หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
  -  จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
  -  ปาก
  -  การแต่งตัวกับนักพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  บุคลิกภาพของนักพูด
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  ยอวาที
  -  การพูดต่อที่ชุมชน
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  การปิดฉากการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  การพูดที่ล้มเหลว
  -  จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  พูดอย่างฉลาด
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  จงระวังความเคยชินในการพูด
  -  ภาษากายกับการพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การออกเสียงและการพัฒนาพลังเสียงในการพูด
  -  คำพูดประเภทต่างๆ
  -  การพูดเพื่อให้สัมภาษณ์
  -  ศิลปะการพัฒนาการพูด
  -  การพูดหาเสียงเลือกตั้ง
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  สุนทรพจน์ในการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  จังหวะในการพูด
  -  การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
  -  พูดให้ถูกสถานการณ์
  -  พูดอย่างไรให้ขายได้
  -  การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
  -  วิธีฝึกการพูดของ หลวงวิจิตรวาทการ
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  โฆษกกับการพูดที่ดี
  -  การนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  การใช้โน๊ตย่อในการพูด
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การอ่านใจคนจากภาษากาย
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ผมเห็นคนที่ถูกเชิญขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายคน อยู่ในอาการประหม่า บางคนสั่น บางคนพูดเสียงเบาเพราะความไม่มั่นใจหรือเชื่อมั่นในการพูดของตนเอง ในวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าการที่เราไม่มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนเนื่องมาจากสาเหตุอะไร ผมเคยถามคำถามนี้กับผู้ที่เข้ารับการอบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนโดยที่กระผมเป็นวิทยากร คำตอบที่มักจะได้รับก็คือ การไม่รู้จะพูดอะไรเนื่องจากไม่มีข้อมูลหรือไม่ได้เตรียมการพูดมา บางคนบอกว่า ไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน บางคนบอกว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี ฯลฯ

สรุปแล้วคือผู้อบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายท่าน อ้างสิ่งต่างๆนานา หรือคิดไปต่างๆนานา แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนได้ โดยการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ

1.บางคนอ้างว่าไม่ได้เตรียมตัวมาหรือไม่รู้จะพูดอะไร เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือ เราต้องเตรียมการพูดให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่อง การใช้ถ้อยคำ การหาข้อมูล การวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นกลุ่มไหนมาฟัง เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นวัยทำงานหรือเป็นวัยชรา เพื่อเราจะเลือกใช้ภาษาถ้อยคำให้ถูกกับวัยของผู้ฟังหรือ ตัวอย่างของเรื่องให้สอดคล้องกับวัยของผู้ฟัง รวมไปถึงเวลาในการพูด ถ้าพูดช่วงเช้า กับช่วงบ่าย ก็ต้องใช้กลยุทธ์ในการพูดที่แตกต่างกัน เนื่องจากช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่นักพูดมักพูดว่า เป็นช่วง “ ปราบเซียน ” จึงต้องพูดให้มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา เนื่องจากคนกินอาหารอิ่ม ง่วง ถ้าขืนไปพูดเสียงเบา ไม่เร้าใจ ผู้ฟังก็อาจหลับกันหมด
2.บางคนอ้างว่าไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เมื่อรู้เช่นนี้ ว่าเราไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟัง กระผมขอแนะนำว่า ผู้พูดควรไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย ไปทำไม ไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้ฟัง ชวนผู้ฟังพูดคุยบ้าง ทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคย ก่อนที่จะบรรยายเพื่อให้เกิดการลดอาการประหม่าเนื่องจากการไม่คุ้นเคยหรือกลัวผู้ฟัง สำหรับบางคนกลัวว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เราก็ควรคิดในแง่ดีว่า สิ่งที่เราบรรยาย ผู้ฟังอาจไม่รู้ เพราะความรู้เรื่องหนึ่งๆ มันมีหลายแง่มุม ตอนนี้เราเป็นผู้พูด เรามาพูดแง่มุมของเรา ถ้าผู้ฟังมีความรู้อะไรก็ช่วยเติมเต็มได้

3.บางคนอ้างว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี สำหรับข้อนี้ง่ายมาก เมื่อเรารู้ว่าเราไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ เราก็ควรทำสิ่งที่ตรงข้ามคือ เราต้องหาโอกาสในการฝึกการพูดบ่อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูดในที่ชุมชน

ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน มีความสำคัญมาก เราจะเห็นได้ว่า บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่กล้าพูดหรือพูดด้วยความไม่มั่นใจ ก็ทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่งที่มีองค์ความรู้น้อยกว่า แต่มีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน ทำให้คนๆนั้น เป็นที่ยอมรับและมีคนศรัทธาในคำพูดหรือการพูดของเขา

ฉะนั้น นักพูดที่ดีต้องฝึกความกล้า โดยคิดว่า ความกลัวมักทำให้เสื่อม หรือ ถ้ากลัวสิ่งไหนให้เข้าไปหาสิ่งนั้นแล้วจะทำให้หายกลัว (ถ้ากลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชนท่านก็ต้องเข้าหาแล้วท่านจะหายกลัวในที่สุด)ท้ายนี้ขอฝากคำกลอนที่มีผู้แต่งซึ่งแต่งได้ไพเราะมากซึ่งกระผมไม่ทราบว่าใครแต่งจึงขออนุญาตนำมาปิดท้ายครับ

พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น
อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร
จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน
ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี





...
  
นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ก้อนหินหลายๆก้อนยังรวมกันเป็นภูเขา
น้ำหลายๆหยดยังรวมกันเป็นทะเล
นักพูดที่ฝึกฝนโดยไม่หยุดย่อมสร้างตำนาน

การจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่หรือนักพูดที่เป็นตำนานได้นั้น คน ๆ นั้นจะต้องมีหลักการบางอย่างถึงจะไปถึงความฝันนั้นได้ หลักการดังกล่าวนั้นคือ

1.ต้องมีเป้าหมาย ถ้าท่านอยากจะเป็นนักพูดระดับไหนท่านต้องเขียนเป้าหมายนั้นเป็นตัวหนังสือไว้ เพื่อเตือนตัวเองตลอดเวลา เช่น ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านก็ต้องเขียนไว้ในหนังสือ หรือ ต้องการเป็นแค่นักพูดระดับจังหวัด ท่านก็ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือเพื่อเป็นการเตือนตัวเตือนใจ

