หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะว่า คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสูตรอย่างไรในการทำงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ให้ข้อแนะนำมา 3 ข้อ สั้นๆคือ “ สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ” ซึ่งกระผมขอขยายความดังนี้
สม่ำเสมอ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอาชีพอะไร เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนสักเพียงใด เขาจะไม่หยุดทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน คนที่มีความสม่ำเสมอ มักถือว่าเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง เขาจะทำงานจนวันสุดท้ายและท้ายสุดของชีวิตเลยทีเดียว
มากพอ คือ เขาจะมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน เช่น งานเขียนหากตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้เพียงวันละ 1 หน้า กับอีกคนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 5 หน้า เวลาผ่านไป 1 เดือน สรุปคนแรกเขียนได้ 30 หน้า กับอีกคนเขียนได้ 120 หน้า ท่านคิดว่า ใครจะมีโอกาสเป็นนักเขียนที่เก่งกว่ากันครับ แน่นอนครับคนที่สอง เพราะเขาทำสิ่งนั้น “มากพอ” ครับ
นานพอ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำงานในอาชีพที่เขารัก นานพอ ไม่ใช่ทำแค่ วันสองวันถอดใจเสียแล้ว หรือทำแค่ 1 เดือน ก็หยุดทำอย่างนี้คงประสบความสำเร็จได้ยาก
ดังนั้น การทำงาน ด้วยความสม่ำเสมอ มากพอ และนานพอ เป็นแง่คิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่หลักการดังกล่าวยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
...
  
IMC ของไทยรักไทย
IMC ไทยรักไทย

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคการเมืองที่มีอายุไม่ถึง 5 ปี แต่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองได้ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อน เครื่องมือหนึ่งที่ทางพรรคไทยรักไทยนำมาใช้คือ


IMC (Integrated Marketing Comunication) หรือเรียกว่า การสื่อสารการตลาด หมายถึง กระบวนการของการพัฒนาแผนงานการสื่อสารการตลาดที่ต้องใช้การสื่อสารเพื่อการจูงใจหลายรูปแบบกับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของ IMC คือการที่จะมุ่งสร้างพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของการตลาด โดยการพิจารณาวิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand Contacts) เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะได้รู้จักสินค้า ที่จะนำไปสู่ความรู้ ความคุ้นเคยและความเชื่อมั่นในสินค้ายี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง(เสรี วงษ์มณฑา)


ดังนั้น IMC จึงเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเชิงธุรกิจ แต่เมื่อพรรคไทยรักไทยนำมาใช้แล้วพัฒนาอย่างจริงจัง จึงได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองขึ้น ด้วยการคว้าคะแนนเสียงกว่า 250 เสียง จากทั้งหมด 500 เสียง(ส.ส.)ซึ่งถือได้ว่าไม่ธรรมดา


ถ้าวิเคราะห์ดูจะเห็นได้ว่าเครื่องมือ IMC ที่พรรคไทยรักไทยใช้จะมุ่งเน้นที่การสร้างตราสินค้า(Brand Name) คือการเปิดโอกาสให้ประชาชนจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นคนมีส่วนตั้งชื่อพรรค เพื่อสร้างความรู้สึกในการเป็นเจ้าของ


มีการเลือกวิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand contact point) เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยใช้พนักงานขาย การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่ การตลาดเจาะตรง แผ่นพับ ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจที่พรรคไทยรักไทยในสมัยนั้นใช้งบประมาณมากมายมหาศาล


สำหรับคำขวัญของพรรคไทยรักไทยในสมัยนั้นคือ “ คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ” เป็นการแต่งขึ้นเพื่อสร้างความหวังให้แก่ประชาชนคนไทยในสมัยนั้น เพราะประชาชนเบื่อการบริหารการจัดการในลักษณะเดิมๆ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นมีภาพลักษณ์ที่เชื่องช้าและตัดสินใจไม่เด็ดขาดรวดเร็ว


