หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
www.drsuthichai.com
จงทำแต่งานของท่าน แต่อย่ารับงานของคนอื่นมาทำเสียเอง
ในบางครั้ง เวลาในการทำงานของเรา มีลดน้อยลง ก็เนื่องจากเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หลายคนมีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก งานบางงานต้องเร่งรีบส่ง ในเวลาที่มีจำกัด แต่มีนิสัยขี้เกรงใจคน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธคน จึงทำให้เวลาในการทำงานมีน้อยลง เช่น
คนบางคน เวลามีคนชวนไปกินข้าวเที่ยงเป็นเวลานานๆ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แทนที่จะรีบ
ไปทานข้าวเที่ยง แล้วมาทำงานต่อ กับเสียเวลาในการพูดคุยกันในเวลากินข้าวเที่ยงหรือเสียเวลาในการรออาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนชวนไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาด บางคนเพื่อนชวนไปเป็นเพื่อนเพื่อ
ติดตามงาน(ของเพื่อน)ในสถานที่ติดต่องานราชการ ใน วัน เวลาทำงาน ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองน้อยลง
คนบางคนถูกเพื่อนหรือคนรู้จัก ขอร้องให้ช่วยทำงานของเขา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาในชีวิตของตนลดน้อยลง เช่น เพื่อนร่วมงานเรียนปริญญาโท แล้วให้ช่วยทำรายงานให้ ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับเราเลย แต่ด้วยความที่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาของเราเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนร่วมงานมาหาที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ชวนพูดคุย นินทา ผู้คนต่างๆ เป็นเวลานานๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ในการพูดคุยเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเวลาในการทำงานของตนเอง อีกทั้งงานที่จะส่งก็ล่าช้าตามไปด้วย
คนบางคน ขอร้องให้ช่วยไปซื้อของหรือฝากซื้อของ ยังสถานที่ต่างๆในเวลาทำงาน หรือ พักเที่ยงขอร้องให้เราไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา ,ค่าบัตรเครดิต , ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ หากว่าเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ใช้เวลาในการสนทนา ทาง Facebook หรือ สนทนาทาง Line ในเวลาทำงาน นานจนเกินไปและก็ไม่ใช่สนทนาเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาในการทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ไปนั่งทานข้าวหรือนั่งกินกาแฟกับเพื่อน เป็นเวลานานๆ แต่มีงานที่จะต้องทำหรือมีธุระที่จะต้องทำ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือกล้าที่จะขอตัวแล้วลุกจากที่นั่ง หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาของเราก็จะลดน้อยลง
ดังนั้น หากท่านต้องการมีเวลาที่จะการทำงานมากขึ้น ท่านต้องกล้าที่จะปฏิเสธ อย่ารับงานของคนอื่นมาทำแทน เพราะ การเกรงใจหรือการไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จะทำให้ท่านเสียเวลาในการทำงานของท่านลง มันเป็นผลเสียต่อตารางการทำงานของเรา ทั้งนี้ การปฏิเสธ ไม่ได้หมายรวมไปถึง งานที่เจ้านายหรือผู้บริหาร เขามอบหมายให้ เพราะนั้นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำ เพื่อความก้าวหน้า เพื่อตำแหน่ง เพื่อชีวิตของตนเอง
ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ จึงเป็นหัวใจหนึ่งที่สำคัญในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

...
  
วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
วิธีการฝึกพูดของ ดิสราเอลี
จากคนพูดติดอ่าง กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ดิสราเอลี เป็นชาวยิว มีความสามารถที่หลากหลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของดิสราเอลี คือการพูด จึงทำให้เขามีชื่อเสียงจนกระทั่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นก็ได้รับการยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของประเทศอังกฤษ
ดิสราเอลี เป็นคนพูดติดอ่างมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาอยากเด่น อยากดัง อยากเล่นการเมือง เขาจึงฝึกการพูด จนในที่สุด เขาแก้ไขการพูดที่ติดอ่างจนได้ หลังจากนั้นการพูดของ ดิสราเอลี ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งได้เป็น ผู้แทนราษฏรครั้งแรกขณะได้อายุ 32 ปี
ดิสราเอลี พูดครั้งแรกในรัฐสภา ประสบความล้มเหลว เป็นอันมาก ซึ่งพลตรีหลวงวิจิตรวาทการได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่” ว่า
“ เมื่อได้รับเลือกแล้ว ดิสราเอลีก็ได้นั่งข้างหลัง เซอร์โรเบิร์ตพีล ด้วยความใฝ่ฝันอยากที่จะได้พูดบ้าง ซึ่งเขารอมาช้านานแล้ว ในที่สุดวาระของเขาก็มาถึง และได้มีโอกาสพูดตามที่ใฝ่ฝัน ซึ่งเขาอยากพูดมานานแล้ว แต่พอได้พูดเข้าจริง ความฝันอันนั้น ก็กลายเป็นฝันร้าย ความเป็นเชื้อชาติยิว ซึ่งทำความลำบากมาให้เขาแต่เล็กแต่น้อยได้ติดตามมาทำความลำบาก ให้จนกระทั่งถึงเวลาที่ได้นั่งในสภาผู้แทนราษฎร เสียงหัวเราะ เสียงผิวปาก เสียงเย้นหยัน เสียงร้องให้หยุด ได้มีอยู่ตลอดเวลา ดิสราเอลี เขียนเล่าเรื่องของเขาไว้ว่า บางครั้งทำให้เขาเสียขวัญ แต่ก็พยายามสงบใจ ในที่สุดก็สงบต่อไปไม่ไหว พูดต่อไปอีกไม่ได้ ต้องหยุดพูด ก่อนที่จะนั่งลง เขาได้พูดว่า คราวนี้ข้าพเจ้าต้องนั่งลง แต่เวลายังจะมีมาข้างหน้า ที่ท่านจะต้องฟังข้าพเจ้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ”
หลังจากนั้น ดิสราเอลี ก็ได้ทุ่มเทให้กับการฝึกฝนการพูด ฝึกการใช้สำนวนโวหาร ฝึกคิดสำนวนโวหารที่เป็นของตนเอง รวมไปถึงการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้ง และที่สำคัญเขาเป็นคนที่ฉลาดมากในการใช้คำพูดให้ถูกต้องกับจังหวะและสถานการณ์ เช่น เมื่อประเทศอังกฤษประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เขาจะศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ รวมไปถึงการแก้ไขปัญหา แล้วเขาก็ออกไปแสดงสุนทรพจน์ แสดงปาฐกถา แสดงความคิดในที่ต่างๆ รวมทั้งมีการพูดให้สัมภาษณ์ทางสื่อมวลชน จนทำให้ประชาชนชาวอังกฤษสมัยนั้น คาดหวังว่าเขาจะช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ ซึ่งต่อมาเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เปรียบเสมือนเป็น แม่บ้าน ซึ่งต้องดูแลควบคุมเงินทองของประเทศ
สำหรับการแสดงสุนทรพจน์และการแสดงปาฐกถา แต่ละครั้ง ดิสราเอลี มักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมตัว เขาต้องร่างบทพูดด้วยตนเอง เขาจะพิถีพิถันมาก อีกทั้งซ้อมพูดก่อนที่จะออกไปพูดจริงๆ จึงทำให้ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากเขา เป็นคำพูดที่ไพเราะ เต็มไปด้วยวาทศิลป์ ซึ่งคำพูดเหล่านั้น สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่นักพูดรุ่นหลังได้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ ดิสราเอลี ประสบความสำเร็จในด้านการใช้คำพูด การใช้วาทศิลป์ก็คือ
ดิสราเอลี เป็นนักเขียนเขาแต่งหนังสือหรือเขียนหนังสือเป็นจำนวนมาก ซึ่งการเขียนหนังสือหรือการเขียนบทความลงตามสื่อต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการเตรียมการพูดอยู่ตลอดเวลา เพราะการเขียนหนังสือจะต้องมีข้อมูล ความรู้ ต้องมีความคิด ต้องมีการวิเคราะห์ ต้องมีการเรียบเรียงคำพูดก่อนที่จะเขียน ดังนั้น ดิสราเอลี จึงมีความรู้ที่กว้างขวาง มีความรู้มากพอ ที่จะพูดตอบโต้ พูดโต้แย้ง ในรัฐสภาซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของการเป็นนักการเมืองที่ดีและนักพูดที่ดี

...
  
การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com

ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย มีความน่าสนใจมาก เพราะได้นำรายได้จำนวนมากมายมหาศาลเข้าประเทศ การท่องเที่ยวในประเทศไทยเติบโต เนื่องจากการได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล หน่วยงานราชการ หน่วยงานภาคเอกชน อีกทั้งมีการบริหาร มีการจัดการระบบการท่องเที่ยวเข้ามาช่วย เช่น เรามีสนามบินสุวรรณภูมิที่ใหญ่มาก และตอนนี้ก็ได้มีการเปิดสนามบินดอนเมืองขึ้นมาใช้งานเพิ่มเติม เรามีโรงแรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่โรงแรมขนาดเล็กราคาถูกจนถึงโรงแรมขนาดใหญ่ซึ่งมีราคาแพง เรามีบุคลากรที่บริการนักท่องเที่ยวที่ดี บริการด้วยความสุภาพ มีความเอื้ออาทรต่อนักท่องเที่ยว เรามีภูมิประเทศที่หลากหลาย เรามีทะเล มีภูเขา มีน้ำตก มีเขตติดต่อกับหลายประเทศ เรามีวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ที่มีความน่าสนใจ เรามีระบบคมนาคมที่ดี มีรถโดยสารประจำทาง มีรถไฟฟ้า มีเรือ ที่จะนำพานักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ
อีกทั้ง เราจะมีการเปิด AEC (ประชาคมอาเซียน) ประเทศไทยซึ่งได้รับการยอมรับและได้เป็นตัวกลางประสานเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน เราสามารถเดินทางเข้าออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนสะดวกขึ้น ถึงแม้จะมีการสำรวจว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากจะมาเที่ยวประเทศในกลุ่มอาเซียนประเทศใดมากที่สุด ผลออกมาคือประเทศมาเลเซียอันดับ 1 และประเทศไทยอยู่อันดับรองๆลงมาก็ตาม
หน่วยงานที่รับผิดชอบการท่องเที่ยวไทย ควรทำการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น มีการบุกตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ในประเทศต่างๆมากขึ้น มีการทำอีเวนต์ มาเก็ตติ้งมากขึ้น มีการสร้างเครือข่ายข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ดู ควรสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เข้มแข็งขึ้น ควรมีแผนการทำงานด้านการตลาดทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว อีกทั้งควรพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้ได้มีการฝึกภาษาต่างประเทศที่หลากหลายภาษายิ่งขึ้น
การรุกตลาดใหม่ๆ มีการสำรวจว่านักท่องเที่ยวประเทศใดเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด ปรากฏว่าเป็นชาวจีน แต่เราสามารถหาตลาดใหม่ๆได้ ปัจจุบันประเทศมุสลิม ส่วนใหญ่ร่ำรวยจากการขายทรัพยากรน้ำมัน ประชาชนชาวมุสลิมได้มีการท่องเที่ยวที่มากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็ควรจัดสิ่งต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกตามวิถีทางของชาวมุสลิม ไม่ว่าโรงแรม โรงพยาบาล สนามบิน สถานที่ละหมาด จะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวในประเทศมุสลิมเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้น
ด้านผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวเอง คงขึ้นอยู่ที่คุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงกลไกการตลาดด้านการท่องเที่ยวก็มีความสำคัญ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ควรที่จะวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การวางแผนก่อน ก่อนที่จะทำอะไรก็ตาม เราควรวางแผนลงไปในกระดาษว่า เราจะทำการตลาดอย่างไร ธุรกิจเราจะไปในทิศทางไหน เราจะสร้างโรงแรมโดยคิดราคาห้องพักราคาถูกหรือไม่ หรือเราจะสร้างโรงแรมที่มีความแตกต่างแล้วคิดในราคาที่สูงมากขึ้น ธุรกิจเราจะใช้ 4 P อะไรบ้าง marketing mix (Product Price Place Promotion) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดก่อน วางแผนก่อนลงมือทำจริง
การบริการลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวก็มีความสำคัญ เคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของสถาบันที่น่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริการ ระบุว่า 86 % ของลูกค้าคาดหวังจะได้รับบริการที่ดี 82 % จะเปลี่ยนผู้ให้บริการหากไม่พอใจ 97 % เปลี่ยนหันเหไปหาผู้ให้บริการรายอื่น 35 % ไม่ยอมรับคำขอโทษหากไม่พอใจ ลูกค้าไม่พอใจในบริการ 1 คน จะบอกต่อถึง 78 คน ยิ่งในยุคปัจจุบันลูกค้าสามารถบอกต่อได้เป็นแสนๆล้านๆคน เขียนผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต แต่ถ้าเขียนภาษาอังกฤษได้ คนก็สามารถได้เห็นได้อ่านมากยิ่งขึ้น อีกถ้าหากลูกค้าถ่ายคลิปได้ ยิ่งสามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก แต่ถ้าบริการดี ลูกค้าพอใจจะบอกต่อ 1 คน ต่อ10 คน และจะกลับมาใช้ใหม่35% ดังนั้นการทำ CRM คือ Customer Relationship Management จึงเป็นเครื่องมือช่วย ทำให้เกิดการบอกต่อมากขึ้น
ด้านการแข่งขันกันในธุรกิจโรงแรม ธุรกิจนำเที่ยว ส่วนใหญ่จะมีการแข่งขันในเรื่องการลดราคา อีกส่วนหนึ่งไม่อยากแข่งขันด้านราคา จึงหันไปสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การออกแบบโรงแรมให้เกิดความแตกต่าง แต่มาถึงจุดหนึ่ง ก็โดนเลียนแบบ จนหาความต่างได้น้อยมาก การแข่งขันในยุคปัจจุบัน จึงต้องเน้นไปที่การสร้างตลาดใหม่ซึ่งเป็นของตนเอง Blue Ocean จึงมีการพูดถึงกันมากในยุคปัจจุบัน ชาน คิม และเรเน โมบอร์ค เป็นผู้คิดทฤษฏีนี้ เขาได้ระบุไว้ในหนังสือของพวกเขา โดยบอกไว้ว่า หากเราต้องการที่จะหลุดพ้นจากการแข่งขันที่รุนแรงหรือเขามักเรียกว่าทะเลเลือดหรือน่านน้ำสีแดง เราต้องพยายามเปลี่ยนความคิดในทางตลาดใหม่ เขาเรียกว่า ทะเลคราม หรือ น่านน้ำสีคราม
คิม และ โมบอร์ก กล่าวว่าอย่ามองแค่ธุรกิจที่อุตสาหกรรมที่เราทำอยู่เท่านั้น แต่ควรมองไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีสินค้า ที่ได้ตอบสนองลูกค้าคล้ายกับสินค้าของเรา เช่น ธุรกิจโรงแรม ตอบสนองลูกค้า หรือลูกค้าได้ประโยชน์ โดยการพักผ่อน แล้วอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สามารถตอบสนองลูกค้าโดยการพักผ่อน ก็คือธุรกิจท่องเที่ยว เป็นไปได้หรือไม่ที่ เราจะสร้างโรงแรม ในรถทัวร์ ทั้งนี้ นักท่องเที่ยว สามารถนอนบนรถทัวร์แบบสบายที่สุดเหมือนนอนในโรงแรม ในขณะเดียวกัน ก็ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเดินทางอีกด้วย
การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ ควรทำหลายทาง สมัยนี้ โซเชียลมีเดีย มาแรงมาก ถ้าโรงแรมไหน ธุรกิจท่องเที่ยวไหน ยังไม่มีขอแนะนำให้ทำ ไม่ว่า จะเป็น เว็ปไซค์ Facebook ทวิตเตอร์ อีกทั้งควรมีการต่อยอดเพื่อให้เกิดการบอกต่อด้วย เช่น เมื่อลูกค้าเข้ามาโรงแรมพักที่โรงแรม หากลูกค้ามีการเช็คอินใน Facebook ก็จะมีแต้มหรือมีคะแนนหรือมีของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆให้ การจ้างพนักงานดูแลสื่อโซเซียลมีเดียจึงมีความจำเป็น บริษัทใหญ่ๆมักมีหน่วยงานนี้ เพราะบางครั้งลูกค้า ใส่ชื่อโรงแรมเราเข้าไปใน google เมื่อกดเข้าไปดันไม่ใช่เว็ปไซค์เรา ปัญหาเหล่านี้ ควรต้องมีการดูแลและเข้าไปแก้ไข
ฉะนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะพัฒนาและเจริญเติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว คงต้องอาศัยการตลาดเข้าช่วย และจะต้องดำเนินไปพร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เช่น การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว การพัฒนาบุคลากรและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น






...
  
