หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  อยากสำเร็จต้อง.
  -  ธุรกิจเครือข่ายโอกาสทางธุรกิจ
  -  ขายตัวคุณเองก่อน....แล้วจึงขายของ...
  -  ความล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย
  -  การจัดการเวลา
  -  การสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาด
  -  ข้อห้ามสำหรับเจ้าหน้าที่ในการจัดการแสดงสินค้า
  -  ความสำเร็จเริ่มต้นที่ความกล้า
  -  ใช้ชีวิต...ให้เต็มชีวิต...
  -  การตลาดยุคใหม่ : Modern Marketing
  -  การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
  -  Brand Experience
  -  การตลาดรุ่ง เราต้องมุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์
  -  ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
  -  ชนะคู่แข่งด้วย SERVICE
  -  แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
  -  การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
  -  สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
  -  การตลาดของมหาเศรษฐี
  -  แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
  -  ธรรมชาติของงานบริการ
  -  อาวุธทางการตลาดคือการสร้างไอเดีย
  -  กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
  -  การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
  -  จงเข้าใจการตลาด...ก่อนลงมือทำการตลาด
  -  Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
  -  Celebrity Marketing
  -  อาวุธทางการตลาด การสร้างแบรนด์
  -  คุณสมบัตินักขายมืออาชีพ
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ใช้ชีวิต...ให้เต็มชีวิต...
ใช้ชีวิต...ให้เต็มชีวิต...
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนประสบความสำเร็จมักใช้ชีวิต อย่างคุ้มค่า เพราะทุกวินาทีของเขานั้นมีคุณค่า ทุกนาทีของเขานั้นมีความหมาย มนุษย์เรามีเวลาน้อยมากสำหรับการสร้างความยิ่งใหญ่ จงใช้ชีวิตให้เต็มชีวิต เมื่อท่านตายไปท่านจะไม่นึกเสียดายเวลาอีกเลย สำหรับคนที่ต้องการใช้ชีวิตให้เต็มชีวิตนั้น บุคคลนั้นจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1.มีเป้าหมายของชีวิต เป้าหมายมีความสำคัญมากต่อการดำรงชีวิตของบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกๆคนจะต้องมีการตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าตนเองต้องการอะไร ตรงกันข้ามกับบุคคลธรรมดาทั่วๆไป มักไม่มีการตั้งเป้าหมายขึ้นในชีวิตของตนเอง คนที่มีเป้าหมายเปรียบเสมือนเรือที่มีหางเสือ เมื่อลอยอยู่กลางทะเลแต่เรือสามารถลอยและเคลื่อนไปอีกฝั่งหนึ่งได้ หากเรือนั้นมีการกำหนดทิศทาง กำหนดเป้าหมาย แต่หากเรือลำใดไม่มีการกำหนดทิศทาง กำหนดเป้าหมายแล้ว เรือลำนั้นก็จะลอยอยู่กลางทะเล ไม่สามารถไปถึงฝั่ง
2.รู้จักบริหารเวลา คนที่ประสบความสำเร็จมักสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นกับชีวิต ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่รู้จักบริหารเวลา เขาจะมีการจัดสรรเวลา และทำงานอย่างเป็นระบบ เขาจะไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่เขาจะรู้จัก พัฒนาตนเอง ปรับปรุงตนเอง แก้ไขตนเองเสมอ
3.เต็มที่กับทุกเรื่อง คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีสมาธิจดจ่อ เมื่อเขาทำงาน เขาจะทำงานนั้นด้วยจิตใจที่ จดจ่อ เขาจะมีความตั้งใจสูงกับงานที่เขาทำ และเขาจะมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เมื่อกำหนดส่งงาน เขาก็จะทำเสร็จตรงตามกำหนดเวลาดังกล่าว
4.ทำทุกอย่างที่มีโอกาส คนที่ประสบความสำเร็จเขามักจะทำงานต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ ถึงแม้งานนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญและเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา แต่เขาคิดว่านี่คือโอกาสในการที่จะได้เรียนรู้ อีกทั้งได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากงานที่เขาได้รับมอบหมายแทนที่จะพร่ำบ่น แต่ตรงกันข้ามเขาจะทำด้วยความเต็มใจ
5.กล้าที่จะล้มเหลว คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่กล้าที่จะล้มเหลว เพราะเขารู้ดีว่า คนที่ประสบความสำเร็จมากมายในอดีต เป็นบุคคลที่ล้มเหลวในการทำสิ่งต่างๆ แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยยอมที่จะล้มเลิกต่างหาก จงกล้าที่จะล้มเหลว แล้วท่านจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งท่านล้มเหลวมาก ท่านก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้งานมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ท่านเดินทางเข้าใกล้ความสำเร็จยิ่งขึ้นอีก
ท้ายนี้อยากฝากแง่คิด คำคม ของสตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ผลงานของเขายังคงเป็นประโยชน์ต่อโลกอีกมากมาย “ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง”
...
  
การตลาดยุคใหม่ : Modern Marketing
การตลาดยุคใหม่ : Modern Marketing
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การทำการตลาดในยุคใหม่จะต้องมีความรู้ มีข้อมูลในเรื่องรอบๆตัว มีความไวต่อความต้องการของผู้บริโภค เพราะการแข่งขันในยุคปัจจุบัน มีความเปลี่ยนแปลง ไม่อยู่การตลาดยุคใหม่ นิ่ง และมีการนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้ จึงทำให้เกิดความรวดเร็วในการแข่งขันทางด้านการตลาด
นักการตลาดจึงจำเป็นจะต้องมีการลงพื้นที่ เพื่อไปสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำข้อมูล มาวิเคราะห์ ซึ่งจะอาศัยข้อมูล ตัวเลข สถิติต่างๆ หรืองานวิจัย แบบนักการตลาดในสมัยก่อน เพื่อนำมาวิเคราะห์แต่เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้อีกแล้ว เพราะจะทำให้นักการตลาดมองไม่เห็นภาพและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แท้จริง
การแข่งขันทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่สูง ทำให้นักการตลาดในยุคใหม่จะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งต้องทำงานหนัก เพื่อมุ่งเน้นการค้นหา นวัตกรรมในตัวของ สินค้า ผลิตภัณฑ์และการบริการ แปลกๆใหม่ๆ ขึ้นในวงการธุรกิจ ดังตัวอย่าง เช่น
สตีฟ จอบส์ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ บริษัท Apple ที่เขาก่อตั้งขึ้น ได้สร้างสินค้าใหม่ๆขึ้นในตลาด เช่น สินค้าตระกูล I (iPhone iPad iBoard ipod) และบริษัท NeXT ของเขา ได้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น จนดังระดับโลก เช่น Finding Nemo , Toy story ฯลฯ
ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจใหญ่ชาวอังกฤษ เจ้าของชื่อการค้า “เวอร์จิ้น” หรือ Virgin มีธุรกิจกว่า 360 บริษัท
เขาทำธุรกิจ ตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มทำนิตยสารตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนนักศึกษา แล้วขยายธุรกิจไปเรื่อยๆ เขาเป็นนักการตลาดยุคใหม่ระดับขั้นเทพ การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการตลาดของเขา เขามีความคิดนอกกรอบ เขาจะไม่เสียเงินจ้างสื่อให้มาลงข่าวในหน้า 1 ซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก แต่เขาเลือกทำการตลาดฉบับของเขา ด้วยความที่เขาชอบผจญภัยและสร้างสถิติโลก ทำให้สื่อติดตามและลงข่าวเกี่ยวกับเขาและเครือบริษัท Virgin (เวอร์จิ้น) ของเขา เช่น การทำลายสถิติการขับเรือเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก , การทำลายสถิติการเดินทางด้วยบัลลูนข้ามมหาสมุทรแอตแนติก เป็นต้น
บริษัทแกรมมี่ เริ่มต้นจากบริษัทเล็กๆ จนปัจจุบันเป็น บริษัท Entertainment ระดับแนวหน้าของประเทศไทย ก็เนื่องมาจากการสร้างสรรค์ผลงาน และ คิคค้น สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ให้แก่วงการอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงานเพลงต่างๆ , การสร้างสรรค์ศิลปินนักร้องใหม่ๆ เพื่อนำออกมายังตลาด
ลูกค้าโต ธุรกิจโต ธุรกิจนั้นจะโตได้ ก็ต้องอาศัยฐานจากลูกค้าในการมาซื้อสินค้าและบริการ ดังเราจะสังเกตได้ว่า หากบริษัทใด มีลูกค้ามาก บริษัทนั้นก็จะมีการเจริญเติบโตตามจำนวนลูกค้า เช่น มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้น มีการขยายสำนักงานให้กว้างขวางขึ้น มีการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆเพิ่มขึ้นเพื่อมาเอาใจผู้บริโภค ฯลฯ

