หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ปิดสวิตซ์นอน
ปิดสวิตช์นอน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เป็นที่รู้กันดีว่าการพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ การนอนหลับ มีคนถามว่าแล้วเราควรนอนหลับคนละประมาณกี่ชั่วโมงต่อวันถึงจะเป็นการดี ทั้งนี้คงตอบไม่ได้สำหรับแต่ละบุคคล เนื่องจากการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่มีความเหมือนกัน เช่น ช่วงอายุวัย ลักษณะของงานที่ทำ ความแตกต่างกันของร่างกายรวมทั้งเรื่องของสุขภาพอนามัยความเจ็บป่วยของร่างกายของแต่ละบุคคล ความแตกต่างกันในเรื่องของสุขภาพจิต อารมณ์ จิตใจ ฯลฯ
- ช่วงอายุวัย จากงานวิจัยและการศึกษากล่าวว่าเด็กเล็กจนกระทั่งถึงวัยรุ่นควรนอนหลับวันละ 8-10 ชั่วโมง วัยผู้ใหญ่ ควรนอนหลับวันละ 6-8 ชั่วโมง วัยสูงอายุควรนอนหลับวันละ 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้าหากว่าเรานอนน้อยเกินไปในตอนกลางคืน เราก็สามารถนอนกลางวันชดเชยได้ แต่สำหรับคนที่ทำงานก็อาจฝึกงีบหลับเป็นระยะๆ สักครั้งละ 15 นาที โดยการนั่งงีบ ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนและเกิดพลังกาย พลังสมองขึ้นมาได้
- ลักษณะของงานที่ทำ บางคนทำงานกลางคืน บางคนทำงานเข้าออกงานหรือเข้าเวรไม่เป็นเวลาที่แน่นอน บางคนทำงานใช้แรงกายทั้งวัน ก็คงต้องมีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการนอนและระยะเวลาในการนอนก็คงต้องมีความแตกต่างกันไป เนื่องจากร่างกายมีความต้องการที่จะพักผ่อนที่แตกต่างกัน
- สุขภาพอนามัย อาการเจ็บป่วยของแต่ละบุคคล ความเจ็บป่วยทางร่างกายส่งผลให้ร่างกายของคนเราต้องการพักผ่อน การปิดสวิตช์นอนจึงควรมีมากกว่าสภาพร่างกายที่มีความปกติ
- สุขภาพจิต อารมณ์ จิตใจ ส่งผลต่อการพักผ่อนของร่างกาย คนที่มีสุขภาพจิตไม่เป็นปกติ ควรพักผ่อนนอนหลับมากกว่าคนที่มีสุขภาพจิตเป็นปกติ
และยังมีปัจจัยอื่นๆอีก ที่ทำให้คนเรามีการนอนหลับในจำนวนเวลา ช่วงเวลา ที่มีความแตกต่างกัน แต่หลายคนใช้
เวลานอนที่นานมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการขี้เกียจได้ ดังนั้นคนเราแต่ละคนจึงมีความต้องการนอนที่ไม่เท่ากัน เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นอนหลับมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน,วินสตัน เชอร์ชิลล์ นอนหลับไม่เกิน 5 ชั่วโมงต่อวัน , โธมัส อัลวา เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก นอนหลับเพียงวันละ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน เป็นต้น
แล้วนอนเท่าไรถึงจะพอแก่ความต้องการของแต่ละบุคคล กล่าวคือคงขึ้นอยู่กับความรู้สึกเฉพาะตัวว่าเมื่อตื่นแล้วมีความสดชื่น แจ่มใส มีความกระปรี้กระเปร่า และพร้อมที่จะทำกิจรรมต่างๆในวันใหม่ได้
จงศึกษาและลองสำรวจดูว่าช่วงเวลาในการนอนหลับของเราเองอยู่ในช่วงใด แต่ในทางการศึกษา ค้นคว้า ของหมอเขียว(นายใจเพชร กล้าจน)ได้กล่าวไว้ว่าช่วงที่ควรปิดสวิตช์นอนมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงไฟกำเริบจะอยู่ในช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 กล่าวคืออาจจะเริ่มเข้านอนตั้งแต่เวลา 3 ทุ่มถึง ตี 4 ก็ได้
สำหรับอาการนอนไม่หลับ ถ้าหากใครมีอาการนอนไม่หลับมากกว่า 1 สัปดาห์ จนทำให้ไม่สามารถทำงานได้ในช่วงเวลาทำงาน ก็ควรรีบแก้ไขโดยการไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยและแนะนำเรื่องพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีขึ้นแพทย์ก็จะให้ทานยานอนหลับ
สรุปแล้ว ช่วงเวลาในการปิดสวิตช์นอนคงมีความแตกต่างกันแต่ละบุคคล ทั้งนี้คงต้องแล้วแต่ช่วงอายุวัย ลักษณะ
ของงานที่ทำ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต และอื่นๆ อีกทั้งไม่ควรนอนหลับนานหรือมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดนิสัยขี้เกียจได้ ถ้ามีปัญหานอนไม่หลับควรรีบปรึกษาแพทย์
...