ด้านการกำหนดบุคลิกภาพของตราสินค้า(Brand personality) เป็นการกำหนดว่าพรรคการเมืองมีบุคลิกภาพอย่างไร นับตั้งแต่หัวหน้าพรรคและส.ส.ในพรรค เมื่อพิจารณาภาพลักษณ์บุคลิกภาพของหัวหน้าพรรค พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจด้านธุรกิจโทรคมนาคมที่ประสบความสำเร็จ มีประสบการณ์ด้านการบริหารการจัดการ กล้าตัดสินใจ กล้าคิด กล้าทำ สำหรับบุคลิกภาพ ส.ส.ในพรรค เป็นกลุ่มนักธุรกิจ เป็นกลุ่มนักบริหาร เป็นกลุ่มนักการเมืองมืออาชีพ เป็นกลุ่มนักวิชาการ ฯลฯ


เราต้องยอมรับว่าเบื้องหลังความสำเร็จคือคณะทำงานการวางแผน IMC ของพรรคไทยรักไทย มีความสำคัญ มีการสื่อสารได้อย่างมีเอกภาพและได้ผล ยกตัวอย่างเช่น ป้ายหาเสียงของผู้สมัครในช่วงรณรงค์หาเสียงถ้าพวกเราจำได้ ป้ายหาเสียงของผู้สมัครมีมาตรฐานเหมือนกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสีของป้าย ขนาดของป้าย สามารถสร้างความจดจำให้แก่ตราสินค้าและประชาชนได้ จนทำให้พรรคการเมืองหลายพรรค เลียนแบบในเวลาต่อมา


จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าทฤษฏีและแนวคิด IMC (Integrated Marketing Comunication) สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในทางการเมืองได้ แต่ต้องอาศัยศิลปะในการประยุกต์ด้วย


โดยดูสถานการณ์ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมของการเมืองในสมัยนั้นๆ เพราะการเมืองเป็นพลวัต มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่นิ่ง




...
  
การบริการสู่ความเป็นเลิศ
บรรยายในหัวข้อ " การบริการสู่ความเป็นเลิศ " ณ โรงแรมเกทเวย์ จัดโดยสำนักงานจัดหางาน ...
  
