หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ดูหมิ่น
ดูหมิ่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ตามประมวลกฏหมายอาญาบัญญัติไว้ใน มาตรา 393 “ ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ซึ่งองค์ประกอบความผิดของมาตรา 393 มีดังนี้
1.ดูหมิ่น
2.ผู้อื่น
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
4.โดยเจตนา
จากองค์ประกอบข้างต้นกระผมขออธิบายเพิ่มเติม
1.ดูหมิ่น จากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน โดย นายมานิต มานิตเจริญ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ ดูหมิ่น” คือ เหยียดหยาม , ดูถูก,เหยียบย่ำ,ดูหมิ่นดูแคลน,ดูหมิ่นถิ่นแคลน
เช่นฏีกาที่ 1623/2551 คำว่า ทนายเฮงซวย ตามพจนานุกรม คำว่า “ เฮงซวย” หมายถึง เอาแน่นอนไม่ได้ , เลว , ไม่ดี ฉะนั้น คำว่า “ทนายเฮงซวย” จึงเป็นถ้อยคำคำด่าที่ทำให้โจกท์เกิดความเสียหาย เป็นการทำให้ถูกเหยียดหยาม จึงมีความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 393
2.ผู้อื่น คือ ผู้เสียหายหรือบุคคลซึ่งถูกดูหมิ่น โดยมากมักจะเป็นบุคคลธรรมดา
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
ซึ่งหน้า หมายถึง ทำต่อหน้า ไม่ทำลับหลัง กับผู้ที่ถูกดูหมิ่น
ด้วยการโฆษณา หมายถึง กระทำอย่างเผยแพร่เพื่อให้คนอื่นรู้ เช่น ลงสื่อต่างๆ (หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต)
4.โดยเจตนา คือ ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนา ต้องตั้งใจ จงใจ ที่ดูหมิ่น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการตีความที่มากขึ้น ขอให้ท่านลองเข้าไปดู ฏีกาต่างๆ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าการตีความจะเข้าความผิดฐานดูหมิ่นหรือไม่ เช่น ฏีกาที่ 5772/2542 , ฏีกาที่ 3800/2527 , ฏีกาที่ 2220/2518,ฏีกาที่ 2089/2511 , ฏีกาที่ 3176/2516 , ฏีกาที่ 259/2514 เป็นต้น)
...
  
การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ผมเห็นคนที่ถูกเชิญขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายคน อยู่ในอาการประหม่า บางคนสั่น บางคนพูดเสียงเบาเพราะความไม่มั่นใจหรือเชื่อมั่นในการพูดของตนเอง ในวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าการที่เราไม่มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนเนื่องมาจากสาเหตุอะไร ผมเคยถามคำถามนี้กับผู้ที่เข้ารับการอบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนโดยที่กระผมเป็นวิทยากร คำตอบที่มักจะได้รับก็คือ การไม่รู้จะพูดอะไรเนื่องจากไม่มีข้อมูลหรือไม่ได้เตรียมการพูดมา บางคนบอกว่า ไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน บางคนบอกว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี ฯลฯ

สรุปแล้วคือผู้อบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายท่าน อ้างสิ่งต่างๆนานา หรือคิดไปต่างๆนานา แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนได้ โดยการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ

1.บางคนอ้างว่าไม่ได้เตรียมตัวมาหรือไม่รู้จะพูดอะไร เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือ เราต้องเตรียมการพูดให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่อง การใช้ถ้อยคำ การหาข้อมูล การวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นกลุ่มไหนมาฟัง เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นวัยทำงานหรือเป็นวัยชรา เพื่อเราจะเลือกใช้ภาษาถ้อยคำให้ถูกกับวัยของผู้ฟังหรือ ตัวอย่างของเรื่องให้สอดคล้องกับวัยของผู้ฟัง รวมไปถึงเวลาในการพูด ถ้าพูดช่วงเช้า กับช่วงบ่าย ก็ต้องใช้กลยุทธ์ในการพูดที่แตกต่างกัน เนื่องจากช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่นักพูดมักพูดว่า เป็นช่วง “ ปราบเซียน ” จึงต้องพูดให้มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา เนื่องจากคนกินอาหารอิ่ม ง่วง ถ้าขืนไปพูดเสียงเบา ไม่เร้าใจ ผู้ฟังก็อาจหลับกันหมด
2.บางคนอ้างว่าไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เมื่อรู้เช่นนี้ ว่าเราไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟัง กระผมขอแนะนำว่า ผู้พูดควรไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย ไปทำไม ไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้ฟัง ชวนผู้ฟังพูดคุยบ้าง ทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคย ก่อนที่จะบรรยายเพื่อให้เกิดการลดอาการประหม่าเนื่องจากการไม่คุ้นเคยหรือกลัวผู้ฟัง สำหรับบางคนกลัวว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เราก็ควรคิดในแง่ดีว่า สิ่งที่เราบรรยาย ผู้ฟังอาจไม่รู้ เพราะความรู้เรื่องหนึ่งๆ มันมีหลายแง่มุม ตอนนี้เราเป็นผู้พูด เรามาพูดแง่มุมของเรา ถ้าผู้ฟังมีความรู้อะไรก็ช่วยเติมเต็มได้

3.บางคนอ้างว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี สำหรับข้อนี้ง่ายมาก เมื่อเรารู้ว่าเราไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ เราก็ควรทำสิ่งที่ตรงข้ามคือ เราต้องหาโอกาสในการฝึกการพูดบ่อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูดในที่ชุมชน

ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน มีความสำคัญมาก เราจะเห็นได้ว่า บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่กล้าพูดหรือพูดด้วยความไม่มั่นใจ ก็ทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่งที่มีองค์ความรู้น้อยกว่า แต่มีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน ทำให้คนๆนั้น เป็นที่ยอมรับและมีคนศรัทธาในคำพูดหรือการพูดของเขา

ฉะนั้น นักพูดที่ดีต้องฝึกความกล้า โดยคิดว่า ความกลัวมักทำให้เสื่อม หรือ ถ้ากลัวสิ่งไหนให้เข้าไปหาสิ่งนั้นแล้วจะทำให้หายกลัว (ถ้ากลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชนท่านก็ต้องเข้าหาแล้วท่านจะหายกลัวในที่สุด)ท้ายนี้ขอฝากคำกลอนที่มีผู้แต่งซึ่งแต่งได้ไพเราะมากซึ่งกระผมไม่ทราบว่าใครแต่งจึงขออนุญาตนำมาปิดท้ายครับ

พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น
อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร
จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน
ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี





...
  
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรคนสุดท้องของนายสำเนาและนางปรียา ใสยเกื้อ[1] มีพี่ชาย 1 คนคือ นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ (ชื่อเล่น: ต้น) มีตาคือ นายชอบ นาคแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 8 ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีปู่คือ นายเปี่ยม ใสยเกื้อ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบการศึกษาระดับประถม ที่โรงเรียนวัดพระมหาธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2530 ระดับมัธยม ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2536 สร้างชื่อเสียงด้วยการเป็นนักโต้วาทีของโรงเรียน จนได้เป็นแชมป์ รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางช่อง 3 โดยในรอบรองชนะเลิศพบกับคู่แข่งคือโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่มีสุพจน์ พงษ์พรรณเจริญ (ชื่อเล่น: ทุเรียน) และสมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ (ชื่อเล่น: เสนาลิง) ร่วมแข่งขันด้วย

จากนั้นสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี นิเทศศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เมื่อปี พ.ศ. 2541 ปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต การจัดการภาครัฐและเอกชน สำหรับผู้บริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เมื่อปี พ.ศ. 2548

ด้านชีวิตครอบครัว นายณัฐวุฒิ สมรสกับ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ (ชื่อเล่น: แก้ม) มีบุตรชายหนึ่งคนคือ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ (นะ-ปก) ซึ่งนายณัฐวุฒิตั้งตามอักษรย่อ นปก.[2] ซึ่งแปลว่า ฟ้าคุ้มครอง และบุตรสาวอีกหนึ่งคนคือ ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ใสยเกื้อ ซึ่งแปลว่า เสื้อแดง

