หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  การผูกใจคนทำงาน
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  นักบริหารกับความสำเร็จ
  -  นักบริหารกับมนุษย์สัมพันธ์
  -  การพัฒนาศักยภาพตนเอง
  -  การทำงานเป็นทีม
  -  การจัดการเวลา
  -  การสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่
  -  คุณลักษณะผู้นำ
  -  คิดทำอย่างเศรษฐี
  -  พลังแห่งการบริหารเวลา
  -  บริหารเวลา บริหารชีวิต
  -  ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการทำงาน
  -  จงพัฒนาความคิด
  -  พลังคุณธรรม จริยธรรม และพลังความสามัคคี คือพลังแห่งการสร้างชาติ
  -  การบริหารโดยให้พนักงานมีส่วนร่วม
  -  การเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีของท่านในองค์กร
  -  การสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมือง
  -  ประหยัดเวลาด้วยวิธีการวางแผน
  -  เทคนิคการแสวงหาโอกาส
  -  การจัดการข้อมูล
  -  จงดำเนินธุรกิจของตนเอง
  -  ทำทุกนาทีให้มีค่า
  -  การใช้โทรศัพท์
  -  ใช้เวลาเดินทางอย่างคุ้มค่า
  -  ปิดสวิตซ์นอน
  -  วันนี้..มีค่ามากกว่าวันพรุ่งนี้
  -  เหตุผลที่ทำให้คนใช้เวลาแบบทิ้งๆขว้างๆ
  -  เสริมพลังทีมสร้างพลังกลุ่ม
  -  การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
  -  ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง
  -  กุศโลบายในการทำงานให้มีความสุข
  -  ลักษณะของความเป็นผู้นำ
  -  หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง
  -  อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน
  -  เคล็ดลับการทำลายมนุษย์สัมพันธ์
  -  การเตรียมตัวสมัครงานเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน(AC)
  -  พัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ PDCA”
  -  พัฒนาตนเอง 5 ส. สู่ความสำเร็จ
  -  การพัฒนาการบริการในหน่วยงานราชการ
  -  7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
  -  กฎแห่งความสำเร็จ
  -  ความสำคัญในการเป็นนักพูด
  -  อิทธิบาท 4 สู่การเป็นนักพูด
  -  ใจใหญ่
  -  Change Management
  -  3 H กับ การทำงาน
  -  กฎ 20/80 ของพาเรโท
  -  การจัดการเวลา
  -  สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
  -  ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
  -  DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
  -  นพลักษณ์ ศาสตร์แห่งการรู้จักตนเองและผู้อื่น
  -  สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ดี
  -  การบริหารเวลากับเส้นตาย
  -  แนวความคิดในการบริหารเวลา
  -  การบริหารเวลา : เทคนิคในการประหยัดเวลา
  -  การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
  -  การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
  -  การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
  -  การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
  -  การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
  -  อาจารย์กับขวดโหลเวลา
  -  วัยกับการบริหารเวลา
  -  5 ร.พาให้รุ่งในการทำงาน
  -  จงทำงานให้มีความสุข
  -  IQ EQ AQ MQและSQ สำหรับนักบริหาร
  -  เติมไฟในการทำงาน
  -  การตลาดลูกผสม
  -  เดินทาง 1 หมื่นลี้...ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก
  -  การตลาดเชิงสร้างสรรค์
  -  เจ้าสัวเชื้อสายจีน
  -  การตลาดเชิงยุทธ์
  -  การจัดการเวลา 8+8+8
  -  การบริหารเวลากับการวิเคราะห์งาน
  -  การบริหารเวลา การตรงต่อเวลา
  -  มีเวลาทำงานมาก ไม่ได้หมายความว่าทำงานได้ดี
  -  ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce
  -  Promotion ทางการเมือง
  -  ประหยัดเวลาด้วยพลังของทีม
  -  ปลาเล็กกินปลาใหญ่
  -  ข้อผิดพลาดทางการตลาด
  -  ฝันให้ไกล...แล้วไปให้ถึง
  -  สื่อการตลาด
  -  จุดเริ่มต้นอาเซียน และ เป้าหมายการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  -  สาธารณสุขไทยกับอาเซียน
  -  การเข้าสู่อาเซียนของสาธารณสุขไทย
  -  ปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
  -  กลยุทธ์สร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้ง
  -  หลักพาเรโต ทำกิจกรรม 20% ให้ได้ผลลัพธ์ 80%
  -  หลักบริหารเวลาของไอวี่ ลี(Lvy Lee)
  -  กฏของพาร์กินสันในการบริหารเวลา
  -  เวลาของฉันหายไปไหน
  -  เป้าหมายกับการบริหารเวลา
  -  การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
  -  ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
  -  หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
  -  เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การผูกใจคนทำงาน
โดย..ดร..สุทธิชัย ปัญญโรจน์

การทำงานเกี่ยวข้องกับคนนั้น จำเป็นจะต้องมีการ “ สร้างคน ” ซึ่งนับว่ายากมากเพราะการจะปั้นคนหรือทำให้คนเก่งงาน เก่งการบริหารได้นั้น ต้องใช้เวลา และการลงทุนทั้งทรัพยากรต่างๆ เช่น ส่งไปอบรม ส่งไปดูงาน ส่งไปเรียนต่อ อีกทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมาก เสียทั้งเวลา แต่เมื่อสร้างคนขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ยากเย็นยิ่งกว่า ก็คือ การรักษาคนเก่ง คนดี คนมีฝีมือ เอาไว้หรือจำเป็นจะต้องผูกใจคนเหล่านี้

ซึ่งการผูกใจคนทำงานให้ทำงานกับองค์กรนั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างดังนี้

1.ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนต้องมีความเหมาะสม กับความรู้ ความสามารถ ตำแหน่งงานนั้นๆ เพราะมีองค์กรจำนวนไม่น้อย ใช้งานคุ้มค่า แต่ให้ผลตอบแทน เช่น เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง โบนัสในอัตราที่ต่ำมาก จึงทำให้คนที่ทำงานเก่งในองค์กรนั้นๆ ไหลออกไปอยู่องค์กรอื่นๆ

2.ความก้าวหน้า บริษัท องค์กร จำนวนไม่น้อยที่ให้ผลประโยชน์ในอัตราที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถ ตำแหน่ง แต่ ก็ไม่สามารถผูกใจคนทำงานได้ เนื่องจาก บริษัทนั้น องค์กรนั้น
ไม่มีความก้าวหน้า ทำงานมานานแต่ไม่ได้รับตำแหน่งที่ดีขึ้นหรือสูงขึ้น

3.การเมืองในองค์กร องค์กรจำนวนไม่น้อยไม่สามารถผูกใจคนดี คนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้เนื่องจาก ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ เล่นการเมืองในองค์กรมากไป ใครที่เป็นคนของนายก็จะเจริญเติบโต ใครขัดใจก็จะต้องถูกแบน ไม่ได้เกิดในหน้าที่การงาน การเล่นการเมืองในองค์กร หากมีมากเกินไปก็จะสร้าง ความแตกแยก ความวุ่นวายได้

