หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ประหยัดเวลาด้วยพลังของทีม
ประหยัดเวลาด้วยพลังของทีม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กำแพงเมืองจีน พีรมิด สะพานโกลเดนเกต ตึกอาคารต่างๆ คงไม่ได้สร้างขึ้นมาจากเพียงคนคนเดียว แต่ได้ถูกสร้างขึ้น มาด้วยพลังของการทำงานเป็นทีม จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมเครือข่ายขายตรง จึงมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกๆปี ก็เนื่องมาจากเขาเชื่อมครือข่ายทีมต่างๆที่มีผู้คนทำงานร่วมกันเป็นจำนวนมากมาย ทำให้สร้างยอดขายและรายได้มากมายมหาศาล ตรงกันข้ามกับกิจการขนาดเล็กที่มีคนจำนวนน้อยหรือกิจการเจ้าของคนเดียว ฉะนั้น หากท่านต้องการความสำเร็จ มียอดขาย ที่ยิ่งใหญ่ ท่านจำเป็นจะต้องมีคนหรือทีมงานจำนวนมากในการช่วยกิจการของท่าน
เช่นเดียวกันหากว่าคุณต้องการประหยัดเวลา ในอดีต ผมทำงานหลายอย่างซึ่งต้องใช้เวลาเป็นจำนวนมากเช่น การนำเงินไปฝากธนาคาร , การส่งสินค้า , การติดต่อลูกค้า , การบริการลูกค้า , การเดินทางไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ(ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์) เป็นต้น แต่เมื่อผมเริ่มเปลี่ยนความคิด เริ่มไว้ใจคนอื่นๆมากขึ้น ด้วยการทำงานเป็นทีม จึงมีคนช่วยทำงานหลายอย่างแทนผม ฉะนั้น หากคุณต้องการใช้เวลาของคนอื่นหรือของทีมงาน คุณก็ควรที่จะให้ความไว้วางใจในทีมงานของคุณ
จงใช้เวลาของคนอื่นและทีมงาน คนเราไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ด้วยตนเอง พวกเราลองนึกภาพดู หากว่าพวกเราต้องการเปิดร้านขายข้าวมันไก่สักร้าน หากว่าเราต้องทำงานคนเดียว เราจะต้องทำอะไรบ้าง เราจะต้องไปซื้อไก่ ข้าว เครื่องปรุง ผักสด ที่ตลาดด้วยตัวเอง เราจะต้องทำข้าวมันไก่ด้วยตัวงเอง เราจะต้องเก็บจาน ต้องเสริฟ ต้องบริการ ต้องคิดเงิน ทอนเงิน ต้องล้างจาน ต้องเปิดร้าน ปิดร้าน อีกทั้งเมื่อมีคนแห่มาซื้อเป็นจำนวนมาก เราจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ยิ่งร้ายไปใหญ่เมื่อเราต้องการเข้าห้องน้ำ ทำธุรกิจส่วนตัว เราจะทำอย่างไรกัน แค่คิดยังไม่ได้ลงมือทำจริง ก็ปวดหัวเสียแล้ว จริงไหมครับ
แน่นอน หลายๆคนอาจจะไม่ชอบทำงานร่วมกันกับผู้อื่น สาเหตุก็เนื่องมาจากการบริหารคนหรือทำงานร่วมกับคนมักจะมีปัญหามากกว่าการทำงานกับเครื่องจักร คอมพิวเตอร์ ดังนั้นการทำงานกับคนหรือทีมก็คงต้องอาศัยศิลปะหลายอย่าง ดังเช่นคำพูดของมหาเศรษฐีหลายท่านที่ให้แง่คิดเอา
- เจริญ สิริวัฒนภักดี “ คนเราถ้าไม่อดทน เอาแต่โมโหก็พังเลย ถ้าอดทนเพียงเสี้ยวนาที อารมณ์ร้อนหายไป ภัยก็หายไปด้วย ถ้าคนไทยใช้ความอดทนก็ไม่ต้องทะเลาะกัน อย่างคนญี่ปุ่นเขาใช้ความอดทนกันมาก”
- ชิน โสภณพนิช “ ผู้ร่วมงานทุกคนไม่ใช่เครื่องจักร หากแต่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ”
- นายมัตสึชิตะ โคโนะสุเกะ ประธานกลุ่มเนชั่นแนล “เมื่อผมเข้าใจพนักงานที่รับผิดชอบหน้าที่สำคัญอย่างถ่องแท้ ผมก็จะไม่ตั้งข้อสงสัยในตัวเขาอีกต่อไป ผมจะมอบหมายหน้าที่การงานให้เขาแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แต่แน่ละถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น ผมก็ยังต้องตักเตือนเขาอยู่”
- ซึซึม โยชิอากิ คนญี่ปุ่นที่รวยที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 2530-2532 ติดต่อกัน 3 ปีซ้อนจากนิตยสาร Forbes “ ตัวเองไม่เอาการเอางานได้แต่พูดคุยโขมงโฉงเฉง ไม่ปรับตัวเองแต่กลับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปรับปรุงตัวเองเป็นวิธีการที่เลวมาก ทำไม่ได้ก็ต้องบอกว่าทำไม่ได้ ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี ด้านหนึ่งจะไม่ต้องเสียเวลา อีกด้านหนึ่งก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจได้เต็มที
ฉะนั้น หากท่านต้องการประหยัดเวลา หากว่าท่านต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ท่านคงต้อง
เรียนรู้การทำงานเป็นทีม ท่านคงต้องมีศาสตร์และศิลปะในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น เมื่อท่านมีคนอื่นหรือมีทีมงานช่วย เราสามาถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและใหญ่มากขึ้นกว่าการทำงานเพียงคนเดียว ท่านว่าจริงหรือไม่จริง
...
  