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ถามว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทำไม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนอื่นๆ จึงสามารถทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนเป็นจำนวนมาก คำตอบก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในบทความนี้ จึงขอเขียนเรื่อง “ เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ”
คนที่จะเป็นนักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เขาจะต้องเป็นคนที่ จัดระเบียบของกิจกรรมเป็น โดยมีเทคนิคดังนี้
1. คุณต้องเขียนกิจกรรมต่างๆหรือเป้าหมายที่คุณต้องการทั้งหมดลงในกระดาษ
2.คุณต้องเขียนเป้าหมายในชีวิต ว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด เช่น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย คุณต้องมีเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมาย 1 ปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์ เป้าหมายรายวัน ที่คุณต้องการ ซึ่งอาจจะใช้เป้าหมายเป็นจำนวนเงินหรือยอดขายเป็นตัวตั้ง
3.คุณต้องแบ่งตัวเลขตามเป้าหมายต่างๆให้ชัดเจน เช่น คุณต้องการที่จะเป็นหัวหน้าฝ่าย คุณต้องไปดูข้อมูลหรือศึกษาข้อมูลเก่าๆว่า คุณสมบัติของหัวหน้าฝ่ายขายที่ผ่านมาหรือคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย เขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
4.คุณต้องแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ เช่น คุณสมบัติของการที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย คุณจะต้องทำงานอย่างน้อย 3 ปี และมีผลงานทางด้านการขายสะสมไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท คราวนี้ คุณก็จะต้องมาแบ่งแยกเป็น เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์และเป้าหมายรายวัน
กล่าวคือ อีก 3 ปี ข้างหน้า เราจะต้องมียอดขายสะสม 30 ล้านบาท เราจึงต้องแบ่งออกเป็น 3 ปีและเราจะต้องขายให้ได้ปีละ 10 ล้านบาท ยอดขายรายเดือนเดือนละ 8-9 แสนบาท ยอดขายรายสัปดาห์สัปดาห์ละ 2 แสนกว่าบาท ยอดขายรายวันวันละประมาณ 3 หมื่นบาท เป็นต้น
5.คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยยึดหลัก กิจกรรม A B C D ก็ได้ เช่น แบ่งกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเป็น A กลุ่มลูกค้าระดับกลาง B กลุ่มลูกค้าระดับเล็ก C กลุ่มลูกค้ารายย่อย D (ซึ่งกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ A มียอดสั่งซื้อ 1-3 ล้านต่อปี ในขณะที่ลูกค้ารายย่อย D มียอดสั่งซื้อแค่ปีละ 5 หมื่นบาท ฉะนั้น หากว่าเราขายของให้ลูกค้ากลุ่ม A เพียงแค่ 1 คน จะเท่ากับยอดการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่ม D ถึง 20-30 คนเลยทีเดียว ฉะนั้น นักขายชั้นเซียนจึงให้ความสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่มากกว่าลูกค้ารายเล็ก ) เป็นต้น
6.คุณต้องหาเครื่องมือช่วย เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้
7.คุณต้องลงมือทำตามแผนที่คุณได้บันทึกลงไปในเครื่องมือของคุณ อย่างจริงจังและต้องมีวินัยในการปฏิบัติ
8.คุณต้องมีการทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัทพ์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น
9.คุณต้อง ให้ความสำคัญกับคำว่า “สำคัญกว่าทำก่อน” โดยยึดตารางออกเป็น 4 ช่อง คือ 1.สำคัญและเร่งด่วน 2.สำคัญและไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญและเร่งด่วน 4.ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เราควรให้น้ำหนักกับกิจกรรม ในช่องที่ 1และ2 ส่วนช่องที่ 3และ4 ควรลดจำนวนการใช้เวลาในช่องนี้ (ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมหรือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเวลามาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนใหญ่หนังสือการบริหารเวลาจะมีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ)
10.คุณต้อง เรียนรู้เทคโนโลยี ในการช่วยทำงาน ปัจจุบัน เทคโนโลยี มีความทันสมัยและราคาถูกลงเป็นอันมากเมื่อเทียบกับคุณภาพการใช้งาน คุณควรเรียนรู้ เครื่องมือเหล่านี้ เช่น การใช้โทรศัพท์ให้เป็นประโยชน์ในการประสานงานการนัดลูกค้า ซึ่งในโทรศัพท์มือถือมีเครื่องมือช่วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเอกสารต่างๆ เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน , การโอนเงินฝากเงินโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ,การเช็ค E-mail ,การบันทึกเสียงต่างๆ เมื่อคุณต้องเข้ารับการอบรม สัมมนาต่างๆ เพื่อเอามาฟัง , การดูคลิปการอบรม การบรรยายต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ , การติดต่อลูกค้าหรือบุคคลต่างๆ ผ่าน Facebook ผ่าน Line , การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตต่างๆ เป็นต้น
11.คุณต้อง พัฒนาตนเองด้วยมิติ การจัดการ PDCA คือ P (Planning) การวางแผน D (Do) การลงมือทำปฏิบัติตามแผน C (Check) ตรวจสอบและประเมินตนเอง A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา
นี่คือเทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพอย่างคร่าวๆ ซึ่งท่านผู้อ่านคงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ และก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไข ปรับปรุง ก็จะทำให้ท่านเป็นนักบริหารเวลาและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
...
  
วิธีการฝึกการพูดของ พันเอก ปิ่น มุทุกันต์
วีธีการฝึกการพูดของ พันเอก ปิ่น มุทุกันต์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ เป็นนักพูดลือนามในอดีตของไทยเรา เริ่มชีวิตการเป็นนักพูดจากการเป็นสามเณร ซึ่งท่านเทศน์ได้ไพเราะและมีสาระที่ดีมาก ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดเกาะได้รับฉายาในพระพุทธศาสนาว่า “วิริยากโร”
ในขณะที่เป็นพระ ท่านก็เป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง ท่านต้องเดินทางไปเทศน์ยังต่างจังหวัด ซึ่งต้องเดินทางเป็นประจำ สำหรับลีลาการเทศน์ของท่านในขณะนั้น ท่านมักที่จะประยุกต์แนวความคิดและวิธีการใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเทศน์ อีกทั้งท่านมีน้ำเสียงที่ห้าวๆ แต่มีความแจ่มใส สามารถสะกดใจผู้ฟังได้ จึงทำให้การเทศน์ของท่านมีสาระเร้าใจคนฟังอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งทำให้เกิดความสนุกไม่เบื่อ ฟังง่าย นับได้ว่าเป็นนักเทศน์ที่มีความคิดก้าวหน้า กล้าคิด กล้าทำ ในยุคนั้น
สำหรับวิธีการฝึกการพูดของ พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ ท่านได้เขียนและพูดไว้ในหลายที่ ซึ่งสามารถสรุปย่อๆได้ดังนี้
วิธีที่ 1 ท่องจำเอาคำพูดของท่านผู้อื่น ตอนที่พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ ได้เริ่มฝึกการพูดใหม่ๆ ตอนสมัยเป็นสามเณร ท่านมีความประทับใจนักเทศน์ท่านหนึ่งคือ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ สิริจันโท วัดบรมนิวาส ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ที่ไปเทศน์ที่ไหนคนชอบคนอยากฟัง
ท่านจึงได้ไปฟังการเทศน์แล้วก็จดจำคำพูด อีกทั้งเมื่อได้รับหนังสือพระธรรมเทศนากัณฑ์ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ท่านได้ท่องจำคำเทศน์จนคล่องปาก วันหนึ่ง ชาวบ้านได้นิมนต์ท่านไปเทศน์งานบุญแห่งหนึ่ง ท่านก็ได้เทศน์ปากเปล่าตามที่ท่านได้ท่องจำเอาไว้ จนกระทั่งชาวบ้านติดอกติดใจ ต่อมาท่านก็ได้มีการขยาย ต่อเติม เชื่อมคำพูดต่างๆลงไปในกัณฑ์เทศน์นั้น จนกระทั่งเกิดความสมบูรณ์ขึ้น
วิธีที่ 2 ขยันตามฟังคนอื่นพูด พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ มักจะติดตามฟังคนที่พูดเก่งและคนที่พูดไม่เก่ง เพื่อศึกษาดูสไตล์ เวลาฟังก็จะจดว่าตรงไหนดี ท่านก็จะทำเอาไปใช้ ตรงไหนไม่ดี ท่านก็ทิ้งไป สำหรับการฟังท่านจะติดตามฟัง นักพูดท่านหนึ่งๆหลายๆครั้ง ไม่ใช่ฟังนักพูดท่านนั้น เพียงแค่ครั้งเดียว แล้วไม่ไปฟังอีก เพราะการติดตามฟังซ้ำๆจะทำให้เราทราบสไตล์ของนักพูดท่านนั้น
วิธีที่ 3 หัดอ่านหนังสือให้เป็น พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ กล่าวว่า การอ่านหนังสือออกกับการอ่านหนังสือเป็น ไม่เหมือนกัน การอ่านที่ว่า ท่าน หมายถึง การหัดอ่านออกเสียง อ่านให้เหมือนกับการพูด คือต้องมีเสียงสูง เสียงต่ำ มีหนัก มีเบา มีประโยคสั้น ประโยคยาว มีเว้นวรรค มีหยุด ฉะนั้นการอ่านหนังสือต้องทำให้เหมือนกับการพูด ฉะนั้นขอให้ฝึกอ่านหนังสือออกเสียง ไม่ใช่อ่านหนังสือในใจ
วิธีที่ 4 หัดย่อความ-ขยายความ พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ กล่าวว่า การฝึกย่อความและขยายความมีประโยชน์ในการเป็นนักพูดและนักเขียนเป็นอันมาก และท่านแนะนำให้ฝึกย่อความก่อน
การย่อความท่านเปรียบดังการเก็บของลงในกระเป๋าเดินทาง ต้องรู้ว่าชนิดและขนาดของของที่จะใส่ลงไป จึงจะบรรจุได้ดี อีกทั้งต้องรู้ว่าอะไรควรใส่ก่อนและใส่ทีหลัง ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการวางแผน
การขยายความ ท่านเปรียบเสมือน การรื้อของออกจากกระเป๋า ผู้รื้อจะต้องเข้าใจว่า จะเอาอะไรขึ้นมาก่อน จะเอาอะไรขึ้นมาทีหลัง คล้ายๆกับการบรรจุ และพันเอก ปิ่น มุทุกันต์ ท่านแสดงความคิดเห็นว่า การบรรจุยากกว่าการรื้อ เพราะคนบรรจุเป็นมักรื้อเป็นทุกคน แต่คนรื้อเป็นไม่แน่ว่าจะบรรจุเป็นทุกคน
นี่คือวิธีการฝึกการพูดของ พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ โดยย่อๆ หากว่าท่านผู้อ่านต้องการศึกษาเพิ่มเติมท่านสามารถไปหาอ่านได้เพิ่มเติมจากหนังสือ ประวัตินักพูดไทยเล่มที่ 1
หลังจากบวชได้เป็นเวลานาน ต่อมา พันเอก ปิ่น มุทุกันต์ จึงได้ตัดสินใจลาสิกขา แล้วก็ได้เข้าสอบเป็นอนุศาสนาจารย์ทหารบกซึ่งสอบข้อเขียนได้ที่ 1 หลังจากนั้นก็ได้ถูกเชิญให้ไปพูดในหลายๆหัวข้อ ให้กับผู้คนในหลายๆกลุ่ม ซึ่งภาพพจน์ของท่านในเวลานั้น ท่านเป็นนักพูดธรรมะทางวิทยุโทรทัศน์ และวงอภิปรายในสถาบันต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนนายร้อย โรงเรียนนายอำเภอ เป็นต้น
จนในเวลาต่อมาได้มีคนนำเอาคำพูดของท่านมาทำเป็นหนังสือแล้วก็ถูกตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก นับเป็นมรดกที่สำคัญที่ท่านส่งมอบให้กับสังคมไทย


...
  
วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
วิธีฝึกการพูดของ เดล คาร์เนกี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เดล คาร์เนกี เกิดที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐมิสซูรี เขามีฐานะไม่สู้ดีนัก เมื่ออยู่ในวัยเด็กและวัยเรียน เขาต้องอับอายกับการใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่คับตึงและกางเกงขาสั้นเต่อ ซึ่งเขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อชุดใหม่ เขามีความรู้สึกเป็นปมด้อยอยู่ตลอดเวลา
หลังจากนั้นเขาได้ศึกษาวิชาการพูดหรือวิชาแสดงปาฐกถาและโต้วาที เนื่องจากเขาเห็นว่า นักศึกษาที่เก่งวิชานี้มีชื่อเสียงมีหน้ามีตาไม่แพ้กับนักกีฬา หลังจากนั้นเขาก็สมัครเข้าแข่งขันการพูดปาฐกถา ซึ่งเขาได้ทุ่มเทกับการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมเป็นอันมาก เขาซ้อมในขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ขณะรีดนมวัว ขณะถอนหญ้า แต่ผลปรากฏว่า เขาต้องแพ้แล้วแพ้อีก เขาท้อจนขนาดถึงคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ต่อมาผลการแข่งขัน เขาเริ่มประสบชัยชนะในการแข่งขันและชื่อเสียงของเขาก็ดีขึ้น
เมื่อเขาจบการศึกษาแล้วทำงาน เขาทำงานหลายๆอย่าง เช่น เขาแสดงละครเร่ เขาเป็นพนักงานขายรถบรรทุก และสุดท้ายเขาฝันว่าจะมีเวลาเขียนหนังสือและศึกษาค้นคว้า เขาจึงไปสมัครเป็นอาจารย์สอนวิชาการพูดต่อหน้าที่ชุมชนกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ปรากฏว่าทั้งสองมหาวิทยาลัยปฏิเสธเขา แต่เขาก็พยายามต่อไปจนในที่สุด โรงเรียนกลางคืน ไว.เอ็ม.ซี.เอ รัฐนครนิวยอร์ก ตกลงทำสัญญาให้เขาสอน เมื่อเขาสอนไปได้ไม่นานชื่อเสียงของเขาก็เริ่มดังขึ้น จนในที่สุด เขาได้เปิดสาขาการศึกษาวิชาการพูดในที่ชุมชนขึ้นถึง 750 แห่งในสหรัฐและอีก 14 ประเทศ ในขณะนั้น สำหรับในปัจจุบันก็มีการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นเกือบทุกประเทศทั่วโลก
เดล คาร์เนกี จึงถือได้ว่า เป็นปรมาจารย์ในวิชาการพูดในที่ชุมชนที่คนรู้จักเกือบทั่วโลก สำหรับวิธีการฝึกการพูดของเขา เขาได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ การพูดในที่ชุมชน โดยสรุปย่อๆได้ดังนี้
1.ตั้งต้นศึกษาด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าและไม่ลดละ จงตั้งเป้าหมาย จงคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการพูดในที่ชุมชน เช่น เมื่อท่านประสบความสำเร็จในด้านการพูดแล้ว ท่านจะได้รับเงินทอง ชื่อเสียง ตำแหน่งมากมาย
ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เยมส์ ได้กล่าวว่า “ ถ้าท่านอยากเป็นนักพูดในที่ชุมชน ท่านต้องมีความปรารถนาอย่างแท้จริง แล้วท่านก็จะได้เป็นนักพูดในที่ชุมชนในที่สุด ”
2.การเตรียมตัว เขาจะให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว เขาแนะนำว่า เราจะไม่รู้สึกมั่นใจเว้นแต่เราจะรู้ว่าเรากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร เขาจะสอนลูกศิษย์ของเขาโดยให้ความสำคัญกับการเตรียมตัว กล่าวคือ เมื่อทราบว่าจะพูดเรื่องอะไร เขาแนะนำให้ไปหาหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่จะพูดมาอ่าน แล้วรวบรวมวัตถุดิบให้มาก หรือหาความรู้ให้มากกว่าที่เราจะนำเอาไปใช้หลายๆเท่า การเตรียมตัวนั้น เขาให้ความสำคัญทั้งการเตรียมร่างกายด้วย เช่น เขาแนะนำว่า ไม่ควรพูดปาฐกถาในขณะที่ท่านกำลังเหน็ดเหนื่อย จงพักผ่อนหลับนอนก่อน อีกทั้งอย่าได้กินอาหารหนักๆก่อนไปแสดงปาฐกถาแต่ควรหาอาหารว่างที่เบาๆทาน
3.ทำกิริยาท่าทางแสดงความมั่นใจ เขาแนะนำให้ออกไปพูดในที่ชุมชนด้วยความกล้าหาญ จงยิ้มเข้าไว้ เพราะเมื่อเราแสดงความกล้าหาญ เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้น อีกทั้ง เดล คาร์เนกี ยังได้แนะนำเรื่องของการใช้เสียงว่า เราควรพูดเสียงหนักที่คำที่มีความสำคัญและพูดเสียงลดลงในคำที่ไม่มีความสำคัญ ในการพูดควรใช้เสียงที่มีระดับเสียงสูงและเสียงลงบ้าง ในการพูดควรมีการหยุดพูดหรือหยุดเป็นจังหวะบ้าง กล่าวคือไม่ควรใช้เสียงที่ราบเรียบจนเกินไป
4.ฝึกหัด ฝึกหัด ฝึกหัด ข้อนี้ เดล คาร์เนกี ให้ความสำคัญมากที่สุด การขาดความมั่นใจเกิดจากการขาดความชำนาญ แต่ถ้าเราอยากจะชำนาญในเรื่องใด เราก็ต้องทำการฝึกหัด ฝึกหัด ฝึกหัด แล้วเราก็จะเกิดความชำนาญ เมื่อเกิดความชำนาญความมั่นใจก็จะเกิดขึ้นกับเรา
เนี่ยคือวิธีการฝึกการพูดของเดล คาร์เนกี และท่านก็ได้สอนการพูดในที่ชุมชนให้แก่คนเป็นจำนวนมาก ถ้าหากท่านผู้อ่านต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมท่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ การพูดในที่ชุมชน เขียนโดย เดล คาร์เนกี สำหรับฉบับภาษาไทยแปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์
...
  
