หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  การผูกใจคนทำงาน
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  นักบริหารกับความสำเร็จ
  -  นักบริหารกับมนุษย์สัมพันธ์
  -  การพัฒนาศักยภาพตนเอง
  -  การทำงานเป็นทีม
  -  การจัดการเวลา
  -  การสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่
  -  คุณลักษณะผู้นำ
  -  คิดทำอย่างเศรษฐี
  -  พลังแห่งการบริหารเวลา
  -  บริหารเวลา บริหารชีวิต
  -  ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการทำงาน
  -  จงพัฒนาความคิด
  -  พลังคุณธรรม จริยธรรม และพลังความสามัคคี คือพลังแห่งการสร้างชาติ
  -  การบริหารโดยให้พนักงานมีส่วนร่วม
  -  การเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดีของท่านในองค์กร
  -  การสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมือง
  -  ประหยัดเวลาด้วยวิธีการวางแผน
  -  เทคนิคการแสวงหาโอกาส
  -  การจัดการข้อมูล
  -  จงดำเนินธุรกิจของตนเอง
  -  ทำทุกนาทีให้มีค่า
  -  การใช้โทรศัพท์
  -  ใช้เวลาเดินทางอย่างคุ้มค่า
  -  ปิดสวิตซ์นอน
  -  วันนี้..มีค่ามากกว่าวันพรุ่งนี้
  -  เหตุผลที่ทำให้คนใช้เวลาแบบทิ้งๆขว้างๆ
  -  เสริมพลังทีมสร้างพลังกลุ่ม
  -  การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
  -  ถ้าอยากเป็นเศรษฐีมิควรเป็นลูกจ้าง
  -  กุศโลบายในการทำงานให้มีความสุข
  -  ลักษณะของความเป็นผู้นำ
  -  หากรู้จักตนเองก็สำเร็จไปกว่าครึ่ง
  -  อัจฉริยะอยู่ที่ตัวท่าน
  -  เคล็ดลับการทำลายมนุษย์สัมพันธ์
  -  การเตรียมตัวสมัครงานเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน(AC)
  -  พัฒนาตนเองด้วยมิติ “ การจัดการ PDCA”
  -  พัฒนาตนเอง 5 ส. สู่ความสำเร็จ
  -  การพัฒนาการบริการในหน่วยงานราชการ
  -  7 C เพื่อการสื่อสารที่ดี
  -  กฎแห่งความสำเร็จ
  -  ความสำคัญในการเป็นนักพูด
  -  อิทธิบาท 4 สู่การเป็นนักพูด
  -  ใจใหญ่
  -  Change Management
  -  3 H กับ การทำงาน
  -  กฎ 20/80 ของพาเรโท
  -  การจัดการเวลา
  -  สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
  -  ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
  -  DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
  -  นพลักษณ์ ศาสตร์แห่งการรู้จักตนเองและผู้อื่น
  -  สาเหตุที่ทำให้เราบริหารเวลาไม่ดี
  -  การบริหารเวลากับเส้นตาย
  -  แนวความคิดในการบริหารเวลา
  -  การบริหารเวลา : เทคนิคในการประหยัดเวลา
  -  การบริหารเวลา :การตั้งเป้าหมายในชีวิต
  -  การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
  -  การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
  -  การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
  -  การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
  -  อาจารย์กับขวดโหลเวลา
  -  วัยกับการบริหารเวลา
  -  5 ร.พาให้รุ่งในการทำงาน
  -  จงทำงานให้มีความสุข
  -  IQ EQ AQ MQและSQ สำหรับนักบริหาร
  -  เติมไฟในการทำงาน
  -  การตลาดลูกผสม
  -  เดินทาง 1 หมื่นลี้...ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก
  -  การตลาดเชิงสร้างสรรค์
  -  เจ้าสัวเชื้อสายจีน
  -  การตลาดเชิงยุทธ์
  -  การจัดการเวลา 8+8+8
  -  การบริหารเวลากับการวิเคราะห์งาน
  -  การบริหารเวลา การตรงต่อเวลา
  -  มีเวลาทำงานมาก ไม่ได้หมายความว่าทำงานได้ดี
  -  ก้าวสู่ AEC ด้วยการตลาด E-Commerce
  -  Promotion ทางการเมือง
  -  ประหยัดเวลาด้วยพลังของทีม
  -  ปลาเล็กกินปลาใหญ่
  -  ข้อผิดพลาดทางการตลาด
  -  ฝันให้ไกล...แล้วไปให้ถึง
  -  สื่อการตลาด
  -  จุดเริ่มต้นอาเซียน และ เป้าหมายการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  -  สาธารณสุขไทยกับอาเซียน
  -  การเข้าสู่อาเซียนของสาธารณสุขไทย
  -  ปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
  -  กลยุทธ์สร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้ง
  -  หลักพาเรโต ทำกิจกรรม 20% ให้ได้ผลลัพธ์ 80%
  -  หลักบริหารเวลาของไอวี่ ลี(Lvy Lee)
  -  กฏของพาร์กินสันในการบริหารเวลา
  -  เวลาของฉันหายไปไหน
  -  เป้าหมายกับการบริหารเวลา
  -  การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
  -  ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
  -  หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
  -  เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ปลาเล็กกินปลาใหญ่
ปลาเล็กกินปลาใหญ่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
“พวกที่ตัวใหญ่ๆ มักไม่กินตัวเล็กๆ เสมอไป แต่พวกที่รวดเร็วกว่าสิ กินพวกที่ช้ากว่าเสมอ” เป็นคำกล่าวของประธานบริษัท BMW แห่งยุโรปเมื่อปี 1989
โลกแห่งการแข่งขันในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องของการตลาดมีความสำคัญเป็นอันมาก ซึ่งโลกยุคนี้อะไรก็ไม่แน่นอน บริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทมักไม่สามารถเอาชนะการแข่งขันกับบริษัทเล็กๆบางแห่งได้ แต่สิ่งที่บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ มีประเด็นที่สำคัญก็คือบริษัทเล็กๆต้องพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก
ในอดีต บริษัทไมโครซอฟท์ของบิล เกตส์ และ บริษัท แอปเปิลของสตีฟ จอบส์ นับว่าเป็นบริษัทเล็กๆ เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM แต่เนื่องจาก ทั้งคนได้ใช้ ไอเดีย คิดค้นสินค้าใหม่ๆ จึงทำให้บริษัทของเขาทั้งสองคน เจริญเติบโตจากบริษัทเล็กๆ จนกลายเป็นบริษัทใหญ่ๆระดับโลกได้ในที่สุด
เราจะสังเกตได้ว่า ทั้งสองคนมีแนวความคิด มีไอเดีย ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ดังปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ หรือจากคำพูดของเขาทั้งสองคน
บิล เกตส์ เคยกล่าวว่า “ ทุกวันนี้ผมทำงานเพราะผมสนุกกับมัน ชีวิตจะสดใสขึ้น ถ้าคุณมองการท้าทายให้เป็นหนทางแห่งการสร้างสรรค์” หรือ “ ไมโครซอฟท์จะรับและต่อยอดเทคโนโลยีออกไปซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ใหม่ขึ้นมา” หรือ “เราต้องการทำให้แน่ใจว่า เราเป็นผู้นำสินค้าใหม่ไปทดแทนสินค้าของเราเองแทนที่จะให้ผู้อื่นเป็นผู้กระทำ” หรือ “ อะไรทำให้ไมโครซอฟท์ทะยานขึ้นเป็นผู้นำ บิลเกตส์บอกว่า มันคือความคิดนั่นเอง”
