หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
อ.จตุพล ชมภูนิช
การศึกษา

มัธยมศึกษา
มัธยมจากโรงเรียนปทุมคงคา
ปริญญาตรี
นิติศาสตร์บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปริญญาโท
สาขา รัฐประศาสนศาตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

ปัจจุบัน

- ประธานกรรมการบริษัท เทรน แอนด์ ทอล์ค จำกัด
- ผู้อำนวยการสถาบันฝึกอบรมเทรน แอนด์ ทอล์ค
- ได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นฑูตไอโอดีน
- พิธีกร, วิทยากรทอล์คโชว์และวิทยากร รับเชิญบรรยายทั้งภาครัฐและเอกชน
...
  
ศิลปะการพูด(วิธีเอาชนะใจคน)
แต่งโดย ดร.อดิศร เพียงเกษ พิมพ์ครั้งที่ 1 ราคา 100 บาท
คำนิยมเขียนโดย นายจาตุรนต์ ฉายแสง , รศ.ดร.พีรสิทธิ์ คำนวณศิลป์ และ ผศ.ดร.ธีรยุทธ พึ่งเทียร
กระผมซื้อที่ ร้านซีเอ็ด พะเยา เป็นหนังสือเกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชนเล่มเล็กๆ ซึ่งมีเนื้อหาภายในที่เป็นประโยชน์ เช่น วิธีเอาชนะใจคน , การพูดเป็นศิลปะ , จิตวิทยากับการพูด , หลักการและวิธีการเทศน์ และขอสรุปเป็นคำกลอน ช่วงสุดท้ายมีประวัติผู้เขียน
...
  
คุณสมบัติของนักจัดรายการวิทยุ
คุณสมบัติของนักจัดรายการวิทยุ
โดย...นายศักดิ์ชาย เรืองฤทธิ์
เจ้าหน้าที่บริหารงาน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ
งานสื่อสารมวลชน ถือว่าเป็นศาสตร์สำคัญยิ่งในโลกยุคปัจจุบันที่จำเป็นต้องมีความฉับไวในการ
ส่งและรับข่าวสารตามการเปลี่ยนแปลงของโลกทุกชั่วโมง ทุกนาที ความรู้สึกนึกคิดของคนเราก็มีการ
พัฒนาสูงขึ้นไปด้วย งานสื่อสารจึงเปรียบเสมือนอาหารจำเป็นสำหรับสมองของคนไปด้วย โดยเฉพาะสื่อ
ประเภทวิทยุ ซึ่งถือว่าเป็นสื่อสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ทุกสัมมาอาชีพและทุกฐานะก็ว่าได้ และผู้ที่จะ
สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ออกมาให้เราได้ยินได้ฟังก็คือ “นักจัดรายการวิทยุ” หรือ “ดีเจ”
“นักจัดรายการวิทยุ” หรือ “ดีเจ” (ย่อมาจาก Disc Jockey หมายถึงผู้จัดรายการเพลงประกอบ
ความรู้เกี่ยวกับเพลง หรือเรื่องอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง ในสถานที่ฟังเพลง) ความเป็นผู้ที่มี
ความรู้ ความสามารถตรงกับรายการที่จัดและตรงกับนโยบายของสถานีวิทยุกระจายเสียงและจัดรายการให้
ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มผู้ทำงาน นักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มพ่อบ้านแม่บ้าน เกษตรกร ผู้สูงวัย
หรือชุมชนท้องถิ่น
นักจัดรายการหรือดีเจ ที่ได้รับความสนใจในปัจจุบัน มักจะเป็นดีเจที่จัดรายการให้กลุ่มนักเรียน
และนักศึกษาวัยรุ่น โดยให้ความรู้ทั่วไป สลับกับการเปิดเพลงประกอบหรือรายการบันเทิง แต่ใน
ขณะเดียวกัน จะพบว่า นักจัดรายการหรือดีเจ ที่ได้รับความสนใจกับกลุ่มผู้ฟังที่เป็นวัยผู้ใหญ่มักเป็นรายการ
ที่ให้ความรู้ในด้านทั่วไป การใช้ชีวิต และเป็นการพูดคุยโดยเฉพาะการพูดคุยกันในภาษาถิ่นของตนเอง
นักจัดรายการ หรือดีเจ ควรมีคุณสมบัติของการเป็นผู้ประกาศที่ดีดังนี้
1. มีความสามารถในการใช้ภาษาพูด ต้องชัดเจน ถูกต้อง และคล่องแคล่ว รู้จักการปรับใช้น้ำเสียงให้
เหมาะสมกับเวลา โอกาส และ รูปแบบ รายการ
2. เป็นผู้อ่านหนังสือได้อย่างแตกฉานเข้าใจข้อความ และเก็บข้อความที่อ่านได้อย่างถูกต้อง สามารถ
ถ่ายทอดความคิดออกมาได้อย่างชัดเจน มีความคิดสร้างสรรค์
3. สามารถควบคุมอารมณ์ได้ทุกสถานการณ์ เพื่อควบคุมน้ำเสียงที่ประกาศให้น่าฟังอยู่เสมอ มีน้ำเสียง
น่าฟังยอมรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่น ๆ
4. มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางเทคนิคการกระจายเสียงพอควร
5. เป็นผู้แสวงหาความรู้รอบตัวอยู่เสมอ รักการอ่าน เป็นผู้ฟังที่ดีและรู้จักวิเคราะห์กับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้
รับทราบได้ดี
6. มีความตั้งใจที่จะทำอาชีพนี้ มีใจรัก และสนใจทางด้านศิลปะการสื่อความหมายประเภทต่าง ๆ ไม่
หลังกอบโกยผลประโยชน์และมีจรรยาบรรณ
2 บทความโดย นายศักดิ์ชาย เรืองฤทธิ์ ...
  
คำกล่าว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
คำกล่าว ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงวิชาการและปาฐกถาพิเศษ

เรื่องแนวทางการสร้างความเสมอภาค

และความเป็นธรรมทางกฎหมายสำหรับคนยากจน

ณ ห้องรพีพัฒนศักดิ์ เนติบัณฑิตยสภา

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2546 เวลา 09.30 น.



------------------------------------



กราบเรียนท่านประธานศาลฎีกา
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรม

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพรักทุกท่านครับ

ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาแสดงปาฐกถาเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของแนวทางการสร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางกฎหมายสำหรับคนยากจน ความจริงแล้วเรื่องนี้ผมได้พูดกับดร.กิตติพงษ์ฯ ตอนที่ผมกำลังตั้งพรรค ถึงแนวทางการปฏิรูปกฎหมาย ผมบอกกับดร.กิตติพงษ์ฯ ว่าเราคงต้องกลับไปตั้งต้นที่ปัญหาทั้งหมด ถ้าหากว่าเราจะมาปรับปรุงตรงปลายทางหรือระหว่างทาง คงจะไม่แก้ปัญหาเท่าไรนัก เราคงต้องไปดูย้อนไปทั้งภาพรวมของระบบสังคม ระบบประชาธิปไตยของเรา เราเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่ถือว่าก้าวหน้ามากในเอเชีย แต่ประชาธิปไตยนั้นเป็นเครื่องมือที่เราใช้เพื่อบรรลุถึงความผาสุกของประชาชน และความก้าวหน้าของประเทศชาติ แต่หลายต่อหลายครั้ง เราพยายามเอาประชาธิปไตยเป็นปลายทาง (Ends by itself ) ซึ่งไม่ใช่ เป็นเพียง Means to and end เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราจะต้องกลับมานั่งดูว่าสังคมเราทุกวันนี้ทำไมยิ่งพัฒนา ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยถึงมากขึ้น แล้วเราก็ต้องกลับมาดูว่าแล้วคนจนเหล่านี้ทำไมเขาไม่มีโอกาส Vicious cycleหรือวงจรอุบาทว์ที่เกิดความยากจน ที่ทำให้ความยากจนนั้นยังอยู่ และไม่สิ้นสุดคืออะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องของกฎหมาย เรื่องของการอำนวยความยุติธรรมของสังคมไทย

นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังพยายามถามตัวเอง และพูดกับผู้รู้หลายท่าน เลยอยากจะเอาสิ่งที่เป็นข้อห่วงใยของผมมาพูดคุยกับท่านในวันนี้ ซึ่งผมได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านประธานศาลฎีกานั่งฟังอยู่ด้วย ท่านผู้พิพากษา ท่านผู้ใช้กฎหมายทั้งหลาย แต่ว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ออกกฎหมาย เพราะฉะนั้นผู้ใช้กฎหมายจะเป็นผู้ที่ช่วยกับฝ่ายวิจัย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการวิจัยก็มาด้วยวันนี้ เพื่อจะทำการวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าทำอย่างไรเราถึงจะมีกฎหมายที่ 1.เริ่มต้นตั้งแต่มีกฎหมายที่เป็นธรรมจริง

2. การบังคับใช้ต้องเป็นธรรมจริง 3.ระบบกระบวนการอำนวยการยุติธรรมต้องเป็นธรรมจริง เป็นขั้นตอนของมัน เพราะฉะนั้นท่านอยู่ในขั้นตอนของการใช้ การบังคับใช้ แต่ท่านไม่ได้อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย แต่แน่นอนทางอ้อมท่านทั้งนั้น ทางอ้อมพวกท่านทั้งหลายที่จะช่วยฝ่ายการเมืองในการร่างกฎหมาย โดยเฉพาะกฤษฎีกา เพราะฉะนั้นผมเลยถือว่าเป็นเกียรติและดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเป็นห่วงในเรื่องของความยุติธรรมที่คนจนไม่มีโอกาส

วันนี้รัฐบาลประกาศแล้วว่าอีก 6 ปีความยากจนต้องหมดจากแผ่นดินไทย เพราะฉะนั้นความยากจนจะหมดจากแผ่นดินไทยนั้นจะเอาระบบเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ ระบบปัญหาสังคมเป็นปัญหาระบบหนึ่งที่ไปเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของคนจน เพราะฉะนั้นวันนี้ผมอาจจะพูดกว้างนิดหน่อย เพื่อให้ท่านได้ลองดูว่าท่านคิดอย่างไรจากการที่ผมมีความรู้สึกอย่างนี้ ท่านลองมองข้อเท็จจริงของอาชญากรรมทางสังคม (Social reality of crime) ผมจะพยายามมองเรื่องอาชญากรรมก่อน เพราะอาชญากรรมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนจนมาก ท่านมองความเป็นจริงทางสภาพสังคมของอาชญากรรมทั้งหลาย คนจน อาชญากร ส่วนใหญ่ของอาชญากรคือคนจนใช่ไหมครับ ส่วนใหญ่ของเหยื่อทางอาชญากรรมก็คือคนจนใช่ไหมครับ นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องกลับมาถามว่าทำไม ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น

