หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
เวลาของฉันหายไปไหน
เวลาของฉันหายไปไหน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เราลองมาทบทวนการใช้เวลาของเราในแต่ละวันกันดีไหมครับ ว่าเวลาของเราหาไปไหนกันหมด พวกเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่แล้วเวลาเราหายไปไหน
สมมุติว่า เรานอนวันละ 8 ชั่วโมง ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แล้วเวลาอีก 8 ชั่วโมง เวลาของพวกเราหายไปไหนกัน ซึ่งคำตอบของทุกคนจะแตกต่างกันไป เช่น
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อน
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการประชุม
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเช็คเมล์ เล่น Facebook , Line
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเดินทาง
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการรอคอย รอคิว
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการทานอาหาร
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการอาบน้ำ
เวลาที่เสียไปข้างต้นนี้ หลายคนคิดว่าไม่มีความสำคัญ แต่ถ้าพวกเราลอง
พิจารณาและทบทวนใหม่อีกสักครั้ง หลายคนอาจถึงกับตกใจว่าเราได้เสียเวลาไปกับกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เช่น
การทานอาหาร
เราต้องใช้เวลาในการทานอาหารวันละ 3 มื้อ ถ้าพวกเราใช้เวลาทานอาหารมื้อละ 20 นาที นั่นหมายถึงว่าเราต้องใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง ในการรับประทานอาหาร แล้วถ้า 1 เดือนละ เราจะใช้เวลาทานอาหารถึง 1,800 นาที หรือ 30 ชั่วโมง เลยทีเดียว ซึ่งใช้เวลาทานอาหารเกือบ 1 วัน กับ 6 ชั่วโมง ต่อ 1 เดือน
การเดินทาง
ในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ เรามีความจำเป็นจะต้องเดินทาง ซึ่งต้องเสียเวลาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจราจรในเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพมหานครฯ เราจะต้องเผชิญปัญหารถติด ซึ่งทำให้เราต้องเสียค่าน้ำมัน เสียเวลา เสียเงินไปกับการจราจรที่แสนสาหัส สมมุติหากว่าเราอยู่กรุงเทพมหานครฯ ซึ่งจำเป็นจะต้องเดินทางไปทำงานเช้า เย็น เราจะต้องใช้เวลาเดิน ขาไปและกลับ วันหนึ่ง 2 ชั่วโมง ถ้า 1 เดือน เราจะเสียเวลาไปกับการเดินทางถึง 60 ชั่วโมง หรือ 2 วัน กับอีก 12 ชั่วโมง ต่อเดือน
สำหรับการอบรม หลักสูตร “ การบริหารเวลา ” ของผม ผมมักจะให้ผู้เข้ารับ
การอบรม ได้มีโอกาสวิเคราะห์การใช้เวลาของตนเอง โดยให้เขียนกิจกรรมอย่างน้อย 5-7 อย่าง ที่เผาผลาญเวลาในแต่ละวัน
แบบฝึกหัด
สำหรับตัวท่าน กิจกรรมใดถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่เผาผลาญเวลาของท่านในแต่ละวันมากที่สุด จงเขียนเรียงตามลำดับกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลาเป็นจำนวนมากไปหาน้อย
1……………………………………………………………………………..
2………………………………………………………………………………
3………………………………………………………………………………..
4………………………………………………………………………………
5………………………………………………………………………………
...
  
มึงสู้จริงหรือเปล่า
มึงสู้จริงหรือเปล่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จก็ขอให้ พยายาม พยายาม และพยายาม ทำต่อไป.........
ความสำเร็จจะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวมัน แต่จง พยายาม พยายามและพยายาม ทำต่อไป......
ดิเอโก มาราโดนา นักแตะระดับโลก ซึ่งได้รับฉายาว่า “ หัตถ์พระเจ้า ” เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาต้องการเข้าสู่นักแตะอาชีพ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อม ฝึกฝน การแตะบอลวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบ 10 ปี สุดท้ายเขาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
บิล เกตต์ เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำในสิ่งที่เขารัก เขาต้องยุ่งอยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องมือไฟฟ้า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เขาต้องทนทำงานเหล่านี้ภายในโรงเก็บรถเก่าๆของพ่อเขา เขาใช้เวลาวันละไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ทุกๆวัน สุดท้ายเขาคือเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก
เออเนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล เขาต้องทุ่มเทและใช้เวลาเขียนหนังสือทุกๆวัน เขาแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาหลายๆปี อีกทั้งเขาต้องใช้เวลาอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง งานเขียนช่วงแรกๆ เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ สุดท้ายเขาคือผู้ชนะ โดยได้รับรางวัลระดับโลก
จิมมี เฮนดริกซ์ เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักกีตาร์มือดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน การเล่นกีฬาของเขาตลอดเวลา ทุกๆวัน เป็นเวลาหลายปี โดยเขาต้องฝึกฝนไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ต่อวัน สุดท้าย เขาได้รับยกย่องในระดับโลก
คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีเป้าหมาย รู้ว่าตนเองชอบอะไร แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไม่ลดละความพยายาม ตรงกันข้าม เขาจะฝึกฝน ฝึกซ้อม อย่างหนัก แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะโทษสิ่งต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง โทษดิน โทษฟ้า โทษอากาศ หรือ มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆนาๆ เช่น ฉันมันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีเงิน ฉันเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ฉันมัน......ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองอยากที่จะเป็นอะไร แล้วจึงฝึกฝน ฝึกซ้อมตนเอง ตามเป้าหมาย ตามความฝัน ทุกๆวันอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นเวลาหลายๆปี ท่านจึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนั้นๆ

...
  