Actions Speak Lound Than Words (ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด)
Actions Speak Lound Than Words
(ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ท่าทางหรือบุคลิกภาพ มีความสำคัญในการพูด บุคลิกภาพ หมายถึง สภาพนิสัยจำเพาะคน ซึ่งอาจรวมถึง รูปร่าง หน้าตา การแสดงออก ท่าทาง การนั่ง การยืน การเดิน เสื้อผ้า ทรงผม กริยาอาการ ตลอดจนเครื่องประทับต่างๆ ฯลฯ
นักพูด วิทยากร นักบรรยาย จึงควรเอาใจใส่ในเรื่องบุคลิกภาพ โดยต้องมีการปรับปรุง พัฒนาบุคลิกภาพดังนี้
1.อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เคยกล่าวไว้ว่า วิธีการสร้างบุคลิกภาพที่ดีในการพูด ควรงดแสดงอาการ 1.ล้วง 2.แคะ 3.แกะ 4.เกา 5.หาว 6.ยัก 7.โยก 8.ถอน 9.ค้อนและ 10.กะพริบ
2.ควรเดินขึ้นเวทีการพูดและพูด อย่างกระตือรือร้น เบิกบานแจ่มใสและกระฉับกระเฉง การที่ผู้พูดพูดด้วยความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ผู้ฟังก็จะมีความรู้สึกตามที่ผู้พูดพูด แต่เมื่อการพูดครั้งใดที่ผู้พูด เดินขึ้นเวทีพูดและพูดด้วยความเฉื่อยชา เศร้าสร้อย ผู้ฟังก็จะรับรู้ถึงอารมณ์ดังกล่าวของผู้พูด อีกทั้งทำให้บุคลิกภาพของผู้พูดไม่เป็นที่ประทับใจอีกด้วย
3.ควรพัฒนาการใช้สายตา เมื่อต้องพูดต่อหน้าที่ชุมชน การใช้สายตาต้องมองไปให้ทั่วถึง วิธีการใช้สายตาที่ดี ต้องค่อยๆ กวาดสายตาไปยังผู้พูด ไม่ควรมองเพดาน ไม่ควรมองพื้น หรือมองไปยังที่ผู้ฟังคนใดคนหนึ่งมากเป็นพิเศษ ควรสบตาผู้ฟังและแสดงออกซึ่งความจริงใจในการพูด
4.การแสดงออกทางใบหน้า ควรยิ้มแย้มแจ่มใสเวลาพูด การยิ้มจะทำให้บรรยากาศในการพูดไม่ตึงเครียดจนเกินไป การใช้สีหน้าในการพูดก็ควรให้เหมาะสมกับเรื่องที่พูด เช่นพูดเรื่องเศร้า ก็ไม่ควรยิ้มหรือหัวเราะ แต่ควรทำหน้าเศร้า ทำน้ำเสียงเศร้า ไปตามเนื้อเรื่องที่พูด
5.การแต่งกายต้องให้เหมาะสมกับตัวเอง ต้องแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ ยึดหลักสะอาด เหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับสถานที่ที่จะไปพูด การแต่งกายที่ดีควรแต่งกายเสมอผู้ฟังหรือสูงกว่าพูดฟังสักเล็กน้อย แต่ไม่ควรแต่งกายต่ำกว่าผู้ฟัง เช่น ผู้ฟังใส่สูทแต่เราเป็นผู้พูดดันใส่เสื้อยืด รองเท้าแตะ อย่างนี้ก็ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
6.การใช้ไมโครโฟน ควรให้ปากห่างไมโครโฟนประมาณ 1 ฝ่ามือ เพราะถ้าปากใกล้ไมโครโฟนมากเกินไปก็จะทำให้เกิดเสียงดัง แต่ถ้าปากห่างไมโครโฟนมากไปก็จะทำให้เสียงที่พูดเบา ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่ค่อยจะได้ยิน แต่ทั้งนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลอีกเช่นกันเพราะบางคนอาจเป็นคนพูดเสียงดัง บางคนอาจจะเป็นคนพูดเสียงเบา ผู้พูดจึงต้องรู้จักประมาณระยะห่างระหว่างปากกับไมโครโฟนด้วย
7.ฝึกการใช้ภาษากาย ภาษากายเป็นการสื่อสารของมนุษย์โดยผ่านความเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การพยักหน้าทันทีที่มีความเห็นด้วย หรือ ส่ายหน้าทันทีที่เห็นขัดแย้ง ฯลฯ อีกทั้งต้องระวังการใช้ภาษากายที่เป็นไปในลักษณะลบ เช่น การไม่กล้าสบตาผู้ฟัง การแสดงออกซึ่งความกระวนกระวายใจ การดูนาฬิกาบ่อย ฯลฯ
ดังนั้น Actions Speak Lound Than Words หรือ ท่าทางนั้นดังกว่าคำพูด มีความเป็นจริงมากที่เดียว ดังจะเห็นได้จากนักพูดบางท่าน ที่พูดเก่ง แต่ใช้ภาษาท่าทางที่แสดงออกด้วยความไม่จริงใจ จึงทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา เช่น ไม่กล้าสบตาผู้ฟัง ชี้นิ้วใส่หน้าผู้ฟัง กัดฟัน ใช้เท้าเตะสิ่งของต่อหน้าผู้ฟัง เป็นต้น
สรุปก็คือ ท่าทางเป็นภาษาหนึ่งในหมวดของอวัจนภาษา(Non-Verbal Communication) ซึ่งภาษาท่าทางสามารถสื่อไปยังผู้ฟังได้ นักพูด วิทยากร นักบรรยาย ที่ดีจึงควรมีการปรับปรุง พัฒนาภาษาท่าทาง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรักความศรัทธาและเข้าไปนั่งในหัวใจของผู้ฟังได้ง่ายขึ้น




...
  