ถ้าไปพยายามถามอีกว่าทฤษฎีที่จะสามารถอธิบายสาเหตุแห่งอาชญากรรมได้นั้นมีกี่ทฤษฎี มีเยอะมาก ถ้าท่านทำวิจัย ท่านจะเข้าใจเรื่องของ Multiple regression ที่จะใช้ตัวแปร(variable)หลายตัวเป็นตัวอธิบายว่าอะไรคืออาชญากรรม หรือถ้าท่านเก็บสถิติของอาชญากรทั้งหลายที่เกิดขึ้น แล้วดูว่าพฤติกรรมแห่งการก่ออาชญากรรมของเขานั้นคืออะไร อะไรคือแรงบันดาลใจของเขา มีหลายทฤษฎีที่อธิบาย ไม่มีทฤษฎีเดียวอธิบายสาเหตุของอาชญากรรมได้เลย เราคิดไปโบราณโน่นเลยครับ ตั้งแต่สมัยปี 1939 สมัยของเอ็ดวิน ซัทเทอร์แลนด์ พูดถึง Theory of differential association นั้นคือซัทเทอร์แลนด์พูดถึงเรื่องของอาชญากรรมนั้นสามารถอธิบายได้อันหนึ่งคือว่าโอกาสในการที่สมาคมของคนไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับภาษิตของเรา คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล ก็คล้าย ๆ กันคือหมายความว่าคนที่เป็นอาชญากรส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในสังคมซึ่งเกี่ยวพันกับคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรม หรือเป็นอาชญากรมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ จะเป็นลักษณะคล้าย ๆ อย่างนั้น เหมือนกับที่พูดกันถึงเรื่อง Slum and Ghetto ทฤษฎีของ Cloward and Olin พูดถึงโอกาสที่ไม่เท่ากันของคนในสังคม (Theory of differential opportunity)

สิ่งเหล่านี้วกกลับมาที่เรื่องอธิบายว่าทำไมถึงมีปัญหาเรื่องความยากจนต่ออาชญากรรม หรือทฤษฎีของชอร์ แอนด์แม็คเคย์ Concentric Circle Theory ที่ไปศึกษาเรื่องชิคาโก้ พบว่าเขตธุรกิจกลาง (Central Business District) หรือ CBD ของเมืองนั้นจะเป็นลักษณะของจุดใจกลาง และจะมีวงกลมรอบ แล้ววงกลมรอบระหว่างเมืองกับชานเมือง (Suburb) มักจะเป็นที่อยู่ของคนจนที่เป็นชุมชนแออัด

แล้วแนวโน้มอาชญากรรมมักจะเกิดแถบนั้นมากที่สุด ความจริงแล้วทุกอย่างคือปลายเหตุหมด แต่ว่าไปอธิบายย้อนหลัง ทฤษฎีมักจะเก็บข้อมูลของสิ่งที่เกิดแล้ว และอธิบายย้อนหลัง เพราะฉะนั้นจะต้องคิดย้อนกลับมาอีกทีว่าจริง ๆ คืออะไร นี่ผมพยายามพูดกว้าง ๆ ให้ท่านรู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องของคนจน เรื่องราวคนจน ก่อนที่จะมาถามว่ามันคืออะไร นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับคนจนทั้งนั้น ทฤษฎีต่าง ๆ ก็อธิบายประกอบเป็นแบบนั้น แล้วหลังจากนั้นก็มีคนพยายามอธิบายอยู่ตลอดเวลาว่ามันเกิดจากอะไรกันบ้าง โดยสรุปเราจะต้องกลับมาดูว่าระบบการเมืองที่เขาไปวิเคราะห์เรื่องของเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) ไปวิเคราะห์กันถึงเรื่องระบบของการใช้การบริหารเศรษฐกิจแบบทุนนิยมคือประชาธิปไตย ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยบริหารเศรษฐกิจแบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

เศรษฐกิจทุนนิยมเป็นเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยต่อคนที่แข็งแรงกว่า ให้ได้เปรียบคนที่อ่อนแอ

กว่าตลอดเวลา เพราะอะไร ความจริงแล้วถามว่าประชาธิไตยไม่ดีหรือ ดีมาก ประชาธิปไตยถือหลักกติกาว่า กติกาเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน แต่ลืมนับไปว่าวันที่เราเป่านกหวีดบอกว่าใช้กติกาเดียวกัน กฎหมายเดียวกันนั้นคนมีความแตกต่าง ไม่เหมือนกอล์ฟ กอล์ฟนี่คนมือด้อยกว่าให้แต้มต่อ (Handicap) ใช้กฎกติกาเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน ทีออฟจากทีเดียวกัน ใช้พาร์ 4 ก็ 4 เหมือนกันแต่ให้แต้มต่อว่าคุณเอาแต้มต่อไปเท่าไร ประชาธิปไตยไม่ใช่ ไม่มีแต้มต่อ เป่านกหวีดปี๊ดทุกคนต้องเข้าแข่งขัน ในภาวะที่แตกต่างกันก็ต้องเข้าแข่งขันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการแข่งขันเหมือนกับว่าคนจนคือคนที่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล คนที่รวยหรือคนที่อยู่ในฐานะทางสังคมที่ดีกว่า เปรียบเสมือนคนที่ฟิตร่างกายแข็งแรง แล้วบอกว่าไปวิ่งมาราธอนแข่งกัน ใช้กติกาเดียวกันออกจุดเริ่มต้นที่เดียวกัน ซึ่งยิ่งแข่งช่องว่างก็ยิ่งห่าง เพราะฉะนั้นกฎหมายกติกาต่าง ๆ ที่เราออกมานี้ เป็นกฎหมายที่ถูกต้องโดยหลัก ถ้าเราไปมองจุด ณ เดี๋ยวนี้ แต่เราต้องกลับไปย้อนว่าเราได้เริ่มต้นถูกหรือยัง

ที่ผมพูดอย่างนี้คือว่าเราต้องคิดวิธีการทำอย่างไร ภายใต้ระบบประชาธิปไตยที่จะมีกติกาที่ให้โอกาส หรือให้โอกาสคนที่ยากจนทั้งหลาย หรือคนที่อ่อนแอ คนที่มีโอกาสในสังคมน้อยอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ผมยังไม่รู้ ท่านทั้งหลายอาจจะต้องแบ่งกันไปทำการวิเคราะห์ ท่านดูภราดรฯ ใช่ไหมครับ จบแม็ทช์แล้วทันเห็นการวิเคราะห์ขึ้นมาไหมครับ มี Ace เท่าไร มี double Fault เท่าไร แม้กระทั่งกีฬา ตะวันตกเขามีการวิเคราะห์ที่ชัดเจน การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เขามีการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว แล้วก็ยังวิเคราะห์เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกันของบริษัทคู่แข่ง แล้วก็ข้ามชาติ เพื่อมาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของบริษัทนั้น ก่อนจะตัดสินใจลงทุน ของเราถามกันว่าตัวไหนดี แล้วก็ลงทุนไป การวิเคราะห์สำคัญมาก

ผมหวังว่าการสัมมนาวันนี้จะเกิดการนำประเด็นต่าง ๆ เพื่อไปมีการวิเคราะห์ว่าผลกระทบของการทำอย่างนี้ เขามีกติกาอย่างนี้ มีผลต่อคนจนที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสในสังคมอย่างไร แล้วค่อยไปแก้ ต้องแก้ตั้งแต่ตัวกฎหมายเอง นักกฎหมายที่เรียนมากหน่อย ไม่ได้เรียนรายละเอียด Trick นี้ของกฎหมายเท่านั้น จะต้องเรียนทั้งปรัชญากฎหมาย (Philosophy of Law) ว่าทำไมต้องมีกฎหมายฉบับนี้ กฎหมายฉบับนี้ต้องการอะไร ต้องการเป้าหมายที่จะเห็นสังคมเป็นอย่างไรถึงต้องมีกฎหมายฉบับนี้ นั่นคือ ปรัชญา เรียนกฎหมายสังคม (Sociology of law) เรียนผลกระทบของกฎหมายนี้ต่อสังคม ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อสังคม แล้วตรวจสอบติดตาม แล้วก็ปรับปรุง ซึ่งรัฐบาลผม ผมได้มอบนโยบายไปแล้วว่าต่อไปการเขียนกฎหมาย ถ้าเป็นไปได้ให้มีจบเกมส์ คือมีบทหนึ่งที่บอกว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเป็นเวลา

กี่ปี เมื่อถึงเวลาเท่านั้นต้องจบด้วยตัวมันเอง ถ้ามันไม่จบ จำเป็นต้องใช้อยู่ ก็จะได้มีการทบทวน เพราะว่าโลกเปลี่ยนเร็วมากแต่กฎหมายคงที่มาก เราใช้กฎหมายเป็น ร.ศ.ก็ยังมีอยู่ ประกาศคณะปฏิวัติก็ยังใช้อยู่ ในขณะที่โลกไปถึงไหนก็ไม่รู้ แน่นอนครับกฎหมายบางกฎหมายเราใช้ ผมก็ไม่รู้ว่าระบบของเราคือไม่ทราบว่าจะใช้คำพิพากษาสูงเป็นตัวนำ คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นตัวชี้ ซึ่งจะสามารถแปลทิศทางได้ไปตามยุคสมัย แต่ว่ากฎหมายบางฉบับไม่ใช่อย่างนั้น

เพราะฉะนั้นตรงนี้คือสิ่งที่เราจะต้องกลับมานั่งดูกันว่าเราจะมีการวิเคราะห์อย่างไร เรื่องของความยากจน ทำไมผมถึงพยายามพูดถึงเรื่องของความยากจนกับเรื่องของกฎหมาย เรื่องความยุติธรรม ย้อนไปถึงโน่นเลยครับ 1859 สมัยคาร์ล มาร์คซ์ (Karl Marx )เขียนเรื่อง Critique of political economy เขาใช้คำว่า เศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดพอสมควรในหลายเรื่อง แน่นอนครับปัญหาเศรษฐกิจของสังคมไทยที่ต้องลำบาก ที่จนอยู่ทุกวันนี้ บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมได้ หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจก็เป็นปัญหาหนึ่ง เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นเรื่องที่การให้ความเป็นธรรมทางสังคม ความยากจนไม่ได้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่เราต้องร่วมกันทำ รัฐบาลก็ต้องทำเรื่องเศรษฐกิจ ท่านทั้งหลายต้องมาช่วยกันวิเคราะห์ว่าจะพิพากษาอย่างไร จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไร จะดำเนินกิจกรรมอย่างไร เรื่องนี้เป็นความเป็นจริงมานานแล้ว แต่การแก้ปัญหาไม่ได้แก้ปัญหาเหมือนที่เรากำลังนั่งคุยกันอย่างนี้ มันถึงยัง Prolong ไปเรื่อย