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่สิ่งที่น่าแปลก ก็คือว่า ทำไม คนบางคนถึงประสบความสำเร็จ แต่บางคน แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เช่น
หลายคนที่เป็นชาวมุสลิม ประสบความสำเร็จในการอ่าน คัมภีร์ อัลกุรอาน ทั้งเล่มตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถเข้าใจ จดจำ ได้ตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย
หลายคนที่เป็นชาวพุทธ ก็เช่นกัน สามารถอ่านพระไตรปิฎก โดยทราบเรื่องราวต่างๆทั้งเล่ม ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถจดจำ พระไตรปิฎก ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากเขามีเป้าหมายและความตั้งใจจริง เมื่อเขามีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะอ่านให้จบ แล้วมีการวางแผนการอ่าน ว่าจะต้องอ่านให้จบภายในกี่ปี แล้วเขาก็จะวางแผนต่อว่า ภายใน 1 เดือน จะต้องอ่านให้ได้กี่หน้า ภายใน 1 วัน จะต้องอ่านกี่หน้า แล้วก็ลงมือปฏิบัติ อ่านทุกๆวันด้วยความสม่ำเสมอ จนกระทั่ง อ่าน คัมภีร์ อัลกุรอานและพระไตรปิฏก จบ
หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เนื่องจากไม่มีเป้าหมาย หลายคนเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาก็ต่อเมื่อ ตนเองเจ็บป่วยอย่างหนัก ใกล้ตาย เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ จึงเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง
ดังนั้น หากท่านต้องการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรทราบเสียก่อนว่า ท่านมีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเป็นอะไร ที่จะทำอะไร แล้วเริ่มวางแผน เริ่มลงมือปฏิบัติ แล้วท่านจะพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายในทุกขณะ
แต่ทั้งนี้ คนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว จะแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อเดินทางเข้าใกล้เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ จะอดทน จะใจเย็น เพราะการเดินทางต้องใช้เวลานาน แต่ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลว ก็มักจะเลิกล้ม ไประหว่างทาง จึงทำให้เขาไปไม่ถึงเป้าหมาย
หลักการบริหารเวลา มีนักวิชาการได้แบ่งการใช้เวลาออกเป็น 8 8 8 กล่าวคือ 1 วันมี 24 ชั่วโมง เรามักใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับการนอน เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำงาน และ เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำธุระส่วนตัว ซึ่งเวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ เป็นการแบ่งแยกผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรดา นั่นเอง
คนธรรมดา คนทั่วไป มักใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ ส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย โดยใช้เวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เช่น เล่นไลน์นานเกินไป , เล่น Facebook นานเกินไป , เดินห้างสรรพสินค้านานเกินไป , พูดคุยกันนานเกินไป ฯลฯ ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ขอให้ท่านลดเวลาพวกนี้ลงไปให้ได้วันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ปี ท่านจะมีเวลาเหลือมากถึง 365 ชั่วโมง เลยทีเดียว
แล้วท่านสามารถนำเอาเวลาที่เหลือ 365 ชั่วโมงนี้ ไปใช้กับการทำงานหรืองานอดิเรกที่ท่านต้องการทำ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหรือสิ่งที่ท่านต้องการในชีวิต ท่านก็จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างเร็วยิ่งขึ้น เพราะกฏแห่งความสำเร็จ เขาบอกว่า ถ้าเราทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง งานที่เราทำก็จะง่ายลงไปเรื่อยๆ
จงจดจ่อที่เป้าหมาย อย่าจดจ่อที่อุปสรรค จงจดจ่ออย่างเข้มข้นกับความฝัน แล้วคุณจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

...
  