[แก้] นักพูดและรายการสภาโจ๊ก
เริ่มต้นอาชีพนักพูดโดยเป็นนักอบรมการพูดกับบริษัทอดัมกรุ๊ปของ อ.อภิชาติ ดำดี สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักทางโทรทัศน์ จากการเป็นดาราของรายการสภาโจ๊กทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี โดยเป็นเงาเสียงของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

[แก้] การเมือง
[แก้] เริ่มสังกัดพรรคชาติพัฒนา
นายณัฐวุฒิเริ่มเล่นการเมืองด้วยการเข้าสังกัดพรรคชาติพัฒนาและลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 จากการชักชวนของ นายดำ ธีรศักดิ์นาคแก้ว น้าชาย แต่ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 โดยพ่ายแพ้คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์เพียง 4,000 เสียง

[แก้] ร่วมกับพรรคไทยรักไทย
ต่อมาได้เข้าร่วมงานกับพรรคไทยรักไทยในทีมปราศรัยล่วงหน้าของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในนามพรรคไทยรักไทย เมื่อ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 และได้รับเลือกเป็น ส.ส. [ต้องการอ้างอิง] แต่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นก่อน ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นทีมโฆษกพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ เป็นแกนนำผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ที่ดำเนินการออกอากาศ สถานีโทรทัศน์พีทีวี โดยดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานี และเมื่อมีการก่อตั้ง แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก็ได้รับตำแหน่งแกนนำ และขึ้นปราศรัยต่อต้านรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

[แก้] โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสังกัดพรรคพลังประชาชน
ต่อมาสังกัดพรรคพลังประชาชน พร้อมลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่มที่ 8 พื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และหลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

[แก้] ผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้

นายณัฐวุฒิบนเวทีปราศรัย นปช.บริเวณแยกราชประสงค์ในปี พ.ศ. 2551 นายณัฐวุฒิได้เป็นหนึ่งในพิธีกรรายการความจริงวันนี้ ทาง NBT โดยร่วมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่เมื่อรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เข้าดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายก่อแก้ว พิกุลทอง จึงได้เป็นพิธีกรแทนนายณัฐวุฒิ

แต่เมื่อพ้นจากตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วนายณัฐวุฒิก็กลับมาดำเนินรายการอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 จนกระทั่งยุติการดำเนินรายการในวันที่ 10 ธันวาคม ปีเดียวกัน

[แก้] แกนนำคนเสื้อแดง
หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือด นายณัฐวุฒิถูกควบคุมตัวในข้อหาก่อการร้ายพร้อมกับนายวีระ มุสิกพงศ์ นพ.เหวง โตจิราการ และแกนนำคนอื่นๆ และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา




...
  
แนวทางตัวอย่างการพูดในโอกาสต่างๆ
รวบรวมโดย สุเมธ แสงนิ่มนวลและไอศูรย์ ดีรัตน์
ราคา 100 บาท พิมพ์โดย สำนักพิมพ์บุ๊คแบงก์
เป็นหนังสือที่รวบรวม คำกล่าวในโอกาสต่างๆ เช่น คำกล่าวอวยพรงานมงคลสมรส , คำกล่าวอวยพรวันปีลใหม่ , คำกล่าวในพิธีอุปสมบท , คำกล่าวในงานเลี้ยงสังสรรค์ , งานขึ้นบ้านใหม่ , งานเปิดป้าย เปิดศูนย์ต่างๆ, คำกล่าวในพิธีฒาปนกิจศพ และมีคำกล่าวอีกหลายงาน
เมื่อท่านซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่านไปศึกษา ท่านสามารถนำคำกล่าวในโอกาสต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ได้
...
  
การพูดในที่ชุมชน
เรื่อง การพูดในที่ชุมชน
โดย อ.สุพรรษา โประธา
การพูดในที่ชุมชน

การพูดในที่ชุมชน คือ การพูดในที่สาธารณะ มีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ผู้พูดต้องสนใจปฏิกิริยาตอบสนองผู้ฟัง ทั้งที่เป็นวัจนภาษา
และอวัจนภาษาการพูดต่อหน้าประชุมชน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัวเพราะทุกคนที่ไม่เป็นใบ้
ย่อมพูดได้ แต่บางคนเท่านั้นที่พูดเป็น เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไป
แต่สามารถพูดได้ เพราะการศึกษา การฝึกฝน ฉะนั้นการฝึกพูดในที่ประชุมชน
ซึ่งเป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุงบุคลิกภาพทั้งภายในและภายนอก
เพื่อการเป็นนักพูดที่ดี !!!
วิธีการพูดในที่ประชุมชน

1. พูดแบบท่องจำ
เตรียมเรื่องพูดอย่างมีคุณค่า สาระถูกต้องเหมาะสม แล้วจำเรื่องพูดให้ได้ เวลาพูดให้เป็น
ธรรมชาติ มีลีลา จังหวะ ถ่ายทอดออกมาทุกตัวอักษร

2. พูดแบบมีต้นฉบับ
พูดไปอ่านไป จากต้นร่างที่เตรียมมาอย่างดีแล้ว แต่ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาอ่าน เพราะไม่ใช่
ผลดีสำหรับผู้พูด

3. พูดจากความเข้าใจ
เตรียมเรื่องพูดไว้ล่วงหน้า ถ่ายทอดสารจากความรู้ความเข้าใจของตนเอง มีต้นฉบับ
เฉพาะหัวข้อสำคัญเท่านั้น เช่น การพูด, สนทนา, อภิปราย, สัมภาษณ์

4. พูดแบบกะทันหัน
พูดโดยไม่มีโอกาสเตรียมตัวเลย ซึ่งผู้พูดต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา
เฉพาะหน้า เมื่อทราบว่าตนเองต้องได้พูด ต้องเตรียมลำดับความคิด และนำเสนออย่างฉับพลัน
การพูดทั้ง 4 แบบนี้ เป็นวิธีการนำเสนอสารต่อผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย
เพื่ออะไร เนื้อหาสาระ โอกาส และสถานการณ์


การพูดในที่ประชุมชนตามโอกาสต่าง ๆ
จำแนก เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. การพูดอย่างเป็นทางการ
เป็นการพูดในพิธีต่าง ๆ มีการวางแผนแนวปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน เช่น การปราศรัยของนายกรัฐมนตรี การให้โอวาทของผู้อำนวยการโรงเรียนในวันปฐมนิเทศ การพูดสุนทรพจน์ของ
รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ การอภิปรายในรัฐสภา ฯลฯ

2. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ
เป็นการพูดที่ให้บรรยากาศเป็นกันเอง เช่น พูดเพื่อนันทนาการในกิจกรรมต่าง ๆ การพูด
สังสรรค์งานชุมนุมศิษย์เก่า การพูดเรื่องตลกในที่ประชุม การกล่าวอวยพรตามโอกาสต่าง ๆ ในงาน
สังสรรค์

3. การพูดกึ่งทางการ
เป็นการพูดที่ลดความเป็นแบบแผนลง เช่น พูดอบรมนักเรียนในคาบจริยธรรม การกล่าว
ต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม การกล่าวขอบคุณผู้ช่วยเหลือกิจกรรม กล่าวบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมตาม
สถานที่ต่าง ๆ
อนึ่ง การพูดในที่ประชุมแต่ละครั้งจะเป็นการพูดประเภทใด ผู้พูดต้องวิเคราะห์โอกาส
และสถานการณ์ แล้วเตรียมศิลปะการใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสนั้น เพื่อที่จะพูดได้
ถูกต้อง ไม่เก้อเขิน เข้ากับบรรยากาศได้ดี มีความประทับใจ


การเตรียมตัวพูดต่อที่ประชุมชน
การพูดในที่ประชุมชนเนื่องจากมีผู้ฟังเป็นจำนวนมาก ผู้ฟังตั้งความหวังจะได้รับความรู้และสาระประโยชน์จากการฟัง ผู้พูดจึงต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกจะช่วยให้ผู้พูดประสบความสำเร็จได้ผู้พูดจะเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

