หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  การเตรียมการพูด
  -  ศิลปะการพูดจูงใจ
  -  วิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  การพูดแบบผู้นำ
  -  การพูดจูงใจคน
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  การพูดที่ล้มเหลว
  -  คำพูดประเภทต่างๆ
  -  พูดเหมือนผู้นำ
  -  ก้าวสู่นักพูดมืออาชีพ
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
พูดดี ต้องประเมิน
พูดดี ต้องประเมิน
จะรู้ว่าพูดดี ต้องมีคนประเมิน
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ความผิดพลาดของตนเอง เป็นบทเรียนที่นำตนไปสู่ความสำเร็จ


ปัจจุบันนี้กระผมมีงานอดิเรกคือ ไปบรรยายในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกชน ราชการ บางทีก็ไป “ทอล์กโชว์” ตามโรงเรียนต่างๆ บ้าง ไปๆ มาๆ รายได้จะดีกว่างานหลักเสียอีก


จากการบรรยายในสถานที่ต่างๆ มักมีคนถามกระผมว่า “ทำอย่างไรจึงจะบรรยายเก่ง” กระผมก็ได้อธิบายว่า อันนี้ไม่ใช่พรสวรรค์นะ มันเป็นพรแสวงต่างหาก เพราะความจริงกระผมไม่สามารถบรรยายได้ตั้งแต่เกิด กระผมมาฝึกฝนเอาทีหลังนี่เอง กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ กระผมเองก็เคยเป็นนักพูดประเภท สลายม็อบ อยู่นานทีเดียว คือ พูดไปคนค่อยทยอยออกทีละคนสองคน


จุดสำคัญคือ เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเอง และมีคนถามต่อว่าจะปรับปรุงตัวเองอย่างไร คำตอบคือ การพูดแต่ละครั้งเราควรหาคนที่รู้จัก แล้วให้เขาวิจารณ์การพูดของเรา หรือให้ผู้เข้ารับการอบรม ประเมินเราเวลาเราพูดเสร็จ เมื่อเราได้ข้อมูลหรือข้อบกพร่อง เราก็สามารถนำมมาปรับปรุง หรือแก้ไขในการพูดครั้งต่อไป

ฉะนั้น การประเมินการพูด หมายถึง การวิเคราะห์ว่าที่เราพูดหรือปาฐกถาไปนั้น ต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ควรหาเทปไปอัด คำบรรยายของเรา ในปัจจุบันนี้มีเครื่องถ่ายภาพเคลื่อนไหว ถ้าเรานำไปถ่ายภาพการบรรยายของเราได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ท่าทาง กริยา อาการ ของเราเวลาเราพูดเป็นอย่างไร พูดดีหรือไม่ ท่าทางดีหรือเปล่า น้ำเสียง จังหวะในการพูด เหมาะสมหรือเปล่า


การประเมินการพูด เปรียบเทียบก็คล้ายกับเรามีกระจกเงา ส่องดูการแต่งกายส่องบุคลิกท่าทางของเรา และถ้าไม่สวย ไม่ดี ก็มาแก้ไข มาเปลี่ยนแปลงให้ดีเสีย


เพราะฉะนั้น รักจะพูดให้คนพอใจ อยากจะเป็นนักพูดประเภทพูดแล้วคนชื่นชอบ คนชอบฟัง เมื่อพูดเสร็จแต่ละครั้งอย่าถอนหายใจโล่งอกเป็นอันขาดว่า หมดทุกข์หมดโศกแล้ว ขอให้เก็บความทรงจำนั้นไว้แล้วมานั่งคิดว่า ถ้าจะให้ดีกว่าที่ได้พูดไปเราควรทำอย่างไร เราต้องแก้ไขตรงไหน เขามีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการพูดของเราอย่างไร อย่าปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ถ้าเราใฝ่ใจอยากจะเป็นนักพูดที่มีอนาคต

ท่านถูกติ ต้องตรอง มองที่ติ


แล้วเริ่มริ ลงรอย คอยแก้ไข


ติเพื่อก่อ ต่อสติ ติเข้าไป


เป็นบันได ไต่เต้า ให้เราดี

...
  
การพูดแบบผู้นำ
ผู้นำพูด
การพูดแบบผู้นำ

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


บทความในวันนี้กระผมขอพูดถึงเรื่องของการพูดแบบผู้นำ ซึ่งการพูดแบบผู้นำนี้จะพูดธรรมดาเหมือนผู้ตาม หรือคนทั่วไปไม่ได้ เพราะมันจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามดังนั้นคนที่ต้องการเป็นผู้นำหรือเป็นผู้นำอยู่แล้ว จึงต้องเรียนรู้หลักการวิธีการเพื่อนำไปใช้ในการพูดในแต่ละครั้ง ผมเชื่อว่าพวกเราคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับประโยคคำคมของผู้นำภายในประเทศและในต่างประเทศมาบ้างแล้ว คำคมเหล่านี้ทำให้เป็นที่จดจำและนำไปคิดเพิ่มแล้วก่อให้เกิดปัญญาขึ้นเช่น


“ จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่านบ้าง แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรแก่ประเทศบ้าง ”

เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคนาดี้

“ ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าฝูงชนได้ ก็อย่าปราถนาเป็นผู้นำ"


เป็นคำพูดของหลวงวิจิตร

หรือ “ ระบบประชาธิปไตยคือระบบที่ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดี ลินคอล์น

ดังนั้นในวันนี้เราจะมาพูดเรื่องเทคนิคการพูดแบบผู้นำ ดังนี้

- ผู้นำจะต้องพูดด้วยความมั่นใจ พูดชัด ไม่ติดติดขัดขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ภาษาก็ต้องพูดชัดไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่พูดภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาไทย ผู้นำจะต้องรู้จักการใช้ภาษานั้นได้เป็นอย่างดี และมีการใช้คำได้หลากหลายมากกว่าผู้ตาม การพูดการใช้ภาษาของผู้นำจะทำให้ผู้ตามทราบว่าผู้นำมีการศึกษาดีมากน้อยแค่ไหนดังคำโบราณได้พูดไว้ว่า “ สำเนียงบอกภาษา กริยาบอกสกุล ” การพูดด้วยความมั่นใจจะทำให้ผู้ตามเกิดความมั่นใจตามด้วย

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีคำคมอยู่บ้าง เพราะการพูดที่ไม่มีคำคมอยู่เลยจะทำให้ผู้ฟังจำเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมดแต่ผู้นำคนใดมีคำคมอยู่บ้าง ก็จะเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่จดจำของผู้ฟังดังคำคมประโยคข้างต้นที่กระผมได้กล่าวถึง เนื่องจากคำคมเป็นคำสั้นๆหรือประโยคสั้นๆ แต่กินใจความและสามารถขยายความได้มากขึ้น คำคมบางคำทำให้คนฟังคิดตามแล้วเกิดปัญญาขึ้นตามมาด้วย

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีอารมณ์ขันบ้าง เพราะการพูดจริงจังตลอดเวลาจะทำให้ผู้ฟังเครียด แต่ถ้าผู้นำคนใดนำอารมณ์ขันมาใช้ คนฟังมักจะชอบโดยเฉพาะสังคมไทย ผู้ฟังมักชอบฟังอะไรที่ตลก ขบขัน มากกว่าฟังอะไรที่เครียด ดูจริงจัง

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีไหวพริบปฏิภาณในการพูด เนื่องจากการพูด การปราศรัย บางแห่งจะมีผู้ฟังถามลองของหรือถามลองภูมิผู้พูด ดังนั้น ผู้เป็นผู้นำจะต้องตอบให้ได้หรือให้ทันเหตุการณ์ผู้นำจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการพูดตอบโต้