2.ต้องฝันหรือต้องจริงจัง กับเป้าหมายที่เราต้องการตลอดเวลา ถ้าเราจริงจังกับเป้าหมายหรือความฝัน เราก็จะมีการปรับปรุง พัฒนาตัวเอง เตรียมตัวเตรียมการพูดตลอดเวลา เพื่อที่จะเข้าสู่เป้าหมายนั้นๆ ถ้าท่านมีความจริงจังในเป้าหมายว่าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ หากท่านฝันเช่นนั้นจริงท่านจะต้อง ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้มากกว่าการเป็นนักพูดระดับจังหวัดหรือนักพูดระดับท้องถิ่น

3.วางแผน ถ้าสมมุติว่าเป้าหมายของท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านจำเป็นจะต้องมีการวางแผน เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ท่านจะต้องทำอะไร เมื่อไร อย่างไร กำหนด วัน เวลา ปี ที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย ต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งแผนสำรองไว้ด้วย

4. ต้องมีกลยุทธ์ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงและรวดเร็วกว่าแผนที่วางไว้ ท่านจำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์เพื่อให้เข้าไปถึงแผนที่วางไว้ ท่านอาจต้องสร้างหรือใช้เครื่องมือช่วย ได้แก่ การหาสื่อต่างๆ ( การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ แล้วนำบทความ นั้นมารวมเล่มเป็นหนังสือ , การจัดรายการวิทยุเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น , การออกรายการทางโทรทัศน์เพื่อให้คนรู้จัก และ การใช้อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) เราจำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

5.พยายามร่วมกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น การเข้าชมรม สโมสร สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการเป็นนักพูด เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือกัน หรือได้คำแนะนำที่ดี ๆ และสามารถเป็นกำลังใจให้แก่เราเวลาเราท้อแท้ใจเมื่อการพูดของเราประสบความล้มเหลว หรือเข้ารับการอบรมทางการพูดเพื่อให้ทราบเทคนิคใหม่ๆ

6.หาแบบอย่างมากๆ ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ ท่านต้องหาแบบอย่างมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ มีความสะดวกสบายกว่าสมัยก่อน เนื่องจากเรามีเครื่องมือต่างๆมากมาย( เครื่องถ่ายวีดีโอ เครื่องบันทึกเทป เครื่องMP 3 ) บันทึกการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบทุกครั้งเมื่อไปฟังเขาพูด หรือหากใครไม่มีโอกาสตามไปฟังนักพูดที่ตนชื่นชอบ เราก็สามารถซื้อ VCD , DVD นักพูดระดับชาติมาดูได้ เช่น ทอล์คโชว์ต่างๆ (จตุพล ชมพูนิช , โน๊ต อุดม และอีกหลายท่าน)หากท่านต้องการเป็นนักพูดประเภททอล์คโชว์ แต่หากท่านต้องการเป็นนักพูดทางการเมือง ท่านสามารถ สะสม เทป VCD,DVD ของนักการเมืองต่างๆ เช่น คุณสมัคร ,คุณเฉลิม , คุณชวน , คุณอภิสิทธิ์ หรือ นักพูดในแบบที่ท่านชื่นชอบ เพื่อเอาไว้ชมเอาไว้ศึกษาถึงลีลา น้ำเสียง ท่าทางในการพูดของนักพูดท่านนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง

7.ต้องมีการตรวจสอบ ควบคุม แผนการหรือเป้าหมายของเราตลอดเวลา ต้องทบทวนแผนการ ทบทวนเป้าหมายว่าสิ่งที่เราทำนั้น มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่

การพูดโดยไม่คิด การพูดนั้นจะไม่ได้อะไร
การค้นคิดแต่ไม่ได้นำมาพูด การค้นคิดนั้นจะเปล่าประโยชน์



















...
  
คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

คนที่จะเป็นนักพูดที่ดี ผมคิดว่าเขาคนนั้น น่าจะมีอะไรดีๆในตัวอยู่หลายอย่าง ซึ่งคุณสมบัติที่กระผมคิดว่า น่าจะมีอยู่ในตัวนักพูด ก็คือ
1.ต้องเป็นนักฟัง คือคนที่จะพูดเก่งนั้น ต้องเป็นนักฟัง เพราะการฟังมากๆ จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ข้อมูล ลีลาการพูด น้ำเสียง บุคลิกภาพ ท่าทาง อีกทั้งคนที่ฟังมากๆ จะได้รับความรู้ใหม่ๆ เพื่อนำไปใช้ในอนาคตอีกต่างหาก การตามฟังนักพูดที่มีชื่อเสียงหลายๆท่าน จะทำให้เราได้ข้อเปรียบเทียบว่า ทำไม นักพูดท่านนี้ เราถึง ชอบ ทำไมนักพูดท่านนี้ เราถึงไม่ชอบ
2.ต้องเป็นนักอ่าน การอ่านมากๆ จะทำให้เราได้ข้อมูลมาก เพื่อจะนำไปใช้เมื่อถึงเวลาที่จะต้องพูด นักพูดที่ดีต้องอ่านให้มากๆ โดยเฉพาะ อ่านหนังสือ วารสาร ตำรา ในหัวข้อที่เราชอบหรือถนัด เพื่อที่จะนำไปใช้บรรยาย แต่ถ้าจะให้ดีควรอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า...อ่านแม้กระทั่ง..ถุงกล้วยแขก...
3.ต้องเป็นนักจำ คนที่จะพูดแล้วคนชอบ คนนั้นจะต้องมีข้อมูลมาก และที่สำคัญต้องเป็นคนพูดคล่อง พูดไม่ติดขัด ดังนั้น การจะพูดให้คล่องและไม่ติดขัด ไม่คิดนานนั้น นักพูดที่เก่งมักจะต้องมีความจำที่ดีเยี่ยม นักพูดบางคน จำกระทั่ง ตัวเลข สถิติต่างๆ กลอน คำคมต่างๆ มากมาย แล้วนำมาใช้ได้ถูกจังหวะเวลา จึงเป็นที่ประทับใจของผู้ฟัง
4.ต้องเป็นนักจด คนที่เป็นนักพูดที่ดี ต้องหมั่นตามฟัง นักพูดท่านอื่นๆให้มาก และต้องอ่านให้มาก แต่สิ่งที่สำคัญคือเรื่องของความจำ แต่ถ้าเราจำไม่ได้ วิธีที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องจดครับ
หาสมุดบันทึกมาหนึ่งเล่ม มีบทกลอน คำคม หรือคำพูดที่น่าสนใจที่เราฟัง ที่เราอ่านและประทับใจให้จดไว้ เพราะสักวันหนึ่งเราต้องนำ ข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประกอบการพูดของเราในอนาคต
5.สุดท้าย นักพูดที่เก่ง จะต้องปรุงเก่ง ปรุงในที่นี้ คือ นำข้อมูลต่างๆ ที่หาได้จากการฟัง การอ่าน การจด นำมาผสมผสาน ให้เกิดความน่าสนใจเพื่อนำไปพูดหรือบรรยาย นักพูดที่ปรุงเก่งเปรียบเทียบแล้วคงเหมือนกับพ่อครัว แม่ครัว ที่ต้องมีสูตรอาหาร มีกระบวนการปรุงอาหาร แล้วคนชอบ เพราะการทำอาหาร ถ้าให้พ่อครัว แม่ครัว ทำข้าวผัดแข่งกันว่าใครทำอร่อย เรื่องนี้ คงต้องอาศัยการปรุงแหละครับ ( ถึงแม้จะมีวัตถุดิบ ที่เหมือนกัน ข้าว น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันพืช ไข่ เนื้อหมู เนื้อไก่ หอม กระเทียม แต่การปรุงให้อร่อยคงต้องอาศัยฝีมือของพ่อครัว แม่ครัวแต่ละท่าน)