ใจมีฝัน ใจมีหวัง ใจยังสู้
ใจมีฝัน ใจมีหวัง ใจยังสู้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ใจสู้หรือเปล่า ไหวไหมบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ” เนื้อหาบางตอนของเนื้อเพลง “ ศรัทธา ” ของวงหินเหล็กไฟ ยังก้องอยู่ในหัวใจของกระผม เมื่อกระผมรู้สึก ท้อแท้ หมดกำลังใจในบางช่วงของชีวิต
หลายๆคนมีความฝัน แต่คนที่มีความฝันส่วนใหญ่มักไปไม่ถึงความฝัน ก็เนื่องมาจากหลายสาเหตุคือ
1.บางคนเป็นคนไม่มีเป้าหมายของชีวิต การมีเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป้าหมายในชีวิตจะทำให้เราสามารถกำหนดทิศทางในชีวิตของเราได้ ว่าเราต้องการอะไรอย่างแท้จริง
2.บางคนไม่มีวิธีการที่จะนำไปสู่ความฝัน เมื่อมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว การวางแผน การกำหนดวิธีการเป็นขั้นเป็นตอน มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้เราใช้เวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน ปี ตามเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
3.บางคนไม่มีความหวังและไม่มีความศรัทธาในตนเอง หลายคนไม่มีความศรัทธาในตนเอง คิดว่าตนเองทำไม่ได้ คิดว่าตนเองเป็นเด็กต่างจังหวัดสู้เด็กกรุงเทพฯไม่ได้ หลายคนคิดว่าไม่ได้เรียนมาสูง หลายคนคิดว่าไม่มีทุน แต่ความจริงสิ่งต่างๆนั้น เป็นข้ออ้างทั้งนั้น เมื่อเรามีเป้าหมาย เรามีการวางแผนแล้ว เราจะต้องมีความเชื่อมั่นว่าเราทำได้
4.บางคนไม่ยอมที่จะต่อสู้เพื่อได้ฝันนั้น หลายคนเมื่อมีปัญหา มักจะจดจ่ออยู่กับปัญหาหรืออุปสรรคเป็นเวลานานๆ จนทำให้ตนเอง หมดกำลังใจหรือหมดพลังไป คนเราเกิดมาทุกคนย่อมมีปัญหา แต่อาจมีความแตกต่างในเรื่องที่ประสบพบเจอ ทั้งนี้คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะอดทน ต่อสู้ กับปัญหาต่างๆที่เขาได้เจอ
5.บางคนเมื่อมีฝันแล้วไม่ยอมที่จะลงทุน หลายคนมีความฝันแต่ไม่กล้าที่จะลงทุน ความฝัน เป้าหมายในชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ หากคุณต้องการ คุณต้องยอมที่จะลงทุน ลงแรง เช่น คุณจะต้องย่อมลงทุนที่จะพัฒนาตนเอง คุณจะต้องย่อมลงทุนในการอ่านหนังสือ ฟังวิชาการ ไปอบรม คุณจะต้องยอมลงทุนในการทำมันสร้างมันให้เกิดขึ้น คุณจะต้องยอมลงทุนกับการเสียเวลาไปกับมัน
สำหรับวิธีการที่จะนำเราไปสู่ความฝันให้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ท่านสามารถทำได้ดังนี้
1.แสวงหาบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวคุณเอง บางคนอยากเป็นนักร้องอย่างพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ คุณก็สามารถทำได้โดยการศึกษาวิธีการ ประวัติชีวิตของพี่เบิร์ด แล้วนำเอาเทคนิคต่างๆ ของพี่เบิร์ด มาใช้ , บางคนอยากจะเป็นนักเขียน ก็ลองค้นหาดูว่า ท่านชอบวิธีการเขียน ของใคร แล้ว นำแนวทางการเขียนของเขามาเป็นแบบอย่าง
2.ฝึกพูดให้กำลังใจกับตัวเองในทุกๆวัน และทุกๆโอกาส เช่น ฉันทำได้ , ฉันเก่งที่สุด , ฉันมีความเชื่อมั่น, ฉันเต็มทีกับเป้าหมาย, ฉันยอดเยี่ยม ฯลฯ การพูดให้กำลังใจกับตัวเองทุกๆวัน จะทำให้ท่านเกิดพลังในการต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ
3.ฝึกเดิน ฝึกท่าทาง เลียนแบบผู้ที่ประสบความสำเร็จ หากท่านลองสังเกตดูบุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีท่าทางที่กระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแล้วมีพลัง ตรงกันข้ามกับบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป มักมีท่าทาง ที่ไม่กระตือรือร้น เดินช้า ไม่มีความกระฉับกระเฉง ดังนั้น หากว่าคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ท่านควรถอดแบบท่าทางการเดิน การยืน การพูดของบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัวของคุณเอง
4.ฝึกคิดในแง่ดี แง่บวก ให้มากขึ้น หลายๆคน มีความคิดที่ลบอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตนเองไม่เกิดความเชื่อมั่น และไม่กล้าที่จะสร้างสรรค์งานแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้น บุคคลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ เขาจะมีความคิดที่บวกมากกว่าความคิดในเชิงลบ
5.ฝึกฟังเพลง อ่านหนังสือ ฟังเทป ฟังการพูด ที่เกี่ยวข้องกับการให้กำลังใจ ให้แง่คิด ซึ่งจะทำให้เราเกิดพลังในตนเองขึ้นมา เช่น ฟังเพลง ขออย่ายอมแพ้ , รางวัลแด่คนช่างฝัน , กำลังใจ , ฝันมีชีวิต , ความฝันอันสูงสุด หรือ ฟังเทปวิชาการของบันดาลนักพูดที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตในระดับที่สูง เป็นต้น
หากท่านมีความฝัน ท่านจำเป็นจะต้องมีความหวัง ท่านจำเป็นจะต้องต่อสู้ เพื่อไปให้ถึงฝัน สุดท้ายนี้กระผมเชื่อว่า ท่านทำได้อย่างแน่นอน ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิตและไปให้ถึงฝั่งฝันทุกๆคนครับ


...
  