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือโบราณ ผมเชื่อว่าหลายท่านเคยได้ยิน ท่านประธานศาลฎีกาก็คงเคยได้ยิน หนังสือเรื่อง Oliver Twist ของ Charles Dikkens ค.ศ.1837 เขาไปพูดถึงเรื่องของผลกระทบสะสมของความยากจน เขาพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับอาชญากรรม เขาพูดถึงเรื่อง Accumulating effect เรื่องของอาชญากรรม เขาไปนั่งดูเรื่องของแหล่งเสื่อมโทรมทั้งหลาย พูดกันถึงแม้กระทั่งว่าคนเหล่านี้ความเป็นอยู่นั้นแย่ เรื่องเพศไม่ได้แยก นอนห้องเดียวกัน เรื่องของอากาศที่สะอาดทั้งหลาย เรื่องของคนที่ต้องออกมาวิ่งหาอากาศบริสุทธิ์ และเกิดปัญหาอาชญากรรม เพราะที่บ้านมันอึดอัด คือเรื่องของภาษา ภาษาที่เป็นมลพิษ เขาเรียกว่ามลพิษทางภาษา แต่วันนี้เดี๋ยวนี้วัยรุ่นของเราเริ่มใช้ภาษาแย่ลง

ผู้หญิงยังมึงกูเลย อันนี้คือสิ่งที่เขาพูดถึงเรื่องที่ว่าภาษาเหล่านี้ทำให้เกิดอาชญากรรมได้เหมือนกัน นั่นคือพูดกันตั้งแต่โบราณ คือสรุปให้รู้ว่าสภาวะแวดล้อมของคนจนนั้น เป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยให้เกิดอาชญา-

กรรมมาก ถ้าเรามีผู้คุมคนหนึ่งไปให้การต่อคณะกรรมาธิการทางด้านอาชญากรรมของอังกฤษสมัยโบราณ เขาไปวิเคราะห์คนที่ติดคุกทั้งหลาย เขาก็พูดอย่างนี้ เขาก็พูดว่าคนที่ติดคุกทั้งหลายส่วนใหญ่มาจากชุมชนแออัด มาจากความยากจน ก็เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเป็นปัญหาอย่างไร

สิ่งเหล่านี้มีมานานมากผมย้ำอีกครั้งว่ามีมานานมากจากการทำไม่ว่าจะเป็น Victimization Survey หรือการศึกษาแบบสอบถามด้วยตัวเอง (Self report study) คือถามคนทั่วไปว่าเคยทำอาชญากรรม ทำผิดกฎหมายอะไรบ้าง หรือว่าการที่ Victimization Survey เราก็จะเห็นว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในโลกนี้ที่โผล่มาเป็นบันทึกของทางราชการเป็นแค่ Tips of the iceberg จริง ๆ แล้วมีคนทำผิดกฎหมายมากมาย แต่ไม่ค่อยมาถึงชั้นตำรวจ จากตำรวจไปถึงอัยการก็เล็กลง จากอัยการถึงศาลก็เล็กลง จากศาลติดคุกก็น้อยลง แต่ว่าทุกขั้นตอนของการวิเคราะห์ออกมาแล้วจะพบว่า ส่วนใหญ่ของคนที่ทำผิดกฎหมายก็คือคนจน ของคนที่ถูกละเมิดตามกฎหมายก็คือคนจน อันนี้ที่ผมพูดเสียเยิ่นยาวก็เพราะว่าต้องการให้ท่านรู้ว่าเราต้องเริ่มตระหนักกันแล้ว ว่าเราจะบอกว่าผมจะมีทนายให้ จะเป็นทฤษฎีของ Miranda Warning ว่าคุณมีสิทธิที่จะปรึกษาทนาย คุณไม่จำเป็นต้องให้การอะไร ไม่ได้ผลครับ ที่จะได้ผลจริงๆ ต้องกลับไปดูว่ากฎหมายแต่ละฉบับ ค้นหา ใช้หลักกฎหมายทางสังคม (Sociology of law) หรือปรัชญากฎหมาย (Philosophy of law) มาคิดว่ากฎหมายแต่ละฉบับมีผลกระทบอย่างไร

แล้วขั้นตอนต่อไปที่ท่านทำวันนี้นั้นถูก วันนี้เรามีระบบการชี้ตัวพยาน คือถูกหมด แต่ว่าถ้ากฎหมายผิด สิ่งที่เราจะทำถูกมันก็ออกมาผิด เพราะเริ่มต้นผิด เราจะทำอย่างไร การวิจัย การทำ focus group ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจะต้องเกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ ขั้นตอนแรกที่เราต้องการจะย้ำคือเรื่องกฎหมาย ตัวกฎหมายที่เราพูดกัน ว่าตัวบทกฎหมายมันเป็นอย่างไร ขั้นที่สองคือกระบวนการพิจารณาเป็นอย่างไร แต่ละขั้นตอนนั้น แต่ขั้นตอนแรกสำคัญที่สุด ขั้นตอนต่อไปคือกระบวนการพิจารณา(Procedure) และแน่นอนครับขั้นตอนที่สำคัญและวันนี้ก็ยังเป็นปัญหาอยู่คือระบบยุติธรรม ระบบของการอำนวยความยุติธรรมยังมีปัญหาอยู่ในทุกระดับ แน่นอนครับสังคมไทยเรา โดยเฉพาะคอรัปชั่นยังมีอยู่มากในทุกระบบ ยิ่งมีคอรัปชั่นเท่าไรคนจนยิ่งเสียเปรียบในกระบวนการยุติธรรมมากเท่านั้น แม้กระทั่งในอเมริกา สมัยที่ผมไปเรียนมีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง “ A Fine Judge Money Can Buy ” อเมริกาเองยังมีปัญหาตัวนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องคอรัปชั่นก็เป็นจุดหนึ่ง

ผมกำลังเรียกร้องว่าระบบหรือกฎหมายทุกอย่างนี้ถึงแม้ว่าเราจะเป็น Adversary system เราจะมีการ Contest ทางด้านหลักฐานระหว่างผู้กล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหา ระหว่างโจทก์กับจำเลยก็ตาม เทคนิคของกฎหมาย เทคนิคของการต่อสู้กันทางกฎหมาย เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้คนจนเสียเปรียบอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นระบบจะต้องเป็นลักษณะของทุกอย่างต้องมีความโปร่งใสสูง ไม่ต้องมีความซับซ้อนมากเท่าไร นั่นคือสิ่งที่ดี ทุกอย่างมี Accurate ชัดเจน ขั้นตอนสามารถทำนายได้ว่าทำอย่างนี้ติดคุกแน่นอน สามารถทำนายได้ว่าทำอย่างนี้ไม่ติดคุก ไม่ผิด ต้องสามารถทำนายได้ว่าทำอย่างนี้ยาวแน่คุก ทำอย่างนี้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป หรืออะไรทำนองนี้ ต้องชัดเจน ถึงเราจะมีคำพูดว่า Prove beyond reasonable doubt แต่แน่นอนถ้าเราสามารถทำให้กฎหมายและขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจน ง่าย เข้าใจง่ายเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น แต่ว่าของเราตรงข้ามครับ ถ้าเขียนไม่หรู ไม่เท่ ไม่หล่อ

ผมอยากเห็นกฎหมาย ภาษาที่ชาวบ้านอ่านแล้วเข้าใจง่าย ๆ ไม่ต้องมีภาษาอื่นที่ลวดลายมากนัก เพราะว่าเราต้องคิดว่านี่เรากำลังจะบังคับใช้กฎหมายต่อคนทั่วไป เพราะฉะนั้นคนที่จะต้องถูกบังคับใช้กฎหมายต้องเข้าใจกฎหมาย และประชาสัมพันธ์ของกฎหมายใหม่ ๆ ต้องเกิดขึ้น แน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Mala Prohibita กฎหมายสองส่วน Mala in Se Mala Prohibita / Mala in Se นี่ส่วนใหญ่แล้วกระทบต่อจรรยาบรรณชัดเจนว่าฆ่าคนตายผิดแน่นอน อย่าง Mala Prohibita ทั้งหลาย เป็นเครื่องมือหากินของผู้บังคับใช้กฎหมาย เพราะฉะนั้นต้องชัดเจน ต้องมีการประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน ต้องทำความเข้าใจตรงนั้น ซึ่งตรงนี้เหมือนกับว่าเรากำลังจะปฏิรูประบบกฎหมายครั้งสำคัญของชาติ และแน่นอนครับ อย่าไปคิดว่าตะวันตกทำอย่างนี้แล้วเลียนแบบ อย่าเลียนแบบ หามุมดี ๆ ของทุกที่ แล้วมาสร้างเป็นสูตรใหม่ของสูตรประเทศไทย

ผมเรียน P.hd.ทางอาชญาวิทยา (Criminal Justice) ขอยืนยันอีกครั้งว่า No Universal theory to explain crime ไม่มีทฤษฎีครอบจักรวาลที่อธิบายอาชญากรรมได้ ไม่มีใครที่สามารถอธิบายอาชญากรรมด้วยเรื่องเดียว เพราะฉะนั้นปัญหาซับซ้อนละเอียด เป็นเรื่องที่เราจะต้องคิดทฤษฎีของเราขึ้นมา ผมไปเรียนจนจบปริญญาเอก ผมก็รู้ว่าเป็นปัญหาโลกแตก จน Emile Durkheim บอกว่าอาชญากรรมคือปรากฏการณ์ทางสังคม (Crime is a social phenomenon.) สรุปแล้วคือว่ายังไง ๆ โลกก็ต้องมีอาชญากรรม คือไม่รู้จะหาทางทำอย่างไรถึงอาชญากรรมไม่มี เพราะฉะนั้นมันมีแน่นอน กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม แต่ถ้ามีมากเกินกว่าที่สังคมจะดูดซึมรับเอา (Absorb) สิ่งเหล่านี้ได้ สังคมนั้นไม่มีระเบียบ (Chaos) เพราะฉะนั้นก็คือสิ่งที่เราเองจะต้องคิดวิธีของเรา ไม่จำเป็นต้องไปลอกเลียนที่ไหน แต่ว่าศึกษาความก้าวหน้าในแต่ละที่แล้วเอามาประยุกต์ใช้ ขอย้ำอีกครั้งว่าเราต้องเริ่มต้นตั้งแต่คำว่ากฎหมาย วันนี้เราเสียเวลา เราใช้เวลาและถูกต้อง แต่ว่าถูกครึ่งเดียว ก็คือเราไปปรับปรุงกระบวนการวิธีพิจารณา เราไปปรับปรุงระบบของการบริหารงานยุติธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้องและต้องทำต่อไป แต่ว่าถูกครึ่งเดียว ครึ่งแรกสำคัญที่สุดคือครึ่งที่ทำอย่างไรให้กฎหมายได้กฎหมายที่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทลงโทษ วิธีการ

