หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  ขายปลุกพลังชีวิต
  -  ระบบ P.K.S.C กับนักขาย
  -  อิทธิบาท 4 สู่ความสำเร็จในงานขาย
  -  ความสำเร็จของนักขาย
  -  การพูดเพื่อขาย
  -  กล้าเสี่ยงและลองทำสิ่งใหม่ๆแล้วท่านจะเป็นผู้ชนะ
  -  การจัดประชุมทีมในธุรกิจเครือข่าย
  -  การขายทางโทรศัพท์
  -  การจัดการเวลา
  -  การสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาด
  -  เหนือคู่แข่งด้วยการบริการ
  -  ข้อห้ามสำหรับเจ้าหน้าที่ในการจัดการแสดงสินค้า
  -  ความสำเร็จเริ่มต้นที่ความกล้า
  -  นิสัยความสำเร็จ...สำคัญกว่าทำก่อน
  -  Brand Experience
  -  คิดต่าง
  -  การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจร
  -  ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
  -  การตลาดขั้นเทพ
  -  แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
  -  สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
  -  Digital Marketing for SME
  -  การตลาดของมหาเศรษฐี
  -  แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
  -  Marketing 3.0
  -  ธรรมชาติของงานบริการ
  -  ชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ
  -  อาวุธทางการตลาดคือการสร้างไอเดีย
  -  กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
  -  Marketing Environment
  -  การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
  -  Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
  -  สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
  -  เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  คุณสมบัตินักขายมืออาชีพ
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
กลยุทธ์การตลาด 10 P นี้ ต่อยอดมาจาก กลยุทธ์การตลาด 4 P ของฟิลลิป คอตเลอร์
(Philip Kotler) ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ 4P ได้รับยกย่องกันมานานและนำเอาไปใช้ไปอย่างแพร่หลายกันในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้กลยุทธ์เพียงแค่ 4 P คงจะไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางด้านการตลาดก็ได้เพิ่มจำนวน P ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
กระผมก็เช่นกัน ก็ได้นำกลยุทธ์ 4 P( 4 ข้อแรก) มาต่อยอดโดยเพิ่มเป็น 10 P ดังนี้
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่นักการตลาดจะต้องมี ซึ่งผลิตภัณฑ์จะต้องไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ หรือ แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ ผลิตภัณฑ์จึงต้องเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สี ขนาด รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
2. Price Strategy กลยุทธ์ราคา ราคาต้องตั้งให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขัน แน่นอนในยุคนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาขายในตลาด มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบทางด้านราคาได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ A เหมือนกับ ผลิตภัณฑ์ B แต่ทำไมราคาจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ฉะนั้นการตั้งราคา ควรตั้งราคาให้มีกำไร แต่ต้องให้เหมาะสมกับภาวะตลาด ไม่ตั้งราคาสูงจนเกินไป แต่ถ้าอยู่ในภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ก็ไม่ควรตั้งราคาต่ำจนเกินไป จนต้องประสบภาวะการขาดทุน
3. Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะถ้ามีสินค้า มีการตั้งราคา แต่ไม่รู้จะไปวางขายที่ไหน หรือมีการจัดจำหน่ายที่น้อย ลูกค้าก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ซึ่งการจัดจำหน่ายที่ดี ควรมีหลักการคือ ควรจัดจำหน่ายโดยหาช่องทางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกในการซื้อ เช่น มีสินค้า 2 ตัว เหมือนกัน ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่สินค้าตัวที่ 1 วางขายที่ใต้หอพัก ใต้อาคารคอนโด ที่เราพักอาศัยอยู่ แต่สินค้าตัวที่ 2 เราจะต้องเดินไปซื้อที่หน้าปากซอย เราจะเลือกซื้อสินค้าตัวไหน ระหว่างใต้หอพักหรือใต้อาคารคอนโด หรือว่าเราจะเดินไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่หน้าปากซอย
4. Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการส่งเสริมทางด้านการตลาดไปยังลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การส่งเสริมด้านการขาย เป็นต้น
5. Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งโลกไร้พรมแดน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ยุคของอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์การให้ข่าวสารจึงต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่องทางเพื่อให้เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ นักการตลาดใช้เพื่อไปติดต่อกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างตราสินค้า สร้างภาพลักษณ์ ช่วยเพิ่มทัศนคติในเชิงบวก ช่วยสร้างความเข้าใจในการใช้สินค้า บริการ และความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ต่อลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
6. Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานขายมีความสำคัญมากสำหรับผลิตภัณฑ์ บางตัว เพราะต้องอาศัยการอธิบาย ความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าประเภท ยา ผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารเสริม เป็นต้น
ซึ่งพนักงานขายที่ดี จะต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้าและมีเทคนิคในการขาย มีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำพาไปสู่ การตัดสินใจซื้อ
7.People Strategy กลยุทธ์ด้านประชาชน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการการสนับสนุน จากประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายหรือ คนในพื้นที่ที่ต้องการจัดจำหน่าย เพราะ ผลิตภัณฑ์บางตัวดี ราคาเหมาะสม มีช่องทางมีการจัดจำหน่ายที่ดี กล่าวได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่ประชาชนหรือคนในพื้นที่ ไม่สนับสนุน โจมตี ผลิตภัณฑ์นั้นก็อยู่ไม่ได้ในตลาด ซึ่งในยุคหลังๆ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการทำ CSR “Corporate Social Responsibility” คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังทำให้เกิดการสนับสนุนของผู้คนในพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายอีกด้วย
8. Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นี้ ได้สร้างความประทับใจแรกพบของลูกค้าหรือ First Impression ซึ่งในยุคนี้ เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นหรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะการทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ สะอาด สวยงาม มีสีสันโดนใจ ย่อมทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า การที่เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ ไม่ยอมลงทุนหรือเพิ่มต้นทุน ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งควรตั้งคำถามต่างๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าดังนี้ บรรจุภัณฑ์สวยงาม หรือไม่ , บรรจุภัณฑ์สามารถเชิญชวนให้ใช้ หรือไม่,บรรจุภัณฑ์เมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก หรือไม่ เป็นต้น
9. Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ เพราะการมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน จะสามารถช่วยเราในการทำธุรกิจได้หลายประการ เช่น ช่วยคิด ช่วยลงทุน ช่วยทางด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลือในเรื่องการวางระบบงาน ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นการทำธุรกิจข้ามชาติหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เพราะบางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องของกฏหมาย ถ้ามีหุ้นส่วนก็จะได้รับการช่วยเหลือ ทางด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
10. Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องประยุกต์หลักการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการไหลเวียนในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า บริการ ไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย เราสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เข้ามาวางขายได้อย่างเสรีมากขึ้น ฉะนั้น นักการตลาด เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจมีการปรับตัว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคนี้
กลยุทธ์การตลาด 10 P ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากกูรูทางด้านการตลาด ซึ่ง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเป็น 12P 15 P 20 P ต้องขอขอบคุณ ท่านฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ที่ได้วางทฤษฏีหรือหลักการทางด้านการตลาด ไว้เป็นอย่างดี
สำหรับ กลยุทธ์การตลาด 10 P ถ้าจะนำไปใช้อย่างได้ผล เราควรจะต้องร่วมพิจารณากับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค , วิเคราะห์ SWOT Analysis(S = Strength (จุดเด่น จุดแข็ง) W = Weakness (จุดอ่อน จุดด้อย) O = opportunity (จุดเกิดโอกาส) T = Threat (จุดดับ อุปสรรค ) ,การวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ และอีกหลายๆปัจจัย จึงจะส่งผลให้กลยุทธ์การตลาด 10 P ประสบผลสำเร็จ
...