ดังนั้น การพูดที่ดี เป็นทั้งศาสตร์ ก็คือ การหาความรู้ จากการฟัง การอ่าน การจด การจำ แต่สิ่งที่ทำให้คนพูดเก่งแตกต่างกันก็คือ การใช้ศิลป์นี่เอง ศิลป์ คือ การประยุกต์ใช้ ลีลา ท่าทาง น้ำเสียง บุคลิกภาพ หน้าตา


ฯลฯ และที่สำคัญผู้ที่มีความต้องการจะเป็นนักพูด จะต้อง ฝึกทักษะให้มากๆ เช่น เราชอบนักพูดท่านนี้ พูดตลกดี


แล้วเรามีวิธีไหนบ้างที่จะพูดให้ได้ตลกเหมือนเขาหรือดีกว่าเขา หรือ เราเห็นนักการเมืองคนนี้พูดปราศรัยหาเสียงเก่ง แล้วเราลองฝึกหัดปราศรัยหาเสียงกับเขาบ้าง แล้วค่อยปรับปรุง เพื่อให้ดีกว่าหรือเก่งกว่าเขา


แต่สิ่งที่สำคัญก็คือต้องฝึกบ่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ฝึกทุกวันได้ยิ่งดี ไม่ต้องไปท้อแท้ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ไม่มีเวทีพูดก็ลองหัดพูดคนเดียวดูก็ได้ เช่น นักพูดที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลายคนพูดต่อหน้ากระจกคนเดียว บางคนพูดบนหลังม้าขณะเดินทางไกล บางคนพูดขณะเดินกลับบ้าน ฯลฯ


สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กับท่านที่ต้องการเป็นนักพูดที่ดี ระยะทางหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกครับ








...
  
จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

การที่คนเราจะพูดให้ได้ดี พูดเป็น พูดเก่ง จำเป็นจะต้องมีครู เพราะการเรียนรู้ด้วยตนเอง

อาจทำให้เกิดการผิดพลาด เสียหาย และประสบความสำเร็จช้ากว่าการเรียนรู้จากครู ในยุคปัจจุบัน ครูหรือผู้สอน วิทยากร มีมากมาย หลายสถาบัน รวมทั้งหนังสือ ตำรา แหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้มากขึ้น การเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ ข้างต้น ก็เป็นการเรียนรู้อีกทางหนึ่งที่จะ ทำให้เราพูดได้ดี พูดได้เก่งขึ้นกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง

ทั้งนี้ การเรียนรู้จากครู นั้น ในเบื้องต้น เราต้องทราบก่อนว่า ครู หนังสือ ตำรา แหล่งเรียนรู้มีมากมายในปัจจุบัน แต่ครูที่ดี ที่ถูกใจเราของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบเรียนรู้จากครูคนนี้ บางคนไม่ชอบ ดังนั้น การจะเอาใครมาเป็นครู ของแต่ละคน จึงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น นิสัยใจคอ เทคนิคการสอน เครื่องมือช่วยสอน ฯลฯ

แต่การจะพูดให้ได้ดีนั้น ผู้ฝึกใหม่ๆ ควรมีแบบอย่างหรือมีครู เช่น ถ้าเรารักชอบ นักพูดท่านใดเราก็ควร เรียนรู้จากเขา สังเกต เลียนแบบ เพื่อพัฒนาให้เป็นตัวของตนเองในอนาคต ดังเช่น นักพูดหลายคน ชอบคุณสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ก็สามารถนำเทปหรือฝึกสำนวน ลีลา การพูดของคุณสมัครในตอนต้นๆ แล้วจึงพัฒนาเป็นของตนเอง บางคนชอบคุณชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ก็สามารถตามไปฟังคุณชวน หลีกภัย หาเสียงบ่อยๆ แล้วจึงพัฒนาเป็นตัวเองในที่สุด

บางคนชอบอาจารย์จตุพล ชมภูนิช ก็สามารถฟังเทป เลียนแบบกิริยาท่าทางของอาจารย์ แล้วค่อยพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง ดังนั้น การจะเป็นนักพูดที่ดี... จำเป็นต้องมีครูครับ.... มีเพื่อเป็นตัวอย่างของตัวเอง มีเพื่อเป็นต้นแบบของตนเอง แต่ไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเพียงแค่คนๆเดียว เช่น ตัวกระผมเอง ถ้าต้องการเรียนรู้การพูดแบบบันเทิง ต้นแบบก็มีอาจารย์จตุพล ชมภูนิช คุณโน้ต อุดม แต้พานิช ถ้าเป็นการพูดแบบจูงใจ หาเสียง การขายประกัน ก็มี อาจารย์อุสมาน ลูกหยี คุณเฉลิม อยู่บำรุง คุณกฤษณา กฤตมโนรถและ คุณชวน หลีกภัย หรือการพูดในรูปแบบบรรยาย ก็จะมีอาจารย์สุขุม นวลสกุล เป็นต้น