- ผู้นำจะต้องพูดด้วยอารมณ์ กระผมไม่ได้หมายถึงใช้อารมณ์ในการพูดนะครับ ไม่ใช่ไปด่าผู้ฟังอะไรทำนองนั้น แต่ผู้นำจะต้องใส่อารมณ์ในการพูด เช่นพูดเรื่องเศร้าก็ต้องใช้น้ำเสียงและสีหน้า ท่าท่างอย่างหนึ่ง พูดเรื่องตลก ก็ต้องทำสีหน้า น้ำเสียงอีกอย่างหนึ่ง พูดจูงใจ ก็ต้องใช้น้ำเสียงจริงจัง ท่าทางจริงจัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่น

และยังมีอีกหลายทักษะ ที่ผู้นำจะต้องเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ เพราะการพูดแบบผู้นำเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ก็คือสามารถเรียนรู้ได้ จากหนังสือ ตำรา ทฤษฏีต่างๆ ศิลป์คือการประยุกต์ใช้เพื่อนำศาสตร์ไปปฏิบัติ ท้ายนี้อยากฝากบทกลอนของผู้แต่งที่มีคนแต่งเอาไว้กระผมเคยเห็นครั้งแรกในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อสิบกว่าปีก่อน

“ วาทะการนั้นเป็นเช่นของสูง เป็นเครื่องจูงใจคนดั่งมนต์ขลัง

เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทรงพลัง และเป็นทั้งศาสตราเป็นอาภรณ์

เราจะใช้วิชาล้ำค่านี้ เพื่อสร้างสรรค์ สิ่งดีเป็นนุสรณ์

เพื่อเทิดธรรมพัฒนาประชากร เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินไทย”






Nov 9 /2010

51.
พูดโอกาสต่างๆ
การพูดในโอกาสต่างๆ


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


เมื่อวันที่ 26-27 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมากระผมได้มีโอกาสเป็นวิทยากรให้แก่ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลดงเจน จังหวัดพะเยา ในหัวข้อ “ การพัฒนาบุคลิกภาพและการพูดต่อหน้าที่ชุมชน” ณ โรงเรียนดงเจนวิทยาคม จังหวัดพะเยา ในวันที่สองของการฝึกอบรมกระผมได้บรรยายในหัวข้อการพูดโอกาสต่างๆ เนื่องจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่เป็นผู้นำท้องถิ่น จึงมีโอกาสในการขึ้นพูดในโอกาสต่างๆมาก เช่น การพูดในงานมงคลสมรส การพูดในงานขึ้นบ้านใหม่ การพูดในงานคล้ายวันเกิด การพูดในงานศพ การพูดในงานต้อนรับสมาชิกใหม่และการพูดกล่าวแสดงความยินดี ฯลฯ


สิ่งสำคัญในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้ครับ


- ผู้พูดจะต้องรู้สถานการณ์และผู้ฟัง เช่น ถ้างานนั้นดำเนินไปด้วยความล่าช้า เราจำเป็นจะต้องพูดให้น้อยลง ทั้งๆที่เรามีอะไรต่างๆจะพูดมากมายก็ตาม โดยเฉพาะเลยเวลารับประทานอาหารไปนานแล้ว เพราะขนาด ก่องข้าวน้อยยังฆ่าแม่ได้เลย นับประสาอะไรกับผู้พูดที่ไม่ใช่ญาติมิตรกัน


- ต้องรู้ลำดับรายการผู้จะขึ้นพูดในโอกาสต่างๆ ต้องรู้ว่าลำดับของรายการต่างๆเป็นไปอย่างไรจะได้เตรียมตัวถูก ต้องรู้ว่ารายการอะไรก่อน รายการอะไรหลัง


- ต้องรู้จุดมุ่งหมายของงานนั้นๆ ว่าลักษณะของงานเป็นลักษณะงานที่บันเทิงสนุกครึกครื้น


เฮฮา หรือ เป็นงานที่เศร้าโศกสลด เราจะได้พูดให้ถูกกาลเทศะ


สำหรับโอกาสในการพูดในโอกาสต่างๆ มีดังนี้


1.การกล่าวแนะนำ โดยมากเป็นการกล่าวแนะนำ ผู้ที่อภิปราย วิทยากร ผู้โต้วาที หรือผู้เข้าร่วมอบรมหรือประชุม สัมมนาในงานนั้นๆ เป็นการกล่าวแนะนำก็เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักและสนใจ “ตัวผู้พูด” และ “เรื่องที่จะพูด”


2.การกล่าวต้อนรับ เป็นการกล่าวต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนหรือกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่


3.การกล่าวอวยพร ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวในโอกาสที่เป็นงานมงคล เช่น งานมงคลสมรสหรืองานแต่งงาน งานวันคล้ายวันเกิด(ไม่ใช่งานวันเกิด เพราะวันเกิดมีวันเดียว) งานขึ้นปีใหม่ งานฉลองการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งต่างๆ ฯลฯ


4.การกล่าวไว้อาลัย โดยมากเรามักคิดถึงแต่งานศพ แต่จริงๆแล้วการกล่าวไว้อาลัยมีหลายอย่าง เช่น ไว้อาลัยผู้ตาย ไว้อาลัยผู้ที่ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ หรือที่ทำงานใหม่และไว้อาลัยในงานโอกาสไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เป็นต้น


สำหรับท้ายนี้กระผมมีตัวอย่างการกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส โดยผู้กล่าวเป็นแม่ของเจ้าบ่าวดังนี้


สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ชีวิตของความเป็นผู้หญิงทุกคนคงไม่แตกต่างจากดิฉัน คืออยากให้คนที่เรารักหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราได้มีความสุขและดิฉันก็ได้ปฏิบัติต่อครอบครัวของดิฉันเสมอมา ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปดิฉันก็เชื่อว่าสุภาพสตรีที่นิสัยดีและน่ารักคนนี้ คือสะใภ้ของดิฉันจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดีและรักลูกชายของดิฉันได้นานแสนนานตลอดไป ขอบคุณค่ะ

หรือ พ่อของเจ้าบ่าวกล่าวดังนี้

สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผมขอเปรียบชีวิตของคนเราเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีความจริงใจเป็นรากแก้ว


มีความอดทนคือลำต้น มีความร่มเย็นคือร่มใบพร้อมทั้งความดีงามคือดอกผล จึงได้ชื่อว่า ต้นไม้แห่งความรัก


ความผูกพันและกระผมเชื่อว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวทั้งสองจะหมั่นดูแลรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เหมือนต้นไม้ดังกล่าวมา ส่วนครอบครัวของทั้งสองฝ่ายนั้นจะเป็นเม็ดฝนชโลมความชุ่มชื่นแด่เจ้าบ่าวเจ้าสาวตลอดไป


ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานแต่งงานในวันนี้(โดย อ.ภูวดล ภูภัทรโยธิน )





...
  