จึงขอเสนอหลักกว้างดังนี้
1. กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะพูดอะไร เพื่ออะไร มีขอบข่ายกว้างขวางมากน้อย เพียงใด
2. วิเคราะห์ผู้ฟัง พิจารณาจำนวนผู้ฟัง เพศ วัย การศึกษา สถานภาพทางสังคม อาชีพ ความสนใจ ความมุ่งหวัง และทัศนคติ ที่กลุ่มผู้ฟังมีต่อเรื่องที่พูด และตัวผู้พูดเพื่อนำข้อมูลมาเตรียมพูด เตรียมวิธีการใช้ภาษาให้เหมาะกับผู้ฟัง
3. กำหนดขอบเขตของเรื่อง โดยคำนึงถึงเนื้อเรื่องและเวลาที่จะพูด กำหนดประเด็น สำคัญให้ชัดเจน
4. รวบรวมเนื้อหา ต้องจัดเนื้อหาที่ผู้ฟังได้รับประโยชน์มากที่สุด การรวบรวมเนื้อหาทำได้ หาได้จากการศึกษา ค้นคว้าจากการอ่าน
การสัมภาษณ์ ไต่ถามผู้รู้ ใช้ความรู้ความสามารถของตนเอง แล้วจดบันทึก
5. เรียบเรียงเนื้อเรื่อง ผู้พูดจัดทำเค้าโครงเรื่องให้ชัดเจนเป็นไปตามลำดับ จะกล่าวเปิดเรื่องอย่างไร เตรียมการใช้ภาษาให้เหมาะสม กะทัดรัด เข้าใจง่าย ตรงประเด็น พอเหมาะกับเวลา
6. การซ้อมพูด เพื่อให้แสดงความมั่นใจต้องซ้อมพูด ออกเสียงพูดอักขรวิธี มีลีลาจังหวะ ท่าทาง สีหน้า สายตา น้ำเสียง มีผู้ฟังช่วยติชมการพูด มีการบันทึกเสียงเป็นอุปกรณ์การฝึกซ้อม

ในกรณีเป็นการพูดแบบฉับพลัน ผู้พูดไม่รู้ตัวมาก่อน หรือรู้ล่วงหน้าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น กล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส กล่าวแสดงความยินดี กล่าวแสดงความคิดเห็นในนาม ของแขกผู้มีเกียรติ ผู้พูดส่วนน้อยที่พูดได้อย่างไม่เคอะเขิน ผู้พูดที่มีประสบการณ์สามารถสร้าง บรรยากาศได้ดี แต่ผู้พูดเป็นจำนวนมากยังเคอะเขิน
จึงขอเสนอข้อแนะนำในการพูด ดังนี้
1. เมื่อได้รับเชิญให้พูด อย่าตกใจ จงภูมิใจที่ได้รับเกียรติ ลุกขึ้นเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย กล่าวทักทายต่อที่ประชุมให้เหมาะสมกับที่ประชุม พร้อมกับสังเกตสถานการณ์
แวดล้อม เริ่มประโยคแรกเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้มากที่สุด
2. พูดเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุด ลำดับเรื่องที่จะพูดก่อนหลัง โดยเสนอแนวคิดอย่างกระชับที่สุด พูดไปอย่างต่อเนื่อง พูดบทสรุปในตอนจบอย่างประทับใจ พยายามรักษาเวลาที่กำหนดไว้
3. ในกรณีที่เป็นการตอบคำถาม กล่าวทักทายหรือทำขั้นตอนอย่างสั้นๆ แล้วทวนคำถามให้กระชับ จึงตอบโดยลำดับเรื่องให้ตรงประเด็น ขยายความให้ชัดเจน
4. ผู้พูดต้องมีปฏิภาณ (ความสามารถในการแสดงความคิดที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างฉับไว) เรียบเรียงเนื้อเรื่องพูดได้ทันที คิดได้เร็ว ฉะนั้น จึงฝึกหัดให้คิด เร็ว ๆ ไว้บ่อย ๆ จะได้ช่วยได้มาก

จะพูดอะไรบ้างในที่ประชุมชน
1. สุนทรพจน์
สุนทรพจน์ หมายถึง คำพูดที่ดีงาม ไพเราะจับใจ การพูดสุนทรพจน์มักมีในพิธีสำคัญ เช่น พิธีต้อนรับแขกเมืองคนสำคัญ พิธีได้รับตำแหน่งสำคัญ เช่น นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีหรือกล่าวในงานฉลองระลึกถึงบุคคลสำคัญ วันสำคัญ ระดับชาติ หรือเป็นการกล่าวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อสร้างสรรค์จรรโลงใจ เป็นคำพูดที่แสดงความปรารถนาดีในทางการเมือง การกล่าวสุนทรพจน์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง มักได้รับการยกย่องว่าเป็นการพูดชั้นยอด
ลักษณะสุนทรพจน์
1. ใช้ถ้อยคำไพเราะลึกซึ้งกินใจ จับใจ
2. โน้มน้าวให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
3. กระตุ้นผู้ฟ้ง มีความมั่นใจ และยินดีร่วมมือ
4. สร้างบรรยากาศให้เกิดความหรรษา และให้ความสุขแก่ผู้ฟัง

โครงสร้างทั่วไปของสุนทรพจน์
1. ตอนเปิดเรื่อง กระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นความสำคัญของเรื่องที่จะพูด
2. ดำเนินเรื่อง ประกอบด้วยเนื้อหาสาระลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน
3. ตอนจบเรื่อง สรุปความทิ้งท้ายให้ผู้ฟังนำไปคิด หรือฝากไว้ในความทรงจำตลอดไป

ลักษณะสุนทรพจน์ทางการเมือง
1. การอภิปราย ให้รัฐสภาหรือชุมชนกล่าวถึงปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียของหมู่คณะ
2. การแถลงคารม เป็นการพูดจาในศาลระหว่างทนายโจทย์ ทนายจำเลย เพื่อชี้ประเด็นให้ผู้ฟัง ผู้พิพากษา เห็นข้างฝ่ายตน
3. การพูดประณาม เป็นการพูดยกย่องหรือตำหนิการกระทำของบุคคลสำคัญ ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน เป็นการชมเชยสนับสนุนหรือแสดงความไม่เห็นด้วย
การพูดทางการเมืองจะประสบความสำเร็จ ต้องพูดให้ผู้ฟังสะดุดใจ ชวนฟัง ประกอบด้วยคารม โวหาร ภาพพจน์ ที่เตรียมไว้เป็นอย่างดี ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นต้องแทรกอารมณ์ขันช่วยผ่อนคลายความเครียด


2. โอวาท
โอวาท คือ คำแนะนำตักเตือน คำสอนที่ผู้ใหญ่ให้แก่ผู้น้อย โอวาทของเจ้านายเรียกพระโอวาท ของพระเจ้าแผ่นดิน เรียก พระบรมราโชวาท

ลักษณะของโอวาท
1. เนื้อหามีคติเตือนใจ มีเหตุผล ไม่ยืดยาว
2. เป็นการแสดงความปรารถนาดี บางครั้งอาจกล่าวตำหนิตรง ๆ บ้าง
3. อาจนำไปประพฤติปฏิบัติได้จริง ผู้ฟังต้องฟังด้วยความเคารพ และยินดีที่จะนำคำสอน คำชี้แนะไปปฏิบัติ

3. คำปราศรัย
คำปราศรัย มีลักษณะคล้ายการแสดงสุนทรพจน์ในด้านเนื้อหา ภาษา และทัศนคติของผู้กล่าว ซึ่งสามารนำไปปฏิบัติได้ คำปราศรัยเป็นการพูดที่เป็นพิธีการจึงต้องมีการตระเตรียมมาก่อนเป็นอย่างดี

ลักษณะของคำปราศรัย
1. พูดถึงความสำคัญของโอกาสนั้น
2. เน้นความสำคัญของสิ่งนั้น ๆ
3. ชี้แจงความสำเร็จ หรือผลงานที่ผ่านมา
4. กล่าวถึงอดีต ปัจจุบัน และความหวังในอนาคต และอวยพรให้เกิดความหวังใหม่ ๆ