ปลาเล็กกินปลาใหญ่
ปลาเล็กกินปลาใหญ่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
“พวกที่ตัวใหญ่ๆ มักไม่กินตัวเล็กๆ เสมอไป แต่พวกที่รวดเร็วกว่าสิ กินพวกที่ช้ากว่าเสมอ” เป็นคำกล่าวของประธานบริษัท BMW แห่งยุโรปเมื่อปี 1989
โลกแห่งการแข่งขันในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องของการตลาดมีความสำคัญเป็นอันมาก ซึ่งโลกยุคนี้อะไรก็ไม่แน่นอน บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทมักไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันกับบริษัทเล็กๆบางแห่งได้ แต่สิ่งที่บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ มีประเด็นที่สำคัญก็คือบริษัทเล็กๆต้องพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก
ในอดีต บริษัทไมโครซอฟท์ของบิล เกตส์ และ บริษัท แอปเปิลของสตีฟ จอบส์ นับว่าเป็นบริษัทเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM แต่เนื่องจาก ทั้งคนได้ใช้ ไอเดีย คิดค้นสินค้าใหม่ๆ จึงทำให้บริษัทของเขาทั้งสองคน เจริญเติบโตจากบริษัทเล็กๆ จนกลายเป็นบริษัทใหญ่ๆระดับโลกได้ในที่สุด
เราจะสังเกตได้ว่า ทั้งสองคนมีแนวความคิด มีไอเดีย ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ดังปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ หรือจากคำพูดของเขาทั้งสองคน
บิล เกตส์ เคยกล่าวว่า “ ทุกวันนี้ผมทำงานเพราะผมสนุกกับมัน ชีวิตจะสดใสขึ้น ถ้าคุณมองการท้าทายให้เป็นหนทางแห่งการสร้างสรรค์” หรือ “ ไมโครซอฟท์จะรับและต่อยอดเทคโนโลยีออกไปซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ใหม่ขึ้นมา” หรือ “เราต้องการทำให้แน่ใจว่า เราเป็นผู้นำสินค้าใหม่ไปทดแทนสินค้าของเราเองแทนที่จะให้ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ” หรือ “ อะไรทำให้ไมโครซอฟท์ทะยานขึ้นเป็นผู้นำ บิลเกตส์บอกว่า มันคือความคิดนั่นเอง”
สตีฟ จอบส์ เคยกล่าวว่า “ ช่วงชีวิตของคนเรานั้นมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาให้กับการใช้ชีวิตตามคนอื่น” หรือ “ การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด” หรือ “ ในบางครั้งที่คุณเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ แล้วพบกับความผิดพลาด มันจะเป็นการดีมากที่คุณจะรีบหันมายอมรับข้อผิดพลาดนั้นเสียแล้วเดินหน้าปรับปรุงสิ่งใหม่อื่นๆต่อไป”
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า จากคำพูดของบิล เกตส์ และสตีฟ จอบส์ เขาทั้ง 2 คน ได้พัฒนาความคิด พัฒนาไอเดียใหม่ๆออกมาเสมอๆ ดังนั้น หากว่าบริษัทของท่านเป็นบริษัทเล็กๆ ท่านสามารถเอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ด้วยการใช้ความคิดใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ มาแข่งขัน
แล้วถามว่ามันยากไหมที่จะสามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้หากว่าเราเป็นบริษัทเล็กๆ คำตอบมีอยู่ว่า ยุคปัจจุบันลูกค้า ผู้บริโภค ไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต และในอนาคต ลูกค้า ผู้บริโภค ก็จะยิ่งมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หากว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถปรับตัวต่อการแข่งขัน ก็มีโอกาสตายได้เช่นกัน ดังเช่น ฟิลม์ถ่ายรูปในอดีตมีหลายบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แต่ก็ล้มหายตายจากไปก็เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้พฤติกรรมลูกค้า ผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงตาม จากการใช้ฟิลม์ปกติก็เปลี่ยนแปลงเป็นมาใช้กล้อง Digital บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Kadak คือตัวอย่างที่ดีในอดีตเป็นผู้นำวงการถ่ายรูป แต่ Kadak มีการปรับตัวน้อยมากจึงไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำได้
แล้วถามว่า บริษัทเล็กๆ จะพัฒนาความคิด ไอเดีย จากอะไร นาย Dee Hock กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การป้อนความคิดแปลกๆใหม่ๆ ใส่เข้าไปในหัวสมองของเรา หากแต่อยู่ที่การขจัดความคิดเก่าๆ ออกไปต่างหาก หัวสมองของเราก็เหมือนกับห้องที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ล้าสมัย เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเอาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ใส่เข้าไป เราก็ต้องย้ายเฟอร์นิเจอร์เก่าออกไปจากห้องนี้ให้หมด” กล่าวคือ นาย Dee Hock ได้แนะนำให้ลืมอดีตไปบ้าง ไม่ควรนำอดีตมาใส่ในสมอง เพราะหากนำมาใส่มากๆ ก็จะทำให้เราคิดสิ่งใหม่ๆ สิ่งแปลกๆ สิ่งที่สร้างสรรค์ไม่ออก
ดังคำพูดของสตีฟ จอบส์ ที่เคยตอบนักข่าวว่า เขาเชื่อเรื่อง งานวิจัยตลาดมากน้อยขนาดไหน เขาตอบว่า บริษัทมีทีมงานวิจัยของบริษัทเอง เขาให้ความสำคัญกับงานวิจัยตลาดน้อยมาก แต่จะให้ความสำคัญกับการออกนวัตกรรมใหม่ๆ อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างต่ออีกว่า ในอดีตคนเราเดินทางโดยใช้ รถม้า ใช้ม้า หากว่ามีการวิจัยการตลาด ว่าคนต้องการอะไร ผู้คนในอดีตก็ต้องตอบว่า ต้องการม้าที่แข็งแรงวิ่งได้เร็ว แต่เจ้าของหรือผู้ผลิตรถยนต์คันแรกของโลก ยี่ห้อ ฟอร์ด หรือนายฟอร์ด ไม่ได้มีการวิจัยตลาดในขณะนั้น รถยนต์คันแรกจึงได้เกิดขึ้น
Think ต่างคืออีกเทคนิคหนึ่งซึ่งจะนำมาซึ่งความคิดและไอเดียแปลกๆ ก็คือ คุณต้องมีความคิดต่าง ในอดีตร้านขายข้าวต้มมีผัดผักบุ้งไฟแดง แต่ด้วยความคิดต่างจึงเกิดมี “ ผักบุ้งลอยฟ้า” หรือ ร้านขายไอศกรีมหากขายตามปกติ ธรรมดาก็ขายกันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่ปัจจุบันมี “ไอศกรีมลอยฟ้าหน้าพระปฐมเจดีย์” ฉะนั้น การคิดต่าง จึงก่อให้เกิดชื่อเสียง เกิดความแปลกใหม่ เกิดความสนใจ เกิดความอยากที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ
คิดอย่างผู้ท้าชิง หากต้องการจะเอาชนะยักษ์ใหญ่หรือต้องการเป็นผู้นำตลาดอยู่เสมอ เราก็ควรมีความคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่ตลอดเวลา เพราะหากว่าวันใดเราคิดว่า เราเหนือกว่าคนอื่นแล้ว เราก็ไม่อยากที่จะคิด อยากที่จะพัฒนาตนเอง ไม่อยากที่จะพัฒนาความคิด พัฒนาไอเดีย ต่อไป จงคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่เสมอ แล้ว ท่านจะได้ไม่หยุดความคิดในการพัฒนาสินค้าและบริการของท่านเอง
หาโอกาสให้ตัวเอง บริษัทของตัวเอง สินค้าและบริการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โอกาสมีอยู่ทุกๆที่ ทุกหนแห่ง เพียงแต่เราจะสามารถจับมัน หยิบมันมาใช้ได้หรือไม่ บางคนมีโอกาส เข้ามาในชีวิตแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับโอกาสที่ผ่านเข้ามาได้ จงเตรียมพร้อมความคิด ไอเดีย ต่างๆของคุณ เมื่อโอกาสมาถึงความคิด ไอเดียดีๆ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และนำพาคุณไปสู่ความร่ำรวยได้ สำหรับวิธีในการหาโอกาส เราสามารถหาโอกาสได้จากหลายวิธี เช่น การสมัครเป็นสมาชิกสื่อต่างๆในวงการที่เราทำงาน,การไปร่วมงานแสดงงานโชว์สินค้าต่างๆ,การนำเอาของเก่ามาประยุกต์และพัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นต้น
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก บุคคลที่ประสบความสำเร็จ สร้างความร่ำรวยหรือโด่งดัง เขามักจะทำงานในสิ่งที่เขารัก เขาจึงกลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงในที่สุด หากบริษัทของท่านยังเล็กอยู่ ท่านสามารถสนุกกับมัน ท่านสามารถพัฒนาบริษัทจนเติบโตได้ หากว่าท่านได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก จงรักในสิ่งที่ที่ท่านทำและจงทำในสิ่งที่รัก แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น ปลาเลิกสามารถกินปลาใหญ่ได้ บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ ก็โดยการพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก



...
  