4.องค์กรมีความเป็นสากล องค์กรที่มีลักษณะการบริหารแบบครอบครัว ไม่สามารถ ผูกใจคนให้เข้ามาทำงานได้เหมือนกับ องค์กรที่มีลักษณะเป็นสากล เพราะองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความเป็นสากล เช่นบริษัทข้ามชาติ มักเลือกใช้คนตามความสามารถ มากกว่า ความสนิทสนมส่วนตัว พูดง่ายๆว่ามีการบริหารแบบคุณธรรมมากกว่าอุปถัมภ์

5.ผู้นำ คนทำงานบางคน อยากอยู่ทำงานกับผู้นำที่ดี มีความรักความเมตตา มีความยุติธรรมมากกว่าอยากอยู่ทำงานกับผู้นำที่ทุจริต ไม่ซื่อสัตย์ ไม่เสียสัตย์ ดังจะเห็นได้ว่า ถ้าผู้นำดี ลูกน้องรัก เมื่อผู้นำย้ายไปอยู่ที่ไหน ลูกน้องหรือคนทำงาน ก็อยากจะย้ายตามไปอยู่ด้วย

6.ความมั่นคงในหน้าที่การงาน คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนอยากทำงานกับองค์กรนั้นๆ ไม่ใช่ทำงานไปทำงานมา บอกว่า ขอย้าย ขอปลดออก ให้ออก ไล่ออก หากองค์กรมีลักษณะอย่างนี้ เชื่อแน่ว่า คงไม่มีคนทำงานคนไหน อยากเข้าไปอยู่ทำงานในองค์กรนั้นๆ

และยังมีอีกหลายปัจจัย ซึ่งปัจจัยทั้งหมดข้างต้นนี้ คือ ปัจจัยในการผูกใจคนให้ทำงานในองค์กร ให้ได้นาน ถ้าองค์กรใดมีปัจจัยในข้างต้น หลายข้อก็จะทำให้คนทำงานอยากอยู่ในองค์กรนั้นๆ มากกว่าองค์กรที่มีปัจจัยข้างต้นน้อยข้อ แต่การที่คนเราจะเลือกทำงานอยู่กับองค์กรใด ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่กับความพอใจหลายๆอย่างมากกว่า เช่น บางคน อาจเห็นว่าเงินสำคัญ ถ้าองค์กรนั้น ตอบสนองเรื่องเงิน ก็จะทำให้คนอยากทำงานต่อ แต่บางคนไม่เห็นว่าเงินสำคัญ แต่เห็นว่าความก้าวหน้า ชื่อเสียง การถูกยกย่องสำคัญกว่า หากองค์กรเพิ่มเงินให้ก็ไม่สามารถผูกใจคนเหล่านี้ได้ เพราะ เกาไม่ถูกที่คัน เพราะบางคนเป็นลูกคนรวย เป็นลูกเศรษฐี ขับรถ BMW มาทำงานเสียค่าน้ำมันตั้ง สองสามหมื่นบาท แต่มารับเงินเดือนเพียง หมื่นสองหมื่นบาท เขาก็คงไม่เอา







...
  
ศิลปะในการบริหาร
ศิลปะในการบริหาร
ศิลปะในการเป็นผู้บริหาร โดย... ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่) มีหนังสือและองค์ความรู้มากมายที่พูดถึงเรื่องของ ผู้บริหาร มีทั้งนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติจริง ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งกระผมได้อ่าน ได้ศึกษา อาจสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้ 1.ผู้บริหาร ต้องมีพันธะผูกพัน(Commitment) คือ ต้องมีความรับผิดชอบในคำพูด คำสัญญา การแสดงออก การกระทำ ต่อสิ่งที่ได้ทำไปหรือต่อบุคคลอื่น เช่น สัญญาว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผู้บริหาร ก็ต้องพยายามทำให้เสร็จถึงแม้จะทำถึง เที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 หรือรุ่งเช้าก็ต้องทำ 2.ผู้บริหารที่ดี ต้องมีสติปัญญา และการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว เด็ดขาด แน่นอน การตัดสินใจย่อมต้องมีการผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าผู้บริหาร กลัวการที่จะตัดสินใจลงไปแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ องค์กร หน่วยงาน รวมถึงประเทศชาติ ก็ได้ถ้าผู้บริหารคนนั้นบริหารประเทศ สำหรับหลักการตัดสินใจที่ดี เราควรแสวงหาข้อมูลให้มากที่สุดในเรื่องที่เราต้องตัดสินใจแล้ว มองอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หาสาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ปัญหาและจึงตัดสินใจ เมื่อ ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดก็ควรรับผิดชอบ 3.ผู้บริหารที่ดี ต้องสร้างความศรัทธา แก่ลูกน้อง ลูกค้า เจ้าของกิจการ รวมทั้งผู้พบเห็น ภาพพจน์(Image) ของผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดจา การแต่งกาย และการสร้างชื่อเสียง จึงเป็นส่วนสำคัญในเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้คนเชื่อถือไว้วางใจ และเกิดการกระทำในสิ่งที่ผู้นำ จูงใจให้กระทำ 4.ผู้บริหาร ต้องเรียนรู้อย่างไม่หยุดหยั้ง เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้บริหาร ต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าเทคโนโลยี การหาข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ใหม่ๆ ดังนั้นการไปดูงานต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญทำให้เห็นสิ่งใหม่ๆแล้วกลับนำมาใช้ในองค์กร ในหน่วยงาน ในประเทศของตน 5.ผู้บริหารที่ดี มักจะเลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสนุก อีกทั้งยังตรงกับเป้าหมายในชีวิต ความสามารถในตัวเอง การเลือกอาชีพในการทำงานจึงถือว่าสำคัญมากในการที่คนๆ นั้น จะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้บริหาร ดังนั้น การเลือกงานที่ชอบจึงสำคัญกว่าเลือกงานเพราะมีเงินเดือนมาก หรือได้เงินตอบแทนมาก โดยที่ตนเองอาจไม่ชอบงานนั้นๆ 6.ผู้บริหารต้องทำงานโดยใช้วิธีที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ลักษณะงานการบริหารในปัจจุบันมีความแตกต่างจากงานบริหารในอดีต อาจกล่าวได้ว่ามีความแตกต่าง ดังนี้ 6.1.ผู้บริหารต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น และต้องทำงานให้เสร็จ จึงทำให้ในแต่ละวัน ผู้บริหารต้องแก้ปัญหามากขึ้น มีความเครียดในการทำงานมากขึ้นกว่าผู้บริหารในอดีต 6.2.ผู้บริหารต้องมีความสามารถหลากหลาย เนื่องจากการทำงานในยุคปัจจุบันผู้บริหารต้องทำงานและทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเจรจาต่อรอง งานด้านเอกสาร การเป็นประธานในงานต่างๆ การประชุม การกล่าวปราศรัยในงานต่างๆ 6.3.ผู้บริหารต้องทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทุกประเภทมากขึ้น การบริหารองค์การในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันสูง ผู้บริหารจึงต้องเป็นนักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ บางสถานการณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์จากสื่อสารมวลชน 6.4.ผู้บริหารต้องทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารมาก ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร สรุปแล้วการเป็น ผู้บริหาร เป็นทั้งศาสตร์ที่สามารถเรียนกันได้ เป็นทั้งศิลป์ คือ นำมาประยุกต์ได้ โดยไม่จำกัดว่าเกิดในสถานะภาพใด ไม่ว่า ยากดี มีจน เป็นลูกมหาเศรษฐี ไม่ว่ายากดี มีจน คนเราก็สามารถเป็น ผู้บริหารที่ดีได้ ...
  