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ความเคลื่อนไหวของประชาคมสุขภาพอาเซียน สถานการณ์สุขภาพของไทย ปรากฏว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนไทยเราเพิ่มสูงขึ้น ทั้งชายและหญิง เช่น ปี 2507 อายุชายไทยมีอายุเฉลี่ย 56 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 62 ปี จนกระทั้งถึงปี 2553 ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 77 ปี (ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2554 )
สาเหตุการตายจำแนกสาเหตุสำคัญต่อประชาการ 100,000 คน(ที่มา:สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข,2553) ไทยเรามีอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมาเป็นอันดับที่ 1 คือ ปี 2549 (83 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (91 คน ต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 2 คือ อุบัติเหตุ ปี 2549 (59 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (51 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 3 โรคหัวใจ ปี 2549 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 4 คือ โรคความดันเลือดสูงและหลอดเลือดสมอง อันดับที่ 5 คือ โรคปอดอักเสบและโรคปอดอื่นๆ อันดับที่ 6 คือโรคไตอักเสบ อันดับที่ 7 โรคเกี่ยวกับตับ อันดับที่ 8 โรคเบาหวาน อันดับที่ 9 โรคบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย อันดับที่10 โรควัณโรค อันดับที่ 11 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากไวรัส(เอดส์) เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคน้ำอัดลมต่อคนของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน(ที่มา BMI ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2554 )ไทยเราบริโภคสูงที่สุดในอาเซียนในอัตรา 41.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , ฟิลิปปินส์ ในอัตรา 31.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , สิงคโปร์ ในอัตรา 26.55 หน่วย:ลิตร/คน/ปี ,มาเลเซีย ในอัตรา 17.05 หน่วย:ลิตร/คน/ปี,เวียดนาม ในอัตรา 5.31 หน่วย:ลิตร/คน/ปี และอินโดนีเซีย ในอัตรา 3.13 หน่วย:ลิตร/คน/ปี เป็นต้น
ผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติ ปี 2553(ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและการเคหะ) ประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย มีประมาณ 2.7 ล้านคน (ซึ่งเท่ากับ 4.1 ของประชากรทั่วประเทศ) มากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพและภาคกลาง และร้อยละ 90 เป็นแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีการประเมินอีกว่า มีแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาผิดกฎหมายอีก 1 ล้านคน (รวมแรงงานต่างชาติโดยประมาณ 3 ล้านคน)
สำหรับผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่เข้ามารักษาในประเทศไทยมีมากขึ้น จึงทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
สาธารณสุข กับ อาเซียน เมื่อมีการเปิดประเทศมากขึ้น ประชากรในอาเซียนและทั่วโลก สามารถเข้าออกกันง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขตามมาอย่างมากมาย เช่น นักท่องเที่ยว แรงงานต่างด้าว จะนำพาโรคภัยต่างๆเข้ามามากขึ้น การค้าขายสัตว์ พืช อาหารต่างๆ จะนำพาเชื้อโรคหรือพาหะนำโรคเข้ามามากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ(เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด สารเคมีอันตราย)จะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ประชาชนต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ (โรคระบาด โรคอุบัติเหตุใหม่ โรคติดต่อทั้งเรื้อรังและไม่เรื้อรัง)
การเปลี่ยนแปลงในด้านสาธารณสุขเมื่อเปิดอาเซียน คือ การลงทุนเสรีจะมากขึ้น จะตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลจะง่ายขึ้น , ไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว การบิน การสัมมนา การแสดง การบริการทางด้านการแพทย์ ปัญหาทางด้านแรงงานจะไม่ขาดแคลนเพราะแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐาน เกิดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาสังคมสูงขึ้น
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การเปิดประชาคมอาเซียน 31 ธันวาคม 2558
จากปัญหาและการเปลี่ยนแปลงข้างต้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การเตรียมความพร้อม ต้องคิดในแง่ดีว่า อาเซียนคือโอกาสและสิ่งที่ท้าทาย จะทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเองเพื่อให้ต่อสู้กับการแข่งขัน
การเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านสาธารณสุข ต้องมีการเร่งผลิตบุคลากรสาธารณสุขให้เพียงพอ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค อสม. เป็นต้น อีกทั้งต้องมีการสร้างเสริมสมรรถนะภาพด้านภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี ไปพร้อมๆกัน
สำหรับแนวโน้มในอนาคตหากมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะมีแพทย์ พยาบาล อยากที่จะมาเปิดคลินิคหรือสถาพยาบาลในประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งหากมีการเปิดเขาก็คงเลือกเปิดในเมืองหลวง เขาคงไม่เลือกเปิดในชนบท เช่นเปิดที่ถนนสีลม ถนนสาธร ถนนสุขุมวิท ซึ่งจะเน้นลูกค้าชาติต่างประเทศ เพราะสามารถหารายได้ได้มากกว่านั้นเอง
การเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการด้านสุขภาพ ต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพในการทำงาน ให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น , มีแผนงานบริการชาวต่างชาติ แรงงานต่างชาติ นักท่องเที่ยว และมีกลยุทธ์ต่างๆที่ดึงดูดการใช้บริการ
การเตรียมพร้อมทางด้านตัวบุคคล คนทำงานสาธารณสุขต้องทำความเข้าใจประชาคมอาเซียน เปิดรับวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกในอาเซียน และปรับตัวในเรื่องของการสื่อสารทั้งการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญต้องไม่มีการหยุดพักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
การเตรียมพร้อมระดับองค์กร หน่วยงานสาธารณสุขต้องสร้างพันธมิตร ร่วมมือภายในและภายนอกอาเซียน มีการยกระดับหลักประกันสุขภาพให้สูงขึ้น องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ยกระดับหน่วยงานราชการให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ดังประเทศสิงคโปร์ ระบบราชการมีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำงาน
ท้ายนี้อยากฝาก คำพูดของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก องค์พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
“ True success exists not in learning, but in its application to the benefit of mankind”
หรือ “ความสำเร็จที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การเรียนรู้ หากแต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ”


...
  
