หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
จงพัฒนาตนเอง ทุก 10%
จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีความสามารถหลายด้าน อีกทั้งยังเป็นคนที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความคิด การพูดและการกระทำ ซึ่ง คนเราทุกๆคน สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเองให้สู่ความสำเร็จได้ แต่หลายๆท่านอาจท้อแท้ เนื่องจาก ทางที่สู่ความสำเร็จในมันไกลเหลือเกิน แต่คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้โดยการพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
พวกเราคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง เต่ากับกระต่าย หาว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ยาวไกล ท่านก็ควรมีแนวความคิดเหมือนกับเต่า กล่าวคือ การเดินไปอย่างช้าๆ การพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ
ในบทความฉบับนี้ กระผมขึ้นต้นว่า จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนครับ เพียงแค่คุณพัฒนาตนเองทุกๆวันแค่วันละ 10 % ภายใน 1 ปี คุณจะมองเห็นความแตกต่างในตัวคุณเองอย่างชัดเจนและจะส่งผลให้คุณประสบความสำเร็จได้เพิ่มขึ้น การหาบน้ำ 100 ถัง ในครั้งเดียวหนักและเหนื่อยไหมครับ แต่หากว่าเราหาบน้ำทีละ 10 ถัง 10 เที่ยว เราจะรู้สึกว่าเราทำได้และเหนื่อยน้อยลงใช่ไหมครับ
เราจะพัฒนาตนเองทุกๆวัน วันละ 10% ด้านใดบ้าง
1. บุคลิกภาพ เป็นสิ่งที่คุณควรพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย ทรงผม การเดิน การนั่ง การเคลื่อนไหว สีหน้าท่าทาง ฯลฯ เพียงคุณใช้เวลา 10 % ในการคิดถึงและปรับปรุงบุคลิกภาพ ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดีขึ้นในสายตาของผู้อื่นอย่างรวดเร็ว โดยการพัฒนาตนเองอย่างง่ายๆ คุณลองหาต้นแบบของคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขามีบุคลิกภาพอย่างไร แล้วเราก็ปรับปรุงพัฒนารูปแบบตามเขาแล้ว เราจึงนำมาแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในสไตล์ของเราเอง
2. สุขภาพ เป็นสิ่งที่คุณควรพัฒนาตนเอง เนื่องจากสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นผู้นำคนใดในโลกที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ ดังนั้น เราควรพัฒนาตนเองให้มีร่างกายแข็งแรงทุกๆวัน วันละ 10% แต่ไม่ใช่ว่าอ้วนขึ้นทุกๆวัน วันละ 10% นะครับ สิ่งที่คุณควรระวัง ควรควบคุมน้ำหนักและไขมันส่วนเกินอยู่เสมอ ออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
3. การสื่อสาร เราสามารถพัฒนาการสื่อสารระหว่างบุคคลโดยการพัฒนาทุกวันๆละ 10% ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูด การเขียน การใช้ภาษากาย เมื่อคุณพัฒนาการสื่อสารทุกๆวัน วันละ 10% ก็จะทำให้หน้าที่การงานของคุณเจริญก้าวหน้า มั่นคงขึ้น
4. ควบคุมตนเองและสร้างวินัย หากเรามีสติควบคุมตนเองและสร้างวินัยให้ตนเองได้ ทุกๆวัน วันละ 10% ภายใน 3 เดือน ท่านจะเห็นว่าแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เช่น การมีวินัยในการทำงานให้ตรงต่อเวลา การควบคุมตนเอง ไม่ให้ออกนอกเส้นทางที่ท่านได้วางเป้าหมายไว้ เป็นต้น
5. การบริหารเวลา คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกๆคน แต่คนที่ประสบความสำเร็จ สามารถบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก หากท่านสามารถพัฒนาตนเองในเรื่องการบริหารเวลา การวางแผนการใช้เวลา ทุกๆวัน วันละ 10% ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
6. งานที่ท่านทำ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักคิดถึงงานเป็นอันดับแรก หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ลองพัฒนาตนเองให้ทำงานให้ดีขึ้นทุกๆวัน วันละ 10% ท่านก็จะประสบความสำเร็จในหน้าการงานของท่านได้
จงจำไว้ว่า เราสามารถพัฒนาตนเองได้เกิน 100 % ต่อปี ก็ด้วยการพัฒนาตนเองทุกๆวัน วันละ 10% การพัฒนาตนเอง 10 X 10 % มีค่าเท่ากับ 100 % ได้ หากว่าท่านยึดหลัก จงพัฒนาตนเอง 10 % ชีวิตดีขึ้น แนวทางนี้ในการดำเนินชีวิตกระผมเชื่อแน่ว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน

...
  
การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต มักเป็นคนที่ไม่ใส่ใจในเรื่องของการบริหารเวลา ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีเป้าหมายและรู้จักคุณค่าของการใช้เวลาแต่ละนาที ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จและรู้จักคุณค่าของเวลา ท่านจงตั้งเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งแต่ละบุคคลมักมีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน เช่น
- บางคนมีเป้าหมายอยากได้บ้านเป็นของตนเอง
- บางคนอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง
- บางคนอยากที่จะลดน้ำหนัก
- บางคนอยากเรียนต่อในระดับปริญญาเอก
- บางคนอยากเป็นเศรษฐี
- บางคนอยากมีเงินสด 1 ล้านบาท ภายในเวลา 5 ปี
ดังนั้นหากว่าเรามีเป้าหมาย เราสามารถที่จะวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
เพราะเป้าหมายเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ใช้ในการเดินทาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคุณจำเป็นจะต้องมีความจริงจังกับเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ก็จะทำให้คุณไม่ปล่อยเวลาให้สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เวลาของคุณจะมีค่า สำหรับการวางเป้าหมายที่ดี เราควรมีการกำหนดระยะเวลาลงไปด้วย เพราะหากไม่มีการกำหนดระยะเวลา เราก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งควรมีการวางเป้าหมายเป็นด้านๆไป เช่น เป้าหมายในเรื่องการทำงาน , เป้าหมายในเรื่องสุขภาพ , เป้าหมายในเรื่องชีวิตครอบครัว และเป้าหมายในเรื่องสังคม
ด้านการวางแผนที่ดี เราควรวางแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ เช่น หากว่าคุณฝันหรือมีเป้าหมายอยากมีเงินสด 1 ล้านบาท ภายใน 5 ปี คุณจำเป็นที่จะต้องวางแผนการออมเงินให้ได้ปีละประมาณ 2 แสนบาท หรือ เดือนละ 16,600 บาท เป็นต้น
การวางแผนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก มีการวิจัยหรือการค้นคว้าของนักวิชาการเกี่ยวกับเรื่องของการวางแผน ได้กล่าวไว้ว่า มีคน 2 คน คนหนึ่งใช้เวลาทำงาน 8 ชั่วโมง แต่อีกคนหนึ่งใช้เวลาสำหรับการวางแผนเพียง 8 นาที เขาใช้เวลาทำงานเพียงแค่ 7 ชั่วโมง ฉะนั้นเขาสามารถประหยัดเวลาได้ตั้ง 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ดังคำพูดของ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 16 อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า “ หากข้าพเจ้าต้องการตัดไม้ทั้งป่า สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าจะต้องทำคือ ข้าพเจ้าจะลับขวานให้คมก่อน” การวางแผนก็เหมือนกับการลับขวานให้คมนั้นเอง
เป็นหนุ่มสาวไม่ขยันทำงาน แก่เฒ่าจะไร้ค่า
...
  