4. คำไว้อาลัย
คำกล่าวไว้อาลัย มี 2 ลักษณะ คือ ใช้สำหรับงานศพ คือ พูดถึงคุณความดีของผู้เสียชีวิต
ใช้สำหรับงานเลี้ยงส่ง ผู้ที่จากไปรับตำแหน่งใหม่ลาออก หรือเกษียณอายุ นิยมเรียกว่า อำลาอาลัย

ลักษณะทั่วไปของคำกล่าวไว้อาลัย
1. กล่าวถึงประวัติผู้ตายหรือผู้ที่จากไปอย่างสั้นๆ
2. กล่าวถึงผลงานของผู้นั้น (ข้อ 1)
3. สาเหตุของการเสียชีวิต หรือจากไป
4. กล่าวถึงความอาลัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
5. แสดงความว่าที่ผู้จากไป จะไปอยู่สถานที่ดีและมีความสุข

5. กล่าวอวยพร
5.1 อวยพรขึ้นบ้านใหม่
1) กล่าวถึงความสำเร็จของครอบครัวในการสร้างหลักฐาน
2) ความซื่อสัตย์สุจริต และขยันหมั่นเพียรของเจ้าของบ้าน
3) อวยพรให้ประสบความสุข

5.2 อวยพรวันเกิด
1) ความสำคัญของวันนี้
2) คุณความดีของเจ้าภาพ
3) ความเจริญเติบโต ก้าวหน้า หรือเป็นที่พึ่งของบุตรหลาน อวยพรให้เป็นสุขอายุยืนยาว

5.3 อวยพรคู่สมรส
1) ความสัมพันธ์ของผู้กล่าวกับคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
2) ความดีที่ทั้งสองรักกัน แนะนำหลักการครองชีวิต อวยพรให้เป็นสุข

6. กล่าวสดุดี
6.1 กล่าวมอบวุฒิบัตร หรือประกาศนียบัตร
1) บอกความหมาย และความสำคัญของวุฒิบัตร
2) ความเหมาะสมของผู้ได้รับประกาศนียบัตร
3) มอบวุฒิบัตร และปรบมือให้เกียรติ

6.2 กล่าวสดุดีบุคคลสำคัญ
1) กล่าวนาม, กล่าวชีวประวัติ
2) ผลงาน งานที่เป็นมรดกตกทอด
3) ยืนยันสืบทอดคุณความดี แสดงคารวะและปฏิญาณร่วมตนร่วมกัน

7. กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง

7.1 กล่าวมอบรางวัล หรือตำแหน่ง
1) ชมเชยความสามารถ และความดีเด่นของผู้ได้รับรางวัล หรือตำแหน่ง
2) ความหมายและเกียรตินิยมของรางวัลหรือตำแหน่ง
3) ฝากความหวังไว้กับผู้ที่จะรับรางวัล หรือดำรงตำแหน่ง
4) มอบรางวัล หรือของที่ระลึกปรบมือให้เกียรติสำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลกล่าวขอบคุณ กล่าวยืนยันที่จะรักษารางวัลเกียรติยศนี้

7.2 กล่าวรับมอบตำแหน่ง
1) ขอบคุณที่ได้รับความไว้วางใจ และให้เกียรติ
2) ชมเชยคณะกรรมการชุดเก่า (ในข้อดีจริงๆ )) ที่กำลังหมดวาระ
3) แถลงนโยบายโดยย่อ
4) ใช้คำสัญญาที่จะรักษาเกียรติ และทำหน้าที่ดีที่สุด พร้อมกับขอความร่วมมือจาก
คณะกรรมการและสมาชิกทุกคน

8. กล่าวต้อนรับ

8.1 ต้อนรับสมาชิกใหม่
1) ความสำคัญและความหมายของสถาบัน
2) หน้าที่และสิทธิ์ที่สมาชิกจะพึงได้รับ
3) กล่าวต้อนรับมอบของที่ระลึก (เข็มหรืออื่น ๆ) ถ้ามี

8.2 ต้อนรับผู้มาเยือน
1) เล่าความเป็นมาของสถาบันโดยย่อ
2) กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้ต้อนรับ
3) มอบของที่ระลึก แนะนำให้ที่ประชุมรู้จัก และเชิญกล่าวตอบ

9. ปาฐกถา

การแสดงปาฐกถา คือ การพูดถึงความรู้ ความคิด นโยบายแสดงเหตุผล และสิ่งที่น่าสนใจผู้ที่แสดงปาฐกถา ย่อมต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริงในเรื่องนั้น ๆ การแสดงปาฐกถาไม่ใช่การสอนวิชาการ แต่มีข้อเสนอแนะ หรือข้อคิดเห็นสอดแทรก และไม่ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียด
มีหลักการแสดงปาฐกถาดังนี้
9.1 พูดตรงตามหัวข้อกำหนด
9.2 เนื้อหาสาระให้ความรู้ มีคำอธิบายตัวอย่างให้ฟังเข้าใจได้รวดเร็ว
9.3 สร้างทัศนคติที่ดีต่อเรื่องที่พูด

10. การพูดเป็นพิธีกร และโฆษก

พิธีกร หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการในกิจการนั้น ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายพิธีกรจะเป็นผู้ทำให้รายการนั้นน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ต้องทำหน้าที่ประสานประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้ฟัง และผู้ร่วมรายการ หรือ คือ ผู้ประสานความเข้าใจอันดีระหว่างผู้แสดงในรายการนั้นกับผู้ฟัง ผู้ชม
โฆษก (โคสก) หมายถึง ผู้ประกาศ, ผู้โฆษณา มีหน้าที่ติดต่อสื่อความหมายระหว่างผู้รับเชิญ กับผู้ชม หรือผู้ฟัง

ข้อแนะนำสำหรับผู้ทำหน้าที่พิธีกร และโฆษก
1. มีบุคลิกภาพดี
2. ขณะพูดหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มีชีวิตชีวา ใจเย็น พูดจาไพเราะนิ่มนวล
3. มีปฏิภาณไหวพริบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีความคล่องตัว สร้างบรรยากาศให้มีความเป็นกันเอง
4. พูดให้สั้น ได้เนื้อหาสาระ ใช้ถ้อยคำสละสลวย เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ กระตือรือร้นอยากฟัง
5. ศึกษาเรื่องราวที่จะต้องทำหน้าที่นำเสนอรายการเป็นอย่างดี จัดลำดับการเสนอสาระอย่างมีขอบเขต มีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ที่จะต้องทำ และมีความรับผิดชอบ


ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง สุนทรพจน์

โครงสร้างสุนทรพจน์ ขั้นตอนของสุนทรพจน์
1. คำนำ หรือการเริ่มต้น (Introduction)
2. เนื้อเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่อง (Discussion)
3. สรุปจบ หรือการลงท้าย (Conclusion)
"ขึ้นต้นให้ตื่นเต้น ตอนกลางให้กลมกลืน และตอนจบให้จับใจ"
แบ่งโครงสร้างของสุนทรพจน์เป็นสัดส่วน ได้ดังนี้


คำนำ 5 - 10 %
เนื้อเรื่อง 80 - 90 %
สรุปจบ 5 - 10 %

คำนำหรือการเริ่มต้น
ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการขึ้นต้น
1. อย่าออกตัว
2. อย่าขออภัย
3. อย่าถ่อมตน
4. อย่าอ้อมค้อม

หลักในการขึ้นต้นมีอยู่ว่า
1. ขึ้นต้นแบบพาดหัวข่าว (Headline)
2. ขึ้นต้นด้วยคำถาม (Asking Question)
3. ขึ้นต้นด้วยการทำให้ผู้ฟังสงสัย (Interest Arousing)
4. ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง (Quousing)
5. ขึ้นต้นให้สนุกสนาน (Entertainment)


ข้อพึงหลีกเลี่ยงในการสรุปจบ
1. ขอจบ ขอยุติ
2. ไม่มากก็น้อย
3. ขออภัย ขอโทษ
4. ขอบคุณ
หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน ไม่เลื่อนลอยสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และหัวข้อเรื่อง กระทัดรัดไม่เยิ่นเย้อ พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอดของสุนทรพจน์