  
ทำไมไม่กำหนดเป้าหมายในชีวิต
ทำไมไม่กำหนดเป้าหมายในชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
หลายๆคน ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จหรือได้ยินได้ฟังจากบรรดาผู้ประสบความสำเร็จว่า การสร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จทุกๆคนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต ถามว่าเมื่อรู้แล้วว่าการกำหนดเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญแต่ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ยอมที่จะกำหนดเป้าหมายในชีวิต อาจเป็นเพราะเหตุผลดังนี้
1.ไม่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการกำหนดเป้าหมายอย่างแท้จริง หลายๆคนคงได้เคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการวางเป้าหมายจากการอบรม การสัมมนา การอ่านหนังสือต่างๆ ฯลฯ แต่เมื่อเรียนรู้แล้วไม่ยอมลงมือทำ นี่คือจุดอ่อนของคนส่วนใหญ่ กล่าวคือเข้ารับการอบรมในหลักสูตรต่างๆ แต่ไม่ยอมนำเอาความรู้ที่ได้รับการอบรมไปใช้ไปปฏิบัติอย่างจริงจัง การเรียนรู้เรื่องการวางเป้าหมายก็เช่นกัน
2.มีความกลัวว่าเมื่อวางเป้าหมายไปแล้วจะทำไม่ได้ ความกลัวมักจะทำให้คนๆนั้นไม่กล้า เช่น กลัวจีบสาวไม่ติดก็ไม่กล้าที่จะไปจีบสาว , กลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชนเลยไม่กล้าที่จะพูดต่อหน้าที่ชุมชน , กลัวตกม้าเลยไม่กล้าขึ้นไปขี่ม้า ฯลฯ ฉะนั้น หลักในการวางเป้าหมายที่ดี เราไม่ควรวางเป้าหมายให้สูงเกินความเป็นจริงหรือเกินความสามารถของตนเอง และการวางเป้าหมายที่ดี ไม่ควรวางเป้าหมายให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ควรวางเป้าหมายสูงกว่าความเป็นจริงสักเล็กน้อย
3.ไม่อยากเสียเวลาและเสียแรงในการวางเป้าหมาย หลายๆคนเมื่อวางเป้าหมายไปแล้วทำครึ่งๆกลางๆ ไม่มีความต่อเนื่อง จึงทำให้มีความรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลาและเสียแรงในการวางเป้าหมาย เช่น บางคนมีเป้าหมายว่าจะลุกขึ้นอ่านหนังสือทุกๆวัน ตั้งแต่เวลาตี 5 แต่พอทำไปได้ 3 วัน ก็เลิกทำ หรือ บางคนมีเป้าหมายว่าจะออกกำลังกายทุกๆตอนเย็นแต่ทำได้เพียงแค่ 7 วัน ก็เลิก สุดท้ายก็ไม่อยากกำหนดเป้าหมายในชีวิต
นี่คือสาเหตุบางประการที่ทำให้คนเราไม่ยอมที่จะกำหนดเป้าหมายในชีวิต ถามว่าทำไมจึงต้องกำหนดเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายมีประโยชน์หลายประการ เช่น
1.การมีเป้าหมายช่วยให้เรารู้ทิศทางในการก้าวไปข้างหน้า ทำให้ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย ไม่ทำให้เราเกิดความสับสนในชีวิตจนไม่รู้ว่าจะเดินไปในทิศทางไหนดี การรู้ทิศทางเดินของตนเองทำให้เราเกิดความตั้งใจ เกิดความมุ่งมั่น เกิดการพัฒนาตนเองเพื่อไปสู่เป้าหมาย
2.การกำหนดเป้าหมายจะทำให้เราพบวิธีการในการไปสู่เป้าหมาย ตัวอย่าง หากเราอยู่ต่างจังหวัด เรามีเป้าหมายว่าต้องการเดินทางไปกรุงเทพฯ เราสามารถมีวิธีการในการไปสู่เป้าหมายหลายวิธี เช่น นั่งรถโดยสารประจำทาง นั่งรถยนต์ส่วนตัว นั่งเครื่องบิน ปั่นจักรยาน ฯลฯ ทั้งนี้ เราสามารถรู้วิธีการในการไปสู่เป้าหมายว่ามีวิธีการใดที่มีความเหมาะสมกับเรามากที่สุด
3.การกำหนดเป้าหมายจะทำให้มีความขยัน อดทนและความเพียรพยายาม คนที่มีเป้าหมายจะมีความขยัน อดทนและเพียรพยายามเพื่อนำพาตัวเองไปสู่จุดหมายปลายทาง แต่คนไม่มีเป้าหมาย ถึงแม้จะมีขยัน มีอดทนและมีเพียรพยายามอย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน เพราะเนื่องจากไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน เหมือนขยันพายเรือกลางทะเล ไม่รู้ว่าฝั่งอยู่ตรงไหน
จากข้อความข้างต้นจะทำให้เราทราบว่า ทำไมคนเราถึงไม่ยอมกำหนดเป้าหมายและทำให้ทราบเรื่องประโยชน์ของการกำหนดเป้าหมาย ดังนั้นหากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ท่านได้กำหนดเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป แล้วเริ่มเดินทางไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน
...
  
ยุทธวาที ศาสตร์แห่งการใช้วาจาเป็นอาวุธ
เป็นหนังสือที่เสริมสร้างวาทศิลป์สู่ความสำเร็จที่คุณใฝ่ฝัน เขียนโดย..หวงเหวินฉง แปลโดย..ธนพร
ลิ้นยาวสามนิ้ว กองทัพพลสามแสน บางครั้งกองทัพก็พ่ายแพ้แก่ลิ้นเดียว
การโต้คารมกับผู้มีปัญญา จะต้องมีวิชาความรู้มาก
การโต้คารมกับผู้เป็นพหูสูต จะต้องเก่งในทางวาทศิลป์
การโต้คารมกับผู้มีฝีปากดี จะต้องแจ่มชัดแก่นของเรื่องและพูดเข้าจุด
การโต้คารมกับผู้มีฐานะสูงส่ง จะต้องใช้อำนาจมาคัดง้าง
การโต้คารมกับผู้มั่งคั่ง จะต้องเอาฐานะอันสูงส่งมาเทียบ
การโต้คารมกับผู้ยากจน จะต้องล่อด้วยผลประโยชน์
การโต้คารมกับผู้มีฐานะต่ำต้อย จะต้องมีท่าทีถ่อมตนนอบน้อม
การโต้คารมกับผู้แกล้วกล้า จะต้องไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
การโต้คารมกับผู้โง่เขลา จะต้องจับประเด็นและมีข้อสรุปให้
ในชีวิตธุรกิจ เราประสบปัญหานานาอยู่เป็นประจำ รู้จักใช้วาทะขจัดปัญหากันหรือไม่
...