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
One day is worth two tomorrows.(วันนี้มีค่าเท่ากับวันพรุ่งนี้ถึงสองวัน)
เกษตรกรคนหนึ่งมีอาชีพทำไร่ เขามีความตั้งใจว่าวันนี้จะต้องไปปลูกหอม ปลูกกระเทียมให้หมด ในช่วงเช้าเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังที่ดินของเขา เขาขับรถไปด้วยความตั้งใจ ในระหว่างทางบังเอิญเขาเจอร้านขาย อุปกรณ์ทางการเกษตร เขาคิดว่าเขามีเวลามากพอจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามราคาข้อมูลต่างๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจซื้อ จอบ เสียบ เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ปลูกหอม ปลูกกระเทียม ตามที่เขาตั้งใจ พอไปถึงที่ดินของเขา เขาสังเกตเห็นว่า ใกล้ๆที่ดินมีหนองน้ำ ซึ่งน้ำในหนองกำลังจะแห้ง แต่มีฝูงปลามากมายอาศัยอยู่ในหนอง เขาจึงตัดสินใจลงไปจับปลาในหนองน้ำ พอได้ปลามากพอสมควรแล้ว เขาก็หยุดจับ แล้วก็เริ่มที่จะลงมือปลูกหอมกับกระเทียมที่เขาตั้งใจ เขาปลูกได้เพียงชั่วครู่ บังเอิญเห็นต้นหญ้าเขียวจำนวนมาก เขาคิดว่าจะเป็นการดีหากนำต้นหญ้าเขียวจำนวนมากเหล่านี้ นำไปให้วัวที่บ้านได้กิน เขาจึงเริ่มต้นเก็บต้นหญ้า เขาเก็บได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ตก เขาจึงเดินทางกลับบ้าน สำหรับเป้าหมายที่เขาตั้งใจที่จะทำคือการปลูกหอม กระเทียม ก็ปลูกได้ไม่มากและยังไม่เสร็จ
หลายๆคนคงนึกขำ กับเกษตรกรคนนี้ แต่หารู้ไม่ว่า พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆกับเกษตรกรคนนี้ ซึ่งหลายๆคน มีเป้าหมายอยากที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละวัน กลับทำไม่สำเร็จหรือเสร็จตามที่ต้องการเนื่องจากการไปทำในเรื่อง งานปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยไปไม่ถึงไหน
ทำไมจึงต้องมีการจัดการกับเวลา เพราะหากไม่มีการจัดการกับเวลา เวลาของเราก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากว่า เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถหาซื้อมาใหม่ได้ เราไม่สามารถหยุดเวลาได้
คนที่จัดการกับเวลาได้ดี เขามักเป็นคนที่มีเป้าหมาย ท่านผู้อ่านลองกำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น อีก 10 ปี ข้างหน้า ท่านอยากเป็นอะไร ท่านผู้อ่านลองทบทวนชีวิตว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าท่านจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วท่านจงเริ่มวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
หากว่าท่านมีเป้าหมายชีวิต กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ท่านจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านจะจัดสรรลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำ ท่านจะมีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธผู้คน หากว่าผู้คนเหล่านั้น ชวนท่านคุยในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์และทำให้ท่านรู้สึกเสียเวลา และท่านจะไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง
ตอนนี้ท่านผู้อ่านอาจลองทดสอบตัวเองด้วยการ ตอบคำถามข้างล่างให้ตรงกับความเป็นจริงเพื่อดูว่าเรามีการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
1.ท่านมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนหรือไม่
2. ท่านมีการวางแผนเวลาหรือไม่
3.ท่านมีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำหรือไม่
4.ท่านมีเครื่องมือช่วยในการวางแผนเวลา เช่น ไดอารี่ ปฏิทิน สมุดโน้ต หรือไม่
5.ท่านมีการบังคับตนเองเพื่อทำตามแผนงานที่ท่านได้วางแผนไว้หรือไม่
6.ท่านมีการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยหาที่สงบๆให้กับตนเองได้ใช้ความคิดหรือไม่
7.ท่านใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดหรือไม่ เช่น ระหว่างนั่งรอพบคน ท่านเอาหนังสือออกมาอ่าน
จากแบบทดสอบข้างต้น หากข้อใดท่านตอบว่า “ ไม่ ” ท่านควรตรวจสอบแล้วหาทางปรับปรุงตัวท่านเอง การปรับปรุงตัวท่านจะทำให้การจัดการเวลาของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Prepare today for the needs of tomorrow. (เตรียมพร้อมในวันนี้เพื่อภาระในวันพรุ่งนี้)

...
  
การสร้างทีมสู่ความสำเร็จ
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยาย " การสร้างทีมสู่ความสำเร็จ " ณ เทศบาลป่าอ้อดอนชัย จังหวัดเชียงราย ...
  