อาหารปลอดภัย
ตลาดอาหารปลอดภัย

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ความจริงการขายอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากทำให้สุขภาพของคนไทยในปัจจุบันดีขึ้น แต่ผู้ปลูกผักไร้สารพิษหรือผู้ผลิตอาหารปลอดภัย มักจะบ่นว่าไม่มีตลาดรองรับ โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด


ถึงแม้ว่าหลายจังหวัดได้มีโครงการและส่งเสริมการตลาดสำหรับอาหารปลอดภัย เช่น จังหวัดจันทบุรี ได้จัดโครงการตลาดอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ ในช่วงเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการตรวจเลือดหาสารพิษในร่างกายจำนวน 152 คน โดยมีประชาชนที่ตรวจมากถึง 77 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มาตรวจเลือดหาสารพิษก็ว่าได้


หรือที่กรุงเทพมหานคร ก็ได้มีการจัดให้มีการประกวดตลาดสะอาดได้มาตรฐานอาหารปลอดภัย ตั้งแต่ มีนาคมที่ผ่านมาโดยมีตลาดที่เข้าประกวดทั้งสิ้น 61 แห่ง แต่เข้าเกณฑ์ตลาดสะอาดได้มาตรฐานเพียง 41 แห่ง


และจังหวัดพะเยา ก็ได้จัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษฅรคุณภาพจากผู้ผลิตส่งผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ในวันที่ 19 สิงหาคม 2552 ณ ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพะเยาภายในงานก็มีการเสวนาเรื่อง “ สินค้าปลอดภัยจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ” โดยมีการจัดบอร์ดนิทรรศการ, การจัดตลาดนัดสินค้าเกษตรปลอดภัย,การตอบปัญหาด้านเกษตรและการตรวจสารพิษตกค้างในเลือดอีกทั้งสารปนเปื้อนในอาหารด้วย


ถามว่าทำไมเกษตรกรถึงใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้ผู้บริโภคไม่ปลอดภัย คำตอบอาจเป็นเพราะ ค่านิยมที่เกิดจากตัวผู้บริโภคเองที่ต้องการ ผัก ผลไม้ต้องสวย จึงทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาพึ่งสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สำหรับผัก ผลไม้ที่ไม่ใช่สารเคมี ต้องคัดแยกผัก ผลไม้ที่ต้นหรือผลไม่สวยออก จนบางครั้งต้องคัดทิ้งถึง


25 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


สำหรับกระผมเชื่อว่า ถ้าพวกเราเลือกได้อยากรับประทานอาหารปลอดภัย ไม่ว่า ไก่ กุ้งแช่แข็ง ผักสด ผลไม้ และสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ มากกว่า อาหารที่มีสารพิษ ที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ถึงแม้อาหารปลอดภัย อาจจะแพงกว่าอาหารที่มีสารเคมีเพียงเล็กน้อยก็ตาม


ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ผลิตผู้ขาย สินค้าปลอดภัยมักบ่นว่าไม่มีตลาดสำหรับการขายให้แก่ผู้บริโภค และผู้บริโภคก็ไม่รู้จะไปซื้อสินค้าอาหารปลอดภัยจากไหน ถ้าไม่มีการจัดโครงการที่ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาพบกัน และสิ่งที่สำคัญ เราจะทราบได้อย่างไรถ้าซื้อสินค้านั้นในตลาดทั่วไปว่านี่คือ อาหารปลอดภัย เพราะ ผัก ผลไม้ ไก่ สินค้าเกษตรที่เห็นมันไม่สามารถแยกได้ด้วยสายตาคนเรา ถ้าไม่มีการตรวจสารปนเปื้อน


ดังนั้น ผมคิดว่า ผู้ผลิตและผู้ขายอาหารปลอดภัย ควรพัฒนาตราสินค้าของผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยโดยเฉพาะการเกษตร โดยอาจนำคนกลางมีการควบคุมมาตรฐาน ดังตัวอย่าง ถ้าใครต้องการส่งออกต้องมี ISO ก่อน ฉะนั้น จังหวัดควรให้การสนับสนุนและหาหน่วยงานมาดูแลเป็นพิเศษ ถ้ารอนโยบายจากส่วนกลางอาจล่าช้า อีกทั้งควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำโครงการเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เกษตรกรที่ผลิตอาหารปลอดภัยตามยถากรรม


เช่นจังหวัดนครปฐมมีกลุ่มแม่บ้านเกษตรผู้ปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านห้วยพระ ต.ห้วยพระ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม รวมกลุ่มผลิตผลไม้ ผักปลอดสารส่งให้กับ บริษัท กำแพงแสน คอมเมอร์เชียล จำกัด หรือ KC Fresh


ดังนั้น การตลาดหรือช่องทางการตลาด อาหารปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรกรภายในจังหวัด หน่วยงานราชการ รวมทั้งคนในจังหวัดต้องร่วมมือกัน


เกษตรกรภายในจังหวัดที่ปลูกหรือผลิต อาหารสารพิษ ต้องจริงจังและจริงใจ ในการปลูกโดยไม่ใช่สารเคมีจริงๆ เพราะบางกรณี เมื่อขายได้แล้ว มีคนเชื่อว่าเป็นอาหารปลอดภัยจริง ไม่มีสารพิษจริง ถึงตอนนั้นเกษตรกรบางรายกลับหันไปใช้สารเคมี เนื่องจากขายไม่ทัน การใช้สารเคมีทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และไม่ต้องทิ้งผักหรือผลไม้ที่ไม่สวย 25 เปอร์เซ็นต์ทิ้ง


หน่วยงานราชการ ต้องช่วยกันสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ สนับสนุน มีหน่วยงานพิเศษที่ลงมาดูแลเรื่องดังกล่าว มีหน่วยงานรับรองอาจให้ป้ายรับรองว่าร้านนี้เป็น อาหารปลอดภัยจริง


ประชาชนภายในจังหวัดก็ควรให้การสนับสนุน ซื้ออาหารปลอดภัย ภายในจังหวัดของตนก่อน การซื้อของประชาชนภายในจังหวัดจะทำให้ เกษตรกรที่ผลิตหรือขาย อาหารปลอดภัย อยู่ได้ อีกทั้งสุขภาพของผู้บริโภคก็จะดี ไม่มีโรคภัยที่เกิดจาก อาหารที่ปนกับสารเคมี







...
  