  
การตั้งทนายขอแรง
25
...
  
แถลงการณ์ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนที่ 27-2/2
25
...
  
วันนี้..มีค่ามากกว่าวันพรุ่งนี้
วันนี้…มีค่ามากกว่าวันพรุ่งนี้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
คนส่วนใหญ่มักมีนิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น นิสัยที่เกียจคร้าน , ไม่มีเป้าหมายในชีวิต , ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน , ขาดความเพียรพยายาม ฯลฯ
แต่ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขามักเป็นคนที่มีเป้าหมายแล้วรีบลงมือทำทันที บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะไม่ปล่อยเวลาในแต่ละวันให้ผ่านไป เขาจะใช้มันอย่างคุ้มค่า เสมือนประหนึ่งว่าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต
อย่าผัดวันประกันพรุ่ง แต่ถ้าหากคุณคิดว่า งานที่คุณจะทำนั้นใหญ่เกินกว่าจะทำวันนี้ให้เสร็จท่านควร แบ่งงานใหญ่ๆให้เล็กลง เช่น ถ้าหากต้องการเขียนนิยายสักเล่ม ท่านควรแบ่งเป็นบทๆ หรือ เป็นตอนๆ ก็จะทำให้ท่านรู้สึกง่ายขึ้นในการทำงานในแต่ละวัน และควรวางแผนการทำงานในแต่ละวันให้เป็นระบบ ไม่ปล่อยงานให้ค้างไว้หรือทำแบบครึ่งๆ กลางๆ เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียของช่วงเวลาที่คุณทิ้งงานค้างไว้แทนที่จะทำให้เสร็จ อีกทั้งหากต้องมาทำในครั้งต่อไปท่านต้องมาทบทวนและเรียกอารมณ์ในการทำงานใหม่
การฝึกนิสัยการทำงานให้วันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญและมีค่ามากที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ควรทำหากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยเฉพาะชีวิตในการทำงาน ท่านสามารถฝึกได้ดังนี้
1.มีเป้าหมาย ท่านต้องมีการวางเป้าหมายของชีวิตว่าตนเองต้องการอะไรอย่างแท้จริงในชีวิต มีการวางเป้าหมายระยะยาว ระยะกลางและระยะสั้น อีกทั้งควรวางแผนการทำงานเป็นรายวันด้วย ว่าวันหนึ่งๆ ท่านจะต้องทำอะไรบ้าง โดยต้องรู้จักลำดับความสำคัญของงาน ว่างานไหนสำคัญ งานไหนเร่งด่วน งานไหนสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน งานไหนไม่สำคัญแต่เร่งด่วน เป็นต้น
2.วางแผน การวางแผนจะทำให้เราเห็นภาพว่าในแต่ละวันเราจะทำงานอะไรได้บ้าง จงวางแผนงานที่ทำ อีกทั้งควรที่จะใช้เครื่องมือต่างๆ ในการวางแผน เช่น มีสมุดไดอารี่ , มีสมุดบันทึก ปากกาพกติดตัวเป็นประจำ หากว่าเกิดความคิดดีๆ หรือสิ่งที่ต้องการทำจะได้บันทึกลงไปในไดอารี่ หรือสมุดบันทึก เพื่อป้องกันการลืม และอีกทั้งช่วยให้การวางแผนงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.ต้องฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ให้ “ ททท. หรือ ทำทันที ” บุคคลที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเขามีเป้าหมาย เขามีการวางแผนแล้ว เขาก็จะไม่รีรอเขาจะลงมือทำทันที เขาจะไม่รอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น เขาจะลงมือทำทันที ทั้งๆที่ยังไม่ทราบว่าจะมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นมาอีกมากมายหรือไม่
4.เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน บุคคลที่ประสบความสำเร็จ เขาจะมีความคิดที่บวก มีความรับผิดชอบต่องานของตน เขาจะลบคำพูดที่ว่า “พรุ่งนี้ค่อยทำ” แล้วเปลี่ยนเป็น “ต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้”
5.สร้างนิสัยใหม่โดยอาศัยความเพียรกับความสม่ำเสมอ บุคคลที่มีความเพียร มักจะไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ เขาจะใช้เวลาทุกๆ นาทีให้เกิดความคุ้มค่า ความเพียร ไม่ได้หมายถึง การทำงานหนักในช่วงแรกแล้วพักเหนื่อยในช่วงหลัง แต่บุคคลที่มีความเพียรจะเป็นคนที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ ไม่หยุด จนงานนั้นๆเสร็จสิ้นไป นักเขียนบางท่านที่ประสบความสำเร็จมีผลงานการเขียนมากมาย เขาเพียงแต่ใช้เวลาระหว่างการรอการเดินทาง การรอภรรยาทำอาหารเพียงวันละ 15 – 20 นาที โดยการทำอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน จนเป็นนิสัย จึงสามารถสร้างผลงานออกมาอย่างมากมาย
6. ฝึกสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน คนที่ทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง ไม่เฉื่อยชา มักเป็นคนที่มีพลังในการทำงาน เขาจะเป็นคนที่มีความขยันขันแข็งในการทำงาน อีกทั้งความกระตือรือร้น มักทำให้ผู้ตามหรือผู้ร่วมงาน เกิดแบบอย่างที่ดี อยากที่จะปฏิบัติตามและอยากร่วมทำงานด้วย
จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าการทำงานหรือการดำเนินชีวิตในวันนี้ให้ดีที่สุดจะมีค่ามากกว่าวันพรุ่งนี้ และถ้าหากว่าเราทำงานวันนี้ให้ดีที่สุดในทุกๆวัน ก็จะทำให้วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ วันมะเรื่องนี้ และอนาคตของเราจะดีตามไปด้วย
ดังนั้น จงฝึกการวางเป้าหมายในชีวิต จงฝึกการวางแผนการทำงานในแต่ละวัน จงฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง จงฝึกเปลี่ยนความคิดและคำพูด จงฝึกสร้างนิสัยใหม่และจงฝึกสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน
...
