หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ใช้เวลาเดินทางอย่างคุ้มค่า
ใช้เวลาเดินทางอย่างคุ้มค่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ในการดำเนินชีวิตของคนเรา มักจะเสียเวลาไปกับการเดินทางค่อนข้างมาก ยิ่งถ้าดำเนินชีวิตในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆยิ่งต้องมีความจำเป็นในการเดินทาง อีกทั้งเผชิญกับปัญหาการจราจร ปัญหารถติด ทั้งในช่วงเช้า และช่วงเย็นสมมุติว่าเราใช้เวลาเดินทางไปทำงาน 5 วัน คือวันจันทร์-วันศุกร์ เราเสียเวลาเดินทางไปวันละ 3 ชั่วโมง ช่วงเช้าและช่วงเย็น ทำให้เราเสียเวลาสัปดาห์ละ 15 ชั่วโมงโดยประมาณ ทำให้หลายๆท่านคงเกิดอาการเบื่อหน่าย และคิดว่าการเดินทางมักทำให้เสียเวลา
ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ในปัญหาย่อมมีประโยชน์ แต่ในความจริงแล้วเราสามารถใช้ประโยชน์ในระหว่างการเดินทางได้ ทั้งนี้แล้วแต่ปัจจัยของแต่ละบุคคล เช่น บางคนใช้รถยนต์ บางคนขึ้นรถโดยสารประจำทาง บางคนขึ้นรถไฟลอยไฟ รถไฟใต้ดิน ฯลฯ
เราสามารถหาประโยชน์จากการเสียเวลาในการเดินทางได้ดังนี้
1.ฟังวิชาการ ฟังเพลง ฟังข่าว ในระยะการเดินทางเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ การผ่อนคลาย การได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร เราสามารถฟังได้จากรถยนต์ส่วนตัว หรือ ใช้หูฟังหากว่านั่งรถโดยสารประจำทาง นั่งในรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นต้น
2.อ่านหนังสือประเภทต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ หนังสือเรียน หนังสือนิตยสาร ตำรา ฯลฯ เพื่อเป็นการได้รับข่าวสาร ความรู้ เนื้อหาสาระ ที่เป็นประโยชน์ ในระหว่างเดินทาง
3.คิดโครงการ คิดสร้างสรรค์ งานใหม่ๆ ในระหว่างเดินทาง แล้วหาสมุดบันทึกไว้จด อันความคิดดีๆ มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เกิดขึ้นได้ทุกเวลา การหาสมุดบันทึกเพื่อจดความคิดต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะความจำของคนเราอาจลืมเลือนได้
4.เช็ค E-mail และ หาข้อมูลต่างๆได้ระหว่างเดินทาง เนื่องจากยุคปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ท่านสามารถเช็คE-mail เช็คข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ Ipad คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
5.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ในกรณีที่ท่านเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ท่านต้องไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียน ท่านสามารถ นำเอาอาหารเช้าโดยการทำแบบง่ายๆ อาหารว่าง น้ำดื่ม ไปรับประทานในรถ อีกทั้งยังสามารถสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวได้ด้วย เช่น ถามเรื่องเพื่อน เรื่องครู ในโรงเรียน
6.ทำสมาธิ ในกรณีที่ท่านไม่ได้ขับรถยนต์เอง ท่านสามารถฝึกสมาธิได้ในระหว่างนั่งรถโดยสาร เพียงแต่หลับตา แล้วกำหนดคำบริกรรมภาวนาภายในใจ การฝึกสมาธิ จะทำให้ท่านเป็นคนที่อดทนในการรอคอย การฝึกสมาธิในรถโดยสารประจำทางจะไม่ทำให้ท่านอารมณ์เสียง่ายเนื่องจากปัญหารถติด
7.พักผ่อนด้วยวิธีนอนหลับ ในกรณีที่ไม่ได้ขับรถยนต์เอง ท่านสามารถนอนหลับพักผ่อนระหว่างเดินทางได้ เป็นการหลับแบบช่วงสั้นๆ หากนั่งในรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถหลับได้อย่างเต็มที่ แต่หากนอนหลับในรถโดยสารก็ควรจะต้องระวังเรื่องของการกรน เรื่องของการถูกขโมยของ เป็นต้น
ดังนั้นเราสามารถหาประโยชน์ได้จากการเสียเวลาในการเดินทาง เพียงแต่ขอให้ท่านได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ไม่ปล่อยให้ความเคยชินมาเป็นตัวกำหนด ท่านสามารถสร้างคุณค่าในระหว่างการเดินทางได้มากขึ้นกว่าในอดีต ที่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า


...
  
จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ
จงเผชิญหน้ากับความตกต่ำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ความตกต่ำ เป็นสิ่งที่คนเราไม่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความตกต่ำในชีวิต ความตกต่ำของภาวะจิตใจ ความตกต่ำของสภาพร่างกาย แต่ในความจริงเราไม่สามารถเลี่ยงหนีกับความตกต่ำนั้นได้ ดังคำสอนทางพุทธศาสนาเรื่อง โลกธรรม 8 คือ ได้ลาภ , ได้ยศ , ได้รับสรรเสริญ ,ได้สุข , เสียลาภ , เสื่อมยศ ,ถูกนินทาและพบความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ทุกๆคนต้องประสบ แต่จะพบมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง
การดำเนินชีวิตของคนเราหรือการทำงาน เราก็ต้องพบเจอกับความตกต่ำเช่นกัน แต่ทั้งนี้บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะทำความเข้าใจธรรมชาติของมันว่า ความตกต่ำเป็นสิ่งที่ไม่ถาวรเป็นสิ่งชั่วคราว ในความจริงแล้วช่วงชีวิตของคนเรามีขึ้น มีลง หากทำความเข้าใจธรรมชาติตรงนี้ได้ก็จะทำให้ความวิตกกังวลลดน้อยลง
สำหรับเทคนิคในการเผชิญหน้ากับความตกต่ำมีดังนี้
1.สร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จมักมีเป้าหมายหรือแรงบันดาลใจในชีวิต การมีเป้าหมายและแรงบันดาลใจจะทำให้เรามีชีวิตที่ไม่จืดชืด แต่มีความกระตือรือร้น ความทะเยอทะยาน เมื่อตกอยู่ในสภาพตกต่ำก็ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2.เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำมักใช้เวลาในการปรับสภาพหรือทำใจนาน แต่คนบางคนเมื่อพบกับความตกต่ำก็ใช้เวลาสั้นๆหรือไม่นานนักในการทำใจ หากใครที่ปรับสภาพหรือทำใจนาน ก็มักจะตกอยู่ในสภาพตกต่ำนานและพบกับความทุกข์ ดังนั้นจงเรียนรู้และพัฒนาจิตใจให้เป็นคนเข้มแข็ง ทำใจให้ลุกขึ้นสู้กับสภาพตกต่ำก็จะทำให้ท่านเกิดภาวะตกต่ำที่ไม่รุนแรงและไม่กินเวลานาน
3.ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า คนที่ประสบความสำเร็จเขามักจะไม่โอดครวญ ถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น แต่เขาจะยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้าอย่างท้าทาย เขาจะไม่ด่าดินฟ้าอากาศ เขาจะไม่ด่าทอเทพพระเจ้าองค์ใด แต่เขาจะเตรียมพร้อมที่จะรับมือ อีกทั้งยังมีความคิดในแง่บวกว่าอุปสรรคต่างๆ เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ
4.ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ในบางครั้งความตกต่ำเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ในบางเรื่องเราก็ไม่เคยพบเจอ เราควรขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์หรือบุคคลที่เคยเผชิญกับความตกต่ำมาก่อน ว่าเขามีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร การขอคำแนะนำดังกล่าวจะทำให้เรา มีวิธีการในการแก้ไขปัญหามากขึ้น
5.นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ ในช่วงชีวิตของเราในอดีตมักมีบางช่วงที่มีความตกต่ำ แต่เราก็สามารถผ่านพ้นมาได้ การนึกถึงอดีตที่เราสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ กำลังความคิด ในการแก้ไขปัญหา
6.รู้จักปล่อยวาง ทุกสรรพสิ่งในโลกเรานี้ มักมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป จิตใจหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ก็มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ถ้าภาวะความตกต่ำ บางอย่างเราแก้ไขไม่ได้ก็คงต้องปล่อยให้มันดับไปเอง โดยการต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อวัน เวลา เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างก็จะคลี่คลายไป
7.มองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา จะทำให้เราเกิดกำลังใจ ความมานะบากบั่นในการต่อสู้เหตุการณ์ หากเราสังเกตและศึกษาประวัติต่างๆ ของคนที่ประสบความสำเร็จ เขาเคยตกต่ำและลำบากกว่าเราแต่เขาก็สามารถผ่านพ้นมาได้ หรือหากเราดูข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เราก็จะเห็นว่ามีคนในโลกนี้อีกมากมายที่ลำบากกว่าเราหรือตกต่ำกว่าเรา
ดังนั้นการเผชิญหน้ากับความตกต่ำ จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ความอดทนและท้าทายจิตใจ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีมันได้ ฉะนั้นจึงขอให้เราเผชิญหน้ากับมันโดยอาศัยเทคนิคดังกล่าวคือ การสร้างแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต , เรียนรู้นิสัยและปรับปรุงตัวเอง , ยอมรับความจริงและกล้าเผชิญหน้า , ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ , นึกถึงอดีตที่เราสามารถเอาชนะความตกต่ำได้ , รู้จักปล่อยวาง และมองคนที่เขาตกต่ำหรือลำบากกว่าเรา