ลงโทษ

ผมพูดหลายครั้ง เรื่องการกักขังแทนค่าปรับ ดูเหมือนเป็นธรรมแต่ไม่เป็นธรรม บางคนกินอาหารมื้อหนึ่ง 40,000 – 50,000 บาท แต่บางคน 1,000 บาทไม่มีติดครอบครัว ถ้าโดนกักขังแทนค่าปรับคือโดนจำคุก หนักกว่าโทษจำคุกเสียอีก โทษจำคุกบอกว่าจำคุกแค่นี้หมู จำคุกไป 30 วัน แต่ปรากฏว่าพอขังแทนค่าปรับ โดน 6 เดือน นี่คือสิ่งที่เราจะต้องกลับมาดูทั้งหมด สกว.อยู่ที่นี่ดีแล้ว ให้มีการวิจัยทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่าเราควรจะมีกฎหมายอย่างไร เพื่อให้คนจนนั้นได้มีโอกาส เรื่องของการลงโทษเช่นกัน ความแน่นอนของการถูกลงโทษ (Certainty of punishment) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ว่า ความแน่นอนของการถูกลงโทษของผู้ที่กระทำความผิดนั้นไม่ค่อยมี หลายเรื่องต้องรอนโยบาย เช่น ยาเสพติด 20 กว่าปีที่ทำลายลูกหลานเรามา เราก็ทำกันไปกระท่อนกระแท่น พอคอรัปชั่นเกิดขึ้น การรับเงินจากผู้ค้ายาเสพติดเลยเริ่มเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอนโยบายเอาจริงก็เอาอยู่ ไม่มีอะไรใต้ฟ้าเมืองไทยที่คนไทยทำไม่ได้ ทำได้หมดครับ แต่จะทำหรือไม่ทำ

เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องมาดูว่าคนกระทำความผิดต้องได้รับการลงโทษหลังจากที่เรามีระบบที่ชัดเจน ต้องชัดเจนครับ แต่ปรากฏว่าตำรวจชั้นผู้น้อยคือคนจน กลัวราศีคนรวย เคยเรียกรกเบนซ์จอดไหม ถ้าไม่ผิดอย่างโจ๋งครึ่มไม่มีเรียกหรอก แต่รถปิคอัพ รถมอเตอร์ไซค์เรียกทั้งวัน นี่เป็นธรรมชาติ อย่าไปว่าเขา แต่นี่คือสิ่งที่คือคนจนเป็นเหยื่อคนจนตลอดเวลาในสังคมประเทศกำลังพัฒนา ไม่ใช่ไทยอย่างเดียว คนแต่งตัวไม่ดีถูกว่าตายเลย อย่างบางคนอาจจะเป็นเศรษฐีแต่แต่งตัวปอน ๆ ถ้าหน้าไม่มีโหงวเฮ้งโดนว้ากเลย แต่พอแต่งตัวเรียบร้อยหน่อยก็ทำความเคารพเรียบร้อย เป็นธรรมชาติ อันนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่เราจะต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าเราทำให้ได้ แน่นอนหน้าที่รัฐบาลคือไปทำเรื่องเศรษฐกิจให้ดี ทำเรื่องสังคมให้ดี แล้วหน้าที่ของพวกท่านก็ต้องมาช่วยกันดูว่า โครงสร้างของกฎหมาย โครงสร้างของระบบการบริหารงานยุติธรรม การอำนวยความยุติธรรมจะทำอย่างไรถึงจะให้การเข้าสู่ระบบทำได้ง่าย ความเข้าใจระบบทำได้ง่าย อย่ามีเทคนิคมาก แน่นอนครับอาชีพคนเป็นทนายความต้องการเห็นเทคนิคเป็นตัวชี้ ยิ่งต้องใช้เทคนิคมากเท่าไร ค่าทนายก็แพงเท่านั้น แล้วผลสุดท้ายคือว่าชนะกันด้วยเทคนิคทั้ง ๆ ที่ชั่วแสนชั่ว แต่เทคนิคดีทนายดี แถมด้วยวิ่งดีอีกต่างหาก หลุด แล้วคนจนจะเอาอะไรมาสู้

ความโปร่งใสของระบบเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาเรื่องความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับคนจน ยิ่งเกี่ยวข้องกับเทคนิคน้อยเท่าไร ยิ่งทุกอย่างชัดเจนเท่าไร คนจนจะง่ายต่อการเข้าสู่ระบบ ยกตัวอย่างง่าย ๆ One stop service ของส่วนราชการทั้งหลาย ถ้ามีระบบ One stop service ให้เดินอย่างนี้แล้วไม่มีการต้องจ่ายใต้โต๊ะ ผู้ที่ทำธุรกิจและผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เหมือนกับผู้ประกอบการใหญ่ ๆ คล้าย ๆ กัน คนจนเราบอกว่ามีตั้งทนายให้ฟรี สมาคมทนายความมาช่วยคนจน ปลายเหตุครับ หลายเรื่องเราแก้ปัญหาด้วยปลายเหตุ เพราะฉะนั้นวันนี้ต้นเหตุอยากให้เห็นการเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นของการวิเคราะห์ อาจจะใช้เวลา 7 - 8 ปีเสร็จ ผมว่าทั้งโลกจะมาเรียนในประเทศไทย เพราะว่าไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วประเทศที่พัฒนาแล้ว ความยากจนของเขามีปัญหาน้อยมาก เขาจะสนใจเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจะมานั่งดูประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นตัวอย่างของการศึกษาการแก้ปัญหาระบบอาชญากรรม ระบบของกฎหมายที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของประชาชนนั้น อย่าไปรอครับ ทำเอง เรามีด็อกเตอร์ทางอาชญาวิทยา (Criminal Justice) เต็มประเทศ แต่ของผมนั้นลืมหมดแล้ว เพราะไม่ได้ใช้มานาน เพราะฉะนั้นเราเอาสิ่งที่รู้จากตะวันตก แล้วมองความล้มเหลว(Failure)ว่าทำไมเขาแก้ไม่ได้ อเมริกาใช้เงินมากมายเลย ยิ่งแก้ยิ่งมาก เพราะมันปลายเหตุ ต้นเหตุคือตัวลักษณะของกฎหมาย แล้วก็กระบวนการของกฎหมาย ของการบังคับใช้กฎหมาย วิแพ่ง วิอาญา หรือกฎหมายลักษณะพยานทั้งหลาย ก็ต้องมานั่งดูกันทั้งระบบ แต่ว่าเราแบ่งกลุ่มกันทำ ผลกระทบจะเน้นอย่างไร แล้วคนจนจะทำอย่างไร เราพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าไปแก้ปัญหาปลายเหตุ ทนายการกุศลกับทนายอาชีพนี่คนละมือเลยครับ

เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าเรื่องทั้งหมด 3 ขั้นตอนที่สำคัญคือเรื่องของตัวกฎหมาย ซึ่ง Philosophy of law / Sociology of law จะมีส่วนสำคัญ เพราะผู้ปกครองเป็นคนออกกฎหมาย แน่นอนครับเรามีระบบตัวแทน แต่ระบบตัวแทนอย่างไรก็ยังต้องไปยอม(Surrender)ต่ออำนาจปกครอง เพราะฉะนั้นนักวิชาการทั้งหลายจะต้องเข้าใจถึงว่าอำนาจปกครองมีแนวโน้มในการจะออกกฎหมาย เพื่อรักษาอำนาจในการเพิ่มอำนาจ (Empower) กลับไปที่คนจนไม่ค่อยมีมากนัก นาทีทองครับ วันนี้การเพิ่มอำนาจแก่ประชาชน (People empowerment) เป็นเรื่องสำคัญว่าเราจะต้องเพิ่มอำนาจประชาชน ที่เราเอาสิทธิของเขามามากเกินไปนั้น วันนี้ต้องทยอยคืนเขาไป เราจะละเมิดสิทธิ เอาสิทธิเอาเสรีภาพจากประชาชนมาเป็นเพื่อข้อกฎหมายนั้น ต้องเอามาเท่าที่จำเป็น เพื่อจะรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของเขาให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขตามทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social contract theory) เราต้องเอามาแค่นั้น แต่วันนี้เราต้องถามก่อนว่ากฎหมายฉบับนี้เราละเมิดสิทธิประชาชนมามากเกินไปหรือเปล่า เพิ่มอำนาจกลับไป นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องทำใน Concept นี้