การพูดจูงใจคน
การพูดจูงใจคน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การพูดจูงใจ เป็น การพูดประเภทหนึ่งในวัตถุประสงค์ของการพูดต่อหน้าที่ชุมชน กล่าวคือวัตถุประสงค์ของการพูด ได้แก่ การพูดเพื่อการบอกเล่า การพูดเพื่อความบันเทิงและการพูดเพื่อการจูงใจ
การพูดจูงใจ จึงเป็นศิลปะในการพูดที่ต้องอาศัยการฝึกฝน การศึกษา และดูแบบอย่างของนักพูดที่สามารถพูดจูงใจคนได้
ก่อนที่เราจะศึกษาหรือเรียนรู้การพูดจูงใจ เราควรศึกษาธรรมชาติหรือความต้องการของคนก่อน เนื่องจากคนทุกคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าเราพูดจูงใจเด็ก กับพูดจูงใจผู้ใหญ่ เราอาจจะมีวิธีการพูดที่แตกต่างกัน หรือ ถ้าเราพูดให้ผู้ฟังในกลุ่มอาชีพต่างๆฟัง เราอาจจะต้องมีวิธีในการพูดจูงใจที่แตกต่างกัน เช่น พูดให้ชาวนาฟัง กับพูดให้นักวิชาการฟัง ฯลฯ
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องความต้องการของมนุษย์หรือคนเรา กระผมคิดว่า คนเรามีความต้องการในเรื่องใหญ่ๆ ที่คล้ายกันกล่าวคือ เรื่องของ กิน กาม และเกียรติ
- กิน คนเราเมื่อเกิดมาเป็นคนหรือมนุษย์จะต้องมีการบริโภคหรือการกิน ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารประเภทต่างๆ การดื่มกินน้ำประเภทต่างๆ
- กาม คนเราเกิดมาแล้ว ตามสัญชาตญาณของการสืบพันธุ์ ก็ต้องมีเรื่องของเพศสัมพันธ์
- เกียรติ คนเราเกิดมา ก็อยากจะมีชื่อเสียง อำนาจ ความดัง ความมีหน้าตาในสังคม
ดังนั้น คนเราหรือมนุษย์เรา จึงได้แสวงหาเรื่องของการ กิน กาม และเกียรติ กันด้วยความกระเสือกกระสนดิ้นรน (ทั้งนี้ผู้เขียนขอใช้คำว่า คนเราหรือมนุษย์เราส่วนใหญ่ จึงไม่ได้หมายถึงทุกคน)
เมื่อเราศึกษาธรรมชาติความต้องการของคนเราหรือมนุษย์เราแล้ว ที่นี้ ในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เทคนิคในการพูดจูงใจคน เราจำเป็นจะต้องศึกษา เรียนรู้เช่นกัน กล่าวคือ ในการพูดจูงใจให้คนคล้ายตามเรานั้น
- ผู้พูดจำเป็นจะต้องพูดด้วยอารมณ์ กล่าวคือ เมื่อต้องการให้ผู้ฟังเศร้า ผู้พูดจะต้องมีอารมณ์เศร้าก่อนอีกทั้งต้องแสดงอารมณ์ผ่านทางใบหน้า น้ำเสียง ท่าทาง เพื่อจูงใจให้ผู้ฟังมีอารมณ์เศร้าด้วย หรือ ต้องการพูดให้ผู้ฟังมีอารมณ์เกลียดชัง ผู้พูดต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชัง ผ่านทางภาษาพูดและภาษากายต่างๆของผู้พูด เพื่อส่งความรู้สึกอารมณ์ดังกล่าวไปยังผู้ฟัง เป็นต้น
- ผู้พูดจะต้องพูดด้วยความจริงใจ จากใจ ยิ่งพูดมาจากก้นบึ้งของหัวใจได้ยิ่งดี การที่จะพูดให้คนคล้ายตามหรือจูงใจคนได้นั้น ผู้พูดจะต้องพูดด้วยความจริงใจก่อน ซึ่งความจริงใจ ผู้ฟังสามารถสัมผัสได้ผ่านการแสดงอาการต่างๆของผู้พูด ไม่ว่าจะเป็นทางสายตา น้ำเสียง ท่าทาง กล่าวคือ ถ้าต้องการให้ผู้ฟังเกิดความศรัทธาในสิ่งใด ผู้พูดเองต้องมีความศรัธทาในสิ่งนั้นก่อน ถ้าผู้พูดไม่เชื่อถือไม่ศรัธทาก่อน ก็คงยากที่จะพูดให้ผู้ฟังเกิดความศรัธทาในสิ่งนั้นด้วย
- ผู้พูดจะต้องพูดถึงเรื่องของผลประโยชน์ของผู้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินเดือนเพิ่ม โบนัสเพิ่ม ได้บุญเพิ่ม ได้กุศลเพิ่ม ได้โลห์ ได้ชื่อเสียง เกียรติยศต่างๆ ฉะนั้น ผู้พูดสามารถชักจูงใจคนได้ด้วยการพูดถึงเรื่องของผลประโยชน์ เช่น หากต้องการได้เงินเดือนเพิ่ม โบนัสเพิ่ม ท่าน(ผู้ฟัง)จะต้องขยันทำงานขึ้น
ดังนั้น คนที่ต้องการพูดจูงใจเป็น จำเป็นจะต้องเรียนรู้ จากการอ่านมาก การฟังมาก การศึกษาดูแบบอย่างมากๆ เช่น หากท่านต้องการเป็นนักพูดจูงใจทางด้านการเมืองกล่าวคือ ต้องการพูดให้คนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ท่าน ท่านก็ควรตามไปฟังนักพูดทางการเมืองหรือศึกษาจาก เทป วีซีดี ดีวีดี รวมทั้งการดูการถ่ายทอดการหาเสียง การอภิปรายทางโทรทัศน์ ดูแล้วต้องวิเคราะห์ว่าทำไม นักการเมืองคนนี้พูดแล้วคนเชื่อ ทำไมนักการเมืองคนนี้พูดแล้วคนไม่เชื่อ อีกทั้งต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังด้วย






...
  
