หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  อิทธิบาท 4 สู่ความสำเร็จในงานขาย
  -  อยากสำเร็จต้อง.
  -  การพูดเพื่อขาย
  -  การจัดการเวลา
  -  ความสำเร็จเริ่มต้นที่ความกล้า
  -  ใช้ชีวิต...ให้เต็มชีวิต...
  -  การตลาดยุคใหม่ : Modern Marketing
  -  การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
  -  Brand Experience
  -  ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
  -  การตลาดขั้นเทพ
  -  แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
  -  สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
  -  แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
  -  ธรรมชาติของงานบริการ
  -  อาวุธทางการตลาดคือการสร้างไอเดีย
  -  กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
  -  Marketing Environment
  -  การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
  -  จงเข้าใจการตลาด...ก่อนลงมือทำการตลาด
  -  จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
  -  กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก
  -  Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
  -  Celebrity Marketing
  -  อาวุธทางด้านการตลาด.....ที่นักการตลาดต้องรู้
  -  นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  จงสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขาย
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
Marketing Environment
Marketing Environment
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ก่อนที่จะประกอบธุรกิจ ก่อนที่จะทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การศึกษา สิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาด(Marketing Environment) มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาดจะทำให้เราได้รู้ถึง สถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลของผู้แข่งขันมาก ถ้าเรารู้ถึงสภาพเศราฐกิจของโลกของประเทศมาก ก็จะยิ่งทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราตัดสินใจในการทำการตลาดและทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งแวดล้อม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Factors) คือ ปัจจัยต่างๆที่เราสามารถควบคุมได้ จัดการได้ เช่น การจัดการทางด้านการเงิน(Financial) การจัดการทางด้านการผลิต(Production) การจัดการทางด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) การจัดหาที่ตั้งของบริษัท(Company Location) การวิจัย (Research) รวมไปจึงถึงการจัดการทางด้าน 4P คือ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) ช่องทางในการจัดจำหน่าย(Place) การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
ซึ่งปัจจัยสถาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ หากบริษัทสามารถบริหาร จัดการได้ดีก็จะส่งผลกระทบในด้านบวก ต่อการสร้างจุดแข็ง(Strategy)ของบริษัท และถ้าหากว่า บริษัท บริหารหรือจัดการได้ไม่ดีก็จะส่งผลกระทบทางด้านลบจนการเป็นจุดอ่อน(Weakness)ของบริษัทได้เช่นกัน
2.สิ่งแวดล้อมภายนอก คือ ปัจจัยต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บริหารจัดการได้ซึ่ง ขอแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับ จุลภาค(Micro) กับ ระดับ มหาภาค( Macro)
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค(Micro External Environment)
1.คู่แข่งขัน(Competitors) คือ เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรง จึงทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจเดียวกัน ดำเนินธุรกิจและใช้กลยุทธ์ต่างๆคล้ายคลึงกัน เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน มีช่องทางจัดจำหน่ายแห่งเดียวกัน ตั้งราคาเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆกัน มีการใช้สื่อโฆษณาเดียวกัน เป็นต้น
2.กลุ่มพ่อค้าคนกลาง(Marketing Intermediaries) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น บริษัทของเราได้ทำการส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้แก่ 7-11 แต่อยู่มาวันหนึ่ง 7-11 ไม่รับจัดจำหน่ายให้แก่เรา ช่องทางจัดจำหน่ายจึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในยุคปัจจุบัน หลายบริษัท จึงหันมา ซื้อบริษัทที่จัดจำหน่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายของตนเอง เช่น บริษัท CP ผลิตสินค้าประเภทอาหารเพื่อจำหน่าย ต่อมา บริษัท CP จึงได้ซื้อบริษัท แม็คโคร และ บริษัท 7-11 มาเป็นของตนเอง เป็นต้น
3. ผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะถ้าหากผู้จัดหาวัตถุดิบไม่ยอมส่งวัตถุดิบมาให้เราผลิต แต่กลับส่งให้กับคู่แข่งขัน บริษัทของเราก็คงจะเดือดร้อนเป็นอันมาก
4.ผู้บริโภค(Customer) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้มากขึ้น สามารถเลือกราคาได้ตามต้องการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับมหาภาค(Macro External Environment)
1.เศรษฐกิจ Economic ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางด้านการตลาดของบริษัทอย่างแน่นอน ตัวอย่าง ถ้าเศรษฐกิจประเทศและระดับโลกตกต่ำ ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กำไรของบริษัทลดตัวลง และทำให้บริษัทต้องลดต้นทุน เช่น มีการเลิกจ้างงาน มีการลดกำลังการผลิต เป็นต้น
2.ประชากรศาสตร์(Demography) จำนวนประชากร มีผลกระทบต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัท เช่น ประชากรไทยมีประมาณ 62 ล้านคน แต่ในปัจจุบันมีการเปิด AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของ 10 ประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชากรของ Asean ได้ถึง 636 ล้านคน เลยทีเดียว
3. การเมืองและกฏหมาย (Political and Legal) เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งนี้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบบประชาธิปไตย แต่อยู่มาวันหนึ่งมีการปฏิวัติ รัฐประหารโดยทหาร จึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและกฎหมายโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
4.เทคโนโลยี(Technology) ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการเกษตร เรามีการตัดต่อพันธุ์กรรมในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ เรามีเครื่องยนต์กลไกใหม่ๆ ในการช่วยทำงานด้านการเกษตรและอุตสหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราทำงานอย่างได้สะดวก สบายและรวดเร็วขึ้น เช่นมีการค้าขายผ่านเว็ปไซค์ มีการติดต่อกันผ่าน E-mail มีการพูดคุยกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกและดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น การประชุมกลุ่มผ่านไลน์ ผ่าน Facebook เป็นต้น
5.สถาวการณ์โลก เช่น ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติ ฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ ดิน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุคนี้ ฤดูกาลต่างๆ มักจะไม่นิ่งหรือไม่ตรงตามกาลเหมือนในอดีต บางช่วงฤดูหนาวกลับร้อน ฤดูร้อนกับหนาว บางประเทศไม่เคยมีหิมะตกแต่ในปัจจุบันกลับมี เป็นต้น
ดังนั้น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะทำให้เราได้รู้ถึง การสร้างโอกาส (Opportunity) ได้ และสามาถทำให้เราวิเคราะห์ถึงอุปสรรค(Threats)ในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจ การดำเนินการตลาดในยุคปัจจุบัน เราควรเรียนรู้ เราควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดด้วย จึงจะทำให้เราดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ นักการตลาดควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยการประยุกต์ทฤษฏี Swot ใช้อย่างละเอียด ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดได้ดีกว่านักการตลาดที่ไม่มีหลักการในการคิดหรือไม่มีหลักการในการดำเนินธุรกิจ แต่ ดำเนินการตลาดหรือดำเนินธุรกิจไปตามแบบยถากรรม



...