การหาลูกค้าให้มาใช้บริการและซื้อสินค้านั้นยากแต่การรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราไปนานๆนั้นยากกว่า ซึ่งสิ่งที่นักการตลาดจะทำได้ก็คือ CRM(Customer Relationship Management) การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ดีจะต้องทำอย่างเป็นระบบ ทำอย่างต่อเนื่องยั่งยืน ไม่ทำแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
การตลาดยุคใหม่ต้องโดนใจผู้บริโภค....หากไม่รู้จักลูกค้าจริง อย่าหวังรอดในยุคการแข่งขันที่มีความรุนแรงอย่างเช่นในยุคปัจจุบัน เพราะลูกค้าสามารถเปลี่ยนไปซื้อสินค้าและบริการ ของบริษัทอื่นๆได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นการรู้จักลูกค้า การรู้จักพฤติกรรม นิสัยใจคอ ความชอบ ความต้องการของลูกค้า จึงมีความสำคัญมาก ตัวอย่าง โรงแรมใหญ่ๆระดับ 5 ดาว มักมีการบันทึกข้อมูลลูกค้าตลอดเวลา การบันทึกข้อมูลลูกค้าจะเป็นประโยชน์มากต่อการใช้บริการในครั้งต่อๆไป เช่น ลูกค้าชอบห้องลักษณะไหน , ลูกค้าชอบอาหารประเภทไหน , ลูกค้ามีวันคล้ายวันเกิดวันใด เป็นต้น
...
  
การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
สงครามการตลาดในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันที่ดุเดือด บางธุรกิจยอมที่จะลดราคา ตามคู่แข่งขัน ทั้งๆที่ต้นทุนของบริษัทตนเองนั้นสูงกว่าคู่แข่ง การตลาดกับการขายมีส่วนคล้ายคลึงกันอย่างหนึ่งคือ มีการตอบรับและการถูกปฏิเสธ ดังนั้น หากทำการตลาดไปแล้ว ผลสะท้อนกลับมาอาจไม่ดีพอ เราอาจจะต้องทำใจ เพราะสิ่งทุกสิ่งในโลกนี้มักมี 2 ด้าน เสมอ เช่น มีบวกมีลบ , มีสมหวังมีผิดหวัง ฯลฯ นักการตลาดยุคใหม่จึงต้องเข้าใจและยอมรับ
การตลาดในยุคเก่า มักจะต้องหาสินค้าและบริการมาเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า แต่การตลาดในยุคใหม่ อาจจะต้องเพิ่มในเรื่องของการ “ กระตุ้นต่อมความอยากของลูกค้า” การกระตุ้นต่อมอยากจะทำให้ลูกค้ามีความต้องการที่จะซื้อสินค้า ทั้งๆที่ผ่านมาไม่เคยคิดที่จะซื้อหรือใช้ การกระตุ้นต่อมความอยากจึงเป็นการสร้างโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เช่น
การกระตุ้นด้วยการใช้ฟรีเซ็นเตอร์ นักโฆษณารู้ดีว่าทำไมจึงต้องเอาดารา นักร้อง ที่มีแฟนคลับเป็นจำนวนมากๆ เพื่อมาโฆษณาสินค้า ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ชีวิตจริง ดารา นักร้องคนนั้นไม่ได้ใช้สินค้าชิ้นนั้นเลย แต่การใช้ฟรีเซ็นเตอร์คนดัง สามารถกระตุ้นให้แฟนคลับของคนดัง ใช้สินค้าและบริการตามไปด้วย
การกระตุ้นด้วยเทรนด์ นักการตลาดสมัยใหม่ มักสร้างกระแสเทรนด์ขึ้นมา เพื่อให้ผู้บริโภคตาม เพราะหากผู้บริโภคไม่ใช้ อาจที่จะถูกมองว่าตกเทรนด์ การกระตุ้นด้วยเทรนด์มักจะสร้างกระแสผ่านสื่อต่างๆ เช่น การสื่อให้เห็นถึงความเป็นคนทันสมัย ล้ำยุคหากว่าใช้สินค้าของตนเอง การสื่อให้เห็นถึงการรักษาสุขภาพ หากว่าใช้สินค้าของตนแล้วสุขภาพจะดีขึ้น เป็นต้น
การกระตุ้นด้วยเรื่องราวหรือ Story ดังเราจะสังเกตเห็น ตามธุรกิจการท่องเที่ยว สถานที่ต่างๆ มักสร้างเรื่องราวออกมานำเสนอ เพื่อให้ลูกค้า เกิดความสนใจที่อยากจะไปเที่ยว อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ วางจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย เช่น กำแพงเมืองจีน , วัดวาอารามต่างๆ , สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
รู้เขารู้เรา...รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...การแข่งขันทางการตลาด เรารู้จักผลิตภัณฑ์ของตนเอง เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราเองยังไม่เป็นการเพียงพอ เรายังจะต้องรู้ว่าบริษัทคู่แข่ง เขาทำอะไรออกมาบ้าง มีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาเพิ่มอีกหรือเปล่า คู่แข่งรายใดออกนอกตลาดไปแล้ว ฉะนั้น ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ที่นักการตลาดยุคใหม่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา
จงสร้างความแตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าเราสังเกตในการแข่งขันทางธุรกิจทุกประเภท สินค้า บริการ มักจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่นักการตลาดยุคใหม่จะทำอย่างไร เพื่อให้สินค้า บริการ ของเราเป็นที่แตกต่าง โดดเด่น โดนใจ หากว่าทำได้ สินค้า และบริการ นั้นๆ ก็จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันขึ้นมาทันที
สุดท้ายสิ่งที่นักการตลาดยุคใหม่ มีความจำเป็นจะต้องศึกษา เรียนรู้ ก็คือเรื่องของ IMC Integrated Marketing Communication หรือ การสื่อทางการตลาดแบบครบเครื่อง ซึ่งจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องของ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายตรง การสื่อสาร ณ จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ฯลฯ
จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า นักการตลาดยุคใหม่ จะต้องทำงานหนัก มีความรู้ มีข้อมูล ข่าวสาร มีทักษะต่างๆ ที่มากขึ้น อีกทั้งต้องมีความกล้าตัดสินใจ กล้าได้ กล้าเสีย อีกทั้งต้องมีความรวดเร็ว เพราะการแข่งขันในยุคนี้ หากช้าไปหนึ่งก้าว คู่แข่งขันก็อาจแซงหน้าไปได้ ฉะนั้น นักการตลาดในยุคใหม่คุณก็สามารถเป็นได้ หากว่าคุณมีความตั้งใจ มีการฝึกฝน เรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอ และมีความเชื่อมั่นในตนเอง

...
  
