หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การปิดฉากการพูด
การปิดฉากการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การปิดฉากการพูด เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของการสร้างโครงเรื่องในการพูด การปิดฉากเป็นส่วนสุดท้ายของโครงเรื่อง ซึ่งมีการลำดับคือ การเปิดฉากการพูด การดำเนินเรื่อง และการปิดฉากการพูด
การปิดฉากการพูดที่ดี เดล คาร์เนกี นักพูดชื่อดังเคยให้คำแนะนำไว้ว่า “ จงบอกเขาอีกครั้งหนึ่งว่าท่านได้บอกอะไรแก่เขาบ้าง ” แต่อย่างไรก็ตามวิธีการปิดฉากการพูดที่ดีมีดังนี้
1.ปิดฉากแบบสรุปใจความสำคัญ เป็นการสรุปเนื้อหาของเรื่องที่พูดอีกครั้งโดยย่อ ว่าสิ่งที่พูดมามีกี่ข้อ เช่น ส่วนประสมทางการตลาดสรุปแล้วมีทั้งหมด 4 P (Marketing Mix) ได้แก่ 1. Product ผลิตภัณฑ์ 2. Price ราคา 3. Place ช่องทางหรือสถานที่ 4. Promotion การส่งเสริมการตลาด
2.ปิดฉากแบบ คำคม กวี สุภาษิต หรืออ้างอิงวาทะของบุคคลสำคัญ เป็นการปิดฉากโดยยกคำคม กวี สุภาษิต สำนวน โวหาร หรืออ้างอิงวาทะของบุคคลสำคัญ แต่ข้อควรระวัง ผู้พูดต้องจดจำ คำคม กวี กลอน สุภาษิต สำนวน โวหารหรือวาทะของบุคคลสำคัญให้แม่นยำ ไม่ควรพูดผิด เนื่องจากการปิดฉากมีความสำคัญมากในการพูด เราจะต้องปิดฉากด้วยความมั่นใจ ปิดฉากด้วยความหนักแน่น หากพูดผิดๆถูกๆ ก็จะทำให้ผู้ฟังขาดความเคารพ นับถือ ไม่ศรัทธาได้
3.ปิดฉากแบบชักชวน เรียกร้อง กล่าวคือ เมื่อพูดถึงเนื้อหาของเรื่องเสร็จแล้ว ควรสรุปจบโดยการชักชวน เรียกร้องหรือรณรงค์ ให้ผู้ฟังได้กระทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น การชักชวนให้เลิกบุหรี่ การรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัย การเรียกร้องให้ปฏิบัติตามกฎจราจร เป็นต้น
4.ปิดฉากแบบฝากให้คิด เป็นการปิดฉากแบบไม่ได้ชี้นำผู้ฟัง แต่เป็นการปิดฉาก โดยพูดถึงเนื้อหาของเรื่องโดยให้ข้อเท็จจริง ให้ข้อมูล เสนอปัญหา แต่ฝากให้ผู้ฟังไปคิดต่อ เช่น ปัญหาเรื่องคอรัปชั่นเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นปัญหาที่พูดถึงกันมายาวนาน เราจะปล่อยให้ปัญหาคอรัปชั่นมีกันอีกนานเท่าไร เมื่อพูดจบประโยคก็ลงจากเวทีไปโดยไม่ต้องรอคำตอบจากผู้ฟังหรือผู้พูดพูดตอบ
5.ปิดฉากแบบอารมณ์ขัน เป็นการปิดฉากที่นำเอาเรื่องราวที่ขำขันมาใช้ เนื่องจากสังคมไทยส่วนใหญ่ชอบความสนุกสนาน รื่นเริง ไม่ค่อยชอบการพูดที่มีลักษณะเคร่งเครียด หากนักพูดท่านใด พูดตลก พูดสนุกสนาน มักเป็นที่ยอมรับนับถือ อีกทั้งยังสร้างความศรัทธาให้แก่ผู้ฟังได้ด้วย แต่ข้อควรระวัง กล่าวคือ เรื่องที่เรานำมาปิดฉากในการพูด อาจทำให้ผู้ฟังไม่หัวเราะได้ แทนที่ผู้ฟังจะหัวเราะ กลับนั่งเงียบกันทั้งห้อง กระสุนเกิดด้านขึ้น ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงได้ ควรปิดฉากด้วยวิธีการอื่นได้ก็จะเป็นการดีกว่า
สำหรับการปิดฉากที่ควรหลีกเลี่ยง หรือไม่ควรพูด เพราะเป็นการปิดฉากที่ฟังแล้ว เรียบๆ ไม่ทรงพลัง เช่น
- ขอจบแต่เพียงแค่นี้ , ขออภัยหรือขอโทษหากพูดอะไรผิดพลาด , ขอขอบคุณท่านผู้ฟังที่มาฟังกันในวันนี้
ฯลฯ ความจริงการปิดฉากในลักษณะไม่ถือว่าผิดพลาด เสียหายอะไร แต่เป็นการปิดฉากที่ไม่ค่อยจะทรงพลัง หรือ เป็นการปิดฉากที่ไม่ทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ
ดังนั้นลักษณะการปิดฉากที่ดี ควรคำนึงถึง ความสอดคล้องระหว่าง การเปิดฉากการพูด และ การดำเนินเรื่อง การปิดฉากที่ดีควรมีความกระฉับ อีกทั้งต้องมีโครงเรื่องเป็นสุนทรพจน์
โดยสรุป การปิดฉากการพูด เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ อีกทั้งต้องใส่ใจในการเตรียมการพูดว่าเราจะปิดฉากอย่างไรให้เป็นที่ประทับใจผู้ฟัง เราจะปิดฉากอย่างไรให้ตรึงใจผู้ฟัง การปิดฉากที่ดีสามารถสร้างความศรัทธา ความน่าเชื่อถือของผู้พูดได้ ฉะนั้น นักพูดที่ต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ควรให้ความสำคัญกับการปิดฉาก ไม่ใช่เปิดฉากดี ดำเนินเนื้อเรื่องดี แต่หากปิดฉากไม่ดี ก็จะทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ไม่เป็นที่ประทับใจผู้ฟังมากนัก หากต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ก็ควรให้ความสำคัญกับการปิดฉากการพูดครับ

...