  
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาด มีด้วยกันหลายวิธีเช่น กลยุทธ์ด้านราคาหรือต้นทุน , กลยุทธ์ทางด้านความรวดเร็ว และกลยุทธ์ที่สำคัญและเป็นที่นิยมในโลกยุคนี้ก็คือ การสร้างความแตกต่างหรือการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ในบทความนี้ เราจึงมาพูดเกี่ยวกับเรื่อง การสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางด้านการตลาดกัน
อันดับแรกเรามาทราบความหมายกันก่อน
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
ปัจจุบันเรามีอาชีพวิทยากร ถ้าผมแก้ผ้าไปบรรยายหรือสอน พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่ ถึงแม้จะเป็นสิ่งใหม่คือไม่มีใครทำมาก่อน แต่ไม่มีความเหมาะสมและใช้การได้
ส่วนความหมายของคำว่า “นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ๆที่ได้จากองค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ การทดลอง โดยออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์ แนวคิด หรือกระบวนการที่สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นเงินเป็นทองได้อีกด้วย
ซึ่งการสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบ่งออกเป็น 2 แบบ
1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก
1.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนโลก เช่น การสร้างสรรค์และนวัตกรรม รถยนต์คันแรกของโลกของเฮนรี่ ฟอร์ด ,
สตีฟ จ็อบ กับสินค้าตระกูล I (ipad iphone ipod imac) , เครื่องบินลำแรกของโลก ของสองพี่น้องตระกูลไรค์ เป็นต้น
2.การสร้างสรรค์และนวัตกรรมแบบเปลี่ยนแปลงแบบไม่มาก เช่น สินค้าที่พวกเราเห็นในยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ สี รสชาติ รูปทรงให้มีความแตกต่างกันออกไป


ปัจจัยที่ทำให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม มีดังนี้
1.การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มีอยู่ 3 อย่าง คือ1.1.กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน(Cost Leadership)1.2.กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง(Differentiation) 1.3.กลยุทธ์สร้างความรวดเร็ว( speed) กลยุทธ์สร้างความแตกต่างจึงเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์และนวัตกรรมนั้นเอง
2.การวิจัยทางการตลาด เราสามารถวิจัยการตลาดได้หลายอย่างเช่น 2.1. การวิจัยผู้บริโภค 2.2. การวิจัยผลิตภัณฑ์
2.3. การวิจัยราคา 2.4. การวิจัยช่องทางการจำหน่าย 2.5. การวิจัยการส่งเสริมการตลาด
3.พฤติกรรมผู้บริโภค เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคโดยใช้ทฤษกี 6W 1H คือ Who? ใครเป็นลูกค้าเป้าหมาย
, What? ผู้บริโภคซื้ออะไร , Why? ทำไมผู้บริโภคจึงซื้อ , Who? ใครมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อ,
When? ผู้บริโภคซื้อเมื่อใด , Where? ผู้บริโภคซื้อที่ไหน และ How? ผู้บริโภคซื้ออย่างไร
4.วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ซึ่งประกอบไปด้วย ขั้นแนะนำ ขั้นเติบโต ขั้นเติบโตเต็มที่ และขั้นถดถอย
5.การเปลี่ยนแปลงของโลก มีความรวดเร็วมากกว่าในอดีตเนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้เกิดความรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ตทำให้ทุกอย่างมีความรวดเร็วไม่ว่า เรื่องของข้อมูลข่าวสาร เรื่องของการบริการโดยผ่านอินเตอร์เน็ต
ปัจจัย 5 ข้อข้างต้น จึงก่อให้เกิดการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมขึ้น
การตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรม เราควรสร้างสรรค์และนวัตกรรม 4P หรือสร้างสรรค์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix ) นั่นเองคือ 1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product 1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price 1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place 1.4. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion
1.1. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Product เราควรสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าให้มี คุณภาพและก่อให้เกิดความแตกต่าง ความแปลกใหม่ ไม่ว่าในเรื่องของ ความคงทน สะอาด รสชาติต่างๆ รูปร่างลักษณะแปลกใหม่ เช่น ทรงกลม ทรงกระบอก ให้ใช้งานง่าย ทันสมัย พกพาสะดวก เป็นต้น
1.2. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Price การสร้างสรรค์และนวัตกรรมด้านราคา มีหลายรูปแบบเช่น
1.2.1.ตั้งราคาให้เท่ากันทุกชิ้น(ทั้งร้าน 10 บาททุกชิ้น ทั้งร้าน 20 บาททุกชิ้น ทั้งราคา 90 บาททุกชิ้น)
1.2.2.ตั้งราคาด้วยเลข 9หรือลงท้ายด้วยเลข 9 เป็นการตั้งราคาตามจิตวิทยา เคยมีนักวิชาการชาวสหรัฐอเมริกาเคยทำการวิจัย โดยตั้งราคาสินค้าชนิดเดียวกันอย่างเดียวกัน แต่เอาไว้คนละร้าน ร้านที่ 1 ตั้งราคาที่ 44 บาท ร้านที่ 2 ตั้งราคาที่ 39 บาท ปรากฏว่า 39 บาทขายดีกว่า 44 (หลายคนคงบอกว่าก็แน่นอนเพราะมันถูกกว่ากัน) ต่อมานักวิชาการคนเดียวกันก็เลยตั้งราคาใหม่ให้ร้านที่ 1 ขายในราคา 33 บาท แต่ร้านที่ 2 ขายราคาเดิมคือ 39 บาท ปรากฏว่า ราคา 39 บาทก็ยังขายดีกว่า 33 บาท ดังนั้นการตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 มีผลอย่างมากในทางจิตวิทยา แต่นักวิชาการคนดังกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การตั้งราคาด้วยเลข 9 หรือลงท้ายด้วย 9 ไม่ควรตั้งเกินหรือมากกว่า 30% ของสินค้าทั้งหมดในร้าน เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าสินค้าไม่มีค่าหรือเป็นของที่ไม่มีคุณภาพเนื่องจากราคาถูก
1.2.3.ตั้งราคาแบบ Pay-What-You Want เกิดขึ้นที่อเมริกา ตามร้านอาหารหลายแห่งและตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เป็นการใช้บริการก่อน ไม่มีกำหนดราคา ลูกค้าจะจ่ายก็ต่อเมื่อ ใช้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าเห็นว่าดีหรือมีคุณภาพก็เอาเงินใส่ในกล่อง
1.2.4.ตั้งราคาแบบ pay it forward เกิดขึ้นที่อเมริกาเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จหรือใช้บริการเสร็จ ตอนคิดเงิน ร้านอาหารหรือผู้ประกอบการก็บอกว่า มีคนจ่ายแทนคุณแล้วก็คือคนที่กินก่อนหน้าคุณ แล้วคุณจะจ่ายให้คนต่อไปเท่าไร เป็นการจ่ายเงินให้คนต่อไปที่ใช้บริการต่อจากเรา
1.3. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place(ช่องทางการจัดจำหน่าย) คือการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีกิจกรรมได้แก่ การขนส่ง การคลังสินค้า / การบริหารสินค้าคงเหลือ การตัดสินใจเรื่องคนกลาง เป็นต้น
ในยุคปัจจุบันมีการสร้างสรรค์และนวัตกรรม Place หลายอย่าง เช่น การใช้รถยนต์เคลื่อนที่(รถยนต์อาหารหรือรถยนต์กาแฟเคลื่อนที่), E-commerce ฯลฯ
1.4. การสร้างสรรค์และนวัตกรรม Promotion หมายถึง การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้รับข่าวสารซึ่งเป็นผู้บริโภค ให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือสินค้า รวมไปถึงข้อมูลกิจการของผู้จำหน่าย เช่น E-Mail Marketing , Online (Advertising and Search agent) , Billboard ฯลฯ
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับการสร้างแบรนด์ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆมีผลมากต่อการสร้างแบรนด์ เพราะการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆออกมาจะทำให้ผู้บริโภคสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ความก้าวหน้า ของแบรนด์อยู่ตลอดเวลา เช่น แบรนด์ แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ของสตีฟ จอบส์ ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ทันสมัยออกมาตลอดเวลา จึงทำให้แบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์มีความแข็งแกร่งและมีความทันสมัย อีกทั้งยังได้สร้างความมั่งคั่งในด้านเงินทองอย่างมากมายมหาศาล
การสร้างสรรค์และนวัตกรรมกับสารสนเทศ เทคโนโลยี ยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า สารสนเทศมีความสำคัญและมีความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรม รวมทั้งมีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ธุรกิจให้เติบโต เราจะเห็นได้ว่าบริษัทระดับโลกที่มีความยิ่งใหญ่มักใช้สารสนเทศ ข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยีในการขาย เช่น บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับโซเซียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น youtube , Facebook , google , Twitter , Line , Instagram ฯลฯ บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ปี แต่ประเทศไทยเรายังทำเรื่องเหล่านี้น้อยมาก
ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจของไทยเรามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนานวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมเกี่ยวกับสินค้า นวัตกรรมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการบริการ เพราะในยุคปัจจุบัน ถ้าเราจะแข่งขันด้านราคา เราคงพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะประเทศจีน สินค้า ผลิตภัณฑ์ของจีน มีราคาถูกมากๆ ถูกจนทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายประเทศสู้ไม่ได้ ยิ่งในยุคของอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างเสรีและได้ในราคาถูกยิ่งขึ้น เช่น เราสามารถสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนได้โดยผ่านเว็ป aliexpress ซึ่งมีบริการส่งสินค้าถึงที่บ้านเลยทีเดียว
โดยภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าประเทศอเมริกาเป็นประเทศที่ร่ำรวย ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ทำให้ประเทศอเมริการ่ำรวย แต่มีปัจจัยหนึ่งที่น่าคิดและพิจารณาก็คือ ประเทศอเมริกามี บุคคลสำคัญๆของโลกที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์หรือกล้าที่จะคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมา จึงทำให้ประเทศอเมริกาจดลิขสิทธิ์แล้วสามารถขายสินค้าไปได้ทั่วโลก เช่น 1.สตีฟ จอบส์ ได้ลิขสิทธิ์ในสินค้าแบรนด์แอปเปิลคอมพิวเตอร์เป็นชาวอเมริกา 2.บิล เกตส์ บริษัทไมโครซอฟท์ เป็นชาวอเมริกา 3.ทอมัส แอลวา เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์ของโลกและนักธุรกิจชาวอเมริกัน 4.พี่น้องตระกูลไรท์ ผู้สร้างเครื่องบินได้สำเร็จเป็นคนแรกเป็นชาวอเมริกา 5.เฮนรี ฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์คันแรกก็เป็นชาวอเมริกา และมีอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นนักคิดนวัตกรรมชาวอเมริกา
...