  
จงเรียนรู้ตลอดชีวิต
จงเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคของการแข่งขัน เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ทั้งในเรื่องของ เทคโนโลยี(IT) , ระบบการทำการค้าธุรกิจ , สภาพการเมือง , สภาพสังคม , สภาพทางเศรษฐกิจ ฯลฯ บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจึงต้องเป็นบุคคลที่มีนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตจะทำให้ท่านมีมันสมองที่เฉียบคมและสามารถมองปัญหา วิเคราะห์ปัญหาได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าคนที่ไม่มีนิสัยเรียนรู้ตลอดชีวิต
คนหลายคนมักคิดว่าตนเองเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ไม่ต้องเรียนอีกก็ได้ แต่ในความเป็นจริงการเรียนรู้นอกห้องเรียนหรือการเรียนรู้ในชีวิตจริงๆ มีความสำคัญมากกว่าการเรียนรู้ในห้องเรียนเสียอีก เราสามารถสร้างนิสัยการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้ดังนี้
1.จงมีความใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ในชีวิตของคนๆหนึ่ง เราไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ทั้งหมด พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ธรรมะที่พระองค์รู้เปรียบเสมือนใบไม้แค่หนึ่งกำมือ ก็ขนาดธรรมะที่พระองค์ถ่ายทอดยังมีแค่หนึ่งกำมือแล้วความรู้ต่างๆทั่วโลกจะมีมากมายขนาดไหน ดังนั้นถ้าหากท่านหยุดเรียนรู้ แต่ในขณะที่คนอื่นๆ เรียนรู้ ท่านก็จะกลายเป็นคนล้าหลังทันที จงเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในทุกๆวัน ตลอดเวลา
2.จงเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ ศาสตร์ในโลกนี้มีมากมายหลากหลาย เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเรียนรู้ตลอดเวลาในสิ่งที่ตนเองถนัดหรือตนเองชอบ เช่น อเล็กซานเดอร์ เกแฮม เบลล์ เป็นนักประดิษฐ์ท่านทุ่มเทคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ตลอดเวลา ท่านไม่เคยทุ่มเทเสียเวลามากมายไปกับเรื่องที่เกี่ยวกับงานประพันธ์ เรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง ท่านสนใจในงานประดิษฐ์และเรียนรู้ตลอดชีวิตจนท่านสามารถคิดค้นวิธีสร้างโทรศัพท์ เป็นต้น
3.จงทำรายการหรือออกแบบเครื่องมือ ตรวจสอบการเรียนรู้ เช่น คุณอาจจะจดบันทึกทุกๆวัน ว่าในแต่ละวันคุณได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น ลองสำรวจ ตรวจสอบ ความก้าวหน้าในทุกๆ วัน หากวันไหนไม่ได้เรียนรู้หรือพัฒนาตนเองเพิ่มเติมแล้วเราจะมีวิธีการปรับปรุง แก้ไขอย่างไร
4.เลือกบุคคลที่เป็นต้นแบบ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจนั้นอาจมาจากบุคคลที่เป็นต้นแบบ จึงได้ลอกเลียนแบบ พัฒนา เรียนรู้ ตามบุคคลที่เป็นต้นแบบจนประสบความสำเร็จ กล่าวคือ คนบางคนอยากจะเป็นนักเขียนแบบทมยันตี เลยศึกษาประวัติของทมยันตี ศึกษาวิธีการทำงาน ศึกษาวิธีใช้ชีวิต แล้วจึงเลียนแบบวิธีการเขียนหนังสือ จนพัฒนาเป็นนักเขียนชื่อดังแบบทมยันตี หรือ บางคนอยากจะเป็นนักพูดแบบอาจารย์จตุพล ชมพูนิช จึงลอกเลียนแบบวิธีการพูด วิธีการฝึกการพูดของอาจารย์จตุพล ชมพูนิช จนในที่สุดก็เป็นนักพูดที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เป็นต้น
5.จงปลดแอกตัวเองจากความคิดเดิมๆ จงเปลี่ยนวิธีคิดชีวิตเปลี่ยน ชีวิตของคนส่วนใหญ่มักไม่ชอบเรียนรู้สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เนื่องจากมีวิธีคิดแบบเดิมๆ เช่น ไม่คิดถึงอนาคตของตนเอง , ไม่มีเป้าหมายของชีวิต , คิดว่าตนเองเกิดมาไม่เก่ง , ไม่รู้จะดิ้นรนไปทำไม ฯลฯ บุคคลที่มีความคิดในลักษณะนี้มักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ดังนั้นท่านต้องปลดแอกตัวเองจากความคิดเดิมๆ อาจจะต้องคิดใหม่ เช่น คิดถึงเรื่องของเป้าหมายในชีวิต , คิดถึงอนาคตที่ก้าวหน้าของตนเอง เป็นต้น ก็จะทำให้ท่านเปลี่ยนนิสัยรักการเรียนรู้ขึ้นมาได้
ชีวิต คือ การเรียนรู้ ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นคนที่มีนิสัยรักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ท่านลองปฏิบัติตามคำแนะนำในข้างต้นนี้ แล้วชีวิตของท่านจะเกิดการพัฒนาหลายๆ ด้านขึ้นมา เช่น เรื่องของการทำงาน , เรื่องของการพัฒนาตนเอง , เรื่องของการรักษาสุขภาพ , เรื่องของมนุษย์สัมพันธ์ ฯลฯ จงรักการเรียนรู้แล้วชีวิตของท่านจะดีขึ้นมาอย่างแน่นอนครับ

...