ศิลปะการโต้วาที
ศิลปะการโต้วาที
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในยุคปัจจุบัน เราคงจะเห็นว่า เขาจะจัดให้มีการโต้วาที ถามว่า ทำไมต้องเอาคนที่จะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนต่อไป มีความจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องมาโต้วาทีให้ประชาชนและคนทั่วโลกเห็น
ซึ่งคงจะมีเหตุผลหลายประการ ที่ประเทศสหรัฐอมเริกาจะจัดให้มีการโต้วาที สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เพราะการโต้วาที ทำให้เห็นอะไรหลายๆอย่างในตัวของผู้โต้วาที เช่น ภาวะผู้นำ การตัดสินใจ ภูมิความรู้ บุคลิกภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง การมีวาทศิลป์ การมีไหวพริบปฏิภาณ การมีอารมณ์ขัน ตลอดจนกระทั่งถึงการควบคุมอารมณ์ของตนเอง ในการที่ถูกคู่แข่งขัน ตอบโต้ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ
ดังนั้น ประเทศอเมริกาจึงให้ความสำคัญกับการโต้วาที ในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งที่สำคัญๆของประเทศของเขา คราวนี้เราลองมาทำความรู้จักกับการโต้วาทีคืออะไร
การโต้วาที ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้ความนิยามว่า “ การแสดงคารมโดยมีฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง”
ซึ่งจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการโต้วาทีคือ
1.เพื่อฝึกให้ผู้โต้วาที ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาเสนอในการโต้วาที
2.เพื่อฝึกให้ผู้โต้วาที ได้ใช้ไหวพริบปฏิภาณ เชาว์ปัญญาในการแก้ไขปัญหาหรือตอบโต้ในการโต้วาที
3.เพื่อฝึกใช้เหตุผล สำหรับการหักล้าง โดยมีการนำข้อมูลหลักฐานต่างๆมาอ้างอิง ฉะนั้นจึงทำให้นักโต้วาทีไม่เป็นคนที่ไม่เชื่อคนง่าย
4.เพื่อฝึกใช้วาทศิลป์ การเลือกใช้ถ้อยคำ เพื่อนำมาโน้มน้าวใจ รวมไปถึงการใช้ท่าทางประกอบการพูด
5.เพื่อฝึกการทำงานให้เป็นทีม มีการวางแผนและทำงานร่วมกัน
6.เพื่อฝึกความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ซึ่งเป็นธรรมดาของการแข่งขันย่อมมีผู้แพ้ผู้ชนะ
คณะผู้โต้วาที
คณะผู้โต้วาที ประกอบไปด้วย
1.ประธานในการโต้วาที 1 คน จะทำหน้าที่กล่าวทักทาย กล่าวเปิด แจ้งให้ผู้ฟังทราบถึงความสำคัญของญัตติที่ใช้ในการโต้วาที กล่าวเชิญผู้โต้วาทีขึ้นมาบนเวทีทีละคน เป็นผู้แนะนำกรรมการและผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย เป็นผู้สร้างบรรยากาศ และมีหน้าที่สรุปรายงาน การประกาศผลและกล่าวปิดงาน
2.สมาชิกผู้โต้วาที ประกอบไปด้วยทีมทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีหัวหน้าฝ่าย 1 คนและผู้สนับสนุนฝ่ายแต่ละฝ่ายอีก 3 คน (แต่ในยุคปัจจุบัน บางแห่งอาจใช้แค่ 2 คน ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับความเหมาะสม) สำหรับเรื่องของเวลาในการโต้วาทีแต่ละครั้งมักให้เวลาคนละ 5-7 นาที หรือ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของผู้จัดกำหนดขึ้นเอง
ด้านหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ดังนี้ ขึ้นต้นควรกล่าวทักทาย แล้วจึงเริ่มเสนอญัตติ มีการแปรญัตติหรือความหมายหรือคำนิยามของญัตติ หาเหตุผลข้อมูลมาเสนอเพื่อสนับสนุนญัตติของตนเอง มีการสรุปประเด็นสำคัญๆ สำหรับรอบที่สอง เป็นรอบสรุป หัวหน้าฝ่ายเสนอต้องเก็บกวาดหรือโต้แย้ง คู่แข่งทุกประเด็นที่ตกค้าง กล่าวคือผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอยังไม่ได้มีการพูดหักล้าง แล้วจึงกล่าวสรุปปิดท้าย โดยประเพณีหัวหน้าฝ่ายเสนอจะเป็นผู้สรุปคนหลังสุด
ด้านหน้าที่ของหัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ดังนี้ กล่าวทักทาย มีการแปลญัตติที่ทำให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ ต้องพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน การนำเสนอของหัวหน้าฝ่ายเสนอ มีการโต้แย้งเป็นประเด็นโดยมีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิง มีการเสนอแนะเหตุผลมาสนับสนุนฝ่ายตัวเอง สำหรับรอบที่สอง เป็นรอบสรุป หัวหน้าฝ่ายค้าน ต้องเก็บกวาดหรือโต้แย้ง คู่แข่งทุกประเด็นที่ตกค้าง กล่าวคือผู้สนับสนุนฝ่ายค้านยังไม่ได้มีการพูดหักล้าง แล้วจึงกล่าวสรุปปิดท้าย โดยประเพณีหัวหน้าฝ่ายค้านจะเป็นผู้สรุปก่อนหัวหน้าฝ่ายเสนอ
บทบาทหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุนฝ่ายเสนอ กล่าวทักทายผู้ฟัง อธิบายให้การสนับสนุนฝ่ายเสนอ หาเหตุผล ข้ออ้างอิง หลักฐานต่างๆ สถิติ ข้อเท็จจริง เอกสาร ภาพถ่าย มาใช้ประกอบเพิ่มเติม มีหน้าที่โต้แย้ง หาประเด็นต่างๆมาคัดค้านฝ่ายค้าน สรุปประเด็นเน้นย้ำให้กับฝ่ายของตนเองได้เปรียบ แล้วจึงกล่าวลาผู้ฟัง
บทบาทหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุนฝ่ายค้าน กล่าวทักทายผู้ฟัง อธิบายให้การสนับสนุนฝ่ายค้าน หาเหตุผล ข้ออ้างอิง หลักฐานต่างๆ สถิติ ข้อเท็จจริง เอกสาร ภาพถ่าย มาใช้ประกอบเพิ่มเติม มีหน้าที่พูดโต้แย้ง หาประเด็นต่างๆมาคัดค้ายฝ่ายเสนอ สรุปประเด็นเน้นย้ำให้กับฝ่ายของตนเองให้เกิดความได้เปรียบ แล้วจึงกล่าวลาผู้ฟัง
ขั้นตอนในการเตรียมตัว เตรียมความพร้อม ของผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย
1.ต้องเตรียมตัว เตรียมข้อมูล หาเอกสารต่างๆ รวมทั้งทำการศึกษา วิเคราะห์ญัตติในการโต้วาทีอย่างถ่องแท้ รวมทั้งจัดเตรียมเอกสาร หลักฐาน สื่อต่างๆเพื่อนำไปใช้ประกอบในการพูด
2.เตรียมต้นฉบับหรือสคิปในการพูด ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางจะพูดอะไร และสรุปจบจะพูดอะไร อีกทั้งควรเตรียม คำคม คำกลอน อารมณ์ขันในการสอดแทรกการพูด รวมไปถึง สุภาษิต คำพังเพยต่างๆ
3.เตรียมพร้อม เตรียมซ้อม ภาษากายที่ใช้ประกอบการพูด รวมไปถึง การแต่งกาย การใช้ท่าทางในการประกอบการพูด ทั้งนี้ควรมีการซ้อมพูดและฝึกการใช้ภาษากายหรือท่าทางประกอบการพูด
4.เตรียมข้อมูลของฝ่ายตรงกันข้าม นักโต้วาทีที่ดีต้อง รู้เขารู้เรา รู้เขาคือ ต้องรู้ว่าฝ่ายตรงกันข้ามจะพูดอะไร เตรียมข้อมูลอะไร แล้วคิดล่วงหน้าในการโต้ตอบฝ่ายตรงกันข้าม
5.การโต้วาทีที่ดี ไม่ควรเอ๋ยชื่อและควรเรียกชื่อ แต่ควรเอ่ยเป็น หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 และผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 เป็นต้น
6.หัวหน้าทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ที่จะต้องสรุปประเด็นและสรุปญัตติ เพื่อเป็นการทิ้งท้ายให้ผู้ฟังประทับใจ ตอนสรุปถือว่าสำคัญมากๆ
7.สุดท้ายทีมผู้โต้วาที ควรซักซ้อม เตรียมตัว ปรึกษาหารือกันก่อน มีการตกลงกันว่าใครพูดก่อนหลัง ว่าใครมีข้อมูลอย่างไร เพื่อที่จะไม่ได้เกิดการพูดที่ซ้ำๆกันในเวลาที่ขึ้นเวทีจริง
สำหรับการจัดทีมการโต้วาทีที่ดี
1.หัวหน้าทีม(ต้องเก่งที่สุด)
2.ผู้สนับสนุนคนที่ 1 (ต้องเก่งลำดับ 4 )
3.ผู้สนับสนุนคนที่ 2 (ต้องเก่งลำดับ 3)
4.ผู้สนับสนุนคนที่ 3 (ต้องเก่งลำดับ 2)
คณะกรรมการจับเวลา มีหน้าที่จับเวลา มีการบันทึกเวลา มีการเตือนการใช้เวลาของสมาชิกที่โตวาที เมื่อใกล้หมดเวลาหรือหมดเวลา อาจใช้ภาษามือ กริ่ง เพื่อเตือนสมาชิกที่โต้วาทีให้รู้ว่าใช้เวลาไปเท่าไร เหลือเวลาเท่าไร
คณะกรรมการตัดสิน มีหน้าที่ให้คะแนนผู้โต้วาทีทั้ง 2 ฝ่าย คณะกรรมการควรเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ในการโต้วาทีมาบ้าง มีหลักวิชา มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการพูดต่อหน้าที่ชุมชน มาร่วมกันตัดสิน ปกติกรรมการมักจะเป็นเลขคี่ คือ 3 คน และ 5 คน สำหรับการโต้วาทีในบางเวที หากไม่ได้มีการแข่งขันกันแบบเอาจริงเอาจัง บางแห่งอาจจะไม่มีกรรมการการตัดสินก็ได้ แต่อาจใช้เสียงปรบมือจากผู้ฟังเป็นตัววัดการแพ้ชนะ ทั้งนี้คณะผู้จัดการโต้วาทีอาจจะประกาศผลเสมอกันหรือไม่มีการตัดสินเลยก็ได้
ผู้เข้าฟังการโต้วาที เป็นผู้ฟังหรือผู้ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งผู้ฟังควรมีมารยาทในการฟัง ควรฟังอย่างตั้งใจ ควรให้ความร่วมมือโดยการปรบมือให้กำลังใจแก่ผู้โต้วาที เพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานในการโต้วาที
ญัตติการโต้วาที ควรตั้งชื่อให้มีความน่าสนใจ มีความดึงดูด ญัตติการโต้วาทีควรเป็นญัตติแบบกลางๆ ที่ทุกฝ่ายยังหาข้อสรุปไม่ได้ อีกทั้งญัตติไม่เป็นญัตติที่ทำให้ฝ่ายได้ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ เป็นญัตติที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาเหตุผลมาโต้กันจนสามารถเอาชนะกันได้
ญัตติการโต้วาทีที่น่าสนใจคือ ดูทีวีดีกว่าอ่านหนังสือพิมพ์,เกิดเป็นผู้ชายดีกว่าเกิดเป็นผู้หญิง,เป็นนักแสดงดีกว่าเป็นนักเขียน,เด็กแน่กว่าคนแก่ เป็นต้น
ส่วนญัตติที่ไม่ควรนำเอามาโต้วาที คือ ญัตติที่แน่นอนซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ น้ำต้องไหลจากบนลงล่าง,พระจันทร์เกิดขึ้นในเวลากลางคืน,แผ่นน้ำมีมากกว่าแผ่นดิน เป็นต้น หรือเป็นญัตติที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ เช่น ไทยร่ำรวยกว่าประเทศญี่ปุ่น , คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนอังกฤษ เป็นต้น
ข้อควรระวังในการตั้งญัตติไม่ควรตั้งญัตติที่มีความเกี่ยวพันถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับการแปลญัตติหรือการตีญัตตินั้น เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทั้งสองฝ่าย คือ หัวหน้าฝ่ายเสนอและหัวหน้าฝ่ายค้าน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องแปลญัตติหรือตีญัตติให้ฝ่ายของตนได้เปรียบ สำหรับผู้โต้วาทีบ่อยๆ หรือ มีประสบการณ์ในการโต้วาทีจะรู้ว่า การแปลญัตติหรือการตีญัตติมีความสำคัญถึงขนาดทำให้ได้รับชัยชนะเลยก็ได้
มารยาทในการอ้างอิง สำหรับการโต้วาทีของประเทศไทย คือ ผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายไม่ควรนำเอาพระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาอ้างอิง เพราะจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำการโต้แย้งได้เลย
การให้คะแนน แต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน เช่น การให้คะแนนของสโมสรฝึกพูดลานนาไทย เชียงใหม่ 1.คะแนนเหตุผล 30 % 2. คะแนนวาทศิลป์ 20 % 3. คะแนนไหวพริบปฏิภาณ 20 %
4.คะแนนภาษาไทย 15 % 5.คะแนนมารยาท 10% 6.คะแนนภาษากาย 5 %
หรือการโต้วาทีบางแห่งอาจให้คะแนน เช่น 1.คะแนนเหตุผล 30 % 2. คะแนนหักล้าง 30 %
3. คะแนนวาทศิลป์ 20 % 4.คะแนนหลักฐานอ้างอิง 10 % 5.คะแนนมารยาท 10%
ทั้งนี้ ผู้โต้วาทีที่ดีและเก่ง ควรทำการวิเคราะห์และหาข้อมูลว่า คณะกรรมการใช้เกณฑ์ใดในการตัดสิน แล้วจึงให้ความสำคัญกับคะแนนที่สูง เพราะบางคนระวังเรื่องของมารยาทจนเองไปซึ่งมีคะแนนแค่ 10 % เลยเสียคะแนนเรื่องของวาทศิลป์ และการหักล้างซึ่งมีคะแนน 20-30 %
สำหรับคุณสมบัติของนักโต้วาทีที่ดีมีดังนี้
1.ต้องมีทักษะในการฟัง การจด การคิด รวมไปถึงการใช้วาทศิลป์ในการพูด นักโต้วาทีที่ดีต้องมีสมาธิในการฟังฝ่ายตรงกันพูด อีกทั้งต้องสามารถจับประเด็นที่สำคัญๆได้ การจดก็ควรจดด้วยความรวดเร็ว มีความคิดที่เป็นระบบมีเหตุมีผลและการนำเสนอควรนำเสนออย่างมีวาทศิลป์ด้วย
2.ต้องมีการเตรียมการมาเป็นอย่างดีหรือทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ซึ่งควรเตรียมทั้งของเราและเตรียมของคู่แข่งคือต้องคิดล่วงหน้าว่าถ้าเราเป็นคู่แข่งขัน เราจะพูดอย่างไร เราจะคิดอย่างไร
3.ต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการโต้วาที คือต้องสามารถตอบโต้สดๆ ในขณะปัจจุบันทันด่วนได้
4. ต้องไม่โกรธง่าย ต้องไม่หวั่นไหวง่าย ต้องมีใจคอหนักแน่น อดทนต่อคำเสียดสีจากฝ่ายตรงกันข้าม รวมไปถึงเรื่องของสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงด้วย
5.ต้องมีการทำงานเป็นทีม โดยมีการประชุมแล้ว แบ่งปันข้อมูล ต้องแบ่งหน้าที่ว่าใครเป็นหัวหน้าทีมและใครเป็นผู้พูดสนับสนุนคนที่ 1 คนที่ 2 และคนที่ 3
สำหรับการโต้วาทีในปัจจุบัน มีลักษณะดังนี้
1.มีลักษณะของการอ่อนเหตุผล
2.มีลักษณะของการใช้วาทศิลป์ที่ด้อยกว่าในอดีต รวมไปถึงการใช้ ภาษากาย
3.มีลักษณะของการใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้อง ไม่สวยงามเหมือนในอดีต
4.มีลักษณะของการใช้ไหวพริบปฏิภาณที่ด้อยลง ไม่เหนือชั้น เนื่องจากว่ามีสนามฝึกฝนน้อย