การวิเคราะห์ผู้ฟัง
การวิเคราะห์ผู้ฟัง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
จำนวนหรือขนาดผู้ฟัง เพศ วัย ระดับอายุ ศาสนา ความเชื่อ อาชีพ การศึกษา ของผู้ฟัง เป็นสิ่งที่ควรใช้วิเคราะห์เพื่อสร้างความสนใจในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะปัจจัยต่างๆ ขั้นตอนเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
- จำนวนหรือขนาดของผู้ฟัง นักพูดที่ดีต้องมีข้อมูลพอสมควรว่า ในวันที่จะเดินทางไปพูดมีผู้ฟัง
ประมาณกี่คน เป็นกลุ่มผู้ฟังขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก มีพื้นที่หรือสถานที่พอเพียงหรือไม่ในการบรรจุผู้ฟัง เพราะขนาดผู้ฟังกับสถานที่ มีความสัมพันธ์กัน ในการเตรียมการพูด เช่น พูดที่ท้องสนามหลวง มีผู้ฟังมากมาย หรือบางกรณีอาจมีผู้ฟังไม่กี่คนในท้องสนามหลวง วิธีการพูด รูปแบบการพูด เครื่องมือที่ช่วย ก็ต้องมีความแตกต่างกันไป เพราะการพูดที่มีผู้ฟังนั่งชิดกัน เบียดกัน ในห้องประชุม จะทำให้ผู้ฟังมีส่วนร่วม มีอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่า การพูดที่มีผู้ฟังบางตา มีจำนวนไม่มาก ในขณะที่มีสถานที่กว้างขวาง
- เพศของผู้ฟัง เพศหญิงมักชอบ ความสวยงาม การแต่งตัว การทำความสะอาดดูแลบ้าน การเข้าสังคม
ส่วนผู้ฟังเพศชายมักชอบ เรื่อง การเมือง การเล่นกีฬา การต่อสู้ รถยนต์เครื่องยนต์ โดยมากผู้หญิงมักมีความอ่อนไหวกว่าผู้ชาย การพูดจูงใจด้วยคำพูดที่สุภาพ อ่อนหวาน ไพเราะ มักจะชักจูงโน้มน้าวผู้หญิงได้ง่ายกว่าผู้ชาย อีกทั้งการพูดกับผู้ฟังที่มีลักษณะ ชายล้วน หญิงล้วน แบบกลุ่มผู้ฟังผสมผสานทั้งเพศชาย เพศหญิง จึงต้องมีวิธีการพูดที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ คำพูด ภาษา เนื้อหาที่แตกต่างกันออกไป
- วัยหรือระดับอายุ มีความสำคัญมากเพราะคนที่มีอายุหรือวัยมากกว่า ย่อมมีประสบการณ์ใน
ชีวิตมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า เช่น
วัยเด็ก มีลักษณะชอบความสนุกสนาน ซุกซน ไม่อยู่นิ่ง ไม่สามารถทนฟังเรื่องต่างๆได้นาน เบื่อง่าย และการพูดต้องใช้น้ำเสียง จินตนาการในการพูดมากกว่าวัยอื่นๆ เราลองสังเกตว่าเด็กมักชอบฟังนิทาน ผู้เล่านิทานมักใช้น้ำเสียง จินตนาการในการเล่า
วัยรุ่น มักต้องการเป็นที่ยอมรับ ชอบความตื่นเต้น โลดโผน อยากทดลองสิ่งใหม่ๆ แปลกๆ ฉะนั้นผู้พูด ควรหาเรื่องใหม่ๆ แปลกๆ ในการนำเสนอก็จะสามารถดึงดูดความสนใจในการพูดได้
วัยชรา เป็นวัยที่มีประสบการณ์ชีวิตมาก มีลักษณะอนุรักษ์นิยม ยึดถือสิ่งที่เป็นที่พึ่งพาทางใจ ชอบเรื่องศาสนา เข้าวัด ฟังธรรม เป็นห่วงลูกหลาน
- ศาสนาและความเชื่อ ผู้พูดควรระมัดระวัง ควรศึกษาความเชื่อความศรัทธาของแต่ละศาสนา
ไว้บ้าง เพราะ ศาสนา เชื้อชาติ ความเชื่อ เป็นสิ่งที่คนเรายึดถือมาช้านาน การพูดโดยไม่คิด บางครั้งอาจเป็นเรื่องสนุกๆ แต่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟังและผู้พูดได้
- อาชีพ ทุกอาชีพมีความแตกต่างกัน มีความสนใจที่แตกต่างกันไป เช่นพูดให้ชาวนาก็พูดเรื่องที่
แตกต่างกันกับนักธุรกิจกิจหรือคนรับราชการ อาจพูดเรื่อง กระดูกสันหลังของชาติ ซึ่งทำให้ชาวนาเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพทำนา หรือพูดกับ นักธุรกิจก็ควรพูดเรื่อง เศรษฐกิจ การค้าขาย การบริหาร การจัดการ
ดังนั้น นักพูดที่ดีต้องสร้างโครงเรื่องให้สอดคล้องกับความสนใจของอาชีพผู้ฟังก็จะทำให้ผู้ฟังเกิดความชอบความศรัทธา ในตัวผู้พูด
- การศึกษา ถ้าไปพูดให้กลุ่มผู้ฟังที่มีการศึกษาน้อย ควรพูดเรื่องง่ายๆ แต่ถ้าไปพูดให้กลุ่มที่มี
การศึกษาสูง เราก็ควรพูดในแนวลึกมากกว่าแนวกว้าง พูดเน้นหนักวิชาการ บางครั้งอาจจะต้องพูดศัพท์ภาษาอังกฤษ บ้างเพราะคำบางคำ แปลเป็นภาษาไทย ความหมายอาจจะผิดได้ การพูดต้องมีเหตุผล มีหลักฐานอ้างอิง
สรุปว่า การพูดที่ประสบความสำเร็จ นักพูดหรือผู้พูด จะละเลย การวิเคราะห์ผู้ฟังไม่ได้ เพราะผู้พูด เป็นปัจจัยหลักเลยก็ว่าได้ ที่จะประเมินว่าการพูดในครั้งนั้นๆ ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จงพูดในสิ่งที่ผู้ฟังพอใจ จงพูดในสิ่งที่ผู้ฟังอยากฟังและจงพูดในสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้ฟัง แล้วท่านจะเป็นนักพูดหรือผู้พูดที่อยู่ในหัวใจของผู้ฟัง
...
  
ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การเป็นนักพูดที่ดีนั้น ควรพูดให้ได้ทั้งเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งมีอารมณ์ขันหรือความบันเทิง สอดแทรกในการพูดแต่ละครั้ง เนื่องจากสังคมไทยเรา หนีไม่พ้นความบันเทิง เพราะสังคมไทยเราชอบความสนุกสนาน ดังเราจะสังเกตเห็นว่า นักพูดที่พูดในเชิงวิชาการอย่างเดียว ไม่สอดแทรกความบันเทิงหรืออารมณ์ขันเลย มักไม่เป็นที่นิยมเท่ากับ บรรดานักพูดที่พูดเนื้อหาสาระแล้วมีการสอดแทรกความบันเทิงหรืออารมณ์ขันลงไปด้วย
ดังนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดในสังคมไทยเรา ท่านควรพูดให้ได้ทั้งเนื้อหาในด้านหลักวิชา มีทฤษฏี มีการอ้างอิง มีเหตุผล มีทัศนะ ความเชื่อ มีปฏิภาณตอบโต้ปัญหาต่างๆ มีตลกขบขัน อีกทั้งพูดด้วยความเชื่อมั่นและมั่นใจ หากท่านสามารถพูดได้ดังนี้ จะทำให้ท่านเป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากผู้ฟัง
มีคนเคยถามกระผมว่า แล้วถ้าถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะพูดเนื้อหาสาระกี่เปอร์เซ็นต์ ความบันเทิงกี่เปอร์เซ็นต์ กระผมขอตอบว่า เราคงต้องดูปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น ดูบรรยากาศของงาน ดูการศึกษาของผู้ฟัง ดูว่าเจ้าภาพต้องการให้เราพูดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ฯลฯ
หากเจ้าภาพเชิญให้ไปพูดทอล์คโชว์ แน่นอนว่า การพูดครั้งนั้น ต้องพูดโดยมีเนื้อหาความบันเทิงอย่างเดียว สำหรับสาระคงไม่ต้องมีมาก หรือบางแห่ง ถึงกับบอกเลยว่า เราไม่ต้องการสาระ ขอบันเทิงอย่างเดียวพอ กล่าวคือ ต้องพูดให้คนหัวเราะให้ได้ตลอดงาน ( ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากผู้ฟังมีความหลากหลาย )
แต่ถ้าหากถูกเชิญให้ไปพูดบรรยายในเชิงวิชาการ การอบรมต่างๆ เราก็ควรพูดในเชิงวิชาการให้มากขึ้น สำหรับอารมณ์ขัน ก็ควรมีอยู่บ้าง สำหรับสังคมไทยเรา มักชอบฟังคนพูดแล้วคนหัวเราะ มากกว่า ฟังการพูดแล้วคนเครียด
ฉะนั้น นักพูดที่ดีจึงต้องพูดให้ได้ทั้งเนื้อหาสาระและบันเทิง สำหรับเทคนิคการหาข้อมูลในเรื่องความบันเทิง นักพูดควรขยันสรรหาตัวอย่างต่างๆให้มากๆ ไม่ว่าจะได้จากสิ่งต่างๆ รอบตัว ต้องหมั่นจดจำ ต้องเป็นนักบันทึก ต้องเป็นนักเลียนแบบและพัฒนาตนเอง หมั่นหามุข หรือตัวอย่างสนุกๆ เพราะการยกตัวอย่างสนุกๆ เป็นเครื่องมือในการใช้ประกอบการพูดได้มาก
การยกตัวอย่างสนุกๆ ทำให้เราขยายเวลาหรือเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มเวลาในการพูดได้มากขึ้น เช่น หากมีเวลาเหลืออีก 1 ชั่วโมง เนื้อหาที่เตรียมไปหมดแล้ว เราก็สามารถเพิ่มตัวอย่างที่สนุกๆ ไปได้อีก แต่หากเวลาเกิน เราก็สามารถตัดตัวอย่างที่สนุกๆ ที่เตรียมไว้ทิ้งเสีย
สำหรับยุคปัจจุบัน การหาข้อมูลตัวอย่างที่สนุกๆ หาได้ไม่ยากเหมือนในอดีต เนื่องจากยุคปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมของ ข้อมูลข่าวสาร เรามีระบบอินเตอร์เน็ต เราจึงสามารถหาข้อมูลได้ง่ายและมากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าการหาใน GOOGLE , YOUTUBE ฯลฯ จึงทำให้เกิดนักพูดหน้าใหม่ๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งในยุคปัจจุบันมีการกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่กล้าแสดงออกกว่าในอดีต เนื่องจาก มีการแข่งขันรายการต่างๆ มากมาย โดยมีถ้วยรางวัล มีโล่ห์ มีเงิน อีกทั้งได้ออกสื่อต่างๆ ทำให้เป็นที่รู้จักกับผู้คนมากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงของนักพูดหน้าใหม่หรือนักพูดรุ่นใหม่ กล่าวคือ เรื่องของกาลเทศะ คำบางคำหรือคำบางประโยค นักพูดรุ่นอาวุโสสามารถพูดได้ แต่นักพูดรุ่นใหม่พูดไม่ได้ เนื่องจากสังคมไทยเรายังถือเรื่องอาวุโส
ฉะนั้น การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การที่จะเป็นนักพูดที่ดีได้ ต้องไม่หยุดนิ่ง เพราะการพูดในยุคปัจจุบัน กระผมถือว่าเป็นวิชาชีพหนึ่งก็ว่าได้ เป็นวิชาชีพที่ต้องมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องความคิด ความรู้ ข้อมูล แนวการนำเสนอในการพูดแต่ละครั้ง เราต้องหาเพิ่มเติมตลอดเวลา จะมากินบุญเก่าหรือใช้ความรู้เก่าๆ วิธีการนำเสนอแบบเก่าๆ คงไม่มีใครอยากที่จะฟัง ดังนั้น นักพูดในยุคใหม่จึงต้องมีเครื่องมือต่างๆ ช่วย เพื่อให้การพูดแต่ละครั้งเกิดความแตกต่างกับนักพูดหรือวิทยากร ท่านอื่นๆ เช่น ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ , ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ,ใช้ระบบการเรียนรู้หรือสร้างบรรยากาศที่ทันสมัยเพื่อให้ผู้เรียนหรือผู้ฟังอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ของนักพูดหรือวิทยากร
ลิ้นเพียงสามนิ้ว ขงเบ้งยกเมืองให้เล่าปี่ได้