สตีฟ จอบส์ เคยกล่าวว่า “ ช่วงชีวิตของคนเรานั้นมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาให้กับการใช้ชีวิตตามคนอื่น” หรือ “ การเป็นคนรวยที่สุดในสุสานไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่การที่ผมได้นอนหลับบนเตียงและพูดว่า วันนี้เราได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ทิ้งไว้ให้กับโลก คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด” หรือ “ ในบางครั้งที่คุณเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ แล้วพบกับความผิดพลาด มันจะเป็นการดีมากที่คุณจะรีบหันมายอมรับข้อผิดพลาดนั้นเสียแล้วเดินหน้าปรับปรุงสิ่งใหม่อื่นๆต่อไป”
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า จากคำพูดของบิล เกตส์ และสตีฟ จอบส์ เขาทั้ง 2 คน ได้พัฒนาความคิด พัฒนาไอเดียใหม่ๆออกมาเสมอๆ ดังนั้น หากว่าบริษัทของท่านเป็นบริษัทเล็กๆ ท่านสามารถเอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่ก็ด้วยการใช้ความคิดใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ มาแข่งขัน
แล้วถามว่ามันยากไหมที่จะสามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้หากว่าเราเป็นบริษัทเล็กๆ คำตอบมีอยู่ว่า ยุคปัจจุบันลูกค้า ผู้บริโภค ไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต และในอนาคต ลูกค้า ผู้บริโภค ก็จะยิ่งมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หากว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่สามารถปรับตัวต่อการแข่งขัน ก็มีโอกาสตายได้เช่นกัน ดังเช่น ฟิลม์ถ่ายรูปในอดีตมีหลายบริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แต่ก็ล้มหายตายจากไปก็เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้พฤติกรรมลูกค้า ผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงตาม จากการใช้ฟิลม์ปกติก็เปลี่ยนแปลงเป็นมาใช้กล้อง Digital บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Kadak คือตัวอย่างที่ดีในอดีตเป็นผู้นำวงการถ่ายรูป แต่ Kadak มีการปรับตัวน้อยมากจึงไม่สามารถรักษาความเป็นผู้นำได้
แล้วถามว่า บริษัทเล็กๆ จะพัฒนาความคิด ไอเดีย จากอะไร นาย Dee Hock กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การป้อนความคิดแปลกๆใหม่ๆ ใส่เข้าไปในหัวสมองของเรา หากแต่อยู่ที่การขจัดความคิดเก่าๆ ออกไปต่างหาก หัวสมองของเราก็เหมือนกับห้องที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ล้าสมัย เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะเอาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ใส่เข้าไป เราก็ต้องย้ายเฟอร์นิเจอร์เก่าออกไปจากห้องนี้ให้หมด” กล่าวคือ นาย Dee Hock ได้แนะนำให้ลืมอดีตไปบ้าง ไม่ควรนำอดีตมาใส่ในสมอง เพราะหากนำมาใส่มากๆ ก็จะทำให้เราคิดสิ่งใหม่ๆ สิ่งแปลกๆ สิ่งที่สร้างสรรค์ไม่ออก
ดังคำพูดของสตีฟ จอบส์ ที่เคยตอบนักข่าวว่า เขาเชื่อเรื่อง งานวิจัยตลาดมากน้อยขนาดไหน เขาตอบว่า บริษัทมีทีมงานวิจัยของบริษัทเอง เขาให้ความสำคัญกับงานวิจัยตลาดน้อยมาก แต่จะให้ความสำคัญกับการออกนวัตกรรมใหม่ๆ อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างต่ออีกว่า ในอดีตคนเราเดินทางโดยใช้ รถม้า ใช้ม้า หากว่ามีการวิจัยการตลาด ว่าคนต้องการอะไร ผู้คนในอดีตก็ต้องตอบว่า ต้องการม้าที่แข็งแรงวิ่งได้เร็ว แต่เจ้าของหรือผู้ผลิตรถยนต์คันแรกของโลก ยี่ห้อ ฟอร์ด หรือนายฟอร์ด ไม่ได้มีการวิจัยตลาดในขณะนั้น รถยนต์คันแรกจึงได้เกิดขึ้น
Think ต่างคืออีกเทคนิคหนึ่งซึ่งจะนำมาซึ่งความคิดและไอเดียแปลกๆ ก็คือ คุณต้องมีความคิดต่าง ในอดีตร้านขายข้าวต้มมีผัดผักบุ้งไฟแดง แต่ด้วยความคิดต่างจึงเกิดมี “ ผักบุ้งลอยฟ้า” หรือ ร้านขายไอศกรีมหากขายตามปกติ ธรรมดาก็ขายกันเหมือนร้านทั่วๆไป แต่ปัจจุบันมี “ไอศกรีมลอยฟ้าหน้าพระปฐมเจดีย์” ฉะนั้น การคิดต่าง จึงก่อให้เกิดชื่อเสียง เกิดความแปลกใหม่ เกิดความสนใจ เกิดความอยากที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ
คิดอย่างผู้ท้าชิง หากต้องการจะเอาชนะยักษ์ใหญ่หรือต้องการเป็นผู้นำตลาดอยู่เสมอ เราก็ควรมีความคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่ตลอดเวลา เพราะหากว่าวันใดเราคิดว่า เราเหนือกว่าคนอื่นแล้ว เราก็ไม่อยากที่จะคิด อยากที่จะพัฒนาตนเอง ไม่อยากที่จะพัฒนาความคิด พัฒนาไอเดีย ต่อไป จงคิดอย่างผู้ท้าชิงอยู่เสมอ แล้ว ท่านจะได้ไม่หยุดความคิดในการพัฒนาสินค้าและบริการของท่านเอง
หาโอกาสให้ตัวเอง บริษัทของตัวเอง สินค้าและบริการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โอกาสมีอยู่ทุกๆที่ ทุกหนแห่ง เพียงแต่เราจะสามารถจับมัน หยิบมันมาใช้ได้หรือไม่ บางคนมีโอกาส เข้ามาในชีวิตแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับโอกาสที่ผ่านเข้ามาได้ จงเตรียมพร้อมความคิด ไอเดีย ต่างๆของคุณ เมื่อโอกาสมาถึงความคิด ไอเดียดีๆ จะทำให้คุณประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และนำพาคุณไปสู่ความร่ำรวยได้ สำหรับวิธีในการหาโอกาส เราสามารถหาโอกาสได้จากหลายวิธี เช่น การสมัครเป็นสมาชิกสื่อต่างๆในวงการที่เราทำงาน,การไปร่วมงานแสดงงานโชว์สินค้าต่างๆ,การนำเอาของเก่ามาประยุกต์และพัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นต้น
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก บุคคลที่ประสบความสำเร็จ สร้างความร่ำรวยหรือโด่งดัง เขามักจะทำงานในสิ่งที่เขารัก เขาจึงกลายเป็นคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงในที่สุด หากบริษัทของท่านยังเล็กอยู่ ท่านสามารถสนุกกับมัน ท่านสามารถพัฒนาบริษัทจนเติบโตได้ หากว่าท่านได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก จงรักในสิ่งที่ที่ท่านทำและจงทำในสิ่งที่รัก แล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น ปลาเลิกสามารถกินปลาใหญ่ได้ บริษัทเล็กๆ สามารถเอาชนะบริษัทใหญ่ๆได้ ก็โดยการพัฒนาเรื่องของความคิด พัฒนาไอเดีย พัฒนาการคิดต่าง คิดอย่างผู้ท้าชิง หาโอกาสให้ตัวเองและจงรักในสิ่งที่ทำ จงทำในสิ่งที่รัก