นักบริหารกับความสำเร็จ
นักบริหารกับความสำเร็จ
สำเร็จของนักบริหาร โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ นักบริหารที่ต้องการประสบความสำเร็จในงานด้านบริหารจัดการ ควรมีหลักยึดของนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักยึดในการปฏิบัตินั้นมีอยู่หลายทฤษฏี มีอยู่หลายแบบ แล้วแต่ว่าเราจะยึดหลักไหน แต่ในวันนี้กระผมขอนำเสนอ หลักยึดหนึ่งที่ทำให้ผู้บริหารประสบความสำเร็จก็คือ 1.ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จต้องปลุกศักยภาพของตนเองอยู่เสมอ คนเรามีศักยภาพอยู่ในตนเองแต่มีน้อยคนนักที่จะนำออกมาใช้ให้มากที่สุด ผู้บริหารส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จมักไม่นำศักยภาพในตนเองมาใช้อย่างเต็มกำลัง มักจะนำมาใช้น้อยมากเมื่อเทียบกับนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ สำหรับการพัฒนาศักยภาพของตนออกมาใช้อาจทำได้โดย การให้กำลังใจแก่ตนเอง การออกกำลังกายสม่ำเสมอเมื่อร่างกายแข็งแรง จิตใจก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย การฝึกอบรมตามสถาบันต่างๆ และการฝึกจินตนาการเรื่องที่ตนมีความสุขหรือต้องการประสบความสำเร็จ 2.ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จต้องฟัง ต้องคิด ต้องพูด และต้องทำ ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จก็มักจะฝึกการฟังและฝึกการพูดไปด้วย การใช้กำลังความคิด การกระทำอย่างเต็มที่ มักทำให้เกิดการสร้างงานและพัฒนาตนเอง - บริหารที่ดี ต้องรู้จัก ฟัง ฟัง ฟัง ฟัง เพื่อหาความต้องการหรือปัญหาที่แท้จริง ตั้งใจฟังในปัญหาหรือความต้องการของลูกน้องหรือลูกค้า ไม่ควรพูดในขณะที่ลูกน้องหรือลูกค้า บอกหรือบรรยายเกี่ยวกับปัญหาเพราะจะทำให้เราไม่ทราบปัญหาที่แท้จริง สำหรับศิลปะในการฟัง คือ เมื่อลูกน้องหรือลูกค้า เล่าเรื่องหรือปัญหาอะไร เราอาจมีการตอบรับบ้าง เช่น โอ้โฮ เหรอครับ เยี่ยมเลย ครับ ค่ะ ยอดไปเลย คือฟังแล้วได้อรรถรสได้บรรยากาศ มี Feedback (การตอบสนองกลับมาบ้าง) จะทำให้ลูกน้องหรือลูกค้า รู้สึกว่าเราให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูดมา - ผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักคิด คิดเป็นระบบ คิดรอบด้าน คิดในการหาทางออกของปัญหา โดยอาจมีวิธี คิด เป็นระบบ คิดในเชิงกลยุทธ์ คิดในอนาคต คิดในเชิงเปรียบเทียบ คิดในการหาทางออกของปัญหาว่าจะแก้ไขอย่างไร จึงจะดีที่สุดในสถานการณ์ในขณะนั้น เพื่อถ้าผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาด องค์กรนั้นอาจถึงขั้น ล้มละลายเลยก็ได้ ดังเช่น สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในอดีตและปัจจุบัน ในบางครั้ง ผู้บริหารหรือผู้นำ อาจคิดมากจนเกินกว่าเหตุ ซึ่งสิ่งที่คิดอาจทำให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไม่มีประโยชน์ ดังคำพูดที่บอกว่า “ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังคำพูด” - ผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักฝึกพูด ระวังคำพูดในการพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา พูดในสิ่งที่ควรพูดเมื่อมีปัญหาหรือคนในองค์กร รวมทั้งลูกค้า เกิดความไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ผู้บริหารที่ดีจึงเป็นผู้ที่ต้องรู้จักใช้คำพูด รู้ว่าเมื่อไร ควรพูด เมื่อไร ควรเงียบ เพราะการ ที่พูดออกไปโดยไม่ได้คิด ก็เหมือนกับการยิงกระสุนออกไปโดยไม่ได้เล็งเป้า และถ้าผู้บริหารหรือผู้นำ สื่อสารผิดก็จะทำให้คนในองค์การเกิดความไม่เข้าใจหรือสับสนได้ - ผู้บริหารที่ดีต้องรู้จักทำ ควรประพฤติตนให้สมกับเป็นผู้นำ ผู้บริหาร จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มีจริยธรรม มีคุณธรรม ถ้าผู้นำหรือผู้บริหาร ทุจริตต่อองค์กร ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์กร ลูกน้องก็จะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าผู้นำหรือผู้บริหารเป็นคนดี ขยันขันแข็ง ลูกน้องก็จะเอาเยี่ยงอย่างเช่นกันคือ ประพฤติดี ขยันขันแข็งในการทำงาน ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักนำศักยภาพของตนมาใช้ให้มากที่สุด ดังนั้น ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักพูด รู้จักคิด รู้จักทำ และรู้จักฟัง จึงจะประสบความสำเร็จในการเป็นนักบริหารที่ดี ความลับของความสำเร็จ คือ เตรียมตัวให้พร้อม พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ดึงศักยภาพของตนเองออกมาให้เต็มที่ เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึง ในวันข้างหน้า
รายละเอียด



...
  