  
จงเข้าใจการตลาด...ก่อนลงมือทำการตลาด
จงเข้าใจการตลาด...ก่อนลงมือทำการตลาด
โดย...ผศ.ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักการตลาดที่ดี ควรที่จะต้องทำการศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของการทำการตลาดก่อนที่จะลงมือทำการตลาดจริง เพราะถ้ามีความเข้าใจไม่ถ่องแท้ เวลานำศาสตร์ทางการตลาดไปใช้หรือนำไปปฏิบัติอาจเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เนื่องจากการตลาดยุคใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการแข่งขันที่สูง มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ทำให้เกิดความรวดเร็วในการแข่งขัน ดังนั้นก่อนที่จะลงมือทำการตลาดควรทำความเข้าใจเรื่องของการตลาดเสียก่อน การทำการตลาดที่ควรทำความเข้าใจมีดังนี้
1.การตลาดเป็นเรื่องของการลงทุน บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ในอดีตปิดกิจการไปก็เพราะมัวแต่เน้นเรื่องของการผลิต กล่าวคือ ต้องผลิต สินค้า ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นจำนวนมากๆ โดยไม่ยอมลงทุน ทำการตลาด เช่น ลงทุนทำการวิจัยการตลาด , ลงทุนสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อสนองความต้องการของลูกค้า , ลงทุนโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ,ลงทุนทำกลยุทธ์ 4 P ฯลฯ จึงทำให้ขายไม่ได้แล้วในที่สุดก็ต้องปิดกิจการไป แต่ในยุคปัจจุบัน บริษัท ห้างร้าน ต่างๆให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านการตลาดมาเป็นอันดับต้นๆ
2.การตลาดไม่ใช่ขายได้ทุกคนหรือทุกๆคนไม่ใช่ลูกค้า นักการตลาดต้องทราบก่อนว่า การที่เราจะขายสินค้า ผลิตภัณฑ์หรือการบริการ ลูกค้าของเราคือกลุ่มไหน เพราะไม่ใช่ทุกๆคนจะเป็นลูกค้าของเรา เช่น เราขายรถยี่ห้อหนึ่ง เราต้องทราบก่อนว่า ใครจะซื้อรถของเรา ไม่ใช่ทุกๆคนจะซื้อรถของเราไปใช้ เนื่องจากทุกๆคนมีข้อจำกัดที่แตกต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ วัย อาชีพ อายุ รสนิยม ดังนั้น จึงมีรถหลากหลายยี่ห้อให้ทุกๆคนได้เลือกซื้อและเลือกใช้
3.การตลาดต้องใช้เวลาในการทำการตลาด นักการตลาดต้องทราบเสียก่อนว่า กว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งจะเป็นที่นิยมของตลาดหรือมีส่วนแบ่งการตลาดที่มาก ต้องใช้เวลาในการทำการตลาด เช่น โค้ก (เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัทโคคา-โคล่าในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1944) ปัจจุบันมีอายุ 74 ปี ซึ่งกว่า โค้ก จะมียอดขายอันดับหนึ่งโดยมียอดขายรวมทั่วทั้งโลก โค้กต้องใช้เวลาในการทำการตลาด เช่น ลงทุนในการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย ลด แลก แจก แถม ฯลฯ
4.การตลาดไม่ใช่แค่ 4 P หรือไม่ใช่แค่การส่งเสริมการตลาด แต่การตลาดมีมากกว่านั้น เช่น จะต้องมีการวิจัยทางด้านการตลาด จะต้องมีเรื่องของการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค จะต้องมีเรื่องของกฎหมาย วัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ของประเทศหรือของพื้นที่ที่เราจะทำการตลาด เป็นต้น
5.การตลาดไม่ใช่คำตอบสุดท้าย นักการตลาดหลายคน ทำการตลาด ศึกษาการตลาด วางแผนกลยุทธ์การตลาดได้เป็นอย่างดี แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการตลาดไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะการทำการตลาดในบางครั้ง จำเป็นจะต้องมีเรื่องของ บุญ วาสนา จังหวะ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักการตลาดบางคนทำการตลาดถูกจังหวะ ผลปรากฏว่า สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ขายได้มากจึงสร้างความร่ำรวยมหาศาลให้แก่กิจการ แต่ตรงกันข้ามกับนักการตลาดบางคนทำการตลาดผิดจังหวะผิดเวลา สินค้า บริการ ก็ไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าหรือผู้บริโภคเท่าที่ควร เป็นต้น
ดังนั้น นักการตลาดที่ดีหรือประสบความสำเร็จจะต้องใส่ใจศึกษา ค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับการทำการตลาดก่อนที่จะนำสินค้า บริการ หรือผลิตภัณฑ์ เข้าสู่การแข่งขัน อย่างน้อย ก็ควรนั่งเขียน แผนการตลาดทางธุรกิจก่อน เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ว่าเราจะวางแผนการตลาดอย่างไร เราจะแก้ไข ปรับปรุงอย่างไร เพราะการเขียนแผนการตลาดจะเป็นเสมือนแผนที่ทางการตลาดให้เราได้เดินไปถูกทิศถูกทาง

...
  
จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อดีตเรามีการปฏิวัติสังคมเกษตร อดีตเรามีการปฏิวัติสังคมอุตสหกรรม และในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่อีกครั้งคือการปฏิวัติสังคมดิจิทัล ซึ่งในยุคสังคมเกษตรใครมีที่ดินมากกว่าย่อมมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนยุคสังคมอุตสหกรรมใครมีกำลังการผลิตที่มากกว่าคนคนนั้นมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนสังคมในยุคนี้ เราสามารถเอาชนะหรือหาทางได้เปรียบในการแข่งขันจากอะไร?