  
ไม่มีข้ออ้างสำหรับความสำเร็จ
ความสำเร็จไม่มีข้ออ้าง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนจำนวนมากที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักมีข้ออ้างต่างๆมากมาย ซึ่งข้ออ้างต่างๆ มักจะทำให้ตนเองจะได้ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิด การกระทำ เช่น ข้ออ้างฉันไม่มีวันประสบความสำเร็จเนื่องมาจาก อายุมากแล้ว , ร่างกายไม่สมประกอบ , หน้าตาไม่ดี , เป็นคนต่างจังหวัดคงสู้คนกรุงเทพฯไม่ได้ , การศึกษาไม่สูง , ไม่มีเวลา , เกิดมายากจน ฯลฯ
แต่แท้ที่จริงแล้ว ข้ออ้างดังกล่าว เป็นเพียงสิ่งที่เราคิดปรุงแต่งไปเอง ความคิดของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักคิดในทางลบมากกว่าคิดในทางบวก อีกทั้งในความเป็นจริง บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่มีข้ออ้างดังกล่าว เช่น
- ข้ออ้างเรื่องอายุมากแล้ว ผู้พันฮาร์แลนด์ ดี.แซนเดอร์ส์ เจ้าของไก่ทอด เคนตั๊กกี้ อายุตั้ง 66 ปี แล้วพึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ อีกทั้งชีวิตในอดีต เขาพบความล้มเหลวมาตลอดชีวิต ทั้งนี้หากผู้พันฮาร์แลนด์ ดี.แซนเดอร์ส์ คิดว่าตนเอง อายุมากแล้ว พวกเราคงไม่ได้รับประทานไก่ทอดที่อร่อยและคนรู้จักไปทั่วโลกในขณะนี้
- ข้ออ้างเรื่องร่างกายไม่สมประกอบ นิค วูจิซิค คนพิการหัวใจสู้ เขาเกิดมาไม่มีมือ มีแขน ขา ทั้งสองข้าง แต่เขาก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนกับคนโดยปกติ อีกทั้งยังสามารถทำอะไรอีกหลายอย่าง บางอย่างคนปกติที่ไม่มีความพิการ ก็ไม่สามารถทำได้ เช่น การว่ายน้ำ , การพูดต่อหน้าที่ชุมชน ฯลฯ ปัจจุบันเขาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนไปทั่วโลก
- ข้ออ้างเรื่อง หน้าตาไม่ดี หลายท่านอยากเป็นดารา นักร้อง นักแสดง แต่มีข้ออ้างให้กับตนเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว ในยุคปัจจุบัน คนหน้าตาไม่ดี เป็น ดารา นักร้อง นักแสดง กันมากมาย ดังที่เราจะเห็นได้ตามสื่อต่างๆ
- ข้ออ้างเรื่อง เป็นคนต่างจังหวัดคงสู้คนกรุงเทพฯไม่ได้ ข้ออ้างนี้ เป็นปมด้อยของคนต่างจังหวัดหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา วิทยากร นักร้อง นักแสดง ฯลฯ แต่ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ความคิด คนต่างจังหวัดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสามารถ มีตั้งมากมาย บางคนมีความสามารถและประสบความสำเร็จมากกว่าคนกรุงเทพฯ อีกต่างหาก
- ข้ออ้างเรื่องการศึกษาไม่สูง เป็นข้ออ้างสำหรับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จบางกลุ่ม แต่ในโลกปัจจุบัน คนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ บางคนยังไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำไป แต่มีความสามารถจ้าง คนที่จบปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก ทำงานให้ เช่น สตีฟ จอบส์ , บิล เกตต์ , เฉินหลง ฯลฯ
- ข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลา คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย ซึ่งแตกต่างกับบุคคลที่ล้มเหลว มักมีข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลา เมื่อผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาสามารถบริหารเวลาได้ เราทุกคนก็ต้องสามารถบริหารเวลาได้เช่นกัน
- ข้ออ้างเรื่องเกิดมายากจน เป็นข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ ที่ต้องการความร่ำรวย แต่ตนเองไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่พ่อแม่ร่ำรวย แต่ในความเป็นจริง หากว่าพวกเราได้มีโอกาสอ่านประวัติของเศรษฐี มหาเศรษฐี เราจะพบว่า มหาเศรษฐีจำนวนมาก เกิดมาก็ไม่ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย หากแต่เขามาสร้างเนื้อสร้างตัวในภายหลัง
และยังมีข้ออ้างอีกตั้งมากมาย ซึ่งข้ออ้างต่างๆ มีเหตุผล ประกอบร้อยแปด ซึ่งเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุผล
ส่วนตัวของบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในการใช้อ้าง เพื่อที่หาความชอบธรรมให้แก่ตนเอง ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านต้องปราศจากข้ออ้างใดๆ ท่านต้องมีเป้าหมายชัดเจน ท่านต้องลงมือกระทำเพื่อไปสู่เป้าหมายอย่างจริงจัง และท่านต้องมีพัฒนาปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ




...