  
Marketing Environment
Marketing Environment
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ก่อนที่จะประกอบธุรกิจ ก่อนที่จะทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การศึกษา สิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาด(Marketing Environment) มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาดจะทำให้เราได้รู้ถึง สถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลของผู้แข่งขันมาก ถ้าเรารู้ถึงสภาพเศราฐกิจของโลกของประเทศมาก ก็จะยิ่งทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราตัดสินใจในการทำการตลาดและทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งแวดล้อม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Factors) คือ ปัจจัยต่างๆที่เราสามารถควบคุมได้ จัดการได้ เช่น การจัดการทางด้านการเงิน(Financial) การจัดการทางด้านการผลิต(Production) การจัดการทางด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) การจัดหาที่ตั้งของบริษัท(Company Location) การวิจัย (Research) รวมไปจึงถึงการจัดการทางด้าน 4P คือ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) ช่องทางในการจัดจำหน่าย(Place) การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
ซึ่งปัจจัยสถาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ หากบริษัทสามารถบริหาร จัดการได้ดีก็จะส่งผลกระทบในด้านบวก ต่อการสร้างจุดแข็ง(Strategy)ของบริษัท และถ้าหากว่า บริษัท บริหารหรือจัดการได้ไม่ดีก็จะส่งผลกระทบทางด้านลบจนการเป็นจุดอ่อน(Weakness)ของบริษัทได้เช่นกัน
2.สิ่งแวดล้อมภายนอก คือ ปัจจัยต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บริหารจัดการได้ซึ่ง ขอแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับ จุลภาค(Micro) กับ ระดับ มหาภาค( Macro)
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค(Micro External Environment)
1.คู่แข่งขัน(Competitors) คือ เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรง จึงทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจเดียวกัน ดำเนินธุรกิจและใช้กลยุทธ์ต่างๆคล้ายคลึงกัน เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน มีช่องทางจัดจำหน่ายแห่งเดียวกัน ตั้งราคาเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆกัน มีการใช้สื่อโฆษณาเดียวกัน เป็นต้น
2.กลุ่มพ่อค้าคนกลาง(Marketing Intermediaries) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น บริษัทของเราได้ทำการส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้แก่ 7-11 แต่อยู่มาวันหนึ่ง 7-11 ไม่รับจัดจำหน่ายให้แก่เรา ช่องทางจัดจำหน่ายจึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในยุคปัจจุบัน หลายบริษัท จึงหันมา ซื้อบริษัทที่จัดจำหน่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายของตนเอง เช่น บริษัท CP ผลิตสินค้าประเภทอาหารเพื่อจำหน่าย ต่อมา บริษัท CP จึงได้ซื้อบริษัท แม็คโคร และ บริษัท 7-11 มาเป็นของตนเอง เป็นต้น
3. ผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะถ้าหากผู้จัดหาวัตถุดิบไม่ยอมส่งวัตถุดิบมาให้เราผลิต แต่กลับส่งให้กับคู่แข่งขัน บริษัทของเราก็คงจะเดือดร้อนเป็นอันมาก
4.ผู้บริโภค(Customer) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้มากขึ้น สามารถเลือกราคาได้ตามต้องการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับมหาภาค(Macro External Environment)
1.เศรษฐกิจ Economic ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางด้านการตลาดของบริษัทอย่างแน่นอน ตัวอย่าง ถ้าเศรษฐกิจประเทศและระดับโลกตกต่ำ ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กำไรของบริษัทลดตัวลง และทำให้บริษัทต้องลดต้นทุน เช่น มีการเลิกจ้างงาน มีการลดกำลังการผลิต เป็นต้น
2.ประชากรศาสตร์(Demography) จำนวนประชากร มีผลกระทบต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัท เช่น ประชากรไทยมีประมาณ 62 ล้านคน แต่ในปัจจุบันมีการเปิด AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของ 10 ประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชากรของ Asean ได้ถึง 636 ล้านคน เลยทีเดียว
3. การเมืองและกฏหมาย (Political and Legal) เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งนี้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบบประชาธิปไตย แต่อยู่มาวันหนึ่งมีการปฏิวัติ รัฐประหารโดยทหาร จึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและกฎหมายโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
4.เทคโนโลยี(Technology) ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการเกษตร เรามีการตัดต่อพันธุ์กรรมในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ เรามีเครื่องยนต์กลไกใหม่ๆ ในการช่วยทำงานด้านการเกษตรและอุตสหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราทำงานอย่างได้สะดวก สบายและรวดเร็วขึ้น เช่นมีการค้าขายผ่านเว็ปไซค์ มีการติดต่อกันผ่าน E-mail มีการพูดคุยกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกและดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น การประชุมกลุ่มผ่านไลน์ ผ่าน Facebook เป็นต้น
5.สถาวการณ์โลก เช่น ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติ ฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ ดิน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุคนี้ ฤดูกาลต่างๆ มักจะไม่นิ่งหรือไม่ตรงตามกาลเหมือนในอดีต บางช่วงฤดูหนาวกลับร้อน ฤดูร้อนกับหนาว บางประเทศไม่เคยมีหิมะตกแต่ในปัจจุบันกลับมี เป็นต้น
ดังนั้น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะทำให้เราได้รู้ถึง การสร้างโอกาส (Opportunity) ได้ และสามาถทำให้เราวิเคราะห์ถึงอุปสรรค(Threats)ในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจ การดำเนินการตลาดในยุคปัจจุบัน เราควรเรียนรู้ เราควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดด้วย จึงจะทำให้เราดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ นักการตลาดควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยการประยุกต์ทฤษฏี Swot ใช้อย่างละเอียด ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดได้ดีกว่านักการตลาดที่ไม่มีหลักการในการคิดหรือไม่มีหลักการในการดำเนินธุรกิจ แต่ ดำเนินการตลาดหรือดำเนินธุรกิจไปตามแบบยถากรรม



...