...
  
วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชนในยุคปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ด้วยกันกล่าวคือ การฝึกการพูดแบบในระบบ กับ การฝึกพูดด้วยตนเอง
1.การฝึกการพูดแบบในระบบ หมายถึง การฝึกการพูดที่มีรูปแบบการฝึกที่เป็นระบบ มีขั้นมีตอน มีผู้ฟังหรือผู้เข้ารับการอบรมนั่งฟัง โดยมากในยุคปัจจุบัน มักมี หน่วยงาน องค์กร ชมรม สโมสร สถาบัน มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำหน้าที่สอนและมีการฝึกปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่นิยมกัน
2.การฝึกการพูดด้วยตนเอง หมายถึง การฝึกพูดด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการอ่านศึกษาค้นคว้าจากตำราหนังสือการพูด การสังเกต การตามฟังนักพูดที่มีชื่อเสียงพูด ซึ่งการฝึกพูดลักษณะนี้ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ต้องลองผิดลองถูกอยู่บ่อยๆ
ในบทความนี้ กระผมขอแนะนำการฝึกการพูดด้วยตนเอง.... ซึ่งมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกการพูดด้วยตนเองดังนี้
1.จงเป็นนักอ่าน.... ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ท่านสามารถหาหนังสือ ตำรา บทความดีๆเกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด ในอินเตอร์เน็ต จงอ่านข้อแนะนำการพูดต่อหน้าที่ชุมชนในหนังสือต่างๆ และจงฝึกปฏิบัติด้วยตนเองอย่างตั้งใจ อดทน สม่ำเสมอ ก็จะทำให้ท่านสามารถพัฒนาการพูดของท่านได้
2.จงเป็นนักฟัง....จงหาแบบอย่างหรือนักพูดที่ท่านชอบหรือศรัทธา แล้วติดตามไปฟังการพูดของท่านเหล่านั้นให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ แล้วลองสังเกต รูปแบบการพูด ท่าทาง น้ำเสียง กริยาต่างๆของนักพูดท่านนั้น แล้วลองมาปรับใช้กับตนเอง
3.จงใช้เครื่องบันทึกเสียง ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ในยุคปัจจุบัน เรามีเครื่องบันทึกเสียงในรูปแบบต่างๆ เช่น เทป MP3 MP4 เครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ ท่านสามารถนำเอาไปบันทึกเสียงหรือภาพนักพูดที่ท่านชื่นชอบให้มากที่สุดแล้วนำมาเปิดฟังซ้ำอีกหลายรอบ เพื่อวิเคราะห์การพูดของนักพูดท่านนั้น อีกทั้งท่านควรบันทึกเสียงหรือภาพการพูดของตัวท่านเอง เพื่อนำมาเปิดแล้วลองดูสิ่งที่ต้องแก้ไขปรับปรุงการพูดของท่านแต่ละครั้ง
4.จงฝึกการพูดด้วยตนเอง หาที่เงียบๆ แล้วลองฝึกการพูดของท่าน อาจจะฝึกต่อหน้ากระจก หรือฝึกระหว่างการเดินทางไปในที่ต่างๆ ด้วยตนเอง ดังเช่น นักพูดหลายท่านทำกัน เช่น ลิงคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฝึกพูดบนหลังม้าระหว่างเดินทางไกล เดล คาร์เนกี อาจารย์ด้านการพูดชื่อดังของโลก เคยหัดการพูดด้วยตนเองระหว่างทำสวน เด็ดหญ้า อาจารย์จตุพล ชมพูนิช คิง ออฟสปีค ของเมืองไทย เคยฝึกการพูดด้วยตนเอง ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ฝึกพูดจากปากซอยถึงท้ายซอย การฝึกวิธีนี้ควร ทำท่าทางประกอบด้วย ไม่ต้องกระดากอาย การฝึกการพูดในรูปแบบนี้ มีประโยชน์หลายอย่าง... เป็นการฝึกลำดับความคิด เป็นการฝึกพูดให้คล่องปาก ทำให้ไม่ติดขัดเมื่อถึงเวลาต้องไปพูดบทเวทีจริงๆ
5.จงฝึกเขียนประกอบการพูด ก่อนที่ท่านจะไปพูดจริง ท่านควรหัดเขียน โครงเรื่องว่า ท่านจะขึ้นต้นอย่างไร เนื้อเรื่องมีอะไรบ้างและสรุปจบจะลงท้ายว่าอย่างไร แล้วจึงฝึกพูดหรือฝึกอ่าน หลายๆรอบ จนกระทั่งเมื่อถึงเวลานำไปแสดงท่านไม่ควรใช้หรือดูบันทึกนั้น
6.จงฝึกพูดจากง่ายไปหายาก เช่น ฝึกพูดคำพังเพย การฝึกพูดจากสิ่งของที่เป็นรูปธรรมแล้วจึงมาฝึกการพูดจากสิ่งของที่เป็นนามธรรม ฯลฯ
7.จงหาเวทีแสดงการพูด ข้อสุดท้ายนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุด หากท่านปฏิบัติตามทั้ง 6 ข้อ ข้างต้นแล้ว แต่ถ้าท่านขาดในข้อที่ 7 นี้ กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดเลย เพราะฉะนั้น การมีเวทีการพูดต่อหน้าผู้ฟังจริง จึงมีความสำคัญมาก ยิ่งท่านมีเวทีแสดงการพูดมากเพียงใด ท่านก็เข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นนักพูดของท่านมากขึ้นทุกขณะ จงหาโอกาสต่างๆ ในการพูด
ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นข้อแนะนำการฝึกการพูดด้วยตนเอง สำหรับท่านผู้ฟังที่ขาดโอกาสในการฝึกการพูดในระบบ ท่านก็สามารถประสบความสำเร็จได้โดยคำแนะนำข้างต้นนี้ เพียงแต่ท่านต้องมีความตั้งใจจริง มีความอดทน มีความรักและมีความฝันเป็นสำคัญ
...
  