  
Change Management
Change Management
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
มนุษย์หรือองค์กรต่างๆ มักกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์และองค์กรต่างๆ จะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง
Change Management หรือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการทำงานในภาครัฐ หรือ ภาคเอกชน เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
Kodak เป็นตัวอย่างที่ดีในการวัดความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหารระดับสูงอาจทำให้บริษัท องค์กร พ่ายแพ้คู่แข่งขัน หรือ บางครั้งอาจถึงกับต้องออกจากสนามการแข่งขันไปเลยก็มี
Kodak ในอดีตคือผู้นำอันดับหนึ่งในวงการการถ่ายภาพ จนกระทั่งถูกท้าทายการเป็นผู้นำจากฟูจิ และได้ศูนย์เสียความเป็นผู้นำ อีกทั้งถูกแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างมหาศาล ต่อมา กล้องมีการเปลี่ยนเป็นระบบถ่ายภาพแบบ Digital มากขึ้น แล้ว Kodak จะทำอย่างไรครับ ท่านผู้อ่าน
Kodak มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงช้ามาก จนทำให้หุ้น Kodak ตกไปยังมาก อีกทั้งยังต้องขาดทุน Kodak แก้ปัญหาอย่างไร Kodak แก้ปัญหาโดยการปลดพนักงานออกเกือบ 20,000 คน
ต่อมาการเจริญเติบโตของกล้องระบบ Digital มีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ฟิลม์ธรรมดาของ Kodak มียอดขายลดลง Kodak แก้ปัญหาอย่างไรครับ Kodak แก้ปัญหาด้วยการลดราคาฟิลม์ลงอีก 60-70 % ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยอดขายฟิลม์ธรรมดาตกเป็นอันมาก CEO ของ Kodak รับผิดชอบด้วยการลาออก (George Fisher)
จะเห็นได้ว่า Kodak มีการปรับตัวช้ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันในตลาดขณะนั้น ผู้บริหารมีการตัดสินใจที่ช้าและผิดพลาดต่อการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะเล็งเห็นว่ากล้อง Digital มีแนวโน้มและเจริญเติบโตเร็ว กลับไม่ยอมพัฒนา กลับไปให้ความสำคัญกับสินค้าเดิมๆ คือ ฟิลม์ธรรมดา จนในที่สุด Kodak ต่อพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งขันในที่สุด
Apple นำโดย Steve Jobs เป็น CEO เป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารการเปลี่ยนแปลง Steve Jobs ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการออกนวัตกรรมใหม่ๆ เสมอ หรือที่เราได้รู้จักและสัมผัสคือ สินค้าตระกูล I (iPod ,iPhone ,iPad )
สำหรับ Steve Jobs เคยให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวครั้งหนึ่งว่า เขาไม่ให้ความสำคัญต่อการวิจัยตลาด เพราะลูกค้าไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างเรื่องราวของ Henry Ford ผู้สร้างรถยนต์คันแรกของโลก ว่าหาก Henry Ford ไปทำวิจัยตลาดว่าลูกค้าชอบพาหนะอย่างไร ลูกค้าก็คงตอบว่า ชอบพาหนะที่แข็งแรง ทนทาน และนำพาไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว Henry Ford ก็คงต้องสร้าง รถม้าที่แข็งแรง ทนทาน เพื่อให้ม้าได้วิ่งได้เร็วขึ้นเพราะสมัยนั้นมีแต่การใช้ม้า ช้าง วัว ควาย เพื่อใช้บรรทุกของและนำพามนุษย์เราไปยังสถานทีต่างๆ แต่ Henry Ford ไม่ได้ทำการวิจัยตลาด จึงได้สร้างรถยนต์คันแรกของโลกขึ้น
Steve Jobs จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความกล้าที่จะเสี่ยง และจัดทีมงานให้บริษัท Apple สร้างสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่ Steve Jobs นำพาบริษัท Apple เปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเสียอีก
ดังเราจะเห็นได้ว่า Sony Walkman เป็นผู้นำตลาด แต่ตอนนี้ Sony Walkman เงียบหายไปไหน แต่ iPod กลับเป็นผู้นำตลาด
ดังนั้น การบริหารการเปลี่ยนแปลง หรือ Change Management จึงมีความสำคัญมากต่อองค์กร หน่วยงาน บริษัท รวมทั้งตัวของบุคคล
จงเปลี่ยนแปลง องค์กร หน่วยงาน บริษัท และตัวท่าน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง
...