...
  
ข้อผิดพลาดทางการตลาด
ข้อผิดพลาดทางการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นศาสตร์ที่ต้องมีการยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว ไม่อยู่นิ่ง หลักการบางอย่างปฏิบัติหรือใช้ในอดีตได้ผล แต่เมื่อนำมาใช้ในปัจจุบันอาจไม่ได้ผลหรือไม่ประสบความสำเร็จ
นักการตลาดที่ดีจึงต้องเป็นนักยืดหยุ่น นักปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
- อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีต เฮนรี่ ฟอร์ด ได้นำเสนอรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T สู่ตลาดใน
ระหว่างปี 1909 ปรากฏขายได้ดีมาก โดยช่วงแรกขายในราคาคันละ 850 เหรียญ และมีเพียงสีเดียวเท่านั้นคือสีดำ ซึ่งรถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เป็นที่ต้องการของตลาดมากเวลานั้น จึงทำให้รถยนต์ฟอร์ดยึดครองตลาดรถใหม่ที่ขายในประเทศสหรัฐ เป็นจำนวนเกินครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว จึงทำให้บริษัทฟอร์ดเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ใหม่เป็นเวลานานถึง 17 ปี จนกระทั่งถึงปี 1926 ตลาดรถยนต์ตกต่ำมาก จึงทำให้บริษัทฟอร์ด ลดราคารถยนต์ฟอร์ด รุ่น T เหลือคันละ 263 เหรียญ ซึ่งในขณะนั้น เฮนรี่ ฟอร์ด ก็ยังคงใช้นโยบายเดิมกับบริษัทฟอร์ดว่า “ เราจะผลิตรถยนต์เพียงสีเดียวคือสีดำเท่านั้น” อีกทั้ง เฮนรี่ ฟอร์ด ยังคงเดินหน้าผลิตรถยนต์ รุ่น T อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อให้รถยนต์ รุ่น T ถูกลง การไม่ปรับตัว การไม่เปลี่ยนแปลง และยึดติดกับความสำเร็จในอดีต จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ในเวลาต่อมา
จี-เอ็ม มีการปรับตัวต่อความต้องการของตลาดรถยนต์ใหม่ดีกว่า ช่วงทศวรรษ 1920 คนอเมริกาต้องการรถยนต์ที่มีลักษณะหรูหรามากขึ้น อีกทั้งแต่ละคนก็มีความต้องการสีของรถยนต์ที่แตกต่างกันไป จี-เอ็มจึงได้ผลิตรถยนต์ เชฟโรเลท ซึ่งมีลักษณะหรูหรา น่าขับ มีให้เลือกหลากหลายสี มีความทันสมัย ปลอดภัย ผลก็คือ จี-เอ็ม กลับกลายเป็นผู้นำตลาดรถยนต์แทน ฟอร์ด
ถึงแม้ในช่วงเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้มีการปรับตัวแต่ก็เพียงเล็กน้อย โดยจัดให้รถยนต์ฟอร์ด รุ่น T มีสีให้เลือกมากขึ้น มีการใส่บังโคลน เพิ่มกระจกหน้าลาดเอียง แต่ยอดขายก็คงยังลดลง ลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด บริษัทฟอร์ดตัดสินใจหยุดการผลิตรถยนต์ จึงทำให้คนงานบริษัทฟอร์ดสมัยนั้นตกงานเป็นจำนวนหลายหมื่นคน
จากนั้นในเวลาต่อมา บริษัทฟอร์ด ได้ตัดสินใจส่งสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดคือรถยนต์ฟอร์ด รุ่น A ซึ่งบริษัทฟอร์ดต้องลงทุนอีกเป็นจำนวน 100 ล้านเหรียญ แล้วเริ่มขยายตลาดมากขึ้น มีคนซื้อใช้มากขึ้น จากการสูญเสียความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ให้กับจี-เอ็มในครั้งนั้น ทำให้บริษัทฟอร์ดกว่าจะเรียกความศรัทธาจากผู้บริโภคและศรัทธาจากสายตาคนอเมริกามาได้ต้องใช้เวลา นี่คือบทเรียนสำคัญในการยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
- “ทำไมถึงไม่มีร้านขายแฮมเบเกอร์แบบ แม็คโดนัล อีกสักแห่ง” เบเกอร์ เชฟ คือกรณีศึกษาของ
การขยายตลาดที่รวดเร็วมากจนเกินไป ปี 1967 บริษัทเจเนอรัล ฟูดส์ ได้ใช้เงินจำนวน 16 ล้านเหรียญ ซื้อระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ เบเกอร์ เชฟ ซึ่งในขณะนั้นเบเกอร์ เชฟ มีสาขาถึง 700 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา และในปี 1969 เดือนมีนาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเบเกอร์ เชฟ อีกเป็นจำนวนถึง 900 สาขา และในปีเดียวกันคือปี 1969 เดือนธันวาคม บริษัทได้ตัดสินใจขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 1,022 สาขาและอีก 29 สาขาในประเทศแคนาดา ต่อจากนั้นอีก 1 ปี บริษัทได้ขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,200 สาขา และ 36 สาขาในประเทศแคนาดา จากการเติบโตอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 3 ปี เบเกอร์ เชฟ ขยายสาขาเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทการบริหารงานได้ยุ่งยากและซับซ้อน อีกทั้งทำให้บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนและถดถอยในเวลาต่อมา เงินที่ลงทุนไป 16 ล้านเหรียญ กลายเป็นหนี้สิน การขยายสาขามากๆแทนที่จะสร้างผลกำไรกลับการเป็นการเพิ่มการขาดทุนมากยิ่งขึ้น เบเกอร์ เชฟ จึงเป็นกรณีศึกษาที่เรียกว่า “แจ้งเกิดเร็ว ตายเร็ว” ซึ่งแตกต่างกับระบบร้านแฟรนไช้ส์แม็คโดนัล ของเรย์ คร้อก และระบบร้านแฟรนไช้ส์ของ KFC ของผู้พัน ฮาแลนด์ แซนเดอร์ ที่ค่อยๆขยายตลาดออกไปตามกำลังความสามารถที่ตนเองสามารถดูแลได้
- ผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับตลาดอย่างแท้จริง บริษัทโค้ก เป็นผู้นำตลาดน้ำดำของโลก แต่ก็
ใช่ไม่มีข้อผิดพลาดทางการตลาดเลย ข้อผิดพลาดของบริษัทโค้ก ที่มีการกล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆและมีการกล่าวขวัญเป็นอันดับต้นๆของโลก ก็คือ การออกผลิตภัณฑ์ “นิวโค้ก” เป็นการเปลี่ยนแปลงสูตรของโคคา-โคล่า(รสชาติใหม่)โดยมีการวางขายเมื่อ พ.ศ.2528 แทน “โค้ก” แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ นิวโค้ก ไม่ได้สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนออกมาให้เห็น อีกทั้ง โคลา-โคล่า หรือ โค้ก ยังคงเป็นที่พอใจและเป็นที่ชื่นชอบของตลาดโลกในระดับที่สูงที่สุดอยู่แล้ว จนกระทั่ง ปี 2535 จึงได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อ “โคลา-โคล่า 2”
ฉะนั้น จาก 3 กรณีศึกษาข้างต้นเราจะเห็นได้ว่า บริษัทฟอร์ดในยุคแรกๆเป็นผู้บุกเบิก
นวัตกรรมใหม่ๆให้แก่ตลาดรถยนต์ ซึ่งบริษัทได้ผลิตรถรุ่น T และสีดำ ขึ้นมา แต่เนื่องจากบริษัทฟอร์ดได้ละเลยการคิดค้นหรือการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาต่อยอดกับรถยนต์ฟอร์ดรุ่น T จึงทำให้สูญเสียความเป็นผู้นำทางการตลาด เพราะความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป แต่บริษัทฟอร์ดก็ยังยืนยันที่จะผลิตภัณฑ์รถยนต์รุ่น T และสีดำ ความไม่ยืดหยุ่น ความไม่เปลี่ยนแปลง นี่เองจึงนำไปสู่ความทดถอยและพ่ายแพ้ทางการตลาดในเวลาต่อมา
กรณีศึกษาของ เบเกอร์ เชฟ ทำให้เห็นได้ว่า การโตไว การขยายสาขาไว จนดูแลไม่ไหว เป็นสาเหตุของความล้มเหลวทางด้านการตลาด
กรณีศึกษา “นิว โค้ก” เป็นการออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความสอดคล้องกับความต้องของตลาดอีกทั้งยังไม่สามารถทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคเห็นถึงความแตกต่างของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์
ดังนั้น การไม่เปลี่ยนแปลงก็ไม่ดี การขยายตัวโตเร็วเกินไปและการผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการตลาด จึงถือว่าเป็นอันตรายทั้งสิ้น
ทางที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรอยู่นิ่งหรือไม่เปลี่ยนแปลงนานจนเกินไป เพราะสภาพแวดล้อมทางการตลาดย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและบางครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ช้าๆ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง หรือไม่ควรขยายตลาดให้เร็วมากเกินไปจนเกินกำลังเกินความสามารถของตนเองและควรเลือกผลิตภัณฑ์ ควรออกสินค้าให้ตรงกับจังหวะเวลา อีกทั้งต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าที่มีอยู่เดิมแล้วกับสินค้าที่ออกมาใหม่
...
  
ฝันให้ไกล...แล้วไปให้ถึง
จงฝันให้ไกล....แล้วไปให้ถึง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนมีความฝันอยากเป็น ดารา นักร้อง นักการเมือง นักเขียน นักพูด นักกีฬา แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถพาตัวเองมุ่งไปสู่ความฝันได้สำเร็จ
Tiger Wood ชอบเล่นกอล์ฟ มาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากกีฬากอล์ฟในสมัย Tiger Wood นั้น มักเป็นกีฬาที่คนผิวสีขาวเล่นกันโดยเฉพาะใน PGA Tour แทบจะไม่มีคนผิวสีดำและสีเหลืองเล่นกัน แต่ Tiger Wood สามารถเป็นแชมป์โลกในกีฬาประเภทกอล์ฟ ทั้งๆที่มีอายุยังน้อย และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนสีผิวต่างๆได้เล่นกอล์ฟมากขึ้น
โอปาห์ วินฟรีย์ ตอนอายุ 16 ปี ได้ทำงานเป็นโฆษกรายการวิทยุซึ่งเธอได้รับค่าจ้างเพียงน้อยนิด แต่ทำให้เธอทราบว่า เธอชอบอะไร เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอจึงมุ่งไปสู่เส้นทางของสื่อมวลชนโดยเข้าสู่วงการโทรทัศน์ โดยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวคนหนึ่ง แต่เธอก็หมั่นฝึกซ้อม ฝึกฝนตนเอง อยู่เสมอ จนกระทั่งเธอเริ่มโดดเด่นและฉายแววขึ้นมา จึงมีคนมาติดต่อให้เธอจัดรายการโทรทัศน์ชื่อว่า “เอ เอ็ม ชิคาโก” ทางสถานีโทรทัศน์ WLS-TV เธอจัดเพียงแค่ 1-2 เดือนเท่านั้น รายการของเธอดังมาก จนในที่สุด เธอคือ ผู้หญิงผิวดำตัวเล็กๆที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในสหรัฐและในโลกในวงการสื่อสารมวลชน
แลนซ์ อาร์มสตรอง เขาคือคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขาประสบกับโรคมะเร็ง เขาจึงมีความฝันและมีความต้องการที่จะป็นนักปั่นจักรยานอาชีพ จนในที่สุดเขาเป็นนักกีฬาปั่นจักรยานที่โด่งดังที่สุดในโลกคนหนึ่งในฐานะที่เขาสามารถเอาชนะตัวเองและต้องต่อสู้กับโรคมะเร็ง อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สร้างความหวัง สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งไปทั่วโลก
David Beckham ดารานักฟุตบอลดังของสโมสรในประเทศอังกฤษ กว่าจะโด่งดังและประสบความสำเร็จเขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อมฟุตบอลทุกๆวัน บางวันเขาต้องซ้อมยิงลูกโทษเข้าประตูฟุตบอลหลายร้อยลูกต่อวัน ด้วยความฝึกฝน ด้วยการเสียสละเวลา ทุ่มเท ไม่ได้นำเวลาไปเที่ยวแตร่เหมือนกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ปัจจุบันเขาคือนักฟุตบอลอาชีพที่มีค่าตัวแพงที่สุดและมีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก
เหมา เจ๋อ ตุง กว่าที่เขาจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจีนสำเร็จ เขาต้องพบกับความลำบาก เขาต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่หลายครั้ง เขาต้องทำงานที่หนัก เขาต้องเสียสละละทิ้งครอบครัวของเขา และเขาต้องพบกับความล้มเหลวในการปฏิวัติและการต่อสู้กับศัตรูหรือคู่แข่งทางการเมืองอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ทิ้งความฝันของเขาในที่สุด เขาสามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจีนและได้รับยกย่องจากประชาชนจีนอีกเป็นจำนวนมาก ว่าเป็นวีรบุรุษในหัวใจ
ชิน โสภณพนิช กว่าจะเป็นธนราชันย์ เป็นผู้สร้างธนาคารกรุงเทพจนใหญ่กลายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศแล้วนำไปสู่ความเจริญเติบโตอันดับต้นๆของเอเชียอาคเนย์ เขาต้องทุ่มเทการทำงานอย่างหนัก มุ่งมั่น ขยัน อดทน มานะ บุกบั่น ซึ่งจุดเริ่มต้นของเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด มิหนำซ้ำเขายังเริ่มต้นทำงานที่ต่ำต้อย คือเขาทำงานเป็น กรรมกรแบกหาม (กุลี หรือ จับกัง) แต่ด้วยเขาเป็นคนที่มีความฝันใหญ่ในที่สุดเขาคือ “ ธนราชันย์” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ฉะนั้น หลายคนมักบ่นกับผมว่าอยากที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ มีอยู่ทางเดียวก็คือในเมื่อคุณมีความฝันแล้ว คุณจงมุ่งมั่น เดินทางเพื่อไปสู่เป้าหมาย อย่าได้ละทิ้งหรือล้มเลิกก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จ จงอย่ากลัว อย่าได้สูญเสีย ความตั้งใจ เมื่อมีคนมาด่า มาตำหนิ มาพูดดูถูกคุณ จงฝันให้ไกล แล้วเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย เพราะคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จได้ ดังบุคคลตัวอย่างข้างต้น