ถามว่า ทำไม ต้องมีครูหลายคน ก็เพราะว่าวัตถุประสงค์ของการพูดมีหลายแบบ เช่น การพูดเพื่อความบันเทิง การพูดบรรยาย การเล่าเรื่อง และการพูดจูงใจ ฉะนั้น ถ้าเราเรียนรู้จากอาจารย์เพียงคนเดียว เราก็ประสบความสำเร็จในการพูดได้น้อยกว่าคนที่มีครูหลายคน เช่น การพูดในสภา การพูดหาเสียง การพูดขายของ เราก็ต้องพูดแบบจูงใจ แต่เราไม่ได้เรียนรู้มา แล้วเราไปใช้วิธีการพูดแบบ อาจารย์จตุพล ชมภูนิช คนฟังหัวเราะ ตลกแต่เป็นการพูดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิง แต่จูงใจไม่ได้ ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการพูด


หรือ ถ้าเราจะพูดเพื่อความบันเทิง แต่เราไปใช้ลีลา การพูดแบบ อดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จในการพูดในสถานการณ์นั้นๆ ดังนั้น เราควรมีครูหลายคน เพื่อเรียนรู้ การพูดให้มีความหลากหลาย แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ


แม้แต่หนังสือ ท่านก็ต้องหาหนังสือการพูดที่แต่งโดย อาจารย์หลายคนๆ เพราะ หนังสือเพียงหนึ่งเล่ม ท่านอาจได้ความคิดเพียงแค่ประโยคเดียวเอง แต่สามารถเปลี่ยนความคิด ความฝันของท่านได้ ถ้าได้อ่านหลายเล่มยิ่งดีกว่าการอ่านหนังสือเพียงเล่มเดียว ดังนั้น ควรหาอ่านหนังสือ ตำรา การพูด จากอาจารย์หลายๆ ท่านที่แต่ง


เวลาอ่านไม่ควร อ่านแบบผ่านๆ ควรขีดเส้นใต้ในประโยคสำคัญๆ หรือที่เราประทับใจ หรือจดประโยคนั้นๆ ไว้ในสมุดจดบันทึกของเรา เพื่อนำมาใช้ในอนาคตได้


สรุปคือ การที่ท่านจะพูดให้ได้ดี....ท่านจำเป็นจะต้องมีครู....และควรหาครูหลายๆคน รวมทั้งเรียนรู้จากหนังสือหลายๆ เล่ม เพื่อหาจุดดี จุดเด่นของครูท่านนั้นๆ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง แล้วในที่สุดท่านจะพูดได้ดี พูดได้เก่งในที่สุด เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
...
  
ปาก
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า หนังสือเป็นตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย


ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากกาย มีอุบายใช้ไม่เป็นเห็นป่วยการ
นี่เป็นคำกล่าวของคนโบราณที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้ปากให้เกิดประโยชน์ จากคำกล่าวนี้นับว่าเป็นความจริงทีเดียว ถึงแม้จะมีความรู้มากมายแต่ถ่ายทอดไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์ อาจารย์ 2 ท่าน มีความรู้ไม่เท่ากัน คนแรกมีความรู้ 90 % แต่ไม่สามารถบรรยายให้คนฟังเข้าใจตามที่ตัวต้องการได้ ฉะนั้นคนฟังน่าจะได้รับความรู้ 90 % เท่ากับที่อาจารย์รู้แต่อาจารย์สามารถบรรยายให้คนเข้าใจเพียง 20 % แต่อาจารย์ท่านที่สอง มีความรู้น้อยกว่า อาจารย์คนที่สองมีความรู้แค่ 60 % แต่สามารถทำให้คนฟังเข้าใจ 50 % ถามว่าอาจารย์ท่านไหน ใช้ปากให้เกิดประโยชน์มากกว่ากัน แน่นอน อาจารย์ท่านที่สอง ถึงแม้มีความรู้น้อยกว่าแต่ทำให้คนเข้าใจมากกว่า ฉะนั้นนี่เป็นความสำคัญของการพูด ซึ่งผู้รักความก้าวหน้าควรฝึกปฏิบัติ


พยาบาลบางคนทำงานที่โรงพยาบาล ตรวจคนไข้ ก้มหน้าก้มตาจด แล้วบอกคนไข้ว่า “ ป้าถอดรองเท้าแล้วชั่ง ” แล้วก็ถามป้าว่าหนักเท่าไร ป้าตอบ “ 3 ขีด ” นี่แสดงว่ามีปัญหาในด้านการสื่อสาร คือความจริงต้องการให้ป้า ถอดรองเท้าก่อน แล้วป้านี่ขึ้นตาชั่ง ชั่งน้ำหนักตัวเอง แต่ป้าดันไปเข้าใจว่า พยาบาลให้ถอดรองเท้าแล้วเอารองเท้าชั่ง หรือ อีกตัวอย่างหนึ่ง แพทย์ตรวจคนไข้ ซึ่งเป็นสุภาพสตรีแล้วบอกสุภาพสตรีผู้นั้นว่า “ หมอจะทำการผ่าตัด ซึ่งคิดว่าจะเป็นอันตรายได้ ให้คุณไปเอาสามีมาก่อน ” ปรากฏว่า พรุ่งนี้เช้า สุภาพสตรีมาแต่เพียงผู้เดียว มาพบหมอ หมอถามแล้วสามีคุณละ “ เอามาหรือยัง ” คนไข้สุภาพสตรีตอบทันควัน “ เอามาแล้วค่ะ เอามาเมื่อคืนนี่เองค่ะ ” นี่แสดงว่ามีปัญหาในการสื่อสารเช่นกัน หมอต้องการผ่าตัด คนไข้ กลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของคนไข้ ต้องการที่จะปรึกษาสามีและให้สามีคนไข้ได้เซ็นต์ยินยอม แต่คนไข้ดันนึกว่า หมอบอกให้ไปเอาสามีมา นึกว่าหมอให้มีเพศสัมพันธ์กับสามีก่อนผ่าตัด นี่เข้าใจไปคนละเรื่องเดียวกันเลย


บางคนเป็นเจ้าของกิจการ อยากจะชมลูกน้องว่า ทำงานดี มีความซื่อสัตย์ ทำให้กิจการมีกำไร และเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่พูดไม่เป็น เพราะไม่ได้ศึกษา และฝึกฝน แทนที่ชมดีดี เช่น คุณนี่เป็นคนดี ผมภูมิใจที่มีคนอย่างคุณทำงานให้ผม ทำให้ผมเบาแรงลงมากเลย เพราะคุณเป็นคนที่ไว้ใจได้ มีความซื่อสัตย์ แต่กลับไปชมว่า กูนี่โชคดีได้ลูกน้องแบบมึง มึงซื่อสัตย์แบบหมาเลย ถึงแม้จะชมด้วยความจริงใจ พูดแบบเป็นกันเอง แต่ผู้ฟัง อาจรู้สึกไม่ประทับใจได้


ฉะนั้นกระผมขอยืนยัน นั่งยัน และนอนยัน ได้เลยว่า “ ปากเป็นเอก ” นั้นถือว่าเป็นความจริงมากทีเดียว เราสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้ มันไม่ใช่ พรสวรรค์แต่เป็นพรแสวง ต่างหาก


ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา…….