Brand Experience
Brand Experience
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสร้าง Brand หรือ แบรนด์ มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำการตลาด การขาย การสร้างธุรกิจ เพราะ Brand จะทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา เรื่องของคุณค่าทางด้านจิตใจ การเชื่อถือการไว้วางใจ จนกระทั้งลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ และเกิดความศรัทธาใน Brand
ตรงกันข้าม ถ้าหากธุรกิจใดไม่สร้าง Brand ไม่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของ Brand ธุรกิจนั้น องค์กรนั้น ก็จะเสียเปรียบทางด้านการแข่งขันในระยะยาวได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกำหนดราคา ลูกค้าไม่มีความเชื่อถือ ไม่ไว้วางใจ และสามารถเปลี่ยนใจไปบริโภค อุปโภค หรือใช้บริการกับสินค้าบริษัทอื่นๆได้ทุกเวลา
ถ้าหากธุรกิจใด ต้องการผลกำไรอย่างยั่งยืน ธุรกิจนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของ Brand เช่น เมื่อเราพูดถึงเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม พวกเรามักคิดถึง Brand ยี่ห้ออะไร ถ้าให้ผมตอบ พวกเราก็คงตอบว่า โค้ก หรือ เป็ปซี่ แต่ถ้าไปถามคนทั่วโลกว่าคิดถึง น้ำอัดลมยี่ห้ออะไร คนส่วนใหญ่ทั่วโลกมักจะตอบว่า “ โค้ก” เพราะผลจากการสำรวจมูลค่าของ Brand ของสินค้าและบริการต่างๆทั่วโลก ประจำปี 2555 ของบริษัท Interbrand พบว่า โค้ก หรือ Coca-Cola ยังเป็นแชมป์อันดับหนึ่งของโลก และพวกเราเชื่อไหมครับว่า ถ้าหากบริษัท โค้ก ขาย Brand อย่างเดียวโดยไม่รวมทรัพย์สินอื่นๆ เช่น โรงงาน , ขวดแก้ว , ที่ดินต่างๆ ฯลฯ บริษัท โค้ก จะขาย Brand อย่างเดียวได้มูลค่าถึง 71 พันล้านดอลาร์ (ถ้าอยากทราบว่าเป็นเงินสกุลไทยก็ลองเอา 30 บาทไปคูณ 71 พันล้านดอลาร์ จะได้มูลค่าถึง 2,130,000,000,000 บาท )
และถ้าพูดถึงรองเท้าเรามักจะคิดถึง Nike ร้านกาแฟเรามักคิดถึง Starbucks ร้านอาหารสมัยใหม่เรามักคิดถึง แมคโดนัลด์ อะไรที่ทำให้เราคิดถึง Brand เหล่านี้ก่อน Brand อื่นๆ สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญก็คือ บริษัทเหล่านี้ให้ความสำคัญต่อการสร้าง Brand เป็นอย่างมากนั้นเอง
Brand ก็เหมือนกับคน กล่าวคือ Brand มีวงจรชีวิต มีปฏิสนธิหรือการเริ่มวางแผนสร้าง Brand มีการเกิด หรือมี Brand ออกสู่ตลาด มีการเติบโต แข็งแรงตามวัยต่างๆ วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานและวัยชรา แล้วก็ตาย ฉะนั้น หากต้องการให้ Brand แข็งแรง บริษัทต่างๆจำเป็นจะต้องเอาใจใส่ ดูแล ไม่ให้ Brand เกิดการเจ็บป่วยแล้วล้มตาย เพราะถ้าหากบำรุงดูแลรักษาไม่ดี Brand ก็จะทรุดโทรมเร็ว
อีกทั้งควรคำนึงถึงการเพิ่มคุณค่าให้แก่ Brand ก็มีความสำคัญไม่น้อย เช่น การพัฒนาคุณภาพของสินค้า , การเพิ่มความหลากหลายในตัวของสินค้า , บรรจุภัณฑ์ หีบห่อ รูปร่าง รูปทรงต่างๆ , การบริการหลังการขาย , การจัดส่งสินค้าหรือเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย , การสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ให้ปรากฏต่อสังคม เป็นต้น
คนคือBrand Brand คือคน การสร้าง Brand ไม่ใช่สร้างได้เฉพาะตัวสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่คนเราก็ถือว่าเป็นสินค้าอย่างหนึ่ง เราก็สามารถสร้าง Brand เพื่อให้คนซื้อตัวเราเองได้เช่นกัน ดังจะสังเกตได้จาก ดารา นักร้อง นักแสดง คนเหล่านี้ก็เปรียบดังสินค้าแต่ละตัว เวลาเขาออกเทป ออกอัลบั้ม จะขายดีไม่ดีคงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เนื้อร้องของเพลง , สีสันรูปแบบปกอัลบั้ม , ราคาที่จำหน่าย ฯลฯ แต่สิ่งที่มีความสำคัญก็คือ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อสินค้า มักชอบในตัวของบุคคลคนนั้นด้วย เช่น ธงไชย แมคอินไตย์ ซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย เมื่อออกอัลบั้มเพลงมักจะมีแฟนคลับตามซื้อ ก็เนื่องมาจาก ตัวของธงไชย แมคอินไตย์ ได้สร้าง Brand มาอย่างต่อเนื่องและอย่างยาวนาน ซึ่งการสร้าง Brand คนนั้น นับว่ายากกว่าการสร้าง Brand ในตัวของผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็เนื่องจากสินค้าประเภทคน มีความไม่คงที่ ไม่นิ่ง เหมือนสิ่งของต่างๆ ซึ่งการจะสร้าง Brand คนให้ประสบความสำเร็จจำเป็นจะต้องคำนึงถึงบุคลิก นิสัยใจคอของคนด้วย อันได้แก่ การยิ้ม การวางท่าทาง การจับมือ การแต่งตัว การประสานสายตา ฯลฯ ให้มีความสอดคล้องและสร้างเอกลักษณ์ส่วนบุคคลได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องออกมาอย่างคงเส้นคงวา และสม่ำเสมอ จึงจะสามารถสร้าง Brand บุคคลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
สำหรับการสร้าง Brand ที่ดี เราไม่ควรลอกเลียนแบบ Brand อื่นๆ หรือ ไม่วางตำแหน่งของ Brand เหมือน Brand อื่นๆ แต่จงสร้างความแตกต่างในตัว Brand ของเรา หรือต้องยอมที่จะลงทุนพัฒนา Brand อย่างต่อเนื่องให้มีความทันสมัยตลอดเวลา ไม่ให้เกิดความล้าสมัยหรือตกยุค
ทำไมหลายบริษัทถึงไม่ให้ความใส่ใจ กับการสร้าง Brand หรือ พัฒนา Brand ทั้งนี้อาจจะมาจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญ , ขาดความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่ , ขาดบุคลากรด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญก็คือ ขาดงบประมาณในการใช้จ่ายเพื่อลงทุนสิ่งเหล่านี้ เพราะการสร้าง Brand จำเป็นต้องอาศัยงบประมาณเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ หลายบริษัทจำเป็นจะต้องอัดฉีดงบประมาณเพื่อที่จะโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งต้องอาศัยเงินในการซื้อสื่อต่างๆ อีกทั้งหลายๆ Brand ต้องเสียเงินว่าจ้าง ดาราหรือดีเจหรือผู้ที่มีชื่อเสียงต่างๆมาแนะนำ Brand ในราคาค่าตัวที่สูง
Brand กับ ผู้บริโภค การที่จะผูกใจผู้บริโภคมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หลายบริษัทพยายาม หาลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม แต่ในขณะเดี๋ยวกัน ลูกค้าหรือผู้บริโภครายเก่าๆ กลับหนีออกไปใช้บริการอื่น ฉะนั้นบริษัทที่ฉลาดมักที่จะให้ความสำคัญกับลูกค้าหรือผู้บริโภค รายเก่าก่อนลูกค้ารายใหม่ เพราะถ้าหากดูแล บริการหลังการขายให้แก่ ลูกค้ารายเก่าได้ดี ลูกค้ารายเก่ามักจะเกิดการซื้อซ้ำ อีกทั้งบริษัทสามารถประหยัดต้นทุนอื่นๆได้อีกมากมาย กว่าการเน้นที่จะช่วงชิงลูกค้ารายใหม่
Brand กับการผันผวนทางเศรษฐกิจ จากสภาวะเศรษฐกิจโลกหรือสภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ตกต่ำ มักจะทำให้หลายๆ Brand ต้องล้มหายตายจากไป แต่หลายๆ Brand ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เนื่องจากโลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้เกิดความรวดเร็วในเรื่องต่างๆ ดังนั้น ถ้าหากผู้บริหารของบริษัทใดหรือผู้จัดการ Brand ใดไม่เก่งและไม่ยอมปรับตัว Brand นั้นก็จะล้มหายตายจากไปในที่สุด
สรุป การสร้าง Brand และการพัฒนา Brand มีความสำคัญก็จริงอยู่ แต่เราก็ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆด้วย เช่น การวิจัยการตลาด , ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆของสินค้า , การตั้งราคาขาย , ช่องทางการจัดจำหน่าย , เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวสนับสนุน ตัวบันทอน การสร้าง Brand ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
...
  