คำตอบก็คือ ในยุคนี้ เราสามารถเอาชนะในการแข่งขันหรือสร้างความได้เปรียบก็ด้วย วิธีคิดครับ...
โดยเฉพาะการคิดสร้างสรรค์การคิดเชิงนวัตกรรม และอีกหลายปัจจัยที่จะกล่าววอีกต่อไป ซึ่งเราจะเห็นว่า ในยุคปัจจุบัน คนใช้อินเตอร์เน็ตกันเยอะมากๆ โดยใช้กันทั่วทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยของเราก็เช่นกัน เรามีคนใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นทุกๆปี
Smartphone (สมาร์ทโฟน) คือเครื่องมือและคำตอบในปัจจุบัน ในอดีตเราเล่นอินเตอร์เน็ตโดยผ่านคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ แต่ในปัจจุบัน Smartphone (สมาร์ทโฟน) มาแทนที่เนื่องจากมีความสะดวกสบาย สามารถพกพาไปได้ทุกแห่ง ง่ายต่อการใช้งาน พวกเราลองสังเกตในชีวิตประจำวัน เวลาเราขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน เราจะเห็นผู้คนใช้ Smartphone (สมาร์ทโฟน)หรือแม้แต่คนในครอบครัวเราเองก็เช่นกัน
อินเตอร์เน็ต คือ แหล่งที่รวมของ ข้อมูล ข่าวสาร การค้า การศึกษา ความบันเทิง เกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งที่ใหญ่มาก และถ้าใครที่เก่งภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษก็จะยิ่งได้รับประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกใจว่าทำไม บริษัท องค์กรต่างๆ จึงเลือกที่จะสื่อสารกับลูกค้า ผู้บริโภค หรือประชาชน โดยผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้น
ถามว่า แล้วจะแข่งขันอย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล คำตอบก็คือ
1.การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการใช้ความคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ การสื่อสารหรือการขายของหรือการประชาสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้ามีความเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน ก็จะทำให้ผู้ชมหรือผู้เข้ามาดูไม่เกิดความน่าสนใจ ดังนั้น การคิดสร้างสรรค์และการคิดนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะการสร้างความแตกต่าง จะทำให้เกิดความน่าสนใจ เกิดการอยากติดตาม เกิดการอยากที่จะซื้อ หรือพูดง่ายๆว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะต้องคิดนอกกรอบมากขึ้น
2.การใช้ Big Data เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในยุคนี้ บารัก โอบามา ชนะการเลือกตั้ง 2 สมัยก็เพราะการใช้ประโยชน์จาก Big Data ต่อมาโดนัลด์ ทรัมป์และฮิลลารี คลินตัน ก็พยายามใช้ Big Data เช่นเดียวกัน Big Data สามารถนำเอามาใช้ในการวิเคราะห์ฐานเสียง ซึ่งทั้งสองคนถึงกับลงทุนจ้างบริษัทที่ทำงานด้านนี้มาช่วยในการหาเสียง ดังนั้น ข้อมูลจึงมีความสำคัญ ใครที่มีข้อมูลที่ลึกกว่า ดีกว่า ถูกต้องมากกว่า เร็วกว่า ทันสมัยกว่า แล้วสามารถนำเอามาวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเอาข้อมูลไปใช้ประโยชน์มักที่จะได้เปรียบต่อการแข่งขัน
3.การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เทคโนโลยีทำให้เกิดความสะดวก เกิดความรวดเร็ว เกิดความแม่นยำและถูกต้อง ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ให้ความสำคัญ เช่น การวางระบบจ่ายเงินผ่านธนาคารออนไลน์ , การเลี้ยงไก่และเลี้ยงหมูโดยการใช้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรเข้าช่วย , การใช้คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรที่ทันสมัยเข้าช่วยทำงานแทนแรงงานคน ฯลฯ
4.การค้นหาหรือการสร้างธุรกิจ Startup ขึ้นมา คือ ธุรกิจประเภทที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หรือแบบก้าวกระโดด ส่วนใหญ่จะเป็น แอพพลิเคชั่นหรือเวปไซค์ที่ช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น สมัยอดีต Facebook กับ Youtube ถือว่าเป็น Startup ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องอาศัยไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม มากกว่าการใช้เงินทุน
5.การใช้กลยุทธ์ Growth Hacking คือ การค้นหากลยุทธ์ใหม่ๆที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้เครื่องมือโปรโมทหรือเครื่องมือการสื่อสารใหม่ๆ แทนที่จะใช้ Facebook ads หรือมีการปรับใช้เวปไซค์ที่ทันสมัยเพื่อให้รูปสวยขึ้น(รูปบ้าน รูปรถ รูปสินค้าต่างๆของลูกค้า) , หรือการเปลี่ยนแปลงสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ให้เกิดความแปลกใหม่ แล้วทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 50 เท่า 100 เท่า
6.การคิดและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวัน ทุกๆอาทิตย์ ทุกๆปี คนที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้จะต้อง คิดและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง ต้องคิดต่อยอดอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง กล่าวคือจะต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้สินค้าดีขึ้น จะทำอย่างไรให้ขายสินค้าได้มากขึ้น จะทำอย่างไรให้ช่องทางการจัดจำหน่ายดียิ่งขึ้น จะทำอย่างไรให้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
7.การเข้าหาหน่วยงานที่คอยให้การช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัย กรมส่งเสริมอุตสหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารหลายแห่ง อีกทั้งในยุคปัจจุบัน รัฐบาลมีกองทุนสนับสนุน และจัดตั้งหน่วยงานให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องการฝึกอบรม การเป็นที่ปรึกษา การหาแหล่งเงินทุน การรวมกลุ่มกันเพื่อเป็นพันธมิตรทางด้านการค้า แก่ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ในการทำธุรกิจ จงเข้าไปหาหน่วยงานและขอรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานเหล่านั้น
8.การขยายกิจการ ไปยังต่างประเทศ เริ่มต้นเราอาจทำธุรกิจในประเทศไทย มีคนประชากรประมาณ 63 ล้านคน แต่ถ้าเราขยายไปยังอาเซียนหรือขยายธุรกิจไปทั่วโลก เราก็จะมีฐานลูกค้ามากขึ้นเป็นหลายพันเท่าเลยทีเดียวซึ่งในยุคนี้สามารถทำได้ง่ายกว่ายุคในอดีต เพราะเราสามารถขายผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร หรือทำคลิปแนะนำโดยพูดเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ดังนั้นเราจะสามารถเอาชนะในการแข่งขันทางด้านการตลาด ก็ด้วยปัจจัยที่กล่าวไปในข้างต้น ซึ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลนี้ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัว มีการปรับปรุง และพัฒนาตนเองตลอดเวลา จึงจะประสบความสำเร็จในการแข่งขันในยุคนี้



...