พูดอย่างไรให้ขายได้
พูดอย่างไรให้ขายได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักขายที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่พูดเก่ง มีศิลปะการพูดที่สามารถพูดโน้มน้าวใจผู้ซื้อได้ การพูดจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่นักขายที่อยากประสบความสำเร็จจำเป็นที่จะต้องฝึกฝน สำหรับเทคนิคการพูดเพื่อขายมีดังนี้
1.ต้องชม นักขายที่พูดเก่ง มีวาทศิลป์ที่ดี เขามักจะชมลูกค้าเป็น เพราะธรรมชาติของคนเรา ชอบให้คนอื่นชม ชอบให้คนอื่นยกย่อง ชอบให้คนอื่นสรรเสริญมากกว่า คำพูดที่ว่ากล่าว ติทอ ตักเตือน นินทา ดังนั้น นักขายจึงควรที่จะหัดชมลูกค้า หัดชมครอบครัวของเขา หัดชมงานที่เขาทำ หัดชมงานอดิเรกของเขา รวมไปถึงเรื่องที่เขาสนใจหรือสิ่งของที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แหวน รถยนต์ เสื้อผ้า บ้าน ของลูกค้า เป็นต้น
2.ต้องฟัง นักขายที่ขายเก่ง มักจะเป็นนักฟังที่ดี เขาจะรับฟังปัญหาของลูกค้าก่อน แล้ว ถึงพูดเพื่อที่จะนำเสนอ สินค้า เข้าไปแก้ปัญหาที่ลูกค้ามีอยู่ และควรมีการพูดตอบรับการฟัง เพื่อทำให้ลูกค้าจะได้เกิดความมั่นใจว่าเรากำลังฟังเขาอยู่ เช่น ครับ ครับ ใช่ครับ เห็นด้วยครับ ถูกต้องครับ
3.ต้องเชื่อ นักขายที่ขายเก่ง มักจะมีความเชื่อหรือมีความมั่นใจ ในตัวของสินค้า ตัวของบริษัท ตัวของเจ้าของกิจการ ดังนั้น เมื่อเขาพูดเพื่อขายสินค้าออกไป เขาก็มักจะพูดด้วยความมั่นใจ พูดไปด้วยความเชื่อมั่น เมื่อเขาพูดด้วยความมั่นใจแล้ว บุคลิกและท่าทางของนักขายผู้นั้น ก็จะแสดงออกไปด้วยความมั่นใจตามไปด้วย
4.ต้องช่วย นักขายที่เก่ง เมื่อพูดขายสินค้าไปแล้ว ก็มักที่จะช่วยพูดเพื่อให้ลูกค้าที่เกิดความลังเลใจได้มีโอกาสที่จะได้ตัดสินใจซื้อ เพราะในบางครั้ง สินค้าที่นักขายนำเสนอ มีหลายราคา หลายแบบ หลายขนาด ทำให้ ลูกค้าบางคนไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเลือกสินค้า ราคาใด แบบใด ขนาดใด นักขายที่เก่งมักจะสามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ แล้วพูดโน้มน้าวใจเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกในแบบที่นักขายได้ช่วยตัดสินใจให้
5.ต้องชี้ความจริง นักขายที่ขายเก่งและยืนยงอยู่ในวงการการขายได้อย่างยาวนาน มักจะเป็นนักขายที่มีคุณธรรม จริยธรรม เขามักเป็นคนที่พูดความจริง ไม่โกหก หลอกลวงลูกค้า เพราะถ้าหากพูดโกหก หลอกลวงลูกค้า เมื่อเขาทราบภายหลัง เขาก็อาจจะไม่เชื่อถือ และอาจจะไม่อยากที่จะซื้อสินค้าซ้ำ
6.ต้องชอบ นักขายที่จะพูดเพื่อขายสินค้าได้ นักขายผู้นั้น ควรที่จะมีความชอบในตัวของสินค้า เขาต้องลองทดลองใช้ เมื่อนักขายได้ใช้สินค้าแล้วเกิดความประทับใจในตัวของสินค้า เขาก็จะพูดความประทับใจของสินค้าได้เป็นอย่างดี
ฉะนั้น การพูดเพื่อที่จะขายสินค้า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะบุคคลที่สร้างความร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐี ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักขาย เขาจะมีวิธีการพูดเพื่อที่จะขายสินค้า ขายบริการ และถ้าคุณอยากที่จะขายสินค้าให้ได้มากๆ การพูดจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะสื่อสาร เพื่อก่อให้เกิดการซื้อ และจะทำให้เกิดการเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ เพิ่มตำแหน่งทางสังคมให้กับคุณได้
...
  