  
บรรยาย "รากฐานประชาธิปไตย"
บรรยาย โครงการรากฐานประชาธิปไตย รุ่นที่ 2 ในพื้นที่ภาคอีสาน ให้แก่ครูในพื้นที่ภาคอีสาน โดยจัดที่โรงแรมเซ็นทารา จังหวัดอุดรธานี ระหว่างวันที่ 9 - 13 พฤษภาคม 2554 ...
  
วิธีการฝึกฝนการพูด
วิธีการฝึกฝนการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในสมัยที่กระผมฝึกฝนการพูดต่อหน้าที่ชุมชนใหม่ๆ กระผมมีความประหม่า ตื่นเต้น พูดวกไปเวียนมา พูดแล้วผู้ฟังงง แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อฝึกฝนการพูดบ่อยๆ ทำให้ความประหม่าลดน้อยลง ความตื่นเต้นลดน้อยลง การพูดมีโครงเรื่อง มีระบบมากขึ้น พูดแล้วจากผู้ฟังงง เริ่มเปลี่ยนเป็นผู้ฟังมีความเข้าใจมากขึ้น อีกทั้งบางหัวข้อที่พูด ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือศรัทธาอีกต่างหาก
ในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึง วิธีการฝึกฝนการพูด ซึ่งวิธีการฝึกฝนเป็นศิลปะของแต่ละคน ในช่วงต้นๆ อาจลองผิดลองถูกก่อน เพราะวิธีการฝึกฝนการพูดของนักพูดท่านหนึ่ง เราฝึกฝนตามวิธีดังกล่าวเราอาจไม่ชอบหรือไม่ถูกกับจริตหรือนิสัยใจคอของเราก็ได้ เช่น เดล คาร์เนกี้ ครูสอนการพูดต่อหน้าที่ชุมชนระดับโลก เคยฝึกฝนการพูดตอนถอนหญ้าในสนามหญ้าภายในบ้าน , อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดี เคยฝึกฝนการพูดตอนอยู่บนหลังม้า เนื่องจากต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ต้องใช้เวลาในการเดินนานจึงใช้เวลาให้เกิดประโยชน์โดยการฝึกฝนการพูด , อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ “ เจาะใจ ” เคยฝึกพูดในระหว่างเดินทางกลับบ้าน โดยฝึกพูดคนเดียว ในช่วงเดินเข้าบ้านตั้งแต่ต้นซอยจนถึงปลายซอย โดยเลือกหัวข้อเรื่อง แล้วจึงพูด เป็นต้น
ซึ่งการฝึกการพูดของบุคคลดังกล่าว หากเราเลียนแบบ บางคนอาจประสบความสำเร็จ บางคนอาจไม่ประสบความสำเร็จ โดยส่วนตัวกระผม วิธีการของบุคคลสำคัญๆ ข้างต้น หากกระผมนำไปฝึกฝนปฏิบัติ คงประสบความสำเร็จได้ยาก เนื่องจาก การฝึกพูดโดยไม่มีผู้ฟัง กระผมมักพูดไม่ออก พูดได้ไม่ดี แต่หากการฝึกฝนการพูดโดยมีผู้ฟัง ตาม สถาบัน สโมสร ชมรม การพูดต่างๆ กระผมมักพูดได้ดีกว่า ทั้งนี้การฝึกฝนการพูดไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว บางคนฝึกพูดต่อหน้ากระจกแล้วฝึกพูดได้ดีมาก
การฝึกฝนการพูดในยุคปัจจุบัน เราสามารถทำได้ง่ายกว่าในอดีต เนื่องจากมี สโมสร สถาบัน ชมรมต่างๆ ที่สอนอีกทั้งเปิดโอกาสให้ท่านไปฝึกพูดได้เป็นประจำ สำหรับข้อมูลเนื้อหาต่างๆ ที่ใช้ในการพูด ท่านสามารถค้นหาได้มากกว่าในอดีต เนื่องจากมีอินเตอร์เน็ต ซึ่งถ้าเป็นในสมัยก่อน หากท่านได้พูดในหัวข้อหนึ่งๆ ท่านจำเป็นจะต้องเดินทางไปหาข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดในสถาบันการศึกษา แต่ปัจจุบันท่านอยู่ที่ไหนท่านก็สามารถค้นหาข้อมูลได้ ไม่ว่าจะอยู่ในห้องประชุม ห้องสัมมนา โดยหาข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
การฝึกฝนการพูดในยุคปัจจุบัน มีแบบอย่างให้ดูมากมาย มีเครื่องมือช่วยให้การพูดของเราพัฒนาปรับปรุงได้มากขึ้น ท่านสามารถดูตัวอย่างการพูดได้จาก Youtube ท่านสามารถปรับปรุงพัฒนาการพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้โดยวิธีการใช้กล้องวีดีโออัดหรือบันทึกภาพในการพูดของท่านแต่ละครั้งเพื่อนำไปดู ข้อดี ข้อเด่น ข้อด้อย ข้อควรพัฒนาปรับปรุง ในการพูดแต่ละครั้ง