ขั้นตอนในการโต้วาที
1.ประธานมีหน้าที่กล่าวเปิด กล่าวอารัมภบท สร้างบรรยากาศ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ กล่าวทักทายผู้มาฟังการโต้วาที ต่อจากนั้นประธานต้องแนะนำผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่าย แนะนำกรรมการจับเวลา แนะนำกรรมการตัดสิน จากนั้นจึงกล่าวเชิญผู้โต้วาทีทั้งสองฝ่ายสลับขึ้นมาพูด โดยเริ่มจาก หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 หัวหน้าฝ่ายค้านขึ้นมาสรุป และหัวหน้าฝ่ายเสนอขึ้นมาสรุปเป็นคนสุดท้าย ตามลำดับ
2.หัวหน้าฝ่ายเสนอ มีหน้าที่ในการแปลญัตติหรือตีญัตติ และหาข้อมูล หลักฐาน มาสนับสนุนฝ่ายของตน
3.หัวหน้าฝ่ายค้าน มีหน้าที่ในการแปลญัตติหรือตีญัตติ เพื่อให้ฝ่ายตนเองเกิดความได้เปรียบ และหาข้อมูล หลักฐาน มาพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม
4.ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 พูดค้านประเด็นที่สำคัญๆของหัวหน้าฝ่ายค้าน แล้วกล่าวสนับสนุนหัวหน้าฝ่ายเสนอ และนำเสนอประเด็นใหม่
5.ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 พูดค้านและหาเหตุผลมาหักล้าง หัวหน้าฝ่ายเสนอและผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1
6.ต่อจากนั้นจึงเชิญ ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 2 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 3 หัวหน้าฝ่ายค้านขึ้นมาสรุป และหัวหน้าฝ่ายเสนอขึ้นมาสรุปเป็นคนสุดท้าย ตามลำดับ
7.จากนั้นประธานเชิญ กรรมการผู้ตัดสินขึ้นมาวิจารณ์การโต้วาที ในขณะเดียวกัน ต้องรวบรวมคะแนนและการใช้เวลาของทั้งสองฝ่าย เพื่อรวมคะแนน หลังจากนั้นก็ประกาศผลการตัดสิน กล่าวขอบคุณทุกๆฝ่ายและกล่าวปิด
มารยาทในการโต้วาทีที่ดี
1.ไม่ควรอ้างอิงสถาบันพระมหากษัตริย์
2.อย่าใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ หยาบคาย
3.อย่านำเรื่องส่วนตัวที่ไม่ดีของฝ่ายตรงกันข้ามมาพูด ยกเว้นเรื่องที่ดี
4.อย่าแสดงอารมณ์โกรธ แต่ต้องควบคุมอารมณ์ในการพูด ต้องแสดงความเป็นมิตรกับฝ่ายตรงกันข้าม
5.ไม่ควรเอ่ยชื่อ แต่ควรเอ่ยว่า หัวหน้าฝ่ายเสนอ หัวหน้าฝ่ายค้าน ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ ผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน
6.อย่าใช้เวลาเกินหรือพูดเกินเวลาที่กำหนดมาให้ในการโต้วาที
การหักล้าง
1.ต้องตั้งใจฟังผู้โต้วาทีทุกคนพูด แล้วจับประเด็นข้อกล่าวหา และเขียนข้อกล่าว พร้อมทั้งคำพูดในการตอบโต้ลงไปในกระดาษ
2.ต้องหาเหตุผล หลักฐาน ข้อมูล เพื่อมาหักล้างข้อกล่าวหา โดยหักล้างคนที่ลงจากเวทีพูดก่อนแล้วจึงไปยังคนแรก เช่น หากว่าเราเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายค้านคนที่ 1 เราต้องพูดหักล้างผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอคนที่ 1 ก่อนแล้วจึงไปพูดหักล้างหัวหน้าฝ่ายเสนอเป็นคนต่อมา
3.ควรหาเหตุผลมาสนับสนุนข้อกล่าวหาโดยตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้ามก่อนอย่างน้อยสัก 2-3 ประเด็น แล้วจึงหาข้อเสนอหาเหตุผลมาสนับสนุนฝ่ายตนเอง
4.หักล้างแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น ฝ่ายตรงกันข้ามร้องเพลงมา ฝ่ายเราก็ต้องร้องเพลงแก้ ฝ่ายตรงกันข้ามยกกลอนมา เราก็ต้องยกกลอนแก้ ฝ่ายตรงกันข้ามยกคำคมมา ฝ่ายเราก็ต้องยกคำคมแก้ เป็นต้น
5.หักล้างแบบทำลายน้ำหนัก หากว่าฝ่ายตรงกันข้ามยกหนังสือมาอ้างอิง เราก็หักล้างว่า หนังสือนั้น ไม่มีคุณภาพ ไม่ควรยึดถือหรือไม่ควรนำมาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง อีกทั้งควรนำเสนอข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ในการตอบโต้ เช่น ยกพจนานุกรม , ยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ,ยกสารานุกรมไทย,ยกเอนไซโคลพีเดีย เป็นต้น
การค้าน
1.ผู้โต้วาทีควรหาเหตุผล หาหลักฐานที่เหนือกว่าคู่แข่งมาใช้ประกอบการโต้วาที เช่น ฝ่ายตรงกันข้ามอ้าง ปทานุกรม เราต้องอ้างพจนานุกรม ฝ่ายตรงกันข้ามอ้างพจนานุกรม เราต้องอ้างไซโคลปิเดีย
2.ผู้โต้วาทีต้องค้านให้ตก คือ ผู้โต้วาทีต้องพยายามค้านให้ได้ทุกประเด็น ต้องยืนยัน นั่งยืน นอนยืน ว่าฝ่ายเราถูกต้อง ไม่ควรใช้คำพูดในลักษณะ ว่า “ผมเห็นด้วย แต่...”
3.ผู้โต้วาทีควรต้องรู้จักค้านดักหน้า กล่าวคือ ผู้โต้วาทีไม่ต้องรอเขานำเสนอก่อนแล้วจึงค้าน แต่เราต้องค้านดักคอล่วงหน้า เพื่อทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบหรือทำให้อีกฝ่ายต้องแก้เกมส์อย่างกะทันหัน
...
  