บทบาทนักบริหาร
เมื่อท่านต้องสวมบทบาทนักบริหาร


โดย…ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)


มีคนเขาบอกว่า โลกนี้คือละครโรงใหญ่ ทุกคนต้องสวมบทบาทต่างๆ มากมาย ดังเช่น บทเพลงโลกนี้คือละคร และเมื่อถึงเวลาที่เราต้องสวมบทบาท ผู้บริหาร เราควรจะต้องทำตัวเช่นไร เพื่อให้สมกับบทบาทที่เราได้รับ ในวันนี้เราลองมาดูกัน


1.เมื่อเราเป็นผู้บริหารเราต้องมีการเรียนรู้ ทักษะ และวิธีการจัดการ ซึ่งวิธีการจัดการที่สากลทุกประเทศเขาใช้กันก็คือ ผู้บริหารต้องรู้จักการวางแผน การจัดองค์กร การจัดคนเข้าทำงาน การอำนวยการหรือ การสั่งการ และการควบคุม


2.เมื่อถึงเวลารับมอบงาน ผู้บริหารต้อง ศึกษาผลงาน นโยบายและดูแผนงานของผู้บริหารคนที่ผ่านมา ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง มีข้อดี ข้อเสีย อะไร ควรที่จะปรับปรุง แก้ไข ให้มันดีขึ้นอย่างไร และที่สำคัญ ไม่ควรกล่าวโทษผู้บริหารคนก่อนที่เขาทำงานแล้วเกิดความผิดพลาด ไม่ควรโจมตีผลงานของผู้บริหารในอดีต


3.ผู้บริหารที่ดีควรกระจายอำนาจไม่ควรผูกขาด อำนาจ การกระจายอำนาจ อาจทำให้อำนาจของเราลดน้อยลงไป แต่ในทางกลับกัน การกระจายอำนาจจะทำให้งานของเราน้อยลงไปเช่นกัน


4.ควรมีน้ำใจกับเจ้านายและลูกน้อง มีคนเขาพูดว่า ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในการทำงานในองค์กร ท่านต้องเป็นที่ยอมรับของทั้งเจ้านายและลูกน้อง ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำงานต้องมี เจ้านายดึง ลูกน้องดัน หมายความว่า ถ้าท่านเป็นที่ยอมรับของทั้งเจ้านายและลูกน้อง เจ้านายก็มักจะดึงท่านให้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และลูกน้องก็มักจะดันท่านให้ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเช่นกัน


5.เมื่อท่านต้องเป็นผู้บริหาร ท่านต้องรู้จักจดบันทึก งานของผู้บริหารมักจะมีมากมาย ยุ่งทั้งเรื่องงาน เรื่องคน เรื่องของการจัดการต่างๆ มากมาย อาจจะทำให้ท่านหลงลืมได้ วิธีที่ดี วิธีหนึ่งคือ ท่านควรที่จะมีสมุดบันทึกคอยจด ในสิ่งที่จะต้องทำในอนาคต อดีต และปัจจุบัน การมีสมุดบันทึกมักจะทำให้ท่านสามารถทำตามแผนที่วางไว้ การมีสมุดบันทึกมักจะทำให้ท่านสามารถจดสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้เพื่อพิจารณาสิ่งที่จะต้องตัดสินใจในอนาคต เช่น การจดบันทึกการทำงานของลูกน้องแต่ละคน ถ้าเกิดมีคนไหนขยันเป็นพิเศษ มาทำงานในวันที่คนอื่นไม่มาทำ เวลาเลื่อนขั้น เราอาจนำสิ่งที่จดในสมุดบันทึกมาอ้างอิงได้ว่า เขาเป็นคนขยันทำงาน เขามาทำงานในวันที่คนอื่นไม่มาทำงาน ดังนั้น เราจึงได้พิจารณาให้ 2 ขั้นในปีนี้ แก่เขา


6.เมื่อท่านเป็นผู้บริหารท่านจะต้องทำตัวอย่างมีศักดิ์ศรี มีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าให้ใครมาดูถูก


กับการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ เพราะการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ อาจทำให้ คนพูดถึงเราในแง่ไม่ดีในอนาคต การประพฤติปฏิบัติตัวในทางเพศก็เช่นกัน คือ มีความสัมพันธ์ทางเพศกับลูกน้อง ก็มักจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานได้ในอนาคต การมาทำงานไม่ตรงเวลา การเอาเปรียบองค์กรหรือบริษัท อาจทำให้ลูกน้อง ผู้ตาม เอาเป็นแบบอย่างได้


7.เมื่อท่านต้องเป็นผู้บริหารสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องของสุขภาพ ท่านคงไม่เคยเห็นว่า ผู้ที่ต้องมารับบทบาทผู้บริหาร ไม่ว่าระดับต้น ถึงระดับชาติ มีร่างกายที่เจ็บป่วย สุขภาพไม่แข็งแรง ผอม เป็นโรคต่างๆ ดังนั้น


ผู้ที่ต้องรับบทบาทผู้บริหารจะต้องดูแล เรื่องสุขภาพ ร่างกายของตนเองอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย อาหาร สุขภาพจิต ถ้าจะให้ดีก็ควรงดดื่มสุรา สูบบุหรี่ และเมื่อมีปัญหาเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวหนักๆ ก็ควรปล่อยวางบ้าง อย่าเครียดกับงานให้มากจนทำให้สุขภาพมีปัญหา เพราะผมก็เคยเห็น ผู้บริหารบางคนเครียดกับงานจนป่วย แล้วเกิดเส้นเลือดในสมองแตก


สุดท้ายของฝากสุภาษิตจีนบทหนึ่ง คือ


การสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเรื่องลำบาก การธำรงไว้ซึ่งความสำเร็จยิ่งลำบากกว่า แต่ผู้ที่รู้ว่าลำบากและพยายามที่จะฟันฝ่าให้ได้...จักไม่ลำบาก



















































...
  
