หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
  -  จะพูดให้ดี...ต้องมีครู...
  -  ปาก
  -  การแต่งตัวกับนักพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  พูดดีเป็นศรีแก่งาน
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  บุคลิกภาพของนักพูด
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  ยอวาที
  -  การพูดต่อที่ชุมชน
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  การปิดฉากการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  การพูดที่ล้มเหลว
  -  จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  พูดอย่างฉลาด
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  จงระวังความเคยชินในการพูด
  -  ภาษากายกับการพูด
  -  ศิลปะการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การออกเสียงและการพัฒนาพลังเสียงในการพูด
  -  คำพูดประเภทต่างๆ
  -  การพูดเพื่อให้สัมภาษณ์
  -  ศิลปะการพัฒนาการพูด
  -  การพูดหาเสียงเลือกตั้ง
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  สุนทรพจน์ในการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  จังหวะในการพูด
  -  การเตรียมความพร้อมในการเป็นวิทยากร
  -  พูดให้ถูกสถานการณ์
  -  พูดอย่างไรให้ขายได้
  -  การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
  -  วิธีฝึกการพูดของ หลวงวิจิตรวาทการ
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  โฆษกกับการพูดที่ดี
  -  การนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  การใช้โน๊ตย่อในการพูด
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การอ่านใจคนจากภาษากาย
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเป็นจำนวนมากเมื่อถูกเชิญให้ขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนแล้ว มักเกิดอาการประหม่า ไม่มีสมาธิ วิตกกังวล ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง สั่น เกิดความกลัว ไม่สามารถจัดเรียงความคิดให้เป็นปกติได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เกิดขึ้นกับผู้พูดต่อหน้าที่ชุมชนทุกๆคน แต่สำหรับคนที่ผ่านการฝึกฝน การพูดต่อหน้าที่ชุมชนมาเป็นจำนวนมากหรือขึ้นเวทีบ่อยๆ อาการต่างๆเหล่านี้ ก็จะลดน้อยลงไป ทั้งนี้ ท่านสามารถแก้ไขตัวท่านเอง จากอาการเหล่านี้ได้โดย
1.เริ่มต้นด้วยความรัก ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ แล้วท่านอยากที่จะไป ท่านอยากที่จะพูด นั้นแสดงว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ถูกปลูกฝังไปยังตัวของท่านแล้ว แต่ในทางกลับกัน ถ้าท่านถูกเชิญให้ไปพูดในหัวข้อต่างๆ ท่านรู้สึกไม่ชอบ ไม่มีความสุข ท่านก็จะไม่มีความมั่นใจ ท่านจะไม่สนุกกับมัน ความกล้าของท่านก็จะลดลง
2.เตรียมตัว เตรียมเนื้อหา ในการพูดทุกๆครั้ง การเตรียมตัวจะช่วยให้เกิดความกล้า และความมั่นใจมากขึ้นในการพูด ซึ่งการเตรียมตัว ต้องรวมไปถึง การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนที่จะไปพูดจริงๆ อีกทั้ง การเตรียมเนื้อหา ก็ต้องเตรียมให้มากกว่าที่จะไปพูดจริงๆ เพราะถ้าเราเตรียมเนื้อหาไปน้อยกว่าเวลาที่ผู้จัดได้มอบให้ เวลาพูดก็จะเหลือมาก การเตรียมเนื้อหาจึงควรเตรียมเนื้อหาให้มากกว่าเวลาที่เขามอบให้พูด ซึ่งหากว่าใกล้จะหมดเวลา เราก็สามารถตัดทอนเนื้อหาบางส่วนออก เพื่อให้การพูดของเราจบตรงเวลาที่ได้รับมอบหมาย การเตรียมเนื้อหา ยังรวมไปถึง ว่าเราจะขึ้นต้นอย่างไร ตรงกลางเราจะพูดอย่างไร สรุปจบปิดท้าย เราจะพูดอะไรด้วย
3.ฝึกซ้อมการพูด มีความสำคัญมาก เพราะการฝึกซ้อมการพูดจะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในการที่จะนำไปพูดจริงๆ เมื่อเรา เตรียมเนื้อหาแล้ว เราก็ควรฝึกซ้อมการพูดของเรา อาจจะฝึกต่อหน้ากระจก ฝึกซ้อมกับบุคคลที่เราคุ้นเคย ฝึกซ้อมในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆคนเดียว ดังเช่น นักพูดที่โด่งดังในระดับโลกในอดีต ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ฝึกซ้อมการพูดในขณะเดินทางซึ่งต้องอยู่บนหลังม้า(ในอดีตไม่มีรถ เวลาเดินทางไปไหนเป็นระยะเวลาไกลๆ จึงต้องใช้ม้า) , เดล คาร์เนกี ฝึกซ้อมการพูดคนเดียวในขณะถอนหญ้าอยู่ภายในสวน สำหรับกระผม กระผมจะฝึกซ้อมการพูด เวลาเดินออกกำลังกาย ทั้งนี้ การฝึกซ้อมการพูดไม่มีรูปแบบใดที่ดีที่สุดหรือเหมาะสมกับทุกคน แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเป็นหลักว่า ชอบหรือมีจริตอย่างไร
4.รู้จักระงับอาการตื่นเวทีบ้าง ในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน อาการตื่นเวที มีด้วยกันทุกคน เพียงแต่ใครจะมีมากหรือน้อย หรือควบคุมมันได้มากหรือน้อยแค่ไหน เริ่มจากความคิดของเราเองก่อนเป็นอันดับแรก เราต้องไม่คิดฟุ้งซ่าน เราต้องไม่คิดกังวล หลังจากที่เราเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเตรียมมา พูดออกไปให้มันเต็มที อีกทั้งควรมีการผ่อนคลาย ผ่อนอารมณ์ เช่น ดื่มน้ำอุ่นๆ สักเล็กน้อย , สูดหายใจลึกๆ ให้เต็มปอดอย่างช้าๆสัก 3-5 ครั้ง เมื่อถูกเชิญก็ควร ยิ้มแย้ม แจ่มใส ปรับทางเดินอย่างกระตือรือร้น พร้อมทั้งปรากฏกายอย่างสง่าผ่าเผย กระฉับกระเฉง
5.หาเวทีแสดงบ่อยๆ ความขลาดกลัวเกิดจากความไม่มั่นใจ ความไม่มั่นใจเกิดจากการทำสิ่งเหล่านั้นยังไม่มากพอหรือบ่อยพอ วิธีที่ทำให้เกิดความกล้าหรือความมั่นใจก็คือ ทำสิ่งนั้นบ่อยๆ ถ้าท่านกลัวการขี่ม้า ไม่มีวิธีอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขี่ม้าได้ นอกจากการที่ท่านต้องขึ้นไปขี่มัน ฉะนั้น ถ้าท่านกลัวสิ่งไหน ก็เข้าไปหาสิ่งนั้น ถ้าท่านกลัวการขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชน ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้ท่านกล้าขึ้นมาได้ มีทางเดียว คือ ท่านจะต้องขึ้นไปพูดบ่อยๆ นั้นเอง


...
  