...
  
การแต่งตัวกับนักพูด
การแต่งตัวกับนักพูด
นักพูดกับการแต่งกาย

โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์


“สำเนียงบอกภาษา กิริยาบอกสกุล”


อากัปกิริยาท่าทาง รวมถึงเครื่องแต่งกายขณะอยู่ต่อหน้าที่ชุมชนนั้น เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเครื่องแต่งกายเป็นการบ่งบอกถึงบุคลิกภาพของผู้พูดด้วย ซึ่งการแต่งกายที่ดีนั้น ควรแต่งกายให้ดูเรียบร้อย สะอาด เหมาะสม ถูกกาลเทศะ โดยหลักแล้ว เขามักจะยึดหลักว่า


นักพูดที่ดีควรแต่งกายให้เสมอกับผู้ฟัง หรือไม่ก็ให้เหนือกว่าผู้ฟังเล็กน้อย แต่อย่าให้ถึงกับแต่งกายให้เหนือกว่าผู้ฟังมากๆ เพราะจะเกิดการแบ่งแยก เช่น การไปพูดกับชาวไร่ชาวนา ก็ควรใส่เสื้อผ้าเป็นผ้าพื้นเมือง หรือเหมือนกับชาวไร่ ชาวนาเลย แต่ขอให้ดูสะอาด เรียบร้อยเอาไว้ ไม่ควรใส่เสื้อสูทไปพูดคุย หรือถ้าเป็นนักการเมือง ก็ไม่ควรใส่เสื้อสูท ไปหาเสียงกับชาวไร่ ชาวนา เพราะทำให้ดูแล้วแตกต่างกันมาก แต่การแต่งตัวแย่กว่า หรือโทรมกว่าผู้ฟังยิ่งเป็นความผิดร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะถือว่าไม่ให้เกียรติคนฟัง ดูถูกคนฟัง ไม่เคารพคนฟัง


การใส่เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร่างกายก็มีส่วนสำคัญ ควรยึดถือหลักง่ายๆ ว่า เราจะไปพูดไม่ได้ไปเดินแฟชั่นโชว์หรือเดินแบบ ฉะนั้น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร่างกายก็ควรจะพอดีๆ อย่ามากไป หรือน้อยไป น้อยไปยังไม่เท่าไร แต่มากไปซิครับ อาจทำให้การพูดของเราต้องลดความสำคัญไปด้วย เพราะคนคอยแต่ดูเฟอร์นิเจอร์ ไม่สนใจฟังการพูดของเรา เช่น บางคนใส่ตุ้มหูเป็นช้าง 10 เชือก ทั้งซ้ายและขวา เวลาหันซ้ายหันขวา ช้างทั้งหมดก็วิ่งพล่านเต็มหูทั้งสองข้าง ทำให้คนคอยแต่จะดูช้าง ไม่สนใจการพูด บางคนเอาปากกาจำนวนมากติดไว้ที่กระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋ากางเกง ทำให้คนฟังคอยแต่จะนับจำนวนปากกาอยู่เรื่อยไป ทำให้การพูดลดความสำคัญลง สุภาพสตรีบางคนแต่งตัว โดยนำเข็มกลัดเป็นรูปเครื่องบินจำนวนมากติดไว้ที่หน้าอก ทำให้คนฟังคอยแต่จะดูเครื่องบิน บางคนนับเครื่องบิน บางคนดูเครื่องบิน แต่บางคนบอกว่าดูลานบินต่างหาก


ถุงเท้า กับรองเท้า ก็มีส่วนสำคัญ เพราะนักพูดจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญ แล้วเวลาที่จะต้องถอดถึงรู้ว่ามันสำคัญมาก เพราะผู้เขียนเองก็เคยประสบกับตัวเอง เพราะมีบางครั้งใส่ถุงเท้าผิดข้าง ผิดสี ผิดแบบ ทำให้ผู้พบเห็นสอบถาม ครั้งนั้นผู้เขียนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน (เลยเอาหน้าไว้ที่เดิม) ตอนหลังผู้เขียนเลยใช้วิธีดังนี้ ผู้เขียนซื้อถุงเท้าทีหนึ่ง 2 โหล แบบเดียวกัน สีเดียวกัน เพราะถ้าข้างไหนเสียหรือชำรุด ก็ทิ้ง แต่สามารถใช้อีกข้างหนึ่งใส่ได้ รองเท้าก็เหมือนกัน ผู้เขียนซื้อทีเดียว 2-3 คู่ แบบเดียวกัน สีเดียวกัน เพราะถ้าข้างไหนชำรุดยังมีอีกข้างหนึ่งใช้แทนกันได้ หรือเปลี่ยนกันใส่ ก็ทำให้ประหยัดเงินดี และไม่ขายหน้าอีกเวลาใส่ผิดข้างเหมือนในอดีต


การแต่งกาย การวางท่าในขณะเริ่มพูดให้ดี เท่ากับการพูดได้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง









...
  