  
กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก
กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การแข่งขันในยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกับการแข่งขันในยุคอดีตอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ากว่าในอดีต (เทคโนโลยีทางด้านอินเตอร์เน็ต,เทคโนโลยีทางด้านยานยนต์,เทคโนโลยีทางด้านเครื่องมือที่ช่วยในการทำงาน ฯลฯ) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสารที่มีความรวดเร็ว สะดวก ราคาถูก ชัดเจนมากกว่าในอดีต
โลกของการแข่งขันจึงมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ในปัจจุบันเราจะสังเกตเห็นว่า โลกมีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น เราจะเห็นคนต่างประเทศเข้ามาอยู่ในประเทศไทยกันมากขึ้น มีเสรีภาพมากขึ้นกว่าในอดีต เราสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกับคนทั่วโลกได้อย่างง่ายดายโดยผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อ E-mail , การพูดคุยกัน การเขียนผ่านสื่อจำพวก Facebook , Line , twitter ฯลฯ เรามีการใช้ชีวิตเหมือนโลกตะวันตก การแต่งตัว การกิน การใช้ชีวิต การดูหนังและการฟังเพลง(ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษ) เรามีร้าน KFC , mcdonald's , 7-11 , Mister Donut , Coca-Cola(โค้ก) ฯลฯ ซึ่ง สินค้าพวกนี้ ร้านค้าพวกนี้ มีขายในหลายประเทศทั่วโลก
ฉะนั้น เจ้าของกิจการต่างๆที่อยู่ในประเทศไทย ถ้ามองในแง่ของการแข่งขันในด้านการตลาด ก็สามารถมองได้ 2 แง่มุมก็คือ มุมลบ(เราคงแข่งขันกับบริษัทระดับโลกยาก,เราคงสู้กับเขาไม่ได้) และมองอีกมุมหนึ่งก็คือ มุมบวก(เรามีโอกาสมากขึ้นกว่าในอดีต เราสามารถขยายกิจการ ขยายตลาด ไปได้ทั่วโลกแบบบริษัทระดับโลก)
ในบทความฉบับนี้ ผู้เขียนจึงต้องการเขียนเกี่ยวกับ กลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก ซึ่งมี 4 วิธีคือ
1. กลยุทธ์ระหว่างประเทศ (International Strategy)
2. กลยุทธ์ข้ามชาติ (Multinational Strategy)
3. กลยุทธ์ระดับโลก (Global Strategy)
4. กลยุทธ์ส่งผ่านข้ามชาติ (Transnational Strategy)
สำหรับรายละเอียด มีดังนี้
1.กลยุทธ์ระหว่างประเทศ (International Strategy) คือกลยุทธ์ในการจัดการทางด้านธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขายบริการ การขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ จากบริษัทในประเทศแม่ไปยังบริษัทต่างๆที่มีสาขาซึ่งตั้งในประเทศอื่น ซึ่งนโยบายหลักยังคงเป็นเป็นบริษัทในประเทศแม่เป็นผู้ดูแลอยู่ แต่ในบางกรณีอาจให้บริษัทตัวแทนที่อยู่ในประเทศอื่น สามารถทำการบางอย่างได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงที่ตกลงร่วมกัน เช่น บริษัท McDonald, บริษัทP&G เป็นต้น
2.กลยุทธ์ข้ามชาติ (Multidomestic Strategy) คือกลยุทธ์ที่มีการกระจายอำนาจ กระจายการตัดสินใจให้บริษัทตัวแทนในต่างประเทศเป็นผู้ดูแลมากขึ้น เช่น การปรับเปลี่ยนราคา การปรับเปลี่ยนสินค้า และการบริการ เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของคนในประเทศนั้นๆ มากขึ้นและมีความง่ายและรวดเร็วในการแข่งขัน เช่น KFC ของไทยมีข้าวยำไก่แซ่บ KFCของฮังการีมี Qurrito(อกไก่ เชดดาร์ชีส ซอสบาร์บีคิว อัดแน่นในแผ่นตาร์ตียา) KFC ของเม็กซิโก มีCruji jalapeno (ไก่ทอดชุบซอสพริกฮาลาเปนโญ่) KFCของแคนาดา มีPoutine(เฟรนซืฟรายส์ราดด้วยน้ำเกรวีและชีส) KFC ของไต้หวันมีข้าวต้มใส่ไก่ทอด KFC ของบังกลาเทศมี Tom yum burger KFC ของศรีลังกามี Buryani (ข้าวหมกไก่สไตล์ศรีลังกา) KFCของอินเดีย มีPaneer zinger เป็นเบอร์เกอร์ที่ใส่ชีสสดปานีร์มาก KFC ของฟิลิปปินส์ มี Chizza คือไก่ทอดพิซซ่า KFC ของเกาหลีใต้มี เบอร์เกอร์ Zinger Double Down Maxx เป็นต้น
3.กลยุทธ์ระดับโลก (Global Strategy)คือกลยุทธ์ที่มุ่งเน้น การสร้างมาตราฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่ง บริษัท สินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการ จะต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก โดยบริษัทจะใช้ ฟรีเซ็นเตอร์ในการนำเสนอคนเดียวกันที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ซึ่งกลยุทธ์ระดับโลกนี้ ผู้ใช้สินค้าหรือผู้บริโภคจะต้องเป็นผู้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับตัวของสินค้า ตัวผลิตภัณฑ์และบริการเอง เช่น น้ำหอมยี่ห้อดังระดับโลก
4.กลยุทธ์ส่งผ่านข้ามชาติ (Transnational Strategy) คือกลยุทธ์ที่ต้องการลดต้นทุนในการผลิตเนื่องมาจาก ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการให้สนองตอบความต้องการของคนในประเทศนั้นๆ ด้วย
ฉะนั้น ผู้บริหาร ที่จะทำการตลาดในระดับโลก คงต้องทำการบ้านและศึกษาค้นคว้าให้มากขึ้นก่อนที่จะกำหนดการใช้กลยุทธ์ใดในการทำการตลาดในระดับโลกซึ่งคงต้องคำนึงถึงศาสตร์อื่นๆประกอบด้วยเช่น เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิติศาสตร์ สถิติ ประชากรศาสตร์ มนุษยวิทยา วัฒนธรรม เป็นต้น
อีกทั้งคงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของการตลาดคือ 4 Ps ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) สถานที่ (Placement) การโฆษณา (Promotion) การวิจัยทางการตลาดระดับโลก (Global Marketing Research) ผู้อ่านหลายท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงคิดว่า มันคงยากในการทำกลยุทธ์การตลาดในการแข่งขันระดับโลก แล้วมีสินค้าไทยตัวไหนบ้างที่พอแข่งกับเขาได้ มีครับ เช่น Redbull เป็นต้น
...