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึงผู้ประกาศ ผู้โฆษณา เช่นโฆษณาสถานีวิทยุ ผู้แถลงข่าว แทนเช่นโฆษกพรรคการเมือง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้ให้ความหมายของคำว่า
โฆษกหมายถึง ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา หรือผู้แถลงข่าวแทน
ดังนั้น ความหมายของโฆษก โดยรวมก็คือ ผู้เป็นปากเป็นเสียงแทน ผู้ประกาศ ผู้โฆษณา ผู้ที่ทําหน้าที่ ส่งมอบข่าวสาร และข้อมูลต่างๆ ให้แก่สาธารณชน หรือประชาชนได้รับรู้
คุณลักษณะของการเป็นโฆษกที่ดีคือ
1 มีข้อมูลมีข่าวสารมีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองพูด
2 มีความน่าไว้วางใจมีความน่าเชื่อถือ
3 เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่ชื่นชอบของสาธารณชนหรือสื่อมวลชน
4 มีความสามารถทางด้านการพูดการสื่อสาร
โฆษกควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดีดังนี้
1 การใช้คำ อย่างถูกต้อง เหมาะสม
2 การใช้น้ำเสียง การใช้เสียง ประกอบ การพูดให้ถูกต้องกับสถานการณ์ นั้นๆ
3 การใช้อวัจนภาษา การใช้ท่าทางประกอบการพูด อย่างสอดคล้องเหมาะสม
จากเนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี
พศ 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า
ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดเลี้ยงสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
จากเนื้อเพลงข้างต้น จะสะท้อนให้เห็นถึงการสื่อสารระหว่างข้าราชการหรือทางการกับชาวบ้าน ที่มีความผิดพลาด มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน เราสามารถนำมาวิเคราะห์โดยผ่าน กระบวนการสื่อสาร ว่า เกิดความผิดพลาดตรงไหน อย่างไร
กระบวนการสื่อสาร มีดังนี้
1 ผู้ส่งสาร 2 สาร 3 ช่องทาง 4 ผู้รับสาร
1 ผู้ส่งสาร คือ ข้าราชการ ผู้รับนโยบาย จากรัฐบาล มาส่งต่อให้กับผู้นำชุมชน
2 สาร คือ การส่งเสริมให้ชาวนาและเกษตรกร เลี้ยงเป็ดและ สุกร(หมู)
3 ช่องทาง คือ การประชุม การใช้ไมโครโฟนพูดในที่ประชุม
4 ผู้รับสาร คือ ผู้ใหญ่ลี ที่เข้าใจผิด คิดว่า คำว่าสุกร หมายถึง หมาน้อย
จากกรณีศึกษาข้างนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร...ให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดหรือไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น...
ข้อที่ 1 ผู้ส่งสาร ควรเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ปัญหา หรือความไม่เข้าใจต่างๆ จากผู้รับสาร
ข้อที่ 2 สาร ผู้ส่งสารได้ใช้ภาษาราชการ ซึ่งมาจากส่วนกลาง เพราะในยุคนั้นชาวบ้านหรือผู้นำท้องถิ่นมักจะ คุ้นเคยกับภาษาท้องถิ่น(หมู)มากกว่าภาษาจากส่วนกลาง(สุกร) เพื่อลดความผิดพลาด ควรใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ชาวบ้านใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ สื่อสารจะเกิด ประสิทธิภาพ มากขึ้น
ข้อ 3 ผู้รับสาร คือผู้ใหญ่ลี เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ หรือข้อสงสัย ก็ควรสอบถาม ข้าราชการ หรือทางการ ที่ส่งสาร หรือข้อมูล
...
  
โฆษกกับการพูดที่ดี
โฆษกกับการพูดที่ดี
ดร. สุทธิชัยปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเป็นโฆษกที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การพูด ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคลที่ง่ายกว่าการเขียน แต่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายกว่าการเขียน
พล.เอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีได้เคยกล่าวไว้ว่า “ ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด หลังพูดคำพูดเป็นนายของเรา”
พวกเราหลายคนคงเคยเล่นเกมส์การสื่อสารโดยการพูด โดยให้คนมาเรียงแถวกัน แล้วให้คนอยู่หัวแถวกระซิบบอกประโยคหนึ่งไปให้คนที่สองและคนที่สองก็กระซิบให้คนถัดไป จนถึงคนสุดท้าย แล้วคนสุดท้ายบอกข้อความที่คนหัวแถวได้พูดเอาไว้ ผลปรากฏว่า เนื้อหามีความผิดเพี้ยนไปจากข้อความเดิม
แต่ในทางกลับกัน หากว่าเราเขียนข้อความให้ คนหัวแถวอ่านแล้วส่งข้อความไปให้คนที่สองอ่านและคนที่สองก็ส่งข้อความให้คนถัดไป จนถึงคนสุดท้าย แล้วให้คนสุดท้ายอ่าน ผลปรากฏว่า เนื้อหาที่เขียนก็ยังคงเดิม
ฉะนั้น ผู้ที่เป็นโฆษกที่ดี จึงต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดทางการพูดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความผิดพลาดที่น้อยที่สุด
เพื่อให้ก่อประสิทธิภาพในการพูด โฆษกควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ในเวลาพูด คือ
1.วิเคราะห์ผู้ฟัง ว่าผู้ฟังเป็นใคร มีความต้องการอะไร รวมไปถึงเรื่องของ เพศ วัย อายุ อาชีพ
2.ต้องตั้งใจฟัง เพราะถ้าอยากจะรู้ว่า ผู้ฟัง มีความต้องการอะไร ในเวลาสนทนากัน ผู้ที่เป็นโฆษกจะต้องตั้งใจฟัง เพื่อจะได้รับรู้ความต้องการของผู้ฟังที่แท้จริง
3.น้ำเสียงที่พูดต้องมีความเหมาะสมกับเรื่องที่พูด เพราะถ้อยคำบอกถึงภาษา แต่น้ำเสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นภายในจิตใจ เช่น ผมตะคอกสุนัขหรือหมาด้วยน้ำเสียงที่ดุ เสียงดัง แล้วบอกสุนัขหรือหมาให้ “ มา , มา , มานี้ ” ปรากฏว่าสุนัขหรือหมากลัว ถอยห่าง แต่ตรงกันข้าม ผมทำเสียงเบาๆ ไล่หมา “ ไป , ไป , ไป” ปรากฏว่า สุนัขหรือหมากับมาเลียที่เท้า ผม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมไล่สุนัขหรือหมาให้ไป มันกับมาเข้าใกล้ผม ผมเรียกมา มันกลับไม่อยากที่จะเข้าใกล้ผม เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะน้ำเสียงของผมไงครับ
4.การใช้คำพูด ภาษาอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เมื่อโฆษกได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ผู้ประกาศ ตามเวทีหรือตามรายการวิทยุ ก็คนเรียกชื่อคน ตำแหน่งของคนให้ถูกต้องแม่นยำ ไม่ควรกล่าวชื่อหรือตำแหน่ง ผิดๆ ถูกๆ
5.การใช้สีหน้า ท่าทาง ควรเหมาะสมกับสถานการณ์ที่พูด เช่น เมื่อเกิดสถานการณ์หรือมีภัยพิบัติ ผู้คนล้มตาย เวลาไปพูด ก็ไม่ควรพูดเรื่องที่ตลก ทำหน้าท่าทางยิ้มแย้ม แจ่มใส เพราะผู้คนเขายังอยู่ในอาการที่โศกเศร้า
6.สาระของเนื้อหาที่จะพูด ต้องมีการเตรียมตัว เรียงร้อยลำดับเรื่องที่จะพูด เช่น จะขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาอย่างไร สรุปจบอย่างไร ตลอดจนเนื้อหาควรมีการอ้างอิง ทฤษฏี หลักฐาน ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
สำหรับข้อควรระวังเมื่อท่านต้องเป็น โฆษก คือ
1.ไม่ควรกล่าวแนะนำตัวเองมากจนเกินไป เพราะผู้ฟังอยากที่จะฟังเนื้อหา สาระ ข้อมูล ข่าวสาร มากกว่า อีกทั้งการพูดถึงตัวเองมากเกินไป คนฟังมักจะหมั่นไส้โฆษกได้
2.ควรอ่านหรือพูดออกเสียง ชื่อ นามสกุล ตำแหน่ง ของวิทยากรหรือบุคคลที่เราแนะนำให้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด
3.ไม่ควรใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ในการพูด บางคน ใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษคำไทยคำ
4.ควรเข้าไปสอบถาม วิทยากรหรือผู้พูดที่เราต้องการแนะนำว่า ชื่อ สกุล ตำแหน่ง ข้อมูลต่างๆถูกต้องหรือไม่ ทางที่ดีก็ควรพิมพ์ไปให้เขาอ่าน ตรวจทานความถูกต้องเสียก่อน
...
  
การนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
การนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนากันได้ บางคนนำเสนอและมีการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี เช่น สตีฟ จอบส์ ซึ่งได้รับการยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกว่า เวลาเปิดตัวสินค้าของบริษัทของเขา จะได้รับความสนใจเป็นอันมาก จากสื่อมวลชนและจากกลุ่มลูกค้าที่ติดตาม
ในบทความฉบับนี้ เราจะมาพูดถึงกันในหัวข้อ เทคนิคในการนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี ซึ่งกระผมขอเขียนเป็นข้อๆ ดังนี้
1.ต้องมีความสนใจหรือมุ่งความสนใจไปที่ผู้ฟังส่วนใหญ่ กล่าวคือ เวลาที่นำเสนอ ผู้ฟังมีอาการอย่างไร สนใจฟังเราไหม ทำหน้าตา งงๆ ไหม กอดอก มีกริยาอาการอย่างไร ซึ่งผู้นำเสนอที่ดีจะต้องมีทักษะในการอ่านภาษากายได้ด้วยจึงจะเข้าใจ กริยาอาการต่างๆของผู้ฟัง
2.ต้องลบข้อความที่มีมากจนเกินไปใน slider หรือ สรุปใจความสำคัญ เขียนไม่ต้องมากนัก เวลานำเสนอข้อมูลผ่าน โปรเจคเตอร์ อีกทั้งถ้าหากมีรูปประกอบก็ควรเป็นรูปที่สื่อสารไปในทางเดียวกับข้อความที่นำเสนอ
3.ต้องยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อทำให้สิ่งที่นำเสนอดูง่ายขึ้น เข้าใจได้ง่ายขึ้นหรือเป็นที่สนใจมากขึ้น
4.ต้องพูดหรือนำเสนอ แบบให้เพื่อนฟังหรือคิดว่า พูดให้คนรู้จักฟัง จะทำให้การพูดดูสนุกขึ้น และจะทำให้การนำเสนอไม่เกร็ง พูดด้วยอาการที่ยิ้มแย้ม แจ่มใส
5.ต้องแต่งตัวหรือแต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย ดูสะอาด รวมถึงทรงผม หน้าตา
6.ต้องยืนให้มั่นคง เวลาเดินก็ควรเดินหรือเคลื่อนไหวด้วยความมั่นใจในตนเอง ใช้มือหรือท่าทางประกอบก็ควรให้มีความหมาย ว่าเราแสดงท่าทางอะไร ออกไป ก็เพราะเนื่องจากเราต้องการสื่ออารมณ์หรือความรู้สึก หรืออะไรบ้างอย่างเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากขึ้น
7.ต้องนำเสนออย่างกระตือรือร้น เพราะถ้าผู้พูด พูดด้วยความกระตือรือร้น ผู้ฟังก็จะฟังอย่างกระตือรือร้น เราลองสังเกตดูว่า ถ้าผู้พูดคนใด พูดอย่างกระตือรือร้น พูดด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ พูดด้วยเสียงที่ไวกว่าปกติ พูดด้วยเสียง อารมณ์ อาการที่เมามันส์เวลานำเสนอ เราก็จะมีอารมณ์ร่วมไปกับผู้พูดด้วย
8.ต้องซ้อม ซ้อม ซ้อม โดยส่วนตัวกระผม กระผมคิดว่า ข้อนี้มีความสำคัญที่สุด เราจะเห็นนักพูด นักนำเสนอที่ดี เวลาเขาเขียนสคิปเสร็จ เขาจะลุกขึ้นซ้อม เขาจะซ้อมพูด ซ้อมจัดท่าทาง ซ้อมหลายๆครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และในการพูดจริงๆ ก็จะไม่พูดติดๆขัดๆ
สำหรับเทคนิคเหล่านี้ กระผมเชื่อว่ามีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อการนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี และถ้าใครนำเอาไปประยุกต์ใช้ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาการนำเสนอและการพูดต่อหน้าที่ชุมชนของตนเองในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

...
  