ฝากให้ท่านไปช่วยกันคิด ผมคิดในรายละเอียดไม่ได้ แต่ว่ายกตัวอย่างเรื่องของภราดร ไปทำการวิเคราะห์ ท่านจะเห็น เมื่อพูดถึงภราดรผมนั่งจินตนาการ รับรองเลยคนที่ดูภราดร คนส่วนน้อยไม่ใช่ส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ที่ดูก็จะเชียร์และให้กำลังใจภราดร แต่คนส่วนน้อยตีเทนนิสไม่เป็น แต่จะวิจารณ์ว่าทำไม น่าจะไม่แพ้นะ คนที่ตีเทนนิสไม่เป็นจะวิจารณ์เก่งมาก ก็เหมือนกับคนที่ทำงานในเรื่องของการบริการสาธารณะ ซึ่งการบริการสาธารณะนี่งานที่ไม่มีคำว่าขอบคุณ และเป็นงานที่ไม่มีคำว่าจบ เพราะสังคมมีพลวัตมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา งานก็ไม่ต้องไปจบ ต้องมีการปรับตัวตลอดเวลา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ปรับระบบ ปรับกลไก ปรับนโยบายตลอด เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก เพราะฉะนั้นเป็นงานที่ไม่สิ้นสุด ท่านทั้งหลายที่ทำงานด้านนี้ถือว่าอย่างน้อยๆ คือเป็นความสุขที่เราคิดว่าเราได้ทำอะไรให้กับสังคมและประเทศชาติ ครั้งหนึ่งในชีวิต (Once in a life time) ทำอย่างไรถึงจะมีระบบที่ชัดเจน และมีเทคนิคน้อยหน่อย คือให้ Simple มากที่สุด มีคอรัปชั่นให้น้อยที่สุด บางครั้งเราก็อ้างว่าเงินเดือนน้อย แต่หลังจากขึ้นเงินเดือนมากแล้ว ผมก็ยังคิดว่าคอรัปชั่นลดลงไปไม่มากนัก เพราะฉะนั้นวันนี้ค่านิยมในสังคมมีส่วนทำให้ระบบคอรัปชั่นยังรุนแรงมากในทุกระดับ ทุกที่ เพราะฉะนั้นคอรัปชั่นใน Justice System นั่นก็คือเป็นสิ่งที่ถือว่าจะเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายกว่าในส่วนอื่น เพราะว่ากำลัง Define Justice ให้กับสังคม วันนี้ต้องขอให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้ระบบชัดเจนขึ้น

ผมหวังว่าการวิเคราะห์ใน 3 – 4 จุดที่ผมพูดไปนั้น คงจะเป็นประโยชน์ในการที่ท่านทั้งหลายจะสัมมนา เพื่อเอาไปใช้สำหรับการที่จะศึกษาต่อไป เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้โอกาสเขา คนจนทั้งหลายจะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก วงจรอุบาทว์ของคนจนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำลาย นั่นคือที่ผมเคยเล่าให้ฟัง คนจนนี่ ลูกเกิดมาเราเรียกว่าลูกคนจนเพราะพ่อแม่จน แล้วลูกก็ไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่คุณภาพต่ำ เรียนแล้วก็รู้น้อย ไม่สามารถเรียนต่อให้สูงขึ้นได้ ทั้งเงินและทั้ง

ศักยภาพทางสมอง เพราะเกิดจากการที่ได้เรียนโรงเรียนที่ไม่ค่อยดี แล้วคนเหล่านี้โตขึ้นมาก็เข้าสู่แรงงานที่เป็น แรงงานไร้ฝีมือ หรือเป็นชาวนา ผลสุดท้ายคนเหล่านี้มีลูกออกมาก็เรียกลูกคนจนต่อไป เพราะฉะนั้นหน้าที่ของรัฐบาลก็ต้องทำลายวงจรของความยากจน คือไปเพิ่มอำนาจให้พ่อแม่เขา ให้เขามีโอกาสมากขึ้น เพื่อให้เขาได้พ้นจากความยากจน หรืออย่างน้อย ๆ บรรเทาจากความยากจน และไปปรับปรุงเรื่องของโอกาสในการศึกษาให้กับลูกเขา เมื่อลูกเขาได้เรียนหนังสือมากขึ้น ลูกเขาจะมีโอกาสเข้าสู่งานที่มีความชำนาญมากขึ้น และลูกเขาจะมีโอกาสพ้นจากความยากจน ก็จะไม่มีลูกออกมาที่เรียกว่าลูกคนจนอีก

นั่นคือสิ่งที่จะต้องเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องทำ และแน่นอนว่าชุมชนแออัดทั้งหลาย เราจะทำให้หมดภายใน 5 ปีนี้ โดยการใช้โครงการบ้านมั่นคงที่เข้าไปร่วมกันกับประชาคมในชุมชนนั้น พร้อมกับสถาปนิก ไปจัดระบบสาธารณูปโภคใหม่ ออกแบบระบบใหม่ เพื่อบ้านใหม่ เพื่อให้เขาอยู่บ้านในสภาพที่มีอากาศถ่ายเท มีความเป็นอยู่ที่เป็นสัดส่วน และสามารถที่จะมีทะเบียนบ้าน สามารถที่จะมีสิทธิในการเข้าโรงเรียน สามารถที่จะมีมิเตอร์น้ำไฟได้ คือเราพอยิ่งมี Handicap เท่าไร ก็ยิ่งไปเพิ่มมากเท่านั้น เหมือนกับมีสิ่งที่ขวางกั้นเขาอยู่ เขาจะเขยิบพ้นนี่พ้นยาก มีกติกาทั้งหลาย กติกาอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าคุณอยู่อย่างนี้ บางครั้งต้องหลุดออกจากกรอบเดิมแล้วมองใหม่ แน่นอนถ้าเรามองมิติเดียวว่า ก็พวกนี้บุกรุกเพราะฉะนั้นอย่าให้ จะได้ไม่บุกรุกอีก แต่วันนี้เกินขีดที่เราจะเริ่มทำในสิ่งที่เสียไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่เคยมีเลย ออกกติกาได้ แต่เมื่อมีแล้ววันนี้ในกติกานี้ล้าสมัยแล้ว กติกาที่บอกว่าไม่ให้มีทะเบียนบ้าน ไม่ให้มีน้ำมีไฟ เริ่มล้าสมัยแล้วเพราะเลยไปแล้ว ก็เลยต้องใช้แนวคิดบ้านมั่นคงเข้าไปจัด เพื่อให้ความเป็นชุมชนแออัดหายไป แต่ว่าเราต้องพยายามขีดพื้นที่ไม่ให้มีการบุกรุกอีกต่อไป

หลายเรื่องที่ถูกเมื่อต้น ๆ เพราะฉะนั้นสักพักหนึ่งสิ่งที่ถูกจะเป็นสิ่งที่ถูกน้อยลงและในที่สุดผิด นั่นผมถึงพยายามบอกว่ากฎหมายต่อไปนี้ต้องมีอายุสิ้นสุด ถ้ายังจำเป็นอยู่ สังคมยังจำเป็นต้องใช้กฎหมายนี้อยู่ก็ต้องแก้ เมื่อไหน ๆ จะแก้แล้วก็ทบทวนมาตราบางมาตราเสียว่าล้าสมัยจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นกฎหมายจะทันสมัยตลอดเวลา ถ้าเราไปมีวันกำหนดวันสิ้นสุดของการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องนี้ก็ฝากเป็นข้อคิดไว้ว่าควรจะทำแค่ไหนอย่างไร แต่แน่นอนผู้ทำกฎหมายต้องมีวิสัยทัศน์ แน่นอนครับ กฎหมายนั้นต้องไม่เริ่มต้นเขียนด้วยนักกฎหมาย เพราะจะขาดปรัชญาของมัน ต้องเริ่มต้นเขียนด้วยคนที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เริ่มต้นโดยให้แนวความคิด เหมือนกับนักคอมพิวเตอร์ คือก่อนที่ System design จะเข้าไปออกแบบระบบ เขาต้องนั่งฟังผู้ปฏิบัติก่อนว่าอยากเห็นระบบเป็นอย่างไร ท้ายที่สุดอยากเห็นอะไร อธิบายหลักการ เสร็จแล้วเขาถึงจะเขียนขั้นตอน (Flow) ของงานแล้วถึงจะไปเขียนโปรแกรม คล้าย ๆ กันครับว่านักกฎหมายต้องเป็นที่ปรึกษาในเบื้องต้น แต่ไม่ใช่เป็นผู้ที่กำหนดโครงร่างของกฎหมายแต่ต้น ให้นักนั้น ๆ อย่างกฎหมายเศรษฐกิจ นักเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ต้องดู ดูเสร็จเรียบร้อยโดยมีนักกฎหมายเป็นที่ปรึกษา แล้วเข้าใจร่วมกันแล้ว นักกฎหมายจึงไปเขียนด้วยเทคนิคของกฎหมายที่ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องมาสังคายนาทั้งระบบ

กรณีที่เมื่อสักครู่ที่รัฐมนตรีฯ พงศ์เทพ ฯ พูดถึงเรื่องของ Alternative dispute resolutions ทั้งหลาย หรือ Alternative to Imprisonment ทั้งหลายนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายคนจน เป็นสิ่งที่จำเป็นและผมเห็นว่าหลายอย่างที่เป็นการแก้ปัญหาเรื่องความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) ที่เคยจัดสัมมนาที่ทำเนียบฯ ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราสามารถที่จะสร้างกลไกใหม่ๆ โดยเป็นระบบของเราเองที่เราคิดว่าจะให้ความเป็นธรรมต่อคนจนได้ เปิดโอกาสให้คนจนได้ลืมตาอ้าปากได้ ไม่ใช่คนจนก้าวออกจากบ้าน ก้าวเท้าซ้ายผิด เราต้องบอกให้ก้าวเท้าขวาอะไรทำนองนี้ ก็จะทำให้เขามีโอกาสในสังคมน้อยลง อันนี้ผมขอเสนอเป็นแนวคิดที่จะไปใช้สำหรับการสัมมนาต่อไป

หวังว่าถ้าเรามีระบบกฎหมายที่ดี แล้วทุกคนระวังในหลักกฎหมาย (Observe rule of law) ก็จะทำให้เกิดระบบที่เรียกว่าการปกป้องอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย (Equal protection under the law) แต่ก่อนอื่นต้องมั่นใจว่าเรามีกฎหมายที่ถูกต้อง ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้กรุณาให้เกียรติผมมาบรรยาย เพราะถือว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย แต่ให้วิตกกังวลในฐานะผู้ที่อาสาทำงานให้ประเทศ และมองเห็นปัญหาความยากจนเป็นปัญหาที่แก้ได้ และต้องแก้ คิดว่ากฎหมายเป็นกลไกสำคัญอันหนึ่งที่จะใช้สำหรับขจัดปัญหาความยากจนของประเทศ ฝากท่านทั้งหลายไว้ และขอให้มีส่วนในการช่วยให้ผู้ที่ออกกฎหมายในสภาฯ ได้เข้าใจปรัชญาของกฎหมายด้วย ขอขอบคุณอีกครั้งครับ ผมขอเปิดการสัมมนาฯ ขอบคุณครับ



-------------------------------------------



ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

วิมลมาส รัตนมณี/ ถอดเทป/พิมพ์

...
  
ทองใบ ทองเปาด์ 1
7
...
  