ศิลปะการพูด
ศิลปะการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่า “ การพูด ” เป็นสิ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิต สำหรับมนุษย์ทุกยุค ทุกสมัย ไม่ว่าอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ไม่ว่าจะชนชาติใด ภาษาใด วัยใด การพูดเป็นทั้งศาสตร์คือ สิ่งที่สามารถศึกษาหาความรู้ได้ การพูดเป็นศิลปะ กล่าวคือ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
การพูดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมมนุษย์ และยิ่งเป็นนักประชาสัมพันธ์ นักจัดรายการ นักการเมือง นักเทศน์ นักการทูต อาจารย์ วิทยากร ฯลฯ ยิ่งจะต้องใช้การพูดอย่างมีศิลปะหรือบางแห่งอาจเรียกว่ามี “ วาทศิลป์”
การพูดจึงเป็นได้ทั้งยาพิษและยาหอม หมายถึง เราสามารถใช้คำพูดไปในทางสร้างสรรค์หรือทำลายก็ได้ การรู้จักใช้คำพูดให้ถูกกาลเทศะ จึงเป็นสิ่งสำคัญในขณะเดียวกัน ในทางกลับกัน การพูดโดยไม่คิดก็ย่อมนำพาเราไปสู่ความหายนะหรือสร้างความตกต่ำให้ชีวิตเราได้เช่นกัน
การพูดเป็นกุญแจนำทางไปสู่ความสำเร็จ นักขาย นักการเมือง นักสอนศาสนา นักจัดรายการ วิทยากร บุคคลเหล่านี้ ต้องอาศัยการพูดและต้องมีการฝึกฝนการพูด จึงจะประสบความสำเร็จในอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพูดให้คนคล้อยตามหรือการใช้อารมณ์ขันในการสอดแทรกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ พัฒนา จึงจะนำพาไปสู่ความสำเร็จในอาชีพได้
การจะพูดให้ได้ดีต้องมี “ อิทธิบาท 4 ” คือ ต้องมีฉันทะ คือมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเป็นนักพูด วิริยะ คือ ความพากเพียรบากบั่นในการฝึกฝนการพูด จิตตะ คือ ต้องมีจิตใจจดจ่อต่อเป้าหมาย ไม่ทอดทิ้งเป้าหมาย วิมังสา คือ การใช้ปัญญาตรวจสอบทบทวนแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้น
การพูดที่มีส่วนผสมโดย มีวาทศิลป์ มีหลักการ มีเหตุผล มีตลกขบขัน มีตัวอย่าง มีการอ้างอิง มีไหวพริบปฏิภาณ มักเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลโดยทั่วไป และทำให้คนมีความนิยมชื่นชอบในตัวผู้พูด
บุคคลที่พูดเก่งมีวาทศิลป์ที่ดี มีความเป็นอัจฉริยะในการพูด มักเป็นคนที่มีความทะเยนทะยาน มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า มีพลังแห่งการเรียนรู้ที่สูง มีความทรงจำดี มีพลังสมาธิแน่วแน่ กล้าตัดสินใจเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ อีกทั้งยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
อยากพูดให้ได้ดี ต้องหมั่นศึกษา วิเคราะห์การพูดของนักพูดชื่อดัง โดยอาจตามไปฟังนักพูดเรืองนาม นักพูดที่มีชื่อเสียง หรือยุคปัจจุบัน เป็นยุคสารสนเทศ เราสามารถตามดูนักพูดชื่อดังได้จากสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะทางอินเตอร์เน็ต Youtube หรืออาจซื้อ VCD DVD ของนักพูดมาศึกษาได้
การพูดที่ดี ต้องมีจุดมุ่งหมายปลายทางแห่งการพูด จุดมุ่งหมายในการพูดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ การพูดเพื่อบันเทิง การพูดให้ความรู้กับการพูดจูงใจ ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูดควรต้องรู้ก่อนว่าจะนำพาผู้ฟังไปในจุดมุ่งหมายใด เช่น หากผู้ฟังต้องการฟัง การพูดแบบบันเทิง เราก็ต้องพูดในลักษณะทอล์คโชว์พูดให้สนุก พูดให้ตลกขบขัน ไม่ใช่พูดไปแล้วคนไม่หัวเราะเลย อย่างนี้ก็ประสบความสำเร็จยาก
บุคลิกภาพกับการพูด บุคลิกภาพมีความสำคัญมากในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน บุคลิกภาพจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจในตัวผู้พูด บุคลิกภาพในที่นี้รวมไปถึงบุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอก เช่น ภายใน นิสัยใจคอ อารมณ์ ความรู้สึก ความรอบรู้ ฯลฯ ภายนอก ได้แก่การแต่งกาย ทรงผม ท่าทาง การเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง ฯลฯ
นักพูดที่เก่งมักใช้ภาษาได้ดี เช่น ใช้ภาษาที่มีความชัดเจน อีกทั้งมีการเลือกใช้ถ้อยคำที่หลากหลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการค้นคว้า ฝึกฝน อ่าน เรียนรู้ จนจัดเจนในเรื่องของภาษาศาสตร์ เมื่อศึกษาไปมากๆ ก็จะสามารถสร้างประโยคและวลีต่างๆ ได้งดงามสละสลวยขึ้น
เสน่ห์การใช้เสียงเป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งในการพูด ถ้อยคำเพียงแต่บอกความหมายแต่เสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นในหัวใจ การพูดที่ดีต้องมีน้ำเสียงที่หลากหลาย โดยยึดหลักที่ว่า ต้องใช้เสียงให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่พูด
ใช้ระดับเสียง ให้มี หนัก เบา เว้นระยะ ต่างๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่พูด
สรุปคือ ศิลปะการพูด เป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้ได้ ฝึกฝนได้ พัฒนาได้ ซึ่งการพูดแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน เรียนรู้จากอาจารย์ท่านเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้การพูดพูดแล้วดูน่าฟัง คนฟังชื่นชอบ สิ่งนั้นก็คือ ศิลปะในการพูดหรือการนำศาสตร์ทางการพูดมาใช้ทำให้เกิดความแตกต่างกันนั้นเอง

...
  
พูดดีเป็นศรีแก่งาน
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์


พูดอะไร ไม่ส่งเดช ใช้เหตุผล


ทุกทุกคน คล้อยตาม งามทุกเรื่อง


พูดตามใจ ไร้เหตุผล พล่ามบ่นเปลือง


ถึงตัวเขื่อง ข่มใคร ก็ไม่ฟัง


การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าเขา ทำอะไรก็มักจะเป็นข่าว หรือมีคนนำไปนินทา บางทีไม่พูดก็เป็นข่าว ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำ ต้องระวังการพูดจาปราศรัยให้มากๆ การพูดบางอย่างดูสุภาพแต่ขาดหลักจิตวิทยา เช่น หัวหน้าประชุมลูกน้อง เริ่มทักทาย “สวัสดีครับ ดีใจที่พวกคุณมาประชุมกันในวันนี้” ฟังดูสุภาพ แต่ขาดความเป็นกันเอง คือ ฟังแล้ว ดูแบ่งแยกระหว่างตัวผู้พูดกับผู้ฟัง ดังนั้นผู้นำที่มีจิตวิทยาหน่อย ก็จะทักทายดังนี้