การใช้มือประกอบการพูด
การใช้มือประกอบการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การใช้มือประกอบการพูดมีความจำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะการใช้มือประกอบการพูดจะทำให้การพูดนั้นมีความน่าเชื่อถือ การใช้มือประกอบการพูดในลักษณะต่างๆจะสร้างการจูงใจผู้ฟังได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะและศาสตร์ที่สามารถเรียนรู้กันได้
การใช้มือบอกถึงความหมายต่างๆ ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น
- เมื่อเราพูดคำว่า “ ไม่ ” แล้วไม่ใช่มือประกอบการพูด กับ เราพูดคำว่า “ ไม่” โดยโปกมืออยู่ในระดับหน้าอก ผู้ฟังจะเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้ฟังจะเข้าใจว่า การโปกมืออยู่ที่ระดับหน้าอก จะแสดงให้เห็นว่า เป็นการปฏิเสธที่มีความหนักแน่นกว่า การพูดออกมาเฉยๆ โดยไม่ใช่มือประกอบ
- เมื่อเราพูดคำว่า “ทางโน้น” โดยไม่มีการฝายมือ ผู้ฟังอาจงง ว่า เป็นทางไหน แต่ถ้าเราพูดว่า “ ทางโน้น” แล้วฝายมือไปยังทิศที่เราต้องการให้ผู้ฟังรู้ ผู้ฟังก็จะทราบได้ว่าคนพูดต้องการให้ผู้ฟังทราบว่าทิศทางใด
- เมื่อเราต้องการบอกระดับความสูง เราก็สามารถใช้มือของเราวางเท่าระดับความสูงนั้นๆ เช่น ลูกชายผมตอนนี้สูงเท่านี้ ใช้มือคว่ำแล้วแตะที่ระดับเอว ผู้ฟังก็จะรู้ว่าสูงเท่าเอว หรือ ใช้มือคว่ำแล้วแตะอยู่ที่หน้าอก ผู้ฟังก็จะรู้ว่าสูงเท่าหน้าอก เป็นต้น
การใช้มือเพื่อจูงใจให้ผู้ฟังทำตาม
- ในการเป็นวิทยากรบรรยายในงานอบรมแต่ละครั้ง ผมมักจะถามว่า ใครเข้าใจแล้ว ยกมือขึ้น ทุกคนก็เฉยๆ ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรืออาจเป็นเพราะผู้ฟังไม่กล้ายุ่งอะไรกับวิทยากร แต่เมื่อผมใช้มือประกอบ เช่น ผมบอกว่า ใครเข้าใจแล้วยกมือขึ้น แล้วผมก็ยกมือของผมขึ้นในขณะพูด ปรากฏว่า มีผู้ฟังบางคนเริ่มยกมือไปกับผม
หรือ บางครั้งเมื่อผมต้องการให้คนฟังยกมือขึ้น ผมก็จะพูดด้วยเสียงที่ดังแล้วยกมือของผมขึ้นก่อน ผู้ฟังหลายคนก็จะเริ่มมีส่วนร่วมในการยกมือไปพร้อมกับผม
การใช้มือประกอบการพูดเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
- มีอยู่หลายครั้งทีเดียว ที่ผมเป็นพิธีกรหรือเป็นวิทยากรในงานต่างๆ แล้วผมจำชื่อของคู่บ่าวสาวไม่ได้หรือชื่องานที่เข้าอบรมไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็มีชื่อคู่บ่าวสาวหรือชื่อข้อความการจัดอบรมอยู่ที่หน้าเวที ถ้าเกิดผมจำไม่ได้แล้ว หันหลังไปอ่าน คนฟังหรือเจ้าภาพย่อมไม่ประทับใจผมแน่
แต่ผมใช้วิธีนี้ ท่านผู้อ่านอาจนำไปใช้ดูก็ได้ครับ คือ เมื่อผมจำชื่อคู่บ่าวสาวไม่ได้ ผมก็จะใช้วิธีการฝายมือไปยัง ชื่อคู่บ่าวสาว ด้านหน้าเวที เพื่อให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานดู แต่จริงๆแล้ว ผมลืมครับ ผมดูเอง เพราะผมจำไม่ได้ แต่การใช้วิธีการฝายมือได้ผลครับ ทุกคนต่างดูไปที่ชื่อคู่บ่าวสาวพร้อมๆ กัน กับผม เสมือนหนึ่งว่าผมไม่ได้ดูชื่อคู่บ่าวสาวคนเดียว การอบรมก็เช่นกัน ถ้าผมจำชื่อโครงการหรือจำชื่อหลักสูตรการอบรมไม่ได้ ผมก็จะฝายมือให้คนฟังดูพร้อมๆกันกับผม แล้วผมก็อ่านมัน
ฉะนั้น ถ้าผู้พูดคนใด สามารถนำมือมาใช้ในการประกอบการพูด ก็จะทำให้การพูดของท่านเป็นที่น่าสนใจ และจะทำให้ผู้ฟังเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผู้พูดก็ไม่ควรใช้มือประกอบการพูดมากเสียจนเกินไป หรือใช้มืออย่างไม่มีความหมาย จนทำให้ผู้พูดสูญเสียบุคลิกภาพได้ในสายตาของผู้ฟัง
...
  