...
  
สื่อการตลาด
สื่อการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการทำการตลาด สื่อมีความสำคัญและมีความจำเป็นเป็นอันมาก เพราะสื่อสามารถทำให้ลูกค้าหรือผู้บริโภค รับรู้ถึง ข้อมูล ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว ความก้าวหน้า ของบริษัท ของผลิตภัณฑ์ ของตนเองดังนั้น นักการตลาดที่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จจะต้องให้ความสำคัญกับการใช้สื่อเป็นอย่างยิ่ง
สื่อในยุคปัจจุบัน มีหลากหลาย มีความทันสมัย มีความรวดเร็ว อีกทั้งยังมีราคา มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงกว่าอดีตเป็นอย่างยิ่ง เหตุเพราะยุคปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มนุษย์เราสามารถคิดค้นสื่อใหม่ๆ ที่มีคุณภาพทั้งเสียงและภาพดีขึ้นมาเรื่อยๆ
อีกทั้งสื่อก็มีลักษณะที่ผสมผสานกัน เช่น เราสามารถดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ เล่นอินเตอร์เน็ต ดูภาพยนตร์ ดูหนังสือพิมพ์ โดยผ่านโทรศัพท์มือถือ และ เราสามารถใช้สื่อที่เราผลิตขึ้นมากระจายไปยังสื่อต่างๆได้อีกมากมาย เช่น เราทำรายการวิทยุ เราก็สามารถถ่ายทอดผ่านจานดาวเทียม ผ่านอินเตอร์เน็ต ผ่านไปยังสถานีวิทยุต่างๆทั่วประเทศโดยมีการเชื่อมโยงกันผ่านระบบเครือข่าย ฉะนั้นเราจึงควรที่จะเรียนรู้สื่อให้มากขึ้น สำหรับสื่อการตลาดมีดังนี้
1.โทรศัพท์มือถือสื่ออำนาจใหม่ โทรศัทพ์มือถือถือว่าเป็นสื่อที่กำลังมาแรงเป็นอย่างยิ่ง เพราะโทรศัทพ์มือถือสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง อีกทั้งยังสามารถพกพาไปไหนได้สะดวก มีความเล็กกะทัดรัด และราคาก็ไม่สูงมากนัก โทรศัทพ์มือถือสามารถรับและส่งข้อมูลได้หลายวิธี เช่น การรับและส่ง SMS การใช้ไลน์ การใช้ Facebook การชำระเงินผ่านมือถือ การใช้มือถือนำทางโดยผ่านโปรแกรมต่างๆ ฯลฯ
2.สื่อออนไลน์ สนามรบใหม่ การสร้างเว็บไซค์ การสร้างข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ถือว่าจำเป็นจะต้องมีถ้าเราต้องการที่จะเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันทางด้านการตลาด ซึ่งสื่อออนไลน์มีลักษณะที่พิเศษหลายอย่าง เช่น ราคาถูก สามารถปกปิดตัวตนของตนเองได้ เป็นการเพิ่มช่องทาง เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า อีกทั้งยังมีความรวดเร็วอีกด้วย หากเกิดอะไรขึ้นเราสามารถรับรู้ได้เพียงเสี้ยววินาที เพราะถ้ารอหนังสือพิมพ์ กับ ข่าวโทรศัพท์ก็ต้องใช้เวลาที่นานกว่า
3.ฟุตบอลเป็นสื่อ ในยุคนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีบริษัทใหญ่ๆของประเทศไทยเราหลายบริษัทที่เข้าไปเป็นผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอลในสโมสรอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ช้าง เบียร์สิงห์ เพราะกีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนทั่วโลกนิยมดูโดยเฉพาะฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลของประเทศอังกฤษ
4.สื่อทางด้านวัฒนธรรม เมื่อโลกมีควมเป็นหนึ่งเดียวมากขึ้น เราก็จะเห็นสินค้าทั่วโลกมีลักษณะที่คล้ายกัน อีกทั้งรสนิยมของผู้บริโภคเริ่มมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น คนทั่วโลกเริ่มมีการใส่เสื้อสูทมากขึ้น เริ่มมีการบริโภคที่คล้ายคลึงกัน เราเริ่มมีการรับประทานอาหารประเภทสะดวกซื้อสะดวกทานกันมากขึ้น เช่น แฮมเบอร์เกอร์ กาแฟสด โดนัส
5.สื่อตราสินค้า การสร้างตราสินค้าไม่ว่าจะเป็นชื่อ สัญลักษณ์ สี เป็นสิ่งที่ต้องสร้างและจะต้องนำไปจดลิขสิทธิ์ เพราะหากไม่จด เมื่อสินค้า ผลิตภัณฑ์ อื่นๆเลียนแบบหรือมีการจดก่อน เราก็จะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ทั้งๆที่เราได้สร้างตราเหล่านั้นขึ้นมาก่อน เพราะการใช้สื่อตราสินค้าจะทำให้มีลูกค้าประจำและมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มยอดขายอีกด้วย
6.สื่อหนังสือพิมพ์ ถึงแม้ปัจจุบันสื่อสมัยใหม่จะมีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังคงเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมอยู่ดี เนื่องมาจากว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงสื่อใหม่ๆ เพราะมีราคาที่แพงกว่า มีความยุ่งยากในการใช้กว่า อีกทั้งยังมีข้อจำกัดเช่นหากไม่เครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็ไม่สามารถดูได้ หนังสือพิมพ์จึงเป็นที่นิยมของประชาชนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง
7.สื่อวิทยุ สำหรับประเทศไทยเรา ยังคงเป็นที่นิยมในสังคมชนบท โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ที่ชอบพกวิทยุไปฟังเพลง ฟังข่าวสารข้อมูลในขณะทำงาน ยิ่งในยุคปัจจุบันมีวิทยุชุมชน วิทยุผ่านดาวเทียม ยิ่งเป็นการเพิ่มช่องทางให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น
8.สื่อโทรทัศน์ มีทั้งภาพและเสียง ซึ่งแตกต่างกับวิทยุที่รับฟังแต่เสียง การโฆษณาผ่านโทรทัศน์จึงสามารถโน้มน้าวใจได้ดีกว่า เพราะสามารถเห็นภาพ เห็นตัวอย่างของสินค้า แต่สื่อโทรทัศน์อาจมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า ตัวเครื่องรับโทรทัศน์ก็แพงกว่าเครื่องรับวิทยุ
9.สื่อภาพยนตร์ หรือ เรียกเป็นภาษาพูดว่า “หนัง” เป็นสื่อที่สร้างความบันเทิง และสามารถนำไปใช้โฆษณาชวนเชื่อได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสื่อภาพยนตร์ในยุคปัจจุบัน เราไม่มีความจำเป็นจะต้องไปดูที่โรงภาพยนตร์เหมือนในอดีต แต่เราสามารถชมภาพยนตร์ ในบ้าน ในรถยนต์ ในที่สาธารณะได้อย่างง่ายดายโดยผ่าน “หนังแผ่น” ผ่านทางโทรศัพท์ ผ่านทางโทรทัศน์
10.สื่อเคลื่อนที่ เป็นสื่อทางการตลาดที่สามารถเคลื่อนไหวได้ เคลื่อนย้ายได้ เช่น ป้ายโฆษณาที่ติดตามรถยนต์ ติดตามเครื่องบิน ติดตามรถไฟฟ้าบนดินหรือใต้ดิน ติดตามรถเข็น
11.สื่อที่วางไว้ ณ จุดขาย เช่น สติกเกอร์ ป้ายโฆษณา ใบปลิว ต่างๆที่ติดไว้อยู่ชั้นวางสินค้า หรือภายในร้านหนังสือก็จะมีการโฆษณาหนังสือติดตามหน้าร้าน
12.สื่อปากต่อปาก เป็นสื่อบุคคลที่มีคุณภาพและอนุภาพมาก เป็นเครือข่ายที่ยากจะมองเห็นและเป็นเครือข่ายการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล เพราะคำพูดที่พูดออกไปทำให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการ ในขณะเดียวกันคำพูดที่พูดออกไปทำให้เกิดการทำลายภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของสินค้าและบริการเช่นกัน
13.สื่อเน็ตเวิร์ก เป็นการใช้สื่อแบบเครือข่ายหลายชั้น ทำให้เกิดการแพร่กระจายข่าวสารข้อมูลทางการตลาดได้อย่างดี เช่นเดียวกับธุรกิจเครือข่าย MLM ของบริษัทต่างๆ การสื่อสารทางการตลาดแบบเน็ตเวิร์กจึงทำให้เกิดการแพร่กระจายสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว
14.สื่อคนดัง การใช้คนดังเป็นสื่อในการขายสินค้าและบริการ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน อีกทั้งในยุคปัจจุบัน คนที่เป็นเจ้าของสินค้าและบริการถึงกับลงมาเล่นหรือออกมาสื่อสารขายสินค้าและบริการด้วยตนเอง ทำให้เกิดการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลกับการสร้างแบรนด์ของสินค้าและบริการไปพร้อมๆกัน
ฉะนั้นการใช้สื่อการตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ความจริงยังมีอีกหลายๆสื่อการตลาดที่กระผมยังไม่ได้กล่าวถึง แต่นักการตลาดจะประสบความสำเร็จในการใช้สื่อการตลาดหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น หากสินค้ามีความเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน อีกทั้งการใช้สื่อการตลาดก็ไม่มีความแตกต่างกัน ก็คงประสบความสำเร็จได้ยากกว่า คู่แข่งที่มีการสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ อีกทั้งยังมีความสามารถในการใช้สื่อการตลาดที่มีความแตกต่างโดดเด่น เหมาะสมกับสถานการณ์
สิ่งที่สำคัญสำหรับนักการตลาด หากต้องการใช้สื่อการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ควรสร้างแตกต่าง อีกทั้งต้องอาศัยความคิดที่สร้างสรรค์ จังหวะในการออกสินค้าและบริการ จังหวะในการออกสื่อแต่ละตัวก็มีความสำคัญบางครั้งออกโฆษณาไปก่อน ในขณะที่ยังไม่มีตัวสินค้าขายตามร้าน ก็ทำให้สูญเสียเวลาและค่าใช้จ่าย สื่อทางการตลาดต้องมีความเหมาะสมกับตัวของสินค้าและบริการจึงจะประสบความสำเร็จ
...
  