บรรยาย " ภาวะผู้นำ "
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ได้บรรยายในหัวข้อ " ภาวะผู้นำ " แก่เครือข่ายการเมืองภาคพลเมืองจังหวัดเชียงราย ...
  
จงอย่าหยุดคิดริเริ่มสร้างสรรค์
จงอย่าหยุดคิดริเริ่มสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
นักปรัชญาชาวจีนผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า “ทุกวันเป็นวันใหม่ แม้แต่ปลายังไม่ว่ายน้ำอยู่ที่เดิม” จากคำกล่าวนี้ ทำให้เรารู้ว่า
โลกนี้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน ก็เนื่องจากเกิดสิ่ง แปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาตลอดเวลา การที่เกิดสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา ก็เนื่องมาจากปัจจัยหนึ่งก็คือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของมนุษย์เรานั่นเอง
- สตีฟ จอบส์ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ เกี่ยวกับการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ ของบริษัท Apple ซึ่งเขาและ
ทีมงานได้คิดค้น ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด จนคนใช้กันทั่วโลก เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ไว้เป็นประโยคสุดท้ายเพื่อฝากไว้ให้คิดและปฏิบัติตาม ซึ่งเขาก็ได้ยึดหลักการนี้และนำเอาไปใช้คือ “ จงหิวโหยอยู่เสมอ จงโง่เขลาอยู่เสมอ ” นั่นหมายถึงว่า จงรักที่จะเรียนรู้อย่างตลอดเวลา คิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลานั้นเอง
- โทมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) และทีมงาน ได้คิดค้นและจดทะเบียนลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์เป็น
จำนวน 1,093 ชนิด ในสหรัฐอเมริกาและรวมกับทั่วโลกอีกกว่า 3,000 ชนิด ก็ด้วยเกิดจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นตัวอย่างได้ดีในเรื่องความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หากอาจารย์เอาแต่วาดรูป ก็
ได้แค่สร้าง หอศิลป์ ในแก่ตัวเองซึ่งมีคุณค่าและสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเองน้อยมาก อาจารย์จึงมีความริเริ่มสร้างสรรค์ตลอดเวลาโดยการสร้าง สถาปัตยกรรม ประติมากรรม ที่ยิ่งใหญ่ ดังเช่น วัดร่องขุ่น ซึ่งเป็นวัดสมัยใหม่ สวยงาม มีความหมายในเชิงพุทธศาสนา
การคิดสร้างสรรค์ จะทำให้เราได้วิธีการใหม่ๆ หรือเรียกว่าได้ “ ไอเดียใหม่” ซึ่งการคิดสร้างสรรค์นี้ เราทุกคนมีเหมือนกัน อีกทั้งเรายังสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่มันไม่ทำงานเนื่องจากพวกเราไม่ได้มีโอกาสได้นำมันมาใช้หรือไม่พยายามใช้มันนั้นเอง ฉะนั้นหากต้องการใช้มันในบางครั้งเราอาจจะต้องสร้างเงื่อนไขที่จะให้มันทำงาน เช่น ในการอบรม การประชุม ในการทำงาน หากให้องค์กรหรือหน่วยงาน ต้องการให้คนออกความคิดเห็นที่สร้างสรรค์หรือให้นโยบายบอกให้สร้างสรรค์งานออกมาให้ได้ กระผมเชื่อว่าหลายๆคน สามารถนำความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้
ดังคำพูดของ มัทธิว 7:7.8 ในคัมภีร์ไบเบิ้ล กล่าวไว้ว่า “ จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ” ดังนั้นหากท่านต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จงขอแล้วท่านจะได้ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบมัน จงเคาะแล้วสวรรค์ก็จะเปิดทางให้แก่ท่าน
แต่ในทางกลับกัน สังคมไทย มักเป็นสังคมที่ไม่ค่อยมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่เป็นสังคมที่คัดลอก เลียนแบบ กัน ซึ่งบางกรณีถือว่าเป็นการผิดกฎหมายลิขสิทธิ์อีกด้วย
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มีด้วยกันหลายปัจจัย เช่น
1. การคิดในแง่บวก, พูดบวก(เป็นไปได้,ทำได้) ความคิดและคำพูดเหล่านี้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ และควรหลีกเลี่ยงความคิดในแง่ลบ,พูดลบ (การคิดว่าเป็นไปไม่ได้ , ทำไม่ได้ ) ความคิดและคำพูดเหล่านี้จะทำให้เกิดการบันทอนกำลังใจของเรา
2. จงคิดแตกต่างจากคนอื่นดูบ้าง สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่างหรือโดดเด่นจากคนอื่น อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่นเกิดความกลัวต่างๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “ อันความจริงคนเขาก็อยากให้เราดี แต่เราเด่นขึ้นทุกที คนเขาก็หมั่นไส้ จงทำดีอย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน ” คำกล่าวนี้ทำให้คนไทย มักทำอะไรตามๆ กัน เพื่อไม่ให้ตนเองเกิดความแตกต่างหรือเด่นเกินชาวบ้าน แต่ความคิดดังกล่าว เป็นความคิดที่ขัดขว้างความคิดที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้น
3. แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ จากที่ต่างๆ การเปิดใจกว้างรับสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ จะทำให้ท่านเกิดประสบการณ์ที่ดีและมีความคิดเชิงสร้างสรรค์ขึ้น นักธุรกิจ นักฝึกอบรม จำนวนมาก มักนำสินค้าหรือหลักสูตรการฝึกอบรม ที่แปลกๆ ใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาขาย แล้วจึงประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ขึ้นมา
4. ต้องอดทนรอคอยความสำเร็จ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่ต้องอาศัยเวลา คนที่ไม่ประสบความสำเร็จบางคน มักไม่มีความอดทนรอคอย จึงล้มเลิกไปเสียก่อน ที่ความคิดสร้างสรรค์ดีๆ จะออกมา
ปัจจัยเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนึ่งของคนที่ต้องการมีความคิดสร้างสรรค์ หากท่านต้องการมีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ท่านก็ควรฝึกฝนตนเอง อีกทั้งควรศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติม
...
  
การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเราในโลกนี้มีเวลาเท่ากัน เพียงแต่คนที่ประสบความสำเร็จเขามีหลักการใช้เวลาที่แตกต่างจากคนธรรมดาโดยทั่วไป เขาถึงได้ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ครอบครัว สังคม คุณเองก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าหากว่าคุณมีหลักการใช้เวลาที่ดี ซึ่งในที่นี้กระผมขอยกตัวอย่างหลักการบริหารเวลาที่ดีของ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มีดังนี้
1.จัดงานตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง (ถ้าเราจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังแล้วเราควรทำงานที่สำคัญที่สุดก่อนเป็นลำดับแรกแล้วไล่ไปยังงานที่มีความสำคัญน้อยลงไป)
2.ให้ทำงานทีละอย่าง (การทำงานโดยเฉพาะงานที่สำคัญทีละอย่างจะทำให้คุณเกิดสมาธิในการทำงานมากกว่าการทำงานที่สำคัญทีละหลายๆอย่างพร้อมกัน)
3.พักผ่อนโดยการเปลี่ยนงานชั่วขณะ(เมื่อเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เราก็ควรเปลี่ยนงานโดยการไปชงกาแฟ การรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น)
4.รู้จักมอบหมายงานให้คนอื่นช่วยทำ(งานบางอย่างไม่มีความสำคัญ เราก็ควรมอบหมายงานที่คนอื่นเขาทำได้ให้เขาไปทำ เช่น การไปจ่ายค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา การรับโทรศัพท์ การช่วยพิมพ์งาน การช่วยหาเอกสารต่างๆ ฯลฯ
5.อย่าดินพอกหางหมู กล่าวคืออย่าเก็บงานที่ทำได้ในวันนี้แล้วเก็บไว้ทำในวันพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้า
6.ฝึกนิสัยให้เป็นคนตรงต่อเวลาโดยเฉพาะการนัดหมาย (ข้อนี้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักมีปัญหา ชอบไปงานสาย จึงทำให้การประชุมบางแห่ง ถูกเลื่อนเวลาออกไป)
7.รู้จักใช้อุปกรณ์ช่วยทำงาน(ยุคสมัยนี้เทคโนโลยีทันสมัยมากๆ การนำเอา คอมพิวเตอร์ Ipad และเทคโนโลยีอื่นๆ มาช่วยงานจะทำให้เกิดการประหยัดเวลา อีกทั้งทำให้งานมีคุณภาพมากขึ้นด้วย)
นี่คือคำแนะนำของท่านอาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ซึ่งกระผมขออนุญาตนำมาเขียนและเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน

...
  
ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ทำไมคนดีๆ จึงไม่ยอมอยู่ในองค์กร


ถามว่าทุกองค์กรต้องการคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และคนมีคุณภาพ มาอยู่ในองค์กรหรือไม่

ขอตอบว่า ทุกองค์กร อยากที่จะมีคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และ คนมีคุณภาพ เข้ามาอยู่ในองค์กรทั้งสิ้น บางองค์กร ถึงขนาดจ้างหรือให้เงินเดือน คนเหล่านี้ สูงมากๆ เพื่อจูงใจให้คนเหล่านี้อยู่ในองค์กร

แต่ทำไม เมื่อคนเหล่านี้ เข้ามาอยู่ในองค์กรแล้ว แค่ระยะเวลาหนึ่งคนเหล่านี้ก็ขอ ลาออกไป สาเหตุที่คนมีคุณภาพเหล่านี้ ต้องออกไป อาจมีอยู่หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักของคนทำงานให้องค์กรไม่นานก็คือ เรื่องของคนนั่นเอง และปัญหาโดยมากที่เกิดมักเกิดจากหัวหน้างานนั่นเอง ในวันนี้ เราจะมาพูดลักษณะที่ไม่ดีของหัวหน้างานที่ทำให้ลูกน้องไม่อยากอยู่ร่วมองค์กร มีดังนี้

1.ขาดความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คำพูด การกระทำและหน้าที่การงาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน คำพูดสำคัญมากครับ ดังนั้น ก่อนที่จะสัญญากับลูกน้องเรื่องอะไรต้องมั่นใจว่าทำได้เสียก่อน เช่น การรับปากว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ แล้วไม่เลื่อนจึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางการพูด หรือ รับปากว่าจะให้ผลประโยชน์ต่างๆ แล้วไม่ให้ (โบนัส ขึ้นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง) แล้วไม่ให้ จึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางคำพูดอย่างยิ่ง แล้วในที่สุดจะไม่มีลูกน้องเชื่อถือ


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบทางการกระทำ แต่หัวหน้างานที่ไม่ดีมักจะรับแต่ชอบแต่ไม่ชอบรับผิด คือ สิ่งไหนดีตัวเองบอกว่าเป็นผลงานของตนเอง แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะโยนให้ลูกน้อง นี่เป็นลักษณะที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งของหัวหน้างาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน เราจะเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคนที่ดี ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างสูง บางครั้งเราจะเห็นว่าถ้างานไม่เสร็จ เขาจะทำจนเสร็จบางครั้ง ทำงานจน ตี 1-ตี 2 เลยก็มีเพื่อให้งานนั้นเสร็จ


2.หัวหน้างานที่ดี ต้องมีความสามารถในการบริหาร คือ ต้องมีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารงาน ไม่โยนให้ลูกน้องทำแต่ตัวเองไม่ยอมทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคน การบริหารงาน และการบริหารเงิน


3.หัวหน้างานที่ดี ต้องรู้จักสอนงานลูกน้อง หัวหน้างานบางคนใจไม่กว้าง คับแคบ ไม่ยอมสอนงานลูกน้อง หรือ สอนงานให้ไม่หมด เนื่องจากกลัวลูกน้อง ได้ดีกว่า รู้มากกว่า การไม่สอนงานลูกน้อง ทำให้คนองค์กรไม่มีคุณภาพ หรือพัฒนา จึงไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้


4.หัวหน้างานที่ดีไม่ควรสร้างความแตกแยกในองค์กร เพราะ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน บางคนเชื่อว่าการสร้างความแตกแยก จะทำให้การบริหารงานนั้นง่ายขึ้น เพราะลูกน้องจะไม่รวมตัวกันกดดัน หัวหน้างาน


5.หัวหน้างานที่ดีต้องรู้จักพัฒนาตนเองไม่ว่าทั้ง การงานและความรู้ อีกทั้งต้องกระตุ้นให้ลูกน้องพัฒนาตนเองด้วยทั้งการงานและความรู้ ดังนั้น หัวหน้างานต้องเป็นแบบอย่างที่ดี


สุดท้ายก็ขอฝากแง่คิดเกี่ยวกับคนไว้ดังนี้ครับ


ฉลาดและขยัน เป็นนายคน


ฉลาดและขี้เกียจ เป็นที่ปรึกษา


โง่และขี้เกียจ เป็นคนรับใช้


โง่และขยัน เป็นอะไรก็ไม่ได้





























...
  