  
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การตลาดแบบ Attraction Marketing เป็นการตลาดที่ดึงความสนใจของผู้บริโภค ของผู้มุ่งหวัง ให้มาขอซื้อสินค้าหรือมาขอทำธุรกิจเครือข่ายกับเรา โดยที่เราไม่ต้องไปเสนอขอให้เขามาทำธุรกิจเครือข่ายหรือซื้อสินค้าจากเรา ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมๆ ที่ต้องไปเสนอขายสินค้าหรือนำเสนอขายธุรกิจเครือข่าย ซึ่งทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความน่ารำคาญ จากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง จากพฤติกรรมการตามตื้อ ตามง้อของเรา
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่า เมื่อใช้การตลาดแบบ Attraction Marketing คนจะไม่ปฏิเสธ
หรือถูกโดนปฏิเสธจากลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง เพราะเป็นธรรมดางานขายหรืองานนำเสนอจะต้องมีทั้งการตอบรับและการถูกปฏิเสธ
การตลาดแบบ Attraction Marketing ส่วนใหญ่มักจะทำกันในโลกอินเตอร์เน็ตหรือโลกออนไลน์ เพราะ โลกออนไลน์มีลักษณะเป็น Mass สูง เป็นโลกของ Social ที่ทันสมัย แต่คนจำนวนมากมักคิดว่า ถ้าอย่างไร เราต้องโพสต์หรือส่งข้อความของบริษัทของเรา สินค้าของเรา ตัวเรามากๆ คนเขาจะได้เข้ามาซื้อหรือเข้ามาติดตาม
แต่จริงๆแล้ว การตลาดแบบ Attraction Marketing จะต้องมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ จึงจะสามารถดึงดูดผู้คนรวมทั้งลูกค้าและผู้มุ่งหวังมาให้สนใจเรามากกว่าการโพสต์หรือการส่งข้อความเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีความน่าดึงดูด ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาสนใจ
กล่าวคือ เราจะต้องสร้างมูลค่าให้กับตัวเราเองเสียก่อน การสร้าง Brand จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะต้องนำเอามาใช้ เพราะการสร้าง Brand จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความจดจำ สร้างความศรัทธาภายในใจของกลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายอยากที่จะซื้อสินค้าหรืออยากจะทำงานร่วมกับเรา
การรู้จักกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในการทำการตลาดแบบ Attraction Marketing ให้ประสบความสำเร็จ เช่น ในตลาดแชมพู มีหลายยี่ห้อ เราต้องรู้ก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าของเราคือใคร คนที่มีผมเสีย ผมแตกปลายใช่หรือไม่ คนที่มีผมเป็นรังแคใช่หรือไม่ คนที่มีผมร่วงใช่หรือไม่ คนที่เป็นเด็กใช่หรือไม่ เมื่อเรารู้กลุ่มเป้าหมายแล้ว เราจึงสามารถทำการตลาดแบบดึงดูด กลุ่มเป้าหมายของเราได้สำเร็จ ไม่ใช่ดึงดูดทุกกลุ่มเข้ามา เพราะถ้าทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินทอง สิ้นเปลืองเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณ สิ้นเปลืองทรัพยากรต่างๆ โดยใช่เหตุ
การสร้างการตลาดแบบดึงดูดมีองค์ประกอบดังนี้
1.การสร้าง Brand โดยผ่านเครื่องมือออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านเวปไซด์ และ Social Media เช่น Youtube , twitter , Facebook , Line , Blog ฯลฯ
2.การสร้างช่องทางการสื่อสารให้แก่ผู้มุ่งหวังหรือลูกค้า ให้สามารถติดต่อกับเราได้และเราก็สามารถติดต่อเขาได้ เช่น E-mail พูดคุยผ่าน Facebook , Massager , Line , E-mail , Instragram เป็นต้น
3.การสร้างหรือรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของลูกค้าหรือผู้มุ่งหวัง(กล่าวคือเราต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราด้วย) ข้อมูลของบริษัทของสินค้า ข้อมูลบทความ ความรู้ต่างๆ เคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
4.การสร้างหรือการส่งมอบสิ่งดีๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เคล็ดลับต่างๆ ผ่านช่องทางการสื่อสารที่ได้มีการเตรียมไว้ และเมื่อลูกค้าหรือผู้มุ่งหวังต้องการติดต่อก็สามารถตอบหรือหาข้อมูลต่างๆ ส่งไปให้ได้
แล้ว ธุรกิจใดเหมาะที่จะนำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด มาใช้มากที่สุด สำหรับในความคิดของกระผม ธุรกิจเครือข่ายครับ หรือ ธุรกิจที่ต้องการสมาชิกเป็นจำนวนมากๆ ยอดขายมากๆ ซึ่ง Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด สามารถช่วยได้ ดังเราจะสังเกตเห็นว่า หลาย เว็ปไซค์ของธุรกิจเครือข่าย มักจะมีการนำเสนอ Content และการนำเสนอ Profile ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดผู้คน ให้เข้ามาอ่าน เข้ามาดู และอีกหลายเว็ปไซค์ ก็จะมีการเปิดโอกาสให้คนที่สนใจ ฝากเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์(Email Marketing) เพื่อติดต่อกลับ หากว่าสนใจในตัวของบริษัท สินค้า หรือบริการ ด้วย
ซึ่ง Email Marketing เป็นส่วนหนึ่งของ Attraction Marketing พวกเราลองไปศึกษาเพิ่มเติม เพราะการใช้ Email Marketing อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มการดึงดูดได้มากยิ่งขึ้น เราจะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปหาลูกค้าเพื่อคุยเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ เราจะรู้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร(คนที่สนใจธุรกิจของเราหรือตัวเราจริงๆ) ยิ่งบริษัทใดมีรายชื่อลิสต์ลูกค้ามากๆ การไปพูดคุยต่อตัวต่อ ยิ่งทำได้อย่างยากลำบาก เสียเวลา เสียเงินทอง เสียค่าใช้จ่ายต่างๆ การใช้ Email Marketing จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ติดต่อลูกค้าได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งตอบสนอง ในโลกยุคออนไลน์หรือในโลกยุคนี้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต ที่พนักงานขายหรือผู้นำธุรกิจเครือข่ายจะต้องเดินทางไปพูดคุยตัวต่อตัว หรือโทรศัพท์พูดคุยกัน หากมีจำนวนไม่มากก็ไม่น่ามีปัญหาแต่ถ้ามีเป็นจำนวนมากหลายพันคน หลายหมื่นคน คงลำบากที่จะติดต่อ
สำหรับธุรกิจเครือข่ายหลายบริษัทที่มีการทำการตลาด Attraction Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ มักจะวางระบบไว้อย่างดี ทำให้มีการปิดการขายหรือมีการปิดรับสมัครคนเข้าในเครือข่ายได้เป็นจำนวนมาก
โดยสรุปแล้ว การทำ Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด เป็นเครื่องมือเครื่องมือหนึ่งในการทำการตลาด และถ้าต้องการทำอย่างได้ผล เราจะต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเสียก่อน เราจะต้องสร้างความแตกต่าง เราจะต้องสร้างความจดจำ เราจะต้องหาช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย เราจะต้องมอบสิ่งที่ดีๆให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จนกระทั่งกลุ่มเป้าหมายมาติดต่อเราเอง ขอความรู้จากเรา ขอคำแนะนำ ขอคำปรึกษาจากเรา ขอซื้อสินค้าจากเรา หรือพูดง่ายๆ คือ เราได้หัวใจของกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

...