...
  
หัวใจนักปราชญ์
หัวใจนักปราชญ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เมื่อเอ๋ยคำว่า “ หัวใจนักปราชญ์ ” หลายๆท่านมักนึกถึงคำว่า สุจิปุลิ
สุ ย่อมาจาก สุตต คือ การฟัง
จิ ย่อมาจาก จินตน คือ การคิด
ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา คือ การถาม
ลิ ย่อมาจาก ลิขิต คือ การเขียน
สุ-สุตตหรือการฟัง จะทำให้เราได้รับความรู้ ข้อมูล แง่มุม ความคิดต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง บุคคลที่เป็นนักปราชญ์ มักจะเป็นคนที่ฟังมาก อ่านมาก แต่เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ข้อมูลจึงมีมากมาย ฉะนั้น บุคคลที่ได้ชื่อว่านักปราชญ์มักจะเป็นคนที่มีการคัดเลือกข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวมมาฟัง มาอ่าน มาศึกษาค้นคว้าเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในตนเอง
จิ-จินตนหรือการคิด การคิดมีความสำคัญมาก เมื่อได้รับข้อมูล จากการฟังและการอ่านแล้ว แต่คนๆนั้นไม่สามารถมีความคิดเป็นของตนเองได้ ได้แต่นำความคิดของบุคคลอื่นมาใช้ก็เปล่าประโยชน์ คนที่คิดไม่เป็นมักเป็นคนเชื่อคนง่าย ถูกหลอกได้ง่ายกว่าคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง
ปุ-ปุจฉาหรือการถาม เมื่อเกิดความสงสัย เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ จึงต้องถาม แต่สังคมไทยมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่มาก เด็กและผู้ใหญ่จำนวนมากมักไม่กล้าถาม อาจเป็นเพราะ อายเพื่อน กลัวครู อาจารย์ ความไม่กล้า ฯลฯ แต่แท้ที่จริงแล้ว การถามจะทำให้เราได้รับความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้เพิ่มขึ้นอีกมาก
ลิ-ลิขิตหรือการเขียน การเขียนมีประโยชน์หลายอย่าง การเขียนช่วยให้การคิดเป็นระบบขึ้น เพราะก่อนที่เราจะเขียนสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความ เรียงความ จดหมาย สารคดี นิยาย ฯลฯ เราจะต้องมีการคิดขึ้นมาก่อน ฉะนั้นการเขียนจึงเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาความคิดต่างๆของคนเราได้มาก อีกทั้งการเขียนยังช่วยพัฒนาความจำของคนเราด้วย “ จำดีกว่าจด แต่ถ้าจำไม่หมด ให้จดแล้วค่อยจำ” เป็นคำพูดที่เป็นความจริงมากทีเดียว เช่น ตอนเราเรียนหนังสือ หากว่าครู สอนที่หน้าชั้นในห้องเรียน หากเราไม่ยอมจดหรือเขียน จะใช้วิธีจำอย่างเดียว ก็อาจจะจำไม่ได้ทั้งหมด แต่คนที่มีหัวใจนักปราชญ์ เขาจะจดแล้วนำมาทบทวนอีกครั้ง เขาถึงสอบได้คะแนนมากกว่าคนที่ไม่ยอมจดหรือเขียน
ดังนั้น หากใครสามารถปฏิบัติได้ทั้ง 4 ข้อ คือ สุจิปุลิ ท่านสามารถปฏิบัติได้ไม่ยาก ถึงแม้ท่านจะไม่ใช่นักปราชญ์ แต่กระผมเชื่อว่าชีวิตของท่านจะมีการพัฒนาไปได้เป็นอันมาก จงใช้เวลาในการฝึกฝนเรียนรู้และพัฒนา แล้วไม่แน่ในอนาคต ท่านอาจจะได้ชื่อว่าเป็น นักปราชญ์ที่มีผู้คนยกย่องคนหนึ่งก็ได้
ฟังให้มาก คิดให้เป็น หมั่นสอบถามและฝึกการเขียน จึงเป็นหัวใจของนักปราชญ์อย่างแท้จริง
...
  
การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
สงครามการตลาดในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่ดุเดือด บางธุรกิจยอมที่จะลดราคา ตามคู่แข่งขัน ทั้งๆที่ต้นทุนของบริษัทตนเองนั้นสูงกว่าคู่แข่ง การตลาดกับการขายมีส่วนคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ มีการตอบรับและการถูกปฏิเสธ ดังนั้น หากทำการตลาดไปแล้ว ผลสะท้อนกลับมาอาจไม่ดีพอ เราอาจจะต้องทำใจ เพราะสิ่งทุกสิ่งในโลกนี้มักมี 2 ด้าน เสมอ เช่น มีบวกมีลบ , มีสมหวังมีผิดหวัง ฯลฯ นักการตลาดยุคใหม่จึงต้องเข้าใจและยอมรับ
การตลาดในยุคเก่า มักจะต้องหาสินค้าและบริการมาเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า แต่การตลาดในยุคใหม่ อาจจะต้องเพิ่มในเรื่องของการ “ กระตุ้นต่อมความอยากของลูกค้า” การกระตุ้นต่อมอยากจะทำให้ลูกค้ามีความต้องการที่จะซื้อสินค้า ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยคิดที่จะซื้อหรือใช้ การกระตุ้นต่อมความอยากจึงเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เช่น
การกระตุ้นด้วยการใช้ฟรีเซ็นเตอร์ นักโฆษณารู้ดีว่าทำไมจึงต้องเอาดารา นักร้อง ที่มีแฟนคลับเป็นจำนวนมากๆ เพื่อมาโฆษณาสินค้า ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ชีวิตจริง ดารา นักร้องคนนั้นไม่ได้ใช้สินค้าชิ้นนั้นเลย แต่การใช้ฟรีเซ็นเตอร์คนดัง สามารถกระตุ้นให้แฟนคลับของคนดัง ใช้สินค้าและบริการตามไปด้วย
การกระตุ้นด้วยเทรนด์ นักการตลาดสมัยใหม่ มักสร้างกระแสเทรนด์ขึ้นมา เพื่อให้ผู้บริโภคตาม เพราะหากผู้บริโภคไม่ใช้ อาจที่จะถูกมองว่าตกเทรนด์ การกระตุ้นด้วยเทรนด์มักจะสร้างกระแสผ่านสื่อต่างๆ เช่น การสื่อให้เห็นถึงความเป็นคนทันสมัย ล้ำยุคหากว่าใช้สินค้าของตนเอง การสื่อให้เห็นถึงการรักษาสุขภาพ หากว่าใช้สินค้าของตนแล้วสุขภาพจะดีขึ้น เป็นต้น
การกระตุ้นด้วยเรื่องราวหรือ Story ดังเราจะสังเกตเห็น ตามธุรกิจการท่องเที่ยว สถานที่ต่างๆ มักสร้างเรื่องราวออกมานำเสนอ เพื่อให้ลูกค้า เกิดความสนใจที่อยากจะไปเที่ยว อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ วางจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย เช่น กำแพงเมืองจีน , วัดวาอารามต่างๆ , สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
รู้เขารู้เรา...รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...การแข่งขันทางการตลาด เรารู้จักผลิตภัณฑ์ของตนเอง เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราเองยังไม่เป็นการเพียงพอ เรายังจะต้องรู้ว่าบริษัทคู่แข่ง เขาทำอะไรออกมาบ้าง มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาเพิ่มอีกหรือเปล่า คู่แข่งรายใดออกนอกตลาดไปแล้ว ฉะนั้น ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ที่นักการตลาดยุคใหม่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
จงสร้างความแตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าเราสังเกตในการแข่งขันทางธุรกิจทุกประเภท สินค้า บริการ มักจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่นักการตลาดยุคใหม่จะทำอย่างไร เพื่อให้สินค้า บริการ ของเราเป็นที่แตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าทำได้ สินค้า และบริการ นั้นๆ ก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันขึ้นมาทันที
สุดท้ายสิ่งที่นักการตลาดยุคใหม่ มีความจำเป็นจะต้องศึกษา เรียนรู้ ก็คือเรื่องของ IMC Integrated Marketing Communication หรือ การสื่อทางการตลาดแบบครบเครื่อง ซึ่งจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายตรง การสื่อสาร ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ
จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า นักการตลาดยุคใหม่ จะต้องทำงานหนัก มีความรู้ มีข้อมูล ข่าวสาร มีทักษะต่างๆ ที่มากขึ้น อีกทั้งต้องมีความกล้าตัดสินใจ กล้าได้ กล้าเสีย อีกทั้งต้องมีความรวดเร็ว เพราะการแข่งขันในยุคนี้ หากช้าไปหนึ่งก้าว คู่แข่งขันก็อาจแซงหน้าไปได้ ฉะนั้น นักการตลาดในยุคใหม่คุณก็สามารถเป็นได้ หากว่าคุณมีความตั้งใจ มีการฝึกฝน เรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง

...
  
พูดดีเป็นศรีแก่งาน
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์


พูดอะไร ไม่ส่งเดช ใช้เหตุผล


ทุกทุกคน คล้อยตาม งามทุกเรื่อง


พูดตามใจ ไร้เหตุผล พล่ามบ่นเปลือง


ถึงตัวเขื่อง ข่มใคร ก็ไม่ฟัง


การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าเขา ทำอะไรก็มักจะเป็นข่าว หรือมีคนนำไปนินทา บางทีไม่พูดก็เป็นข่าว ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำ ต้องระวังการพูดจาปราศรัยให้มากๆ การพูดบางอย่างดูสุภาพแต่ขาดหลักจิตวิทยา เช่น หัวหน้าประชุมลูกน้อง เริ่มทักทาย “สวัสดีครับ ดีใจที่พวกคุณมาประชุมกันในวันนี้” ฟังดูสุภาพ แต่ขาดความเป็นกันเอง คือ ฟังแล้ว ดูแบ่งแยกระหว่างตัวผู้พูดกับผู้ฟัง ดังนั้นผู้นำที่มีจิตวิทยาหน่อย ก็จะทักทายดังนี้


“สวัสดีครับ กระผมดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ พวกเรามาประชุมกันในวันนี้” คือเปลี่ยนจาก พวกคุณ เป็น พวกเรา ความรู้สึกจะต่างกันทันทีเลย


หรือมีหัวหน้างาน 2 คน หัวหน้าจากสำนักงานใหญ่มาเยี่ยมเยือน เดินชมโรงงานเสร็จก็ชมทันทีต่อหน้าลูกน้องทั้งหมด “แหม แผนกของคุณนี่ดูขยันขันแข็งดี” หัวหน้าคนที่ 1 รีบตอบเลย “ครับ ไม่ต้องห่วงขยันกันทุกคนแหละครับ” เพราะผมดูแลทั่วถึงไม่ยอมให้พวกนี้อู้งานเป็นอันขาด ผมเป็นหัวหน้าใครทำเล่นๆ กระผมไม่ยอม” ถ้าพวกเราเป็นลูกน้อง เราจะคิดอย่างไรครับ รับรองไม่พอใจแน่นอน ซึ่งหัวหน้คนนี้ไม่มีจิตวิทยาในการพูด ถ้าหัวหน้ามีจิตวิทยาในการพูดจะพูดดังนี้ หัวหน้าจากสำนักงานใหญ่ชม “แหม แผนกของคุณนี่ดูขยันขันแข็งดี”หัวหน้าคนที่ 2 พูดว่า “ครับ กระผมโชคดีที่ได้ทำงานร่วมกับคนที่มีความรับผิดชอบสูง กระผมไม่เคยต้องดูแลอะไรเลย ทุกคนขยันขันแข็งมากเลยครับ” อย่างนี้ ลูกน้องยิ้มจนแก้มนี้มีโอกาสฉีกเลยครับ