นักบริหารกับมนุษย์สัมพันธ์
ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
ผู้บริหารกับมนุษย์สัมพันธ์ โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก ถึงเหล็กฟากรัดไว้ก็ไม่มั่น จะถูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์ ไม่เหมือนพันผูกไว้ด้วยไมตรี เป็นคำสอนของคนโบราณ การที่คนเราจะช่วยเหลือกัน ซื้อขายสินค้า ร่วมมือประสานงานกัน การมีไมตรีจิตที่ดีต่อกัน การมีมนุษย์สัมพันธ์ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มนุษย์สัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งอาศัยอยู่ในสังคมร่วมกัน อย่างผาสุก ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจอันดีต่อกัน มุ่งให้เกิดความร่วมมือต่อกัน ดังนั้น มนุษย์สัมพันธ์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะในการเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับบุคคลเพื่อให้ได้มา ซึ่ง ความนับถือ ความรัก ความร่วมมือ ความจงรักภักดี และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน (ศาสตร์คือ หลักการทฤษฏี องค์ความรู้ ศิลปะคือการประยุกต์ใช้ทฤษฏี องค์ความรู้) นักบริหารจึงจำเป็นจะต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน ซึ่งเทคนิคในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์มีหลาย ประการดังนี้ 1. ต้องเข้าใจธรรมชาติของคนเรา เพราะมนุษย์เรามีความหลากหลาย ทั้งความคิดเห็น แง่มุม ความเชื่อ พฤติกรรม ดังคำโบราณเคยพูดไว้ว่า มนุษย์เรามีร้อยพ่อพันแม่( ถ้าเทียบตามสัดส่วน หนึ่งพ่อย่อมมีสิบแม่) เมื่อเรารู้เช่นนี้ เราจะได้หาวิธีการสร้างสัมพันธภาพได้อย่างเหมาะสม เพราะคนเรามีความชอบ มีรสนิยมแตกต่างกัน มีประวัติภูมิหลังแตกต่างกัน 2. ต้องรู้จักสร้างสัมพันธ์กับคน การที่คนเรามีมนุษย์สัมพันธ์ จะต้องมีเทคนิคและวิธีการสร้างอยู่พอสมควร เช่น เทคนิคในการพูด เทคนิคในการนำเสนอ การพูดของคนเรานี่สำคัญมาก นักบริหารที่ดีจะพูดให้คนชอบ หรือคนเกลียดก็ได้ จะพูดให้คนพอใจ หรือ พูดให้คนไม่พอใจก็ได้ ผู้บริหารที่ดีควรยิ้มแย้ม แจ่มใสซึ่งจะทำให้บรรยากาศในที่ทำงานดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ทำหน้าเครียดจริงจังตลอดเวลาจนลูกน้องไม่กล้าเข้าใกล้ 3. ต้องสร้างลักษณะของผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เช่น การแต่งกาย บุคลิกภาพ ท่าทางที่ดี มีลักษณะการเข้ากับคน กิริยามารยาทเรียบร้อย ตลกขบขัน เบิกบาน ความกระตือรือร้น คือ มีชีวิตจิตใจ ไม่เซื่องซึม หรือมึนชา มีความเบิก-บาน แจ่มใส 4. ต้องไม่ทำตัวเด่น หรือด้อยเกินไป การทำตัวเด่นไปทำให้คนอื่นดูด้อยค่า เพราะฉะนั้น นักบริหารควรไม่ทำตัวเด่นเกินไป เพราะจะทำให้คนอื่นๆ อิจฉา ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารไม่ควรทำตัวด้อยเกินไป ด้อยจนไร้คุณค่าทำให้ลูกน้อง ขาดความเชื่อถือ ศรัทธา 5. ต้องมีอารมณ์หนักแน่น เก็บความรู้สึกได้ ธรรมชาติของคนเรา มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีรัก ซึ่งเป็นธรรมดาของความเป็นมนุษย์ แต่ นักบริหารที่เก่ง มักจะต้องเก็บอารมณ์เก่ง โดยเฉพาะอารมณ์โกรธ เพราะถ้าเกิดหลุด เกิดโกรธแล้ว บางครั้งทำให้งานใหญ่เสียได้ 6. ต้องให้ความช่วยเหลือ ให้เกียรติ ให้อภัย ผู้อื่น คนที่จะเป็นผู้บริหารหรือเป็นคนเหนือคน จะต้องให้ความช่วยเหลือคนอื่น เนื่องจากสังคมจะเจริญก้าวหน้าได้ก็ด้วยการช่วยเหลือกันและกัน ผู้บริหารจะต้องให้เกียรติผู้อื่น ต้องให้เกียรติลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ในขณะเดียวกันต้องรู้จักให้อภัยแก่ผู้อื่น คนทุกคนในโลกนี้ ไม่มีใครไม่เคยทำผิด ดังนั้น เมื่อลูกน้องทำผิด คนอื่นทำผิด ผู้บริหารจำเป็นจะต้องรู้จักให้อภัยแก่เขา สรุปได้ว่า นักบริหาร ที่ประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องอาศัยปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คือ การมีบุคลิกภาพทั้งภายนอกและภายในที่ดี การมีทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้คนทั้งทางภาษาคำพูดและภาษาท่าทาง การมีความเข้าใจธรรมชาติ ความต้องการของคนเรา การควบคุมตัวเอง มีจิตวิทยาในการบริหาร รวมถึงบทบาทหน้าที่ และลักษณะงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ งานบริหาร จำเป็นต้องมีความอดทน งานบริหาร ต้องอาศัยความต่อเนื่อง นักบริหาร จำเป็นต้องมีหัวใจรักและทุ่มเทในงานบริหาร ...
  
การพัฒนาศักยภาพตนเอง
การพัฒนาศักยภาพตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพัฒนาศักยภาพของตนเองมีความสำคัญมากกับความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การทำงาน คนที่ต้องการประสบความสำเร็จควรจำเป็นต้องมีการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ซึ่งคงต้องมีการพัฒนากันหลายๆ ด้าน เช่น
1.การอ่านหนังสือ คนที่ต้องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ต้องเป็นคนที่ชอบการอ่าน รักการอ่าน การสร้างนิสัยรักการอ่าน เราควรฝึกอ่านหนังสือในแนวที่เราชอบหรือรักก่อน แล้วจึงขยายไปอ่านหนังสือในแนวต่างๆ สำหรับการอ่านเพื่ออาชีพ เราควรหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเรา อ่านให้มากที่สุด อย่างน้อยเดือนละ 3-5 เล่ม ต่อเดือน และควรหาวารสารนิตยสารเกี่ยวกับอาชีพที่เราทำ อ่านเพื่อหาความก้าวหน้า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในแวดวงอาชีพนั้น
2.การเข้าฟังสัมมนาดีๆ การอบรมดีๆ ถือว่าเป็นทางลัดในการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพราะวิทยากรหรืออาจารย์มักมีประสบการณ์หรือมีเทคนิคต่างๆ ในการสัมมนาหรือการอบรม ทำให้เราสามารถนำเทคนิคต่างๆ เหล่านั้น มาปรับใช้ ประยุกต์ใช้ได้ด้วย
3.การฟังเทปหรือCD วิชาการในรถ เมื่อมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในที่ต่างๆหรือไปยังสถานที่ต่างๆ เท่าที่มีเวลาว่างหรือโอกาส เราควรใช้เวลาว่างนั้นๆ ในขณะขับรถโดยการเปิดฟังเทปหรือCD วิชาการ ฟัง
4.หาทางเข้าสังคมหรือการสร้างเครือข่ายในอาชีพ หรือในงานอดิเรกที่เราสนใจ เช่น สมาคม สโมสร ชมรม ( สมาคมฝึกพูด , สโมสรนักเขียน , ชมรมกีฬาต่างๆ) เพื่อหาเพื่อนหรือเครือข่ายในการช่วยเหลือกัน
5.การดูแบบอย่าง การหาแบบอย่าง การดูต้นแบบ จะทำให้เราเกิดการลอกเลียนแบบ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว มักมีต้นแบบเสมอ เราจะสังเกตเห็นว่า บางคนตอนเด็กๆ อย่างเป็นนักร้องแบบนักร้องคนโน้นคนนี้ จึงเริ่มต้นฝึกร้องเพลงหรือบางคนอย่างชกมวยเก่งแบบเขาทราย เขาจึงเอาหนังสือประวัติของเขาทรายมาอ่าน แล้วเขาก็จะมีกำลังใจในการฝึกฝน อดทนในการซ้อมชกมวย ฯลฯ
6.หาเวลาว่างให้กับตนเอง การใช้ชีวิตของคนเราในภาวะปัจจุบันเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว ทำให้ทุกๆคนต้องแข่งขันกันเกือบทุกๆด้าน บางคนยุ่งวุ่นวายมากจนไม่มีเวลาให้ ครอบครัว หรือแม้กระทั่งตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จมักจะต้องจัดเวลาให้แก่ตนเอง เพื่อใช้ในการคิดหรือเพื่อใช้เวลาสำหรับการพักผ่อน
7.ฝึกจดบันทึกส่วนตัว เกี่ยวกับความสำเร็จ ไอเดียใหม่ๆ การใช้ชีวิตประจำวัน การจดสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่ลืม หรือ สามารถนำเอาไอเดียเหล่านั้นมาใช้เพื่อสร้างเป็นธุรกิจหรือการทำงานของเราได้ อีกทั้งท่านสามารถรวบรวมเป็นหนังสือโดยการรวมเล่มขายได้อีกด้วย
8.ต้องฝึกปฏิบัติหรือพัฒนาตนเองตลอดเวลา จะมีประโยชน์อันใด หากว่าเราอ่านหนังสือ เรียนรู้เทคนิคต่างๆ ในการสัมมนา ฟังเทปหรือCD วิชาการ ถ้าเราฟังแบบสนุกหรือผ่านๆ ไป แต่ไม่นำมาปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเราเอง และไม่เกิดการพัฒนา ชีวิตของเราก็จะคงเดิม ไม่ก้าวหน้า
เช่น เรียนรู้เทคนิคทางด้านการพูดแต่ไม่นำเอาเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ หรือไปอบรมเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองแต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนเรื่องของการแต่งกาย เรื่องของท่าทางในการเดินการนั่ง หรือ ฟังเทปหรือCD เรื่องการบริหารเวลาแต่ไม่มีความจริงจังในการทำแบบฝึกหัดที่วิทยากรบรรยาย ฯลฯ
ฉะนั้น หากต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองหรือพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างแท้จริง เมื่อได้อ่าน เมื่อได้ฟังสิ่งใดแล้วเกิดประโยชน์กับตนเอง แล้วคิดว่าเราน่าจะพัฒนาสิ่งนี้ ก็ขอให้รีบนำสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้มาปฏิบัติ ก็จะทำให้ตนเองเกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง
คนเรามักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลง
...
  
การทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิด ความเห็นที่เป็นอิสระ ปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้อง ตามเหตุตามผลด้วย จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วน
พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การทำงานเป็นทีม ถือว่าเป็นหัวใจหนึ่งในการทำงานร่วมกัน องค์กรไหน บริษัทไหน หน่วยงานไหน ที่สามารถสร้างทีม พัฒนาทีม ให้ทำงานร่วมกันได้ องค์กรนั้น บริษัทนั้น หน่วยงานนั้นจะเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมต้องทำงานเป็นทีม แน่นอนการทำงานบางอย่างอาจจะทำคนเดียวได้ แต่การทำงานบางอย่างต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจึงจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากทุกคนมีความสามารถแต่ความสามารถของทุกคนมีจำกัด การนำความสามารถของทุกคนมารวมกันจึงเกิดผลงานมากขึ้น อีกทั้งงานบางอย่างต้องการความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์จึงต้องการคนมาทำงานด้วยการคิดร่วมกัน งานจึงออกมาสำเร็จ
การทำงานเป็นทีมคือ การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาทำงานร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน
การทำงานเป็นทีมที่ดี คือ ทีมต้องทำงานร่วมกัน โดยทุกคนในทีมจะต้องทุ่มความคิด ทุ่มแรงกาย เพื่องาน เพื่อความสำเร็จของงาน โดยไม่ถือว่าเป็นผลงานของคนคนเดียวแต่ผลงานทั้งหมดเป็นของทีม ทีมที่ดีควรสร้างบรรยากาศในการทำงานให้มีความไว้ใจกัน เชื่อใจกัน มีความผูกพันกันจนก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี กันในทีม
เมื่อทีมมีประสิทธิภาพในการทำงานประโยชน์ที่ได้รับก็คือ การทำงานจะมีพลังอย่างมากมายมหาศาล ผลงานที่เกิดขึ้นจะมีมากมาย ช่วยลดต้นทุนในการทำงาน ผลงานมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆหรือนวัตกรรมใหม่ๆ
การทำงานเป็นทีมที่ดีมักมีองค์ประกอบของทีมดังนี้ มีวัตถุประสงค์ในการทำงานร่วมกัน มีระบบบริหารหรือการจัดการทีมที่ดี มีสมาชิกที่มีคุณภาพมีความสามารถในการทำงานมีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีผู้นำทีมที่มีประสิทธิภาพมีภาวะผู้นำที่ดี
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำงานเป็นทีม ทำให้ทีมเกิดการแตกแยก ได้แก่ เรื่องของผลประโยชน์ เรื่องของความขัดแย้ง เรื่องของการเสียสละ เรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล เรื่องของการสื่อสาร ฯลฯ
แนวทางในการลดปัญหาในการทำงานเป็นทีม คือ สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน มีการสื่อสารกันอย่างชัดเจนไม่ปิดบังกัน มอบหมายงานก็ต้องมีความชัดเจนแน่นอนไม่เปลี่ยนไปมา ยอมรับในความแตกต่างของสมาชิกในทีม เนื่องจากคนเราเกิดมาก็มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เพศ วัย ศาสนา การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความสามารถ ประสบการณ์ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดในการทำงานเป็นทีมให้ประสบความสำเร็จ เช่น
- การประชุมของทีมงาน ทีมงานที่ดีต้องมีการประชุมกันสม่ำเสมอ เพื่อให้สมาชิกได้ปรึกษาหารือในการ
ทำงานร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน ระดมความคิดร่วมกันในการทำงาน
- ภาวะผู้นำกับการทำงานเป็นทีม ผู้นำมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ผู้นำมี
หน้าที่ในการบอกวัตถุประสงค์ที่จะต้องทำงานร่วมกันให้ชัดเจน ผู้นำจะต้องมีหน้าที่ในการชี้นำ สอนงาน สั่งงาน อำนวยการ พร้อมทั้งติดตามควบคุมการทำงานของทีมเพื่อให้เกิดมีประสิทธิภาพ
- ส่วนทักษะของผู้นำทีมที่ดี คือ ต้องมีความสามารถทางด้านการสื่อสาร ต้องมีความสามารถในด้านบริหารหรือการจัดการ (วางแผน จัดองค์กร จัดคนเข้าทำงาน สั่งการหรืออำนวยการ และการควบคุม) ต้องมีความสามารถในด้านการเจรจาต่อรองและแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม
สรุป การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญมากในการทำงานขององค์กร ของหน่วยงาน หากองค์กร หน่วยงาน ไหนที่มีทีมงานที่เข้มแข็ง ย่อมก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันกับองค์กรหรือหน่วยงานอื่น

















...
  