วิธีสรุปจบที่ได้ผล
1. จบแบบสรุปความ
2. จบแบบฝากให้ไปคิด
3. จบแบบเปิดเผยตอนสำคัญ
4. จบแบบชักชวนและเรียกร้อง
5. จบด้วยคำคม คำพังเพย สุภาษิต

ความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การเป็นพิธีกร

เทคนิคการเป็นพิธีการ
การเป็น "พิธีกร" นั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า "มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า" ใคร ๆ ก็เป็นได้ หากแต่ต้องอาศัยความรู้ ความชำนาญ ความเข้าใจ และปฏิภาณไหวพริบหลาย ๆ อย่างมาประกอบกันเพื่อทำให้งานดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางพิธีกร ไม่ใช่ผู้ประกาศ พิธีกรไม่ใช่ตัวตลก พิธีกรไม่ใช่ผู้โฆษณา พิธีกรไม่ใช่ผู้ทำหน้าที่
ประชาสัมพันธ์ และพิธีกรไม่ใช่ผู้พูดสลับฉากบนเวที แต่ พิธีกรเป็นที่รวมของบทบาทหน้าที่อย่างน้อย 4 ประการ คือ
1. เป็นเจ้าของเวที (Stage Owner)
2. เป็นผู้ดำเนินรายการ (Program Monitor)
3. เป็นผู้แก้สถานการณ์เฉพาะหน้า (Situation Controller)
4. เป็นผู้ประสานงานบันเทิงและสังคม (Social Linkage)

ดังนั้น พิธีกร จึงต้องมีความรู้พื้นฐาน 4 อย่าง คือ
1. รู้ลำดับรายการ
2. รู้รายละเอียดของแต่ละรายการ
3. รู้จักผู้เกี่ยวข้องในแต่ละรายการ (ใครจะมารับช่วงเวทีต่อไป)
4. รู้กาลเทศะ (ไม่เล่นหรือล้อเลียนจนเกินขอบเขต ต้องมีความพอดี)

โอกาสต่าง ๆ ในการเป็นพิธีกร ได้แก่
1. ผู้ดำเนินรายการบนเวทีในงานแสดงต่างๆ เช่น ดนตรี ละคร โชว์ ฯลฯ
2. เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย โต้วาที ยอวาที แซววาที
3. แนะนำองค์ปาฐก ผู้บรรยายรับเชิญ
4. จัดรายการทางวิทยุกระจายเสียง
5. จัดรายการทางโทรทัศน์
6. ดำเนินรายการในงานพระราชพิธี งานพิธี และงานมงคลต่างๆ
7. เป็นโฆษกของพรรคการเมืองในการปราศรัยหาเสียง หรือในงานต่างๆ ของพรรค


เทคนิค 7 ประการในการเป็นพิธีกร
1. ต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ (พักผ่อนเพียงพอ)
2. ต้องมาถึงบริเวณงานก่อนเวลา (อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง)
3. สำรวจความพร้อมของเวที แสง สี และเสียง (ทดสอบจนแน่ใจ)
4. เปิดรายการด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า
5. ดึงดูดความสนใจมาสู่เวทีได้ตลอดเวลา (ทุกครั้งที่พูด หรือเสนอรายการ) อย่าทิ้งเวที
6. แก้ปัญหาหรือควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างดี
7. ดำเนินรายการจนจบ หรือบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

โอกาสใดควรดื่มถวายพระพร
หลายครั้งเจ้าภาพขอร้องให้มีการเชิญชวนดื่มถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งบางครั้งก็เหมาะสม บางครั้งก็ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เกิดจากความไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรเมื่อไม่นานมานี้ สำนักพระราชวังได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชน เป็นคำแนะนำของสำนักพระราชวัง บอกถึงวาระการดื่มถวายพระพร ว่ามีอยู่ 5 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. งานที่จัดวันนั้นตรงกับวันสำคัญของราชสำนัก เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา
2. สถานที่จัดงานได้รับพระบรมราชานุญาต หรือพระบรมราชานุเคราะห์
3. คู่สมรส หรือเจ้าภาพฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้รับใช้พระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด
4. งานนั้นไม่เข้าหลักเกณฑ์ 3 ข้อแรก แต่มีประธานองคมนตรี หรือองคมนตรีไปร่วมงาน
5. แขกที่ไปร่วมงานนั้น เป็นผู้แทนต่างประเทศระดับเอกอัครราชทูต อุปทูต หรือการจัดงานวันชาติของสถานทูตต่างๆ โดยถือเป็นการอนุโลม
สำหรับคำกล่าวในการดื่มถวายพระพร ทางสำนักพระราชวังได้ชี้แนะว่าควรจะกล่าวดังนี้

"ในโอกาสอันเป็นศุภนิมิตมงคล กระผม (หรือดิฉัน) ขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติโปรดดื่มถวายพระพร"

เมื่อถึงตอนนี้ทุกคนก็ลุกขึ้นถือแก้วน้ำ แล้วผู้กล่าวนำถวายพระพรก็กล่าวต่อไปว่า

"ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัย และพระสยามเทวาธิราช จงคุ้มครองให้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และพระราชวงศ์ จงทรงพระเกษมสำราญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่พสกนิกรไปชั่วกาลนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

แล้วทุกคนดื่มถวายพระพรจึงนั่งลงได้สิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องจบโดยไม่ต้องมีเพลงมหาฤกษ์ หรือเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเปล่งเสียงไชโยโดยสิ้นเชิง




...
  
สุนทรพจน์ นายอานันท์ ปันยารชุน
รวมปาฐกถาภาษาไทย

สุนทรพจน์
เรื่อง บทบาทของนักธุรกิจในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
โดย นายอานันท์ ปันยารชุน
ประธานสภาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
ในโอกาส เครือไทยสงวนวานิชครบรอบ ๕๐ ปี
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๙
ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมโอเรียนเต็ล


ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่คุณวิกรม ชัยสินธพ ประธานกรรมการ เครือไทยสงวนวานิช เชื้อเชิญให้ผมมากล่าวสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสที่เครือไทยสงวนวานิชมีวาระครบรอบ ๕๐ ปี แก่ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในวันนี้ อันประกอบไปด้วยผู้นำนักธุรกิจ ข้าราชการ สื่อมวลชน ในหัวข้อ “บทบาทของนักธุรกิจในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม” การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อสังคม และการพัฒนาประเทศ เมื่อประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้า ความสำคัญของการจัดการสิ่งแวดล้อมก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แม้ว่ามีการพูดถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ก็ยังแก้ไขได้อย่างจำกัดเท่านั้น

ยกตัวอย่างที่เห็นชัดในช่วงนี้ คือ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทุกคนทั้งผู้สมัครอิสระและผู้สมัครสังกัดพรรคการเมือง ต่างพยายามรณรงค์ด้วยการเสนอโครงการใหม่ ๆ ที่ต้องใช้งบเพื่อสิ่งแวดล้อมนับแสนล้าน ซึ่งชี้ชัดว่าการลงทุนแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมานั้นยังไม่เพียงพอ และไม่ทันต่อปัญหาที่ทวีเพิ่มขึ้นทุกวัน

วิกฤตสิ่งแวดล้อม

ทำไมประเทศไทยจึงต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านในที่นี้เห็นพ้องต้องกันอยู่แล้วว่า สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยนั้นเสื่อมโทรม ไม่ว่าจะเป็นมลพิษในเมือง พื้นที่ป่าไม้ แหล่งน้ำ คุณภาพดิน และทรัพยากรทางทะเล ซึ่งความเสื่อมโทรมทั้งหมดนี้ ส่งผลคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งเรื่องความแออัด ความสกปรก มลพิษทางอากาศและทางน้ำ รวมทั้งความยากจนในชนบทเนื่องจากทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอลง ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขในทางปฏิบัติให้เห็นผลในเร็ววัน