  
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาด มีด้วยกันหลายวิธีเช่น กลยุทธ์ด้านราคาหรือต้นทุน , กลยุทธ์ทางด้านความรวดเร็ว และกลยุทธ์ที่สำคัญและเป็นที่นิยมในโลกยุคนี้ก็คือ การสร้างความแตกต่างหรือการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ในบทความนี้ เราจึงมาพูดเกี่ยวกับเรื่อง การสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางด้านการตลาดกัน
อันดับแรกเรามาทราบความหมายกันก่อน
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
ปัจจุบันเรามีอาชีพวิทยากร ถ้าผมแก้ผ้าไปบรรยายหรือสอน พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ ถึงแม้จะเป็นสิ่งใหม่คือไม่มีใครทำมาก่อน แต่ไม่มีความเหมาะสมและใช้การได้
ส่วนความหมายของคำว่า “นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ๆที่ได้จากองค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ การทดลอง โดยออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการที่สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นเงินเป็นทองได้อีกด้วย
ซึ่งการสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 2 แบบ
1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก
1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก เช่น การสร้างสรรค์และนวัตกรรม รถยนต์คันแรกของโลกของเฮนรี่ ฟอร์ด ,
สตีฟ จ็อบ กับสินค้าตระกูล I (ipad iphone ipod imac) , เครื่องบินลำแรกของโลก ของสองพี่น้องตระกูลไรค์ เป็นต้น
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก เช่น สินค้าที่พวกเราเห็นในยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ สี รสชาติ รูปทรงให้มีความแตกต่างกันออกไป


ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม มีดังนี้
1.การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มีอยู่ 3 อย่าง คือ1.1.กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน(Cost Leadership)1.2.กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง(Differentiation) 1.3.กลยุทธ์สร้างความรวดเร็ว( speed) กลยุทธ์สร้างความแตกต่างจึงเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์และนวัตกรรมนั้นเอง
2.การวิจัยทางการตลาด เราสามารถวิจัยการตลาดได้หลายอย่างเช่น 2.1. การวิจัยผู้บริโภค 2.2. การวิจัยผลิตภัณฑ์
2.3. การวิจัยราคา 2.4. การวิจัยช่องทางการจำหน่าย 2.5. การวิจัยการส่งเสริมการตลาด
3.พฤติกรรมผู้บริโภค เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคโดยใช้ทฤษกี 6W 1H คือ Who? ใครเป็นลูกค้าเป้าหมาย
, What? ผู้บริโภคซื้ออะไร , Why? ทำไมผู้บริโภคจึงซื้อ , Who? ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ,
When? ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด , Where? ผู้บริโภคซื้อที่ไหน และ How? ผู้บริโภคซื้ออย่างไร
4.วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ขั้นแนะนำ ขั้นเติบโต ขั้นเติบโตเต็มที่ และขั้นถดถอย
5.การเปลี่ยนแปลงของโลก มีความรวดเร็วมากกว่าในอดีตเนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ตทำให้ทุกอย่างมีความรวดเร็วไม่ว่า เรื่องของข้อมูลข่าวสาร เรื่องของการบริการโดยผ่านอินเตอร์เน็ต
ปัจจัย 5 ข้อข้างต้น จึงก่อให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมขึ้น
การตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม เราควรสร้างสรรค์และนวัตกรรม 4P หรือสร้างสรรค์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix ) นั่นเองคือ 1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product 1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price 1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place 1.4. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion
1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product เราควรสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้มี คุณภาพและก่อให้เกิดความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ไม่ว่าในเรื่องของ ความคงทน สะอาด รสชาติต่างๆ รูปร่างลักษณะแปลกใหม่ เช่น ทรงกลม ทรงกระบอก ให้ใช้งานง่าย ทันสมัย พกพาสะดวก เป็นต้น
1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price การสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้านราคา มีหลายรูปแบบเช่น
1.2.1.ตั้งราคาให้เท่ากันทุกชิ้น(ทั้งร้าน 10 บาททุกชิ้น ทั้งร้าน 20 บาททุกชิ้น ทั้งราคา 90 บาททุกชิ้น)
1.2.2.ตั้งราคาด้วยเลข 9หรือลงท้ายด้วยเลข 9 เป็นการตั้งราคาตามจิตวิทยา เคยมีนักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกาเคยทำการวิจัย โดยตั้งราคาสินค้าชนิดเดียวกันอย่างเดียวกัน แต่เอาไว้คนละร้าน ร้านที่ 1 ตั้งราคาที่ 44 บาท ร้านที่ 2 ตั้งราคาที่ 39 บาท ปรากฏว่า 39 บาทขายดีกว่า 44 (หลายคนคงบอกว่าก็แน่นอนเพราะมันถูกกว่ากัน) ต่อมานักวิชาการคนเดียวกันก็เลยตั้งราคาใหม่ให้ร้านที่ 1 ขายในราคา 33 บาท แต่ร้านที่ 2 ขายราคาเดิมคือ 39 บาท ปรากฏว่า ราคา 39 บาทก็ยังขายดีกว่า 33 บาท ดังนั้นการตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 มีผลอย่างมากในทางจิตวิทยา แต่นักวิชาการคนดังกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 ไม่ควรตั้งเกินหรือมากกว่า 30% ของสินค้าทั้งหมดในร้าน เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าสินค้าไม่มีค่าหรือเป็นของที่ไม่มีคุณภาพเนื่องจากราคาถูก
1.2.3.ตั้งราคาแบบ Pay-What-You Want เกิดขึ้นที่อเมริกา ตามร้านอาหารหลายแห่งและตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นการใช้บริการก่อน ไม่มีกำหนดราคา ลูกค้าจะจ่ายก็ต่อเมื่อ ใช้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าดีหรือมีคุณภาพก็เอาเงินใส่ในกล่อง
1.2.4.ตั้งราคาแบบ pay it forward เกิดขึ้นที่อเมริกาเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จหรือใช้บริการเสร็จ ตอนคิดเงิน ร้านอาหารหรือผู้ประกอบการก็บอกว่า มีคนจ่ายแทนคุณแล้วก็คือคนที่กินก่อนหน้าคุณ แล้วคุณจะจ่ายให้คนต่อไปเท่าไร เป็นการจ่ายเงินให้คนต่อไปที่ใช้บริการต่อจากเรา
1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place(ช่องทางการจัดจำหน่าย) คือการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีกิจกรรมได้แก่ การขนส่ง การคลังสินค้า / การบริหารสินค้าคงเหลือ การตัดสินใจเรื่องคนกลาง เป็นต้น
ในยุคปัจจุบันมีการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place หลายอย่าง เช่น การใช้รถยนต์เคลื่อนที่(รถยนต์อาหารหรือรถยนต์กาแฟเคลื่อนที่), E-commerce ฯลฯ
1.4. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion หมายถึง การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้รับข่าวสารซึ่งเป็นผู้บริโภค ให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้า รวมไปถึงข้อมูลกิจการของผู้จำหน่าย เช่น E-Mail Marketing , Online (Advertising and Search agent) , Billboard ฯลฯ
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับการสร้างแบรนด์ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆมีผลมากต่อการสร้างแบรนด์ เพราะการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาจะทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ความก้าวหน้า ของแบรนด์อยู่ตลอดเวลา เช่น แบรนด์ แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ของสตีฟ จอบส์ ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ทันสมัยออกมาตลอดเวลา จึงทำให้แบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์มีความแข็งแกร่งและมีความทันสมัย อีกทั้งยังได้สร้างความมั่งคั่งในด้านเงินทองอย่างมากมายมหาศาล
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับสารสนเทศ เทคโนโลยี ยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า สารสนเทศมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งมีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจให้เติบโต เราจะเห็นได้ว่าบริษัทระดับโลกที่มีความยิ่งใหญ่มักใช้สารสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยีในการขาย เช่น บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น youtube , Facebook , google , Twitter , Line , Instagram ฯลฯ บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ประเทศไทยเรายังทำเรื่องเหล่านี้น้อยมาก
ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจของไทยเรามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนานวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับสินค้า นวัตกรรมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการบริการ เพราะในยุคปัจจุบัน ถ้าเราจะแข่งขันด้านราคา เราคงพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะประเทศจีน สินค้า ผลิตภัณฑ์ของจีน มีราคาถูกมากๆ ถูกจนทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายประเทศสู้ไม่ได้ ยิ่งในยุคของอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างเสรีและได้ในราคาถูกยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนได้โดยผ่านเว็ป aliexpress ซึ่งมีบริการส่งสินค้าถึงที่บ้านเลยทีเดียว
โดยภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่ร่ำรวย ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ประเทศอเมริการ่ำรวย แต่มีปัจจัยหนึ่งที่น่าคิดและพิจารณาก็คือ ประเทศอเมริกามี บุคคลสำคัญๆของโลกที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หรือกล้าที่จะคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมา จึงทำให้ประเทศอเมริกาจดลิขสิทธิ์แล้วสามารถขายสินค้าไปได้ทั่วโลก เช่น 1.สตีฟ จอบส์ ได้ลิขสิทธิ์ในสินค้าแบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์เป็นชาวอเมริกา 2.บิล เกตส์ บริษัทไมโครซอฟท์ เป็นชาวอเมริกา 3.ทอมัส แอลวา เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์ของโลกและนักธุรกิจชาวอเมริกัน 4.พี่น้องตระกูลไรท์ ผู้สร้างเครื่องบินได้สำเร็จเป็นคนแรกเป็นชาวอเมริกา 5.เฮนรี ฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์คันแรกก็เป็นชาวอเมริกา และมีอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นนักคิดนวัตกรรมชาวอเมริกา
...
  
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การตลาดแบบ Attraction Marketing เป็นการตลาดที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่า เมื่อใช้การตลาดแบบ Attraction Marketing คนจะไม่ปฏิเสธ
หรือถูกโดนปฏิเสธจากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง เพราะเป็นธรรมดางานขายหรืองานนำเสนอจะต้องมีทั้งการตอบรับและการถูกปฏิเสธ
การตลาดแบบ Attraction Marketing ส่วนใหญ่มักจะทำกันในโลกอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ เพราะ โลกออนไลน์มีลักษณะเป็น Mass สูง เป็นโลกของ Social ที่ทันสมัย แต่คนจำนวนมากมักคิดว่า ถ้าอย่างไร เราต้องโพสต์หรือส่งข้อความของบริษัทของเรา สินค้าของเรา ตัวเรามากๆ คนเขาจะได้เข้ามาซื้อหรือเข้ามาติดตาม
แต่จริงๆแล้ว การตลาดแบบ Attraction Marketing จะต้องมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ จึงจะสามารถดึงดูดผู้คนรวมทั้งลูกค้าและผู้มุ่งหวังมาให้สนใจเรามากกว่าการโพสต์หรือการส่งข้อความเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีความน่าดึงดูด ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสนใจ
กล่าวคือ เราจะต้องสร้างมูลค่าให้กับตัวเราเองเสียก่อน การสร้าง Brand จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะต้องนำเอามาใช้ เพราะการสร้าง Brand จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความจดจำ สร้างความศรัทธาภายในใจของกลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายอยากที่จะซื้อสินค้าหรืออยากจะทำงานร่วมกับเรา
การรู้จักกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการทำการตลาดแบบ Attraction Marketing ให้ประสบความสำเร็จ เช่น ในตลาดแชมพู มีหลายยี่ห้อ เราต้องรู้ก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราคือใคร คนที่มีผมเสีย ผมแตกปลายใช่หรือไม่ คนที่มีผมเป็นรังแคใช่หรือไม่ คนที่มีผมร่วงใช่หรือไม่ คนที่เป็นเด็กใช่หรือไม่ เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายแล้ว เราจึงสามารถทำการตลาดแบบดึงดูด กลุ่มเป้าหมายของเราได้สำเร็จ ไม่ใช่ดึงดูดทุกกลุ่มเข้ามา เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ สิ้นเปลืองทรัพยากรต่างๆ โดยใช่เหตุ
การสร้างการตลาดแบบดึงดูดมีองค์ประกอบดังนี้
1.การสร้าง Brand โดยผ่านเครื่องมือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านเวปไซด์ และ Social Media เช่น Youtube , twitter , Facebook , Line , Blog ฯลฯ
2.การสร้างช่องทางการสื่อสารให้แก่ผู้มุ่งหวังหรือลูกค้า ให้สามารถติดต่อกับเราได้และเราก็สามารถติดต่อเขาได้ เช่น E-mail พูดคุยผ่าน Facebook , Massager , Line , E-mail , Instragram เป็นต้น
3.การสร้างหรือรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง(กล่าวคือเราต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราด้วย) ข้อมูลของบริษัทของสินค้า ข้อมูลบทความ ความรู้ต่างๆ เคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
4.การสร้างหรือการส่งมอบสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เคล็ดลับต่างๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารที่ได้มีการเตรียมไว้ และเมื่อลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการติดต่อก็สามารถตอบหรือหาข้อมูลต่างๆ ส่งไปให้ได้
แล้ว ธุรกิจใดเหมาะที่จะนำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด มาใช้มากที่สุด สำหรับในความคิดของกระผม ธุรกิจเครือข่ายครับ หรือ ธุรกิจที่ต้องการสมาชิกเป็นจำนวนมากๆ ยอดขายมากๆ ซึ่ง Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด สามารถช่วยได้ ดังเราจะสังเกตเห็นว่า หลาย เว็ปไซค์ของธุรกิจเครือข่าย มักจะมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดผู้คน ให้เข้ามาอ่าน เข้ามาดู และอีกหลายเว็ปไซค์ ก็จะมีการเปิดโอกาสให้คนที่สนใจ ฝากเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์(Email Marketing) เพื่อติดต่อกลับ หากว่าสนใจในตัวของบริษัท สินค้า หรือบริการ ด้วย
ซึ่ง Email Marketing เป็นส่วนหนึ่งของ Attraction Marketing พวกเราลองไปศึกษาเพิ่มเติม เพราะการใช้ Email Marketing อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มการดึงดูดได้มากยิ่งขึ้น เราจะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาลูกค้าเพื่อคุยเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ เราจะรู้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร(คนที่สนใจธุรกิจของเราหรือตัวเราจริงๆ) ยิ่งบริษัทใดมีรายชื่อลิสต์ลูกค้ามากๆ การไปพูดคุยต่อตัวต่อ ยิ่งทำได้อย่างยากลำบาก เสียเวลา เสียเงินทอง เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ การใช้ Email Marketing จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ติดต่อลูกค้าได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งตอบสนอง ในโลกยุคออนไลน์หรือในโลกยุคนี้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่พนักงานขายหรือผู้นำธุรกิจเครือข่ายจะต้องเดินทางไปพูดคุยตัวต่อตัว หรือโทรศัพท์พูดคุยกัน หากมีจำนวนไม่มากก็ไม่น่ามีปัญหาแต่ถ้ามีเป็นจำนวนมากหลายพันคน หลายหมื่นคน คงลำบากที่จะติดต่อ
สำหรับธุรกิจเครือข่ายหลายบริษัทที่มีการทำการตลาด Attraction Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะวางระบบไว้อย่างดี ทำให้มีการปิดการขายหรือมีการปิดรับสมัครคนเข้าในเครือข่ายได้เป็นจำนวนมาก
โดยสรุปแล้ว การทำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด เป็นเครื่องมือเครื่องมือหนึ่งในการทำการตลาด และถ้าต้องการทำอย่างได้ผล เราจะต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเสียก่อน เราจะต้องสร้างความแตกต่าง เราจะต้องสร้างความจดจำ เราจะต้องหาช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เราจะต้องมอบสิ่งที่ดีๆให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายมาติดต่อเราเอง ขอความรู้จากเรา ขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาจากเรา ขอซื้อสินค้าจากเรา หรือพูดง่ายๆ คือ เราได้หัวใจของกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

...