พลังของจังหวะในการหยุดพูด
พลังของจังหวะในการหยุดพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนอาจเข้าใจผิดคิดว่า คนที่พูดเก่ง ต้องเป็นคนที่พูดคล่อง พูดเร็ว พูดแบบไม่หยุด แต่จริงๆแล้ว การหยุดพูด ชั่วขณะหนึ่ง ในเวทีการพูดต่อหน้าที่ชุมชนกับเป็นประโยชน์และมีพลังเป็นอันมาก
เพราะในการพูด หากว่าเราพูดเป็นประโยค แล้วเราหยุดบ้าง จะทำให้ผู้ฟังได้มีโอกาสคิดตาม ในการพูด หากว่าเราพูด แล้วหยุดเป็นจังหวะ ก็จะทำให้ผู้ฟังเกิดการผ่อนคลายอารมณ์ในการฟัง ในการพูด แล้วหยุดบ้าง ก็จะทำให้ผู้ฟังตามทันเรื่องราวต่างๆที่เรานำเสนอ
ซึ่งเทคนิคหรือจังหวะในการหยุดพูด เราจะเห็นนักการเมือง นักพูดที่จูงใจคน ใช้ในเวทีการพูดเสมอ เช่น เมื่อพูดไปสักระยะหนึ่ง แล้วเขาจะถามผู้ฟังว่า “ จริงไม่จริง ครับ” แล้วหยุดพูด ไปชั่วขณะ เพื่อให้ผู้ฟังได้มีเวลาคิดคล้ายตามเขา หรือ “ ใช่ไม่ใช่ ครับ พี่น้อง” แล้วก็หยุดพูด ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่า ผู้ฟังบางส่วนจะพยักหน้าแล้วตอบว่า “ ใช่ ”
หรือ นักพูดที่ทำให้ผู้อื่นคล้ายตามได้บางคน ต้องการให้ผู้ฟังจดจำคำพูดบางประโยค ที่มีความสำคัญๆ หรือต้องการให้ผู้ฟังเกิดการนำเอาคำพูดไปปฏิบัติตาม เขาก็จะพูดซ้ำประโยคนั้น แล้วก็หยุดพูด แล้วก็พูดประโยคเดิมอีกครั้งหรือสองครั้ง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความคิดและเล็งเห็นถึงความสำคัญของประโยคดังกล่าว เช่น การพูดในวันแม่แห่งชาติ
กระผมขอให้พวกเราที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ขอให้ท่านกลับไปก้มลงกราบคุณแม่เถอะครับ (แล้วหยุดพูดชั่วขณะหนึ่ง) กระผมขอให้พวกเราที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ขอให้ท่านกลับไปก้มลงกราบคุณแม่เถอะครับ (แล้วหยุดพูดชั่วขณะหนึ่ง) กระผมขอให้พวกเราที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ขอให้ท่านกลับไปก้มลงกราบคุณแม่เถอะครับ (แล้วหยุดพูดชั่วขณะหนึ่ง) ก่อนที่จะไม่มีคุณแม่เหลือไว้ให้ท่านกราบ
ฉะนั้น จังหวะในการหยุดพูด ย่อมมีพลังเสมอ เช่นเดียวกันกับ การร้องเพลง เราจะเห็นได้ว่า การร้องเพลงก็มีจังหวะเสมอ เพลงทุกเพลง ผู้ร้องร้องไป ก็จะมีบางช่วงบางตอน เขาจะหยุดร้อง แต่จะมีท่วงทำนองบรรเลง สอดแทรกแทน เสียงร้อง
เสมอ

...
  
การใช้โน๊ตย่อในการพูด
การใช้โน๊ตย่อในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การใช้โน๊ตย่อในการพูด มีความจำเป็นมากสำหรับ นักพูดหน้าใหม่ หรือ แม้แต่นักพูดหน้าเก่า หรือ แม้แต่นักพูดมืออาชีพเอง หากว่าเป็นการบรรยายที่มีเนื้อหามากหรือใช้เวลาในการพูดที่ยาวนาน หรือ ต้องการพูดประโยค คำคม พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท ที่ไม่ต้องการให้เกิดการผิดพลาด ก็สามารถจดไว้ในโน๊ตย่อ เพื่ออ่านได้
สำหรับนักพูดหน้าใหม่หลายคน ยังไม่มีประสบการณ์ในการใช้โน๊ตย่อ หลายคนมักจะใช้กระดาษ A4 ในการทำโน๊ตย่อ ซึ่งมันมีขนาดใหญ่จนเกินไป จนทำให้กระดาษที่เราเขียนโน๊ตย่อนั้น บังใบหน้าเรา บังปากเรา บังสายตาของเรา ในขณะที่เราพูด
อีกทั้งการใช้กระดาษ A4 ในการทำโน๊ตย่อ ทำให้การพูดของเราลดประสิทธิภาพลงไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆที่ เนื้อหาของเราเตรียมมาดี บุคลิกภาพของผู้พูดดี น้ำเสียงดี เพราะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน สายตาของผู้พูดต้องสบตาที่ผู้ฟังในขณะที่ขึ้นพูด แต่ถ้าเรามัวแต่ดู มัวแต่อ่าน โน๊ตย่อ ก็จะทำให้เราละสายตาไปจากผู้ฟัง แล้วผู้ฟังก็จะไม่สนใจที่จะฟังการพูดของเรา เนื่องจากเราไม่ได้ให้ความสนใจในตัวของผู้ฟังก่อน
หลายคนเตรียมกระดาษ A4 หลายแผ่น เนื่องจากมีเนื้อหามาก แต่เมื่อขึ้นพูดอยู่บนเวที กระดาษหลายแผ่นเกิดตกหล่นบนเวที ทำให้กระดาษที่เรียงมาสลับสับเปลี่ยนกันไปหมด จึงทำให้เสียเวลาในการเก็บแล้วขึ้นมาเรียงใหม่ และเกิดอาการเสียหน้า
หลายคนใช้กระดาษ A4 เป็นโน๊ตย่อ เมื่อพูดไปเกิดอาการประหม่า มือสั่น จึงทำให้กระดาษ A4 สั่นไปด้วย เมื่อผู้ฟังได้เห็นจึงเป็นเรื่องที่ชวนให้ตลกขบขัน และเช่นเดียวกัน หากว่าเราใช้กระดาษ A4 ซึ่งมีขนาดใหญ่ แล้วเราจำเป็นจะต้องใช้ท่าทางประกอบในการพูด เช่นใช้มือโปกไปมา ก็จะทำให้กระดาษ A4 โบกไปมาไปด้วย
อีกทั้งการใช้กระดาษ A4 นั้น ทำให้เราไม่สามารถใช้นิ้วประกอบการบรรยายหรือใช้นิ้วประกอบการพูด เนื่องจากมือข้างหนึ่งเราถือไมโครโฟน อีกข้างหนึ่งถือโน๊ตย่อกระดาษ A4 เช่น เราจะบอกว่า ปัจจุบันเรามี ลูกชาย 2 คน เราจะใช้นิ้วยกมา 2 นิ้ว เราก็ต้องวางกระดาษ A4 ลงก่อน ในขณะที่พูด
ฉะนั้น หากว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องใช้โน๊ตย่อในการพูด เราไม่ควรใช้กระดาษ A4 เพราะมันใหญ่จนเกินไป เราควรลดขนาดของกระดาษลง ขนาดของกระดาษที่มีเหมาะสมควรมีขนาดเท่ากับ กระดาษ A4 พับ 2 ครั้ง (พับครึ่งครั้งที่ 1 แล้ว พับครึ่งครั้งที่ 2 อีกครั้ง) หรือมีขนาดเท่ากับ 1 ส่วน 4 ของกระดาษ A4 หรือ 1 ใน 4 ของกระดาษ A4 นั่นเอง
ส่วนการเขียนโน๊ตย่อ เราควรเขียนหน้าไว้ที่หัวมุมด้านบนขวามือ เช่นหน้า 1,2,3,4,5,6 ฯลฯ ตามลำดับ เพื่อไม่ให้เกิดการสับสนขึ้น
ควรเขียนโน๊ตย่อ แบบสรุปใจความที่สำคัญ เป็นข้อๆ ไม่ควรเขียนทุกคำพูดที่จะพูด เมื่อเขียนเสร็จก็ควร นำเอามาอ่านทบทวน บ่อยๆ ก่อนที่จะขึ้นไปพูดจริง และถ้าหากโน๊ตย่อมีจำนวนมาก เราก็ควรแบ่งแล้วใส่ในกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งก่อน พอใช้โน๊ตย่อเสร็จก็ควรนำเอาไปใส่อีกข้างหนึ่ง เช่น กระดาษโน๊ตย่อที่ยังไม่ได้พูด เราควรเรียงแล้วเอาไว้ในกระเป๋าด้านซ้ายมือ เมื่อใช้กระดาษโน๊ตย่อแผ่นที่ 1 เสร็จ เราก็นำเอามาไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านขวามือ เป็นต้น ทั้งนี้ แล้วแต่ความถนัดหรือแล้วแต่การเตรียมของแต่ละบุคคล


...
  