ถ้าดูจากใกล้ ๆ ตัวก่อน เช่น อากาศเป็นพิษถึงขั้นวิกฤตในเขตกรุงเทพมหานคร ปัญหาฝุ่นละอองเพราะการจราจรติดขัด มีเขม่าดำจากเครื่องยนต์ดีเซล อีกทั้งการเร่งการก่อสร้างถนน ทางด่วน รถไฟฟ้ารวมทั้งตึกรามบ้านช่องโดยไม่สนใจและไม่รับผิดชอบต่อฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ถนนบางสายของกรุงเทพมหานคร เช่นริมถนนพหลโยธินมีปริมาณฝุ่นเกินกว่ามาตรฐานถึง ๗ เท่า และจากผลการสำรวจโรงพยาบาลในเมืองหลวงของเราพบว่า ประชากรใน กรุงเทพมหานคร มีอาการของโรคภูมิแพ้เกินกว่า ๑ ล้านคน

นอกจากเรื่องของฝุ่นและมลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำเป็นปัญหาที่ทวีความวิกฤตขึ้นทุกขณะ จากอดีตที่เมืองไทยเคยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมีแม่น้ำหลักสายใหญ่ไหลผ่านทางใจกลางเมืองหลวง แต่ปัจจุบันจากการวัดคุณภาพน้ำพบว่า แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ที่ปากคลองพระโขนงเคยมีคุณภาพน้ำถึงขั้นวิกฤต ในฤดูร้อนปริมาณโคลีฟอร์ม แบคทีเรีย ซึ่งเป็นดรรชนีวัดความสกปรกของน้ำ มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของผู้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำโดยตรง

ปัญหาขยะเป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง เพราะปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั่วประเทศต่อวันมีปริมาณขยะเกินกว่า ๓๓,๐๐๐ ตัน แค่เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครต่อวันมีมากกว่า ๗,๐๐๐ ตัน ถึงแม้ทางกรุงเทพมหานครเชื่อว่าสามารถจัดเก็บได้ถึงร้อยละ ๙๕ แต่ท่านทั้งหลายคงเห็นว่า ขยะใน กรุงเทพมหานคร นั้นยังกองล้นเกลื่อนกลาดอยู่ตามถนน และในตรอกซอกซอย จะพูดได้อย่างไรว่า กรุงเทพของเรานั้นสะอาด น่าอยู่ น่าอาศัย

ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผมกล่าวมานั้น เป็นปัญหาต่อเนื่องที่พอกพูนทวีความวิกฤตขึ้นทุกวัน เพราะในขณะที่ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้ประชาชนในชนบทมุ่งหน้าเข้าสู่หัวเมืองที่เป็นแหล่งงานที่สร้างรายได้สูงกว่าทำให้เมืองใหญ่แออัดขยายตัวอย่างไม่มีระบบ ขาดการควบคุม ส่งผลให้เกิดมลพิษขึ้นหลายรูปแบบดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งท้ายที่สุดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษทั้งหมดนั้น ก็จะส่งผลกระทบกลับมาที่คุณภาพชีวิตของพวกเราทุกคน

หน้าที่ของใครในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศนั้น เรามักเข้าใจกันว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐโดยตรง ซึ่งเป็นความเข้าใจได้ที่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องทั้งหมดแม้รัฐมีหน้าที่แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อส่วนรวม แต่รัฐไม่ใช่ผู้ก่อปัญหาทั้งหมด และจุดสำคัญของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น จะคอยตามแก้ไขอย่างเดียวไม่พอ ต้องช่วยกันป้องกันและลดปริมาณการก่อมลพิษให้น้อยลง ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่จึงจะบรรเทาเบาบางลดน้อยลงได้ เมื่อพิจารณากันเช่นนี้แล้ว เราทุกคนในฐานะที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน ล้วนมีส่วนในการสร้างมลพิษด้วยกันทั้งสิ้น อาจจะมีความแตกต่างอยู่บ้าง ที่ชนิดปริมาณ และความเป็นพิษของมลพิษที่แต่ละคนมีส่วนก่อขึ้น จึงเป็นเรื่องสมควรแล้ว ที่ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องแบกภาระรับผิดชอบใส่ใจแก้ไขปัญหาร่วมกัน

บทบาทของภาคธุรกิจอยู่ตรงไหน

ทำไมภาคธุรกิจจึงต้องแสดงบทบาทในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ผมขอตอบแทนในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง ผมเชื่อว่าภาคธุรกิจเป็นภาคสำคัญในการพัฒนาประเทศ ถ้าหากภาคธุรกิจสามารถพัฒนาธุรกิจของตนเอง ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ ประเทศไทยของเราจะสามารถพัฒนาเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน

ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีภาคธุรกิจเข้มแข็ง ดูได้จากมูลค่าสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านสี่แสนล้านบาท อีกทั้งการลงทุนในภาคเอกชน เมื่อปลายปี ๒๕๓๘ ก็ขยายตัวเพิ่มสูงถึง ๑๔.๒ % ผมจึงเชื่อว่า ภาคธุรกิจสามารถมีบทบาทนำในสังคมนี้ได้ เนื่องจากภาคธุรกิจมีศักยภาพสูง สามารถระดมทุนและมีประสบการณ์ในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ให้ประสบผลสำเร็จแม้ว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพียงใดก็ตาม ในสภาพการณ์ปัจจุบันเรื่องสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก เราต้องปรับกลยุทธการพัฒนาที่มุ่งเน้นให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วแต่เพียงอย่างเดียว มาใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจัง บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะต้องแสดงบทบาทนำในอีกด้านหนึ่ง เพื่อฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนา เพื่อเป็นการคืนกำไรให้แก่สังคมที่เกื้อหนุนเรามา

ในโลกนี้ไม่มีของฟรีอีกแล้ว ผมย้ำประโยคนี้อยู่เสมอเพราะเป็นความจริงที่เราไม่อาจปฏิเสธการได้มาซึ่งความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ มีภาพความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรากฎให้เห็นอยู่โดยทั่วไป ผมจึงคิดว่าควรจะมีกฎระเบียบเพื่อบังคับให้ผู้ที่มีส่วนในการทำลายสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง

จากอดีตด้วยเหตุผลที่เคยคิดกันว่า ทรัพยากรธรรมชาติเป็นของได้มาเปล่า ๆ การแสวงหาวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำที่สุด เช่น การลักลอบตัดไม้ในป่าสงวนแห่งชาติ การขุดแร่โดยไม่มีการปรับสภาพหน้าดินหลังจากใช้แร่หมดแล้ว หรือการตั้งโรงงานริมฝั่งแม่น้ำ แล้วสูบขึ้นมาใช้โดยไม่จำกัดปริมาณ เมื่อใช้เสร็จแล้ว ขบวนการผลิตก็แปรสภาพวัตถุดิบ กลายเป็นน้ำเสียทิ้งออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ของเสียเหล่านี้จะทำลายแหล่งน้ำ ทำลายสภาพความสมบูรณ์ของดิน หรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศรอบ ๆ ตัวถ้ายังหวังที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างยั่งยืน เราจำเป็นต้องตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและรักษาคุณภาพของสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สถานประกอบการให้มากขึ้น

ดังนั้น ต้องเปลี่ยนความคิดที่เคยคิดเสียใหม่อย่างเป็นธรรม ด้วยหลักการ “ใครทิ้ง - ใครจ่าย” เมื่อเรานำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาใช้เพื่อสร้างผลผลิตและกำไร หากใช้แล้วเกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม เราต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วย

ผมเชื่อมั่นว่าด้วยหลักการ “ใครทิ้ง - ใครจ่าย” ในสายตาของนักลงทุนทางธุรกิจเป็นหลักการที่ยุติธรรม ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และจำเป็น อีกทั้งยังบ่งบอกว่า ท่านเป็นผู้ที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และนี่คือ บทบาทที่ผมอยากสนับสนุนให้ท่านเข้าร่วมเพื่อช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

ในวันนี้ ผมขอกล่าวถึง ๔ แนวทางที่ท่านนักธุรกิจทั้งหลาย อาจพิจารณานำไปเลือกใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในองค์กรของท่านได้