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย อยากรู้ ว่าทำไมบุคคลที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จ กระผมจึงได้ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือ ตำรา ต่างๆมากมาย จึงทำให้ทราบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เขามักจะรักในสิ่งที่เขาทำและจะทำในสิ่งที่เขารัก
นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่ง เขาเคยรู้สึกสับสนตนเอง เนื่องจากงานเพลงที่เขาแต่งมักเกิดจากการจ้างวานหรือคนเสนอให้เขาเขียนเพลงแนวนั้นแนวนี้ จนเขารู้สึกว่า เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ในงานเพลงนั้นๆ ทำให้การใช้ภาษา การสื่ออารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนในที่สุด เขาตัดสินใจพักงานทั้งหมด แล้วไปค้นหาตัวเองยังต่างประเทศ พร้อมด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือนำทางชีวิตของเขา จนในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวต้นของเขาเองอีกครั้ง ว่าเขาสามารถแต่งเพลงได้ดีหากมันเกิดขึ้นจากความต้องการภายในมากกว่าการแต่งเพลงที่เกิดจากการจ้างวานด้วยเงินเป็นจำนวนมาก
เขาจึงหันกลับมาแต่งเพลงที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงทำให้เขาพบความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานเพลงเหล่านั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เขาได้อย่างมากมาย นักแต่งเพลงคนนั้นชื่อ บอย โกสิยพงษ์ หรือ นักแต่งเพลงรักในอันดับต้นๆของประเทศไทย
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่ตนเองรัก มากกว่าการทำงานเพื่อเห็นแก่เงินจำนวนมาก ถ้าหากท่านทำให้สิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชื่อเสียง เงินทอง ก็จะมาหาท่านเอง กระผมขอเขียนขยายความเรื่องของใจรักในงานว่ามีประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ ย่อมเป็นบันไดก้าวแรกซึ่งนำพาเราสู่ความสำเร็จ ความมีใจรักในงานที่ตนเองทำจะนำพาชีวิตเราก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จ เช่น เฉินหลงรักในงานแสดง , เอดิสัน รักในงานประดิษฐ์ , ไทเกอร์ วูดส์ รักในกีฬากอล์ฟ , สตีฟ จอบส์ รักในงานค้นคว้านวัตกรรมทางเทคโนโลยี ฯลฯ
2. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ เราลองสังเกตดูว่า หากเราทำงานที่เราไม่ชอบ เราจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ ไม่อยากทำงาน ขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น แต่หากเราลองได้ทำงานที่เรามีใจรัก ก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำ มีความขยันขันแข็ง ทำงานนั้นด้วยความสนุกสนาน เกิดความกระตือรือร้นในงานที่ตนเองทำ
3. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังใจ แก่ตัวเรา หากเรามีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส อยู่เสมอ ยิ่งหากเราได้เห็นผลงานที่เราได้ทำสำเร็จชิ้นแล้วชิ้นเล่า เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ แต่ตรงกันข้าม หากเราได้ทำงานที่เราไม่ชอบ ก็จะทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกที่หดหู่ ไม่เบิกบาน ผลงานที่ได้ทำออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร เราจะไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ทำออกมา
4. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ มักสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น สองพี่คนตระกูลไรต์ ประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ก็เนื่องจากการมีใจรักในงานที่ตนเองทำ ซึ่งก่อนการประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกนั้น คนทั่วไปมักบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเคยมีคนตั้งมากมายได้พยายามประดิษฐ์เครื่องบินแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ทำ ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดเครื่องบินลำแรกของโลกก็เกิดขึ้น จากสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เนื่องจากใจรักในงานที่ทำนั้นเอง
ดังนั้น การมีใจรักในงานที่ตนเองทำจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จพึ่งมี บัณฑิต อึ้งรังสี รักในงานวาทยกร
ซึ่งในยุคสมัยของเขา วาทยกรในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ตนเองทำ เขาฝึกฝนอย่างหนัก หาโอกาสต่างๆให้กับตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุด โลกก็จารึกชื่อของเขาให้เป็นวาทยกรระดับโลก
จงรักในสิ่งที่ท่านทำ จงทำในสิ่งที่ท่านรักแล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในการทำงาน
...
  
DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักใช้คนเป็น อ่านคนออก เข้าใจตนเอง อีกทั้งต้องมีการปรับตัวในการทำงานร่วมกันกับคนอื่น ซึ่งมีทฤษฏีต่างๆมากมาย เช่น นพลักษณ์ ( Enneagram) มีการแบ่งจำแนกคนออกเป็น 9 ประเภท , กรุ๊ปเลือด อ่านคน ( A B O AB) , อ่านคนตาม โหงวเฮ้ง , DISC ฯลฯ
แต่บทความฉบับนี้กระผมขอพูดถึงเรื่องของ DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
DISC จึงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น
DISC ได้แบ่งหรือจัดหมวดหมู่โดยแบ่งคนออกเป็น 4 แบบ ตามหลักทฤษฏีของ Dr.William Marston นักวิชาการจาก Harvard University ซึ่งได้เขียนหนังสือ เรื่อง “ The Emotions of Normal People ”
DISC มาจากอักษรย่อจากคำในภาษาอังกฤษ 4 คำ คือ Dominance (D), Influence (I), Steadiness (S) และCompliance (C)
DISC ได้บอกถึงพฤติกรรมของคนที่มีความแตกต่างกัน ไม่มีแบบใดดีที่สุดหรือเลวที่สุด แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับการนำไปปรับใช้ของแต่ละบุคคลให้เข้ากับสถานการณ์ DISC จึงสามารถแบ่งคนเป็น 4 แบบ ได้ดังนี้
D: Dominance มีพฤติกรรม พูดเร็ว เสียงดัง ฟังชัดเจน พูดจาตรงไปตรงมา ปากไว มีความมั่นใจในตนเอง กล้าตัดสินใจ มีความเด็ดขาด กล้าแสดงความคิดเห็น ทำงานรวดเร็ว คล่องแคล่ว เน้นผลลัพธ์ ชอบริ่เริ่มสร้างสรรค์ ชอบความท้าทาย รักการผจญภัย ชอบการแข่งขัน

I: Influence มีพฤติกรรม ชอบงานสังคม พูดเก่ง ช่างเจรจาต่อรอง ชอบงานบันเทิง ชอบพบปะผู้คน มีความกระตือรือร้น มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบการสื่อสาร มองโลกในแง่ดี มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น

S: Steadiness มีพฤติกรรม มีความระมัดระวัง ใจเย็น ชอบความปลอดภัย มีความอดทนหนักแน่น สุขุมรอบคอบ เป็นนักฟังที่ดี สุภาพเรียบร้อย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานตามแบบแผนที่กำหนดไว้ ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว มีความประณีต ไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไป

C: Compliance to own standard มีพฤติกรรม เจ้าระเบียบมีความละเอียดรอบคอบ กล้าตัดสินใจเด็ดขาด รวดเร็ว อิงกฎเกณฑ์มีวินัยสูง เน้นการคิดวิเคราะห์ เป็นคนมีเหตุผล ครุ่นคิด เก็บความรู้สึกเก่ง ไม่ชอบพูดมาก เป็นนักคิด นักวางแผนที่ดี
เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น จึงของสรุปทฤษฎี DISC ดังนี้
Dominance (D) = เป็นคนชอบแสดงออก มุ่งทำงานมากกว่ามุ่งคน
Influence (I) = เป็นคนชอบแสดงออก มุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
Steadiness (S) = เป็นคนไม่ชอบแสดงออก มุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
Compliance (C) = เป็นคนไม่ชอบแสดงออก มุ่งงานมากกว่ามุ่งคน
ทั้งนี้ ผู้อ่านจะทราบได้อย่างไรว่า ตนเองเป็นคนแบบใดใน 4 แบบ กระผมคิดว่า ท่านคงต้องสังเกตตนเอง แต่ถ้าให้ง่ายขึ้น เราคงต้องทำแบบทดสอบตนเอง ซึ่งจะทำให้เรารู้ได้ง่ายขึ้นโดยผ่านเครื่องมือต่างๆ
ท้ายนี้ การรู้จักตนเองและผู้อื่น ยังมีอีกหลายทฤษฏีที่เราสามารถนำมาใช้ได้ กระผมจะได้ทยอยเขียน ไม่ว่าเรื่องของ นพลักษณ์ ( Enneagram) มีการแบ่งจำแนกคนออกเป็น 9 ประเภท , กรุ๊ปเลือด อ่านคน ( A B O AB) , อ่านคนตาม โหงวเฮ้ง เป็นต้น






...
  
