไม่ได้โกรธเคืองกัน โดย ม.ร.ว.พักตร์พริ้งอยู่กับลูกชายคือ ม.ล.รองฤทธิ์ ที่บ้านในซอยสวนพลูติดกับบ้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และยังไปมาดูแลทุกข์สุขกันเสมอ



ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายบทบาท ทั้งในฐานะนักการเมือง นักการธนาคาร นักพูด นักเขียน ศิลปินระดับที่เคยร่วมแสดงภาพยนตร์กับฮอลลีวู้ด และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งคณะโขนนักศึกษาธรรมศาสตร์ ฯลฯ จนได้รับยกย่องเป็นปราชญ์ของเมืองไทยที่ชาวต่างประเทศยอมรับกว้างขวาง และได้รับพระราชทานยศกรณีพิเศษเป็นพลตรี แต่ที่นับว่าประสบความสำเร็จสูงสุดและได้กระทำอย่างต่อเนื่องมากที่สุดคือ งานประพันธ์ แม้ในระยะหลังเมื่อมีอายุมากแบ้ว สุขภาพไม่แข็งแรงนักก็ยังเขียนบทความในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน อยู่เป็นประจำ รวมทั้งนวนิยายเรื่องสุดท้ายคือ “กาเหว่าที่บางเพลง”



ผลงานรวมเล่ม

นวนิยาย

- สี่แผ่นดิน

- ไผ่แดง

- กาเหว่าที่บางเพลง

- ซูสีไทเฮา

- สามก๊กฉบับนายทุน

- ราโชมอน

รวมเรื่องสั้น

- มอม

- เพื่อนนอน

- หลายชีวิต

- สารคดี

- ฉากญี่ปุ่น

- ยิว

- เจ้าโลก

- สงครามผิว

- คนของโลก

- ชมสวน

- ธรรมคดี

- น้ำพริก

- ฝรั่งศักดินา

- สรรพสัตว์

- สัพเพเหระคดี

- ข้อคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย

- โครงกระดูกในตู้

- พม่าเสียเมือง

- ถกเขมร

- เก็บเล็กผสมน้อย

- เบ้งเฮ็ก ผู้ถูกกลืนทั้งเป็น

- เมืองมายา

- เรื่องขำขัน

- โจโฉ นายกฯ-ตลอดกาล

- กฤฎาภินิหารอันบิดบังมิได้

- คนรักหมา

- ตลาดนัด

- นิกายเซน

- บันเทิงเริงรมย์

- วัยรุ่น

- สงครามเย็น

- อโรคยา

บทละครเวที

- ลูกคุณหลวง



เกียรติยศที่ได้รับ

- พ.ศ. 2531 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศจากสิบตรี เป็นพลตรี (ทหารราชองครักษ์พิเศษ)

- ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำ พ.ศ. 2528


ปัจจุบัน

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ป่วยด้วยโรคหัวใจจนต้องเข้ารับการผ่าตัดที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพ.ศ. 2530 และเข้ารับการรักษาพยาบาลเรื่อยมาเป็นระยะๆ จนกระทั้งถึงแก่อัญกรรม ณ โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538

หนังสืออ้างอิง
ขอขอบคุณข้อมูลบ้างส่วนที่ได้จากหนังสือนักประพันธ์ไทย ของสำนักพิมพ์สุวีริยาสาส์น ...
  