หลวงวิจิตรวาทการ
ประวัติชีวิตตอนต้น
หลวงวิจิตรวาทการ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พุทธศักราช 2441 เจ้าของประวัติบันทึกไว้ว่า "ข้าพเจ้าเกิดบนแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อรู้ความ เห็นบิดามารดาของข้าพเจ้ามีเรือพายม้าลำหนึ่ง แม่แจวหัว และพ่อแจวท้าย พวกข้าพเจ้าเป็นพวกมีลูกมาก แม่ของข้าพเจ้ามีลูกถึง 8 คน"

"แม่ของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตั้งแต่ตัวข้าพเจ้ายังเล็ก ข้าพเจ้าเริ่มลำดับความต่างๆ ได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จำได้ว่าพ่อเคยเขียน ก. ข. ใส่กระดานชนวนไว้ให้ในเวลากลางคืน และพอ 4 นาฬิกา ก็ต้องแจวเรือไปค้าขายสองคนกับแม่ เวลานอนก็นอนกับย่า ซึ่งเป็นคนจดจำนิยายต่างๆ ไว้ได้มาก และเล่าให้ฟังเสมอ จนกระทั่งเรื่องสังข์ทอง เรื่องรามเกียรติ์ เรื่องอิเหนา เรื่องพระอภัยมณี และเรื่องขุนช้างขุนแผนเหล่านี้ อยู่ในสมองของข้าพเจ้าหมดก่อนที่จะลงมืออ่านได้เอง เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้เข้าโรงเรียนวัดขวิด ตำบลสะแกกรัง สอบไล่ได้ชั้นประโยคประถม พ่อแม่ไม่มีทุนจะให้เข้าศึกษาต่อไป จึงเปลี่ยนวิธีใหม่ ได้เข้าศึกษาในทางธรรมอยู่ในวัดมหาธาตุตั้งแต่อายุ 13 ขวบ จนถึงอายุ 20 ปี สอบไล่ได้เปรียญ 5 ประโยค จึงออกจากวัด"

มีคนพูดกันแต่เดิมว่า หลวงวิจิตรวาทการ มีเชื้อสายเป็นจีน เพราะชื่อ "กิมเหลียง" ซึ่งเป็นชื่อเดิม ข้อนี้ตามเอกสารของหลวงวิจิตรวาทการยืนยันไว้เองว่า "มีประเพณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานีเวลานั้น คือ บิดามารดามีชื่อเป็นไทยแท้ๆ แต่ลูกต้องมีชื่อเป็นจีน บิดาของข้าพเจ้าชื่ออิน มารดาชื่อคล้าย ซึ่งเป็นชือ่ไทยแม้ๆ ข้าพเจ้าเห็นบิดาของข้าพเจ้าบวชในบวรพุทธศาสนา ไม่เคยเห็นไหว้เจ้า และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไทย แต่ตัวข้าพเจ้ากลับได้ชื่อเป็นจีน น้องๆ คนหลังๆ เมื่อเกิดมาได้ตั้งชื่อเป็นไทย แต่พอข้าพเจ้าไปยุโรปกลับมา เห็นเขาเปลี่ยนชื่อจีนไปหมด อิทธิพลของจีนในจังหวัดอุทัยธานีนับว่าล้นเหลือ"

เมื่อออกจากวัดแล้ว หลวงวิจิตรวาทการเริ่มเข้ารับราชการในกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ไม่เป็นการยากเลยสำหรับท่าน ที่จะเป็นคนเด่นคนดีขึ้นมาในกอง ทั้งๆ ที่เป็นคนเข้ามาใหม่ เพราะเพียงแต่มาทำงานตรงเวลาเท่านั้น ก็เป็นคนเด่นคนดีได้แล้ว บุคคลแรกที่ท่านไปยอมตัวเป็นสานุศิษย์ก็คือนายเวรผู้เฒ่านั่นเอง แทนที่จะรอให้เขาจ่ายงานมาให้ หลวงวิจิตรวาทการไปของานเขาทำ ขอให้เขาสอนให้ เริ่มจากงานง่ายไปหางานยกขึ้นโดยลำดับ ก่อนที่คนอื่นจะมาพร้อม หลวงวิจิตรวาทการทำงานเสร็จไปแล้วอย่างน้อยสองเรื่อง ชื่อของท่านจึงได้สะดุดตาผู้ใหญ่ไปทุกวัน ทั้งๆ ที่เป็นเสมียนชั้นต่ำที่สุด ท่านกล่าวว่าไม่เป็นการยากลำบากเกินไปเลย ที่จะสร้างความเด่นความสำคัญให้แก่ตัว ขอแต่เพียงให้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในการทำงาน และสร้างความดีเด่นของตนด้วย "งาน" ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น

ภายหลังที่ได้ทำงานในกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเวลา 2 ปี หลวงวิจิตรวาทการได้มีโอกาสออกไปยุโรป ในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการสถานทูตไทยประจำกรุงปารีส ท่านมีส่วนได้เปรียบคนอื่นๆ โดยที่เป็นคนรู้ภาษาไทยดีกว่าคนอื่นในสถานทูต ทำให้ท่านได้ทำงานอย่างกว้างขวาง จึงได้รับหน้าที่ตามเสด็จท่านราชทูตไปในการประชุมหรือในงานเจรจาทุกแห่ง และที่สำคัญต้องทำรายงานส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ เป็นภาษาไทย

ในที่สุดหลวงวิจิตรวาทการก็ได้พบงานประจำสำหรับตัวท่าน คืองานสันนิบาตชาติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ได้ทรงเขียนไว้ที่หนึ่งว่า "การได้เข้าประชุม และทำงานสันนิบาตชาตินั้น เท่ากับว่าได้ผ่านการศึกษาในมหาวัทยาลัยขั้นสูงสุด" หลวงวิจิตรวาทการเห็นจะภูมิใจในตัวเอง ที่ผ่านการศึกษาในมหาวิทยาลัยสูงสุดมาแล้ว 5 ปี ท่านเป็นคนเขียนรายงานการประชุมตั้งแต่ต้นจนปลาย รายงานการประชุมครั้งหนึ่งๆ เป็นหน้ากระดาษพิมพ์ดีดไม่น้อยกว่า 100 หน้า ท่านร่างเอง และพิมพ์เอง

หลวงวิจิตรวาทการรับราชการอยาในสถานทูตปารีส 6 ปีเต็ม กระทรวงการต่างประเทศจึงได้สั่งย้ายท่านไปรับราชการในสถานทูตไทยที่กรุงลอนดอน ท่านอยู่ลอนดอนได้ไม่นาน ก็ได้ถูกเรียกกลับมารับราชการในกรุงเทพฯ และตำแน่งที่หลวงวิจิตรวาทการได้รับในกรุงเทพฯ ต่อจากนั้นมา ได้ช่วยให้ท่านเรียนรู้งานของกระทรวงการต่างประเทศอย่างทั่วถึง เพราะถูกโยกย้ายสับเปลี่ยนหน้าที่ไม่หยุดหย่อน ในปี พ.ศ. 2475 ท่านได้เป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมการเมือง กระทรวงการต่างประเทศ
อธิบดีกรมศิลปากร
เมื่อปี พ.ศ. 2477 หลวงวิจิตรวาทการ ได้ย้ายมาเป็นอธิบดีกรมศิลปากรเป็นคนแรก เมื่อเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ท่านได้รับความยากลำบากเป็นที่สุด เพราะท่านไม่ได้เกิดมาเป็นนักศิลปะ ท่านเกิดในกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่เคยเกี่ยวข้องกับงานศิลปากร มูลเหตุที่ให้ท่านเข้าไปเป็นอธิบดีกรมศิลปากรนั้น ก็ดูเหมือนจะมีอย่างเดียวคือ ในบรรดางานศิลปากรในเวลานั้น งานที่สำคัญที่สุดคืองานหอสมุดแห่งชาติ ท่านชอบหนังสือ ชอบการค้นคว้า และแต่งหนังสืออยู่มากแล้ว ผลที่รัฐบาลหวังจากท่านในเวลานั้นก็คือจะให้ท่านสร้างสรรค์งานหอสมุดให้ดีที่สุด


แต่เมื่อเข้าไปถึง ก็ได้พบงานอีกหลายอย่างที่หลวงวิจิตรวาทการไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืองานสถาปัตยกรรม ช่างเขียน ช่างปั้น และยิ่งกว่านั้น ก่อนท่านเข้าไปก็ได้มีกฎหมายระบุหน้าที่กรมศิลปากรไว้ว่า ต้องรับผิดชอบในเรื่องงานละคร และดนตรีด้วย มีคนเข้าใจผิดเป็นอันมาก ว่าเรื่องละคร และดนตรีของกรมศิลปากรหรือโรงเรียนฟ้อนรำ และดนตรีนั้น

หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้คิดตั้งขึ้นด้วยความคิดริเริ่มของท่านเอง ความจริงเรื่องโรงเรียนฟ้อนรำ และดนตรี ที่เป็นโรงเรียนศิลปากรอยู่เวลานี้ มีบัญญัติอยู่ในกฎหมายคือ พระราชกฤษฎีกาแบ่งกองแบ่งแผนกสำหรับกรมศิลปากร ซึ่งได้ประกาศใช้แล้วก่อนท่านเข้าไปเป็นอธิบดี หลวงวิจิตรวาทการไม่ได้คิดอะไรใหม่ ไม่ได้มีแผนการโลดโผนอย่างหนึ่งอย่างใด ท่านเข้าไปด้วยความเคารพต่อทุกสิ่งทุกอย่าง งานหอสมุดก็ดี งานพิพิธภัณฑ์ก็ดี งานช่างก็ดี เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือของชาวไทยทั่วไป ได้ทรงสร้างไว้ด้วยความเหนื่อยยาก และอุตสาหะพยายามเป็นอย่างยิ่ง ท่านเข้าไปด้วยความเคารพบูชา และตั้งปณิธานอันแน่วแน่ว่า สิ่งที่ท่านได้สร้างไว้แล้วจะไม่ยอมให้เสื่อมโทรมเลยเป็นอันขาด ท่านจะดำเนินเจริญรอย และทำต่อไปตามแผนการ ให้งานเจริญก้าวหน้า และแตกกิ่งก้านสาขาออกไป โดยไม่รื้อทำใหม่หรือเปลี่ยนแปลงอะไร