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนในยุคปัจจุบันนี้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากกว่าคนในยุคก่อน จึงทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย การเลี้ยงลูก การเลี้ยงหลานของคนในยุคนี้ ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบาก เลยเลี้ยงแบบสบายๆ ไม่มีการบังคับ จึงทำให้เด็กๆในยุคนี้ขาดความอดทน อีกทั้งไม่มีการสร้างวินัยให้แก่เด็กๆ ทำให้ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆจะผลัดวันประกันพรุ่ง ในการทำสิ่งต่างๆ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานหรือการทำกิจกรรม
การขาดวินัยและการผลัดวันประกันพรุ่งนี้นี่เอง ที่ทำให้เรามีการบริหารเวลาได้ไม่ดี ลองนึกดูว่า ในการทำงาน เจ้านายเขาให้ส่งรายงานในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 แต่ถ้าเราไม่มีวินัยเพียงพอ เราก็จะทำรายงานไม่เสร็จ สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากว่าเราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
การสร้างวินัยจึงมีผลต่อการบริหารเวลา การสร้างวินัยจะทำให้การผลัดวันประกันพรุ่งลดน้อยลง ฉะนั้น การมีวินัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
แล้วคนที่มีวินัย คือคนอย่างไร คนที่มีวินัย มักเป็นคนที่ออกระเบียบ กฏเกณฑ์ ข้อบังคับ เพื่อที่จะมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งในการทำงานบางอย่าง เป็นงานยาก เป็นงานที่ไม่อยากที่จะทำ แต่คนที่มีวินัย เขาก็จะฝืนความรู้สึกของตนเอง แล้วพยายามทำตามระเบียบ กฏเกณฑ์ ที่เขาได้วางหรือกำหนดไว้ เขาจึงประสบความสำเร็จในงานที่ทำ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีวินัย เขาก็จะเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ ยิ่งเจองานยากก็ยิ่งไม่อยากทำ มีข้ออ้างต่างๆที่จะไม่ทำ เพื่อที่จะนำเอางานนั้นไปทำในวันพรุ่งนี้ พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่ทำอีก ก็บอกว่าจะเก็บเอาไว้ทำในวันมะรืนนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็ไม่ทำอีก ก็จะบอกว่า จะเอาเก็บเอาไว้ทำในวันมะเรื่องนี้ จึงทำให้งานนั้นไม่เสร็จตามที่ได้กำหนดเอาไว้
ฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นคนที่มีความสามารถในการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ซึ่งทำให้เขาไม่เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง การสร้างวินัยอาจจะต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น เราต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน เราก็ต้องยอมที่จะอดทานอาหารที่เราชอบทาน เราก็ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งไปกับการออกกำลังกาย ทุกๆวัน
คน 2 คน ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน คนหนึ่งมีวินัย ยอมที่จะอดทานของหวาน ของทอด และลดอาหาร 1 มื้อพร้อมกับวิ่งในตอนเย็นๆ วันละ 30 นาที ทุกๆวัน กับอีกคนหนึ่งไม่มีวินัย อีกทั้งเป็นคนพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมที่จะงดของหวาน ของทอด พอเห็นแล้วอดไม่ได้ก็มักจะบอกกับตัวเองว่า เอาไว้งดทานในวันพรุ่งนี้ เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป อีกทั้งไม่มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ถามว่าคน 2 คนนี้ ใครจะสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมไม่ต้องตอบครับ ท่านผู้อ่านก็คงทราบคำตอบดี ฉะนั้น ถ้าท่านต้องการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ท่านก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องมีความอดทน ท่านจะต้องมีความสม่ำเสมอและท่านจะต้องมีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้น

...
  
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายๆคน มักมีความคิดว่า คนที่พูดเก่ง เขามักมีพรสวรรค์ หรือ พูดเก่ง มาตั้งแต่เกิด การคิดเช่นนี้ จึงทำให้หลายๆคน ไม่อยากที่จะพัฒนาตนเองในด้านการพูด เพราะเชื่อว่า ถึงอย่างไร เราก็พูดไม่เก่ง หรือพูดเก่ง สู้คนอื่นเขาไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การพูดสามารถฝึกฝนได้ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน
หากเราได้มีโอกาส ไปสอบถามนักพูดระดับประเทศ หรือ นักพูดระดับโลก เราก็จะได้คำตอบในลักษณะเดียวกันจากปากของนักพูดท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักจะมองตอนที่เขาประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงทางด้านการพูดแล้ว แต่ถ้าไปสืบค้น เบื้องหลัง กว่าที่นักพูดระดับประเทศ นักพูดระดับโลก จะมีชื่อเสียง เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก เขาจะต้องทุ่มเท เขาจะต้องลงทุน ลงแรง และเสียเวลาในการฝึกฝนและพัฒนาการพูดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังคำพูดของ ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่แห่งประเทศสหรัฐ ได้กล่าวไว้ว่า “ เราไม่ต้องไปวิตกกังวลถึงผลของการฝึกฝนของเราเลย ขอให้ฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ อย่าได้หยุดยั้ง แล้วสักวันหนึ่ง เราจะพบว่า เราไม่ได้เป็นรองใครเลยในวงการหรือยุทธจักรที่เราได้ฝึกฝนไป บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่เขามีความแตกต่างตรงที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักจะเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายและไม่เคยท้อแท้ท้อถอยนั้นเอง”
อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียงไม่กี่ปี แต่เขากลับกลายเป็นนักพูดระดับโลก ก็เพราะการฝึกไป เรียนไป
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เขาเป็นคนพูดติดอ่าง ผู้ฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่เขา ฝึกไป เรียนไป เขากลายเป็นนักพูดชั้นเยี่ยมของโลก
เดมอส เทนิส เขาพูดในรัฐสภาครั้งแรก ถูกฮาป่า ถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศว่า เป็นคนที่พูดจาไม่มีวาทะศิลป์ การแสดงกิริยาท่าทางน่าเกลียดมาก เขาได้รับการอัปยศอดสู แต่ ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป เขาต้องใช้เวลาในฝึกพูดตามชายหาดทะเลอยู่ยาวนาน เขาฝึกอ่านสำนวนโวหาร และเขาก็ฝึกคิดสำนวนโวหารของตนเอง สุดท้าย เขาได้รับการให้เกียรติจากรัฐสภา และจากคนทั่วประเทศ
ฮิตเล่อร์ อดีต ผู้นำของประเทศเยอรมัน ไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย ฮิตเล่อร์ เป็นนักพูดที่สามารถพูดครองใจคนเยอรมันได้ทั้งประเทศในช่วงนั้น
ฉะนั้น การพูดจึงสามารถฝึกฝนได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เรามีสถาบันที่ให้การฝึกอบรม มากมาย อีกทั้งมีองค์กรต่างๆเช่น สมาคม ชมรม กลุ่ม ทางการฝึกพูดให้เรา สามารถเข้าไปฝึกฝนได้ เช่น สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , สโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด , ชมรมฝึกการพูดในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อและกล้ายืนยันว่า การพูดเป็นพูดเก่งพูดดี นั้นสามารถฝึกฝนได้ ตอนเด็กๆ กระผมเป็นคนไม่ค่อยพูดมาก พูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น แต่พอตอนกระผมได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย จึงได้มีโอกาส เข้าชมรมฝึกการพูด ภายหลังก็ได้มีโอกาสเข้าไปฝึกฝนการพูดที่สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย และ ตอนทำงานก็ได้มีโอกาสไปฝึกฝนการพูดตามสโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด
แน่นอน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า เราอาจเรียนรู้การพูดจากการอ่านหนังสือและการฟังได้ไม่ใช่หรือ แต่แท้ที่จริงแล้ว วิชาการหลายอย่างเราสามารถอ่านและฟังได้ แต่ก็มีวิชาการอีกหลายอย่างที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการฝึกปฏิบัติ การพูดจึงเป็นวิชาการในประเภทหลังนี้ คือ ต้องมีการอ่านจากในหนังสือและฟังบุคคลต่างๆพูด แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราพูดเก่ง พูดเป็น พูดดี ก็คือการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ นั้นเอง