เอดส์ วัยรุ่น สังคมไทย
ปัญหาเอดส์ ปัญหาวัยรุ่น กับสังคมไทย

โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

เอดส์ เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษา เอดส์เป็นโรคที่ฆ่าพลเมืองของโลกไปมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งสังคมไทย เอดส์เป็นโรคที่ทำให้สังคมไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการรักษาไม่ว่าจะเป็นค่ารักษา ค่ายาต้านไวรัสเอดส์

สำหรับ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ในปัจจุบันของประเทศไทยเรา



กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจความชุกการติดเชื้อเอชไอวีประจำปี 2551 ในประชากร 8 กลุ่ม พบส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลง ยกเว้นชายขายบริการและนักศึกษาที่มาบริจาคโลหิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังขยายผลไปยังกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อกลุ่มใหม่ๆ ได้แก่ ชายขายบริการทางเพศ ชาวประมง และแรงงานต่างชาติด้วย




สรุปกลุ่มที่มีการติดเชื้อมีหลากหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่น่าสนใจ คือ วัยรุ่น หรือ นักศึกษา เพราะวัยรุ่นหรือนักศึกษาเป็นวัยที่กำลังเริ่มมีเพศสัมพันธ์ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกความต้องการ และจิตใจ อีกทั้งวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ ซึ่งอยู่ในช่วงเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ


และในปัจจุบันมีสิ่งเร้าต่างๆ มากขึ้น สำหรับที่จะทำให้วัยรุ่นหรือนักศึกษาเสียคนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยาเสพติด ไฮไฟว์ การโชว์อึ๋ม การมีแฟนควงแบบไม่ซ้ำหน้า การติดเพื่อน ติดแฟน ติดเหล้า ติดเกมส์ การอยากโกอินเตอร์ ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเร้า ให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์

ซึ่งติดต่อได้หลายทาง เช่น ทางเลือด ทางเข็มฉีดยา ทางแม่สู่ลูก แต่โดยมากมักจะติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์

ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่ห้ามได้ยากมากในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ การสอนให้เด็กวัยรุ่น นักศึกษา ได้รู้จักป้องกันตัวเอง เช่น การสวมถุงยางอนามัย การให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ การรักนวลสงวนตัว ฯลฯ

ที่ผ่านมาถึงแม้จะมีภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ความสนใจเรื่องการแก้ไข เรื่องโรคเอดส์ แต่ก็ทำในลักษณะที่ไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ ทำๆ หยุดๆ

และสุดท้าย หลายหน่วยงาน หลายองค์กร หลายครอบครัว ก็มอบให้เป็นภาระแก่ วัดพระบาทน้ำพุ พระอุดมประชาทร ซึ่งขณะนี้ท่านต้อง แบกรับภาระ ผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละปีต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ค่อนข้างหนักยิ่งขึ้นสำหรับค่าใช้จ่ายเนื่องจากภาวะเศษรฐกิจโลกและของประเทศตกต่ำ

อย่างไรต้องขอฝากปัญหาดังกล่าวให้แก่รัฐบาลด้วย ถ้าเรามุ่งเน้นแต่เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการหารายได้ แต่เราลืมไปว่า ถ้าเราเน้นหาเงิน เน้นการหาทรัพยากร แต่ บุคลากรในชาติ อ่อนแอ เป็นโรค แล้วเราจะมุ่งเน้นหาสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร หาเงินไปเพื่อซื้อยารักษาโรคเหล่านี้หรือ

ถึงแม้ปัจจุบันในทางแพทย์จะคิดวัคซีนโรคเอดส์แล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จง่ายๆ เพราะอาจจะมีหลายปัจจัยที่ใช้แล้วไม่ได้ผล ฉะนั้นต้องใช้เวลาในการทดลอง ดังนั้นคนที่รักสนุก ควรป้องกันตนเองนะครับ

สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อย่างได้ประมาท

...
  