  
Celebrity Marketing
Celebrity Marketing
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Celebrity Marketing (เซเลบริตี้ มาร์เก็ตติง) คือ การนำบุคคล คนดัง คนมีชื่อเสียง เช่น ดารา นักร้อง นักการเมือง นักสื่อสารมวลชน นักกีฬาชื่อดัง มาช่วยในการทำการตลาด เพราะบุคคล คนดัง มักจะเป็นที่รู้จักของสาธารณชนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลาในการแนะนำตัว อีกทั้ง บุคคล คนดัง มักจะมีแฟนคลับหรือคนที่ติดตามผลงานอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น บุคคล คนดัง มักจะเป็นผู้นำทางความคิด จิตวิญญาณ เป็นต้นแบบ ของผู้ติดตาม จึงทำให้บุคคลที่เป็นแฟนคลับหรือผู้ติดตามเลียนแบบทั้งทางด้านพฤติกรรม เลียนแบบการใช้ชีวิต เครื่องแต่งกาย ทรงผม รวมไปถึงการใช้สินค้าและบริการของบุคคล คนดังหรือบุคคลที่เป็นต้นแบบ การตลาดสมัยใหม่จึงนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ซึ่งบางบริษัทสามารถนำเอาไปใช้จนได้ผลทำให้เกิดกระแสโด่งดังขึ้นในสังคม ซึ่งการตลาดแบบ Celebrity Marketing มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจหลายอย่างดังนี้
1.Celebrity Marketing ช่วยทำให้สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว
2.Celebrity Marketing ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการเป็นจำนวนมาก เป็นการเพิ่มยอดขาย
3. Celebrity Marketing ช่วยส่งเสริมภาพพจน์หรือภาพลักษณ์ในตัวของสินค้าและบริการ
4. Celebrity Marketing ช่วยให้ภาพการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉะนั้น จากข้อความข้างต้น การใช้บุคคล คนดัง หรือ Celebrity Marketing มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งถ้ารู้จักประยุกต์ใช้ เพราะจะทำให้สินค้าและบริการของเรา ติดตลาดในช่วงเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้บุคคลที่ไม่มีชื่อเสียงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ สืบเนื่องมาจาก เมื่อผู้บริโภคเห็นบุคคล คนดัง ก็มักจะนึกถึงสินค้าและบริการ ที่บุคคล คนดัง โฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ เมื่อผู้บริโภคเห็น สินค้าและบริการที่โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ก็จะคิดถึงบุคคล คนดัง อีกทั้งช่วยให้เกิดยอดขายเป็นจำนวนมาก เมื่อเกิดยอดขายมากขึ้น ธุรกิจก็มีโอกาสในการคืนทุนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับข้อด้อยในการใช้ Celebrity Marketing คือ การใช้บุคคล คนดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ต้องใช้เม็ดเงินเป็นจำนวนมากในการว่าจ้างบุคคล คนดัง อีกทั้งเมื่อบุคคล คนดัง มีปัญหาคือมีคดี ขึ้นศาล หรือทำตัวให้ภาพลักษณ์ของตนเองเสียหาย ก็จะส่งผลกระทบกับตัวสินค้าและบริการตามไปด้วย ดังนั้นการเลือก ฟรีเซ็นเตอร์ จะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ และใคร่ครวญว่าจะใช้ใครมาเป็น Celebrity Marketing
สำหรับเรทค่าตัวดาราชายและดาราหญิงในประเทศไทยเรา 6 อันดับแรก (ข้อมูลจากเว็บไซค์ สยาม ดารา http://www.siamdara.com/hot-news/thai-news/1071916)
อันดับที่ 1 เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย สปอนเซอร์เจ้าใด กระเป๋าหนักสามารถจ่ายค่าตัวที่สูงลิบลิ่วเกือบ 30 ล้านบาทได้ ก็จะได้ตัวซุปเปอร์สตาร์ยอดนิยมอย่าง "ป๋าเบิร์ด" ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอย่างแน่นอน
อันดับที่ 2 อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ บรรดาเจ้าของสินค้าแบรนด์ดังต่างแย่งชิงตัวกันชุลมุน ถึงแม้ว่าค่าตัวของสาว Hot(ฮอต) รายนี้จะสูงลิบไม่ต่ำว่า 10 ล้านบาท
อันดับที่ 3 ชมพู่ อารยา เอฮารเก็ต ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์เครื่องสำอางดังกับราคาค่าตัวที่ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเช่นกัน
อันดับที่ 4 ณเดชน์ คูกิมิยะ มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาจับจองกันแทบไม่เว้น เรตค่าตัว "ณเดชน์" สูงถึง 10 ล้านบาท
อันดับที่ 5 ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ ค่าเหนื่อยของ "ใหม่-ดาวิกา" สนนราคาจิ๊บๆ เพียงแค่ 10 ล้านเท่านั้น!
อันดับที่ 6 ญาญ่า อุรัสยา สเปอร์บัน "ญาญ่า" ดำรงตำแหน่งพรีเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ "สาวญาญ่า" คว้าพรีเซ็นเตอร์ไปกว่า 30 ตัวเลยทีเดียว! กับราคาเบาๆ ไม่แรงเท่ารุ่นพี่ 7-10 ล้านบาทเท่านั้น!
ฉะนั้น Celebrity Marketing (เซเลบริตี้ มาร์เก็ตติง) คือ กลยุทธ์ทางการตลาดแบบหนึ่ง ซึ่งบริษัท สามารถนำเอากลยุทธ์ทางการตลาดไปใช้กับ สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ได้ หากประยุกต์ใช้ ปรับใช้อย่างได้ผล ก็จะทำให้เกิดยอดขาย เม็ดเงิน ผลกำไร กลับคืนมายังบริษัทอย่างมหาศาล
ทั้งนี้การใช้ Celebrity Marketing ที่ดีควรใช้ผสมผสานหรือพิจารณาปัจจัยทางการตลาดกับกลยุทธ์อื่นๆด้วย ก็จะยิ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เช่น กลยุทธ์ IMC (Integrated Marketing Communication)
เราจะเห็นได้ว่าการใช้ กลยุทธ์ IMC (Integrated Marketing Communication) จะทำให้เกิดการต่อยอดและทำให้การใช้กลยุทธ์ Celebrity Marketing ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการใช้สื่อสมัยใหม่ช่วย เช่น การใช้ Twitter , Facebook , Line , Instagram เป็นเครื่องมือทำการตลาดบน Social Media
ซึ่งการใช้บุคคล คนดัง เพื่อทำ Celebrity Marketing ควรคำนึงถึง แบรนด์ บุคคลหรือคนดังด้วยว่า สอดคล้องหรือมีภาพลักษณ์ไปกับสินค้า บริการของเราด้วยหรือไม่ ซึ่ง แบรนด์บุคคลหรือคนดัง ที่นำมาใช้ควรมีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
-มีความน่าเชื่อถือ(Believe)และ มีความไว้วางใจ(Trust) กล่าวคือสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้กับตราสินค้า (Credibility) ของเราได้
-มีภาพลักษณ์ที่มีเสน่ห์และสามารถดึงดูดความสนใจลูกค้าหรือผู้บริโภคให้มาสนใจตราสินค้า (Attractiveness) ของเราได้
ตัวอย่างเช่น ไทเกอร์ วู้ด นักกีฬากอล์ฟมืออาชีพอันดับ 1 ของโลก ส่วนใหญ่บริษัทที่ผลิตเกี่ยวกับ ไม้กอล์ฟ รองเท้ากีฬา เสื้อผ้า กางเกง หมวก กีฬา มักจะใช้ ไทเกอร์ วู้ด เป็นพรีเซ็นเตอร์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ให้กับสินค้าของตนเอง
สำหรับข้อที่ควรคำนึงถึงในการใช้ฟรีเซ็นเตอร์ คือ การใช้บุคคล คนดัง ควรมีบุคลิกภาพ นิสัย ใจคอ ตรงกับแบรนด์ของสินค้า , การใช้บุคคล คนดัง ที่ Hot (ฮอต)มากๆ ไปเป็นฟรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าหลายตัว อาจจะทำให้ผู้บริโภคจดจำไม่ได้ว่าเป็นฟรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้าใด แบรนด์ใดบ้าง เราควรหลีกเลี่ยงฟรีเซ็นเตอร์นั้น , การใช้บุคคล คนดัง ไม่ควรผูกติดกับคนๆเดียว เพราะการใช้คนๆเดียว มีทั้งประโยชน์และโทษ คือ ประโยชน์ทำให้ลูกค้า ผู้บริโภค จดจำ บุคคล คนดังกับสินค้า ผลิตภัณฑ์ของเรา ส่วนข้อด้อยคือเมื่อบุคคล คนดัง คนนั้นตายไปก็ย่อมส่งผลกระทบต่อแบรนด์ได้เช่นกัน
ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกที่ช่วยส่งเสริมให้ Celebrity Marketing ประสบความสำเร็จ เช่น การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ , การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย , การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นต้น


...