เพราะฉะนั้น หัวหน้าหรือผู้มีลูกน้อง จะพูดจาปราศรัยก็ขอให้มีจิตวิทยาบ้าง รู้จักคิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดแล้วมาคิดเสียใจทีหลัง อะไรทีพูดออกไปแล้วคนรู้สึกดีก็ควรพูด แต่อะไรที่พูดออกไปแล้วคนรู้สึกว่าไม่ได้รับเกียรติก็ขอให้ระวังนิด เพราะถ้าเราทำให้ลูกน้องรักเราศรัทธาเราได้ เขาก็จะทุ่มเทกำลังใจ กำลังกาย กำลังความคิดให้แก่งาน แล้วงานของเราก็จะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ได้


ใช้อำนาจ บาตรใหญ่ พูดไว้ท่า


คนต่อหน้า น้อมสดับ แต่ลับหลัง


เขากลอกตา หลอกเล่น เขม่นชัง


พึงระวัง ว่าขาน ประมาณตน






...
  
เจรจาแบบนักการทูต พูดแล้วมีกำไร
แต่งโดย อาจารย์คณิต พูนผล
เหมาะสำหรับ ผู้นำ ผู้บริหาร เสนาธิการ และผู้สนใจเกี่ยวกับเรื่องของการใช้คำพูด ภายในเล่มมีเรื่องราวของการเจรจาต่อรอง การวางแผนยุทธวิธี ปิดการเจรจาหรือเสนอขาย แลกเปลี่ยนข้อตกลง ฯลฯ
เนื้อหาบางส่วนพูดถึงเรื่อง เคล็ดลับในการรู้จักคนมีอยู่ 7 ประการ
1.ยกปัญหาผิดชอบชั่วดีมาทดสอบอุดมการณ์ของคนผู้นั้น
2.ไล่ให้จนตรอก ทดสอบความเปลี่ยนแปลง ของคนผู้นั้น
3.ใช้กลอุบายทดสอบสติปัญญาของคนผู้นั้น
4.ทำให้คนผู้นั้นตกอยู่ในภาวะคับขัน เพื่อทดสอบความกล้าหาญ
5.มอบเหล้าให้มึนเมา เพื่อดูสันดานของคนผู้นั้น
6.ใช้ประโยชน์หลอกล่อ เพื่อดูคุณธรรม ของคนผู้นั้น
7.มอบงานให้ทำ เพื่อทดสอบความศรัทธา ความเชี่อมั่นของคนผู้นั้น
...
  
เมื่อพยานต้องขึ้นศาล
24
...
  
คำกล่าวแสดงความยินดีจากฯพณฯชวน
24
...
  