ครบเครื่องนักพูด
ครบเครื่องนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การจะเป็นนักพูดหรือมีอาชีพทางด้านการพูด เราจำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองเสมอ โดยเฉพาะการพัฒนาตนเองให้มีความหลากหลายในการนำเสนอ เช่น จะต้องมีการสอดแทรกคำคม สอดแทรกอารมณ์ขัน สอดแทรกสาระที่เป็นประโยชน์ สอดแทรกเกมส์เพื่อการศึกษา สอดแทรกเพลงหรือกิจกรรมให้สอดคล้องกับอารมณ์และบรรยากาศของผู้ฟัง ฯลฯ
นักพูดกับคำคม นักพูดหรือคนที่จะประกอบอาชีพทางด้านการพูดมีความจำเป็นจะต้องเก็บสะสมคำคมและข้อมูล จากแหล่งต่างๆ พร้อมทั้งจดแหล่งที่มา หากได้อ่านหรือได้ฟังก็พยายามจดบันทึกว่าเป็นคำพูดของใคร ใครกล่าวประโยคนี้ พระพุทธองค์กล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พระบรมราโชวาท หรือนักปราชญ์ผู้ใดเป็นผู้กล่าวคำคม เหล่านี้ เพราะ การพูดคำคมหรือการอ้างอิงคำพูดของคนมีอิทธิพลหรือมีชื่อเสียง จะทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ เกิดความน่าเชื่อถือและเกิดความยอมรับในเหตุผลของผู้พูดมากยิ่งขึ้น
นักพูดกับเพลง นักพูดหรือคนที่มีอาชีพทางด้านการพูด ควรหัดร้องเพลงบ้าง เพราะ ในบางกรณี เราสามารถนำบทเพลงมาใช้ในการบรรยายหรือการพูด เพื่อสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน ไม่ตึงเครียดในการฟัง การใช้เพลงประกอบการพูดจะทำให้ผู้ฟังเกิดการมีส่วนร่วม ไม่เบื่อหน่าย ฉะนั้นนักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูดควรเตรียมเพลงหรือหาเพลงที่เกี่ยวข้องกับการบรรยายหรือเกี่ยวข้องสถานการณ์ มาใช้เพื่อประกอบการพูด
นักพูดกับคำกลอน นักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูด ควรหากลอนมาประกอบการพูด
เพื่อให้เกิดความหลากหลายในการบรรยาย หาก แต่งเองไม่ได้หรือไม่สามารถแต่งกลอนเองได้ ควรหากลอนจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการพูด และควรอ้างอิงแหล่งที่มาว่าใครประพันธ์หรือแต่ง เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ประพันธ์ด้วย
นักพูดกับเกมส์เพื่อการศึกษา นักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูด ควรหาเกมส์เพื่อการศึกษามาประกอบการบรรยายหรือการอบรม เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เกมส์เพื่อการศึกษาจะช่วยให้การบรรยายในเชิงวิชาการเข้าใจง่ายขึ้น เนื่องจากเกมส์ส่วนใหญ่ ผู้อบรมหรือผู้เล่นจะต้องเล่นร่วมกัน ใช้เวลาในการคิด วิเคราะห์ ผู้อบรมหรือผู้เล่น จะมีส่วนร่วมมากกว่าการนั่งฟังแต่วิชาการอย่างเดียว
นักพูดกับอารมณ์ขัน นักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูดที่ดี ควรมีอารมณ์ขันสอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาเพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ที่สนุกสนาน โดยส่วนใหญ่ผู้ฟังคนไทยหรือธรรมชาติของคนไทยเรามักชอบเรื่องที่สนุกสนาน ตลก คนไทยเราชอบหัวเราะ มากกว่าจะชอบฟังอะไรที่มันเครียดๆ จริงจัง
นักพูดกับเนื้อหาสาระ นักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูด เวลาพูดทุกครั้งควร สอดแทรกสาระที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง เพื่อผู้ฟังจะได้เกิดปัญญา และนำสิ่งที่ฟังไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น นักพูดจะต้องเป็นนักอ่านเพื่อให้ตนเองเกิดปัญญาแล้ว จึงจะสามารถไปบรรยายหรือไปสอนผู้ฟังให้มีปัญญาขึ้นมาได้
นักพูดกับเวทีพูด นักพูดหรือคนที่ประกอบอาชีพทางด้านการพูด จำเป็นจะต้องแสวงหาเวทีในการพูด ยิ่งเป็นนักพูดหน้าใหม่ยิ่งต้องแสวงหาเวทีในการพูดจากเวทีต่างๆ เมื่อพูดดี หรือ เมื่อมีผู้ฟังติดใจ ฟังแล้วเกิดความประทับใจ คนก็มักจะบอกต่อ จะทำให้เวทีการพูดมากขึ้น ดังนั้น นักพูดหน้าใหม่ควร หาเวทีในการพูดให้มาก เนื่องจากโอกาสมักจะมีสำหรับผู้แสวงหาโอกาสเสมอ
สรุป คนที่จะเป็นนักพูดหรือคนประกอบอาชีพทางด้านการพูด จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองให้เกิดความสามารถที่หลากหลาย ต้องนำเกมส์เพื่อการศึกษาได้ ต้องร้องเพลงได้เพราะบางครั้งจำเป็นจะต้องนำมาใช้ ต้องเป็นนักสะสมข้อมูล นักจดบันทึก เช่น จดคำคม คำกลอน สุภาษิตต่างๆ ทั้งภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ในการพูดในอนาคต
สำหรับการฝึกการพูดโดยเฉพาะ การฝึกการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ก็เหมือนกับการฝึกถีบรถจักรยาน มันอาจจะมีอุบัติเหตุบ้าง เจ็บบ้าง ล้มบ้าง สำหรับคนที่ถีบจักรยานไม่เป็นอาจจะรู้สึกยากลำบาก การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชนก็เช่นกัน ดังนั้นต้องอดทน ต้องฝึกฝน ต้องพยายาม จึงจะสามารถเป็นยอดนักพูดที่ผู้ฟังชื่นชมและชื่นชอบได้






...
  