“สวัสดีครับ กระผมดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ พวกเรามาประชุมกันในวันนี้” คือเปลี่ยนจาก พวกคุณ เป็น พวกเรา ความรู้สึกจะต่างกันทันทีเลย


หรือมีหัวหน้างาน 2 คน หัวหน้าจากสำนักงานใหญ่มาเยี่ยมเยือน เดินชมโรงงานเสร็จก็ชมทันทีต่อหน้าลูกน้องทั้งหมด “แหม แผนกของคุณนี่ดูขยันขันแข็งดี” หัวหน้าคนที่ 1 รีบตอบเลย “ครับ ไม่ต้องห่วงขยันกันทุกคนแหละครับ” เพราะผมดูแลทั่วถึงไม่ยอมให้พวกนี้อู้งานเป็นอันขาด ผมเป็นหัวหน้าใครทำเล่นๆ กระผมไม่ยอม” ถ้าพวกเราเป็นลูกน้อง เราจะคิดอย่างไรครับ รับรองไม่พอใจแน่นอน ซึ่งหัวหน้คนนี้ไม่มีจิตวิทยาในการพูด ถ้าหัวหน้ามีจิตวิทยาในการพูดจะพูดดังนี้ หัวหน้าจากสำนักงานใหญ่ชม “แหม แผนกของคุณนี่ดูขยันขันแข็งดี”หัวหน้าคนที่ 2 พูดว่า “ครับ กระผมโชคดีที่ได้ทำงานร่วมกับคนที่มีความรับผิดชอบสูง กระผมไม่เคยต้องดูแลอะไรเลย ทุกคนขยันขันแข็งมากเลยครับ” อย่างนี้ ลูกน้องยิ้มจนแก้มนี้มีโอกาสฉีกเลยครับ


เพราะฉะนั้น หัวหน้าหรือผู้มีลูกน้อง จะพูดจาปราศรัยก็ขอให้มีจิตวิทยาบ้าง รู้จักคิดก่อนพูด ไม่ใช่พูดแล้วมาคิดเสียใจทีหลัง อะไรทีพูดออกไปแล้วคนรู้สึกดีก็ควรพูด แต่อะไรที่พูดออกไปแล้วคนรู้สึกว่าไม่ได้รับเกียรติก็ขอให้ระวังนิด เพราะถ้าเราทำให้ลูกน้องรักเราศรัทธาเราได้ เขาก็จะทุ่มเทกำลังใจ กำลังกาย กำลังความคิดให้แก่งาน แล้วงานของเราก็จะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ได้


ใช้อำนาจ บาตรใหญ่ พูดไว้ท่า


คนต่อหน้า น้อมสดับ แต่ลับหลัง


เขากลอกตา หลอกเล่น เขม่นชัง


พึงระวัง ว่าขาน ประมาณตน






...
  
พูดดี ต้องประเมิน
พูดดี ต้องประเมิน
จะรู้ว่าพูดดี ต้องมีคนประเมิน
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ความผิดพลาดของตนเอง เป็นบทเรียนที่นำตนไปสู่ความสำเร็จ


ปัจจุบันนี้กระผมมีงานอดิเรกคือ ไปบรรยายในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกชน ราชการ บางทีก็ไป “ทอล์กโชว์” ตามโรงเรียนต่างๆ บ้าง ไปๆ มาๆ รายได้จะดีกว่างานหลักเสียอีก


จากการบรรยายในสถานที่ต่างๆ มักมีคนถามกระผมว่า “ทำอย่างไรจึงจะบรรยายเก่ง” กระผมก็ได้อธิบายว่า อันนี้ไม่ใช่พรสวรรค์นะ มันเป็นพรแสวงต่างหาก เพราะความจริงกระผมไม่สามารถบรรยายได้ตั้งแต่เกิด กระผมมาฝึกฝนเอาทีหลังนี่เอง กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ กระผมเองก็เคยเป็นนักพูดประเภท สลายม็อบ อยู่นานทีเดียว คือ พูดไปคนค่อยทยอยออกทีละคนสองคน


จุดสำคัญคือ เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเอง และมีคนถามต่อว่าจะปรับปรุงตัวเองอย่างไร คำตอบคือ การพูดแต่ละครั้งเราควรหาคนที่รู้จัก แล้วให้เขาวิจารณ์การพูดของเรา หรือให้ผู้เข้ารับการอบรม ประเมินเราเวลาเราพูดเสร็จ เมื่อเราได้ข้อมูลหรือข้อบกพร่อง เราก็สามารถนำมมาปรับปรุง หรือแก้ไขในการพูดครั้งต่อไป

ฉะนั้น การประเมินการพูด หมายถึง การวิเคราะห์ว่าที่เราพูดหรือปาฐกถาไปนั้น ต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ควรหาเทปไปอัด คำบรรยายของเรา ในปัจจุบันนี้มีเครื่องถ่ายภาพเคลื่อนไหว ถ้าเรานำไปถ่ายภาพการบรรยายของเราได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ท่าทาง กริยา อาการ ของเราเวลาเราพูดเป็นอย่างไร พูดดีหรือไม่ ท่าทางดีหรือเปล่า น้ำเสียง จังหวะในการพูด เหมาะสมหรือเปล่า


การประเมินการพูด เปรียบเทียบก็คล้ายกับเรามีกระจกเงา ส่องดูการแต่งกายส่องบุคลิกท่าทางของเรา และถ้าไม่สวย ไม่ดี ก็มาแก้ไข มาเปลี่ยนแปลงให้ดีเสีย


เพราะฉะนั้น รักจะพูดให้คนพอใจ อยากจะเป็นนักพูดประเภทพูดแล้วคนชื่นชอบ คนชอบฟัง เมื่อพูดเสร็จแต่ละครั้งอย่าถอนหายใจโล่งอกเป็นอันขาดว่า หมดทุกข์หมดโศกแล้ว ขอให้เก็บความทรงจำนั้นไว้แล้วมานั่งคิดว่า ถ้าจะให้ดีกว่าที่ได้พูดไปเราควรทำอย่างไร เราต้องแก้ไขตรงไหน เขามีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการพูดของเราอย่างไร อย่าปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ถ้าเราใฝ่ใจอยากจะเป็นนักพูดที่มีอนาคต

ท่านถูกติ ต้องตรอง มองที่ติ


แล้วเริ่มริ ลงรอย คอยแก้ไข


ติเพื่อก่อ ต่อสติ ติเข้าไป


เป็นบันได ไต่เต้า ให้เราดี

...
  