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
-ในช่วงชีวิตของคนเราทุกคน ช่วงเวลาในการทำงานถือว่าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-50 ปี ทั้งนี้แล้วแต่บุคคล ดังนั้น การทำงานจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ทรมานในการทำงาน เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในวันนี้กระผมมีเทคนิค 5 ส. มาฝากกัน
ส.ที่ 1 สดใส การทำงานในทุกๆวัน เราควรทำตัวเองให้ สดใส สดชื่น แจ่มใส มองโลกในแง่ดีหรือประโยชน์ที่ได้รับจากงาน การเริ่มต้นทำงานในทุกๆ เช้า ควรเริ่มต้นด้วย จิตใจที่เบิกบาน ตื่นตัวในการทำงานตลอดเวลา เมื่อเกิดความเครียดก็ควรพักผ่อน นั่งสมาธิ ออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสดใสในการทำงาน
ส.ที่ 2 สัมพันธ์ เราต้องยอมรับว่าในการทำงานทุกๆวัน ในองค์กรหรือนอกองค์กร เราต้องทำงานกับผู้คน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน จึงเป็นสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติ เพราะคนเราหากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะทำให้เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน สำหรับการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เราควรฝึกฝนและสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน เช่น การจำชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กรให้ได้ พยายามเรียกชื่อเขาให้ถูกต้อง เพราะคนเราโดยมากมักสนใจ พึงใจในชื่อของตนเอง , รู้จักยกย่องผู้อื่น เพราะคนเราชอบคนที่ใช้คำพูดสรรเสริญ ชมเชยตนเองมากกว่าคนที่ชอบนินทา , พยายามเป็นนักฟังที่ดี คนเรามักชอบคนที่ตั้งใจฟังตนเองมากกว่า พูดขัดคอ และจะให้ดีควรพูดหรือพยายามสนทนาในเรื่องที่คู่สนทนาให้ความสนใจ เป็นต้น
ส.ที่ 3 สื่อสาร การทำงานร่วมกันของคนเรา การสื่อสารเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่า การสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน ดังนั้น เราควรฝึกฝนและระมัดระวังเรื่องของการ คำพูด การสื่อสาร เช่น เราควรใช้คำพูดที่สร้างสรรค์มากกว่าการใช้คำพูดที่ทำลายกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ สร้างบรรยากาศในการทำงาน เช่น ใช้คำว่า “ สวัสดี” เมื่อต้องการทักทายกัน ใช้คำว่า “ ขอโทษ” หากว่าเราทำผิด ใช้คำว่า “ ขอบคุณ” เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ส.ที่ 4 สนใจงาน การที่คนเราจะมีความก้าวหน้าในการทำงาน ความสนใจงาน การรู้จักเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสนใจงาน จะทำให้เราเกิดสมาธิ เกิดความมุ่งมั่น เกิดการเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ เมื่อเกิดความสนใจในงานที่ทำ รู้จักเรียนรู้ รู้จักลำดับความสำคัญของงานก่อนหลัง และพัฒนาตนเองแล้ว ก็จะเกิดความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งการสนใจในงานที่ทำจะทำให้เราพร้อมที่จะทำการสำรวจและประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในด้านใดบ้าง
ส.ที่ 5 สุขใจ ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า ช่วงเวลาของคนเรา ช่วงเวลาในการทำงานถือว่ายาวนานที่สุด ฉะนั้น เราต้องทำงานที่เรารัก เราต้องทำงานที่เราชอบ เราจึงจะเกิดความสุขใจ แต่หากว่าเราไม่สามารถทำงานที่เรารักได้ เราก็ควรปรับตัวให้ รักในงานที่เราทำในปัจจุบัน เราก็จะเกิดความสุขใจ สบายใจในการทำงาน
สุดท้ายนี้ การสร้างความสุขในการทำงานยังมีปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น การสร้างบรรยากาศในห้องทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ แฟ้มเอกสาร หนังสือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ควรเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้ง หลักการในการทำงานที่ดี ไม่ใช่การทำงานหนัก แต่ควรทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางคนทำงานหนักเพียงแค่วันสองวัน แล้วหยุดยาว ตรงกันข้าม การทำงานอย่างสม่ำเสมอ จะได้ผลงานที่มากกว่า
และสิ่งที่สำคัญ ควรแบ่งเวลาหรือบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลขึ้นในการดำรงชีวิต เช่น เวลาสำหรับครอบครัวเวลาสำหรับการพักผ่อน เวลาสำหรับการทำงานอดิเรก เวลาสำหรับการเข้าสังคม เป็นต้น

...
  
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความคิดที่ดีๆของคนเรามากมาย ไม่สามารถออกมาเป็นรูปธรรมหรือออกมาเป็นผลงานได้ก็เนื่องมาจากการไม่ยอมที่จะลงมือทำทันที หลายคนนึกอยากที่จะเขียนหนังสือ อยากที่จะเขียนบทความ อยากที่จะเรียนต่อ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ก็เนื่องมาจากการผัดวันประกันพรุ่ง
การผัดวันประกันพรุ่ง การไม่ยอมที่จะลงมือทำทันทีนี้ทำให้เราเสียโอกาสที่สำคัญๆของชีวิตไป แต่สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเขามีความคิดที่ดีๆ เขาจะเริ่มลงมือทำทันที ไม่ปล่อยให้โอกาสหรือความคิดที่ดีๆนั้นผ่านพ้นไป
นักธุรกิจใหญ่ๆที่ประสบความสำเร็จ หลายๆท่านเมื่อเห็นโอกาสแล้ว เขาจะไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เขาไม่รีรอที่จะหาเครื่องทุ่นแรงมาช่วยเช่นเทคโนโลยีต่างๆ เขาจะสั่งซื้อและใช้เงินลงทุนทันที ตรงกันข้ามหลายๆคน อยากที่จะเปิดร้านทำธุรกิจสักแห่ง ไม่ว่าร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า เขาจะคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ไม่สามารถเปิดร้านได้ เพราะมัวแต่เสียเวลากับการคิดแต่ไม่ยอมที่จะลงมือทำ
ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง ขอให้ท่านจงลงมือทำทันที ไม่ต้องรีรอ หากว่าท่านมั่นใจจงเริ่มลงมือทำ เพราะการลงมือทำจะทำให้ท่านเห็นผลงาน และเมื่อท่านเห็นผลงานท่านก็จะเกิดความภาคภูมิใจ อีกทั้งเกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตรงกันข้ามการชักช้า รีๆรอๆ มักจะทำให้ความกระตือรือร้นของท่านจืดจาง เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็จะมีความรู้สึกไม่อยากที่จะทำมัน หลายๆท่านกลัวที่จะล้มเหลว อย่าได้กลัวมันเลยเจ้าความล้มเหลวนี่ เพราะความล้มเหลวจะสอนให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม
การผัดวันประกันพรุ่งจึงเป็นอุปสรรคต่อการบริหารเวลา การผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นใดเลย แต่เกิดจากตัวของเราเองนี่แหละ เพราะตัวของเราเอง ชอบมีข้ออ้างและเหตุผลต่างๆ เช่น ยังมีเวลาอีกหลายวัน , เดี๋ยวค่อยทำ , พรุ่งนี้ค่อยทำ เป็นต้น
หลายๆท่านเห็นงานที่มีมากแล้วไม่อยากลงมือทำ เช่น การเขียนหนังสือสักเล่มซึ่งมีจำนวน 200 หน้า ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากทำเพราะการจะเขียนหนังสือให้ครบ 200 หน้า ต้องใช้เวลานานหลายเดือน แต่เราสามารถทำได้โดยอาศัยเทคนิคดังนี้ คือ การซอยงานใหญ่ๆให้น่าทำขึ้น
หากหนังสือของเรามี 200 หน้า เราสามารถแบ่งออกเป็นบทๆหรือตอนๆ ได้ไหม เมื่อเราแบ่งออกเป็น 20 บท หรือ20 ตอน เราก็จะได้บทหรือตอนละ 10 หน้า แล้วเราจึงเริ่มลงมือเขียนทีละตอน ทีละตอน จนได้หนังสือออกมาเป็นเล่ม
การซอยงานใหญ่ๆ ให้น่าทำขึ้นหรือการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตอนๆ นี้ จะทำให้เราเกิดกำลังใจทำงาน กล่าวคือ เมื่อเราเขียนไปได้ 1 ตอนแล้ว เราก็อยากที่จะเขียนตอนต่อไป แทนที่จะปล่อยเวลาให้ช้าหรือคงค้างงานเอาไว้
จงเพาะนิสัยทำทันทีหรือททท. แล้วท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ดังคำพูดของ เดล คาร์เนกี ที่ว่า “เมื่อตัดสินใจแล้วปฏิบัติทันที จงลงมือทำเดี๋ยวนี้”
...
  