จุดเริ่มต้นอาเซียน และ เป้าหมายการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
จุดเริ่มต้นอาเซียน และ เป้าหมายการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Asean ย่อมาจาก Association of South East Asian Nations หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ได้มีการเปลี่ยนแปลงวันเปิดประชาคมอาเซียนจากวันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2558 ซึ่งวันดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศไทย
จุดกำเนิดอาเซียน ก่อตั้งโดยมีปฏิญญากรุงเทพ(Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 คนไทยที่ถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งอาเซียนคนแรกคือ ดร.ถนัด คอมันต์ สำหรับคนไทยที่ได้เป็นเลขาธิการสมาคมอาเซียนคนแรกคือ นายแผน วรรณเมธี อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ประเทศที่ถือว่าเป็นสมาชิกร่วมก่อตั้งมี 5 ประเทศ ในปี 2510 คือ ไทย , มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,สิงคโปร์ ต่อมาได้มีการรับสมาชิกเพิ่มเติมอีก 5 ประเทศคือ ปี 2527 ประเทศบรูไนได้เข้าร่วม,ปี 2538 ประเทศเวียดนามเข้าร่วม,ปี 2540 ประเทศลาวและประเทศพม่าได้เข้าร่วม และในปี 2542 ประเทศกัมพูชา ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียน
ด้านวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งอาเซียนมีหลายวัตถุประสงค์ด้วยกัน เช่น การส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศสมาชิก,การธำรงสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคง,การเสริมสร้างเศรษฐกิจและความกินดีอยู่ดีของประชาชนและการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือกับภายนอก องค์การระหว่างประเทศต่างๆ
เราจะเห็นได้ว่าประเทศทั้ง 10 ประเทศมี ภาษาที่แตกต่างกัน มีวัฒนธรรม มีประเพณีที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องอยู่รวมกันภายใต้ Asean ซึ่งทำให้เกิดข้อตกลงร่วมกัน อยู่หลายประการ เช่น ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาอาเซียน , มีการใช้คำขวัญ AEC ร่วมกันคือ One Vision , One Identity , One Community หรือ หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม , มีการกำหนดวันอาเซียนซึ่งตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม ของทุกปี
มีการกำหนดใช้ธงชาติและดวงตราอาเซียนร่วมกัน ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปรวงข้าวสีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลมสีขาวและสีน้ำเงิน รวงข้าว 10 ต้น หมายถึง ประเทศสมาชิก 10 ประเทศ
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง ,สีแดงหมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า,สีขาวหมายถึง ความบริสุทธิ์และสีน้ำเงินหมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
ประเทศไทยเรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด กฎบัตรอาเซียน(ASEAN CHARTER) จึงเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียน ซึ่งใช้เป็นข้อตกลงในทางการปฏิบัติร่วมกัน
หลายคนมักตั้งคำถาม ถามกระผมว่า ทำไมถึงต้องมีการร่วมเป็นอาเซียน การร่วมตัวเป็นอาเซียนมีหลายเหตุผลด้วยกัน หนึ่งปัจจัยใหญ่ๆเกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสถานการณ์โลก เช่น ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เกิดการค้าเสรี เกิดการร่วมตัวทางด้านเศรษฐกิจ
เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองจากยุคสองขั้วอำนาจเหลือยุคขั้วเดียวและกำลังก้าวสู่ยุคหลายขั้ว
ภูมิภาคต่างๆมีการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตที่สูงและความยากในเรื่องการบริหารจัดการทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อมของโลก
เมื่อรวมเป็นอาเซียนแล้ว แน่นอนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อที่มีความแตกต่างกันแต่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ เช่น ความแตกต่างทางด้านศาสนาวัฒนธรรม ประเทศเวียดนาม,สิงคโปร์ ส่วนใหญ่มีวัฒนธรรมขงจื้อ ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา ส่วนใหญ่มีวัฒนธรรมพุทธ ประเทศมาเลเซีย,อินโดนีเซีย,บูรไน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและประเทศฟิลิปปินส์นับถือศาสนาคริสต์ เป็นต้น
สำหรับ 3 เสาหลักในการอยู่ร่วมกันในประชาคมอาเซียนคือ เสาการเมืองและความมั่นคงจะเน้นเรื่องความมั่นคง เสาเศรษฐกิจจะเน้นเรื่องความมั่งคั่ง และเสาสังคม วัฒนธรรมจะเน้นเรื่องเอื้ออาทรกัน
เสาการเมืองและความมั่นคง มีวัตถุประสงค์คือ ช่วยส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เกิดสันติภาพและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี ภายแผนงานอย่างเป็นระบบ มีกฎกติกา ความรับผิดชอบ มีปฏิสัมพันธ์กันภายในและโลกภายนอก
เสาเศรษฐกิจ จะเน้นการสร้างสินค้า บริการ การลงทุน รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงาน
(ในเบื้องต้นมีการตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ เช่น ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี และการสำรวจ) เงินทุนอย่างเสรี เพิ่มการแข่งขันกับภูมิภาค สร้างจุดยืนบนเวทีการค้าโลก อีกทั้งในอนาคตจะจัดให้มีการจัดตั้ง ASEAN Stock Exchange Board และ จัดตั้งกองทุนการเงินซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกองทุน IMF เป็นต้น
เสาสังคมและวัฒนธรรม มีจุดประสงค์คือ มุ่งหวังให้ประชาชนในอาเซียนอยู่ดีกินดี ปราศจากโรคภัย มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นสังคมที่มีลักษณะเอื้ออาทร แบ่งปัน และมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยมีแผนงานคือมีความร่วมมือกัน 6 ด้านในประเทศอาเซียน คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การคุ้มครอง สวัสดิการสังคม ความยุติธรรมและสิทธิ การสร้างอัตลักษณ์อาเซียนและการลดช่องว่างทางการพัฒนา ร่วมกันเป็นต้น
แล้วประเทศไทยเราพร้อมหรือยังในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ว่าไทยเรารู้จักธงอาเซียนและการก่อตั้งอาเซียนเมื่อใด มาเป็นอันดับสุดท้ายคืออันดับ 10 และ อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอาเซียนมากเพียงใดมาเป็นอันดับ 7
ทั้งนี้ สิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการเข้าร่วมอาเซียน ซึ่งทุกเวที ทุกหน่วยงานที่จัดการอบรมสัมมนา พูดถึงเมื่อกันว่า เรื่องที่ควรพัฒนาเป็นอันดับแรกๆ คือเรื่องของการใช้ภาษาอาเซียนคือการใช้ภาษาอังกฤษนั้นเอง

...
  