การตลาดรุ่ง เราต้องมุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์
การตลาดรุ่ง...เราต้องมุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์
....โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากถ้าพูดถึงเรื่องการตลาด คำว่า “ลูกค้า ”มีความสำคัญมาก เพราะถ้ามีลูกค้า บริษัทนั้น องค์กรนั้น มีความเจริญเติบโต มีกำไร มีการขยายงาน มีการเพิ่มคนงาน ซึ่งลูกค้านั้น เรามาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ 1.การหาลูกค้าใหม่ และ 2.การรักษาลูกค้าเก่า
1. การหาลูกค้าใหม่ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหาข้อมูล หาความต้องการ หาแรงจูงใจ มอบข้อเสนอ และสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าใหม่
2. การรักษาลูกค้าเก่า เราสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะเรามีข้อมูล รู้ความต้องการ และลูกค้าก็ได้ทดลองสินค้า บริการแล้ว อีกทั้ง ถ้าหากลูกค้าเก่ามีการขยายกิจการ มีความต้องการสินค้าใหม่ๆที่ บริษัทเรามีจำหน่ายหรือบริการ เราสามารถนำเสนอขายได้ทันที
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน
เพราะลูกค้าเก่าสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ได้ ด้วยการบอกต่อ ในทางกลับกัน ลูกค้าเก่า ก็สามารถบอกต่อไปยังคนใหม่ๆ ในเรื่องสินค้าและบริการที่ไม่ดีของเราได้เช่นกัน
มีงานวิจัยของสถาบันแห่งหนึ่งในสหรัฐ เคยวิจัยพบว่า ลูกค้าไม่พอใจในบริการ 1 คน จะบอกต่อถึง 78 คน แต่ถ้าบริการดี ลูกค้าพอใจจะบอกต่อ 1 คน ต่อ10 คน และจะกลับมาใช้ใหม่35%
ถ้าหากเราทำให้ลูกค้าพอใจ 1,000 คน เขาจะบอกต่อเพียงแค่ 10,000 คน แต่ตรงกันข้ามถ้าหากเราทำให้ลูกค้าไม่พอใจ 1,000 คน ลูกค้าจะไปบอกต่อถึง 78,000 คนเลยทีเดียว ดังนั้น การทำให้ลูกค้าพอใจในเชิงบวก มีความสำคัญกว่าสิ่งที่ลูกค้ามีประสบการณ์ในเชิงลบต่อหน่วยงาน ต่อสินค้า และบริการของเรา
ซึ่งประสบการณ์ในเชิงบวกหรือเชิงลบ มีความละเอียดอ่อนมาก เพราะมันรวมไปถึงจุดเล็กๆน้อยๆ เช่น คำพูดหรือบริการของ พนักงานรักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พนักงานรับโทรศัพท์ ตลอดจนถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและทันสมัยด้วย
ตัวอย่างเช่น หากเราเข้าไปยังร้านขายอาหาร 2 ร้าน
ร้านที่ 1 มีการไหว้ มีการพูดจาอย่างสุภาพ มีการต้อนรับ มีการรับคำสั่งรายการอาหารอย่างรวดเร็ว มีการทวนคำสั่งรายการอาหารเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด หากเราไม่รู้จะสั่งอะไร พนักงานก็แนะนำรายการอาหารเมนูพิเศษให้ และคิดเงินไม่ผิดพลาด ตลอดรวมไปถึง การจัดสถานที่ จัดโต๊ะ ที่นั่งมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาด
ร้านที่ 2 ไม่มีการต้อนรับลูกค้า มีการรับคำสั่งซื้อสินค้าช้า อีกทั้งยังพูดจาไม่ดี ร้านสกปรก
ถามว่าเราอยากเข้าร้านไหน แล้วถ้าจะแนะนำเพื่อนๆ เราจะแนะนำร้านไหน อีกทั้งเราจะพูดถึงร้านที่ 2 ในลักษณะใด
CRM จึงมีการพูดถึงกันมาก CRM คืออะไร ทำไมต้อง CRM
CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management
CRM คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
CRM หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่เราจะนำเอาไปใช้ในการบริหารลูกค้าให้เกิดความรู้สึกที่ดี มีความผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือหน่วยงานของเรา เมื่อลูกค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดี ชอบเรา รักเรา แล้วลูกค้าคนนั้นก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าหรือบริการอื่น ในขณะเดียวกันก็จะเกิดการบอกต่อไปยังเพื่อนๆ จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่้นคงและเพิ่มขึ้น
C คือ Customer เราต้องรู้จักลูกค้าของเราก่อนว่าลูกค้าคือใคร แบ่งกลุ่มได้กี่กลุ่ม เราจะเก็บข้อมูลอย่างไร และเราจะสร้างฐานลูกค้าอย่างไร
R คือ Relationship ความสัมพันธ์ ทำอย่างไรจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดชุมชนหรือเพื่อให้เกิดครอบครัวใหญ่
M คือ Management เราจะติดต่อกับลูกค้าหรือสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร เมื่อไร จะบริหารจัดการลูกค้าอย่างไร
ฉะนั้น CRM จึงต้องอาศัยเป้าหมายและการวางแผน ว่าปีหนึ่งเราจะติดต่อกับลูกค้ากี่ครั้ง เมื่อไร เดือนไหน พร้อมทั้งมีการเสนอขายสินค้าและบริการเมื่อไร เพราะถ้ามีลูกค้าแต่ไม่มีการสั่งซื้อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทั้งนี้ คงต้องถามว่า ลูกค้าต้องการอะไร เพื่อที่จะเสนอขายสินค้าและบริการได้ตรงกับหัวใจของลูกค้า ฉะนั้น ฝ่ายออกแบบสินค้าและฝ่ายผลิตภัณฑ์ ก็ควรที่จะออกไปพบลูกค้าหรือพยายามทำสินค้าให้ออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้าด้วย จึงจะทำให้ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดทำงานได้ง่ายขึ้น
ถ้าจะให้ดีองค์กร หน่วยงาน ควรมีการจัดทำใบประเมินความพึงพอใจของสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการ ก็จะทำให้ทราบว่าลูกค้ามีความพอใจและต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม
ทั้งนี้ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า สร้างกำไร องค์กรมีการเติบโต มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ยังก่อให้เกิดประโยชน์อีกหลายอย่างเช่น ช่วยส่งเสริมการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น , ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน , ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับองค์กร , ช่วยในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นต้น
...
  