เว้นแต่งานอันหนึ่ง ซึ่งได้ออกกฎหมายไว้ แต่ยังมิได้ลงมือทำ คืองานละคร และดนตรี หลวงวิจิตรวาทการจะต้องทำในฐานะงานใหม่ของท่าน ซึ่งท่านเองก็ไม่มีวิชาความรู้ในเรื่องนี้มาก่อน เคยสนใจในเรื่องละคร และดนตรีมาบ้างเมื่ออยู่ยุโรป แต่ก็สนใจแต่เพียงดูเพื่อความสนุกบันเทิงเท่านั้น เมือ่จำต้องทำด้วยตัวเอง ก็ต้องค้นคว้าเล่าเรียนเอาเอง เป็นการเปลี่ยนชีวิตของท่าน ท่านถูกความจำเป็นบังคับให้กลายเป็นนักศิลปะ ซึ่งไม่เคยนึกฝันมาแต่ก่อนว่าจะต้องเป็น ฯลฯ


ถ้าหากหลวงวิจิตรวาทการได้สร้างความสำเร็จสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ให้แก่กรมศิลปากร ก็เป็นเพราะเหตุอย่างเดียวคือ ท่านไม่ได้รื้อของเก่า สิ่งไรที่มีอยู่เดิมแล้ว เช่น การหอสมุด และพิพิธภัณฑ์ ท่านได้ทำต่อไป หอสมุดวึ่งเดิมมีเพียงในกรุงเทพฯ ท่านได้จัดการเปิดสาขาหอสมุดในต่างจังหวัด และสำเร็จไปได้หลายสิบแห่ง งานพิธภัณฑ์ และโบราณคดี ก็ได้ทำไปโดยอาศัยหลักเดิม แต่ได้ขยายให้มีผลไพศาลยิ่งขึ้น


โดยเหตุดังว่านี้ หลวงวิจิตรวาทการจึงใคร่เสนอข้อแนะนำแก่ผู้ที่ทำงาน โดยหวังจะขึ้นสู่ตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ว่า ความก้าวหน้าของกิจการทั้งหลายจะมีขึ้นได้ ก็โดยผู้รับหน้าที่ตำแหน่งต่อกันไปนั้น ได้ทำงานต่อไปจากที่คนเก่าเขาทำแล้ว และไม่ด่วนลงความเห็นว่าคนเก่าเขาทำไว้เหลวไหล ถ้าทุกคนที่เข้าไปรับตำแหน่งใหม่เริ่มงานกันใหม่ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีวันที่งานจะก้าวหน้าไปได้เลย

ชาตินิยม
ในระหว่างดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เริ่มปลูกฝังลัทธิชาตินิยมให้ฟุ้งเฟื่องอยู่ในหมู่ประชาชน ด้วยการคิดคำนึงกันขึ้นในบรรดาผู้เป็นคนชั้นหัวหน้าปกครองว่าลัทธิชาตินิยมหรือลัทธิรักชาติลัทธิเดียว จะเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายที่จะบังเกิดแก่ชาติได้ทุกทาง และพร้อมกันก็จะเป็นเครื่องมือสร้างชาติได้ดีกว่าเครื่องมืออย่างอื่น การจะปลูกฝังลัทธิชาตินิยมได้โดยสะดวก และมีทางเข้าถึงประชาชนได้ง่ายมีอยู่ทางหนึ่ง ดีกว่าทางอื่นๆ คือปลูกทางดนตรี และละคร อันเป็นงานที่กรมศิลปากรจะต้องทำอยู่ตามหน้าที่

หลวงวิจิตรวาทการได้รับมอบหมายให้มาทำงาน "ปลูกต้นรักชาติ" ขึ้นในหัวใจประชาชน โดยการแต่งละครประวัติศาสตร์ และเพลงที่เป็นบทปลุกใจให้รักชาติขึ้นในระยะเวลาติดต่อกัน อาทิ เช่น ละครอิงประวัติศาสตร์เรื่อง น่านเจ้า เลือดสุพรรณ ราชมนู พระเจ้ากรุงธน อานุภาพแห่งความรัก ศึกถลาง เจ้าหญิงแสนหวี และอื่นๆ อีกมาก เรื่องปลูกต้นรักชาตินี้ หลวงวิจิตรวาทการทำมาไม่ลดละ ตั้งแต่ก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา จนกระทั่งเสร็จสงคราม และทำมาจนใกล้สิ้นชีวิต แปลว่าตลอดชีวิตของเจ้าของประวัติ ทำงานเรื่องชาตินิยมมาตลอด เมือ่ใกล้จะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2484) ในขณะที่เป็นอธิบดีกรมศิลปากร และเป็นรัฐมนตรีลอยอยู่หลายปี ท่านก็ได้เลื่อนขั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2483) และเมื่อกิจการระหว่างประเทศพัวพันกันมากเข้า ก็ถูกย้ายไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พ.ศ. 2484)

โรงเรียนฟ้อนรำ และดนตรี ซึ่งเรียกว่า "โรงเรียนนาฏดุริยางค์" ได้ตั้งขึ้นท่ามกลางมรสุมแห่งการนินทาว่าร้าย การโจมตีทุกทิศทุกทางในหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นประเทศไทย ก็ยังไม่เคยมีโรงเรียนชนิดนี้ ง่นเต้นกินรำกินถือว่าเป็นงานต่ำ แม้จะรู้กันว่ามีอยู่ในนานาประเทศที่เจริญแล้ว ก็ยังเห็นกันว่าไม่เหมาะสมสำหรับประเทศเรา

ความยากลำบากที่สุดนั้น ก็คือการที่ต้องทำอะไรโดยที่ไม่มีเงิน การของบประมาณกรมศิลปากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานละคร และดนตรีนั้น ร้ายยิ่งกว่าขอทาน เพราะนอกจากจะไม่ได้แล้ว ยังถูกเย้ยหยันในการประชุมกรรมการพิจารณางบประมาณ มีหลายครั้งที่ท่านเกิดความคิดจะขอกลับไปกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นที่เกิดของท่าน และได้ทำงานมาโดยมิต้องถูกมรสุมความเย้ยหยันหรือความดูถูกดูหมิ่น แต่ท่านก็ต้องอยู่ อยู่สร้างสิ่งซึ่งท่านมีหน้าที่ต้องสร้าง การตั้งโรงเรียนฟ้อนรำ และดนตรี ซึ่งเรียกว่า "โรงเรียนนาฏดุริยางค์" นั้น ได้อาศัยความช่วยเหลือของกระทรวงธรรมการ ได้ครูมาสอนโรงเรียนนี้ โดยรับเงินเดือนทางกระทรวงไปพลาง จนกว่ากรมศิลปากรจะมีเงินของตัวเอง

ราวหนึ่งปีภายหลังที่ตั้งโรงเรียนนี้ขึ้น นักเรียนของโรงเรียนนี้ก็พอออกแสดงได้บ้างแต่ไม่มีโรงแสดง โรงละครในเวลานั้นก็หายากเต็มที และไม่สามารถจะนำนักเรียนไปแสดงที่อื่นได้ จำเป็นที่จะต้องแสดงในเขตที่ของกรมศิลปากร เมื่อไม่มีทางจะทำอย่างอื่น ท่านก็ปลูกโรงไม้ไผ่เอาผ้าเต็นท์มาขึงเป็นหลังคา รวบรวมเก้าอี้เท่าที่จะหาได้ ละครของกรมศิลปากรได้ออกแสดงภายใต้หลังคาผ้าเต็นท์ และเสาไม้ไผ่ แต่เคราะห์ดีก็มีมา โดยที่ในการแสดงครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ ผู้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้น ได้มานั่งดูการแสดง ท่านเจ้าคุณได้บอกให้หลวงวิจิตรวาทการตั้งงบประมาณสำหรับสร้างโรงละคร ท่านจะช่วยเหลือหาเงินให้

หลวงวิจิตรวาทการตั้งงบประมาณไปสำหรับสร้างโรงละครเป็นจำนวนเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ได้รับอนุมัติเพียง 6,500 บาท สำหรับสร้างโรงละคร ไม่รู้จะสร้างอย่างไรได้ พอตั้งเสา และมุงหลังคา เงิน 6,500 บาท ก็หมดไป ไม่มีทางที่จะขออีก และละครเรื่อง "เลือดสุพรรณ" ได้กำเนิดขึ้นในโรงละครราคา 6,500 บาท นั้นนั่นเอง

"เลือดสุพรรณ" ทำให้หมดทุกอย่าง ทำให้โรงละครมีฝารอบขอบชิด มีรูปร่างซึ่งเป็น "หอประชุมศิลปากร" ที่ใช้มาจน 25 ปีให้หลัง การละคร และดนตรีของกรมศิลปากรตั้งตัวขึ้นได้ด้วยละครเรื่อง "เลือดสุพรรณ"


แต่งงาน - ชีวิตครอบครัว
ระหว่างดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร และเป็นรัฐมนตรีอยู่นั้น หลวงวิจิตรวาทการได้แต่งงานกับนางสาวประภา (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นประภาพรรณ) รพิพันธุ์ อาจารย์โรงเรียนเบญจมราชาลัย บุตรีของขุนวรสาส์นดรุณกิจ เมือ่วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2479 เป็นการเริ่มชีวิตใหม่ที่เนื่องด้วยครอบครัว และความรัก หลวงวิจิตรวาทการเห็นจะได้ชื่อว่าเป็นคนหวานต่อความรัก เป็นสามีที่ดีที่สุด และเมื่อมีลูกก็เป็นพ่อที่ดีที่สุดของลูก ดังบทเสภาตอนหนึ่งที่หลวงวิจิตรวาทการแต่งขึ้นเพื่อขับร้องในวันเกิดของคุณหญิง เมือ่วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2502
"ขออุทิศเส้นประสาทพี่ทั้งสิ้น เป็นสายพิณดีดโปรยให้โหยหวล
ขออุทิศใจพี่ที่รัญจวน เป็นบายศรีชี้ชวนเชิญขวัญตา
ขออุทิศมือทั้งสองเป็นแว่นเทียน โบกเวียนจากซ้ายแล้วไปขวา
ทำขวัญมิ่งมิตรวนิดา ในสี่รอบชันษาของนวลน้อง"



เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโตเกียว - อาชญากรสงคราม

ชีวิตตอนสงคราม
ประเทศไทยต้องเข้าสงครามมหาเอเชียบูรพา หลวงวิจิตรวาทการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีส่วนรับผิดชอบในงาน "ประกาศสงคราม" ร่วมกับคณะรัฐบาลชุดนั้น พอเสร็จสงครามก็ต้องหาเป็นอาชญากรสงคราม