  
สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูด วิทยากร นักเขียน
www.drsuthichai.com
ถ้าพูดถึงนักการตลาด ใครๆ ก็อยากที่จะเป็นสุดยอดมือทองทางด้านการตลาด แต่การตลาดเป็นเรื่องของ ศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่หยุด อีกทั้งไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว คนที่จะเป็นนักการตลาดมือทองมีความจำเป็นจะต้องปรับศาสตร์ที่เรียนรู้ให้เข้ากับสถานการณ์หรืออาจกล่าวได้ว่า นักการตลาดมือทองต้องมีศิลป์ในการใช้ศาสตร์ทางด้านการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์นั้นเอง ในบทความนี้จะพูดกลยุทธ์ต่างๆที่นักการตลาดต้องเรียนรู้ซึ่งมีดังนี้
1.การตลาดแบบ Attraction Marketing เป็นการตลาดที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
2.การตลาดแบบ CRM ซึ่ง CRM หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่เราจะนำเอาไปใช้ในการบริหารลูกค้าให้เกิดความรู้สึกที่ดี มีความผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือหน่วยงานของเรา เมื่อลูกค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดี ชอบเรา รักเรา แล้วลูกค้าคนนั้นก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าหรือบริการอื่น ในขณะเดียวกันก็จะเกิดการบอกต่อไปยังเพื่อนๆ จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่นคงและเพิ่มขึ้น
C คือ Customer เราต้องรู้จักลูกค้าของเราก่อนว่าลูกค้าคือใคร แบ่งกลุ่มได้กี่กลุ่ม เราจะเก็บข้อมูลอย่างไร และเราจะสร้างฐานลูกค้าอย่างไร
R คือ Relationship ความสัมพันธ์ ทำอย่างไรจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดชุมชนหรือเพื่อให้เกิดครอบครัวใหญ่
M คือ Management เราจะติดต่อกับลูกค้าหรือสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร เมื่อไร จะบริหารจัดการลูกค้าอย่างไร
ฉะนั้น CRM จึงต้องอาศัยเป้าหมายและการวางแผน ว่าปีหนึ่งเราจะติดต่อกับลูกค้ากี่ครั้ง เมื่อไร เดือนไหน พร้อมทั้งมีการเสนอขายสินค้าและบริการเมื่อไร เพราะถ้ามีลูกค้าแต่ไม่มีการสั่งซื้อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
3.การตลาดแบบ E-Commerce มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ การบริหาร การจัดการ เพื่อทำให้องค์กรเกิดความก้าวหน้า เกิดกำไร เกิดความมีชื่อเสียง ทำไมต้องทำการตลาด E-Commerce เพราะ โลกยุคนี้เป็น โลกของการรวมเป็นหนึ่ง โลกแห่งการสื่อสาร โลกแห่งเครือข่าย โลกแห่งการไร้ซึ่งขอบเขต ซึ่งทำให้ประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจจะต้องทำงานค้าขายร่วมกับประเทศต่างๆ มากยิ่งขึ้น
หากพูดถึงเรื่องของการตลาดในยุคก่อน เรามักมีการใช้การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ แต่ยุคนี้ สื่อที่มีความสำคัญและมาแรงมาก ได้แก่ สื่อทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีคนใช้การเกือบครึ่งโลก การตลาดแบบ E-Commerce จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน
4.การตลาดแบบสร้างสรรค์ เนื่องจากยุคปัจจุบันและยุคอนาคตเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และไม่หยุดนิ่ง หากเรามองกลับไปยังยุคอดีตเราจะเห็นว่า สินค้าหลายๆตัวได้หายไปจากการแข่งขันในยุคปัจจุบัน เช่น
- การใช้บริการโทรเลขได้เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เด็กยุคใหม่จะไม่รู้จักอีกต่อไป สาเหตุก็มาจาก มีผู้ใช้บริการน้อย เทคโนโลยีมีความทันสมัย มีโทรศัพท์มือถือ มีระบบอินเตอร์เน็ต อีเมล์ต่างๆ มารองรับ อีกทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่สูง ฉะนั้นการบริการโทรเลข จึงได้หยุดให้บริการนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551
- การใช้เครื่องพิมพ์ดีด ก็มีจำนวนที่ลดน้อยลง โรงงานผลิตจึงต้องลดจำนวนผลิต บางแห่งมีการปิดตัวไปเลยก็มี สาเหตุหนึ่งก็เกิดจาก การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง Ipad โทรศัพท์บางรุ่นบางยี่ห้อ ก็สามารถใช้พิมพ์งานได้อย่างสบาย
ดังนั้น เมื่อเราเข้าสู่ยุคของการแข่งขันที่เสรีและรวดเร็ว บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานต่างๆ ก็คงต้องพยายาม สร้างสรรค์ตัวสินค้า ตัวผลิตภัณฑ์ และการทำการตลาดอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา
5.การตลาดแบบ Digitalmarketing Communication คือ การสื่อสารในการทำการตลาดบนโลก Online ซึ่งต้องอาศัย Internet โดยผ่านเครื่องมือหรือ Technology ที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือสมาร์ทโฟน และต้องอาศัยการสื่อสารผ่านช่องทาง Social Network คือ Blog หรือ บล็อก ,ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก, โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 ) , เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) รวมถึง Youtube , INSTAGRAM ,GOOGLE,FLICKR เป็นต้น
6.การตลาดแบบ Marketing Mindset คืออะไร Marketing Mindset คือความคิด ความเชื่อ ทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมต่อการกระทำของบุคคลนั้นๆซึ่งความคิด ความเชื่อ Mindset ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน
Mindset จึงเหมือนกับแบบแปลนบ้าน ก่อนที่จะสร้างบ้าน เราควรมีแบบแปลนบ้านเสียก่อน ไม่ใช้คิดจะปลูกบ้าน สร้างบ้าน ก็สร้างเลย ถ้าทำเช่นนี้ อาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการก่อสร้างได้ แล้วผลที่ตามมาก็คือ ต้องเสียเวลา เสียเงินทอง ในการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง แต่ถ้าเรามีแบบแปลนบ้าน เราก็จะสร้างบ้านได้ตามแผนหรือแบบแปลน ทำให้ไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น
Marketing Mindset จึงมีความสำคัญ ถ้าใครมี Marketing Mindset ที่ผิด เขาก็จะเกิดความผิดพลาดในการทำงานด้านการตลาดและต้องเสียเวลาแก้ไข ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ฉะนั้น ก่อนที่จะเป็นนักการตลาดที่ดีและประสบความสำเร็จ นักการตลาดควรมี Marketing Mindset เป็นของตนเองเสียก่อนซึ่ง Marketing Mindset ของแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน
7.การตลาดแบบครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต
IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ
IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น
IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า
ดังนั้น หากท่านผู้อ่านได้เรียนรู้และนำเอาการตลาดแบบต่างๆ 7 ข้อข้างต้นเอาไปประยุกต์ใช้กับงานทางด้านการตลาดของตนเอง กระผมเชื่อว่า ท่านจะเป็นนักการตลาดมือทองในที่สุด
...