การฝึกฝนการพูดเป็น ทั้งศาสตร์และศิลปะ กล่าวคือ การฝึกฝนการพูดท่านควรรู้ศาสตร์หรือองค์ความรู้ในเรื่องการพูดต่อหน้าที่ชุมชนอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดก็คือ ท่านต้องขึ้นเวที หรือ ฝึกฝนบ่อยๆ หากท่านมีทักษะหรือผ่านเวทีมากๆ ท่านก็จะประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดได้ในอนาคต
หรือหากท่านอยู่ในวงการขาย ถ้าท่านต้องการเป็นนักขาย ท่านมัวเอาแต่อ่านหนังสือการขาย ท่านมัวแต่ศึกษาวิธีการของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ท่านจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขายท่านไม่มีทางอื่น นอกจากท่านจะต้องออกไปขายเท่านั้น การศึกษาทฤษฏีมีความสำคัญแต่ท่านควรให้ความสำคัญเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่การปฏิบัติ การฝึกฝนมีค่ามากกว่า ท่านควรให้น้ำหนักความสำคัญถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น อยากเป็นนักขายต้องออกไปขายครับ
เช่นกันถ้าอยากเป็นนักพูด การอ่านหนังสือการพูด การเรียนรู้เทคนิคต่างๆ การถามคนที่ประสบความสำเร็จในการพูด ท่านควรให้ความสำคัญเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ แต่การขึ้นเวที การหาเวที การฝึกฝน เป็นทักษะที่ท่านต้องให้ความสำคัญ โดยการฝึกฝนและปฏิบัติให้มากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ หากต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูด ท่านไม่มีวิธีการอื่น ท่านต้องกล้าขึ้นไปพูดบนเวทีให้มากที่สุด
เช่นกันหากท่านอยากว่ายน้ำเป็น อยากว่ายน้ำเก่ง หากท่านมัวแต่อ่านหนังสือวิธีการว่ายน้ำ เทคนิคต่างๆ ในการว่ายน้ำ ท่านจะไม่มีทางว่ายน้ำเป็นเลย วิธีการก็คือ ท่านจะต้องลงไปในสระว่ายน้ำแล้วลงมือว่ายน้ำเลย ท่านอาจมีโอกาสจมน้ำบ้าง ท่านอาจมีโอกาสสำลักน้ำบ้าง แต่ท่านจะว่ายน้ำเป็นก่อนคนที่เอาแต่อ่านหนังสือวิธีการว่ายน้ำ โดยไม่เคยลงไปในสระว่ายน้ำเลย
ดังนั้น วิธีการฝึกฝนการพูด กระผมไม่สามารถบอกได้ว่าวิธีการฝึกฝนการพูด วิธีไหนดีที่สุด ทั้งนี้ วิธีการฝึกฝนการพูดที่ดี คงต้องขึ้นอยู่กับ จริต นิสัย ใจคอ วิธีการ ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากท่านมีความปรารถนาที่จะพูดเป็น พูดเก่ง ท่านจะขาดการฝึกฝนการพูดไปไม่ได้
...
  
3 H กับ การทำงาน
3 H กับ การทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ เราสามารถนำสูตร 3H มาใช้ได้ 3H ในที่นี้ได้แก่
1.HEART คือ การทำงานด้วยหัวใจ เป็นการทำงานในสิ่งที่เรารัก เราชอบ การรักในอาชีพหรืองานที่เราชอบจะทำให้เราทำงานได้ดี ได้นาน อีกทั้งยังได้รับความสนุกสนานในงานที่เราทำอีกด้วย บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนมักเลือกทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก เช่น สตีฟ จอบส์ ชอบคอมพิวเตอร์ , สมคิด ลวางกูร ชอบเขียน เป็นต้น
2.HEAD คือ การทำงานด้วยหัว การทำงานด้วยหัวจะทำให้เราได้รับผลิตมากกว่าการทำงานด้วยแรงกาย เพราะการทำงานด้วยหัว เรามักใช้สมองในการคิด เช่น คิดสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ , คิดแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการทำงาน, คิด จินตนาการ ฝัน ถึงเป้าหมายในอนาคตที่เราต้องการ
3.HAND คือ การลงมือทำ สิ่งต่างๆที่เรารัก เราชอบ เราฝัน เราจินตนาการ เราสร้างสรรค์ จะไม่เกิดขึ้นหรือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไม่ได้เลย หากว่าบุคคลนั้นไม่ยอมที่จะลงมือทำ จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
3 H จึงเป็นสูตรที่ช่วยให้เกิดความสุขและเกิดประสิทธิภาพขึ้นในการทำงาน หากว่าใครนำไปประยุกต์ใช้ ก็จะพบแต่ความสำเร็จในการทำงาน
...