...
  
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
ทำอย่างไรถึงจะฉลาดขึ้นอีก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายคนที่มีความเชื่อในทางศาสนา อาจเชื่อว่า คนเราเกิดมามีความฉลาดแตกต่างกัน เนื่องมาจากได้ทำ ได้สะสมมาแต่ในชาติปางก่อนหรือในทางวิทยาศาสตร์ คนเราฉลาดหรือโง่หรือมี ไอคิวที่แตกต่างกันเนื่องมาจากการทอดถ่ายทางพันธุกรรม โดยส่วนตัวกระผมก็มีความเชื่อเหมือนกับคนส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ คนเราสามารถฉลาดขึ้นได้อีก ก็โดยการพัฒนานิสัยดังต่อไปนี้
1.พยายามสังเกตุ และรู้จักตั้งคำถามต่างๆ เช่น ทำไม ทำไม ทำไม เมื่อท่านเกิดความสงสัย แล้วท่านพยายามสังเกตุ แล้วพยายามค้นหาคำตอบ เมื่อท่านค้นหาคำตอบ และท่านได้รับคำตอบ จากคำถามที่มีมาอย่างมากมาย ท่านก็จะเป็นคนที่ฉลาดขึ้น
2.พยายามอ่านหนังสือให้มากๆ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือพิมพ์ เพราะการอ่านหนังสือพิมพ์จะทำให้เราทันโลก ทันเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวของโลก หรือ ความเคลื่อนไหวต่างๆของประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้าน
3.พยายามสร้างความแตกต่างหรือหาไอเดียที่แตกต่างกับคนอื่นๆ โลกเราเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก็ด้วยความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ พวกเราจะไม่มีวันได้เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย ถ้าทุกๆคนคิดเหมือนกัน แต่เมื่อมีคนคิดต่างหรือมีไอเดียใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น
4.พยายามหาตัวอย่างมากๆหรือหาแบบอย่างมากๆ คนเราสามารถมีกำลังใจในการทำงานที่มากขึ้น มีความอดทนขึ้น มีความพยายามขึ้น ก็เนื่องมาจาก หลายคนได้หาบุคคลตัวอย่างหรือหาแบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อได้อ่านหรือดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็จะเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดกำลังความคิดในการทำงาน
5.พยายามเอาชนะอุปสรรคต่างๆ แน่นอนในการทำงาน เราต้องเกิดปัญหา เกิดอุปสรรค เกิดความกลัว เกิดความกังวลใจ เกิดความเหนื่อยขึ้น แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จและมีความฉลาด มักจะผ่านพ้นสิ่งต่างๆเหล่านี้มาอย่างมากมาย
6.พยายามเข้าหาบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ มีนักวิชาการกล่าวไว้ว่า อนาคตของท่านจะเป็นอย่างไร ขอให้ดูบุคคลที่ท่านคบค้าสมาคมอย่างสนิทสนมกันเพียงแค่ 5 คน กล่าวคือบุคคลที่สนิทสนมกับท่านก็จะมีนิสัย ใจคอ คล้ายคลึงกับท่าน ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ ท่านจะต้องเข้าหาบุคคลและเข้าหาสิ่งแวดล้อมนั้นๆ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
7.พยายามให้คนอื่นๆมากๆ โดยเฉพาะความรู้ ความรู้ไม่เหมือนกับเงินทอง กล่าวคือ เงินทอง เมื่อท่านหามาได้แล้วใช้มากๆ มันก็มีวันที่จะหมด แต่ความรู้ของคนเรา เมื่อท่านหามาได้แล้วยิ่งใช้มากๆ ยิ่งพยายามให้คนอื่นๆมาก พยายามแบ่งปันคนอื่นๆมากๆ ท่านก็จะมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น
8.พยายามเขียนบันทึก การเขียนบันทึกมีข้อดีหลายๆอย่าง เช่น เมื่อท่านได้รับความรู้เรื่องใดๆ ถ้าท่านไม่พยายามเขียน ไม่พยายามบันทึก ความรู้นั้นๆ สักวันหนึ่งท่านก็จะลืมมันไป การเขียนบันทึกยังทำให้เรา เกิดความคิดที่มีเพิ่มเติมมากขึ้น และยังเกิดความคิดที่ทบทวน เกิดความคิดในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น
9.พยายามค้นหาตัวเอง คนที่ฉลาดหรือมีความอัจฉริยะในตัวเอง มักเป็นคนที่รู้จักตนเอง เขาจะรู้ว่า เขามีความชอบอะไร รักอะไร ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข บุคคลที่รู้จักตนเอง จะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อเขารู้ว่าเขาต้องการอะไร มีเป้าหมายอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งนั้นได้อย่างยาวนาน เขาจะมีความอดทนต่อสิ่งต่างๆ เช่น คนประสบความสำเร็จบางคน รู้จักตัวเองว่า เขามีความสามารถในการพูด ในการบรรยาย เขาก็จะอดทน ฝึกฝน การพูด การบรรยายของเขา อย่างหนัก จนในที่สุดเขาก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในวงการพูด ในวงการบรรยาย

...
  