สาธารณสุขไทยกับอาเซียน
สาธารณสุขไทยกับอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
31 ธันวาคม 2558 ไทยเรากับอีก 9 ประเทศต้องเข้าสู่อาเซียน กระทรวงสาธารณสุขไทย จึงต้องเผชิญกับความท้าทาย และต้องมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่อาเซียน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องเตรียมตัวหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
อาชีพที่สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานในอาเซียนได้ ได้แก่ ทันตแพทย์ แพทย์ พยาบาล วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี และการสำรวจ จึงเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ต้องเร่งผลิตวิชาชีพเหล่านี้ อีกทั้งจุดอ่อนที่สำคัญของระบบการศึกษาของประเทศไทยก็คือ เรื่องของภาษาอังกฤษ คนที่จบหลักสูตรเหล่านี้และหลักสูตรต่างๆ ที่ผ่านมา มักไม่สามารถทำให้ผู้เรียนสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้
ฉะนั้นนี่คือจุดอ่อนที่สำคัญของคนไทย คนไทยมักมีปัญหาเรื่องของการสื่อสารโดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ หากเทียบกับประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศมาเลเซีย และอีกหลายประเทศในอาเซียน อาจเป็นเพราะประเทศไทยและคนไทยบางส่วน มัวแต่ภูมิใจว่าประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ฉะนั้นภาษาอังกฤษไม่ต้องฝึกก็ได้ แต่แท้จริงแล้ว ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือ เป็นอาวุธ เป็นกุญแจ ที่จะทำให้เราเกิดความรู้ เกิดการสร้างเครือข่าย เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างคนทั่วโลก
อีกทั้งอาเซียนยังตกลงให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาอาเซียน ดังนั้น เวลามีปัญหา มีเรื่องกัน ขึ้นศาล หรือติดต่อราชการต่างๆในประเทศอาเซียนจะต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ
แพทย์เป็นอาชีพที่ขาดแคลนในประเทศอาเซียน สำหรับหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะ แพทย์ บางประเทศขาดแคลนมากจนมีอัตราเฉลี่ย แพทย์ 1 คน ต่อประชากร 100,000 คน สำหรับประเทศไทยจากตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2554 แพทย์ 1 คนต่อประชากร 2,893 คน
สำหรับการผลิตแพทย์ มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไม่ได้ผลิตแพทย์เพื่อคนไทย 60 กว่าล้านคน แต่ต้องผลิตให้กับอาเซียน 600 ล้านคน ตลาดจะใหญ่ขึ้น อีกทั้งมหาวิทยาลัยต่างๆที่ผลิตแพทย์ต้องยกระดับมาตราฐานคุณภาพของแพทย์ให้สูงขึ้นเพื่อให้เป็นมาตราฐานเดียวกับอาเซียน และในอนาคตก็ควรยกระดับมาตราฐานการผลิตแพทย์ให้มีมาตราฐานในระดับโลก เพื่อรองรับคนในโลก 7,200 ล้านคน และในปี 2559 คาดว่าจะมีประชากรโลก 9,000 ล้านคน และคาดว่า 2560 จะมีประชากรถึง 10,000 ล้านคน สำหรับปัจจัยที่ทำให้มีประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น ก็เนื่องมาจากคนเรามีอายุที่ยืนยาวขึ้นนั้นเอง
สำหรับอาชีพพยาบาล ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งซึ่งขาดแคลนและสามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานในอาเซียนได้อย่างเสรีมากขึ้น ซึ่งพยาบาลมีจุดดีคือเรื่องของกิริยา มารยาท ความสุภาพ ความอ่อนโยน อดทน และมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้ป่วย จึงทำให้หลายประเทศได้มีการจ้างงานพยาบาลไทยในค่าใช้จ่ายที่สูง อีกทั้งในด้านสถาบันการศึกษาก็มีความสามารถในการผลิตได้ดีมีคุณภาพในอันดับต้นของอาเซียน จนมีหลายประเทศส่งคนมาเรื่องรู้การพยาบาลจากไทย เช่น พม่า ลาว ภูตาล ฯลฯ
ผลกระทบต่อสาธารณสุขเมื่อเปิดอาเซียน ประเทศไทยเราจะมีการลงทุนสร้างสถานบริการด้านสุขภาพและโรงพยาบาลมากขึ้นเพื่อรองรับ ลูกค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน ปัญหาเรื่องยาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโรคติดต่อต่างๆและการเผชิญกับโรคอุบัติใหม่(โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ หรือ โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ (Emerging Infectious Diseases, EID) คือโรคที่เกิดจากสาเหตุการติดเชื้อโรคหรือโรคที่ติดต่อกันได้ ที่มีการอุบัติเกิดเพิ่มมากขึ้นในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นภัยคุกคามมากขึ้นแก่มนุษยชาติในอนาคตต่อไป “ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี” )
กระทรวงสาธารณสุขต้องนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ สำหรับเทคโนโลยีที่มีอยู่ ก็ต้องนำมาใช้อย่างเต็มที่ เพราะเครื่องมือบางอย่างสามารถทำงานได้มากมาย แต่เรานำไปใช้กับงานเล็กๆน้อยๆ
ฉะนั้น กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงหนึ่งที่ต้องทำงานหนัก เป็นกระทรวงที่จะต้องเตรียมความพร้อมที่จะเข้าสู่อาเซียน เป็นกระทรวงหลักกระทรวงหนึ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ ให้ความเอาใจใส่

...
  