  
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
กลยุทธ์การตลาด 10 P นี้ ต่อยอดมาจาก กลยุทธ์การตลาด 4 P ของฟิลลิป คอตเลอร์
(Philip Kotler) ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ 4P ได้รับยกย่องกันมานานและนำเอาไปใช้ไปอย่างแพร่หลายกันในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้กลยุทธ์เพียงแค่ 4 P คงจะไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางด้านการตลาดก็ได้เพิ่มจำนวน P ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
กระผมก็เช่นกัน ก็ได้นำกลยุทธ์ 4 P( 4 ข้อแรก) มาต่อยอดโดยเพิ่มเป็น 10 P ดังนี้
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่นักการตลาดจะต้องมี ซึ่งผลิตภัณฑ์จะต้องไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ หรือ แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ ผลิตภัณฑ์จึงต้องเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สี ขนาด รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
2. Price Strategy กลยุทธ์ราคา ราคาต้องตั้งให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขัน แน่นอนในยุคนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาขายในตลาด มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบทางด้านราคาได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ A เหมือนกับ ผลิตภัณฑ์ B แต่ทำไมราคาจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ฉะนั้นการตั้งราคา ควรตั้งราคาให้มีกำไร แต่ต้องให้เหมาะสมกับภาวะตลาด ไม่ตั้งราคาสูงจนเกินไป แต่ถ้าอยู่ในภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ก็ไม่ควรตั้งราคาต่ำจนเกินไป จนต้องประสบภาวะการขาดทุน
3. Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะถ้ามีสินค้า มีการตั้งราคา แต่ไม่รู้จะไปวางขายที่ไหน หรือมีการจัดจำหน่ายที่น้อย ลูกค้าก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ซึ่งการจัดจำหน่ายที่ดี ควรมีหลักการคือ ควรจัดจำหน่ายโดยหาช่องทางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกในการซื้อ เช่น มีสินค้า 2 ตัว เหมือนกัน ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่สินค้าตัวที่ 1 วางขายที่ใต้หอพัก ใต้อาคารคอนโด ที่เราพักอาศัยอยู่ แต่สินค้าตัวที่ 2 เราจะต้องเดินไปซื้อที่หน้าปากซอย เราจะเลือกซื้อสินค้าตัวไหน ระหว่างใต้หอพักหรือใต้อาคารคอนโด หรือว่าเราจะเดินไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่หน้าปากซอย
4. Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการส่งเสริมทางด้านการตลาดไปยังลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การส่งเสริมด้านการขาย เป็นต้น
5. Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งโลกไร้พรมแดน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ยุคของอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์การให้ข่าวสารจึงต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่องทางเพื่อให้เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ นักการตลาดใช้เพื่อไปติดต่อกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างตราสินค้า สร้างภาพลักษณ์ ช่วยเพิ่มทัศนคติในเชิงบวก ช่วยสร้างความเข้าใจในการใช้สินค้า บริการ และความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ต่อลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
6. Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานขายมีความสำคัญมากสำหรับผลิตภัณฑ์ บางตัว เพราะต้องอาศัยการอธิบาย ความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าประเภท ยา ผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารเสริม เป็นต้น
ซึ่งพนักงานขายที่ดี จะต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้าและมีเทคนิคในการขาย มีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำพาไปสู่ การตัดสินใจซื้อ
7.People Strategy กลยุทธ์ด้านประชาชน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการการสนับสนุน จากประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายหรือ คนในพื้นที่ที่ต้องการจัดจำหน่าย เพราะ ผลิตภัณฑ์บางตัวดี ราคาเหมาะสม มีช่องทางมีการจัดจำหน่ายที่ดี กล่าวได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่ประชาชนหรือคนในพื้นที่ ไม่สนับสนุน โจมตี ผลิตภัณฑ์นั้นก็อยู่ไม่ได้ในตลาด ซึ่งในยุคหลังๆ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการทำ CSR “Corporate Social Responsibility” คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังทำให้เกิดการสนับสนุนของผู้คนในพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายอีกด้วย
8. Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นี้ ได้สร้างความประทับใจแรกพบของลูกค้าหรือ First Impression ซึ่งในยุคนี้ เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นหรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะการทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ สะอาด สวยงาม มีสีสันโดนใจ ย่อมทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า การที่เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ ไม่ยอมลงทุนหรือเพิ่มต้นทุน ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งควรตั้งคำถามต่างๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าดังนี้ บรรจุภัณฑ์สวยงาม หรือไม่ , บรรจุภัณฑ์สามารถเชิญชวนให้ใช้ หรือไม่,บรรจุภัณฑ์เมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก หรือไม่ เป็นต้น
9. Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ เพราะการมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน จะสามารถช่วยเราในการทำธุรกิจได้หลายประการ เช่น ช่วยคิด ช่วยลงทุน ช่วยทางด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลือในเรื่องการวางระบบงาน ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นการทำธุรกิจข้ามชาติหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เพราะบางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องของกฏหมาย ถ้ามีหุ้นส่วนก็จะได้รับการช่วยเหลือ ทางด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
10. Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องประยุกต์หลักการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการไหลเวียนในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า บริการ ไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย เราสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เข้ามาวางขายได้อย่างเสรีมากขึ้น ฉะนั้น นักการตลาด เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจมีการปรับตัว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคนี้
กลยุทธ์การตลาด 10 P ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากกูรูทางด้านการตลาด ซึ่ง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเป็น 12P 15 P 20 P ต้องขอขอบคุณ ท่านฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ที่ได้วางทฤษฏีหรือหลักการทางด้านการตลาด ไว้เป็นอย่างดี
สำหรับ กลยุทธ์การตลาด 10 P ถ้าจะนำไปใช้อย่างได้ผล เราควรจะต้องร่วมพิจารณากับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค , วิเคราะห์ SWOT Analysis(S = Strength (จุดเด่น จุดแข็ง) W = Weakness (จุดอ่อน จุดด้อย) O = opportunity (จุดเกิดโอกาส) T = Threat (จุดดับ อุปสรรค ) ,การวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ และอีกหลายๆปัจจัย จึงจะส่งผลให้กลยุทธ์การตลาด 10 P ประสบผลสำเร็จ
...
  
กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์องค์กร
วันที่ 26-27 พฤษภาคม 2554 ร่วมอบรม " กลยุทธ์ประชาสัมพันฃ ...
  
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนตั้งคำถามกับกระผมว่า ทำไมคนนี้พูดแล้วเกิดความน่าเชื่อถือ แต่ทำไมอีกคนหนึ่งพูดแล้วไม่เกิดความน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วการพูดให้เกิดความน่าเชื่อมีหลายปัจจัยคือ
1.ตัวผู้พูด กล่าวคือ หากต้องการให้ผู้ฟังเชื่อถือ ตัวผู้พูดเองต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้ หากผู้พูดพูดโกหกบ่อยๆ ผู้ฟังก็คงยากที่จะเชื่อ การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูดยังรวมไปถึง อาชีพ ตำแหน่ง ฐานะทางสังคม รายได้ทางเศรษฐกิจ และบุคลิกภาพ(ทั้งภายในและภายนอก)
2.เนื้อหาในการพูด มีความสำคัญ หากการพูดนั้นวกไปวนมาฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ฟังเกิดสับสน ไม่มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ สถานที่ ขาดเหตุผล ขาดการอ้างอิง ขาดการเปรียบเทียบ ใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสรุป ขาดการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งเหล่านี้มักเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้ผู้ฟังขาดความเชื่อถือ
3.วิธีการนำเสนอในการพูด มีส่วนสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือขึ้น เช่น มีหลักฐานเป็นภาพ คลิปเสียง คลิปภาพ ในการประกอบการพูด เพื่อให้เห็นของจริง หากใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องมือที่ทันสมัยก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ ความเชื่อถือได้ ทั้งนี้คงรวมถึงการต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังด้วย เช่น วิเคราะห์เพศ วัย อาชีพ ช่วงอายุของผู้ฟัง ฯลฯ
สำหรับองค์ประกอบการพูดที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือหรือคล้ายตาม เราควรมีเทคนิคดังนี้
- สถิติ เป็นข้อเท็จจริงที่หน่วยงานต่างๆทำไว้ ควรหาข้อมูล สถิติจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ
การพูด ตัวอย่างในการพูดให้เกิดความคล้อยตามหรือทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีคุณสมัคร สนุทรเวช เป็นบุคคลที่นำเอาตัวเลข สถิติ มาใช้เป็นจำนวนมากในการพูดหาเสียงแต่ละครั้ง
- ความคล้ายคลึงกัน ความคล้ายคลึงกันของผู้พูดกับผู้ฟังก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ
หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้พูดกับผู้ฟังนับถือศาสนาเดียวกัน ก็จะได้รับความไว้วางใจมากกว่า , มีอาชีพเดียวกัน ก็จะสร้างความยอมรับจากผู้ฟังได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันบางอย่างอาจจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากกว่าความคล้ายคลึงกัน เช่น บุคคลที่มีฐานะดีกว่าหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า ย่อมได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เหตุการณ์ เงื่อนเวลาในการพูดด้วย