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏฺิเสธ
หากต้องการเวลา....ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย
www.drsuthichai.com
จงทำแต่งานของท่าน แต่อย่ารับงานของคนอื่นมาทำเสียเอง
ในบางครั้ง เวลาในการทำงานของเรา มีลดน้อยลง ก็เนื่องจากเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หลายคนมีงานที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก งานบางงานต้องเร่งรีบส่ง ในเวลาที่มีจำกัด แต่มีนิสัยขี้เกรงใจคน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธคน จึงทำให้เวลาในการทำงานมีน้อยลง เช่น
คนบางคน เวลามีคนชวนไปกินข้าวเที่ยงเป็นเวลานานๆ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ แทนที่จะรีบ
ไปทานข้าวเที่ยง แล้วมาทำงานต่อ กับเสียเวลาในการพูดคุยกันในเวลากินข้าวเที่ยงหรือเสียเวลาในการรออาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนชวนไปเดินเที่ยวซื้อของที่ตลาด บางคนเพื่อนชวนไปเป็นเพื่อนเพื่อ
ติดตามงาน(ของเพื่อน)ในสถานที่ติดต่องานราชการ ใน วัน เวลาทำงาน ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงทำให้เวลาทำงานของตนเองน้อยลง
คนบางคนถูกเพื่อนหรือคนรู้จัก ขอร้องให้ช่วยทำงานของเขา แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาในชีวิตของตนลดน้อยลง เช่น เพื่อนร่วมงานเรียนปริญญาโท แล้วให้ช่วยทำรายงานให้ ซึ่งงานเหล่านี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสำคัญกับเราเลย แต่ด้วยความที่ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำให้เวลาของเราเหลือน้อยลง
คนบางคน เพื่อนร่วมงานมาหาที่โต๊ะทำงาน แล้วก็ชวนพูดคุย นินทา ผู้คนต่างๆ เป็นเวลานานๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ ในการพูดคุยเป็นเวลานานๆ จึงทำให้เสียเวลาในการทำงานของตนเอง อีกทั้งงานที่จะส่งก็ล่าช้าตามไปด้วย
คนบางคน ขอร้องให้ช่วยไปซื้อของหรือฝากซื้อของ ยังสถานที่ต่างๆในเวลาทำงาน หรือ พักเที่ยงขอร้องให้เราไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า , ค่าน้ำประปา ,ค่าบัตรเครดิต , ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ หากว่าเราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ใช้เวลาในการสนทนา ทาง Facebook หรือ สนทนาทาง Line ในเวลาทำงาน นานจนเกินไปและก็ไม่ใช่สนทนาเกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาในการทำงานของเราก็จะลดน้อยลง
คนบางคน ไปนั่งทานข้าวหรือนั่งกินกาแฟกับเพื่อน เป็นเวลานานๆ แต่มีงานที่จะต้องทำหรือมีธุระที่จะต้องทำ ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือกล้าที่จะขอตัวแล้วลุกจากที่นั่ง หากว่า เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เวลาของเราก็จะลดน้อยลง
ดังนั้น หากท่านต้องการมีเวลาที่จะการทำงานมากขึ้น ท่านต้องกล้าที่จะปฏิเสธ อย่ารับงานของคนอื่นมาทำแทน เพราะ การเกรงใจหรือการไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จะทำให้ท่านเสียเวลาในการทำงานของท่านลง มันเป็นผลเสียต่อตารางการทำงานของเรา ทั้งนี้ การปฏิเสธ ไม่ได้หมายรวมไปถึง งานที่เจ้านายหรือผู้บริหาร เขามอบหมายให้ เพราะนั้นคือหน้าที่ ความรับผิดชอบที่จะต้องทำ เพื่อความก้าวหน้า เพื่อตำแหน่ง เพื่อชีวิตของตนเอง
ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ จึงเป็นหัวใจหนึ่งที่สำคัญในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

...
  