เขียนหนังสือเก่ง..ชีวิตดีขึ้น
เขียนหนังสือเก่ง...ชีวิตดีขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
บุคคลที่เขียนหนังสือเก่งมักมีความได้เปรียบคนที่เขียนหนังสือไม่เก่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเขียนเป็นการสื่อสารประเภทหนึ่ง หากท่านต้องการเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ท่านจึงควรฝึกฝนการเขียน พัฒนาการเขียนของท่าน เพราะการเขียนหนังสือเก่งจะทำให้ชีวิตของท่านดีขึ้นอย่างแน่นอน เช่น
- คนที่ตกงานคนไหนที่เขียนเก่งสามารถเขียนจดหมายสมัครงานแล้วได้งานทำ ตรงกันข้ามกับคนที่เขียนไม่เก่งเมื่อเขียนจดหมายสมัครงานแล้ว มักจะไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์ เนื่องจากการเขียนจดหมายสมัครงานเราต้องมีเทคนิคบางประการ กล่าวคือ เขียนแล้วทำอย่างไรให้คนอ่านถูกใจและอยากเรียกเราสัมภาษณ์เพื่อทำงาน
- พนักงาน คนที่เขียนเก่งสามารถเขียนรายงานแล้วได้เลื่อนตำแหน่ง คนที่เขียนรายงานเก่ง ผู้บริหารมักชื่นชมในผลงาน การเขียนรายงานส่งให้ผู้บริหารอ่าน ผู้บริหารจะทราบว่าบุคคลที่เขียนมีประสบการณ์ มีความคิดที่ดีมากน้อยขนาดไหนก็ด้วยการพิจารณาจากรายงานที่ส่งไปให้อ่าน
- ครู อาจารย์ นักวิชาการ คนที่เขียนเก่งสามารถเขียนผลงานทางวิชาการ ทำให้ได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน มีความก้าวหน้าทางอาชีพต่อไปเป็นลำดับขั้น
- นักการเมืองที่เขียนเก่ง มักเขียนผลงานของตนเองตามสื่อต่างๆ ผ่านงานเขียนบทความ งานเขียนรายงานข่าว มักทำให้ตนมีชื่อเสียง ประชาชนรักใคร่ศรัทธา มากกว่านักการเมืองที่เขียนไม่เก่ง
- นักธุรกิจ นักบริหาร ที่เขียนเก่ง มักเขียนแผนงานของตนด้วยความเป็นมืออาชีพจนได้รับการยอมรับจากเจ้าของกิจการ หรือ เขียนแผนธุรกิจเก่ง มักได้รับการพิจารณาให้เงินกู้จากธนาคารก่อนคนที่เขียนไม่เก่ง
- นักการตลาดที่เขียนเก่ง มักได้รับเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น นักการตลาดบางคนทำงานเก่ง แต่พอให้เขียนแผนการตลาด ให้เขียนคำโฆษณา เขียนถ้อยคำประชาสัมพันธ์ ให้เขียนข่าวลงหนังสือพิมพ์ กับเขียนไม่ได้เรื่อง ทำให้เสียอนาคตไปหลายคนแล้ว
การเขียนหนังสือเก่งยังมีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น การเขียนหนังสือเก่ง มักทำให้พูดเก่งด้วย เพราะ
การจะพูดเก่งต้องมีการเตรียมการพูดโดยการเขียนสคริปต์ก่อน แล้วจึงนำเอาสคริปต์มาท่อง มาเตรียมการพูด อีกทั้งคนเขียนเก่งยังสามารถหารายได้ได้เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น เขียนหนังสือประเภทต่างๆขาย การรับจ้างเขียนสคริปต์รายการต่างๆทางวิทยุ ทางโทรทัศน์ การรับจ้างเขียนแผนต่างๆ การรับจ้างเขียนผลงานวิชาการ การรับจ้างเขียนบทละคร บทภาพยนตร์ การรับจ้างเขียนข้อความโฆษณา ข้อความประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
จึงขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า หากปัจจุบันท่านเขียนหนังสือไม่เก่ง แต่ท่านมุ่งมั่นฝึกฝน อดทน พยายาม เรียนรู้ ศึกษาการเขียน ชีวิตของท่านจะดีขึ้น รุ่งเรือง รุ่งโรจน์ อย่างแน่นอน เขียนหนังสือเก่ง...ชีวิตดีขึ้นครับ

...
  