อารมณ์ขันกับนักพูด
ทำไมนักพูดจึงต้องมีอารมณ์ขัน

โดย..อาจารย์จตุพล ชมภูนิช

วงการนักพูดบ้านเราในขณะนี้ ถ้าเอ่ยชื่อ “จตุพล ชมภูนิช” หลายคนต้องร้องอ๋อ (แต่ไม่ใช่ อ๋อ…เหรอ) เพราะหลายคนบอกว่าเขาเป็นนักพูด นักเขียน นักฝึกอบรม และล่าสุดเป็นพิธีกร แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาชีพทั้งหมดที่บอกไปนั้น เริ่มต้นจากการ “พูด” แทบทั้งสิ้น”

นักพูดไม่จำเป็นต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เกิด และนักพูดก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ว่าตัวเองพูดเก่ง เขาผู้นี้ก็เช่นกัน เขาเริ่มการพูดเป็นทางการครั้งแรกในชมรมโต้วาทีในมหาวิทยาลัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องเริ่มต้นจากความชอบก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นเราจะมาดูว่าเขาเริ่มต้นเป็นนักพูดมืออาชีพได้อย่างไร

“…ก็ฝึกตัวเองก่อนนะ เวลาเดินเข้าบ้านก็พูดเสียงดัง ๆ ตะโกนไปเลย เพราะซอยแถวบ้านไม่ค่อยมีคน ก็เดินเข้าไปก็พูดไปด้วย พอสักพักก็ได้เริ่มฝึกฝนวิธีคิด วิธีการพูดโดยไม่ต้องเตรียมตัว มันก็ได้ประสบการณ์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง…

…จากนั้นก็มาฝึกพูดในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งแรกนี่ไม่ประสบความสำเร็จ คือไม่มีคนฟัง ไม่มีคนชอบ อะไรก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ)… นี่คือในช่วงแรก ๆ ทำไม่ได้ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งพยายามขึ้น ไม่ใช่ว่าเลิก ก็แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่ถึง เรายังไม่ให้เวลาเต็มที่ ความสามารถเรายังไม่พอ ก็ต้องเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปให้มันด้วย เลยกลับมาฝึกใหม่…”

ตอนนั้นใครเป็นนักพูดในดวงใจ?

“…ตอนนั้นรุ่นพี่ ๆ ในมหาวิทยาลัยที่พูดเก่ง ๆ ก็มีหลายคน เราก็ดู ๆ แล้วก็ลองศึกษาว่าเขามีวิธีการพูดอย่างไร ทำไมคนถึงสนุก คนถึงฮาเฮ ก็มีหลายคนนะ แต่ว่าแต่ละคนก็หยิบมาอย่างละเล็กละน้อย อย่างคนนี้พูดเสียงหนักแน่นดี คนนี้มีลูกเล่นลูกฮาดีนะ…

…จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ผมก็คอยสังเกตการณ์ตลอด เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะหยิบยกของแต่ละคนมา บางคนมีไหวพริบปฏิภาณดี บางคนก็มีวิธีการพูดดี สำนวนดี ผมก็พยายามศึกษา เราจับเอามาอย่างละเล็กละน้อย ไม่ได้ถึงขนาดเลียนแบบหรือไปเอาของใครมาเป็นแบบอย่าง…”

ทุกวันนี้อาจารย์มีแบบฉบับในการพูดของตนเองอย่างไร?

“…ผมว่าเป็นตัวของผมเองนะ คือจะนำสิ่งร่วมสมัยมาใช้ เช่น เพลงโฆษณา ละคร อะไรต่าง ๆ เอามาประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ แล้วก็นำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่เราอาจมองข้ามไป มาหยิบยกให้เห็นเด่นชัดขึ้น คงจะเป็นอย่างนี้ คือให้มันทันสมัยมากขึ้น เข้ากับความสนใจของคนฟัง…”

อาจารย์เคยเบื่อการพูดบ้างไหม?

“…ถ้าพูดนี่ คงไม่เบื่อนะครับ เพราะปรกติอาชีพผมนี่ จริง ๆ คืออาชีพฝึกอบรม ต้องไปสอนคน ต้องไปบรรยายตามคอร์สต่าง ๆ ทีนี้คนมันเปลี่ยนตลอด พอบรรยายเรื่องนี้ไป สมมติว่า พูดเรื่องการทำงานอย่างไรให้มีความสุขสนุกกับงาน วิธีการบริหารอย่างเหนือชั้น วิธีการขายอย่างมืออาชีพ คนฟังจะเปลี่ยนเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนคนฟัง เราก็เปลี่ยนหัวข้อ คือ เปลี่ยนข้อมูลในการบรรยายให้ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ทีนี้ถ้าสอนในชั้นเรียน เจอนักเรียนหน้าเดิม มันก็มีโอกาสเบื่อ แต่ว่าอาชีพนี้มันเปลี่ยนเรื่อย ๆ มันสบายใจ ไม่มีโอกาสเบื่อ…”

มีการเตรียมตัวในการพูดแต่ละครั้งอย่างไร?

“…

จากวันนั้นถึงวันนี้ ๑๐ กว่าปีแล้ว อาจารย์มีพัฒนาการในการพูดอย่างไร?