ฉันทำได้
ฉันทำได้ ฉันทำได้ ฉันทำได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
หากว่าคุณขาดความเชื่อมั่นในตนเอง หากว่าคุณไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดและหากว่าคุณกลัวที่จะทำอะไรบางอย่าง การพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่ดังหรือการพูดในใจกับตัวเองว่า “ ฉันทำได้ ” จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
คำพูดว่า “ ฉันทำได้” จะทำให้ท่านเกิดกำลังใจในตนเอง คำพูดว่า “ ฉันทำได้” จะทำให้ความใฝ่ฝันของท่านเป็นจริง และ คำพูดว่า “ ฉันทำได้ ” จะทำให้ท่านขจัดความเชื่อที่จำกัดในตัวของท่านเอง เพราะศักยภาพ ความสามารถ ของคนเรามักถูกจำกัดด้วยความคิด จงปลุกศักยภาพในตัวของท่าน จงทำลายข้อจำกัดต่างๆในความคิดของท่าน
จงกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าท่านต้องการอะไรสำหรับชีวิตของท่านที่แท้จริง เพราะชีวิตของคนเราสั้นนัก ในการที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จในหลายๆด้าน จงค้นหาความต้องการภายในหัวใจของท่าน จงทำตามสัญชาตญาณของตัวท่าน อย่าไปตีกรอบด้วยกฎเกณฑ์ตามความคิดของคนอื่น จงศรัทธาในตัวเอง แล้วพร้อมที่จะประกาศให้กับใครๆได้ทราบว่า ท่านต้องการจะเป็นอะไร ท่านจะเป็นนักธุรกิจ 100 ล้าน ท่านจะเป็นผู้นำระดับประเทศ ท่านจะเป็นนักเขียนนักพูดระดับประเทศ จงกล้าที่จะประกาศมันออกมา และจงให้กำลังใจตนเองด้วยคำพูดที่ว่า “ ฉันทำได้ ”
ความคิดบวก มีความสำคัญมาก บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักคิดบวกมากกว่าคิดลบ บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากกว่ามองโลกในแง่ร้าย เพราะคนคิดบวกมากๆมักจะเป็นคนที่อารมณ์ดี สำหรับคนคิดลบมักอารมณ์ไม่ดี คนคิดบวกมักจะเป็นคนที่มีพลังแต่คนคิดลบมักจะท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง
ดังนั้นพวกเราจงเติมพลังให้กับชีวิต ก็ด้วยการคิดบวกมากๆ พูดบวกกับตัวเราเองมากๆ ซึ่งท่านไม่จำเป็นจะต้องพูดคำว่า “ ฉันทำได้ ฉันทำได้ ฉันทำได้ ” เสมอไป ทั้งนี้ คงแล้วแต่จริตแต่ละบุคคล ในการที่จะเลือกใช้คำพูดต่างๆ ซึ่งต้องเป็นคนพูดบวก คำพูดที่มีพลัง เช่น ฉันมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันมุ่งมั่น ฉันรักงานขาย และฉัน..........
จงปลุกจิตใต้สำนึกของตัวท่านเอง ในทุกๆโอกาส จงตั้งโปรแกรมตัวของท่านเองในการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ เข้ารับการอบรมในการพัฒนาตนเองเสมอ แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและอาชีพการงาน
ท่านสามารถทำได้ ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้ จงตั้งโปรแกรมความคิดของเราเสียใหม่ว่า ฉันทำได้แล้วท่านก็จะทำได้ดังที่ท่านคิด ขอให้ท่านโชคดีและพบกับความสำเร็จทุกๆคนครับ
...
  