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ถามว่าคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ทำไม คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนอื่นๆ จึงสามารถทำงานหรือสร้างผลงานได้มากกว่าคนเป็นจำนวนมาก คำตอบก็คือ คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในบทความนี้ จึงขอเขียนเรื่อง “ เทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ”
คนที่จะเป็นนักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เขาจะต้องเป็นคนที่ จัดระเบียบของกิจกรรมเป็น โดยมีเทคนิคดังนี้
1. คุณต้องเขียนกิจกรรมต่างๆหรือเป้าหมายที่คุณต้องการทั้งหมดลงในกระดาษ
2.คุณต้องเขียนเป้าหมายในชีวิต ว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จในด้านใด เช่น ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักขาย คุณต้องมีเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายระยะกลาง เป้าหมายระยะสั้น เป้าหมาย 1 ปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์ เป้าหมายรายวัน ที่คุณต้องการ ซึ่งอาจจะใช้เป้าหมายเป็นจำนวนเงินหรือยอดขายเป็นตัวตั้ง
3.คุณต้องแบ่งตัวเลขตามเป้าหมายต่างๆให้ชัดเจน เช่น คุณต้องการที่จะเป็นหัวหน้าฝ่าย คุณต้องไปดูข้อมูลหรือศึกษาข้อมูลเก่าๆว่า คุณสมบัติของหัวหน้าฝ่ายขายที่ผ่านมาหรือคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย เขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
4.คุณต้องแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ เช่น คุณสมบัติของการที่จะเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย คุณจะต้องทำงานอย่างน้อย 3 ปี และมีผลงานทางด้านการขายสะสมไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท คราวนี้ คุณก็จะต้องมาแบ่งแยกเป็น เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์และเป้าหมายรายวัน
กล่าวคือ อีก 3 ปี ข้างหน้า เราจะต้องมียอดขายสะสม 30 ล้านบาท เราจึงต้องแบ่งออกเป็น 3 ปีและเราจะต้องขายให้ได้ปีละ 10 ล้านบาท ยอดขายรายเดือนเดือนละ 8-9 แสนบาท ยอดขายรายสัปดาห์สัปดาห์ละ 2 แสนกว่าบาท ยอดขายรายวันวันละประมาณ 3 หมื่นบาท เป็นต้น
5.คุณต้องจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด โดยยึดหลัก กิจกรรม A B C D ก็ได้ เช่น แบ่งกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่สุดเป็น A กลุ่มลูกค้าระดับกลาง B กลุ่มลูกค้าระดับเล็ก C กลุ่มลูกค้ารายย่อย D (ซึ่งกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ A มียอดสั่งซื้อ 1-3 ล้านต่อปี ในขณะที่ลูกค้ารายย่อย D มียอดสั่งซื้อแค่ปีละ 5 หมื่นบาท ฉะนั้น หากว่าเราขายของให้ลูกค้ากลุ่ม A เพียงแค่ 1 คน จะเท่ากับยอดการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่ม D ถึง 20-30 คนเลยทีเดียว ฉะนั้น นักขายชั้นเซียนจึงให้ความสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่มากกว่าลูกค้ารายเล็ก ) เป็นต้น
6.คุณต้องหาเครื่องมือช่วย เช่น Computer , ipad , มือถือ , ไดอารี , สมุดนัดหมายงานหรือสมุดวางแผนงาน แล้วบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในเครื่องมือที่คุณใช้
7.คุณต้องลงมือทำตามแผนที่คุณได้บันทึกลงไปในเครื่องมือของคุณ อย่างจริงจังและต้องมีวินัยในการปฏิบัติ
8.คุณต้องมีการทบทวน การทำงานของคุณทุกคืน ก่อนนอนว่า ทำไมคุณถึงทำไม่ได้ตามแผนที่คุณวาง แล้วคุณควรที่จะปรับปรุง พัฒนา แผน ต่างๆอย่างไร ต่อไปได้บ้าง แล้ววันพรุ่งนี้ คุณจะทำอะไร ไปพบลูกค้าคนไหน โทรศัทพ์นัดลูกค้าคนไหนบ้าง เป็นต้น
9.คุณต้อง ให้ความสำคัญกับคำว่า “สำคัญกว่าทำก่อน” โดยยึดตารางออกเป็น 4 ช่อง คือ 1.สำคัญและเร่งด่วน 2.สำคัญและไม่เร่งด่วน 3.ไม่สำคัญและเร่งด่วน 4.ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน เราควรให้น้ำหนักกับกิจกรรม ในช่องที่ 1และ2 ส่วนช่องที่ 3และ4 ควรลดจำนวนการใช้เวลาในช่องนี้ (ถ้าหากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมหรือซื้อหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเวลามาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนใหญ่หนังสือการบริหารเวลาจะมีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ)
10.คุณต้อง เรียนรู้เทคโนโลยี ในการช่วยทำงาน ปัจจุบัน เทคโนโลยี มีความทันสมัยและราคาถูกลงเป็นอันมากเมื่อเทียบกับคุณภาพการใช้งาน คุณควรเรียนรู้ เครื่องมือเหล่านี้ เช่น การใช้โทรศัพท์ให้เป็นประโยชน์ในการประสานงานการนัดลูกค้า ซึ่งในโทรศัพท์มือถือมีเครื่องมือช่วยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปเอกสารต่างๆ เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน , การโอนเงินฝากเงินโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ,การเช็ค E-mail ,การบันทึกเสียงต่างๆ เมื่อคุณต้องเข้ารับการอบรม สัมมนาต่างๆ เพื่อเอามาฟัง , การดูคลิปการอบรม การบรรยายต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ , การติดต่อลูกค้าหรือบุคคลต่างๆ ผ่าน Facebook ผ่าน Line , การขายของผ่านอินเตอร์เน็ตต่างๆ เป็นต้น
11.คุณต้อง พัฒนาตนเองด้วยมิติ การจัดการ PDCA คือ P (Planning) การวางแผน D (Do) การลงมือทำปฏิบัติตามแผน C (Check) ตรวจสอบและประเมินตนเอง A (Action) การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนา
นี่คือเทคนิคการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพอย่างคร่าวๆ ซึ่งท่านผู้อ่านคงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ และก็ลงมือปฏิบัติ แก้ไข ปรับปรุง ก็จะทำให้ท่านเป็นนักบริหารเวลาและใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.