ภาษากายไม่เคยโกหก
ภาษากายไม่เคยโกหก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อัลเบิร์ต เมห์ราเบี้ยน ได้ทำวิจัยพบว่า คนเรามีความสามารถในการสื่อสารแล้วให้ผู้ฟังโดนใจ มักจะเป็นคำพูดเพียงแค่ 7 % เป็นเรื่องของน้ำเสียง สุ้มเสียงต่างๆ อีก 38 % และเป็นเรื่องของภาษากายหรือ
อวัจนภาษาอีก 55%
นั้น แสดงว่า มนุษย์เราสามารถโกหกกันด้วยคำพูดได้ แต่ ภาษากายหรืออวัจนภาษานั้น โกหกกันได้ยาก เพราะ อวัจนภาษานั้น ใช้กิริยาท่าทาง สีหน้า การเคลื่อนไหวแทนคำพูด ฉะนั้นการเรียนรู้ภาษากายจึงเป็นการเรียนรู้แบบเจาะลึกไปยังเบื้องหลังหรือใต้คำพูดของคนเรา
สำหรับท่าทางพื้นฐานที่บ่งบอกถึงความรู้สึกต่างๆ เช่น
1.ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม บ่งบอกถึง ความสุข
2.ใบหน้านิ่วคิ้วขมวด บ่งบอกถึง ความโกรธหรือความทุกข์
3.การพยักหน้า บ่งบอกถึง คำว่า ใช่
4.การส่ายศีรษะ บ่งบอกถึง คำว่า ไม่
5.การยักไหล่(ยกไหล่สูงขึ้น การแบมือและการเลิกคิ้วทั้ง 2 ข้าง) บ่งบอกถึง ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ
6.ทุกอย่าง OK(การใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจรดเป็นวงกลม) บ่งบอกถึง ทุกอย่างเรียบร้อยดี
สำหรับ การเรียนรู้ภาษากายที่ดีนั้น เราต้องเป็นคนที่รู้จักสังเกตและสนุกกับมัน วิธีง่ายก็คือ ควรที่จะมีการฝึกสังเกต 15-20 นาที ต่อวัน สำหรับสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกฝนก็คือ งานสังคม งานเลี้ยงสรรค์ และก็สนามบิน เพราะสถานการณ์ในงานต่างๆเหล่านี้ เราจะสังเกตให้ลีลาท่าทางของคนในรูปแบบต่างๆ เช่น บางคนแสดงร่างกายออกในทางสนุกสนาน,บางคนแสดงอาการเบื่อหน่าย,บางคนแสดงท่าทางเศร้าโศกและอีกหลากหลายอารมณ์โดยแสดงผ่านกิริยาท่าทางต่างๆ
หลายคนอาจจะเคยเลี้ยง หมา แมว นก ช้าง ฯลฯ สัตว์เหล่านี้ไม่สามารถพูดจาภาษามนุษย์เราได้ แต่ ถ้าผู้เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ ลองใช้เวลา ศึกษาและสังเกตมันจริงๆ เราจะรู้ได้จากภาษากายหรือภาษาท่าทางของสัตว์เหล่านี้ว่า มันมีอาการ มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความต้องการอะไร
ฉะนั้น ภาษาท่าทางหรือภาษากาย หากพวกเราลองศึกษาอย่างจริงจัง จะพบว่า เราสามารถอ่านใจคนได้ เราสามารถจับโกหกของคนได้ เราสามารถรู้ว่าเขาเกลียดเราได้ เราสามารถรู้ทันความคิดของคนได้ ก็โดยการอ่านกิริยาอาการ ความคิด การเคลื่อนไหวโดยผ่าน ภาษากายหรือภาษาท่าทางนั่นเอง และถ้าหากว่าใครฝึกฝน เรียนรู้ สังเกต ศึกษาอย่างต่อเนื่อง เขาก็จะสามารถจับอารมณ์ต่างๆของผู้คนได้ เช่น รู้ว่าใครกำลัง โกหก อึดอัด ไม่ชอบ ชอบ รัก เกลียด เบื่อ สนุก อยากมีส่วนร่วม ฯลฯ
ตัวอย่างเช่น
- คนที่สงสัย มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ การมองด้วยหางตา,การมองลอดแว่นตา,การเอามือจับจมูกและถูไปมาเบาๆ เป็นต้น
- คนที่กระวนกระวายใจ มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ การเอามือปิดปาก,นั่งไม่นิ่งกระสับกระส่ายตลอดเวลา,ชอบทำเสียงกระแอม,การใช้อุปกรณ์เช่นปากกาหรือนิ้วหรือมือเคาะโต๊ะเบาๆ ,การเอามือดึงติ่งหูเบาๆ เป็นต้น
- คนที่เศร้า มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เดินก้มหน้าและเดินอย่างช้าๆ , หายใจเข้าออกช้าๆ , การใช้มือกอดตัวเอง เป็นต้น
- คนที่มีความตื่นเต้น มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ หายใจเร็วและแรงมาก,เสียงสั่น,ตาโต,การถูมือถูแขนไปๆมาๆ เป็นต้น
- คนที่ อาย มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ มีใบหน้าแดง,ไม่กล้าสบสายตาคน,บิดมือบิดแขนไปๆมาๆ,เคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น
- คนที่ กำลังใช้ความคิดอยู่ มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เอามือเท้าคางแล้วเอานิ้วชี้ไว้บนแก้ม,ใช้นิ้วเคาะหัว,ใช้มือเกาหัว,การถอดแว่นตาแล้วใช้ปากคาบขาแว่นตา,เดินแล้วเอามือไขว้หลัง,ใช้มือลูบคางไปๆมาๆ เป็นต้น
- คนที่ มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ สายตาจ้องไม่กะพริบ,การใช้มือกอดอก,นั่งในท่าสบายเอนหลังพิงเก้าอี้,นั่งในท่าไขว้ห้าง,ใช้มือทำเป็นรูปสามาเหลี่ยม เป็นต้น
- คนที่ มีความต้องการการเป็นส่วนตัว มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เคลื่อนไหวตัวหรือขยับตัวหนีเมื่อมีคนเข้ามาใกล้ๆ , วางสิ่งของอุปกรณ์ต่างๆไว้เต็มโต๊ะ,เลือกที่นั่งด้านในสุด เป็นต้น
- คนที่โกหก มักจะแสดงกิริยา อาการ ผ่านท่าทาง คือ ไม่กล้าสบสายตาคู่สนทนา , น้ำเสียงเปลี่ยนไป , ใบหน้าที่เปลี่ยนไป , ตากะพริบบ่อยครั้ง , พูดติดอ่างหรือพูดเร็วเกินไป, หายใจไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
- คนที่โกรธ มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ ใบหน้าแดงก่ำ , กำหมัดแน่น,เม้มปาก,เดินหนี,ชอบทำอะไรเสียงดัง,เหวี่ยงข้าวของทิ้ง,กระทืบเท้า,เสียงแข็งกระดากผิดปกติ เป็นต้น
- คนที่เครียด มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ บีบมือของตัวเอง,กำมือหรือกำหมัดแน่น,มือประสานกันแน่น,เอามือไขว้หลังแล้วจับข้อมือ เป็นต้น
- คนที่อึดอัด มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ จัดทรงผมหรือเอามือลูบผมบ่อยๆ,เอามือจับแขนของตนเอง,เอามือนวดท้ายทอย,การจุ๊ปากของตนเอง เป็นต้น
- คนที่ ไม่ไว้ใจคนอื่น มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เอามือล้วงกระเป๋า,เอามือกอดอกขณะยืนหรือขณะนั่ง เป็นต้น
- คนที่ ยอมรับหรือไว้ใจเรา มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เอนตัวหรือโน้มตัวเข้ามาใกล้,เขาฟังอย่างตั้งใจ,เขาเข้ามาสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเรา เป็นต้น
- คนที่ กระตือรือร้น มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เอามือเท้าใส่เอว, ท่ายิ้มแบบเห็นฟัน, นั่งตัวตรงและนั่งอยู่ตรงขอบของเก้าอี้ เป็นต้น
- คนที่ แสดงตัวเองว่า เขาชอบคุณ มักจะแสดงกิริยา อาการผ่านท่าทางคือ เขาจะจัดเสื้อผ้าอยู่แสดงเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ , เขาจะใช้สายตาชำเลืองหรือมองคุณอยู่บ่อยๆ , เขาจะชอบยืนใกล้คุณ , เขาจะโน้มหัวเข้าหาคุณ เป็นต้น
ฉะนั้น หากว่าเราหมั่นสังเกต กิริยา อาการต่างๆเหล่านี้ เราก็จะสามารถถอดรหัสได้ว่า คนที่เราคุยด้วย สนทนาด้วย มีความคิด มีความรู้สึก กับเราอย่างไร ทั้งนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและการสังเกติอย่างสม่ำเสมอ แล้วคุณก็จะเป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถในการอ่านใจคนได้และได้เปรียบในการทำงานหรือได้เปรียบในการแข่งขัน