คำพูดประเภทต่างๆ
คำพูดประเภทต่างๆ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คำพูดของคนเรามีหลากหลายประเภท บางคำพูดเมื่อผู้ฟังได้ฟัง ผู้ฟังก็เกิดความรู้สึก ไม่ชอบใจ โกรธเคือง เสียใจ น้อยใจ หมั่นไส้ แต่ บางคำพูดเมื่อพูดออกไปแล้วผู้ฟังเกิด มีกำลังใจ ดีใจ อยากที่จะฟัง รู้สึกชอบคนพูด ในบทความนี้กระผมขอแจกแจงคำพูดออกเป็นประเภทต่างๆดังนี้
เริ่มจากคำพูดประเภทที่ควรหลีกเลี่ยง
- คำพูดเหน็บแนม เป็นคำพูดที่มีลักษณะเสียดสี กระทบกระแทก แดกดัน กระแนะกระแหน เช่น
เธอไม่จำเป็นจะต้องมาทำงานก็ได้ เพราะเจ้านายชอบเธอ เธอมาไม่มา เธอก็ได้เงินเดือนขึ้นและได้เลื่อนขั้นอยู่ดีแหละ เป็นต้น
- คำพูดขวานผ่าซาก พูดโผงผาง เป็นคำพูด ที่มีลักษณะใช้น้ำเสียงค่อนข้างดังและน้ำเสียงสูง เป็น
การพูดแบบตรงไปตรงมา แต่จะออกไปในด้านลบ เมื่อผู้ฟังได้ฟังมักไม่ชอบใจ เนื่องจาก คนเราส่วนใหญ่มักอยากที่จะฟังเรื่องดีๆของตนเอง มากกว่าที่จะอยากฟังเรื่องลบๆของตนเอง คนบางคนพูดจา โผงผาง เสียงดัง ก็ยิ่งทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เข้าใจผิดคิดว่า ทะเลาะกัน
- คำพูดโอ้อวด เป็นคำพูดที่มักจะทำให้คนฟังเกิดอาการหมั่นไส้ เพราะจิตใจของคนเราโดยส่วน
ใหญ่แล้วลึกๆ ไม่ชอบให้ใครอยู่เหนือตนหรือมีความอิจฉาขึ้นภายในใจ คำพูดโอ้อวด มีดังนี้ อวดรวย อวดเก่ง อวดฉลาด ฯลฯ
- คำพูดนินทา เป็นคำพูดที่พูดลับหลับ บุคคลที่ 3 ในทางที่ไม่ดี โดยมีลักษณะให้ร้าย ป้ายสี ซึ่ง
อาจเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่เป็นความจริงบ้าง แต่ผู้พูดมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อบุคคลที่ 3 คำพูดประเภทนี้ ควรระวังให้มาก เพราะไม่มีความลับใดๆในโลกนี้ หากสักวันหนึ่งเรื่องที่ตนเองพูดไปเข้าหูบุคคลที่ 3 ก็จะเกิดความขัดแย้งและขุ่นใจกันได้
- คำพูดเท็จหรือคำพูดโกหก เป็นคำพูดที่หลอกหลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อตนเอง หรือให้เข้าใจผิดเพื่อ
เอาตัวรอด เพื่อเอาผลประโยชน์ต่างๆจากผู้ฟัง การที่ผู้พูดพูดเท็จหรือพูดโกหกบ่อยๆ ก็จะทำให้คนขาดความเชื่อถือ คำพูดขาดน้ำหนัก ซึ่งจะเป็นผลร้ายกับเราในระยะยาว ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการใช้คำพูดที่เท็จหรือโกหก ว่า “ เราอาจจะโกหกคนบางคนได้ตลอดเวลา เราอาจจะโกหกคนทุกคน ได้บางเวลา แต่เราจะโกหกคนทุกคน ตลอดเวลาไม่ได้ ”
- คำพูดหยาบหรือคำพูดที่ไม่สุภาพ เป็นคำพูดที่ผู้พูดมักมีฐานจิตหรือการได้รับการอบรมหรือมี
สภาพแวดล้อม ที่ไม่ค่อยดี โดยที่บุคคลในสังคมนั้น พูดจาไม่สุภาพจนเคยชิน เช่น ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ไอ้ควาย พ่อมึงหรือ ฯลฯ
สำหรับคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงนี้ เราสามารถฝึกฝน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ เพราะคำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดที่ผู้ฟัง ฟังแล้ว เกิดความรู้สึก ไม่ชอบ ไม่พอใจ โกรธ เกลียด ทำลายขวัญกำลังใจ ของผู้ฟัง เพราะธรรมชาติของคนส่วนใหญ่แล้ว มักชอบฟังคำพูดที่ สุภาพ อ่อนหวาน พูดความจริง พูดถ่อมตน ฯลฯ ซึ่งเป็นคำพูดประเภท ที่กระผมกำลังจะนำเสนอต่อไปนี้
คำพูดประเภทที่ทำให้คนฟังเกิดความประทับใจ
- คำพูดเพื่อให้กำลังใจ เมื่อคนเราเกิดความรู้สึก ท้อแท้ ท้อถอย กับชีวิต บุคคลนั้นก็อยากที่จะฟัง
คำพูดประเภทให้กำลังใจ เพื่อทำให้ตนเองเกิดพลังต่างๆในการขับเคลื่อนชีวิตต่อไป
- คำพูดมีเสน่ห์ เป็นคำพูดที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เช่น “สวัสดีครับ/สวัสดี
ค่ะ” , “ ขอโทษครับ/ขอโทษค่ะ” , “ ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ”,” เสียใจด้วยครับ/เสียใจด้วยค่ะ” เป็นต้น
- คำพูดแบบนักการทูต เป็นคำพูดที่สร้างมิตร ลดศัตรู เป็นคำพูดที่ทำให้มีคนอยากคบค้าสมาคม
ด้วย ซึ่งการพูดแบบนักการทูต ต้องอาศัยศิลปะเข้ามาช่วย
- คำพูดเชิงบวก เป็นคำพูดในแง่บวก ซึ่งผู้พูดต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดในแง่บวกก่อน จึงจะทำ
ให้การพูดในเชิงบวกเกิดประสิทธิภาพ
สำหรับการพูดประเภทที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจนี้ ผู้พูดสามารถฝึกฝน ปรับปรุง พัฒนาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เพราะยิ่งผู้พูดสามารถปรับปรุงได้ดีขึ้นเท่าไร ผู้ฟังก็ยิ่งเกิดความรัก เกิดความศรัทธา เกิดความชื่นชอบ เกิดความเชื่อมั่นในตัวของผู้พูดมากยิ่งขึ้น
สรุป คำพูดมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนเราเป็นอย่างยิ่ง คนเราหากไม่มีปัญหาทางด้านการพูดหรือมีความพิการพูดไม่ได้ คนเราก็มีความจำเป็นต้องใช้คำพูดในทุกๆวัน ทุกสถานที่ ฉะนั้น คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะเลือกใช้คำพูดประเภทไหน เพราะคำพูดทำให้บุคคลหนึ่งๆประสบความสำเร็จ และ ก็เป็นคำพูดเช่นกันที่ทำให้บุคคลหนึ่งๆ เกิดความล้มเหลวได้
...
  