  
เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในบทความนี้กระผมจะไม่ขอพูดถึงความหมายของคำว่า “ นวัตกรรม ” และความหมายของคำว่า “ ความคิดสร้างสรรค์” เนื่องจากกระผมได้เคยเขียนไว้ในบทความฉบับก่อนหน้านี้แล้ว
แต่บทความฉบับนี้ จะลงไปในเรื่องของรายละเอียดเรื่องของเทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด คนที่จะสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดได้ จะต้องมีการพัฒนาด้านความคิดกันก่อนเป็นอันดับแรกๆ ผมมีนิทานฉบับย่อๆ หนึ่งเรื่องจะเล่าให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนี้ได้จัดให้มีการแข่งขัน โดยการเดินทางไกลไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินทางเป็นระยะทาง 300 กม. ปรากฏว่ามีคนอยู่ 3 กลุ่ม ได้เข้าร่วมการแข่งขัน กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มใหญ่สุด ซึ่งผู้เข้าแข่งขันใช้วิธีเดินโดยการแบกเป้เอาไว้ด้านหลังซึ่งเป็นความคิดของคนโดยทั่วไปในสมัยนั้น กลุ่มที่ 2 ใช้เกวียนเป็นพาหนะในการเดินทาง เป็นกลุ่มรองลงมา ที่คิดวางแผนก่อนที่จะเข้าแข่งขันโดยหาเครื่องมือทุ่นแรง กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มคนที่มีน้อยที่สุด เขาริเริ่มคิดที่จะใช้เครื่องมือแปลกใหม่ๆหรือค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยโดยหาเครื่องมือที่ไปหรือขับเคลื่อนได้ไวกว่าเกวียน
กระผมให้ท่านผู้อ่านเดาครับ ว่าคนกลุ่มไหนจะมีโอกาสชนะในการแข่งขัน แน่นอนครับ กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีน้อยที่สุด แต่เป็นกลุ่มที่ใช้ความคิดมากที่สุดเพื่อที่จะหาเครื่องมือใหม่ๆแปลกๆในการแข่งขัน
ถ้าเปรียบดังการแข่งขันด้านการตลาด กลุ่มที่ 1 เป็นพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปมีมากที่สุด ขายสินค้าเหมือนๆกัน กลุ่มที่ 2 มีน้อยลงมาหน่อยคือพ่อค้าแม่ค้าที่รู้จักใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือ เทคโนโลยีเข้าช่วยในการทำงาน ส่วนกลุ่มที่ 3 มีน้อยที่สุด เป็นกลุ่มที่คิดพัฒนานวัตกรรมกับความคิดสร้างสรรค์ก่อนที่จะเข้าสู่การแข่งขัน เช่น สตีฟ จอบส์ พัฒนาสินค้าตระกูล I ก่อนซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้สินค้าแต่ละตัวแต่ตรงกันข้ามกับเจ้าของธุรกิจทั่วไป เขาอยากจะเปิดร้านขายอะไรก็เปิด ไม่ยอมคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาด
ดั้งนั้นเทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดมีดังนี้
1.จงคิดสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดก่อนที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจจะต้องมีการวางแผน การทำวิจัย หรือการตั้งหน่วยงานนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ขึ้นในองค์กร ซึ่งการวางแผน การทำวิจัยก่อนที่จะเปิดขายสินค้า ขายผลิตภัณฑ์ อาจจะทำให้เสียเวลาในช่วงแรก แต่ถ้ามองในระยะยาวจะมีผลดีตรงข้ามกับคนกลุ่มใหญ่ที่คิดจะเปิดร้านขายสินค้า ผลิตภัณฑ์อะไรก็เปิดเหมือนๆกันกับคู่แข่งขัน อาจจะไม่เสียเวลาและง่ายในการเริ่มต้น แต่ในระยะยาวจะไม่เกิดผลดีและอาจจะพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน
2.จงศึกษาความแตกต่างและความเหมือนกัน จงค้นหาความแตกต่างของสิ่งที่เหมือนกัน
และจงค้นหาความเหมือนกันในสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ของโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ กาแฟ สินค้าต่างๆ บริษัทต่างๆ ซึ่งการคิดบ่อยๆก็จะทำให้เราเห็นความแตกต่างกันระหว่างสินค้า ผลิตภัณฑ์ การตลาดของเรากับคู่แข่งขันและสามารถคิดวิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น
3.จงจินตนาการ เพราะ อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ อัจฉริยะระดับโลกได้กล่าวไว้ว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” และนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักวิจัย นักวิชาการ นักการเมือง ระดับโลก บุคคลเหล่านี้เขามีจินตนาการและรู้จักใช้จินตนาการมากกว่าคนทั่วไป เช่น JFK อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้พูดไว้ว่า จะส่งคนไปดวงจันทร์ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นไปได้ยากมากๆและคนทั่วไปอาจจะยังมองไม่เคยภาพ แต่ ประธานาธิบดี JFK ก็มีจินตนาการที่จะส่งคนไปดวงจันทร์ให้ได้และก็ทำสำเร็จในเวลาต่อมา บุคคลที่ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดก็เช่นกัน ควรใช้จินตนาการให้มากขึ้น
4.จงนำเอาสิ่งตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไปมารวมกัน เช่น ยาสีฟันรวมตุ๊กตา(หลอดยาสีฟันแต่ตัวหลอดกับหัวหลอดยาสีฟันเป็นตัวตุ๊กตาที่มีความแปลกๆหรือตุ๊กตาที่อยู่ในกระแสความดัง) , การนำเอาสิ่ง 3 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง (ธนาคาร+ร้านกาแฟ+ร้านอินเตอร์) , การนำเอาสิ่ง 4 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ปั๊ม ปตท.(ปั๊มน้ำมัน +คาเฟ่ อเมซอน+7-11+เชสเตอร์กริลล์) , การนำเอาสิ่ง หลาย สิ่งมารวมกัน ตัวอย่างเช่น (มีด+ไขควง+กล้องขยาย+ช้อน+ส้อม+กรรไกร+ไม้จิ้มฟัน+ปากกา+ที่แคะขี้หู+เลื่อยขนาดเล็ก+เข็มทิศ+กรรไกรตัดเล็บ+คีม) สิ่งเหล่านี้สามารถพับออกมาใช้งานได้และสามารถพับเก็บได้ในชิ้นเดียวกัน
เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาด ทั้ง 4 อย่างข้างต้นนี้จะช่วยให้เกิดสิ่งใหม่ๆ และเกิดสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม อีกทั้งยังช่วยสร้างความได้เปรียบทางด้านการแข่งขันให้เหนือกว่าคู่แข่งขันอีกด้วย จงสร้างนวัตกรรมและใช้ความคิดสร้างสรรค์ทางการตลาดอยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งที่เราคิดได้ว่าเป็นสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่แปลกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเป็นสิ่งเก่าทันที เนื่องจากมีคนเลียนแบบ