...
  
การอ่านใจคนจากภาษากาย
การอ่านใจคนจากภาษากาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับที่สูงในแวดวงต่างๆ มักจะมีความสามารถอยู่หลายอย่าง แต่มีความสามารถอยู่ 1 อย่าง ที่คนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนต้องมี ก็คือ ความสามารถในด้านการสื่อสาร
ดร.อัลเบิร์ต เมห์ราเบียน ศาสตราจารย์ ด้านจิตวิทยาของ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำงานวิจัยเรื่องการสื่อสาร ผลปรากฏว่า องค์ประกอบหรือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการสื่อสารมีดังนี้
- คำพูด ( Words or Verbal ) = 7%
- น้ำเสียง ( Tone of Voice or Vocal ) = 38%
- ภาษากาย ( Nonverbal or Vision ) = 55%
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ภาษากาย คือองค์ประกอบหรือสิ่งที่มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับที่หนึ่ง รองลงมาคือน้ำเสียง และสุดท้ายคือคำพูด แต่มนุษย์ส่วนใหญ่กับไปศึกษาเรื่องของคำพูด การใช้คำพูด การใช้ถ้อยคำ โดยลืมที่จะไปศึกษา เรียนรู้สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในการสื่อสารคือ ภาษากาย
ภาษากายไม่เคยโกหก หากว่าใครสามารถอ่านภาษากายได้ คนๆนั้น สามารถหยั่งรู้ใจคนได้ และจะทำการเจรจากับใคร ก็มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นๆ เพราะ ซูนวู เคยกล่าวไว้ว่า หากรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ฉะนั้น หากว่า เราได้มีโอกาสศึกษาภาษากายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ เราก็จะมีโอกาสได้รับประโยชน์มากกว่าคนอื่นๆ
เพราะคนที่ศึกษาภาษากาย จะสามารถจับอาการต่างๆของคู่สนทนาหรือคนที่มาติดต่อพูดคุยกันได้
ตัวอย่าง ภาษากายตามหลักสากล
- คนที่โกหก มักจะกระทำหรือมีกิริยาอาการในระหว่างสนทนา คือ การเอามือปิดปากหรือใช้นิ้วปิดปากทันที , การใช้นิ้วถูกตรงจมูก , การถูกตา , การดึงปกคอเสื้อ , การไม่กล้าสบตากับคนที่คุยด้วย , การกระพริบตาบ่อยๆ ในระหว่างสนทนา เป็นต้น
- คนที่มีความเครียดหรือความวิตกกังวล มักมีอาการ การกัดริมฝีปาก , การเม้นปาก , การกัดเล็บมือของตนเอง , การลุกลี้ลุกลน ไม่อยู่นิ่ง กระสับกระสาย , มือสั่น , ม้วนปอยผมเล่น เป็นต้น
- คนที่กอดอก ในขณะสนทนา มักมีอารมณ์ ความรู้สึก ป้องกันตัวเองจากบางอย่าง , รู้สึกกลัวหรือประหม่า , ไม่เปิดใจหรือเข้าไม่ถึงใจเขา , เย่อหยิ่ง เป็นต้น
- คนที่อยู่ในอาการ ล้วง แคะ แกะ เกา มักจะรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่ปลอดภัย ทำให้เสียบุคลิกภาพ
- คนที่ ปิดบัง ซ่อนเร้น ปกปิด ความจริง มักจะมีกิริยาอาการ ไม่กล้าสบสายตา , ใส่แว่นตาสีอำพรางสายตา , เอามือปิดปาก , เอามือจับจมูก
- คนที่เชื่อมั่นในตนเอง มักจะมีอาการ ตั้งข้อศอก และเอาปลายนิ้วจรดกัน , การเอามือไขว้หลัง และเชิดคาง , การวางเท้าข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองลงบนขอบโต๊ะ หรือเก้าอี้(ท่านี้ชาวอเมริกานิยมใช้) , การใช้ลิ้นดีดเสียง,ดีดนิ้ว,นั่งเอนหลัง เอามือทั้งสองข้างประสานรับศีรษะ
ฉะนั้น ในระหว่างการสนทนาถ้าคู่สนทนามีอาการดังกล่าว ก็ขอให้ถอดรหัสภาษากายเพื่อที่เราจะได้ทราบอารมณ์ของคู่สนทนาในขณะนั้น แต่ทั้งนี้ การอ่านภาษากายอาจจะถอดรหัสผิดหรือคลาดเคลื่อนก็ได้ ถ้าอยากถอดรหัสได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น กระผมแนะนำให้อ่านหนังสือเรื่อง “ ร่างกายไม่เคยโกหก” ของนายโจ นาวาโร่ ซึ่งนายโจ นาวาโร่ ได้ให้เทคนิคเพิ่มเติม อีก 10 ข้อ ท่านผู้อ่านลองไปซื้ออ่านกันได้ครับ ผมได้ซื้อมาอ่านแล้ว เป็นหนังสือที่ดีมากๆ เกี่ยวกับการภาษากาย ถ้าหากเราอ่านแล้วนำไปปฏิบัติ เราก็จะสามารถอ่านใจคนจากภาษากายได้แม่นยำขึ้น