เจ้าของประวัติเคยบอกว่า การประกาศสงครามที่ตนต้องรับผิดชอบอยู่ด้วยนั้น ช่วยให้สมบัติ และชีวิตของสัมพันธมิตร พ้นจากการถูกญี่ปุ่นยึดเอาไปเป็นทรัพย์เชลยได้เกือบหมด ตลอดการสงคราม ไทยก็ได้ใช้ประโยชน์เหล่านี้ให้เกิดแก่สัมพันธมิตรตลอดมา และที่สำคัญที่สุดประเทศไทยรอดตัวมาได้จากการถูกยึดเป็นเมืองขึ้นของทั้งสองฝ่าย

"หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าต้องหาฐานอาชญากรสงคราม และถูกเจ้าหน้าที่ในกองทัพบกอเมริกัน ที่กรุงโตเกียวจับตัวไปคุมขัง ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2488 ภายหลังได้ถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ ถูกขังอยู่ที่สันติบาล และที่เรือนลหุโทษ จนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2489 ศาลฎีกาจึงได้พิพากษาว่าพระราชบัญญัติอาชญากรโมฆะ และได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด"

ออกจากที่คุมขัง หลวงวิจิตรวาทการไม่มีงานทำ จึงจับงานละครใหม่ ตั้งคณะละครชื่อ "วิจิตรศิลป์" แต่คราวนี้ไม่ได้ผล คนไม่ต้องการ "ปลูกต้นรักชาติ" กันแล้ว การละครขาดทุน จึงหันมาเขียนนวนิยายหลายสิบเรื่อง เช่น ห้วงรัก-เหวลึก พานทองรองเลือด มรสุมแห่งชีวิต ดอกฟ้าจำปาศักดิ์ นวนิยายขนาดยาวก็เขียนขึ้นในยามนี้ และท่านยังให้มีการพิมพ์เผยแพร่ผลงานด้านวิชาการ ที่ท่านได้เขียนไว้แล้ว และเขียนขึ้นใหม่ เช่น มันสมอง กำลังใจ กำลังความคิด มหาบุรุษ และอื่นๆ อีกมาก พ.ศ. 2491 รัฐบาลเก่าเปลี่ยนไป จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นมาตั้งรัฐบาลใหม่ หลวงวิจิตรวาทการกลับไปเป็นกำลังใหม่ของรัฐบาลนี้อีกครั้งหนึ่ง

รัฐบาลไทยสมัยนั้น เปิดการสัมพันธ์ทางการทูตใหม่กับนานาประเทศ หลวงวิจิตรวาทการไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอินเดีย (พ.ศ. 2495) แล้วย้ายไปประจำที่ประเทศสวิส ออสเตรีย และยูโกสลาเวีย (พ.ศ. 2496) เป็นเวลานานถึง 7 ปี

อวสานแห่งชีวิต
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งคณะรัฐบาลปฏิวัติขึ้นใหม่ในปลาย พ.ศ. 2500 หลวงวิจิตรวาทการได้เป็นกำลังของคณะปฏิวัติ เดินทางกลับจากยุโรปเข้ามาช่วยจัดการบริหารประเทศ ในฐานะปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี

ในช่วงนี้ ท่านก็ได้ทำสิ่งที่ท่านปรารถนาไว้นานแล้วสำเร็จ คือได้รับงบประมาณก่อสร้างโรงละครแห่งชาติปัจจุบัน โดยท่านเป็นประธานกรรมการก่อสร้าง และเป็นผู้วางศิลปาฤกษ์ในปี พ.ศ. 2504

ด้วยเหตุที่ต้องทำงานหนักมาก ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ร่างกายที่ต้องทนงานตรากตรำอย่างหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อน ก็เริ่มเสื่อมโทรมลง

ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรีล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ เมือ่ราวปลาย พ.ศ. 2504 และได้ถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2505 รวมอายุได้ 64 ปี

ชีวิตของหลวงวิจิตรวาทการ เป็นชีวิตของผู้มีวิริยะมานะกล้าในการทำความดี ได้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งความเจริญ ชีวิตของท่านได้ดำเนินมาหลายบทบาท เริ่มจากการเป็นนักธรรม เป็นข้าราชการ นักการเมือง นักการทูต เป็นครู - อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็ยนักประพันธ์ เป็นนักปราชญ์ จากสามเณรเปรียญ 5 ประโยค ท่านได้รับพระราชทานปริญญาบัตรเศรษฐศาสตร์สหกรณ์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2504 ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการทูต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปีเดียวกัน และปริญญาบัตรอักษรศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2505

ชีวิตของผู้มีวิริยะมานะกล้าในการทำความดีได้ดับไปแล้ว แต่ชีวิตที่ประกอบความดีมานั้น ย่อมมีธรรมคุ้มครอง ตราประจำตระกูลคือ "ดวงประทีปในเรือนแก้ว" จึงมิได้ดับไปตามชีวิตนั้น แต่ยังคงส่งประกายสว่างไสวต่อไปชั่วกาลนาน...

...
  
หลักการเขียน
หลักการเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
สิ่งที่สำคัญในการที่จะเป็นนักเขียนที่ดี ก็คือ การรักการอ่าน มีความอยากที่จะเขียนแล้วพัฒนาฝึกฝนอย่างสม่ำเสมออย่าหยุดยั้ง
การเขียนเป็นการสื่อสารของมนุษย์ประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญ นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูล สารสนเทศ การเขียนจึงยิ่งเพิ่มความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ในบทความฉบับนี้ เราจะมาเรียนรู้เรื่อง “ หลักการเขียน ” ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของการเขียน วัตถุประสงค์ของการเขียน และแนวการเขียนหรือขั้นตอนในการเขียนที่ดีก่อน
การเขียน คือ การใช้สัญลักษณ์ทางภาษาซึ่งมีลักษณะเป็นข้อความ เพื่อสื่อความรู้สึก ความรู้ ความคิดต่างๆ ของผู้เขียน ให้ไปสู่ผู้อ่าน
ดังนั้น การเขียนจะแตกต่างจากการพูด กล่าวคือ การเขียนใช้สัญลักษณ์มีลักษณะเป็นข้อความ แต่การพูด จะใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง อากัปกิริยาที่แสดงประกอบ แต่ทั้งการเขียนและการพูดมีความเหมือนกันก็คือ เป็นการสื่อสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ( ผู้ส่งคือ ผู้เขียน ผู้พูด , ผู้รับสาร คือ ผู้อ่าน ผู้ฟัง)
วัตถุประสงค์ของการเขียน ได้มีนักวิชาการหลายท่านได้แบ่งแยกไว้หลายประเภทต่างๆกัน เช่น เพื่อเล่าเรื่อง เพื่อการโฆษณาจูงใจ เพื่อแสดงความคิดเห็น เพื่อการสร้างจินตนาการ ฯลฯ
ซึ่งแต่ละวัตถุประสงค์ของการเขียน จะต้องมีการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ทั้งทางด้านภาษา สำนวนโวหาร เพื่อบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น การเขียนเพื่อสร้างจินตนาการกล่าวคือ การเขียนงานประเภทนวนิยาย บทภาพยนตร์ เรื่องสั้น มีความจำเป็นจะต้องใช้ การพรรณาโวหารและการอุปมาโวหาร มากกว่าการเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็น ซึ่งการเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นก็ต้องใช้การบรรยายโวหารหรือสาธกโวหาร(การแสดงความชัดเจนอาจจะต้องมีการยกตัวอย่าง)
สำหรับแนวการเขียนหรือขั้นตอนในการเขียนที่ดี ก่อนที่ผู้เขียนจะเขียน ผู้เขียนควรต้องมีการวางแผนงานเขียนก่อน เช่น
- การเลือกเรื่องที่จะเขียน ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อเรื่อง ต้องมีลักษณะกล่าวคือ ต้องอยู่ในความสนใจของผู้อ่าน มีความน่าสนใจแปลกใหม่ทันสมัย อีกทั้งหัวข้อดังกล่าวต้องมีข้อมูลเพียงพอ พอที่จะเขียนหากข้อมูลมีไม่เพียงพอก็ต้องหามาเพิ่มจากแหล่งต่างๆ
- การวางโครงเรื่องก็มีความสำคัญ ลักษณะของเรื่องที่ดีจะต้องมีความสอดคล้องกันทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่อง การเขียนให้ตรงแนวทางเดียวกันกับวัตถุประสงค์
- การใช้สำนวนภาษา ถ้อยคำ มีความสำคัญไม่น้อย เนื่องจากภาษาไทยเรามีความได้เปรียบกว่าภาษาอื่นๆ อีกหลายภาษาเนื่องจากภาษาไทยมีเรื่องของระดับภาษา อีกทั้งความหมายหนึ่งความหมาย เราสามารถใช้คำต่างๆในภาษาไทยแทนได้มากมาย เช่น คำว่า กิน ทาน ฉันท์ ฯลฯ
- การนำเสนองานเขียนให้มีเนื้อหาเหมาะสมกับผู้อ่าน เนื่องจากงานเขียนมีหลายประเภท เช่น งานเขียนบทความ งานเขียนนวนิยาย งานเขียนบทละคร งานเขียนเรื่องสั้น งานเขียนสารคดี งานเขียนนิทาน งานเขียนตำรา ฯลฯ ดังนั้น นักเขียนควรทำความเข้าใจงานเขียนประเภทต่างๆ แล้วจึงนำเสนอเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้อ่าน
สำหรับบทความฉบับนี้ ได้พูดถึงหลักการเขียนไว้เบื้องต้น ท่านผู้อ่านสามารถไปหารายละเอียด อ่านได้เพิ่มเติมเนื่องจากการเขียนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ผู้ที่ต้องการเป็นนักเขียนหรือมีอาชีพในการเขียนจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เช่น จะต้องสร้างนิสัยให้รักการอ่าน รักการค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ต้องเป็นคนช่างคิด และต้องเป็นคนขยันฝึกฝนในการเขียนอยู่เสมอ
ถ้าอยากเป็นนักเขียน ท่านจำเป็นจะต้อง เขียน เขียน และเขียน


...
  
หลักการเขียน
เป็นหนังสือที่แต่งโดย สมบัติ จำปาเงิน และ สำเนียง มณีกาญจน์ ผมซืิ้อจากร้านขายหนังสือเก่าเพียงแค่ 25 บาทครับ อ่านแล้วคุ้มกว่าราคาครับ ...
  
โน๊ต อุดม แต้พาณิชย์ เดี่ยว เดี่ยว กับ ตัน 2
2
...
  
โครงการศิลปะการพูดในที่ชุมชน
7
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.