“…ก็ทนทานขึ้นเยอะ (หัวเราะ)… ก็เมื่อก่อนพูดแล้วคนไม่ขำ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ควรมีค่าแก่การอยู่ต่อ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ฟังไม่เป็นไร จะแยกแยะดูว่าปัจจัยของการให้คนฟัง คนขำ นี่มันมีหลายอย่าง ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว ถ้าเขาหิว เขาก็ไม่ขำแล้ว เขากินข้าวกันอุตลุด คุยกับเพื่อน เขาก็ไม่ฟังอย่างนี้… เราก็รู้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมขึ้นไปพูด ผมจะวิเคราะห์ว่าวันนี้ต้องการขนาดไหน ถึงขนาดลงไปหัวเราะกลิ้งเกลือกลงกับพื้น มันกำหนดได้ บอกได้เลยนะ ถ้าเป็นบรรยายนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาเตรียมกระดาษคนละแผ่นเตรียมจดสุดชีวิต แต่ที่ลำบากที่สุดคือ การทอล์คโชว์ อย่างดินเนอร์ทอล์ค กินโต๊ะจีนนี่ ถามว่าเขากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารข้างหน้า แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้เขาทิ้งช้อนทิ้งตะเกียบหันมามองเรา หันมาฟังได้ ๔๐ นาที หรือ ๑ ชม. เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมต้องวิเคราะห์ทุกครั้งก่อนขึ้นพูดว่า เราควรจะต้องทำอย่าไรให้เขากลับมาฟังเรา แล้วงานนี้นะ โอ้โอ! คนจีนทั้งนั้น ฟังกันไม่รู้เรื่อง ก็ขอแค่หึหึก็พอ บางที่ขอแค่รอยยิ้ม บางที่ต้องเฮนะ ไม่เฮไม่ได้ กำหนดได้เลยครับ…”

ขณะพูดเคยหมดมุขบ้างไหม?

“…ไม่มีครับ ก็คือ เราจะสังเกตงานส่วนหนึ่งว่าควรจะหยิบอะไรมาเล่นบ้าง แบบฉากที่วิลิศมาหรา หรือไฟมันมืดตะคุ่ม ๆ ก็หยิบเอามาเล่นได้ เพื่อให้ใกล้ตัวเขา และเขาก็จะได้สนุกไปด้วย แล้วก็ถามสมมติไม่ไหวจริง ๆ มันก็จะมีที่เขาเรียกว่า ซูเปอร์แก๊ก คือ แก๊กที่โยนทีไร เฮทุกที ทุกที่เสมอมา แต่ต้องเอาไปปรับใช้ในแต่ละงานนะ จะใช้ในกรณีที่หินจริง ๆ ก็ต้องลองดูเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์…”

ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่นักพูดไม่ควรพูดคืออะไรบ้าง?

“…สิ่งที่ไม่ควรพูดคือ เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องลามกอนาจาร ถ้ามันโจ่งแจ้งเกินไป ความจริงทุกคนชอบนะ แต่มันโจ๋งครึ่มเกินไป จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิด ถ้าเราไปทะลึ่งตึงตัง มันก็ไม่ถูกกาลเทศะ รวมไปถึงการพูดที่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจหรือเอาปมด้วยคนอื่นมาเป็นอารมณ์ขัน อย่างหัวล้าน ตัวเตี้ย ตัวดำ ก็ไม่ควรพูด…”

มีความคิดเห็นอย่างไรที่นักพูดยืมมุขตลกมาใช้?

“ถ้านักพูดยืมมุขตลกมาใช้ เข้าใจว่าเป็นการล้อเลียน ผมยังยืมมาเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องดึงสื่อที่มันร่วมสมัยมาใช้ในสไตล์การพูดของผม เช่นคำว่า ท้อแท้… ไม่สบาย ซึ่งหยิบมาแค่นั้นเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่เป็นแค่ตลก นักร้อง ดารา ใครที่ดัง ๆ แม้แต่นักการเมืองที่ชี้นิ้ว ชี้อะไรต่างๆ เขาดังเราก็หยิบยกเข้ามาประกอบการพูด ตลอกกับนักพูดนี่คนละอย่างและห่างไกล สาเหตุเพราะว่าตลกเขาใช้โจ๊ก โจ๊กแปลว่าตลก ส่วนนักพูดจะมี Sense of Humor แปลว่ามีอารมณ์ขัน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเอาถาดมาตี มาตบกัน เพียงแต่ใช้คำพูดของเราสร้างให้เกิดมุมมองที่สนุกสนานขึ้นมาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องหัวเรากลิ้ง Sense of Humor แค่อมยิ้มก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คือพูดแล้วไม่เครียด ฟังแล้วสบาย ๆ ๑ ชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ต้องตลกโปกฮาแบบทะลึ่งตึงตัง แต่เป็น Sense of Humor ซึ่งนักพูดไม่ได้มีทุกคน แต่ว่านักพูดจะใช้แล้ว ต้องเป็น Sense of Humor ไม่ใช่ตลก ไม่ใช่โจ๊ก…”

ถ้าไม่มี Sense of Humor แล้ว เป็นนักพูดไม่ได้หรือ?

“…เป็นได้ครับ แต่นักพูดแบ่งเป็นนักพูดเชิงวิชาการ นักพูดเชิงสนุกสนาน จริง ๆ นักพูดเชิงวิชาการพูดง่าย คือเรามีวิชาการอยู่กับตัว เรามีความรู้เราก็ถ่ายทอดไปตามนั้น หนังสือว่าอย่างไร เขาว่ากันอย่างไร ว่าไปตามนั้นก็จบ แต่การพูดแล้วนั้นมีมุมมองแปลก ๆ มีแง่คิด มีความสนุกสนานเจือปนอยู่บ้าง ก็เป็นอีกขั้นที่ยาก คือคนฟังฟังแล้วได้อะไรและได้อย่างไม่รู้ตัวด้วย ได้แบบเพลิดเพลินด้วย…”

คุณสมบัติของนักพูดที่ดีควรจะเป็นอย่างไร?

“…นักพูดที่ดี ผมว่าต้องพูดให้จริง เรื่องไม่จริงไม่ควรพูด นับตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อใช้วาทศิลป์แปลงให้ดูแล้วให้เกิดความเชื่อถือนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องเพราะบางทีบางคนใช้วิธีการพูดโน้มน้าว หว่านล้อม ชักจูงให้คนฟังมีความรู้สึกว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี้ไม่ควร นี่คือข้อแรก…

ข้อสองคือ ต้องจริงจังกับการพูด ถ้าการพูดทุกครั้งหมายถึงการขาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งเราต้องรับผิดชอบกับผลงานของตนเอง ต้องพูดให้ดี แล้วจริงใจด้วย ออกมาจากใจจริง ๆ คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น…”

กับการที่นักพูดผันตัวเองเข้าสู่วงการแสดงหรือพิธีกร มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?