บุคลิกภาพของนักพูด
บุคลิกภาพของนักพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การพูดที่ดีจะทำให้ผู้พูดขึ้นสู่ที่สูง แต่บุคลิกภาพจะทำให้ผู้พูดสามารถดำรงอยู่ได้นาน
บุคลิกภาพมีความสำคัญมากต่อการพูด โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ผู้พูดหรือนักพูดจะต้องมีบุคลิกภาพที่ต้องตาผู้ฟัง บุคลิกภาพมีความสัมพันธ์กับการพูดต่อหน้าที่ชุมชนจนการฝึกอบรมในปัจจุบันหลายๆ หลักสูตรมักจะมีเนื้อหาบุคลิกภาพกับการพูด เช่น หลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หลักสูตรการพัฒนาบุคลิกภาพกับการพูดแบบผู้นำ ฯลฯ
มีคำถามว่า แล้วบุคลิกภาพที่ดีของนักพูดหรือผู้พูดในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมีอะไรบ้าง สำหรับบุคลิกภาพที่ดีของนักพูดหรือผู้พูดต่อหน้าที่ชุมชนมี 2 อย่างครับ คือ บุคลิกภาพภายนอกกับบุคลิกภาพภายใน สำหรับบทความฉบับนี้กระผมขอพูดถึงบุคลิกภาพภายในก่อนครับ บุคลิกภาพภายในของนักพูดที่ดีมีดังนี้ครับ
- มีความมั่นใจหรือเชื่อมั่นในตนเอง นักพูดหรือผู้พูดที่ขาดความมั่นใจหรือเชื่อมั่นใน
ตนเอง มักจะพูดด้วยความไม่หมั่นใจ พูดแบบไม่เต็มอารมณ์ เต็มอาการของตนเอง ขาดความเป็นตัวของตัวเอง เมื่อต้องการแสดงท่าทางประกอบการพูดมักจะไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าที่ควร แต่ถ้าแสดงความมั่นใจหรือเชื่อมั่นจนเกินไปก็อาจทำให้เกิดความเสียหายได้เหมือนกัน เนื่องจากผู้ฟังสามารถสัมผัสได้
- มีไหวพริบ เชาว์ปัญญา มีความรอบรู้ บุคคลที่ต้องการเป็นนักพูดหรือพูดเก่ง พูดเป็น
จำเป็นต้องเป็นคนที่มีความรอบรู้ มีเชาว์ปัญญา และมีไหวพริบ สามารถแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ต่างๆได้ เนื่องจากเวลาพูดแต่ละสถานที่มักมีปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน เช่น เพศ วัย อายุ สถานที่ เครื่องเสียง ฯลฯ
- มีความหนักแน่น มีสติ ควบคุมตัวเองได้ เนื่องจากการพูดแต่ละครั้งผู้พูดต้องเผชิญกับ
เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจากตัวผู้พูดเองหรือตัวผู้ฟัง เช่น ผู้พูดอาจจะอารมณ์เสียเนื่องจากโกรธหรือโมโหใครมา แต่เวลาขึ้นพูดผู้พูดต้องควบคุมตัวเองได้ มีสติ ถ้าหากผู้พูดหลุดหรือพูดพลาด อาจจะมีผลร้ายแรง ทำให้ผู้ฟังขาดความนับถือ ศรัธทา และบางครั้งอาจร้ายแรงจนต้องติดคุกติดระรางไปเลยก็มีเนื่องจากไปพูดหมิ่นประมาทผู้อื่น
- มีความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา พวกเราคงเคยได้ฟังหรือเคยไปอบรมกับวิทยากรหรือ
อาจารย์หลายๆ ท่านมาแล้ว บางท่านเราฟังแล้วรู้สึกสนุกสนาน มีชีวิตชีวา แต่เมื่อเราฟังบางท่านพูดแล้ว เรากลับเบื่อหน่าย ง่วงไม่อยากฟัง อยากให้การพูดนั้นจบไวๆ ดังนั้น การที่จะให้ผู้ฟังเกิดความมีชีวิตชีวาหรือเกิดความกระฉับกระเฉงเวลาฟัง ตัวเราผู้พูดก็ต้องทำตัวให้มีความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาไปด้วย เนื่องจากในทางจิตวิทยาการพูดมันสามารถสื่อสารถึงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ หากเราต้องการให้ผู้ฟังมีอารมณ์ ความรู้สึกอย่างไร ตัวผู้พูดต้องแสดงอารมณ์และความรู้สึกอย่างนั้นก่อน
- มีความเข้าใจเห็นใจผู้ฟัง นักพูดที่สามารถพูดจูงใจคน จำเป็นจะต้องศึกษาจิตวิทยา
ฝูงชน นักพูดที่พูดแล้วคนถูกใจ พอใจ นักพูดผู้นั้นมักเป็นคนที่มีความสามารถเข้าถึงหัวใจของผู้ฟังได้ นักพูดที่ให้เกียรติผู้ฟัง ผู้ฟังก็มักจะให้เกียรติผู้พูด ดังนั้นอย่าได้ดูถูกดูหมิ่นหรือแสดงอาการยโสโอหัง แก่ผู้ฟัง นักพูดที่ดีต้องไม่แสดงโทสะหรืออารมณ์โกรธจนลืมตัวเพราะเราแสดงอารมณ์โทสะเวลาพูด มันก็จะสื่อให้แก่ผู้ฟังเข้าใจอารมณ์โทสะของผู้พูดได้เช่นกัน
- มีความจริงใจ ไม่พูดโกหกผู้ฟัง อดีตประธานาธิบดีลินคอนล์ เคยกล่าวไว้ว่า “ เราสามารถโกหกคน
บางคนได้ตลอดเวลา เราสามารถโกหกคนทุกคนได้บางเวลา แต่เราไม่สามารถโกหกคนทุกคนและทุกเวลาได้”
ถ้าต้องการเป็นนักพูดที่ดี อย่าได้โกหกคนเลยครับ ควรพูดแต่ความจริง
ดังนั้นเราจะเห็นว่าบุคลิกภาพภายในของนักพูดมีความสำคัญมากในการพูด สำหรับบุคลิกภาพภายนอก เช่น การแต่งตัว การเดิน การยืน การนั่ง การแสดงท่าทาง ฯลฯ ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ผู้ที่ต้องการเป็นนักพูดจึงมีหน้าที่ที่ต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอ
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.