ดังนั้น จงสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องแล้วท่านจะเป็นผู้รับชัยชนะ และเป็นผู้นำทางด้านตลาดในวงการธุรกิจของท่าน
...
  
นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยของเรา มีกระแสในเรื่องของนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐบาล องค์กร บริษัท ห้างร้าน ได้สนับสนุนและจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างมากมาย เช่น
มีการเปิดอบรมหลักสูตรการพัฒนานวัตกรรมและพัฒนาองค์กร , หลักสูตรการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ , หลักสูตรการสร้างสรรค์และนวัตกรรมอุตสาหกรรมแฟชั่น,
หลักสูตรการสร้างนวัตกรรมใหม่และการสร้างสรรค์ โดยอาศัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
สำหรับบทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ “นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด”
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่ง แปลกๆ ใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือสิ่งที่แปลก ที่มีความแตกต่างไปจากของเดิมและสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้นองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งแปลก ใหม่ (New, Original) สามารถนำเอาไปใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
นวัตกรรม หมายถึง สิ่งที่มีความแปลกใหม่ ซึ่งเกิดจากการใช้ความรู้ ความสามารถ ใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรค์ สิ่งแปลกใหม่ในที่นี้อาจจะอยู่ในรูปต่างๆ เช่น ของสินค้า ของผลิตภัณฑ์ แนวคิด การโฆษณา การสื่อสาร การจัดสถานที่ รวมไปถึงกระบวนการที่สามารถนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนางานทางด้านการตลาด
ซึ่งมีเทคนิคในการทำแบบง่ายๆหรือเข้าใจให้ง่ายๆ ก็คือ การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมารวมกัน ก็จะเกิดสิ่งที่มีความแปลกใหม่ขึ้นมา เช่น
- การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ยาสีฟันรวมตุ๊กตา(หลอดยาสีฟันแต่ตัวหลอดกับหัวหลอดยาสีฟันเป็นตัวตุ๊กตาที่มีความแปลกๆหรือตุ๊กตาที่อยู่ในกระแสความดังแต่ควรระวังเรื่องลิขสิทธิ์)
- การนำเอาสิ่ง 3 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง (ธนาคาร+ร้านกาแฟ+ร้านอินเตอร์)
- การนำเอาสิ่ง 4 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ปั๊ม ปตท.(ปั๊มน้ำมัน +คาเฟ่ อเมซอน+7-11+เชสเตอร์กริลล์)
- หรือการนำเอาสิ่ง หลาย สิ่งมารวมกัน ตัวอย่างเช่น (มีด+ไขควง+กล้องขยาย+ช้อน+ส้อม+กรรไกร+ไม้จิ้มฟัน+ปากกา+ที่แคะขี้หู+เลื่อยขนาดเล็ก+เข็มทิศ+กรรไกรตัดเล็บ+คีม) สิ่งเหล่านี้สามารถพับออกมาใช้งานได้และสามารถพับเก็บได้ในชิ้นเดียวกัน
ดังนั้น ใครที่เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านอะไรก็ตาม เราสามารถนำเอานวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด โดยการนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมาขายพร้อมๆกันได้
เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หลายๆแห่ง มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดโดยนำเอาอาหาร หรือ กาแฟ มาทำนวัตกรรมให้มีหลายรสชาติ แก้วรูปทรงต่างๆ ที่มีความน่าสนใจ อีกทั้งยังมีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดในส่วนของคนขายอีกด้วย กล่าวคือ คนขายอาจจะแต่งตัวโป๊ คนขายอาจจะแต่งตัวแปลกๆ คนขายหล่อ คนขายสวย เป็นต้น( สร้างสรรค์ด้านอาหารหรือกาแฟ + สร้างสรรค์ด้านคนขาย)
การวิจัยกับนวัตกรรม การวิจัยมีความสำคัญมากต่อการสร้างสรรค์และก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ซึ่งการวิจัยกับนวัตกรรม จะมีความแตกต่างกัน คือ การวิจัย เรามักจะเสียเงินหรือใช้เงินเพื่อสร้างความรู้หรือได้รับความรู้ใหม่ๆ แต่ นวัตกรรม เป็นการเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงินทอง
ตัวอย่าง เช่น
- ระบบเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อและการสกัดสารคอลลาเจนจากเป๋าฮื้อ ถ้าเราเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ขาย เราอาจจะขายได้ กิโลกรัมละ 1,000 บาท แต่ถ้าเรานำเอาการวิจัยมาสกัดเป็นสารคอลลาเจน เราก็จะขายได้ถึง 5,000 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
- นมยี่ห้อBedtime milk นมที่มีสารเมลาโทนินในธรรมชาติสูง ก็อาศัยงานวิจัยซึ่งเป็นของบริษัทแดรี่โฮมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยการสนับสนุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็ได้อาศัยงานวิจัยทำให้ผู้บริโภคทานนมแล้วนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้าและราคา
- ข้าวเจ้าสามารถขายได้กิโลกรัมละ 30 บาท แต่เราสามารถสร้างนวัตกรรมโดยนำเอาผลการวิจัยมาใช้โดยการแปรรูปเป็น แป้งเด็กจากแป้งข้าวเจ้า หรือการเพิ่มปริมาตรในเม็ดยา ก็จะขายได้กิโลกรัมละ 400 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว หรือมาทำเป็นแป้งพัฟจากแป้งข้าวเจ้าก็จะได้กิโลกรัมละ 100,000บาท

โดยสรุป นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด มีความสำคัญมากต่อการช่วยเพิ่ม
มูลค่าเพิ่มให้กับตัวของสินค้าและมูลค่าเพิ่มให้กับราคาของสินค้า สมัยอดีต ประเทศไทยเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น มีแร่ธาตุ ยางพารา ข้าว ป่าไม้ แต่ในยุคปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ก็เหลือน้อยลง อีกทั้ง สินค้าที่ส่งออกเหล่านี้ ประเทศต่างๆ ก็ส่งสินค้าแบบเดียวกับเรา ซึ่งมีความเหมือนกัน
สิ่งที่จะช่วยให้ราคาดีขึ้น มีกำไรสูงขึ้น และสามารถแข่งขันกันได้ ก็คือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านการตลาด หากว่าเราสามารถสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆได้ เราก็จะได้เปรียบทางการตลาดเหนือคู่แข่งขัน



...