  
เทคนิคการทำให้ผู้อ่านสนใจ
เทคนิคการทำให้ผู้อ่านสนใจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
งานเขียนโดยมากมักมีความยาวและถ้าเป็นงานเขียนในเชิงวิชาการด้วยแล้ว อาจทำให้ผู้อ่านโดยทั่วไปเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นได้ ดังนั้นถึงแม้งานเขียนของเราจะมีสาระ เนื้อหา แง่มุมดีขนาดไหน แต่ถ้าผู้อ่านไม่มีความสนใจอยากที่จะอ่านหรือไม่อ่าน งานเขียนของเราเลย งานเขียนนั้นก็ไร้ค่า สู้งานเขียนที่มีสาระน้อยกว่า แต่คนหยิบอ่านไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรให้งานเขียนของเราเป็นที่สนใจของผู้อ่าน เราสามารถสร้างความสนใจในงานเขียนของเราได้ด้วยวิธีดังนี้
1. การใช้รูปภาพประกอบ การใช้รูปภาพประกอบจะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เพราะเนื้อหาบางอย่าง
อาจซับซ้อน สับสน ซึ่งยากต่อการอธิบาย เช่น การแสดงขั้นตอนต่างๆ ในการผสมพันธ์พืชหรือสัตว์ , ภาพแสดงชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆของยานอวกาศ , ภาพโมเดลกระบวนการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น การใช้ภาพประกอบจึงมีความสำคัญดังคำกล่าวที่ว่า “ ภาพเพียง 1 ภาพ แทนคำพูดเป็น 1,000 คำ)
2. การใช้ตาราง เราสามารถใช้ตารางได้ในกรณีที่เรามีความต้องการเปรียบเทียบข้อมูล เปรียบเทียบตัวเลข การ
ใช้ตารางที่ดีไม่ควรมีความยาวเกิน 1 หน้า กระดาษ แต่หากมีความจำเป็นก็ควรทำตารางให้อยู่ในหน้าที่คู่กัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการอ่านของผู้อ่าน
3. การใช้กราฟ แผนภูมิแท่ง ประกอบการเขียน การใช้กราฟ แผนภูมิแท่ง จะทำให้ผู้อ่านทราบทันทีว่า อันไหน
มากกว่าอันไหน อันไหนสูงกว่าอันไหน อีกทั้งยังมีประโยชน์คือ เป็นการดึงดูดความสนใจ ประหยัดเวลา สร้างความแตกต่าง ในการนำเสนออีกด้วย
4. ตัวหนังสือและการเน้นคำ ควรใช้รูปแบบที่อ่านง่าย อีกทั้งยังต่อมีการพิสูจน์คำผิดให้มีการผิดพลาดให้น้อย
ที่สุด เพราะถ้าหากหนังสือมีคำผิดมากๆ ผู้อ่านหรือผู้ซื้อ อาจทักว่าเป็นหนังสือที่ไม่ดี การเน้นคำ ก็มีความสำคัญ ถ้าเราต้องการสื่อให้ผู้อ่านรับรู้ว่า ข้อมูลนี้มีความสำคัญ เราก็ควรเน้นคำให้มีความเด่นชัดขึ้น ซึ่งการเน้นคำให้ผู้อ่านทราบมีเครื่องมือหลายอย่าง เช่น อาจใช้วิธีขีดเส้นใต้ , การทำให้เป็นอักษรตัวทึบหรือแรเงา , การมีสัญญาลักษณ์ต่างๆ(ลูกศร ,ดอกจัน,สี่เหลี่ยม ,วงกลม , จุดกลมทึบ เป็นต้น)
5.ขนาดของหนังสือและกระดาษ มีความสำคัญต่อนักอ่านมาก มีคนตั้งคำถามกับกระผมว่า ขนาดของหนังสือ ขนาดไหนดี กระผมคงตอบให้ไม่ได้ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับ ประเภทของหนังสือเป็นหลัก เพราะถ้าหากเป็นหนังสือดนตรีสำหรับเด็กหรือนิทานสำหรับเด็ก ก็ไม่ควรทำหนังสือให้เล็กจนเกินไป เพราะจะทำให้ตัวโน้ตดนตรีหรืออักษรเล็ก จนเด็กๆ มองไม่เห็นแล้วจะไม่ชอบอ่าน การเลือกกระดาษก็สามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้ไม่ใช่น้อย เช่น สีของกระดาษ , ความหนาความบาง , กระดาษสะท้อนแสง เคลือบมัน เป็นต้น แต่สำหรับคนที่เป็นนักการตลาดหรือมีความคิดสร้างสรรค์ อาจจะออกแบบขนาดของหนังสือเอง ซึ่งอาจแตกต่างจากหนังสือทั่วไป ก็สามารถดึงดูดใจผู้อ่านได้ไม่ใช้น้อย เช่น ออกแบบขนาดหนังสือให้ใหญ่กว่าปกติหรือเล็กกว่าปกติ , ออกแบบหนังสือให้มีขนาดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งสามารถสร้างความแตกต่างหรือทำให้เกิดความแตกต่างของสินค้าคือหนังสือได้
6.ปกหนังสือ ปกหนังสือมีความสำคัญมาก เพราะเป็นประตูด่านแรกที่ทำให้คนอยากเปิดอ่านหนังสือของเราหรือไม่ การออกแบบปกจึงมีความสำคัญ ปกต้องเด่น ชวนให้ผู้อ่านอยากหยิบขึ้นมาอ่านเมื่อได้เห็น ซึ่งการออกแบบปกจะต้องทำให้เกิดความแตกต่างกับปกหนังสือเล่มอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน อีกทั้งยังต้องยอมที่จะลงทุนเพิ่ม เนื่องจาก การพิมพ์สี่สีแพงกว่าการพิมพ์สองสี การเคลือบมันปก การทำให้เป็นอักษรตัวนูน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องลงทุนเพิ่มทั้งสิ้น
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จึงมีความสำคัญ แต่ความสนใจของผู้อ่าน และยังคงมีรายละเอียดต่างๆ อีกมากที่ยังไม่ได้กล่าวถึงแต่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ เช่น สำนักพิมพ์และโรงพิมพ์ที่พิมพ์ , คำนำ คำนิยม , ราคา , ความชัดเจนของอักษรในการพิมพ์ เป็นต้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดึงดูดความสนใจของผู้อ่านและมีคุณค่าอย่างแท้จริงสำหรับผู้อ่านก็คือ เนื้อหาสาระ ประโยชน์ของงานที่เราเขียนนั้นเอง
...