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ IMC จึงขออ้างอิงคำอธิบายของนักวิชาการดังนี้
Shimp (2000: 124) ได้ นิยามความหมายของการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นกระบวนการของการพัฒนาและการใช้รูปแบบต่างๆ ของโปรแกรมการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคตามเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
American Association of Advertising Agencies (cited in Belch and Belch, 2004: 242) ได้ให้ความหมายของ IMC ว่า เป็นแนวความคิดของการวางแผนการสื่อสารการตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเพิ่ม โดยการผสมผสานรูปแบบการสื่อสารต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความชัดเจน กลมกลืน
Russell and Lane (2002: 391)ให้ความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงการโฆษณา หรือการประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง จากนั้นจึงคิดและวางแผนให้การสื่อสารทั้งหมดขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งการทำ IMC ต้องอาศัยกระบวนการที่หลากหลายและอย่างเป็นระบบ กล่าวคือต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาวะทางการตลาด กลุ่มเป้าหมาย มีการจัดกิจกรรมพิเศษ มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ มีการส่งเสริมการขาย และเครื่องมือต่างๆอีกมากมาย
ทำไมธุรกิจต่างๆ องค์กรต่างๆ หน่วยงานต่างๆ จะต้องทำ IMC เพราะการสื่อสารเป็นส่วนประสมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการสื่อสารจะทำให้ลูกค้า ประชาชน ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการ ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต
IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น
IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า
1.ใหม่ คือ ถ้าทำอะไรเป็นเจ้าแรก มักจะทำให้เกิดเป็นที่จดจำได้มากกว่า
2.แปลก คือ ถ้าทำอะไรให้แตกต่างกว่าคนอื่น มากจะได้รับความสนใจที่ดีกว่า
3.ใหญ่ คือ ถ้าทำอะไรให้ยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่ง จะทำให้คนมาร่วมงานมาก ภาพลักษณ์ก็จะเหนือกว่า
4.ดัง คือ ถ้าทำอะไรต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ อีกทั้งควรมีคนดังๆ มาร่วมงาน มาเปิดงาน เช่น นักการเมืองดัง นักกีฬาดัง ดารา นักแสดงดัง ก็จะทำให้เป็นที่สนใจ
IMC กับ การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจยุคปัจจุบัน มักให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ องค์กรหลายแห่งในยุคปัจจุบัน ถึงกับสนับสนุนและให้ความสำคัญในการทำประชาสัมพันธ์มากกว่าการทำการโฆษณาเสียอีก เพราะ การประชาสัมพันธ์ใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่าการโฆษณาซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ อีกทั้งยังได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญๆ ได้แก่ การให้ข่าว การสัมภาษณ์ การสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การสร้างชุมชนสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมพิเศษ การทำการกุศล เป็นต้น
IMC กับ การทำการตลาด บน Facebook ในยุคนี้ หากบริษัทใดไม่ทำการตลาดใน Facebook ก็มักจะเสียเปรียบคู่แข่งขัน เพราะการทำการตลาดบน Facebook มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทันสมัย , เป็นสื่อที่มีราคาถูก , เป็นสื่อที่มีความไวต่อการรับรู้ข้อมูล , เป็นสื่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยังสื่อต่างๆโดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆได้เป็นอันมาก , อีกทั้งเรายังสามารถทำการโฆษณาสินค้า บริการผ่านกลุ่มคนในเครือข่ายได้อีกด้วย
Facebook สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เช่น การเขียนบล็อก เชื่อมโยง Twitter เชื่อมโยง Youtube ทำสไลด์ฟรีเซนเตชัน ดึงข่าวเทรนด์ตลาดมาแสดงในFacebook(Social RSS) , MSN Messenger , Yahoo Messenger , Skype เพื่อสร้างความสัมพันธ์คุยธุรกิจกับลูกค้า เป็นต้น
IMC กับ การโฆษณา การโฆษณามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ เราควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆด้วย เช่น งบประมาณในการทำโฆษณามีจำนวนเท่าไร , ควรใช้สื่อใดในการทำโฆษณา , ควรสร้างโฆษณางานโฆษณาอย่างไร , ใครคือกลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา , บุคลิกภาพของสินค้าสัมพันธ์กับสื่อโฆษณาหรือไม่ เป็นต้น
IMC กับ พรรคการเมือง ในปัจจุบันพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคของไทย นิยมใช้การตลาดมาประยุกต์ใช้กับการเมือง เช่น ตราสินค้า(Brand Name) อันได้แก่ชื่อพรรค (เพื่อไทย,ประชาธิปัตย์,ชาติไทยพัฒนา) , มีสโลแกน ( คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ) และมีการเลือกใช้วิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand contact point) เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยใช้พนักงานขาย การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่ การตลาดเจาะตรง แผ่นพับ ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจที่พรรคการเมืองต่างๆในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล
IMC กับ CSR (Corporate Social Responsibility) การทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม หากบริษัทใดไม่มีการทำ IMC ก็จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหว แต่ตรงกันข้ามบริษัทใด องค์กรใด เสียงบประมาณน้อยกว่า หรือทำน้อยกว่า แต่ทำ IMC ไปด้วย ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การทำ IMC จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าต่อหน่วยงานใด องค์กรใด หากทำ IMC ก็จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดรายได้ ทำให้เกิดกำไร ต่อธุรกิจและต่อบริษัท


...
  