ข้อดีของการให้ออกจากงาน
ข้อดีของการให้ถูกออกจากงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงสภาวะการที่องค์กรลดกำลังคน หรือ ในช่วงภาวะปกติ การว่างงาน การตกงานถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ของการใช้ชีวิตของการทำงาน และกระผมเชื่อแน่ว่าหลายๆท่าน ในขณะนี้ คงประสบกับภาวะการว่างงาน ดังกล่าวคือ การถูกไล่ออกจากงานหรือถูกให้ออกจากงาน หลายท่านทำใจได้ยาก นั่งกลุ้มใจ เป็นทุกข์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การถูกให้ออกจากงาน มีข้อดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้อดีของการถูกให้ออกจากงาน คือ
1.ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เรา มีอิสระ อย่างเต็มที่ เพราะชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เรามักถูกควบคุมด้วย เรื่องของ กฎ ระเบียบ เวลา สถานที่ เจ้านาย เช่น การทำงานประจำมักต้องมีเวลาเข้าออกในการทำงาน , ต้องมีกฎระเบียบ วันลา วันหยุด วันทำงาน , ต้องทำงานตามสถานที่ที่องค์กรกำหนด ไม่ว่าจะต้องถูกย้ายไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอต่างๆ , อีกทั้งยังเป็นอิสระจากเจ้านายที่คอยบ่น บังคับ ควบคุม ฯลฯ
2.ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ ตามใจที่เราปรารถนา ในขณะที่ตอนที่เราทำงานประจำเราไม่สามารถทำได้ เช่น ออกเดินทางไปต่างจังหวัดไปหรือไปต่างประเทศ ในช่วงระยะเวลานานๆ ได้ , ทำให้มีเวลาว่างในการอยู่กับครอบครัวมากขึ้น , มีเวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น , มีเวลาไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มากขึ้น , ทำให้เราสามารถนอนพักผ่อนได้เป็นเวลาที่นานๆขึ้นกว่าตอนที่ต้องทำงานประจำที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องลำบากในการเดินทางโดยใช้เวลานานๆ ฯลฯ
3.ทำให้เราได้มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้น เช่น ไปอบรมตามสถาบันต่างๆ , ไปอบรมในหลักสูตรต่างๆ ตัวอย่าง ไปพัฒนาทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ไปพัฒนาทักษะทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ , ไปพัฒนาทักษะในการเขียนหนังสือ , ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาว่างในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้น หรือบางท่านอาจใช้เวลาว่างนี้ในการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี , ปริญญาโท หรือปริญญาเอก ฯลฯ
4.ทำให้เราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้คนต่างๆ เช่น ทำให้เราใช้เวลาว่างในการไปเยี่ยมเยือนญาติที่ไม่ได้มีโอกาสติดต่อกันนาน , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบไปหาคุณพ่อคุณแม่ , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบปะกันมานาน ฯลฯ การพบปะพูดคุยกันจะทำให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนและเมื่อมีอะไรดีๆ เขาก็จะคอยให้ความช่วยเหลือเรา
5.เป็นข้อที่สำคัญที่สุด กล่าวคือ ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น โดยหาตัวตนว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารักจริงๆ คืออะไร ข้อดีของเรามีอะไรบ้าง ข้อบกพร่องของเรามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น บางท่านทำงานประเภทต่างๆ มามากมาย เปลี่ยนงานมาหลายสิบงาน แต่สุดท้ายถูกให้ออกจากงาน แล้วจึงกลับมาทบทวนตนเองดูว่าตนต้องการอะไร หรือ รัก ชอบ อะไร จริงๆ ในชีวิต ปรากฏว่า เขารักในการทำอาหาร ชอบทำอาหาร จึงได้เปิดร้านขายอาหาร หรือ ร้านขายขนม จนสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและครอบครัว และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีความสุขเป็นอย่างมากในการทำอาหาร เป็นต้น
สรุป คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านบวก ด้านลบ มีทั้งด้านดีและด้านเสีย หากเราสามารถมองโลกในแง่ดี เราก็สามารถมีความสุขในการใช้ชีวิต เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เราจึงไม่ควรอมทุกข์ การตกงานหรือการว่างงาน จึงมีข้อดี หากเราสามารถมองในด้านดี ซึ่งกระผมยังไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายข้อ เช่น หากเราทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรือ ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะ การถูกให้ออกจากงานจึงทำให้เรามีความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพ คุณภาพชีวิต อีกด้วย

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  [101]  [102]  [103]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.