การพูดที่ล้มเหลว
การพูดที่ล้มเหลว
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดที่ล้มเหลว มักเป็นการพูดที่ผู้พูดพูดกับผู้ฟังโดยผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกสับสน ผู้ฟังฟังแล้วจับใจความไม่ได้ว่าผู้พูดต้องการสื่อสารอะไรกับผู้ฟัง เป็นการพูดที่ผู้ฟังฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ซึ่งสาเหตุของการพูดที่ล้มเหลว มีหลายสาเหตุ เช่น
1.ขาดการเตรียมการพูด การเตรียมการพูดมีความสำคัญมากต่อการพูดแต่ละครั้ง โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หากขาดการเตรียมตัวจะทำให้ผู้พูดขาดความมั่นใจ ขาดข้อมูลในการพูด ขาดเนื้อหาที่จะนำไปใช้ในการพูด ขาดการอ้างอิง ขาดการลำดับเหตุการณ์ ขั้นตอนของเรื่องที่พูด
2.ขาดเป้าหมายในการพูด การพูดหากขาดเป้าหมาย ขาดวัตถุประสงค์ในการพูด จะทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ เพราะผู้พูดจะพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าการพูดครั้งนั้นๆ ต้องการบอกอะไรกับผู้ฟัง เช่น ต้องการจูงใจให้ผู้ฟังเลิกสูบบุหรี่ ต้องการพูดขำขันหรือทอล์คโชว์ให้แก่ผู้ฟัง หรือ ต้องการบอกเล่าประสบการณ์ของผู้พูดเป็นต้น
3.ขาดการสอดใส่อารมณ์ การพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ เบา ราบเรียบ จะทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ทั้งทำให้บรรยากาศในการฟัง ชวนให้ง่วงนอนมากยิ่งขึ้น การพูดที่สอดใส่อารมณ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดต้องนำไปปรับปรุงพัฒนา ควรฝึกการพูดให้มีจังหวะจะโคน จงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ราบเรียบ โดยให้มีน้ำเสียงดัง เบา หยุด เน้น ย้ำ ตามเนื้อเรื่องที่พูด
4.ขาดความชัดเจนในการพูด การพูดที่พูดผิดพูดถูก ขาดความชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ ภาษา คำควบกล้ำ หากขาดความชัดเจนจะทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ท่านควรหาโอกาสฝึกฝนตนเอง โดย การอ่านหนังสือออกเสียง อีกทั้งควรหาเทปหรือ MP3 มาอัดเสียงของตนเองเพื่อฟังแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
5.ขาดการวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดเก่งไม่ได้หมายความว่าผู้พูดเอาแต่พูดโดยไม่สนใจผู้ฟัง แต่คนที่ต้องการเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จ ผู้พูดคนนั้นจะต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง สนใจผู้ฟัง วิเคราะห์ว่าผู้ฟังเป็นคนวัยไหน ผู้ฟังมีอาชีพอะไรผู้ฟังมีความต้องการอะไร ผู้ฟังคุยกันระหว่างการพูดหรือไม่ ผู้ฟังขาดความสนใจในการพูดเพราะเหตุใด
6.ขาดการทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มีผู้พูดจำนวนมากมักทำเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยากๆ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการ มักใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมายในการพูด อีกทั้งยังเป็นคำศัพท์เฉพาะกลุ่ม ทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่เข้าใจในการฟัง แต่ทำให้ผู้พูดบางท่านเข้าใจผิดคิดว่า ตนเป็นคนมีภูมิรู้มากมาย ฉะนั้นหากต้องการประสบความสำเร็จจงทำเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ และสนุก
7.ขาดความรู้ในเชิงลึกในเรื่องที่พูด การพูดหากว่าผู้พูดรู้ไม่ลึกพอ หรือไม่รู้จักหาข้อมูล มาศึกษาเพิ่มเติม รู้แค่เปลือกนอก เมื่อผู้ฟังถามคำถาม หากผู้พูดตอบไม่ได้ก็จะทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธาและขาดความเชื่อถือได้ ฉะนั้น ก่อนจะไปพูดแต่ละครั้งควรเตรียมข้อมูล ควรศึกษาเรื่องดังกล่าวให้รู้ลึก รู้จริง ก่อนไปพูด เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูล ข่าวสาร ยุคของความรู้ ท่านสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆมากมาย
8.ขาดความเป็นธรรมชาติ การพูดที่เกร็งไม่เป็นปกติหรือเป็นธรรมชาติ มักทำให้ผู้ฟังรู้สึกเกร็งไปด้วย ความไม่เป็นปกติของผู้พูดเรามักสังเกตได้จาก ท่าทางที่นิ่งเฉย ไม่มีการแอกชั่น เป็นการพูดที่ขาดซึ่งอารมณ์ ขาดความรู้สึกในการพูด ฉะนั้นควรทำตนให้เป็นปกติหรือธรรมชาติในการพูดจะทำให้การพูดดูเป็นกันเอง ไม่น่าเบื่อหน่าย
ฉะนั้น หากท่านไม่ต้องการให้การพูดของท่านล้มเหลว ท่านควรงดจากการกระทำทั้ง 8 ข้อ ดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งควรปรับเปลี่ยน พัฒนา ให้ตรงกันข้ามกัน เช่น ขาดการเตรียมการพูด ท่านควรเตรียมการพูดให้มากๆ , ขาดเป้าหมายในการพูด ท่านต้องมีเป้าหมายในการพูดทุกครั้ง , ขาดการสอดใส่อารมณ์ ท่านต้องสอดใส่อารมณ์ในการพูดแต่ละครั้ง , ขาดความชัดเจนในการพูด ท่านควรฝึกฝนการพูดในมีความชัดเจนยิ่งขึ้น , ขาดการวิเคราะห์ผู้ฟัง ท่านควรมีการวิเคราะห์ผู้ฟัง , ขาดการทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ท่านต้องรู้จักทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่าย , ขาดความรู้ในเชิงลึกในเรื่องที่พูด ท่านจะต้องศึกษาให้มีความลึกซึ้งในเรื่องที่พูด และขาดความเป็นธรรมชาติ ท่านจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติในการพูดแต่ละครั้ง








...
  