การจัดการเวลา
การจัดการเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เวลาเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ใช้ในการดำรงชีวิตและการทำงาน เมื่อเรามาวิเคราะห์การใช้เวลา เราจะเห็นได้ว่า เรามักเสียเวลาไปกับการนอน การทำงาน การเดินทาง การกิน การพักผ่อน ฯลฯ
เคยมีคนศึกษาการใช้เวลาของคนไทย โดยมีอายุเฉลี่ย 72 ปี คนไทยโดยเฉลี่ยมักใช้เวลาไปกับการนอนถึงวันละ 8 ชั่วโมง ( นอน 24 ปีหากคิดจากอายุเฉลี่ย 72 ปี) , ทำงาน 6 ชั่วโมง( ทำงาน 18 ปีหากคิดจากอายุเฉลี่ย 72 ปี) ,เดินทาง 3 ชั่วโมง(เดินทาง 9 ปีหากคิดจากอายุเฉลี่ย 72 ปี) ฯลฯ
ฉะนั้น หากเราสามารถปรับปรุงการใช้เวลาหรือหากเรามีการจัดการเวลาที่ดี ก็จะทำให้เราสามารถทำงานได้มากขึ้น สร้างผลงานต่างๆให้กับโลกได้มากขึ้น เช่น เราสามารถลดจำนวนเวลาในการนอนจากเฉลี่ยนอนวันละ 8 ชั่วโมง เราอาจลดเหลือ 7 ชั่วโมง ก็จะทำให้เราสามารถมีเวลาเหลืออีก 1 ชั่วโมงต่อวัน หรือมีเวลามากกว่าคนอื่นถึง 3 ปีหากคิดจากอายุเฉลี่ย 72 ปี
หากจะพิจารณาว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยในการใช้เวลาของคนเรา อาจมีอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ 1.ตัวเราเอง 2.ผู้อื่นและ3.สิ่งแวดล้อม แต่ปัจจัยที่ทำให้การจัดการเวลามีประสิทธิภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเราเองถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมมีส่วนแค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การจัดการเวลาที่ดีควรเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน
นักจัดการเวลาที่ดีควรจัดเวลาโดยการแบ่งเวลาให้เป็นระบบระเบียบ เช่น นักเขียนที่ประสบความสำเร็จหรือนักเขียนมืออาชีพมักจะมีการจัดตารางเวลาในการเขียน นักเขียนบางคนเริ่มต้นเขียนตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 4 โมงเย็น เขาก็จะปฏิบัติตามทุกวันจนเคยชินและเป็นนิสัย
จังหวะเวลามีความสำคัญ กล่าวคือต้องรู้ว่าอะไรควรทำก่อน อะไรควรทำทีหลัง เช่น การต้มถั่วเขียวต้องเอาตัวถั่วเขียวใส่น้ำแล้วต้มจนเม็ดถั่วแตกก่อนแล้วใส่น้ำตาลลงไป กล่าวคือ ต้องรู้ว่าอะไรควรใส่ก่อน อะไรควรใส่ทีหลัง แต่ถ้า ใส่น้ำตาลก่อนแล้วใส่ถั่วเขียว จะปรากฏว่าเม็ดถั่วเขียวไม่ยอมแตก ทำให้เสียเวลาเปล่า
อยากทำอะไรให้รีบทำ ไม่ควรนึกฝันแล้วไม่ลงมือทำ เคยมีลูกศิษย์ของผู้เขียน เคยถามผู้เขียนว่า เขามีโอกาสไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา เพราะพ่อแม่มีฐานะอีกทั้งมีญาติอยู่ที่สหรัฐอเมริกา สามารถช่วยเหลือและให้คำแนะนำต่างๆได้ แต่ในปัจจุบันเขาทำงานในหน่วยงานเอกชนแห่งหนึ่งใน กรุงเทพฯ จะลาออกไปเรียนต่อหรือทำงานต่อดี ผู้เขียนจึงแนะนำว่า เธอควรไป ถ้าเธออยากไป และถ้าหากเธอไม่อยากไปเธอก็ควรไป สรุปผู้เขียนพยายามพูดหว่านล้อมให้เขาไปเรียนเนื่องจาก เราควรลงมือตัดสินใจทำถ้ามีโอกาส ถ้าหากปล่อยเวลาเนิ่นนานต่อไป โอกาสนั้นอาจจะไม่กลับมาหาอีกก็ได้ ในที่สุด ลูกศิษย์ของผู้เขียนตัดสินใจไป เรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา 2 ปี แล้วกลับมาทำงานที่บริษัทอีกแห่งหนึ่งที่ กรุงเทพฯ เป็นบริษัทมหาชน โดยเขาได้รับเงินเดือนถึงหกหลักเลยทีเดียว
การจัดการเวลาที่ดีควรมีการวางแผนและประเมินหรือควบคุมแผนที่วางไว้ เช่นมีเครื่องมือ Diary ,ตารางเวลา,ใบงาน , สมุดบันทึก ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนอาจใช้เครื่องมือหรือมีวิธีการในการจัดการเวลาที่ต่างกัน โดยไบรอัน เทรซี่(นักพัฒนาศักยภาพของมนุษย์) เคยกล่าวไว้ว่า ทุกๆ นาทีที่ใช้ในการวางแผนจะประหยัดเวลาได้มากถึง 10 นาที ฉะนั้นหากคุณใช้เวลาวางแผน 10 นาที คุณจะประหยัดเวลาได้ตั้ง 100 นาที หรือ 1 ชั่วโมงกับ 40 นาที เลยทีเดียว
สำหรับการจัดการเวลาของผู้เขียน ผู้เขียนมักมีเครื่องมือที่ใช้ กล่าวคือ มี Diary 1 เล่ม มีสมุดบันทึก มีกระดาษเปล่า A4 โดยทุกๆคืน ผู้เขียนจะมานั่งวางแผนโดยคิดวางแผนเป็นแผนรายปี ทุกปีต้องมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จ โดยมี Diary พกติดตัวเป็นประจำ ถ้ามีงานใหม่ๆ เข้ามาก็จะบันทึกลงไปว่าต้องทำอะไรในวันไหน สำหรับสมุดบันทึกใช้บันทึกข้อความต่างๆ ที่อ่านพบแล้วรู้สึกประทับใจก็จะบันทึกไว้ เพื่อเป็นข้อมูลในการเขียนหนังสือต่อไป สำหรับกระดาษเปล่า A4 ทุกคืน ผู้เขียนจะมานั่งวางแผนว่าจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้โดยเรียงลำดับจาก 1-15 และหมายเหตุลำดับว่าอะไรต้องทำก่อนทำหลัง พอถึงวันพรุ่งนี้ก็ทำตามลำดับในกระดาษ A4 ที่ได้วางแผนไว้ เมื่อลำดับไหนทำเสร็จก็จะขีดฆ่า และเมื่อมีอะไรจะต้องทำในวันพรุ่งนี้หรือวันนี้ ก็จะเขียนลงในตอนท้ายของกระดาษ A4
ทั้งนี้การจัดการเวลาเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือ สามารถเรียนรู้ได้ สามารถนำไปปฏิบัติ บางหลักการคนอื่นนำไปใช้แล้วได้ผล แต่บางคนอาจจะไม่ชอบ เราก็สามารถเลือกวิธีการวางแผนหรือเลือกใช้เครื่องมือในการวางแผนตามที่เราถนัดหรือชอบได้ แต่ทั้งนี้ถ้าอยากให้ได้ผลเราก็ควรที่จะปฏิบัติตามและลงมือทำอย่างตั้งใจ ทำจนเป็นนิสัยถึงจะประสบความสำเร็จในเรื่องของการจัดการเวลา
...
  
การสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่
การสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

www.drsuthichai.com

ทำไมถึงต้องมีการทำงานเป็นทีม เพราะการทำงานคนเดียวไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะการทำงานคนเดียวมีข้อจำกัดมากมาย การทำงานคนเดียวเหมาะสำหรับการที่จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายเล็กๆ แต่หากต้องการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เราจึงต้องทำงานกันเป็นทีม

หากเปรียบเทียบระหว่างช้างกับมดป่า ช้างตัวโตมีพลังและกำลังมากมายมหาศาล แต่ถ้า มดป่ารวมกันเป็นฝูงใหญ่ ช้างนั้นก็ต้องกลัวมดป่าฝูงใหญ่เช่นกัน

ปลวก ปลวกเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ แต่ปลวกสามารถสร้างจอมปลวกอันเข้มแข็งใหญ่โตเท่าภูเขาลูกเล็กๆขึ้นมาได้ ซึ่งจอมปลวกสามารถทนต่อลมฝน อีกทั้งพายุไม่สามารถจะทำลายลงได้ ทั้งนี้เพราะเหตุใด ก็เพราะปลวกเป็นสัตว์ตัวเล็กที่รู้จักช่วยเหลือกัน รู้จักความสามัคคี ทำงานกันเป็นทีม และมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ของมัน

ฟิช! ป(ล)า ฏิหาริย์แห่งความสำเร็จ พัฒนาความสุขให้ชีวิต เป็นหนังสือที่บ่งบอกเรื่องของการทำงานในตลาดปลา ซีแอตเติล ให้ประสบความสำเร็จซึ่งพูดถึงเรื่องของ การใส่ใจในบริการ การเลือกใช้ทัศนคติ เล่นให้เป็นงาน สร้างสรรค์วันดี และอีกปัจจัยหนึ่งในการทำงานได้ประสบความสำเร็จก็คือการทำงานเป็นทีมนั่นเอง ตลาดปลาในซีแอตเติลถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าเรียนรู้ อีกทั้งยังมีผู้คนจากหลายประเทศไป ศึกษาและดูงาน

นิ้วหนึ่งนิ้วจะไม่มีพลัง แต่ถ้านิ้วมีห้านิ้วร่วมกันเป็นมือ มือนั้นก็จะทำอะไรได้หลายอย่าง เช่นกัน คนหนึ่งคนก็เหมือนกับนิ้วหนึ่งนิ้ว แต่ถ้ามีคนห้าคนรวมกันก็จะทำอะไรได้มากมาย ถ้าท่านลองเปิดร้านอาหาร ท่านจะสามารถทำงานคนเดียวได้หรือไม่ แต่หากท่านมีคนห้าคนช่วยกันทำงานเป็นทีม การเปิดร้านอาหารก็จะทำงานได้ง่ายขึ้นและประสบความสำเร็จมากกว่าการทำงานเพียงคนเดียว

หลักพุทธศาสนากับการทำงานเป็นทีม สังคหวัตถุ 4 อันได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา

ทาน คือ การให้ การเสียสละ การแบ่งปัน ช่วยเหลือกันในทีม

ปิยวาจา คือ การกล่าววาจาที่สุภาพ อ่อนหวาน ไม่พูดเสียดสี ไม่พูดว่ากล่าวให้ร้ายกันในทีม ไม่พูดหยาบคาย มีการชมเชยกันในทีมด้วยความจริงใจ

อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญตนช่วยเหลือกันในทีม ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น

สมานัตตตา คือ การวางตนให้เหมาะสม มีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น มีความร่วมทุกข์ ร่วมสุข ใน ทีมงาน

การประชุมทีมมีความสำคัญมากในการทำงานร่วมกัน ควรต้องมีการสื่อสารร่วมกันในทีมงาน โดยมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ มีการปรึกษาหารือปัญหาและแก้ไขปัญหาร่วมกัน การประชุมจะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาร่วมกันในทีมงาน มีการตัดสินใจร่วมกัน

การออกกฎเกณฑ์ในการทำงานเป็นทีมก็มีความสำคัญ เราจะเห็นว่าการทำงานร่วมกันเป็นทีมต้องทำงานกับคนอื่น ไม่ได้ทำงานคนเดียว ดังนั้น ก่อนทำงานเป็นทีมควรประชุมกันเพื่อหารือกฏเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน เสียก่อนแล้วจึงนำไปปฏิบัติร่วมกัน จะทำให้ปัญหาในการทำงานลดน้อยลง



ผู้นำทีมมีความสำคัญกับอนาคตของบริษัท Jack Welch ประธานกรรมการบริหารสูงสุดของ GE เป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงในเชิงบริหารงาน มีอยู่ช่วงหนึ่ง Jack Welch ได้เรียกประชุมพนักงาน แล้วทำการแบ่งกลุ่มให้เป็นทีม ซึ่งแต่ละทีมจะมีคนอยู่ทำงานร่วมกัน 10 คน และให้แต่ละทีมนำเสนอโครงการต่างๆเพื่อพัฒนาบริษัท แล้วเขาก็พิจารณาโครงการต่างๆนั้น เมื่อผ่านก็จะอนุมัติให้ผู้บริหารและทีมงานนำไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ หากประเมินแล้วไม่ประสบความสำเร็จก็จะถูกลดเงินเดือนหรือบางคนอาจถูกปลดออกจากงาน ฉะนั้นวิธีการนี้ทำให้บริษัท GE พัฒนาได้อย่างรวดเร็วกว่าบริษัทอื่นๆ

สรุป ปัจจัยที่จะสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่มีอยู่หลายปัจจัย เช่น ตัวผู้นำ ตัวผู้ร่วมทีมงาน กฎระเบียบในการทำงานร่วมกัน การประชุมหรือการสื่อสารภายในทีม การสร้างเป้าหมายของทีม การสร้างทัศนคติให้กับทีมงาน ฯลฯ






...
  