  
คุณสมบัตินักขายมืออาชีพ
คุณสมบัตินักขายมืออาชีพ
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
www.drsuthichai.com
อะไรคือคุณสมบัติที่มีความแตกต่างกันระหว่างนักขายมืออาชีพกับนักขายมือสมัครเล่น
ถ้าจะตอบคำถามนี้ คงต้องตอบว่า คุณสมบัติที่แตกต่างกันมีอยู่หลายประการ เช่น
1.มีเป้าหมายหรือมีความฝัน นักขายมืออาชีพเขาจะมีเป้าหมาย เขาจะตั้งเป้าหมาย และมีความฝันในชีวิต เขาจะตั้งเป้าหมายในการทำงาน เขาจะมีความฝันว่า เขาจะรู้ว่าเขามีความต้องการอะไรในชีวิต เขาจะเขียนเป้าหมายเป็นตัวเลขลงในสมุดวางแผนงาน เขาจะตัดภาพบ้านใหม่ รถใหม่ หรืออะไรที่เขาต้องการลงในสมุดวางแผนเพื่อเตือนความทรงจำ
2.มีการวางแผน เขาจะมีการวางแผน เมื่อเขารู้เป้าหมายหรือรู้ความฝันของเขาแล้ว ทำอย่างไรถึงจะไปยังเป้าหมายหรือความฝันของเขา เขาจึงต้องวางแผนการทำงาน ว่าเขาจะทำอย่างไรถึงจะเดินทางไปสู่ความฝันของเขาให้ได้ เขาจะต้องวางแผนในการไปพบกับลูกค้า หรือผู้มุ่งหวังกี่คนต่อวัน เขาจะต้องเตรียมเอกสารอะไร เตรียมคำพูดอย่างไร เตรียมข้อมูลหรือแบบฟอร์มอะไรบ้างที่จะให้ลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังเซ็นต์(ลงนามชื่อ)เอกสาร
3.มีวินัยในการทำงาน นักขายมืออาชีพเขาจะมีวินัยในการทำงานและเขาจะยึดหลักอิทธิบาท 4 ในการทำงาน อันได้แก่
ฉันทะ คือ ต้องรักงานขาย ต้องชอบทำงานด้านการขาย
วิริยะ คือ ต้องขยันหมั่นเพียร พากเพียรในการทำงานขาย
จิตตะ คือ ต้องมีจิตใจจดจ่อ ตั้งใจในการทำงานด้านการขาย
วิมังสา คือ ต้องพัฒนาปรับปรุงงานขายของตนเองอยู่เสมอตลอดเวลา
4.มีความอดทนต่อการถูกปฏิเสธ งานขายเป็นงานที่ต้องถูกการปฏิเสธจากลูกค้ามากกว่าลูกค้าจะตัดสินใจซื้อหรือตอบรับการซื้อ ดังนั้นนักขายต้องมีความอดทนต่อการถูกปฏิเสธจากลูกค้า เพราะถ้านักขายอดทนไม่ได้ นักขายคนนั้นก็จะไม่สามารถเป็นนักขายมืออาชีพได้ คงเป็นได้เฉพาะนักขายมือสมัครเล่นเท่านั้น
5.มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา นักขายมืออาชีพจะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เขาจะมีการปรับปรุงพัฒนาตนเองทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ของการแต่งกาย การพูดการจา การวางตัว การทำงาน การเข้ารับการอบรม การอ่านหนังสือ การหาความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับสินค้า เกี่ยวกับงานขายของตนเอง
6.มีทัศคติที่ดีต่องานขาย นักขายมืออาชีพเขาจะเป็นคนที่มีทัศคติที่ดีต่องานขาย เขาจะเป็นคนมีความคิดบวก มองโลกในแง่ดี เขาจะมองหาแง่มุมที่ดีๆของงานขาย เช่น งานขายเป็นงานที่ช่วยเหลือคน ตัวอย่างคนขายประกันชีวิต เขาจะมองว่า ถ้าคนๆหนึ่งทำงานเลี้ยงดูครอบครัว ลูกๆ มาวันหนึ่งต้องตายลงไป ใครจะมาเลี้ยงดูลูกๆของเขา ถ้าไม่มีเงิน จึงเสนอขายประกันชีวิตแก่พ่อแม่ที่มีลูกที่ยังเล็กอยู่
7.มีความกระตือรือร้นและเชื่อมั่นในตนเอง นักขายมืออาชีพเขาจะเสนอขายด้วยความเชื่อมั่นในตนเองและเสนอขายสินค้าให้แก่ลูกค้าอย่างกระตือรือร้น ความการกระตือรือร้นจะทำให้เขามีไฟในการทำงาน มีความทุ่มเทเอาใจใส่ในงาน ดังนั้นถ้าอยากเป็นนักขายมืออาชีพจะต้องเป็นคนไม่เฉยชา และจะต้องมีความกล้า ไม่กลัวในการทำงาน กล่าวคือ ต้องมีความกระตือรือร้นและเชื่อมั่นในตนเองนั่นเอง
คุณสมบัติทั้ง 7 ข้อข้างต้นนี้ กระผมคิดว่าเป็นประเด็นหลักๆของความแตกต่างระหว่างนักขายมืออาชีพกับนักขายมือสมัครเล่น และยังมีอีกหลายคุณสมบัติที่เป็นเรื่องรองๆลงไป ที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างนักขายมืออาชีพกับมือสมัครเล่น เช่น การรู้จักคุณค่าของเวลา การมีมนุษย์สัมพันธ์ การใช้เครื่องมือที่ทันสมัยช่วยในการทำงาน ฯลฯ

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.