คำพูดประเภทต่างๆ
คำพูดประเภทต่างๆ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คำพูดของคนเรามีหลากหลายประเภท บางคำพูดเมื่อผู้ฟังได้ฟัง ผู้ฟังก็เกิดความรู้สึก ไม่ชอบใจ โกรธเคือง เสียใจ น้อยใจ หมั่นไส้ แต่ บางคำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วผู้ฟังเกิด มีกำลังใจ ดีใจ อยากที่จะฟัง รู้สึกชอบคนพูด ในบทความนี้กระผมขอแจกแจงคำพูดออกเป็นประเภทต่างๆดังนี้
เริ่มจากคำพูดประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง
- คำพูดเหน็บแนม เป็นคำพูดที่มีลักษณะเสียดสี กระทบกระแทก แดกดัน กระแนะกระแหน เช่น
เธอไม่จำเป็นจะต้องมาทำงานก็ได้ เพราะเจ้านายชอบเธอ เธอมาไม่มา เธอก็ได้เงินเดือนขึ้นและได้เลื่อนขั้นอยู่ดีแหละ เป็นต้น
- คำพูดขวานผ่าซาก พูดโผงผาง เป็นคำพูด ที่มีลักษณะใช้น้ำเสียงค่อนข้างดังและน้ำเสียงสูง เป็น
การพูดแบบตรงไปตรงมา แต่จะออกไปในด้านลบ เมื่อผู้ฟังได้ฟังมักไม่ชอบใจ เนื่องจาก คนเราส่วนใหญ่มักอยากที่จะฟังเรื่องดีๆของตนเอง มากกว่าที่จะอยากฟังเรื่องลบๆของตนเอง คนบางคนพูดจา โผงผาง เสียงดัง ก็ยิ่งทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เข้าใจผิดคิดว่า ทะเลาะกัน
- คำพูดโอ้อวด เป็นคำพูดที่มักจะทำให้คนฟังเกิดอาการหมั่นไส้ เพราะจิตใจของคนเราโดยส่วน
ใหญ่แล้วลึกๆ ไม่ชอบให้ใครอยู่เหนือตนหรือมีความอิจฉาขึ้นภายในใจ คำพูดโอ้อวด มีดังนี้ อวดรวย อวดเก่ง อวดฉลาด ฯลฯ
- คำพูดนินทา เป็นคำพูดที่พูดลับหลับ บุคคลที่ 3 ในทางที่ไม่ดี โดยมีลักษณะให้ร้าย ป้ายสี ซึ่ง
อาจเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่เป็นความจริงบ้าง แต่ผู้พูดมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อบุคคลที่ 3 คำพูดประเภทนี้ ควรระวังให้มาก เพราะไม่มีความลับใดๆในโลกนี้ หากสักวันหนึ่งเรื่องที่ตนเองพูดไปเข้าหูบุคคลที่ 3 ก็จะเกิดความขัดแย้งและขุ่นใจกันได้
- คำพูดเท็จหรือคำพูดโกหก เป็นคำพูดที่หลอกหลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อตนเอง หรือให้เข้าใจผิดเพื่อ
เอาตัวรอด เพื่อเอาผลประโยชน์ต่างๆจากผู้ฟัง การที่ผู้พูดพูดเท็จหรือพูดโกหกบ่อยๆ ก็จะทำให้คนขาดความเชื่อถือ คำพูดขาดน้ำหนัก ซึ่งจะเป็นผลร้ายกับเราในระยะยาว ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการใช้คำพูดที่เท็จหรือโกหก ว่า “ เราอาจจะโกหกคนบางคนได้ตลอดเวลา เราอาจจะโกหกคนทุกคน ได้บางเวลา แต่เราจะโกหกคนทุกคน ตลอดเวลาไม่ได้ ”
- คำพูดหยาบหรือคำพูดที่ไม่สุภาพ เป็นคำพูดที่ผู้พูดมักมีฐานจิตหรือการได้รับการอบรมหรือมี
สภาพแวดล้อม ที่ไม่ค่อยดี โดยที่บุคคลในสังคมนั้น พูดจาไม่สุภาพจนเคยชิน เช่น ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ไอ้ควาย พ่อมึงหรือ ฯลฯ
สำหรับคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงนี้ เราสามารถฝึกฝน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ เพราะคำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดที่ผู้ฟัง ฟังแล้ว เกิดความรู้สึก ไม่ชอบ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด ทำลายขวัญกำลังใจ ของผู้ฟัง เพราะธรรมชาติของคนส่วนใหญ่แล้ว มักชอบฟังคำพูดที่ สุภาพ อ่อนหวาน พูดความจริง พูดถ่อมตน ฯลฯ ซึ่งเป็นคำพูดประเภท ที่กระผมกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้
คำพูดประเภทที่ทำให้คนฟังเกิดความประทับใจ
- คำพูดเพื่อให้กำลังใจ เมื่อคนเราเกิดความรู้สึก ท้อแท้ ท้อถอย กับชีวิต บุคคลนั้นก็อยากที่จะฟัง
คำพูดประเภทให้กำลังใจ เพื่อทำให้ตนเองเกิดพลังต่างๆในการขับเคลื่อนชีวิตต่อไป
- คำพูดมีเสน่ห์ เป็นคำพูดที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เช่น “สวัสดีครับ/สวัสดี
ค่ะ” , “ ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ” , “ ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”,” เสียใจด้วยครับ/เสียใจด้วยค่ะ” เป็นต้น
- คำพูดแบบนักการทูต เป็นคำพูดที่สร้างมิตร ลดศัตรู เป็นคำพูดที่ทำให้มีคนอยากคบค้าสมาคม
ด้วย ซึ่งการพูดแบบนักการทูต ต้องอาศัยศิลปะเข้ามาช่วย
- คำพูดเชิงบวก เป็นคำพูดในแง่บวก ซึ่งผู้พูดต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดในแง่บวกก่อน จึงจะทำ
ให้การพูดในเชิงบวกเกิดประสิทธิภาพ
สำหรับการพูดประเภทที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจนี้ ผู้พูดสามารถฝึกฝน ปรับปรุง พัฒนาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เพราะยิ่งผู้พูดสามารถปรับปรุงได้ดีขึ้นเท่าไร ผู้ฟังก็ยิ่งเกิดความรัก เกิดความศรัทธา เกิดความชื่นชอบ เกิดความเชื่อมั่นในตัวของผู้พูดมากยิ่งขึ้น
สรุป คำพูดมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเราเป็นอย่างยิ่ง คนเราหากไม่มีปัญหาทางด้านการพูดหรือมีความพิการพูดไม่ได้ คนเราก็มีความจำเป็นต้องใช้คำพูดในทุกๆวัน ทุกสถานที่ ฉะนั้น คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะเลือกใช้คำพูดประเภทไหน เพราะคำพูดทำให้บุคคลหนึ่งๆประสบความสำเร็จ และ ก็เป็นคำพูดเช่นกันที่ทำให้บุคคลหนึ่งๆ เกิดความล้มเหลวได้
...
  
พูดเหมือนผู้นำ
พูดเหมือนผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บทความนี้ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับการพูดของผู้นำระดับโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่สาธารณะชนหรือการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำมักจะต้องใช้การพูดเพื่อจูงใจให้คนจำนวนมากคล้อยตาม
เช่น JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี , อับราฮัม ลินคอล์น , บารัก โอบามา ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือ Tony Blair (โทนี่ แบลร์) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หรือ - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะบุคคลระดับโลก
หากเรานำเอาคำพูดของบุคคลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูเราจะพบว่า พวกเขามีเทคนิคในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและใช้เทคนิคต่างๆดังนี้
1. มี 3 คำมหัศจรรย์ หรือ มี 3 ประโยคมหัศจรรย์ เช่น
- อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐได้กล่าวในการไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียชีวิตในสงครามกลางเมือง ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ” หรือ “ คุณอาจจะหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา คุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกคนทุกคนตลอดเวลาได้”
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก “ Learn from yesterday, live for today, hope for tomorrow.” “เรียนรู้จากวันวาน ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ มีความหวังกับวันพรุ่งนี้”
2. มีการสอดใส่อารมณ์ต่างๆลงไปในน้ำเสียง เราจะเห็นว่า สุนทรพจน์ของผู้นำระดับโลกมีชีวิตชีวา เพราะเขาสอดใส่อารมณ์ ความรู้สึก ลงไปในน้ำเสียง จึงทำให้ผู้ฟังเกิดความกระตือรือร้น อยากฟัง อีกทั้งมีความซาบซึ้งกินใจ ในเวลาฟังอีกด้วย
3. มีการใช้ วรรคทอง ซึ่งการใช้วรรคทองทำให้ผู้ฟังเกิดการจดจำ
- JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี กล่าววรรคทองในวันรับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้กับท่านได้บ้าง แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติของท่าน ”
- นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย “ถ้าท่านมีเงินหนึ่งรูปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าคุณมีความเห็นหนึ่งความคิดเห็น ฉันมีหนึ่งความคิดเห็นและนำมาแลกกัน เราจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเป็นสองความคิดเห็น”
4.มีการใช้คำอุปมาอุปไมย หรือคำเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นคำที่สั้น กะทัดรัด ซึ่งนิยมพูดกันในชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นคำพูดในเชิงต่อว่าหรือเปรียบเปรย (ทั้งในทางดีและทางร้ายก็ได้) โดยผู้นำจะพูดโดยยกเอาเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นมาเทียบเคียง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพไปตามนั้น มักจะมีคำเชื่อมว่า “ เป็น , เหมือน , เท่า, ราวกับ ” เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยค
5.มีการยกตัวอย่าง ผู้นำที่พูดเก่งมักจะใช้ตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งตัวอย่างนั้นจะต้องสอดคล้องกับเรื่องที่พูด อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ผู้นำหลายคนมักใช้ตัวอย่างของตนเองหรือประสบการณ์ของตนเองเป็นตัวอย่าง เช่น ตนพบกับความยากลำบากมากก่อน ตนจึงเข้าใจและเห็นใจ บุคคลที่ยากลำบาก หรือ ตนได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาและเกิดการสูญเสียเพื่อนฝูง ญาตพี่น้อง ตนจึงเข้าใจเรื่องของการสูญเสียและการต่อสู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ที่เป็นผู้นำ หรือ ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรนำเอาเทคนิคทั้ง 5 ข้อข้างต้น ไปใช้หรือไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการพูดของท่านให้เหมือนกับผู้นำ เมื่อท่านพัฒนาการพูดโดยใช้เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้โดยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง กระผมเชื่อว่า การพูดของท่านจะเหมือนกับผู้นำระดับโลก และท่านจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพูดแบบผู้นำ
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.