การเข้าสู่อาเซียนของสาธารณสุขไทย
การเข้าสู่อาเซียนของสาธารณสุขไทย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
31 ธันวาคม 2557 ประเทศไทยและอีก 9 ประเทศต้องเข้าสู่อาเซียน กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงหนึ่งที่ต้องทำงานหนัก ซึ่งรวมไปถึงบุคลากรของกระทรวงที่จะต้องทำงานหนักและมีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น โรงพยาบาลต่างๆของรัฐและเอกชน ทุกขนาดจะต้องทำงานมากขึ้น เหตุผลก็คือ เมื่อมีการเปิดอาเซียนจะทำให้อีกหลายประเทศเข้ามาทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ตามมาในด้านบวก บุคลากรสาธารณสุขจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนในด้านลบบุคลากรสาธารณสุขต้องระวังการฟ้องร้องโดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล
ปัจจุบันไทยเรามีโรงพยาบาล 900 กว่าแห่ง ซึ่งรับรองคนไทย 65 ล้านคน ซึ่งนับว่าไม่พอเพียง แต่หากเปิดอาเซียน ไทยเราคงต้องมีโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลสำหรับคนต่างชาติ
ด้านการสื่อสารโดยเฉพาะช่วงแรกๆ ประเทศไทยเรามีปัญหาทางด้านการสื่อสารโดยเฉพาะการใช้ภาษาอังกฤษ ไม่เว้นหน่วยงานด้านสาธารณสุขเอง คงต้องเผชิญกับปัญหาด้านการสื่อสาร ไม่ว่า การสื่อสารทางด้านการพูด การเขียน ระหว่าง หมอ พยาบาล กับผู้ป่วยชาวต่างชาติ , บุคลากรสาธารณสุขกับผู้ใช้บริการชาวต่างชาติ
แต่ทั้งนี้ หากพูดถึงในเรื่องของการบริการแล้ว ประเทศไทยเรามีความโดดเด่นมาก ไม่เว้นแม้บุคลากรด้านสาธารณสุข เนื่องมาจาก คนไทยและบุคลากรด้านนี้ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีกริยา มารยาท อ่อนโยน อ่อนโน้มถ่อมตน ไม่แข็งกระด้าง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
สำหรับแพทย์ พยาบาล ทัตนแพทย์ จะมีการเคลื่อนย้ายกันมากขึ้น เราจะเห็นบุคลากรเหล่านี้จากประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งบุคลากรเหล่านี้มีจุดเด่นทางด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เขาสามารถเข้ามาเปิดสถานบริการและโรงพยาบาลเพื่อรองรับชาวต่างประเทศซึ่งสามารถทำรายได้ได้มากกว่า การรักษาคนไทยโดยรวม
และแน่นอนแพทย์ที่มีความชำนาญของไทยก็คงต้องเคลื่อนย้ายไปหารายได้ที่สูงกว่ายังประเทศที่มีรายได้ที่ดีกว่า ส่วนคนไทยส่วนหนึ่ง อาจเป็นผู้ป่วยของแพทย์ชาวพม่า ซึ่งบางส่วนก็ได้มีการเตรียมตัวเข้ามาแล้ว เนื่องจากแพทย์ของประเทศพม่ามีจำนวนมากกว่าสัดส่วนของประชาชนชาวพม่า
ด้านงานบริหารสาธารณสุขการเปิดอาเซียน ทำให้เราสามารถมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดูงาน และจ้างงานบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ขาดแคลนได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูล การประสานงานต่างๆ การเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆทางด้านสาธารณสุข
อีกทั้งสาธารณสุขไทยควรใช้ เทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อเข้าช่วยในการทำงาน เช่น การใช้ไลน์ การใช้เครื่องมือติดต่อสื่อสาร แพทย์ที่ชำนาญอาจอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ อาจใช้กล้องซูมดูอาการคนไข้หรือคนป่วย เพื่อให้แพทย์ที่ชำนาญสิงคโปร์ได้วินิจฉัยโรค อีกทั้งเทคโนโลยีสามารถนำมาช่วยในการประชุมข้ามประเทศได้ในระหว่างการทำงานสาธารณสุขในประเทศอาเซียน ซึ่งจะประหยัดทั้งเวลา ค่าใช้จ่ายต่างๆ
โรงพยาบาลนานาชาติจะมากขึ้น เหมือนกับโรงเรียนนานาชาติที่มากขึ้นทุกวัน
ประเทศไทยได้มีการวางวิสัยทัศน์ไว้ว่าเราจะเป็น ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจรหรือ Medical Hub อีกทั้งรัฐบาลได้มีการลงทุนทางด้านต่างๆเพื่อสนับสนุน หากเปิดเขาไปในเว็ปไซค์กระทรวงสาธารณสุข เราก็จะสามารถสืบค้นข้อมูลของโรงพยาบาลต่างๆได้ ซึ่งภายในบอกข้อมูลต่างๆไว้อย่างมากมาย เช่นมีจำนวนคนกี่คน มีเครื่องมืออะไรบ้าง มีความชำนาญในการรักษาโรคอะไรบ้าง
ปัจจุบันสิ่งที่กระผมเป็นห่วงก็คือ ในยุคปัจจุบันประเทศไทยเราประสบกับปัญหาเรื่องของความแตกแยกทางการเมือง มีการเป็นเป็นขั้วต่างๆ จึงทำให้ สื่อต่างๆ ลงข่าวแต่เรื่องของการการเมือง
ส่วนพื้นที่ข่าวของอาเซียนก็หายไปจากสื่อต่างๆ จำนวนไม่น้อย หากว่า การเมืองมีความเข้มแข็งก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดความสนใจ เรื่องเกี่ยวกับอาเซียนมากยิ่งขึ้น สื่อต่างๆก็จะลงเรื่องของอาเซียนมากขึ้น

...
  
ปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
ปัจจัยต่างๆที่นำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมีหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.เป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี รูปร่างหน้าตาดี หรือมีชาติกำเนิดดี เกิดอยู่ในตระกูลที่ดี
2.เป็นผู้ที่มีการศึกษาดี หากจบปริญญาเอกก็จะยิ่งเป็นที่ยอมรับของประชาชน
3.เป็นผู้ที่มีฐานะทางด้านการเงินดี มั่นคง
4.เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง คนรู้จักเป็นจำนวนมาก
5.เป็นผู้ที่มีเครือข่ายญาติพี่น้องมากและมีเพื่อนฝูงมาก
6.เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่ผู้คนยอมรับและรู้จักมาก เช่น ครู ทนายความ แพทย์ ตำรวจ และข้าราชการที่ได้ทำงานใกล้ชิด ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
7.เป็นผู้ที่นำเทคนิคใหม่ๆมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เช่นในอดีต ผู้สมัครบางคนอาจจะจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ บางคนอาจจะมีการขี่ช้างขี่ม้าในการหาเสียง บางคนอาจจะจุดตะเกียงเข้าไปสมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น
8.เป็นผู้สมัครที่มีใจกว้าง ใจถึง ใจใหญ่ เช่น มีการเลี้ยงอาหารสุราหัวคะแนนหรือผู้ที่ช่วยทำงาน
9.เป็นผู้ที่มีใจบุญกุศล ชอบช่วยเหลือผู้ยากไร้ บริจาคเงินให้กับวัดวาอาราม และสาธารณกุศลต่างๆ
10.เป็นผู้ที่มีระบบบริหารจัดการหัวคะแนนที่ดี
11.เป็นผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็มีนักการเมืองจำนวนมากที่ยังใช้เงินเพื่อซื้อคะแนนเสียง
12.เป็นผู้ที่รู้จักประสานผลประโยชน์หรือใช้ระบบอุปถัมภ์ให้กับกลุ่มต่างๆในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
13.เป็นผู้ที่สร้างและสะสมผลงานต่างๆ อย่างมากมาย เช่น ถูกรับเชิญไปให้ความรู้เป็นวิทยากรให้แก่หน่วยงานและประชาชนในพื้นที่
14.เป็นผู้ที่มีความสามารถในการพูดหาเสียงที่เก่ง สามารถพูดโน้มน้าวใจประชาชนในพื้นที่ได้
15.เป็นผู้ที่มีระบบการจัดการเลือกตั้งที่ดี กล่าวคือ มีการวางแผน มีการจัดองค์กร มีการจัดคนที่เหมาะสมกับงาน มีการสั่งการและมีการประเมินผล
16.เป็นผู้ที่มีความสามารถในการนำหลักการตลาดมาประยุกต์ใช้กับการเมือง
17.เป็นผู้ที่มีความสามารถในการสื่อสารทางการเมืองกับคนในพื้นที่เลือกตั้ง
สำหรับ ปัจจัยที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งได้แก่
1.ไม่มีสร้างผลงานต่างๆในพื้นที่
2.ไม่สม่ำเสมอในการพบปะกับประชาชนในพื้นที่ เช่นบางคนมักจะไปพบปะประชาชนในช่วงหาเสียง เมื่อได้เป็นนักการเมืองแล้วก็ไม่ยอมไปพบปะ ซึ่งคู่แข่งสามารถใช้โจมตีได้
3.ไม่มีระบบจัดตั้งหัวคะแนนที่ดี เพราะหัวคะแนนจำนวนมาก เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้การช่วยเหลือผู้สมัครอย่างเต็มที่
4.ไม่ซื้อเสียงในการเลือกตั้ง สำหรับในการเลือกตั้งจำนวนมากมีการซื้อเสียง หากผู้สมัครคนใดที่ไม่ซื้อเสียงแต่คู่แข่งซื้อเสียง ผู้สมัครท่านนั้นก็เสี่ยงกับการสอบตกเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้การซื้อเสียงจะผิดกฏหมายแต่ก็มีนักการเมืองจำนวนมากที่เสี่ยงซื้อเสียงเพื่อให้ตัวเองได้รับเลือกตั้ง
5.ไม่รู้จักประชาสัมพันธ์ตนเองหรือประชาสัมพันธ์ผลงานตนเองน้อยเกินไป ทำให้ผู้เลือกตั้งคิดว่าผู้สมัครท่านนั้นไม่มีผลงาน
6.ไม่รู้จักตอบโต้ข่าวลือ ในการเลือกตั้งคู่แข่งมักจะมีการปล่อยข่าวลือ ถ้าหากว่าผู้สมัครไม่ตอบโต้หรือไม่แก้ข่าวก็จะทำให้ประชาชนในพื้นที่หลงเชื่อข่าวลือนั้น จึงทำให้ผู้สมัครท่านนั้นเสียคะแนนเสียง เช่น ข่าวลือว่าผู้สมัครได้วุฒิการศึกษาในระดับปริญญาเอกปลอมแล้วนำมาลงสมัคร เป็นต้น

...
  