...
  
การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูด การเป็นโฆษกฟุตบอล เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นทั้ง ทักษะ
ศาสตร์หมายถึง สามารถหาความรู้ จากการอ่านหนังสือ ไปสอบถามผู้ที่มีประสบการณ์ การค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเพื่ออ่าน
ศิลป์ หมายถึง การนำเอาความรู้ที่มีอยู่ไปใช้จริง ตามสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งต้องอาศัย
การประยุกต์ ปรับเปลี่ยน ดัดแปลง การแก้ปัญหา ไหวพริบ ในการพูด
ทักษะ หมายถึง การฝึกฝน การทำซ้ำ การทำบ่อยๆ นั้นคือ ถ้าใครอยากเป็นโฆษกฟุตบอล เขาจะต้องฝึกฝน หรือ ไปเป็นโฆษกฟุตบอลบ่อยๆ ก็จะเกิดทักษะ เกิดความชำนาญขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เราสามารถทำหน้าที่โฆษกฟุตบอลได้สำเร็จและดีมีดังนี้
1.ต้องทำการบ้านไปก่อนการทำหน้าที่โฆษกฟุตบอลจริงๆภายในสนาม เช่นหาข้อมูลของผู้เล่น , การศึกษาตำแหน่งต่างๆของการเล่น รู้ว่าใครเล่นตำแหน่งใด และถ้าจะให้ดีก็ควรค้นหาข้อมูลประวัติผู้เล่นแต่ละคน เพื่อจะนำไปพูดเสริมหรือให้ข้อมูลเสริมในเวลาทำหน้าที่จริง
และถ้าเป็นโฆษกฟุตบอลใหม่ๆ ยิ่งจำเป็นจะต้องมีการเขียนสคิปล่วงหน้า ว่าเราจะพูดอะไรบ้าง พักครึ่งกลางแข่งขัน เราจะพูดอะไรบ้าง
2.ต้องมีไหวพริบ ในการพูด เมื่อพูดผิดก็อย่าได้ตื่น ตกใจ หรือ กลัว แต่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ สามารถพูดต่อหรือทำหน้าที่ต่อไปได้ อีกทั้งต้องมีความรวดเร็ว มีสมาธิในการพูด สายตาจะต้องจับจ้องอยู่ภายในสนามฟุตบอลหรือหน้าจอโทรทัศน์ตลอดเวลา(กรณีถ่ายทอดสดหรือไม่มีโอกาสเป็นโฆษกข้างสนามฟุตบอล)
3.ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันที่จะไปเป็นโฆษกฟุตบอล เราต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ บางคนก่อนไปทำหน้าที่ ดันนอนดึก ไปกินเลี้ยง เมาเหล้า ถึงแม้จะมีการทำการบ้านมาอย่างดี แต่หากขาดซึ่งการพักผ่อน เวลาไปเป็นโฆษกฟุตบอลจริงๆ ก็อาจจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี
4.ต้องมีความรับผิดชอบ คือ ต้องไปก่อนเวลา ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตลอดจนกระทั่งต้องมีการตรวจเช็คอุปกรณ์ในการทำงาน เช่น ไมโครโฟน ลำโพง เครื่องเสียง
5.ต้องสอดใส่อารมณ์ในการพูด เราจะสังเกตว่า โฆษกฟุตบอลที่พูดเก่งๆ มักจะมีอารมณ์ที่สนุกสนาน มีอารมณ์ขัน มีน้ำเสียงที่ตื่นเต้น กล่าวคือ เมื่อโฆษกฟุตบอล ใช้น้ำเสียงที่ตื่นเต้น ผู้ฟังก็จะรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย
6.ต้องดูแบบอย่างในการเป็นโฆษกฟุตบอลให้มากๆ ดูว่าใครพูดเก่ง ใครเป็นโฆษกฟุตบอลที่คนยอมรับว่าดี เราก็ควรตามไปดูหรือลองดูผ่านทางสื่อต่างๆ ว่าเขามีเทคนิค มีลีลา มีจังหวะการพูดอย่างไร สำหรับยุคนี้เราต้องยอมรับว่า เราทำงานได้ง่ายขึ้น เราสามารถดูการแข่งขันฟุตบอลผ่านทางอินเตอร์เน็ต และเราสามารถดูการแข่งขันฟุตบอลในรายการเก่าๆได้โดยการดูผ่าน Youtube รายการโทรทัศน์ย้อนหลัง
7.ต้องมีใจรักในการอยากเป็น โฆษก เพราะการเป็นโฆษกที่ดีต้องอยู่ที่ ชั่วโมงบิน หากว่าฝึกบ่อยๆ รับหน้าที่บ่อยๆ ก็จะเกิดความชำนาญ บางคนไปทำหน้าที่แค่ไม่กี่เวที เมื่อไม่ประสบความสำเร็จก็ถอดใจ แล้วก็เลิกราไป แต่คนที่มีใจรักจะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ย่อท้อจนในที่สุดเขาจะกลายเป็นโฆษกฟุตบอลที่
เก่งในระดับแนวหน้าของประเทศ
ปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นปัจจัยในการสร้างความสำเร็จในการพูดสำหรับการเป็นโฆษกฟุตบอล



...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.