  
คิดต่าง
Think Different
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
Think Different หรือ คิดต่าง มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนที่ทำงานด้านการตลาด สตีเวน จอบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์หรือ บริษัทแอปเปิล (Apple: Company Co-founder Steve Jobs Has Died) เขาให้ความสำคัญมากๆ เกี่ยวกับการคิดต่าง หรือ Think Different บริษัทถึงกับออกโฆษณาตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับแนวความคิดนี้ และมีคนเคยถามว่า ทำไมเขาให้ความสำคัญเกี่ยวกับการคิดต่างหรือ Think Different แต่มีการวิจัยตลาดหรือการหาความต้องการของลูกค้าน้อยมาก
เขาตอบว่า ในบางครั้งลูกค้าก็ไม่รู้ตัวว่าตนเองต้องการอะไร พร้อมทั้งยกตัวอย่างว่า สมัยของเฮนรี ฟอร์ด คนเรายังไม่มีรถยนต์ใช้ แต่ใช้ม้า ใช้ช้าง ใช้วัว ใช้เกวียน ในการเดินทาง ถ้าหากเฮนรี ฟอร์ด ทำการวิจัยทางการตลาดว่า ลูกค้ามีความต้องการอะไร ลูกค้ามักจะตอบกลับว่า เขาต้องการม้าที่วิ่งได้ไวที่สุด เขาต้องการเกวียนที่มีประสิทธิภาพที่สามารถบรรทุกของได้เป็นจำนวนมากๆ
และถ้าหากเฮนรี ฟอร์ด สนองความต้องการของลูกค้า รถยนต์คันแรกของโลกก็จะไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น สตีเวน จอบส์ จึงให้ความสำคัญกับการคิดที่แตกต่างเป็นอันมาก และ Think Different จึงเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของบริษัทแอปเปิล ที่นำเอามาใช้ในองค์กร จนองค์กรคือ บริษัทแอปเปิล ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกและประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยความคิดที่แตกต่างสินค้าตระกูล I จึงได้เกิดขึ้น ( iPhone iPad iPod) ซึ่งมีหลายรุ่น หลายแบบ และหากเราตั้งข้อสังเกตจะเห็นได้ว่า สินค้าบางตัวเป็นสินค้าที่คิดมาก่อนบริษัทอื่นๆ เมื่อออกมาขาย บริษัทบางแห่งถึงกับมีการลอกเลียนแบบสินค้าเพื่อนำไปขาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า สตีฟ จอบส์ จะไม่มีการทำการตลาดในตัวสินค้า แต่ตรงกันข้าม เขาจะมีทีมงานการตลาดของบริษัทเอง โดยที่ไม่จ้างนักการตลาดมืออาชีพหรือนักการตลาดที่มีชื่อเสียงมาจากภายนอกแต่จะใช้ทีมงานภายในบริษัทเอง
บริษัท แอปเปิล ได้สร้างวัฒนธรรมด้วยการคิดต่างหรือ Think Different ดังนี้ ส่งเสริมให้พนักงานคิดต่าง , ส่งเสริมเรื่องของคุณค่ามากกว่ากฎระเบียบ เช่นมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่คำนึงถึงเรื่องของงานต้องเสร็จ พนักงานบางคนเดินเท้าเปล่าๆ เข้าประชุม โดยไม่มีใครต่อว่า , ต้องริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เสมอ เป็นต้น
ผู้ชนะคือผู้ที่กำหนดเกมส์ให้ผู้อื่นเล่น แต่ผู้พ่ายแพ้มักเล่นตามเกมส์ของผู้อื่น ทำไมคนที่เป็นนักการตลาดจะต้องมีความคิดต่างหรือThink Different ก็เพราะการคิดต่างจะทำเกิดสินค้าใหม่ๆ กลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ การแก้ไขปัญหารูปแบบใหม่ๆ จึงทำให้องค์กรของตนเองหรือหน่วยงานของตนเอง ก้าวหน้ามากกว่าที่จะทำตามหรือลอกเลียนแบบ สินค้า กลยุทธ์การตลาดของบริษัทคู่แข่ง
หากอยากเป็นผู้นำตลาด ก็ไม่ควรลอกเลียนแบบ เพราะคนลอกเลียนแบบมักจะเป็นผู้ตามวันยังค่ำ ตรงกันข้ามคนที่คิดต่าง หรือ Think Different มักมีโอกาสเป็นผู้นำตลาดอยู่เสมอ แต่ความยากที่สุดก็คงอยู่ที่ว่า นักการตลาดสมัยใหม่ กล้าหรือเปล่าที่จะคิดต่างและมีความกล้าหรือเปล่าที่จะนำความคิดนั้นไปใช้ เพราะความคิดใหม่ๆ มักต้องเผชิญกับทั้งความล้มเหลวหรือต้องเผชิญกับเสียงตำหนิ เสียงดุด่า การเสียดสี การพูดในเชิงดูถูก แต่หากว่าความคิดต่างหรือThink Different ประสบความสำเร็จ คุณก็มีโอกาสโด่งดังมากกว่าคนที่ทำอะไรตามๆ คนอื่นเขา