เส้นทางสู่นักเขียน
เส้นทางความสำเร็จของนักเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การเป็นนักเขียนที่ดีต้องมีความอดทน มีความตั้งใจและต้องมีใจรัก
เส้นทางสู่การเป็นนักเขียน เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่มีคนต้องการหรือปรารถนาอยากจะเป็น ซึ่งหลายๆท่านมีวิธีการต่างๆ ในการเดินสู่ความสำเร็จในการเป็นนักเขียนที่แตกต่างกัน ท่านผู้อ่านเองก็สามารถสร้างเส้นทางของท่านได้เช่นกัน ในบทความฉบับนี้ กระผมขอแนะนำหลักคิดคือ 6 ต.
1.ต้องเริ่มก่อน “ ระยะทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มจากก้าวแรก ” ในการเขียนบทความหรือการเขียนงานเขียนประเภทต่างๆ เราจะต้องเริ่มก่อน ถ้าเราเขียนบทความฉบับแรกได้ บทความฉบับที่สองก็มักจะตามมา หรือถ้าเราทำหนังสือเล่มแรกออกมาวางขายได้ในท้องตลาด หนังสือเล่มที่สองก็จะทำได้ง่ายขึ้น
2.ต้องศรัทธาและมุ่งมั่น ถ้าท่านมีความศรัทธาในตนเองและมีความมุ่งมั่น พยายาม อดทน ท่านก็จะได้ผลงานเขียนที่ออกมาดี ฉะนั้น ท่านอย่าได้ท้อแท้เสียก่อนเวลาอันควร นักเขียนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ไม่ใช่ใช้เวลาเขียนแค่วันสองวัน บางคนใช้เวลาสะสมประสบการณ์ในการเขียนเป็นสิบๆ ปี ถึงจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นอย่าใจเร็วด่วนได้ จงสร้างความศรัทธาในตัวเองและมุ่งมั่น ในการสร้างผลงานเขียนของตนเองอย่างต่อเนื่อง
3.ต้องเลือกเรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด การเขียนและงานเขียนมีหลายแนว นักเขียนจะต้องรู้จักตนเองก่อนว่าตนชอบการเขียนและงานเขียนในแนวไหน หากเรารู้ว่าตนชอบงานเขียนในแนวไหน เราก็มักจะเขียนได้ดีกว่า การเขียนหรือแนวเขียนที่เราไม่ชอบหรือมีความถนัด หากไม่รู้ว่าตนเองชอบงานเขียนในแนวไหน กระผมแนะนำให้ลองเข้าห้องสมุดแล้วสังเกตดูว่าตนเองชอบอ่านหนังสือประเภทไหน แนวไหน คนเรามักชอบอ่านหนังสือในแนวที่ตนเองชอบและถนัด
4.ต้องสะสมข้อมูล ไม่ว่าจากการอ่านหรือการฟัง โดยเฉพาะเรื่องของการอ่านมีความสำคัญมากๆ สำหรับผู้ต้องการเป็นนักเขียนมืออาชีพ “ ถ้าไม่ได้เป็นนักอ่าน ก็อย่าได้ริเป็นนักเขียน ” ดังนั้นท่านต้องอ่านมาก อ่านเพื่อสะสมข้อมูล อ่านอย่างเดียวไม่พอ หากท่านเอาแต่อ่าน อ่านและอ่าน ท่านก็เป็นได้แค่นักอ่าน แต่หากท่านต้องการเป็นนักเขียน ท่านจำเป็นจะต้อง เขียน เขียน และเขียน การเขียนก็เหมือนกับการว่ายน้ำ หากอ่านหนังสือว่ายน้ำอย่างเดียวโดยไม่ยอมลงไปว่ายน้ำ ท่านก็ไม่สามารถว่ายน้ำเป็น งานเขียนก็เช่นกันท่านจำเป็นจะต้องเขียน ไม่ใช่ได้แต่อยาก ได้แต่คิด แต่ไม่ยอมลงมือเขียน
5.ต้องกล้าที่จะถูกวิจารณ์ บางท่านไม่ยอมเขียน เนื่องจากเกิดความกลัวว่าจะถูกคนวิจารณ์ว่าเขียนได้ไม่ดี บางท่านเขียนแล้วไม่กล้าที่จะไปให้คนดูหรือไม่ยอมพิมพ์ เนื่องจากกลัวเสียงวิจารณ์ต่างต่าง นานา ดังนั้นท่านจะต้องกล้าเสี่ยงต่อคำวิจารณ์ต่างๆ
6.ต้องคิดพัฒนางานเขียนอยู่เสมอ เมื่อท่านมีงานเขียนออกมาสู่ตลาดแล้ว ท่านควรพัฒนางานเขียนในเล่มต่อๆ ไป ให้มีคุณภาพไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เนื้อหา การใช้ภาษา การพิสูจน์ตัวอักษร การเพิ่มคุณค่าของหนังสือ และการตลาด
ดังนั้น บุคคลที่ต้องการเดินบนเส้นทางของนักเขียนจึงต้องมี 6 ต. คือ ต้องเริ่มต้น ต้องศรัธทาและมุ่งมั่น ต้องเลือกเรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด ต้องสะสมข้อมูล ต้องกล้าที่จะถูกวิจารณ์ และต้องคิดพัฒนางานเขียนอยู่เสมอ หากท่านผู้อ่านมีเป้าหมายที่ชัดเจนและต้องการเดินในเส้นทางนี้ 6 ต. จึงเป็นคำแนะนำที่กระผมเชื่อว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ผมหวังว่าสักวันหนึ่งท่านคงประสบความสำเร็จในการเขียนหรือเป็นนักเขียนดังเจตนาที่ท่านต้องการทุกท่านครับ
เขียนวันนี้ให้ดีที่สุดและเขียนพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวานนี้
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  [101]  [102]  [103]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.