“…ถ้าเรื่องพิธีกรนะ ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย เพราะนักพูดก็ต้องพูดอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของการเป็นนักพูด มีสูตรหนึ่งคือ เทคนิคการเป็นพิธีกร ซึ่งพิธีกรจริง ๆ อาจจะยังไม่เคยเรียน แต่นักพูดเรียนมาแล้วทุกคน เขาจะรู้ว่าการสยบม็อบหรือการปลุกคนฟังให้เขาวางช้อนวางตะเกียบฟังหน้าเวทีทำอย่างไร วิธีการถาม วิธีการจะตามมุข วิธีการหักแง่หักมุมที่ทำให้เกิดความสนุกสนานทำอย่างไรบ้าง

นักพูดทุกคนมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าบางคนทำได้ดี บางคนทำได้ไม่ดี บางคนหน้าตาดี อะไรหลายอย่างที่เป็นส่วนประกอบในการเป็นพิธีกร รวมทั้งโอกาสด้วย ซึ่งผมถือว่าถ้าในกรณีที่นักพูดมาเป็นพิธีกร ธรรมดามากและควรเป็นด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นนักแสดงนี่บอกไม่ได้ เพราะทุกคนแสดงได้ไม่เหมือนกัน…”

แล้วชอบเป็นพิธีกรไหมคะ?

“…โอ้โฮ! ผมเป็นได้สบายมากเลยครับทั้งในทีวีและข้างนอก ข้างนอกนี่ถือว่าเป็นยากกว่าในทีวีเยอะ เพราะเราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ถ้าบนเวทีต้องใช้ฝีมือเยอะ เช่น ช่วงนี้ใครยังไม่มาเราจะทำอย่างไร ผมสามารถยืนบรรยายได้ทั้งวันสบายอยู่แล้ว แต่เราสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าโยนเข้าเพลง…”

เรื่องหน้าแตก?

“…มีครับ อย่างอ่านชื่อผิด ประเภทที่ไม่ควรเกิดเลยคือ ประเภทหลุด บางทีเคย มีอยู่ครั้งไปอัดรายการสดของช่อง ๙ นานแล้วละ ใช้คำพูดไม่สุภาพออกไป ผมพูดว่าม้วนหางซิลูก และเผอิญมันเพี้ยน เพราะข้างล่างเราเล่นหยอกล้อกันติดปาก และวันนั้นมันเป็นรายการสดด้วย ตัดก็ไม่ได้ ปรากฏว่าพลั้งปากออกไป แต่มันก็ไม่น่านะ…”

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดของเด็กไทย ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินรายการโต้คารมมัธยมศึกษา?

“…ยอมรับว่าเขาเก่งนะครับ เพราะเขามีเวลาเยอะ อย่างคนทำงานเช่นผมนี่ เวลาจะน้อยเพราะจะต้องแบ่งแยกความคิดไปอย่างอื่นอีกเยอะ ด้านธุรกิจ ด้านการงาน ด้านแก้ไขปัญหาชีวิตและสุขภาพ อะไรต่าง ๆ แต่เด็กนี่ ก็ผมเคยเป็นเด็กมาก่อน ตอนเป็นนักศึกษานี่สามารถแปลงเพลงได้วันหนึ่งตั้ง ๕-๖ เพลง เพื่อจะมาร้องในแซววาที แปลงกลอนแปลงสุภาษิต มานั่งคิดมุขได้เพียบเลย เพราะเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจว่าคนที่เป็นนักเรียนนักศึกษานี่ ถ้าเก่งก็คือเก่งไปเลย มีความสามารถเยอะเพราะเขามีเวลาฝึกฝน…

ถ้าเราให้เวลากับอะไรมาก สิ่งนั้นก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เด็กสมัยนี้เก่ง ซึ่งผมชื่นชมและอยากให้เขามีโอกาสแสดงออกอย่างนี้ ไม่ใช่ไปยืนแย้ว ๆ อยู่ข้างเวที คอยไปซับเหงื่อซับน้ำลายให้ใครเขา มันไม่มีประโยชน์กับชีวิต ว่าไหม อย่างการพูดนี่มันยังได้ใช้กับการงานอาชีพส่วนตัวได้เยอะ

คำแนะนำสำหรับคนที่จะเป็นนักพูด?

“…คนที่จะเป็นนักพูดต้องมีความตั้งใจจริงที่จะเป็นจริง ๆ เพราะอุปสรรคมันเยอะกว่าจะไปถึงเส้นทางนั้น มันสะสมนานเพราะมันไม่ได้เป็นภายในวันเดียว บางทีเราพูดดี คนเขาก็นึกว่าฟลุคอยู่ ยังไม่คิดว่ามันเป็นผลงาน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความอดทนกับระยะทางอันยาวไกลเพื่อที่จะไปรอคอยความสำเร็จนั้น ต้องใจรักครับ…

สำหรับวงการนักพูดในปัจจุบันนี้ เนื่องจากการพูดเข้าไปอยู่ในวงการต่าง ๆ เยอะ เพราะว่าการพูดผมถือว่าเป็นศิลปะที่เยี่ยมเลยนะ คิดดูคน ๆ หนึ่งพูดแล้วทำให้คนเป็นร้อยเป็นพันฟังคน ๆ เดียวได้ หัวเราะตาม ร้องไห้ตาม คิดตามได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่าเป็นเพียงเสียงที่เปล่งออกมา บางทีเสียงหัวเราอะไรต่าง ๆ ที่เป็นตลกจบแล้วคือจบ แต่การพูดมันไม่จบ จบแล้วยังไปนั่งคิดต่ออีกว่า เออ… มันจริงไหมที่เขาพูด เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันได้แง่คิดมุมมองไปช่วยผลักดันพลังในตัวเอง หรือว่าได้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาได้เยอะ ดังนั้นทางที่ดีถ้ามีการพูดเข้าไปเจือปนในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทำให้ดูมีสาระประโยชน์มากขึ้น…”

ทุกวันนี้ในวงการนักพูดก็ยังคงเปิดโอกาสให้นักพูดรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทุกเมื่อ แต่ทว่าคุณจะมีพลังความสามารถเพียงพูดที่จะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าได้หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้กล้าท้าทาย แต่ความสามารถของคุณพิสูจน์ได้ เพราะประชาชนเป็นคนตัดสิน

และวันนี้ นอกจาก “จตุพล ชมภูนิช” ยังไม่เบื่อที่จะพูดแล้ว เขายังเปิดสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาธุรกิจ (Progress Business Training Institute) ขึ้นที่ลาดพร้าว ๗๑ เพื่อฝึกอบรมด้านธุรกิจและฝึกให้ทุกคนที่อยากพูดได้มีโอกาสพูด เพราะตราบใดที่คนเรายังพูดได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีการพูดให้ดีมีสาระด้วยเช่นกัน…

นักพูดจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูด และต้องศึกษาหาความรู้ทุกวิถีทาง ผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านเพียบเลย แล้วก็คุย ถาม เขียน คิด ฟัง แล้วจึงมาประยุกต์ ประมวล คือรวบรวม ประยุกต์ก็คือการปรับใช้ให้เกิดความน่าฟัง น่าคิด น่าเชื่อในสิ่งที่เราพูด เรานำเสนอไป หัวข้อเดียวกัน วิชาเดียวกัน คนอื่นพูดอาจเบื่อ แต่พอเราพูดคนอยากฟัง ติดตามฟังต่อ อย่างนี้มันก็คือการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้มันเกิดความทันสมัย…” ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.