Make THE Difference เมื่อคิดต่างแล้ว นักการตลาดที่ดีก็ควรลงมือทำให้เกิดความแตกต่างด้วย ซึ่งพลังในตัวของนักการตลาด สามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้ นักการตลาดสามารถสร้างสรรค์ สร้างคุณค่าให้แก่ตัวของสินค้า บริการ ใหม่ๆได้ ซึ่งการสร้างสรรค์นี้จะส่งผลกระทบต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคมอีกด้วย จงกล้าที่จะคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ “ แตกต่าง” เพื่อการเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่ตนเองทำให้ดีขึ้น จงเริ่มต้นที่ตัวของคุณเอง
เอดิสัน ผู้คิดต่างหรือThink Different มีแนวคิดที่แตกต่างไปจากคนยุคเดียวกัน เขาคิดว่าเขาต้องการคิดหลอดไฟฟ้าดวงแรกของโลก ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการใช้ คนทุกๆคนในสังคมสมัยนั้น ไม่เห็นภาพว่าหลอดไฟฟ้าคืออะไร ด้วยความคิดที่แตกต่าง หลอดไฟฟ้าดวงแรกจึงเกิดขึ้น อีกทั้งการลงมือทำที่แตกต่าง ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นของเขา มีคนตั้งคำถามเขาว่า หากว่าทำสองพันกว่าวิธียังไม่สำเร็จ ทำไมไม่เลิก นี่คือความคิดของคนทั่วไป แต่ เอดิสัน มีความคิดต่างหรือ Think Different เขาตอบกลับว่า ถึงแม้เขาจะยังไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อย เขาก็ได้ค้นพบสองพันกว่าวิธีที่ไม่เหมาะสมที่จะผลิตไส้หลอดไฟฟ้า ดังนั้น หลอดไฟฟ้า ดวงแรกจึงเกิดขึ้น
คุณสมบัติของนักการตลาดในยุคดิจิตอล จึงต้องมีคุณสมบัติที่ คิดต่าง ทำต่าง เพื่อนำสิ่งแปลกๆใหม่ๆ มาสนองความต้องการของผู้บริโภค เมื่อสินค้า บริการ ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากๆ ก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโต การจ้างงานเกิดขึ้น รายได้จากแรงงานเกิดขึ้น คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยรวมก็จะดีขึ้น
สรุป แนวความคิดเรื่องของ Think Different หรือ คิดต่าง กระผมสนับสนุนเต็มร้อยครับ ถึงแม้ว่าสังคมไทยเรามักจะไม่ชอบคิดก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเราส่งเสริม สนับสนุน ให้คนรุ่นใหม่ๆ คิดมากๆ กระผมเชื่อว่า เราจะมีนักการตลาดที่เป็นนักคิดสร้างสรรค์ นักคิดที่มีความแตกต่างๆ มากขึ้น เหมือนกับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนักคิดมากมาย ไม่ว่า เครื่องบินลำแรกเกิดขึ้นในสหรัฐ ระบบร้านสะดวกซื้อ 7-11 เกิดขึ้นในสหรัฐ ระบบอาหารสมัยใหม่เช่น KFC เกิดขึ้นในสหรัฐ รถยนต์ หลอดไฟฟ้า ระบบห้องสมุดประชาชน เกิดขึ้นในสหรัฐ
แต่อย่างไร ก็ดีสังคมไทย ก็มีความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ มากขึ้นกว่าในยุคอดีต ดังจะเห็นได้จากสินค้าหลายตัว มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบ ความทันสมัย รสชาติ สีสัน ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น สมัยอดีต หากว่าเราจะเกิดโดนัสสักชิ้น เราคงจะต้องนึกภาพว่า โดนัส มีลักษณะกลมๆ มีรูตรงกลาง แต่ในปัจจุบัน มีนักการตลาด สร้างสรรค์ และออกแบบ โดนัส พิซซ่า ซึ่งทำให้ภาพของขนมโดนัส เปลี่ยนแปลงไป แต่ทำให้ผู้บริโภคอยากสัมผัส อยากทดลองสิ่งแปลกๆใหม่ๆ
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการเป็นนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ท่านจำเป็นต้องคิดต่างจากนักการตลาดด้วยกัน แต่ถ้าหากท่านไม่คิดอะไรมาก ทำเหมือนๆคนอื่นๆ ความสำเร็จในการทำงานด้านการตลาดของท่านก็อยู่ในระดับปกติมาตรฐานนักการตลาดด้วยกัน ทั้งนี้ ท่านจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการเป็นนักการตลาดหรือไม่ คงไม่ได้อยู่ที่ใคร อย่าโทษสิ่งต่างๆ แต่จงโทษตัวของท่านเอง จงกล้าคิดต่างแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ ขอให้ท่านโชคดี
...