ปิดสวิตซ์นอน
ปิดสวิตช์นอน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เป็นที่รู้กันดีว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ มีคนถามว่าแล้วเราควรนอนหลับคนละประมาณกี่ชั่วโมงต่อวันถึงจะเป็นการดี ทั้งนี้คงตอบไม่ได้สำหรับแต่ละบุคคล เนื่องจากการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่มีความเหมือนกัน เช่น ช่วงอายุวัย ลักษณะของงานที่ทำ ความแตกต่างกันของร่างกายรวมทั้งเรื่องของสุขภาพอนามัยความเจ็บป่วยของร่างกายของแต่ละบุคคล ความแตกต่างกันในเรื่องของสุขภาพจิต อารมณ์ จิตใจ ฯลฯ
- ช่วงอายุวัย จากงานวิจัยและการศึกษากล่าวว่าเด็กเล็กจนกระทั่งถึงวัยรุ่นควรนอนหลับวันละ 8-10 ชั่วโมง วัยผู้ใหญ่ ควรนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง วัยสูงอายุควรนอนหลับวันละ 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าหากว่าเรานอนน้อยเกินไปในตอนกลางคืน เราก็สามารถนอนกลางวันชดเชยได้ แต่สำหรับคนที่ทำงานก็อาจฝึกงีบหลับเป็นระยะๆ สักครั้งละ 15 นาที โดยการนั่งงีบ ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนและเกิดพลังกาย พลังสมองขึ้นมาได้
- ลักษณะของงานที่ทำ บางคนทำงานกลางคืน บางคนทำงานเข้าออกงานหรือเข้าเวรไม่เป็นเวลาที่แน่นอน บางคนทำงานใช้แรงกายทั้งวัน ก็คงต้องมีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการนอนและระยะเวลาในการนอนก็คงต้องมีความแตกต่างกันไป เนื่องจากร่างกายมีความต้องการที่จะพักผ่อนที่แตกต่างกัน
- สุขภาพอนามัย อาการเจ็บป่วยของแต่ละบุคคล ความเจ็บป่วยทางร่างกายส่งผลให้ร่างกายของคนเราต้องการพักผ่อน การปิดสวิตช์นอนจึงควรมีมากกว่าสภาพร่างกายที่มีความปกติ
- สุขภาพจิต อารมณ์ จิตใจ ส่งผลต่อการพักผ่อนของร่างกาย คนที่มีสุขภาพจิตไม่เป็นปกติ ควรพักผ่อนนอนหลับมากกว่าคนที่มีสุขภาพจิตเป็นปกติ
และยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ที่ทำให้คนเรามีการนอนหลับในจำนวนเวลา ช่วงเวลา ที่มีความแตกต่างกัน แต่หลายคนใช้
เวลานอนที่นานมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการขี้เกียจได้ ดังนั้นคนเราแต่ละคนจึงมีความต้องการนอนที่ไม่เท่ากัน เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นอนหลับมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน,วินสตัน เชอร์ชิลล์ นอนหลับไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน , โธมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก นอนหลับเพียงวันละ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน เป็นต้น
แล้วนอนเท่าไรถึงจะพอแก่ความต้องการของแต่ละบุคคล กล่าวคือคงขึ้นอยู่กับความรู้สึกเฉพาะตัวว่าเมื่อตื่นแล้วมีความสดชื่น แจ่มใส มีความกระปรี้กระเปร่า และพร้อมที่จะทำกิจรรมต่างๆในวันใหม่ได้
จงศึกษาและลองสำรวจดูว่าช่วงเวลาในการนอนหลับของเราเองอยู่ในช่วงใด แต่ในทางการศึกษา ค้นคว้า ของหมอเขียว(นายใจเพชร กล้าจน)ได้กล่าวไว้ว่าช่วงที่ควรปิดสวิตช์นอนมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงไฟกำเริบจะอยู่ในช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 กล่าวคืออาจจะเริ่มเข้านอนตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มถึง ตี 4 ก็ได้
สำหรับอาการนอนไม่หลับ ถ้าหากใครมีอาการนอนไม่หลับมากกว่า 1 สัปดาห์ จนทำให้ไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาทำงาน ก็ควรรีบแก้ไขโดยการไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยและแนะนำเรื่องพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีขึ้นแพทย์ก็จะให้ทานยานอนหลับ
สรุปแล้ว ช่วงเวลาในการปิดสวิตช์นอนคงมีความแตกต่างกันแต่ละบุคคล ทั้งนี้คงต้องแล้วแต่ช่วงอายุวัย ลักษณะ
ของงานที่ทำ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และอื่นๆ อีกทั้งไม่ควรนอนหลับนานหรือมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดนิสัยขี้เกียจได้ ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับควรรีบปรึกษาแพทย์
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  [101]  [102]  [103]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.