แนวทางที่ ๑ การจัดการระบบสิ่งแวดล้อม

การจัดการระบบสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นแนวทางกว้าง ๆ สำหรับธุรกิจ และอุตสาหกรรมทุกประเภท โดยเริ่มจากการจัดทำนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมขึ้นในองค์กรก่อน และกำหนดแต่งตั้งบุคลากรเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมขององค์กรโดยเฉพาะ เพื่อนำไปสู่การดำเนินงานให้เกิดผลในขั้นตอนปฏิบัติ จนสามารถป้องกันการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หลักการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ว่านี้จะช่วยทำให้การนำวัตถุดิบจากธรรมชาติมาใช้อย่างเหมาะสม และคุ้มค่ามุ่งเน้นการลดกากของเสียให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งสามารถเลือกทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น ใช้เทคโนโลยีที่สะอาด โดยมีการเปลี่ยนหรือติดตั้งอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และสามารถประหยัดพลังงาน ยกตัวอย่างอุตสาหกรรมสิ่งทอในปัจจุบัน มีระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการผสมสีอย่างได้ผล ทำให้การใช้สีน้อยลง ส่งผลให้สามารถลดปริมาณสีที่ออกมากับน้ำทิ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบ ๆ โรงงานเสมอ หรือเลือกใช้วิธีการผลิตสินค้าที่สามารถลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง เช่น การนำวัตถุดิบในกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ หรือ ที่เรียกว่ารีไซเคิล เช่น อุตสาหกรรมฟอกหนังที่ต้องใช้โครเมียม ซึ่งทำให้เกิดเป็นกากสารพิษหลังจากการผลิต ขณะนี้สามารถแก้ปัญหาโดยการเติมสารเคมีปรับสภาพโครเมียมในน้ำเสียให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นการลดปริมาณกากสารพิษที่จะปนเปื้อนไปกับน้ำทิ้งได้เช่นกัน

เน้นการจัดระบบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในแง่การใช้วัตถุดิบอย่างประหยัด และในด้านการลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต แม้ว่าในบางวิธีการอาจจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม แต่การลงทุนที่ว่านั้นจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียภายหลัง จึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเริ่มจากนโยบายของสำนักงานใหญ่สามารถนำไปถ่ายทอดให้กับบริษัทในเครือ หรือเป็นเงื่อนไขให้บริษัทคู่ค้าเข้ามาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย เมื่อมีการจัดระบบสิ่งแวดล้อมที่ดีจะส่งผลให้สินค้าหรือบริการมีคุณภาพเป็นที่ต้องการของตลาด

การผลิตตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศประหยัดไฟเบอร์ ๕ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดทางโทรทัศน์แทบทุกวัน ซึ่งประสบความสำเร็จเพราะเป็นการรณรงค์ประหยัดพลังงานที่ได้ผล ซึ่งผู้ผลิตให้ความร่วมมือใส่ใจปรับปรุงสินค้าที่ประหยัดพลังงาน ผู้ซื้อสินค้าได้ประโยชน์โดยตรง เพราะค่าไฟฟ้าต่อเดือนลดลง สินค้าเบอร์ ๕ จึงเป็นที่นิยมในเวลาอันรวดเร็ว นี่คือ ตัวอย่างที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในตลาดที่สามารถเข้าถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมในด้านปฏิบัติจริง มีผลทำให้บริษัทคู่แข่งที่ไม่สามารถผลิตสินค้าที่ลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้ต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่

หากท่านเป็นนักธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผมคิดว่าการส่งเสริมให้องค์กรของท่านห่วงใยเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ดี และควรเตรียมการลงทุน เพื่อสร้างระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันนี้ อย่าคิดว่าค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน เพราะยิ่งเริ่มต้นช้า ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแก้ไขจะเพิ่มมากขึ้น

ที่สำคัญ เมื่อเกิดระบบสีเขียวขึ้นในองค์กร ภาพพจน์ของบริษัทจะดีขึ้น เพราะบริษัทของท่านจะมีส่วนช่วยรับผิดชอบในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันต้นเหตุของการเกิดมลพิษอย่างจริงจัง

แนวทางที่ ๒ มาตรฐาน ISO 14000

เรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะแค่ในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเริ่มคุ้นกับศัพท์ ISO 14000 ที่องค์การมาตรฐานระหว่างประเทศ ได้กำหนดรายละเอียดของการจัดตั้งระบบมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรมและกิจกรรมอื่น ๆ ทุกประเภท ตั้งแต่การกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมของบริษัท การวางแผนการดำเนินการ ตรวจสอบโดยองค์กรภายนอก ISO 14000 กำลังเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก โดยเฉพาะประเทศที่มีธุรกิจการส่งออกเป็นนโยบายหลักของการพัฒนาประเทศ

กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปมักเน้นการกำหนดมาตรฐานของปริมาณ และความเข้มข้น มลพิษที่อนุญาตให้ปล่อยทิ้งออกมาจากขบวนการผลิต ซึ่งเป็นการควบคุมที่ปลายเหตุ แต่มาตรฐาน ISO 14000 นี้จะเน้นการจัดการทั้งระบบ ตั้งแต่เริ่มขบวนการผลิต จนกระทั่งสิ้นสุดออกเป็นสินค้า และต่อเนื่องครอบคลุมถึงการใช้สินค้าดังกล่าว เมื่อใช้จนหมดอายุแล้ว จะทิ้งที่ไหน กำจัดอย่างไร เป็นการวางแผนจัดการอย่างครบวงจรชีวิตของสินค้าแต่ละชิ้น โดยเน้นการนำกลับมาใช้ใหม่ แทนที่จะทิ้งในกองขยะ ดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผลดีในการนำระบบ ISO 14000 ไปใช้ในองค์กรนั้นมีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนในระยะยาว การเพิ่มคุณภาพของสินค้าและการให้บริการ ความโปร่งใสเปิดเผยต่อผู้ถือหุ้น ประชาชนในท้องถิ่น และสาธารณชนโดยทั่วไป

เงื่อนไขของมาตรการการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ มีผลกระทบต่อการค้าของประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะในขณะที่ประเทศไทยติดต่อทำการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น คู่ค้าต่างประเทศสามารถที่จะใช้ประเด็นการจัดการสิ่งแวดล้อม มาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาการเลือกซื้อสินค้า เช่น ปัญหาการห้ามนำเข้ากุ้งของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยยกประเด็นเรื่องผลกระทบต่อการอยู่รอดของเต่าทะเลมาเป็นเงื่อนไข ทำให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการส่งออกกุ้งของประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อีก ๒๙ ประเทศ ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาจะไม่ยอมให้มีการนำเข้ากุ้งจากประเทศที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องตรวจจับเต่าทะเลในเรือประมง หรือถ้าการขยายพื้นทำนากุ้งนั้นมีการบุกรุกป่าชายเลน ซึ่งผู้ประกอบการในที่ทำการส่งออกกุ้ง รวมทั้งในประเทศไทยจะต้องแก้ไขขบวนการผลิตที่เป็นเงื่อนไขนั้นให้ได้

หากผู้ประกอบธุรกิจไม่รีบปรับตัวอาจจะเสียเปรียบทางการค้า เพราะผู้ซื้อโดยเฉพาะประเทศทางแถบยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือจะหันไปซื้อสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่มีมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าแทน การจัดการระบบธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งในการค้าระหว่างประเทศแล้ว ธุรกิจองค์กรใดที่นำระบบ ISO 14000 ไปใช้ก่อนจะเป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะได้ถือว่าได้ทำประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมและต่อองค์กรเอง

แนวทางที่ ๓ การระดมทุนเพื่อลดมลพิษ

ในวงการธุรกิจ ท่านทั้งหลายทราบกันดีแล้วว่าการระดมทุนเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมก็เช่นเดียวกัน ผมได้กล่าวถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อม คำถามมีอยู่ว่าเมื่อเราเห็นความสำคัญแล้วประเทศไทยมีงบเพียงพอในการลงทุนแก้ปัญหาหรือไม่ ในงบประมาณของรัฐบาลที่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตั้งงบด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมไว้ประมาณ ๒๓,๔๘๕ ล้านบาท งบดังกล่าวเท่ากับ ๒.๔ เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณแผ่นดินประเทศซึ่งยังไม่เพียงพอ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยองค์กรของรัฐโดยลำพัง จะทำให้ประเทศไทยต้องวิ่งไล่ตามปัญหา ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะเน้นกลไกทางตลาด ซึ่งสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาช่วย “หลักการใครทิ้ง - ใครจ่าย” จึงเป็นการนำไปสู่การนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม บ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน นอกจากการลงทุนลดมลพิษ และการกำจัดมลพิษในกิจกรรมของตนเองแล้ว ยังจะต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าน้ำทิ้ง ด้วยหลักการใครใช้มากจ่ายมาก ผลดีที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ เราทุกคนจะได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่ มีสุขภาพกาย และสุขภาพใจที่ดีขึ้น