กลยุทธ์สร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้ง
กลยุทธ์สร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการหาเสียงเลือกตั้ง หากว่าผู้สมัครคนใดใช้วิธีการหาเสียงเหมือนๆกับผู้สมัครคนอื่นๆ ย่อมจะไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าที่ควร แต่หากว่าผู้สมัครท่านใดที่ใช้วิธีหาเสียงที่แตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นๆ ผู้สมัครคนนั้นย่อมได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่เลือกตั้ง แต่ทั้งนี้ผู้สมัครก็ควรที่จะศึกษา หาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้งไว้ด้วย เนื่องจากการกระทำบางอย่างอาจจะเป็นการผิดกฎหมาย หรือ การกระทำบางอย่างอาจใช้ได้ในสมัยหนึ่ง แต่พอช่วงเวลาผ่านไปกฎหมายก็ห้ามไม่ให้ทำ เช่น การฉายภาพยนตร์ ในอดีตได้รับความนิยมมาก แต่พอมาตอนหลังๆ กฎหมายห้ามไม่ให้มีการฉายภาพยนตร์ อีกทั้งในยุคปัจจุบัน การฉายภาพยนตร์ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมอีกต่อไป เนื่องจากสภาพสังคมและเทคโนโลยี่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับกลยุทธ์สร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้งมีดังนี้
1.กลอนหาเสียง การใช้กลอนที่สนุกๆ และมีความแปลกใหม่มักจะทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนในการเลือกตั้ง อีกทั้งในยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย ผู้สมัครสามารถบันทึกเสียงแล้วใช้รถโฆษณาไปทั่วพื้นที่ เช่น
อยากได้นายกอบต. ที่พึ่งได้ ต้องเลือกเบอร์หนึ่ง
อยากได้นายกอบต. ที่ใจซื่อมือสะอาด ต้องเลือกเบอร์หนึ่ง
อยากได้นายกอบต. ที่กล้าพูด ต้องเลือกเบอร์หนึ่ง
อยากได้นายกอบต. ที่บริหารงานดี ต้องเลือกเบอร์หนึ่ง
อยากได้นายกอบต. ที่เก่ง ต้องเลือกเบอร์หนึ่ง
2.ลูกโป่งหาเสียง การใช้สื่อในการหาเสียงโดยมากมักจะทำเหมือนๆกัน เช่น ป้ายโฆษณา ป้ายผ้า โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ แต่มีสมัยหนึ่ง ผู้สมัครคนหนึ่งได้ใช้ลูกโป่งในการหาเสียง โดยนำลูกโป้งไปแจกตามโรงเรียนให้แก่เด็กๆ แจกตามวัด อีกทั้งยังจัดให้มีการแข่งขัน เป่าลูกโป่งให้แตก อีกด้วย เพราะการใช้สื่อใหม่ๆ สื่อที่แปลกๆ จะทำให้เกิดกระแส มีการพูดคุยกันไปทั่วพื้นที่
3. ฝาเข่งหาเสียง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นับว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่สามารถสร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้งโดยเฉพาะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพในอดีต ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง ด้วยภาพพจน์ของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งมีการสวมเสื้อม่อฮ่อมเป็นประจำ จึงทำให้มีภาพลักษณ์ในการหาเสียงในลักษณะสมถะ การใช้ฝาเข่งหาเสียงจึงได้ผลและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง
4.การใช้คำในการหาเสียง คำพูด ภาษา ถ้อยคำ มีผลอย่างมากต่อการสื่อสารให้กับประชาชนในพื้นที่ หากท่านใช้คำหรือถ้อยคำที่ถูกใจหรือเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชน ท่านก็จะได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น เช่น คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เป็นนักการเมืองท่านหนึ่งที่มีความสามารถในการสื่อสารจึงทำให้ได้รับคะแนนเสียงอย่างมากมาย จากภาพลักษณ์ในการหาเสียงที่ดุดัน แต่มีความขำขันและฮาในขณะเดียวกัน เมื่อดูจากป้ายการโฆษณาหาเสียง ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นโดนใจ จากคำที่สื่อและภาพหน้าตาที่ดุดัน ดังตัวอย่าง
- ผมเป็นสุนัขเฝ้าประเทศ เมื่อคุณโกงผมจะเห่า เมื่อคุณกินผมจะกัด
- จอดกรุงเทพฯด้วย “ ผมจะลง” ให้ชูวิทย์ เปลี่ยนกรุงเทพฯสักครั้ง
- ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางออก ไม่มีความสุข ไม่มีความจริง นี่คือการเมืองไทย
- คนอย่างคุณ ไร้สัจจะ ไม่ชัดเจน ชาติไม่ต้องการ
5.สร้างพฤติกรรมแปลกๆในการหาเสียง ในฤดูการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะนักการเมืองที่หาเสียงเลือกตั้งในระดับประเทศ มักสร้างพฤติกรรมแปลกๆ เพื่อที่จะได้เป็นข่าว ฉะนั้นหากท่านเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป็นที่สนใจของสื่อและประชาชน การสร้างพฤติกรรมแปลกๆในช่วงหาเสียงจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น หากท่านต้องการตกเป็นข่าว เพราะในการหาเสียงหากท่านมีพฤติกรรมเหมือนๆกับนักการเมืองคนอื่นๆ สื่อและประชาชนก็จะไม่สนใจ สำหรับพฤติกรรมแปลกของนักการเมืองในตอนหาเสียง มีดังนี้ ท่องดงเกย์ , มีการสวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ มีการสวมชุดนักเรียนในการหาเสียง , การอุ้มหมีแพนด้าขึ้นป้ายหาเสียง เป็นต้น
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเพียงแค่เล็กน้อยในการสร้างความสนใจในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งการหาเสียงเลือกตั้งนั้น หากว่าท่านสามารถใช้วิธีการใหม่ๆ แปลกๆ และไม่ซ้ำแบบใคร มักจะเป็นที่สนใจของสื่อและประชาชน สำหรับวิธีการหาเสียงในสมัยหนึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป วิธีการหาเสียงในรูปแบบนั้นก็อาจจะล้าสมัยไป ฉะนั้น ท่านจะต้องคิดรูปแบบที่ แปลกๆใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา จึงจะนับได้ว่าท่านประสบความสำเร็จในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง แต่สิ่งที่ควรระวัง คือท่านต้องมีการศึกษากฎหมายเลือกตั้งด้วย ว่ากฎหมายเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่ เพียงใด
...
  
หลักพาเรโต ทำกิจกรรม 20% ให้ได้ผลลัพธ์ 80%
หลักพาเรโต ทำกิจกรรม 20% ให้ได้ผลลัพธ์ 80%
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กฏ 20:80 ได้มีการพูดและเขียนหนังสือกันเป็นจำนวนมาก แต่คนที่คิดค้นคนแรกก็คือ นายวิลเฟรโด พาเรโต เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักสังคมวิทยา ชาวอิตาเลียน
กฏ 20:80 มีลักษณะดังนี้ ในบรรดางานที่คุณทำ 10 อย่าง จะมีงานที่มีคุณค่าสูงสุดหรือก่อประโยชน์สูงสุด เพียงแค่ 2 อย่าง แต่ให้ผลลัพธ์หรือผลประโยชน์กับคุณถึง 80 %
ตัวอย่างเช่น
- หากคุณทำงานด้านการขาย คุณลองสังเกตดูว่าจะมีลูกค้าเพียงไม่เกิน 20% แต่เป็นลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายให้กับคุณได้ถึง 80 % ของยอดขายทั้งหมด

- สินค้าในห้างสรรพสินค้า มีจำนวนหลายหมื่นหลายพันชิ้น แต่รายได้จากการขายสินค้ากว่า 80% มาจากสินค้าเพียงแค่ 20% ในทางกลับกันจำนวนสินค้ากว่า 80% ก่อรายได้จากการขายสินค้าเพียงแค่ 20%
- Computer ที่เราใช้ก็เช่นกัน โปรแกรมต่างๆ เช่น Photoshop , windows, Excel เวลาที่เราใช้เราก็มักจะใช้ฟังก์ชั่นเดิมๆ เครื่องมือเดิมๆ เพียงแค่ 20% แต่ถูกใช้งานถึง 80%
- การเจรจาต่อรอง (Negotiation) เราจะสงสัยว่าประเด็นที่สำคัญๆมีไม่เกิน 20 % แต่ต้องใช้เวลาในการเจรจาต่อรองกว่า 80 % ของเวลาทั้งหมด ส่วนประเด็นที่ไม่สำคัญ 80 % เราใช้เวลาเพียง 20 %
- เวลาในการทำงานของเราในแต่ละวันก็เช่นเดียวกัน ภายในเวลา 24 ชั่วโมง จะมีกิจกรรมที่สำคัญๆเพียงแค่ 20% แต่ได้ผลลัพธ์ถึง 80%
ฉะนั้น เวลาที่จะเริ่มต้นทำงาน จงวางแผนก่อนว่า อะไรคือ “ งานประเภท 20% แต่ได้รับผลลัพธ์ถึง 80% แล้วจงเลือกที่จะทำงานเหล่านั้นก่อน จงสัญญากับตนเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า คุณจะจัดลำดับโดยเลือกทำงานที่สำคัญที่มีจำนวนน้อยแต่ได้ให้ผลลัพธ์สูง ก่อนเลือกที่จะทำงานที่มีจำนวนมากแต่ได้รับผลลัพธ์ต่ำ ถึงแม้งานเหล่านั้นจะยากเย็นแสนเข็นสักปานใดก็ตาม จงห้ามใจที่จะไม่ทำงานที่ให้ผลลัพธ์น้อย แต่ใช้เวลามาก
แบบฝึกหัด
- จงเขียนงานทั้งหมดของคุณ แล้วลองพิจารณาว่างานอะไรคือ งานที่มีความสำคัญซึ่งมีเพียง 20 % ของงานทั้งหมด แต่ให้ผลลัพธ์ถึง 80 %
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.