  
การตลาดรุ่ง เราต้องมุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์
การตลาดรุ่ง...เราต้องมุ่งที่การสร้างความสัมพันธ์
....โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากถ้าพูดถึงเรื่องการตลาด คำว่า “ลูกค้า ”มีความสำคัญมาก เพราะถ้ามีลูกค้า บริษัทนั้น องค์กรนั้น มีความเจริญเติบโต มีกำไร มีการขยายงาน มีการเพิ่มคนงาน ซึ่งลูกค้านั้น เรามาจาก 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ 1.การหาลูกค้าใหม่ และ 2.การรักษาลูกค้าเก่า
1. การหาลูกค้าใหม่ เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหาข้อมูล หาความต้องการ หาแรงจูงใจ มอบข้อเสนอ และสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าใหม่
2. การรักษาลูกค้าเก่า เราสามารถทำได้ง่ายกว่า เพราะเรามีข้อมูล รู้ความต้องการ และลูกค้าก็ได้ทดลองสินค้า บริการแล้ว อีกทั้ง ถ้าหากลูกค้าเก่ามีการขยายกิจการ มีความต้องการสินค้าใหม่ๆที่ บริษัทเรามีจำหน่ายหรือบริการ เราสามารถนำเสนอขายได้ทันที
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า จึงเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน
เพราะลูกค้าเก่าสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ได้ ด้วยการบอกต่อ ในทางกลับกัน ลูกค้าเก่า ก็สามารถบอกต่อไปยังคนใหม่ๆ ในเรื่องสินค้าและบริการที่ไม่ดีของเราได้เช่นกัน
มีงานวิจัยของสถาบันแห่งหนึ่งในสหรัฐ เคยวิจัยพบว่า ลูกค้าไม่พอใจในบริการ 1 คน จะบอกต่อถึง 78 คน แต่ถ้าบริการดี ลูกค้าพอใจจะบอกต่อ 1 คน ต่อ10 คน และจะกลับมาใช้ใหม่35%
ถ้าหากเราทำให้ลูกค้าพอใจ 1,000 คน เขาจะบอกต่อเพียงแค่ 10,000 คน แต่ตรงกันข้ามถ้าหากเราทำให้ลูกค้าไม่พอใจ 1,000 คน ลูกค้าจะไปบอกต่อถึง 78,000 คนเลยทีเดียว ดังนั้น การทำให้ลูกค้าพอใจในเชิงบวก มีความสำคัญกว่าสิ่งที่ลูกค้ามีประสบการณ์ในเชิงลบต่อหน่วยงาน ต่อสินค้า และบริการของเรา
ซึ่งประสบการณ์ในเชิงบวกหรือเชิงลบ มีความละเอียดอ่อนมาก เพราะมันรวมไปถึงจุดเล็กๆน้อยๆ เช่น คำพูดหรือบริการของ พนักงานรักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พนักงานรับโทรศัพท์ ตลอดจนถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและทันสมัยด้วย
ตัวอย่างเช่น หากเราเข้าไปยังร้านขายอาหาร 2 ร้าน
ร้านที่ 1 มีการไหว้ มีการพูดจาอย่างสุภาพ มีการต้อนรับ มีการรับคำสั่งรายการอาหารอย่างรวดเร็ว มีการทวนคำสั่งรายการอาหารเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด หากเราไม่รู้จะสั่งอะไร พนักงานก็แนะนำรายการอาหารเมนูพิเศษให้ และคิดเงินไม่ผิดพลาด ตลอดรวมไปถึง การจัดสถานที่ จัดโต๊ะ ที่นั่งมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาด
ร้านที่ 2 ไม่มีการต้อนรับลูกค้า มีการรับคำสั่งซื้อสินค้าช้า อีกทั้งยังพูดจาไม่ดี ร้านสกปรก
ถามว่าเราอยากเข้าร้านไหน แล้วถ้าจะแนะนำเพื่อนๆ เราจะแนะนำร้านไหน อีกทั้งเราจะพูดถึงร้านที่ 2 ในลักษณะใด
CRM จึงมีการพูดถึงกันมาก CRM คืออะไร ทำไมต้อง CRM
CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management
CRM คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า
CRM หมายถึง วิธีการต่างๆ ที่เราจะนำเอาไปใช้ในการบริหารลูกค้าให้เกิดความรู้สึกที่ดี มีความผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือหน่วยงานของเรา เมื่อลูกค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดี ชอบเรา รักเรา แล้วลูกค้าคนนั้นก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าหรือบริการอื่น ในขณะเดียวกันก็จะเกิดการบอกต่อไปยังเพื่อนๆ จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่้นคงและเพิ่มขึ้น
C คือ Customer เราต้องรู้จักลูกค้าของเราก่อนว่าลูกค้าคือใคร แบ่งกลุ่มได้กี่กลุ่ม เราจะเก็บข้อมูลอย่างไร และเราจะสร้างฐานลูกค้าอย่างไร
R คือ Relationship ความสัมพันธ์ ทำอย่างไรจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้เกิดชุมชนหรือเพื่อให้เกิดครอบครัวใหญ่
M คือ Management เราจะติดต่อกับลูกค้าหรือสื่อสารกับลูกค้าอย่างไร เมื่อไร จะบริหารจัดการลูกค้าอย่างไร
ฉะนั้น CRM จึงต้องอาศัยเป้าหมายและการวางแผน ว่าปีหนึ่งเราจะติดต่อกับลูกค้ากี่ครั้ง เมื่อไร เดือนไหน พร้อมทั้งมีการเสนอขายสินค้าและบริการเมื่อไร เพราะถ้ามีลูกค้าแต่ไม่มีการสั่งซื้อก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทั้งนี้ คงต้องถามว่า ลูกค้าต้องการอะไร เพื่อที่จะเสนอขายสินค้าและบริการได้ตรงกับหัวใจของลูกค้า ฉะนั้น ฝ่ายออกแบบสินค้าและฝ่ายผลิตภัณฑ์ ก็ควรที่จะออกไปพบลูกค้าหรือพยายามทำสินค้าให้ออกมาตรงกับความต้องการของลูกค้าด้วย จึงจะทำให้ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดทำงานได้ง่ายขึ้น
ถ้าจะให้ดีองค์กร หน่วยงาน ควรมีการจัดทำใบประเมินความพึงพอใจของสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการ ก็จะทำให้ทราบว่าลูกค้ามีความพอใจและต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม
ทั้งนี้ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะเป็นการรักษาฐานลูกค้าเก่า สร้างกำไร องค์กรมีการเติบโต มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ยังก่อให้เกิดประโยชน์อีกหลายอย่างเช่น ช่วยส่งเสริมการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งมากขึ้น , ช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน , ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นกับองค์กร , ช่วยในการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นต้น
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.