การคิดค่าธรรมเนียมด้านสิ่งแวดล้อมนั้น อันที่จริงเริ่มมีการนำมาใช้ในประเทศไทย แต่ยังไม่แพร่หลาย เช่น ที่เมืองพัทยา หรือเขตเทศบาลป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มีการจัดเก็บธรรมเนียมค่าบำบัดน้ำทิ้งจากครัวเรือนและโรงแรม สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมล้วนต้องเสียค่าบำบัดน้ำทิ้งประจำเดือนเช่นกัน ซึ่งผมเชื่อว่าการคิดค่าธรรมเนียมด้านสิ่งแวดล้อมนี้ จะมีผลผลักดันทำให้ธุรกิจหันมาใส่ใจมลพิษ ลดของเสียที่ก่อขึ้น ที่สำคัญกว่านั้นจะเป็นการระดมทุนให้รัฐมีงบเพิ่มขึ้น เพื่อสามารถเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษที่หมักหมมมานานให้ลุล่วงได้โดยเร็ว

การจ่ายค่าธรรมเนียมสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่าจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นบ้าง แต่ธุรกิจไม่ควรผลักภาระไปที่ผู้ซื้อผู้บริโภคทั้งหมดทำให้ราคาของสินค้าและการบริการเพิ่มสูงขึ้น การจ่ายค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม ถือได้ว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ผลดีจากการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม จะทำให้สินค้าและบริการของท่านเป็นที่ยอมรับมากขึ้นด้วย

นอกจากเรื่องค่าธรรมเนียมแล้ว ในภาคการเงินการคลังก็สามารถมีส่วนแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน เช่น การจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในบางประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ มีการจัดตั้งกองทุนรวมเพื่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีนโยบายส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่แน่ชัด ถือเป็นการส่งเสริมให้บริษัทมหาชนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

แนวคิดที่ว่านี้จากการศึกษาของมูลนิธิเอเชียในประเทศไทย โดยทำการสำรวจความคิดเห็นทั้งผู้ลงทุนรายย่อยและบริษัทหลักทรัพย์ทั่วไป ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็หมายความว่า บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นตัวอย่างของบริษัทสีเขียว ทำให้ผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่และรายย่อย ล้วนมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย

ในขณะนี้สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมมือกับธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย เพื่อผลักดันเรื่องกองทุนสีเขียวให้เกิดเป็นรูปธรรม การที่ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียให้ความสนใจ เรื่องกองทุนดังกล่าว เพราะเล็งเห็นว่าไม่ใช่เป็นการช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในไทยเท่านั้น หากประสบความสำเร็จ วิธีการเดียวกันนี้จะสามารถนำไปใช้กับประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันมีปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เช่น ประเทศจีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียได้ด้วย

การระดมทุนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดและผลักดันออกมาให้เป็นรูปเป็นร่างในเร็ววัน เพราะการแก้ไขปัญหาทุกวันนี้เราวิ่งตามปัญหามาตลอด หากทุกฝ่ายไม่ช่วยกันปล่อยให้รัฐเป็นผู้แก้ปัญหาแต่ผู้เดียว ประเทศไทยจะไม่สามารถระดมทุนแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ทัน

แนวทางที่ ๔ การร่วมมือของนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม

เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ในปัจจุบันเริ่มมีผู้นำภาคธุรกิจจากบริษัทชั้นนำ สนับสนุนแนวความคิดของการร่วมมือในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว เช่น คณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งผมเป็นประธานอยู่ ได้เริ่มทำงานกันมา ๓ ปีแล้ว

คณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย เป็นกลุ่มทำกิจกรรมที่ไม่หวังผลกำไร ได้รับแบบอย่างการดำเนินการมาจากคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมโลก ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยึดหลัก “การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน” เพื่อคลี่คลายปัญหาสิ่งแวดล้อมอันหมายถึง การดำเนินธุรกิจที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร

ในปัจจุบันนี้มีบริษัทธุรกิจเข้าร่วมถึง ๖๐ บริษัท ในคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งเป็นแขนงธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาประเทศ อาทิ ธนาคาร ๕ แห่ง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ๕ แห่ง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การรวมตัวกันของบริษัทกลุ่มนี้ เพื่อร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งเพื่อเป็นแบบอย่างต่อผู้นำธุรกิจรุ่นหลัง หรือนักธุรกิจวัยหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจให้หันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมที่ทำออกมาเป็นรูปโครงการมีหลายโครงการ เช่น โครงการฉลากสีเขียว โครงการ ISO 14000 โครงการเทคโนโลยีสะอาด โครงการหมู่บ้านปลอดภัยจากสารพิษ โครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมคลองหลอด โครงการสนับสนุนและพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา

ความร่วมมือกันในภาคธุรกิจเอกชนในลักษณะนี้กำลังเป็นที่สนใจและปฏิบัติกันอยู่ในประเทศแถบเอซียตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไต้หวัน แม้แต่ประเทศเวียดนามเองก็สนใจ ที่จะจัดตั้งคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมาในรูปแบบเดียวกัน และโดยได้ส่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวางแผน นำคณะมาดูงานของคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อเป็นตัวอย่างนำไปจัดตั้งในประเทศของตนเอง

ผมขอถือโอกาสนี้ เชิญชวนนักธุรกิจทั้งหลายที่สนใจ เข้าร่วมทำงานกับคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมไทย เพื่อร่วมแรงร่วมใจทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

สรุป

การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมกลายเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย เมื่อปลายปี ๒๕๓๘ มีมูลค่ามากถึง ๒๕,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มการเติบโตอีกปีละ ๒๐ - ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจสิ่งแวดล้อม รวมถึงธุรกิจจัดหาน้ำสะอาด อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน ระบบควบคุมมลพิษ และกำจัดกากสารพิษ ธุรกิจการกำจัดขยะ การให้บริการที่ปรึกษาและการติดตามตรวจสอบปริมาณมลพิษ นับได้ว่า เป็นธุรกิจที่สร้างงาน สร้างกำไรให้กับผู้ลงทุน และยังมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมของส่วนรวมด้วย

จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ต้องการให้ท่านทั้งหลายสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเพราะมาตรฐานต่างประเทศ หรือการกีดกั้นทางการค้า กำลังบีบบังคับให้เราต้องใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม จนต้องปรับมาตรฐานให้เหมือนเมืองนอกเขา แต่ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทำไมนักธุรกิจไทยไม่เริ่มต้นช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และจัดการระบบสิ่งแวดล้อมในกิจกรรมของตนเอง ก่อนที่ภาครัฐหรือตามมาตรฐานสากลจะมาบังคับให้จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เราทุกคนจำเป็นต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาตั้งแต่วันนี้ เพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ของไทยให้คงอยู่เพื่อเป็นมรดกของลูกหลาน และเป็นสมบัติของชาติสืบไป



...
  
ทองใบ ทองเปาด์ 1
9
...
  
การเขียนสร้างสรรค์ ไม่ยากอะไรเลย
เป็นผลงานของ อาจารย์ศิวกานท์ ปทุมสูติ ผมได้มีโอกาสไปอบรม การอ่าน ณ บ้าน อาจารย์ ศิวกาน์ ปทุมสูติ เลยซื้อไว้ สำหรับอาจารย์ศิวกาน์ ปทุมสูติ
มีงานเขียนหลายเล่ม ท่านสามารถติดตามการอบรมได้ ณ http://www.oknation.net/blog/krugarn ...
  
การตั้งเป้าหมาย สมคิด ลวางกูร 1
9
...
  
ศิลปะการเป็นวิทยากรมืออาชีพ Train the Trainer Course
9
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.