ข้อผิดพลาดทางการตลาด
ข้อผิดพลาดทางการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นศาสตร์ที่ต้องมีการยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง หลักการบางอย่างปฏิบัติหรือใช้ในอดีตได้ผล แต่เมื่อนำมาใช้ในปัจจุบันอาจไม่ได้ผลหรือไม่ประสบความสำเร็จ
นักการตลาดที่ดีจึงต้องเป็นนักยืดหยุ่น นักปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
- อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต เฮนรี่ ฟอร์ด ได้นำเสนอรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T สู่ตลาดใน
ระหว่างปี 1909 ปรากฏขายได้ดีมาก โดยช่วงแรกขายในราคาคันละ 850 เหรียญ และมีเพียงสีเดียวเท่านั้นคือสีดำ ซึ่งรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เป็นที่ต้องการของตลาดมากเวลานั้น จึงทำให้รถยนต์ฟอร์ดยึดครองตลาดรถใหม่ที่ขายในประเทศสหรัฐ เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จึงทำให้บริษัทฟอร์ดเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ใหม่เป็นเวลานานถึง 17 ปี จนกระทั่งถึงปี 1926 ตลาดรถยนต์ตกต่ำมาก จึงทำให้บริษัทฟอร์ด ลดราคารถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เหลือคันละ 263 เหรียญ ซึ่งในขณะนั้น เฮนรี่ ฟอร์ด ก็ยังคงใช้นโยบายเดิมกับบริษัทฟอร์ดว่า “ เราจะผลิตรถยนต์เพียงสีเดียวคือสีดำเท่านั้น” อีกทั้ง เฮนรี่ ฟอร์ด ยังคงเดินหน้าผลิตรถยนต์ รุ่น T อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้รถยนต์ รุ่น T ถูกลง การไม่ปรับตัว การไม่เปลี่ยนแปลง และยึดติดกับความสำเร็จในอดีต จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ในเวลาต่อมา
จี-เอ็ม มีการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดรถยนต์ใหม่ดีกว่า ช่วงทศวรรษ 1920 คนอเมริกาต้องการรถยนต์ที่มีลักษณะหรูหรามากขึ้น อีกทั้งแต่ละคนก็มีความต้องการสีของรถยนต์ที่แตกต่างกันไป จี-เอ็มจึงได้ผลิตรถยนต์ เชฟโรเลท ซึ่งมีลักษณะหรูหรา น่าขับ มีให้เลือกหลากหลายสี มีความทันสมัย ปลอดภัย ผลก็คือ จี-เอ็ม กลับกลายเป็นผู้นำตลาดรถยนต์แทน ฟอร์ด
ถึงแม้ในช่วงเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้มีการปรับตัวแต่ก็เพียงเล็กน้อย โดยจัดให้รถยนต์ฟอร์ด รุ่น T มีสีให้เลือกมากขึ้น มีการใส่บังโคลน เพิ่มกระจกหน้าลาดเอียง แต่ยอดขายก็คงยังลดลง ลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด บริษัทฟอร์ดตัดสินใจหยุดการผลิตรถยนต์ จึงทำให้คนงานบริษัทฟอร์ดสมัยนั้นตกงานเป็นจำนวนหลายหมื่นคน
จากนั้นในเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้ตัดสินใจส่งสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดคือรถยนต์ฟอร์ด รุ่น A ซึ่งบริษัทฟอร์ดต้องลงทุนอีกเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญ แล้วเริ่มขยายตลาดมากขึ้น มีคนซื้อใช้มากขึ้น จากการสูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ให้กับจี-เอ็มในครั้งนั้น ทำให้บริษัทฟอร์ดกว่าจะเรียกความศรัทธาจากผู้บริโภคและศรัทธาจากสายตาคนอเมริกามาได้ต้องใช้เวลา นี่คือบทเรียนสำคัญในการยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
- “ทำไมถึงไม่มีร้านขายแฮมเบเกอร์แบบ แม็คโดนัล อีกสักแห่ง” เบเกอร์ เชฟ คือกรณีศึกษาของ
การขยายตลาดที่รวดเร็วมากจนเกินไป ปี 1967 บริษัทเจเนอรัล ฟูดส์ ได้ใช้เงินจำนวน 16 ล้านเหรียญ ซื้อระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ เบเกอร์ เชฟ ซึ่งในขณะนั้นเบเกอร์ เชฟ มีสาขาถึง 700 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา และในปี 1969 เดือนมีนาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเบเกอร์ เชฟ อีกเป็นจำนวนถึง 900 สาขา และในปีเดียวกันคือปี 1969 เดือนธันวาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 1,022 สาขาและอีก 29 สาขาในประเทศแคนาดา ต่อจากนั้นอีก 1 ปี บริษัทได้ขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,200 สาขา และ 36 สาขาในประเทศแคนาดา จากการเติบโตอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 3 ปี เบเกอร์ เชฟ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทการบริหารงานได้ยุ่งยากและซับซ้อน อีกทั้งทำให้บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนและถดถอยในเวลาต่อมา เงินที่ลงทุนไป 16 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนี้สิน การขยายสาขามากๆแทนที่จะสร้างผลกำไรกลับการเป็นการเพิ่มการขาดทุนมากยิ่งขึ้น เบเกอร์ เชฟ จึงเป็นกรณีศึกษาที่เรียกว่า “แจ้งเกิดเร็ว ตายเร็ว” ซึ่งแตกต่างกับระบบร้านแฟรนไช้ส์แม็คโดนัล ของเรย์ คร้อก และระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ KFC ของผู้พัน ฮาแลนด์ แซนเดอร์ ที่ค่อยๆขยายตลาดออกไปตามกำลังความสามารถที่ตนเองสามารถดูแลได้
- ผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับตลาดอย่างแท้จริง บริษัทโค้ก เป็นผู้นำตลาดน้ำดำของโลก แต่ก็
ใช่ไม่มีข้อผิดพลาดทางการตลาดเลย ข้อผิดพลาดของบริษัทโค้ก ที่มีการกล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆและมีการกล่าวขวัญเป็นอันดับต้นๆของโลก ก็คือ การออกผลิตภัณฑ์ “นิวโค้ก” เป็นการเปลี่ยนแปลงสูตรของโคคา-โคล่า(รสชาติใหม่)โดยมีการวางขายเมื่อ พ.ศ.2528 แทน “โค้ก” แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ นิวโค้ก ไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนออกมาให้เห็น อีกทั้ง โคลา-โคล่า หรือ โค้ก ยังคงเป็นที่พอใจและเป็นที่ชื่นชอบของตลาดโลกในระดับที่สูงที่สุดอยู่แล้ว จนกระทั่ง ปี 2535 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ “โคลา-โคล่า 2”
ฉะนั้น จาก 3 กรณีศึกษาข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า บริษัทฟอร์ดในยุคแรกๆเป็นผู้บุกเบิก
นวัตกรรมใหม่ๆให้แก่ตลาดรถยนต์ ซึ่งบริษัทได้ผลิตรถรุ่น T และสีดำ ขึ้นมา แต่เนื่องจากบริษัทฟอร์ดได้ละเลยการคิดค้นหรือการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกับรถยนต์ฟอร์ดรุ่น T จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำทางการตลาด เพราะความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แต่บริษัทฟอร์ดก็ยังยืนยันที่จะผลิตภัณฑ์รถยนต์รุ่น T และสีดำ ความไม่ยืดหยุ่น ความไม่เปลี่ยนแปลง นี่เองจึงนำไปสู่ความทดถอยและพ่ายแพ้ทางการตลาดในเวลาต่อมา
กรณีศึกษาของ เบเกอร์ เชฟ ทำให้เห็นได้ว่า การโตไว การขยายสาขาไว จนดูแลไม่ไหว เป็นสาเหตุของความล้มเหลวทางด้านการตลาด
กรณีศึกษา “นิว โค้ก” เป็นการออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความสอดคล้องกับความต้องของตลาดอีกทั้งยังไม่สามารถทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ดังนั้น การไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ดี การขยายตัวโตเร็วเกินไปและการผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาด จึงถือว่าเป็นอันตรายทั้งสิ้น
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรอยู่นิ่งหรือไม่เปลี่ยนแปลงนานจนเกินไป เพราะสภาพแวดล้อมทางการตลาดย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ช้าๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง หรือไม่ควรขยายตลาดให้เร็วมากเกินไปจนเกินกำลังเกินความสามารถของตนเองและควรเลือกผลิตภัณฑ์ ควรออกสินค้าให้ตรงกับจังหวะเวลา อีกทั้งต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าที่มีอยู่เดิมแล้วกับสินค้าที่ออกมาใหม่
...
  
เอดส์ สังคมไทย
โรค เอดส์ กับสังคมไทย


โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)


เอดส์ เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษา เอดส์เป็นโรคที่ฆ่าพลเมืองของโลกไปมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งสังคมไทย เอดส์เป็นโรคที่ทำให้สังคมไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการรักษาไม่ว่าจะเป็นค่ารักษา ค่ายาต้านไวรัสเอดส์


สำหรับ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์ในปัจจุบันของประเทศไทยเรา รายงานจากกระทรวงสาธารณสุขสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คือ ในกรุงเทพมหานครมีมากกว่า 38,743 คน ตายไปแล้วมากกว่า 8,927 คน และผู้ป่วยเอดส์ทั้งประเทศมากกว่า 440,079 คน และตายไปมากกว่า 92,111 คน ขณะนี้ คนไทยมีผู้ป่วยโรคเอดส์รายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี ปีละกว่า 20,000 คน ( นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 28 พย.51)


สำหรับกลุ่มที่มีการติดเชื้อมีหลากหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่จะมีปัญหามากที่สุด คือ วัยรุ่น เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังเริ่มมีเพศสัมพันธ์ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึกความต้องการ และจิตใจ