- พูดให้ตรงความต้องการของผู้ฟัง เช่น ผู้ฟังมีความต้องการสิ่งใด เราก็พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจหรือพูดในสิ่งที่
ผู้ฟังมีความต้องการ เขาก็จะมีความเชื่อถือและคล้อยตามผู้พูด ซึ่งหลักจิตวิทยา อับราฮัม เอช มาสโลว์ ได้วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1.ความต้องการปัจจัยสี่ 2.ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย 3.ความต้องการความรักและมีส่วนร่วม 4.ความต้องการได้รับการยกย่องและได้รับเกียรติ 5.ความต้องการบรรลุความหวังในชีวิต ซึ่งผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟังว่าอยู่ระดับขั้นตอนใด
- เสียงคำพูดต้องชัดเจน หนักแน่น การจะพูดให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม เกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจ ผู้
พูดจะต้องพูดด้วยความมั่นใจก่อน ควรพูดด้วยความกระตือรือร้น พูดด้วยความคล่องแคล่ว อีกทั้งเมื่อมีการถามคำถามก็ควรตอบด้วยความรวดเร็ว หนักแน่น ชัดเจน เสียงดัง มีการเน้นระดับเสียงสูงต่ำ
- ต้องมีการเตรียมตัวมาอย่างดี เช่น เตรียมหลักฐานต่างๆ มาประกอบการพูด เช่น ภาพ คลิป ข่าว หลักฐาน
การอ้างอิง คำพูดของคนสำคัญ ตลอดถึงการเตรียมเนื้อหาในการพูด การเลือกใช้คำกลอน ถ้อยคำ คำคม เพลง มาประกอบการพูด
แต่อย่างไรก็ตาม การจะพูดให้คนเกิดความคล้อยตามหรือเชื่อถือ คงขึ้นอยู่กับตัวผู้พูดเป็นหลัก หากผู้พูดไม่เชื่อถือตามสิ่งที่พูดไป หากผู้พูดพูดโกหกในสิ่งที่พูด หากผู้พูดไม่มั่นใจในสิ่งที่พูด ก็คงยากที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจในสิ่งที่ผู้พูดพูด เช่น ผู้พูดพูดให้ผู้ฟังเชื่อว่าผีมีจริง แต่ตัวผู้พูดเองไม่เชื่ออีกทั้งยังไม่เคยเห็นผี ก็คงพูดให้พูดฟังเชื่อได้ยากเนื่องจากตัวผู้พูดเองยังไม่เชื่อหรือพูดให้ผู้ฟังเลิกสูบบุหรี่แต่ตัวผู้พูดเองสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวนผู้ฟังก็คงเชื่อหรือคล้อยตามได้ยากเช่นกัน













...
  
กฎ 20/80 ของพาเรโท
กฎ 20/80 ของพาเรโท
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎ 20/80 ถูกคิดค้นขึ้นโดย วิลเฟรโด พาเรโท ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อปี 1895 โดยขณะนั้นเขากำลังทำวิจัยเพื่อค้นคว้าหาสูตร การกระจายความมั่งคั่งในประเทศอิตาลี เขาค้นพบว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งมีจำนวนแค่ 20 % ของประชากร แต่มีทรัพย์สินเงินทองถึง 80 %
ต่อมา Dr Juran นักคิดทางด้าน Quality Management ได้นำหลักการนี้ไปใช้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้เรียกว่า “กฎ 80/20 ” หรือ กฎของพาเรโท อีกทั้งมีนักวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์ ทดลองแล้วยืนยันว่า กฎ 20/80 ของพาเรโท นั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้ โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้หรือยอดขายทั้งหมดของบางบริษัท เกิดจากสินค้าจำนวนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย มาจากพนักงานขายแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกัน
80 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานขาย สร้างยอดขายได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
80 เปอร์เซ็นต์ ของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เกิดจากนักเรียนเพียงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการสั่งซื้อทั้งหมดนั้นมาจากลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ เรามักไม่ได้สวมใส่ แต่ในทางกลับกันเราใส่แค่เสื้อผ้าอยู่จำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่เรารับโทรศัพท์ มักมาจากกลุ่มคนที่โทรศัพท์เข้ามาเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ดินทั้งหมด มักถือครองโดยคนส่วนน้อยเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของรางวัลในการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี ประกวดร้องเพลง มักเป็นของคนเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทำงานแต่ละวัน เราได้ผลลัพธ์เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
การประยุกต์ กฎ 20/80 ของพาเรโท จึงมีความสำคัญเพราะกฎนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การบริหารเวลา , การบริหารลูกค้า , การบริหารสินค้าคงคลัง , การบริหารธุรกิจ , การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
เช่น
- หากเราพบว่า สินค้าแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ สินค้าแค่ 2 ใน 10 เป็นสินค้าที่ขายดี เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วย
ส่งเสริม พัฒนา ให้สินค้า 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 ใน 10 ชิ้น นั้น ให้เกิดการขายดียิ่งขึ้นหรือทำกำไรให้ได้ดียิ่งขึ้น
- หากเราพบว่า มีลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราจะ
ทำอย่างไรกับลูกค้ารายใหญ่นั้น เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อให้มากขึ้นอีก
ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณค่าสูงของการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ท่านได้ผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านก็จะความประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น







...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.