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน หากท่านต้องการประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การใช้เงินในการซื้อเสียง ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินในการซื้อเสียง ท่านอาจจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ก็ด้วยปัจจัยดังนี้
1.องค์กรของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องต่อต้านการซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งควรเพิ่มบทลงโทษให้หนักและรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
2.เกิดกระแสฟีเวอร์ เช่น ในสมัยหนึ่ง มีกระแสนิยมในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งเกิดกระแส จำลองฟีเวอร์ ในขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคพลังธรรม ก็เพราะด้วยความศรัทธาในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น
3.ความเด่น ความดัง ความมีชื่อเสียง หลายๆคนประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง เช่น อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงดัง เขาแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ที่โด่งดังก็คือเรื่อง คนเหล็ก เขาชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2546 และ ปี 2549 สำหรับประเทศไทยเราก็มีคนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
4.การตื่นตัวของประชาชน เช่น หลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค(14 ตุลาคม 2516) และ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พฤษภาคม 2535 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียง แต่สามารถได้รับชัยชนะ ก็เนื่องมาจากประชาชนในพื้นที่เกิดการตื่นตัวอยากที่จะได้นักการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่าต้องการอามิสสินจ้างใดๆ
5.ความโดดเด่นทางการพูด นักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็เนื่องมาจากความสามารถในการพูด เช่น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีฐานะการเงินที่ดี แต่เขามีความสามารถในการพูดการสื่อสาร , อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่สูงดีนัก เขาเคยไปเป็นกรรมกร เขาเคยเป็นจินตกรขายภาพวาดสีน้ำ แต่สุดท้ายเขาได้เป็นผู้นำของประเทศเยอรมันนี ก็ด้วยเพราะความสามารถในการพูดจูงใจคนของเขานั้นเอง ประเทศไทยของเราก็มีนักการเมืองหลายๆคนที่มีความสามารถในการพูด ซึ่งทำให้ได้รับชนะในการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
6.การสร้างผลงานและการสะสมผลงาน นักการเมืองหลายๆคน ได้รับชัยชนะโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองได้ สร้างผลงานฝากไว้ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายๆคน ได้มีการพัฒนา ได้มีการปรับปรุง ได้มีการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆให้กับจังหวัดหรือในพื้นที่ ที่ตนไปอยู่ การฝากผลงานและการสะสมผลงาน ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากๆ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง
ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ประสบชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ซึ่งบุคคลที่ประสบชัยชนะไม่จำเป็นจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทุกปัจจัย บางคนมีแค่ 1-2 ปัจจัยก็สามารถนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ ความรัก ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงจะต้องมีมากพอที่จะเอาชนะอำนาจเงินของนักเลือกตั้งที่ใช้เงินในการซื้อเสียงได้







...
  
คุณก็เป็นนักพูดได้
คุณก็เป็นนักพูดได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อาชีพนักพูด เป็นอาชีพหนึ่งที่มีความน่าสนใจในยุคปัจจุบัน เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร การนำเสนอโดยการพูดที่มีความสนุกสนาน การนำเสนอโดยการพูดที่มีความน่าสนใจ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ฟังให้ความสนใจและอยากฟัง
นักพูดจึงเป็นคนที่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่ภายในสมอง ผ่านกระบวนการคิด แล้วผ่านการนำเสนอโดยการพูดที่น่าสนใจ ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เช่น การใช้น้ำเสียง การประดิษฐ์ถ้อยคำที่แปลกใหม่ การใช้ท่าทางในการพูด ตลอดจนถึงจังหวะการพูด มีการหยุด มีการเน้น มีการอ้างอิงคำคม คำกลอน เพื่อให้เกิดความหลากหลาย
ซึ่งคุณสมบัตินักพูดที่ดีมีดังนี้
1.มีข้อมูลในการพูด เช่นเขาให้พูดเรื่องการเมืองก็ต้องมีข้อมูลทางด้านการเมืองมากพอ เขาให้ไปพูดเรื่องการขาย ก็ต้องมีข้อมูลด้านการขายมากพอ เขาให้ไปพูดเรื่องเศรษฐกิจ ก็ต้องมีข้อมูลด้านเศรษฐกิจมากพอ สรุปคือ ถ้าเขาจะให้ไปพูดเรื่องอะไร ก็ต้องมีข้อมูลในเรื่องนั้นๆมากพอที่จะไปพูดให้เขาฟังได้
2.มีศิลปะการถ่ายทอด ผู้พูดคนที่ 1 มีข้อมูลมากแต่เวลาถ่ายทอดคนไม่เข้าใจ แต่ผู้พูดคนที่ 2 มีข้อมูลน้อยกว่า แต่เวลาพูดคนเข้าใจ สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจาก คนที่สองเขามีศิลปะในการถ่ายทอดหรือศิลปะในการพูด ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายและผู้ฟังชื่นชอบ
3.มีใจรักที่จะทำ หรือมีเป้าหมายที่จะเป็นนักพูด หลายคนเห็นคนอื่นพูดเก่งก็อยากที่จะพูดเก่งบ้าง แต่ไม่มีใจรักที่จะทำหรือมีเป้าหมายที่จะเป็นนักพูด เมื่อฝึกฝนไปได้ระยะหนึ่งก็จะเลิกล้มความตั้งใจ แต่ตรงกันข้ามกับคนที่ต้องการเป็นนักพูดอย่างจริงจัง เขาจะกัดไม่ปล่อย เขาจะฝึกฝน เขาจะเรียนรู้ เขาจะพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง
4.มีการวิเคราะห์ นักพูดที่ดีต้องมีการวิเคราะห์สถานการณ์ ว่าเราจะพูดให้ใครฟัง เราจะพูดเรื่องอะไร เราจะต้องใช้ตัวอย่างอะไรประกอบกับกลุ่มผู้ฟังนี้ เราจะพูดเพื่อวัตถุประสงค์อะไร สถานที่มีขนาดใหญ่เล็กคับแคบแค่ไหน จำนวนคนฟังมีมากน้อยขนาดไหน สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยของความสำเร็จในการเป็นนักพูด
5.มีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ หลายคนเมื่อพูดไปได้สักระยะ เริ่มดังแล้ว เริ่มมีชื่อเสียง ก็หยุดที่จะเรียนรู้ หยุดที่จะพัฒนา จึงทำให้เกิดความล้าหลัง สาเหตุที่ล้าหลังก็เนื่องมาจากยุคปัจจุบันเป็นยุคของการแข่งขัน จึงถูกนักพูดหน้าใหม่ๆ ตามทัน
6.มีภูมิคุ้มกันอุปสรรค อาชีพนักพูด ถ้าพูดไปแล้ว มันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ นักพูดดังๆ ทุกคน ต้องเคยผ่านอุปสรรคต่างๆมาอย่างมากมาย นักพูดทอล์คโชว์ชื่อดังบางคน ในอดีตพูดแล้วคนฟังไม่หัวเราะ ฟังไม่สนุก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ เขาจึงได้มาเป็นนักพูดทอล์คโชว์ในยุคปัจจุบัน
7.มีการรักษาสุขภาพที่ดี นักพูดที่พูดได้ดี มักจะเป็นคนที่มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง เพราะถ้าเป็นโรคประจำตัว เป็นหวัด ก็จะทำให้พลังของการพูด พลังของการเคลื่อนไหวร่างกายลดลง
สรุปแล้ว คนเราทุกคน สามารถเป็นนักพูดได้ นักพูดที่เก่งๆ ดังๆ มีชื่อเสียง ทั้งในอดีตและในปัจจุบัน หากเราไปศึกษาประวัติของพวกเขา เราจะทราบได้ว่า พวกเขาทุกคน ล้วนแต่ผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ ผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านความล้มเหลว ผ่านความผิดหวัง แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมแพ้ และถ้าหากท่านได้ลองไปสอบถาม พวกเขาว่า การเป็นนักพูดนั้น เป็นพรสวรรค์หรือพูดเก่งมาตั้งแต่เกิดหรือไม่ กระผมเชื่อแน่ว่า พวกเขาจะตอบว่า เป็นพรแสวง ต่างหาก ฉะนั้น ท่านสามารถเป็นนักพูดกันได้ทุกคน ถ้าหากท่านต้องการมันจริงๆ

...
  