เนื่องจากในปัจจุบันมีสิ่งเร้าต่างๆ มากขึ้น สำหรับที่จะทำให้วัยรุ่นเสียคนได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยาเสพติด ไฮไฟว์ การโชว์อึ๋ม การมีแฟนควงแบบไม่ซ้ำหน้า การติดเพื่อน ติดแฟน ติดเหล้า ติดเกมส์ การอยากโกอินเตอร์ ฯลฯ


สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเร้า ให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์


ซึ่งติดต่อด้านกันหลายทาง เช่น ทางเลือด ทางเข็มฉีดยา ทางแม่สู่ลูก แต่โดยมากมักจะติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์


ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งที่ห้ามได้ยากมากในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือ การสอนให้เด็กวัยรุ่น ได้รู้จักป้องกันตัวเอง เช่น การสวมถุงยางอนามัย การให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ การรักนวลสงวนตัว ฯลฯ


ที่ผ่านมาถึงแม้จะมีภาครัฐ ภาคเอกชน ให้ความสนใจเรื่องการแก้ไข เรื่องโรคเอดส์ แต่ก็ทำในลักษณะที่ไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ ทำๆ หยุดๆ


และสุดท้าย หลายหน่วยงาน หลายองค์กร หลายครอบครัว ก็มอบให้เป็นภาระแก่ วัดพระบาทน้ำพุ พระอุดมประชาทร ซึ่งขณะนี้ท่านต้อง แบกรับภาระ ผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละปีต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ค่อนข้างหนักยิ่งขึ้นสำหรับค่าใช้จ่ายเนื่องจากภาวะเศษรฐกิจโลกและของประเทศตกต่ำ


วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันเอดส์โรค สำหรับปีนี้ กระผมจึงขอเชิญชวน พวกเราที่อ่านบทความนี้ได้ ช่วยกัน รณรงค์ เผยแพร่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว เหตุการณ์ต่างๆ


สำหรับโรคร้ายนี้ และถ้าใครมีปัจจัย มีเงิน มีทอง ก็ขอให้ช่วยบริจาค เงินแก่ วัดพระบาทน้ำพุด้วย


ขออนุโมทนาบุญ สาธุ

...
  
อย่ายอมแพ้...หากว่ายังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่
อย่ายอมแพ้...หากว่ายังไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ ตลอดอาชีพนักกีฬาของผม ผมชู้ตลูกกว่า 9,000 ครั้ง ผมเล่นแพ้กว่า 300 นัด ผมต้องชู้ตลูก...ตัดสินแพ้ชนะให้ทีมพลาดถึง 26 ครั้ง ผมผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่ามาตลอดชีวิตและนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผม ประสบความสำเร็จ” เป็นคำพูดที่แฝงไปด้วยแง่คิดของ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเก็ตบอลที่มีชื่อเสียงระดับโลก
คนส่วนใหญ่มักเห็นแต่ตอนที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะทราบเบื้องหลังของความสำเร็จซึ่งเขาต้องพบกับอุปสรรค พบกับความยากลำบากและพบกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน ในอดีตเขาถูกคัดตัวออกจากการเป็นนักบาสเก็ตบอลในทีมของมหาวิทยาลัยที่เขาเรียน อีกทั้งเขาเคยยิงลูกพลาดในการเล่นบอสเก็ตบอลนัดสำคัญๆ บางนัดเขาชู้ตลูกสุดท้ายซึ่งเป็นลูกที่ตัดสินว่าจะแพ้ชนะในเกมส์การแข่งขันพลาด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้กับความล้มเหลวเพียงแค่ชั่วคราว เขาเดินหน้าสู้ต่อ ด้วยการลงมือฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ โดยเขาฝึกยิงลูกบาสเก็ตบอลทุกๆวัน วันละเป็นร้อยๆครั้ง พันๆครั้ง และถ้าลูกไหนที่เขายิงพลาดเขาจะทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุ แล้วทำการแก้ไขให้ดีขึ้น
จนในที่สุด เขาเป็นนักบาสเก็ตที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐและในโลก จนได้รับเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง รางวัลต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก เขามีผลงานต่างๆมากมายและที่สำคัญเขานำพาทีมชาติสหรัฐคว้าชัยชนะเหรียญทองโอลิมปิกถึง 2 สมัย
โทมัส เอลวา แอนดิสัน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ยอมแพ้เพราะการที่เขาทำงานอย่างเต็มที่ หลอดไฟฟ้าดวงแรกจึงเกิดขึ้น เขาต้องล้มเหลว เขาต้องลองผิดลองถูกนับเป็น 1,000 ครั้ง ครั้งหนึ่งมีคนเคยถามเขาว่า “ อัจฉริยะ” คืออะไร เขาตอบกลับว่า อัจฉริยะ เกิดจากพรสวรรค์แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ อีก 99 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการทำงานอย่างหนัก
อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ กว่าที่เขาจะคิดค้นทฤษฏีสัมพันธภาพได้ เขาต้องใช้เวลาคิดอยู่นานหลายปี เขาพบกับความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่ จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการคิดทฤษฏีและเป็นต้นกำเนิดในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในเวลาต่อมา
ผู้พันแซนเดอร์หรือผู้พัน KFC ในอดีตเปลี่ยนงานอยู่หลายงานและไม่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งเกษียณอายุ 60 ปี เขาเริ่มเปิดกิจการขายไก่ทอดเคนตั๊กกี้ ต่อมาเขาอยากให้คนทั่วสหรัฐอเมริกาได้กินไก่ทอดสูตรของเขา เขาจึงได้เสนอขายสูตรไก่ทอดแก่นักธุรกิจเป็นพันๆ ราย เขาพบกับความล้มเหลวและถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งนักธุรกิจคนที่ 1,009 ตอบรับการซื้อ
เจ้าสัวเทียม โชควัฒนาและเจ้าสัวชาตรี โสภณพานิช ก็เช่นกัน กว่าจะได้เป็นนักธุรกิจระดับประเทศ เขาต้องผ่านความยากลำบากต่างๆมาอย่างมากมาย เริ่มต้นจากศูนย์จนกระทั่งปัจจุบัน กิจการที่เขาสร้างมีมูลค่านับเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน
บุคคลเหล่านี้ เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับสูง เขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ในการทำงาน เขาจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าหากเขายอมแพ้ เขาก็จะไม่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ท่านจึงไม่ควรยอมแพ้กับความล้มเหลวชั่วคราว จงกล้าที่จะล้มเหลวบ่อยๆ ถ้าหากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ
...
  
การคิดเชิงสร้างสรรค์
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายในหัวข้อ " การคิดเชิงสร้างสรรค์ " ณ บริษัทสินธานี ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.