ชนะคู่แข่งด้วย SERVICE
ชนะคู่แข่งด้วย SERVICE
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการแข่งขัน การบริการหรือ SERVICE จึงมีความสำคัญ ซึ่งหากว่าหน่วยงานใด องค์กรใด บริษัทใด ใช้หลัก SERVICE นี้ กระผมเชื่อว่า ท่านสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ยังแน่นอน
S = SERVICE MIND หัวใจที่อยากจะบริการ การที่จะทำงานบริการให้ได้ดี คนๆนั้น จำเป็นจะต้องมีหัวใจ ที่อยากจะบริการเสียก่อน ฉะนั้น งานบุคคลของแต่ละองค์กร ควรที่จะคัดเลือกคนที่มีหัวใจที่อยากจะทำงานบริการมาเป็นบุคลากรขององค์กร แล้วทำการอบรม พัฒนา ในเรื่องลักษณะงานด้านบริการขององค์กร ก็จะทำให้เขาทำงานอย่างมีความสุข อีกทั้งองค์กรก็จะได้ประโยชน์จากความรักในงานบริการของบุคลากรที่ผู้นั้นได้ทำงานอีกด้วย
E = EXCEED CUSTOMER EXPECTATION ทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้า ในงานบริการลูกค้ามีความคาดหวังว่าจะได้รับบริการจากองค์กรของเราเป็นอย่างดี แต่ถ้าองค์กร ของเราสามารถบริการในลักษณะที่เกินคาด ก็จะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการ แล้วเขาก็อยากที่จะใช้ซ้ำและบอกต่อหรือแนะนำให้เพื่อนๆมาลองใช้บริการขององค์กรเรา
R = REPROCESS ปรับกระบวนการ โลกยุคใหม่ต้องการความรวดเร็ว สั้น กระชับ ดังนั้น หากองค์กรใด มีการปรับสายงาน ปรับกระบวนการ ทำงานให้เกิดความรวดเร็ว ทันใจ กับผู้ใช้บริการ ก็จะทำให้ ผู้ใช้บริการอยากที่จะใช้บริการอีก
V = VISION มีวิสัยทัศน์ หากว่าองค์กรใด ให้ความสำคัญกับการบริการ องค์กรนั้น มักจะเขียนหรือสร้างวิสัยทัศน์ โดยมีการระบุงานด้านการบริการเข้าไปในวิสัยทัศน์ขององค์กร
I = INFORMATION ข้อมูล ในโลกยุคนี้และโลกยุคใหม่ ข้อมูลมีความสำคัญมาก องค์กรใด ที่มีความสามารถ ในการส่งมอบข้อมูลไปให้กับผู้ใช้บริการ องค์กรใดที่มีความสามารถในการบริหารข้อมูลของผู้ใช้บริการ(ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ การซื้อสินค้า ความต้องการของลูกค้า) องค์กรนั้นก็จะมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน
C = CUSTOMER ลูกค้า องค์กรใดที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า(รู้ความต้องการของลูกค้า สนองความต้องการของลูกค้า) องค์กรนั้น ก็จะเจริญเติบโต ก้าวหน้า ขยายตัว อย่างไม่หยุดยั้ง
E = EFFECTIVE ประสิทธิภาพ องค์กรใดที่เสริมสร้างประสิทธิภาพให้แก่ องค์กร ให้แก่พนักงาน ให้แก่สินค้า ให้แก่งานบริการ องค์กรนั้น ก็จะชนะคู่แข่งและอยู่เหนือคู่แข่งได้
ฉะนั้น หากว่าตัวท่านหรือองค์กรของท่าน อยากที่จะมีชัยชนะเหนือคู่แข่งขัน หรือ อยากที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ขอให้ท่านจงได้ยึดและนำหลักการ SERVICE ไปใช้ ท่านก็จะประสบความสำเร็จในงานด้านบริการและสร้างผลกำไรให้แก่องค์กรของท่าน
...
  
แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
ความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมากมักมีความคิดทางการตลาดที่คล้ายๆกันหลายๆอย่าง ซึ่งหากเรามีโอกาสที่เข้าไปศึกษาถึงชีวิตและแนวความคิดของบุคคลเหล่านี้ เราก็จะได้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล กระผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการรู้ จึงได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาและอ่านประวัติของมหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพอที่จะสรุปแนวความคิดที่เกี่ยวกับการตลาดได้ดังนี้
ยิ่งให้ยิ่งรวย มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก มักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ พวกเขามักจะมีความสุขจากการให้มากกว่าการรับ และเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มหาเศรษฐีโลกเหล่านี้ชอบที่จะบริจาคเงินที่ตนเองหามาได้เป็นจำนวนมากๆแก่สาธารณกุศล แต่ยิ่งให้แทนที่ทรัพย์สินเหล่านั้นจะหมดไป พวกเขาเหล่านั้น กลับได้ทรัพย์สินเงินทองคืนมาจากแหล่งอื่นๆ รวมทั้งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
- บิลล์ เกตส์ อดีตมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตรสาร “ ฟอร์บส์” เมื่อหลายปีก่อน เขาคือผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เมื่อเขาร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เขาก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิ บิลล์ เกตส์กับภรรยาของเขา โดยเขาได้บริจาคเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังบริจาคเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ทุกข์ทรมานจากเอดส์ อีกทั้งยังได้บริจาคเงิน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคต่างๆ การบริจาคเงินและให้การช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก อีกทั้งเป็นแบบอย่างให้มหาเศรษฐีคนอื่นๆได้ทำตามเขา เช่น
- วอร์เรน บัฟเฟอตต์ ได้บริจาคเงินก้อนใหญ่เข้ากองทุนของเขา จึงทำให้กองทุนของบิลล์ เกตส์และภรรยา เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย
- คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีที่เคยติดอันดับที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้บริจาคเงินให้กับ บิลล์ เกตส์ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้ากองทุนโดยเงินเหล่านั้นจะถูกนำไปช่วยเหลือคนยากจนในละตินอเมริกา
- เฉินหลง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ตัดสินใจเข้าโครงการ “ กีฟวิ่ง เพลดจ์” ของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งโครงการนี้จะต้องมอบเงินมากกว่าครึ่งให้กับสาธารณกุศลต่างๆหลังจากที่ตนเองเสียชีวิต
มหาเศรษฐีชาวไทยก็มีหลายคนที่มีแนวความคิดนี้ เช่น คุณตัน ภาสกรนที , คุณบุญชัย เบญจรงคกุล , คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ,คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ บุคคลเหล่านี้ ได้บริจาคเงินช่วยเหลือการกุศล บางคนก็ได้ตั้งมูลนิธีของตนเองขึ้นมาเพื่อ ให้การช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ
ถามว่าทำไมมหาเศรษฐีเหล่านี้ถึงได้ ให้ สิ่งต่างๆ กับบุคคลเป็นจำนวนมากซึ่งการให้นี้ ยังรวมไปถึง การให้เงิน การให้งาน การให้การเป็นแบบอย่างของชีวิต เพราะการให้ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้มีความสุขอย่างแท้จริง การให้ยังทำให้เขาได้รับสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่นได้เพื่อน ได้การยอมรับ ได้รับชื่อเสียง ได้รับการช่วยเหลือและได้รับความร่ำรวย
หากว่าเราโยงเรื่องของการให้ การบริจาค กับเรื่องทางการตลาด การให้ ของมหาเศรษฐีโลก ก็คงไม่แตกต่างกับที่ บริษัทต่างๆทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคม การช่วยเหลือสังคม ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการบริหารงานที่ดี เพราะหากว่าลูกค้าหรือประชาชนทั่วโลกได้เห็นคุณงามความดีของมหาเศรษฐีที่ได้ทำไป ประชาชนทั่วโลกก็จะซื้อสินค้าและอุดหนุนสินค้าหรือบริการด้วยความพอใจ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สินค้าต่างๆของมหาเศรษฐีอีกด้วย จึงเท่ากับว่าสิ่งที่มหาเศรษฐีได้ให้ไป ก็ได้ส่งผลมาเป็นการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
- เฉิงหลง ได้บริจาคและได้ช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมากทั่วโลก เมื่อเฉิงหลง ได้สร้างภาพยนตร์
เรื่องใหม่ คนทั่วโลกก็อยากที่จะอุดหนุนและอยากที่จะไปดูการแสดงของเขาเพิ่มขึ้น การบริจาคจึงทำให้เกิดแฟนคลับที่มากขึ้นหรือทำให้เกิดแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
- คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของและผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย
ที่สุดในประเทศไทยและเป็นมหาเศรษฐีโลก จากการจัดอันดับของ “ฟอร์บส์” เขาก็ได้มีแนวความคิดเรื่องการให้ เขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากมายเช่น การมอบทุนการศึกษา การสร้างวัด มอบเงินช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมากทั้งมอบด้วยตนเองหรือมอบผ่านบริษัทของเขา
- คุณตัน ภาสกรนที ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ให้การช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ เขาโด่งดังอย่าง
มากจากแบรนด์ “ ตัน โออิชิ” ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไม่ตัน จำกัด ซึ่งผลิตชาเขียวตราอิชิตัน จากการช่วยเหลือสังคมอย่างมากมาย เขาจึงได้ตัดสินใจก่อตั้ง มูลนิธิ “ ตันปัน” เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
การช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบหรือได้เห็น จึงอยากที่จะช่วยเหลือเขา ยิ่งปลายปี 54 โรงงานผลิตชาเขียว “ อิชิตัน” ที่ลงทุนถึง 3,000 ล้านบาท ต้องจมน้ำเนื่องจากน้ำท่วม ก็ยิ่งทำให้คนอยากที่จะช่วยเหลือเขา โดยผ่านทางการซื้อสินค้าของเขา
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า แนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จึงเป็นแนวความคิดทางการตลาดอย่างหนึ่งในการทำ CSR ให้แก่ตัวเองและบริษัทของตัวเอง อีกทั้งแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังได้สร้างแบรนด์ส่วนตัวของทั้งตัวเองและแบรนด์ของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจได้อีกด้วย ดังเช่น 7-11 เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มแรกเปิดให้บริการ 7 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ซึ่งตอนแรกๆได้ขายแต่น้ำแข็ง แต่เจ้าของ 7-11 มีหัวใจของการให้คืออยากที่จะให้บริการสินค้าที่มากกว่านี้แก่ลูกค้าจึงได้เพิ่มสินค้าเข้าไปอีกมากมาย เช่น ขนม ยาสีฟัน ปากกา สบู่ แชมพู ฯลฯ ต่อมาด้วยความต้องการอยากที่จะให้บริการที่มากกว่านี้ เจ้าของจึงได้มีการเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นจากการเปิดร้านวันละ 16 ชั่วโมงเป็น 24 ชั่วโมง ภายหลังเจ้าของ 7-11 อยากที่จะให้บริการแก่ชาวอเมริกาเพิ่มขึ้น จึงได้ขยายสาขาไปทั่วอเมริกา ภายหลังเจ้าของ 7-11 ต้องการอยากให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก จึงได้ทำการขายแฟรส์ไชส์แก่ผู้ที่ต้องการเปิดร้าน 7-11 เกือบทุกประเทศ เพื่อให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดเหมือนดังมหาเศรษฐีหลายๆคน การทำการตลาดจากแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จะเป็นแนวความคิดหนึ่งที่ส่งเสริมให้การทำการตลาดของท่านประสบความสำเร็จและสร้างความร่ำรวยให้กับท่านได้มากขึ้น