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก

www.drsuthichai.com

การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญต่อการทำการตลาด เพราะการประชาสัมพันธ์ ทำให้เกิดความเข้าใจ ทำให้เกิดการสร้างการยอมรับ ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดการชื่มชม ยินดี ทำให้เกิดความร่วมมือ สร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียง แก่บริษัท แก่องค์กร แก่สินค้า

ในความคิดเห็นส่วนตัวของกระผม ถ้าหากบริษัท ห้างร้าน องค์กรใด มีเงินทุนที่จำกัด ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ กระผมจะเลือกทำการประชาสัมพันธ์ก่อน เพราะการประชาสัมพันธ์ จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และถ้าหากจะเทียบผลตอบแทนแล้ว ประชาสัมพันธ์จะได้รับผลตอบแทนที่มีความคุ้มค่ามากกว่าการโฆษณา

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นคนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ก็โดยการเป็นนักประชาสัมพันธ์ นักการตลาด ให้กับบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ จนได้รับฉายาว่าเป็นนักสร้างภาพชั้นเซียนของบริษัทโตโยต้า จนกระทั่งผู้บริหารของโตโยต้าที่ญี่ปุ่น ให้เขากระโดดจากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายไปเป็นกรรมการบริหารโดยไม่ต้องเป็น กรรมการสมทบก่อน โดยการเป็นคนเก่งงานด้านการประชาสัมพันธ์และงานด้านการตลาด ต่อมา เขาได้ เป็น สส.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท.จำกัด

นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของฉายา Image maker ซึ่งเขาก็เอาหลักการประชาสัมพันธ์และหลักการตลาด มาใช้กับบุคคลโดยการทำธุรกิจปั้นดารา ขึ้นมา เพราะเขาคิดว่า ขนาดรถหรือสินค้าต่างๆ สบู่ ยาสีฟัน รองเท้า เสื้อผ้า กางเกง ยังปั้นได้ ทำไม ดาราจะปั้นไม่ได้ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปั้นดารา ดาราที่มีชื่อเสียงหลายคนที่เขาปั้น เช่น วิลลี แมคอินทอช ,จอห์นนี่ แอนโฟเน่ , ดอม เหตระกูล , ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นต้น





ทำไมต้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงการตลาด ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อโฆษณามีราคาสูงขึ้น ในทางกลับกัน การประชาสัมพันธ์กลับเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่า และส่วนใหญ่จะเป็นการขอความอนุเคราะห์ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนมากกว่า

2. สื่อต่างๆในยุคปัจจุบัน มีหลายชนิด หลายประเภทมากขึ้นกว่าในอดีต จึงทำให้การใช้สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ จำเป็นจะต้องมีการวางแผนใช้สื่อที่แยกย่อยมากขึ้น และควรใช้สื่อให้ครบทุกประเภทเพื่อให้กลุ่มลูกค้าและประชาชนได้เห็น ข่าวสารที่เราต้องการสื่อได้มากที่สุด สรุปคือต้องใช้เครื่องมือสื่อสารแบบผสมผสานกัน

3.ทัศนคติ ความต้องการ รสนิยม ความชอบ กระแส ของกลุ่มเป้าหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่ง และมีการเปลี่ยนแปลงไวขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา

การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาดที่ดี เราอาจจะมีการแบ่งกลยุทธ์หรือวางแผนการประชาสัมพันธ์ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. แบบรุก เป็นการประชาสัมพันธ์แบบสร้างสรรค์ คือมุ่งสร้างสรรค์หาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆให้กับ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเองมากกว่า ที่จะรอคอยให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วถึงจะมาแก้ไข ในภาวะปกติหรือภาวะที่มีการแข่งขันอย่างในปัจจุบัน การประชาสัมพันธ์แบบรุก จึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอันมาก

2. แบบรับ เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น กับ องค์กร บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้น มักที่จะทำลายชื่อเสียง ภาพลักษณ์ที่ดีของสินค้าหรือบริษัท แนวทางในการประชาสัมพันธ์แบบตั้งรับ ก็คือ การเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีความถูกต้อง ชัดเจน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหา และ มีการตั้งทีมงานคอยควบคุมข่าวลือ ข่าวสารที่เป็นเท็จ มีการตั้งทีมงานการประชาสัมพันธ์เพื่อที่จะจัดการกับภาวะวิกฤตหรือวิกฤตต่างๆที่จะเกิดขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ จึงมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำการตลาดให้กับสินค้า บริการ ในยุคปัจจุบัน ซึ่งหลักในการทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ เราอาจจะต้องคำนึงถึงปัจจัยดังนี้

1.ต้องใช้มืออาชีพในการวางแผนการทำประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ที่ดีจะต้องมีนักวางแผนมืออาชีพช่วย ในการวางแผน วางกลุ่มเป้าหมาย วางแนวทางในการทำงาน วางเนื้อหา วางคนในการนำเสนอ วางจังหวะในการรุกและรับ เป็นอย่างดี

2.ต้องเชื่อในพลังแห่งการสื่อสาร มีนักวิชาการเคยกล่าวไว้ว่า “ ใครมีสื่อในมือคนนั้นมีอำนาจ ” หรือ “ สื่อเป็นที่มาของอำนาจ” เพราะหากใคร พูดเก่ง พูดได้ถูกจังหวะ เวลา และรู้ว่าควรพูดผ่านช่องทางไหน เขาย่อมกำชัยชนะ รวมไปถึงงานด้านการตลาดด้วย

3.ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ เช่น ต้องรู้ว่า ลูกค้ากลุ่มใด วัยใด อายุเท่าไร คือลูกค้าของเรา สินค้าใดมีความเหมาะสมกับ คนเพศใด วัยใด อายุเท่าไร เป็นต้น

4.ต้องมีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ เงินคือปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลให้การประชาสัมพันธ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว หรือมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน บริษัท ห้างร้าน จึงต้องจัดสรรเงินในการทำการประชาสัมพันธ์ของสินค้าของตนเอง

5.ต้องมีเครือข่ายสนับสนุน การทำงานประชาสัมพันธ์ให้ประสบความสำเร็จ การหาเครือข่ายต่างๆช่วยเหลือ มีความจำเป็น อย่างมาก เช่น มีสื่อมวลชนช่วย , มีดาราหรือมีบุคคลที่มีชื่อเสียงช่วย , มีนักวิชาการ รวมไปถึงมีมวลชนให้การช่วยเหลือ เป็นต้น

6.ต้องสร้างความถี่ในลูกค้าได้เห็น สินค้า หรือ เจ้าของสินค้า ต้องขยันออกสื่อ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำและสมควรทำ การเสนอหน้าต่อสื่อจะทำให้ลูกค้าเกิดความคุ้นเคย และรู้จักสินค้าของเรามากขึ้น

7.ต้องมีการจัดกิจกรรมพิเศษหรือมีการจัดเหตุการณ์พิเศษบ้าง เช่น การจัดงานแสดงต่างๆ งานแสดงการค้า การแสดงโชว์ การแสดงศิลปะ การแสดงโชว์รถ เป็นต้น

8.ต้องมีการประกาศ เผยแพร่ข้อมูลทางสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ นิตยสาร เอกสารแจกลูกค้า วิทยุ สื่อสมัยใหม่โดยผ่านช่องทางทางอินเตอร์เน็ต

9.ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมปลูกป่า, กิจกรรมบริจาคหนังสือ , กิจกรรมพัฒนาชนบท ,กิจกรรมสร้างบ้านให้คนยากจน,กิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น

ฉะนั้น การประชาสัมพันธ์จึงมีความสำคัญต่อการทำงานด้านการตลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าทำการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จะทำให้ บริษัท ห้างร้าน สินค้าของตนเอง ได้รับการยอมรับ ได้รับการสนับสนุน ได้รับผลประโยชน์ จากกลุ่มลูกค้าและประชาชน ตรงกันข้าม ถ้าหาก บริษัทใด ห้างร้านใด สินค้าใด ไม่มีการทำการตลาดผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ บริษัทนั้น ห้างร้านนั้น สินค้านั้น ก็จะขาดซึ่งการยอมรับ การสนับสนุน จากกลุ่มของลูกค้าและประชาชน ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  [98]  [99]  [100]  [101]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.