คุณลักษณะผู้นำ
คุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่เป็นผู้นำมักมีลักษณะบางอย่างที่เด่นกว่าผู้ตาม คนที่เป็นผู้นำมักเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ผู้อื่นยอมทำตาม อีกทั้งผู้ตามยอมได้นำเอาความประพฤติ ได้นำเอาแบบอย่างในการทำงาน ผู้ตามบางคนถึงกับยอมถอดแบบผู้นำ บางคนลอกเลียนแบบอย่างของผู้นำ ในบทความฉบับนี้ เราจะมาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนกันในเรื่อง คุณลักษณะของผู้นำที่ดีมีอะไรบ้าง คุณลักษณะของผู้นำในทัศนะของกระผมมีดังนี้ครับ
1.มีเป้าหมาย ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรมีเป้าหมายเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายชีวิต เป้าหมายในการทำงาน เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงองค์กร เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ การมีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้นำมีทิศทางในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย ตรงกันข้าม หากผู้นำไม่มีเป้าหมาย ผู้นำก็จะรู้สึกสับสน เปรียบดังเรือที่ไร้หางเสือ อีกทั้งไม่รู้จะไปในทิศทางไหนเหมือนอยู่กลางมหาสมุทร
2.ความรอบรู้ ยุคปัจจุบัน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคที่จะต้องใช้ ความคิด ความรู้ มาแข่งขันกัน ไม่เหมือนยุคในสมัยอดีตมักจะใช้กำลังในการต่อสู้หรือการทำสงคราม ผู้นำที่มีข้อมูลมากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท(มหาชน) , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน
ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ











...
  
คิดทำอย่างเศรษฐี
คิดทำอย่างเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่จะเป็นเศรษฐี มักมีบุคลิก ลักษณะ ทัศนคติ นิสัยใจคอ ส่วนใหญ่ที่คล้ายคลึงกัน เช่น หากผมชี้ไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแล้ว ถามพวกเราว่าคนกลุ่มดังกล่าวใครเป็นคนมีฐานะดีร่ำรวย ผมเชื่อแน่ว่าหลายๆคนอาจชี้เหมือนกัน กล่าวคือ ดูจากบุคลิก ท่าทาง การพูดจา เรียกว่าคนๆนั้นเป็นคนมี “ ราศีจับ ” นั้นเอง
ดังนั้น การจะเป็นเศรษฐีท่านจำเป็นจะต้องเรียนรู้และสังเกตว่า บรรดาคนมีฐานะดี ร่ำรวยและเป็นเศรษฐีเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งอาจพูดรวมได้ว่าเศรษฐีส่วนใหญ่มีหลักการสำคัญที่เหมือนกันดังนี้
1.มีความคิดว่าตนเองมีสิทธิเป็นเศรษฐีหรือร่ำรวยได้ วิธีการสร้างความคิด ความฝัน ที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ หมั่นจินตนาการว่า ตนนอนหลับในบ้านหลังใหญ่ที่สวยหรู จินตนาการว่าตนขับรถคันใหญ่ราคาแพง มีคนใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ ถ้าหากท่านจินตนาการบ่อยๆ ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้งหลายๆนาที ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของท่านรับรู้ความรู้สึกนั้นมากขึ้น ถ้าจะให้ดีท่านควรตัดภาพรูปรถ รูปบ้านที่ตนเองต้องการ ติดไว้ในห้องทำงาน ห้องนอน แล้วมองมันทุกวัน หลักการนี้เป็นหลักการที่บริษัทฝึกอบรมเกี่ยวกับการขายใช้ในการอบรมนักขาย
2.เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จงเขียนเป้าหมายที่ท่านต้องการเป็นโดยเขียนเป็นลายลักษณะอักษรโดยแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลางและเป้าหมายระยะยาว เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีทิศทาง พวกเราคงเห็นเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล เมื่อถูกคลื่นซัดไปทางใดก็มันจะเคลื่อนไปทางนั้น แต่หากเรากำหนดทิศทางหรือมีเป้าหมาย เรือลำนั้นถึงแม้จะเจอคลื่นลม ก็สามารถฝ่าฟันคลื่นลมไปยังฝั่งเป้าหมายได้ ฉะนั้นควรกำหนดเป้าหมายว่าปีหน้าเราจะสร้างรายได้เท่าไร แล้วจงเขียนมันขึ้นมา
3.หาวิธีการ เมื่อมีจินตนาการ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ควรหาวิธีการในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เช่น ปีหน้าเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะมีรายได้ 1 ล้านบาท เราจะทำอย่างไร เช่น เราจะเขียนหนังสือขาย เราจะขายประกันชีวิต เราจะทำธุรกิจเครือข่าย ทำจะประกอบธุรกิจ ฯลฯ เพื่อที่จะหาเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
4.ลงมือทำทันที เมื่อมีจิตนาการ เมื่อมีเป้าหมาย เมื่อมีวิธีการแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การลงมือทำทันที บางคนมีจินตนาการสูง บางคนมีเป้าหมายชัดเจน บางคนมีวิธีการที่สวยหรู แต่ขาดการลงมือทำทันที สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่บังเกิดผล จงเริ่มต้นลงมือทำ
สำหรับแนวความคิด การกระทำ การดำเนินชีวิต คนที่ต้องการสร้างฐานะหรือเป็นเศรษฐีควรทำเป็นประจำก็คือ
- การพูดให้กำลังใจตนเองเป็นประจำ หากทำได้ควรทำทุกๆวัน ทุกๆตอนเช้า เช่นพูดชมเชยตนเอง พูดว่าฉัน
เป็นคนเก่งที่สุด พูดออกมาดังๆว่า ฉันเยี่ยมที่สุด เป็นต้น การพูดชมเชย การพูดให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ และในยามเช้าๆ จะทำให้เราทำงานด้วยความเบิกบานและมีความสุขเนื่องจากอารมณ์ดีสดชื่นแจ่มใส
- มองงานที่ทำให้มีความสนุก หากทำงานที่เราไม่ชอบ งานนั้นอาจสร้างความทุกข์ให้แก่เรา แต่หากเราได้
ทำงานที่เราชอบ งานนั้นจะเป็นงานที่สร้างความสุข ความสนุกให้แก่ตัวเราเอง จงปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงาน จงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้รวดเร็วขึ้น เช่น หากเรากำลังติดแสตมป์บนซองจดหมายซึ่งมีจำนวนมากเป็นพันซอง เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะติดให้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
- จงทำงานให้เกินเงินเดือน การทำงานให้เกินเงินเดือน มักจะทำให้เราเกิดประสบการณ์ในการทำงาน การ
ทำงานเกินเงินเดือน จะทำให้เราเรียนรู้ระบบการทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เจ้าของกิจการชื่นชอบ และในอนาคตหากต้องการออกไปประกอบอาชีพเองหรือเป็นเจ้าของกิจการเองก็สามารถนำประสบการณ์ไปใช้ได้
- มีแนวคิดการใช้เงินหรือระบบทำงานแทน เช่น มีแนวคิดจะลงทุนในหุ้น ลงทุนในที่ดิน ลงทุนในระบบธุรกิจ
เครือข่าย เป็นต้น คนที่จะเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่มักมีแนวความคิดที่จะใช้เงินลงทุน กล่าวคือ ใช้เงินต่อเงิน หรือใช้เงินไปหาเงินให้มีเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนร่ำรวย มีฐานะดี เป็นเศรษฐี ท่านควรหาต้นแบบ ท่านควรศึกษา แนวคิดของบรรดาเศรษฐี ว่าเขาลงทุนอะไร เขามีวิธีการลงทุนอย่างไร ถึงได้เกิดความร่ำรวยขึ้น เมื่อศึกษาจากคนต้นแบบแล้วจงเริ่มลงมือทำตามบุคคลต้นแบบ ท่านก็จะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นเศรษฐี

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.