...
  
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ร่ำรวยมีเงินทอง มักเป็นผู้ที่ประกอบธุรกิจจนประสบความสำเร็จ โดยหลักในการทำการธุรกิจของบุคคลเหล่านี้ มักที่จะมีเรื่องของการตลาดเข้ามาอย่างเกี่ยวข้องและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการทำการตลาดของเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพราะถ้าหากเราสามารถนำเอาแนวความคิดเหล่านี้ไปใช้ เราก็สามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เช่นกัน
สตีฟ จอบส์ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบคิดต่างหรือทำสินค้าให้แตกต่างจากคนอื่นๆ เขาพัฒนาซอฟต์แวร์และสินค้าของบริษัทแอปเปิลให้แตกต่างจากบริษัททั่วๆไป ส่งผลให้ลูกค้าในตลาดเลือกที่จะใช้สินค้าของบริษัทแอปเปิลมากขึ้น มากขึ้น จึงทำให้บริษัทแอปเปิลมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย จนนำมาซึ่งรายได้เงินทองเข้ามายังบริษัทอย่างมากมายมหาศาล
คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ เขามีบริษัทมากกว่า 200 แห่งในแม็กซิโก เขามีศิลปะในการขยายการตลาดของธุรกิจของเขาโดยการ มองเห็นโอกาสในภาวะวิกฤต ช่วงที่มีวิกฤตเราจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ ต่างใกล้จะล้มละลายอีกทั้งยังขายในราคาที่ถูกๆ ไม่ว่าห้างสรรพสินค้า บริษัททางด้านการเงิน บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา เขามักจะเข้าไปซื้อธุรกิจใกล้ล้มละลายแล้วนำเอามาบริหารใหม่จนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นทางลัดในการทำธุรกิจและการตลาดของเขา จนในปัจจุบันชาวเม็กซิกัน ทุกๆคนจะต้องใช้สินค้าและบริการของเขาอย่างน้อย 1 อย่าง เช่น งานบริการของธนาคาร โทรศัพท์มือถือ กาแฟ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
โดนัลด์ เจ ทรัมพ์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ชั้นนำ เขามีหลักการในการทำการตลาดโดยการ นำเอาตัวของเขาเองเป็นตราสินค้าแล้วก็โฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวของเขาเองให้คนได้รับรู้ ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งผลให้การทำธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เขาเคยกล่าวไว้ตามสื่อต่างๆว่า “ หากว่าคุณเป็นตราสินค้า สื่อก็จะโจมตีคุณตลอดเวลา มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เรียนรู้จะอยู่ร่วมกันกับมัน นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำธุรกิจด้วย”
ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจพันล้าน มหาเศรษฐีผู้ปลุกปั้น “ อาณาจักรเวอร์จิ้น” เขาเป็นนักธุรกิจที่นอกคอก สมัยเด็กๆเขาปฏิเสธระบบการศึกษาโดยไม่ตั้งใจเรียน พออายุ 16 ปี เขาก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำธุรกิจแรกกับหนังสือ Student ปัจจุบันเขามีธุรกิจมากมายหลายอย่าง เช่น เครื่องสำอาง ชุดเจ้าสาว ถุงยาง น้ำอัดลม โรงแรม รถไฟ มือถือ สายการบิน ธุรกิจการเงิน เป็นต้น ทำไมคนถึงสนใจเขา ก็เนื่องจากเขามีความคิดแบบขบถหรือนอกคอก จึงทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนและลูกค้าของเขา ดังตัวอย่างดังนี้ต่อไปนี้
เขามีความคิดที่จะทำทัวร์อวกาศในปี ค.ศ.2009 , เขามีแนวคิดของการเป็นนักประชาสัมพันธ์ต้นทุนต่ำ เขาเข้าร่วมแสดงหนังเจมส์บอนด์ “ Casino Royale” ซึ่งก็ให้ความสนใจและลงข่าวให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องจ่ายเงินให้ทำข่าวเลย ซึ่งส่งผลดีกับการทำธุรกิจของเขา
ธนินท์ เจียรวนนท์ มหาเศรษฐีชาวไทย เขามีหลักการทำการตลาดคือ เขาจะเน้นขายสินค้าหรือบริการให้กับคนหมู่มากหรือพูดง่ายๆว่า “ ธุรกิจเพื่อมวลชนหรือสินค้าเพื่อมวลชน” ซึ่งธุรกิจของเขามักจะมีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก สินค้าที่เขาทำธุรกิจมักเป็นสินค้าประเภทของ “ อาหารการกิน” รวมไปถึง “ เครื่องดื่ม” ซึ่งทุกคนทั่วโลกจะต้องกินต้องใช้ในทุกๆวัน
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก เจ้าของ Facebook เขารู้จักความต้องการของชาว IT อีกทั้งทำในสิ่งที่แตกต่างจากเว็ปเครือข่ายทั่วไป ซึ่งในขณะนั้น เว็ปเครือข่ายโดยทั่วไปไม่นิยมการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตนเอง แต่ Facebook ทำให้สิ่งที่ตรงกันข้าม Facebook มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตัวเอง อีกทั้ง Facebook ยังทำได้มากกว่าการพูดคุยกัน Facebook จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
โดยสรุปการทำการตลาดของบรรดาเศรษฐีโลก เขามักจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมวลชนหรือคนส่วนใหญ่ในโลก เขามักจะสร้างสินค้าหรือบริการให้เกิดความแตกต่างเพื่อเป็นที่สนใจของลูกค้า เขามักจะมีการประชาสัมพันธ์ตนเองและสินค้าของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขามักใช้ช่วงที่มีวิกฤตโดยมองหาโอกาสในการลงทุน

...
  
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ที่นั่งที่ดีที่สุดคือที่นั่งในหัวใจคน , รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง, อันธรรมดาการทำสงครามจะชนะอย่างเดียวไม่ได้ย่อมมีแพ้บ้างชนะบ้าง....คำคมสุภาษิตเหล่านี้ มีในหนังสือเรื่องสามก๊ก..
สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนแต่อิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวกับการทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดน ซึ่งภายในวรรณกรรมเรื่องนี้ ได้ให้ความรู้ทางด้าน ตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ การบริหาร การเมือง การจัดการ จิตวิทยา ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ นักการตลาดสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้ได้ ดังต่อไปนี้
1.การคิดนวัตกรรมใหม่ๆ การทำสงครามในวรรณกรรมสามก๊ก เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้มักจะได้เปรียบในการทำศึกสงคราม เช่น ขงเบ้งประดิษฐ์หรือคิดค้นโคยนต์ซึ่งมีกลไกต่างๆ เพื่อนำเอาไปใช้ขนเสบียง สามารถเดินทางได้ในที่ต่างๆได้อย่างสะดวก ทำให้ประหยัดกำลังและแรงงานของทหารในการขนเสบียง , เครื่องยิงหิน ของ เล่าหัว (กุนซือของโจโฉ) ได้ประดิษฐ์อาวุธนี้เพื่อพิชิตหอรบของอ้วนเสี้ยว ในสงคราม ยุทธการกัวต๋อ
เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่มีการคิดค้น ประดิษฐ์ อาวุธหรือเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ในการทำสงครามย่อมได้เปรียบ ก๊กหรือกลุ่มอื่นๆ เพราะ นวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างขึ้นมามักเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงาน เช่นเดียวกัน หากว่านักการตลาดผู้ใดสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ในการทำการตลาด นักการตลาดผู้นั้น มักจะได้เปรียบในการต่อสู้ทางการตลาด
2.ลับ ลวง พราง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ในสามก๊ก ค่อนข้างมาก เช่น กลศึกปิดเมือง ขงเบ้งเจอสุมาอี้ปิดค่าย แต่ขงเบ้งเก่งกาจและมีปัญญาจึงใช้ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง เปิดประตูค่าย แล้วตนเองก็ตีขิมหรือพิณ อย่างสบายอารมณ์ สุมาอี้เป็นคนคิดมาก จึงไม่กล้าบุกเข้าไปในค่าย แล้วสั่งลูกน้องให้ถอยทัพ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง จึงนิยมใช้ในการทหาร การเมือง รวมทั้งการตลาด ตัวอย่างการปล่อยข่าวของบางบริษัท เพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจหรือทำให้คู่แข่งเข้าใจผิด เป็นต้น
3.กลยุทธ์แบบ กองโจรหรือป่าล้อมเมือง คือกลยุทธ์ในการโจมตีคู่แข่งในจุดที่คู่แข่งไม่ให้ความสนใจ หรือป้องกัน หรือประมาท เช่น การทำการตลาดของสินค้า ในต่างจังหวัดก่อนที่จะเข้าไปทำการตลาดในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ
4.กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ เป็นกลยุทธ์ที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอ ย่ำแย่ เราควรรีบฉกฉวยโอกาสเข้าทำศึกเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ตัวอย่างเช่น ตั๋งโต๊ะ ฉกฉวยโอกาสยึดเมืองหลวงและราชสำนักของพระเจ้าหองจูเหียบมาเป็นของตนเอง เช่นกันหากว่าคู่แข่งของเรากำลังอ่อนแอ เจอข่าวร้าย เจอมรสุมทางธุรกิจ นักการตลาดก็ควรใช้จังหวะในการขยายฐานการตลาดหรือทำการตลาดเพื่อช่วงชิงฐานลูกค้า
5.กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิน เป็นกลยุทธ์ที่โจมตีศัตรูในจุดที่ศัตรูคาดไม่ถึง เช่น ขงเบ้งหลอกล่อ เฮ็กเจียวให้เกิดความสับสน หลงกล ในการนำกำลังทหารเฝ้าระวังการบุกโจมตีด่านตันฉอง
6.กลยุทธ์ตีหญ้าให้งูตื่น เป็นกลยุทธ์ที่ หากมีสิ่งใดพึงสงสัย ผิดแผกจากเดิม ควรส่งคนไปสอดแนมให้มั่นใจเสียก่อน และหากศัตรูสงบนิ่งก็พึงสร้างสถานการณ์ให้ศัตรูเคลื่อนไหวเพื่อเกิดช่องโหว่ ดังตัวอย่าง ขงเบ้งต้องการดูชั้นเชิงกองกำลังทหารของโจโฉ เมื่อคราวเล่าปี่นำกำลังทหารไปตีฮันต๋ง จึงหลอกให้โจโฉเคลื่อนไหว กำลังพล
7.กลยุทธ์จับโจรเอาหัวโจก เป็นกลยุทธ์ที่ทำศึกสงคราม ต้องบุกโจมตีศัตรูในจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพ เช่น ขงเบ้งทำสงครามกับวุยก๊ก จึงออกอุบายกำจัดสุมาอี้ เพราะขงเบ้งรู้ดีว่า หากขาดสุมาอี้แล้วกองทัพของวุยก๊ก ก็จะไม่มีความยิ่งใหญ่อีกต่อไป
8.กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา เป็นกลยุทธ์ที่ฉกฉวยจังหวะที่ศัตรูเกิดความปั่นป่วยภายในกองทัพให้เป็นประโยชน์ เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มาเป็นของตนเอง แล้วจึงนำกำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะ เช่น อ้วนเสี้ยว หลอกกองทัพซุนจ้านในการนำกองกำลังทหารบุกร่วมเข้าโจมตียึดเอากิจิ๋วจากฮันฮก
8.กลยุทธ์ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลข่าวสาร ประกอบการตัดสินใจในการทำการตลาด ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกไร้พรมแดน เราสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ก็ด้วยระบบเครือข่ายต่างๆ

9.กลยุทธ์หลบหนี เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ย่อมแพ้ชั่วคราว หากว่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่ง เราก็ควรที่จะถอยไปตั้งหลักก่อน ไม่ควรปะทะ แต่ควรที่จะหลบเลี่ยงการปะทะหรือการเผชิญหน้า การถอยไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด แต่เป็นธรรมดาของการทำสงคราม ไม่ควรคิดว่าตนเองเสียเกียรติหรือเสียหน้า
และยังมีอีกหลายกลยุทธ์ที่กระผมยังไม่ได้พูดถึง ท่านผู้อ่านสามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือสามก๊ก หรือ ตำราพิชัยสงครามต่างๆได้ เพราะการทำสงคราม การทหาร การเมือง ไม่มีความแตกต่างกันมากนักกับการทำการตลาด และเราสามารถประยุกต์ใช้ กลยุทธ์ต่างๆเหล่านี้ได้กับการตลาด



...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.