  
อาวุธทางด้านการตลาด.....ที่นักการตลาดต้องรู้
อาวุธทางด้านการตลาด.....ที่นักการตลาดต้องรู้
โดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่แสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เขาจะหาเครื่องมือใหม่ๆ และองค์ความรู้ใหม่ๆ หรือศึกษาแกนความรู้ทางด้านการตลาดเพื่อนำเอาไปประยุกต์ใช้ ในบทความนี้กระผมขอนำเสนอ เกี่ยวกับอาวุธทางด้านการตลาด ที่นักการตลาดต้องรู้ มีดังนี้
1.จงสร้างความแตกต่าง จงสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดอยู่ตลอดเวลา เราจะสังเกตว่าในการแข่งขันทางธุรกิจเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า บริการ มักจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จเขาจะสร้างความแตกต่าง ความแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้บริษัทหรือองค์กร สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการของเขาเป็นที่น่าสนใจของลูกค้าหรือผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอีกด้วย
2.จงใช้สื่อเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะมีนักการตลาดคอยวางแผนงานให้โดยเฉพาะเขาจะแนะนำให้ผู้บริหารลงทุนใช้สื่อเพื่อที่จะสื่อสารให้ลูกค้าและผู้บริโภค รวมทั้งประชาชนเป็นจำนวนมากได้รับรู้และรู้จักสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการของตนให้มากขึ้น เราคงต้องยอมรับว่า ธุรกิจน้ำอัดลม โค้ก ( ได้ลงทุนกับการโฆษณาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งปี 2556 ว่า โค้ก ได้ใช้ งบการตลาดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึง 1,193 ล้าน 4 แสน 3 หมื่นบาท บาท ) นี่ยังไม่นับงบประมาณที่ โค้ก ใช้ในการโฆษณาทั่วทั้งโลก ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ โค้ก จึงมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกๆปี และมีส่วนแบ่งการตลาดมาเป็นอันดับหนึ่งโดยตลอด
3.จงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง โลกของการแข่งขันเช่นยุคปัจจุบันมักมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักการตลาดจะต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงแต่โลกของการแข่งขันเปลี่ยน เราก็จะอยู่กับที่ แล้วในที่สุดเราก็จะสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปในที่สุด บริษัท IBM คอมพิวเตอร์บริษัทยักษ์ใหญ่ในอดีตต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้แก่ บริษัทขนาดเล็กของสตีฟ จอบส์ เนื่องจากแนวความคิด สตีฟ จอบส์ เขาเคยบอกว่า “ เขาจะเปลี่ยนแปลงโลก ” ในขณะที่บริษัท IBM คอมพิวเตอร์ เปลี่ยนแปลงอย่างช้ามาก ดังนั้น นักการตลาดจำเป็นจะต้องมีความทะเยอทะยาน อยากเป็นที่ 1 อยากที่จะเปลี่ยนแปลงวงการที่ตนเองแข่งขันอยู่ตลอดเวลา
4.จงสร้างแบรนด์ เมื่อกล่าวถึง KFC ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง ผู้พัน KFC คิดถึงไก่ทอด ,เมื่อกล่าวถึง Nike ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รองเท้า คิดถึงคำว่า Just do it และคิดถึงเครื่องหมายถูกและเมื่อกล่าวถึง Volvo ท่านคิดถึงอะไร หลายคนบอกว่า คิดถึง รถที่มีความปลอดภัยสูง
เราจะเห็นได้ว่า การสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากในการทำการตลาดขององค์กร นักการตลาดจะต้องรู้จักการสร้างแบรนด์ให้แก่ตัวเอง องค์กร สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ เพื่อก่อให้เกิดกำไร การสร้างแบรนด์ทำให้เกิดผลดีในระยะยาว ฉะนั้น นักการตลาดที่เก่งหรือนักการตลาดมืออาชีพ จึงต้องคำนึงเรื่องของการสร้างแบรนด์ มาเป็นอันดับต้นๆ
5.จงยึดแนวความคิด “ ยิ่งให้ยิ่งรวย” มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก มักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ พวกเขามักจะมีความสุขจากการให้มากกว่าการรับ และเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มหาเศรษฐีโลกเหล่านี้ชอบที่จะบริจาคเงินที่ตนเองหามาได้เป็นจำนวนมากๆแก่สาธารณกุศล แต่ยิ่งให้แทนที่ทรัพย์สินเหล่านั้นจะหมดไป พวกเขาเหล่านั้น กลับได้ทรัพย์สินเงินทองคืนมาจากแหล่งอื่นๆ รวมทั้งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จเขาจะคิดว่า สินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการของเขาจะให้อะไรแก่ลูกค้าและผู้บริโภค หลายองค์กรหลายบริษัท จึงมีการทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) ซึ่งหมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคม การช่วยเหลือสังคม ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการบริหารงานที่ดี เพราะหากว่าลูกค้าหรือประชาชนทั่วโลกได้เห็นคุณงามความดีของมหาเศรษฐีที่ได้ทำไป ประชาชนทั่วโลกก็จะซื้อสินค้าและอุดหนุนสินค้าหรือบริการด้วยความพอใจ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สินค้าต่างๆของมหาเศรษฐีอีกด้วย จึงเท่ากับว่าสิ่งที่มหาเศรษฐีได้ให้ไป ก็ได้ส่งผลมาเป็นการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
6.จงจับกระแสทางการตลาดให้ได้ นักการตลาดที่ล้าหลังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงมักจะพ่ายแพ้ต่อการแข่งขัน ยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคอินเตอร์เน็ต นักการตลาดหรือเจ้าของกิจการที่จับกระแสได้ก็มักจะมีผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการ ผ่านอินเตอร์เน็ตจึงสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่ตนเองและบริษัทของตนเอง เช่น Facebook,Twitter,Line,Instagram,แอปและเกมต่างๆ ดังนั้นนักการตลาดจะต้องทันเหตุการณ์ ทันต่อกระแสของการแข่งขันของโลก
7.จงเป็นนักยุทธวิธีและรู้จักประยุกต์ยุทธวิธีต่างๆไปใช้ในงานทางด้านการตลาด หลายคนคงได้อ่านหนังสือ 3 ก๊ก ของจีน เราจะเห็นได้ว่าในประวัติศาสตร์ของจีนมีอยู่หลายก๊ก จนกระทั้งเหลือแค่ 3 ก๊ก ซึ่งทั้ง 3 ก๊ก ต่างก็มีนักยุทธวิธีที่คิดค้นแผนการต่างๆในการรบ นักการตลาดก็เช่นกัน ควรศึกษายุทธวิธีต่างๆเพื่อนำเอาไปใช้ในงาน เช่น ยุทธวิธีในการรุกและการตั้งรับทางการตลาด , ยุทธวิธีการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทอง , ยุทธวิธีแห่งการสร้างสรรค์ , ยุทธวิธีขยายฐานลูกค้าของตัวเองตลอดเวลา เป็นต้น
แต่ทั้งนี้นักการตลาดที่ได้ชื่อว่าเก่งหรือเซียนทางด้านการตลาด เขามักจะเป็นนักการตลาดที่ไร้กระบวนท่า กล่าวคือ ไม่ติดยึดในหลักการหรือยุทธวิธีหรือหลักทฤษฏี มากจนเกินไป แต่จะเป็นนักปฏิบัติที่สามารถหยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆได้ มีลูกเล่น ลูกล่อ ลูกชน มีการรุกและการตั้งรับ ในทุกโอกาส อีกทั้งจะไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะเรื่องของความต้องการของลูกค้า
ท่านผู้อ่านก็สามารถเป็นสุดยอดนักการตลาดได้ หากรู้จักเอาอาวุธทางด้านการตลาดไปใช้ และทำการฝึกฝน พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง อาวุธทางการตลาดข้างต้น จึงเป็นแนวทางที่ท่านสามารถนำไปใช้หรือนำไปปฏิบัติได้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการเป็นสุดยอดนักการตลาด
...
  
นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยของเรา มีกระแสในเรื่องของนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า รัฐบาล องค์กร บริษัท ห้างร้าน ได้สนับสนุนและจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างมากมาย เช่น
มีการเปิดอบรมหลักสูตรการพัฒนานวัตกรรมและพัฒนาองค์กร , หลักสูตรการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้สู่ครูมืออาชีพ , หลักสูตรการสร้างสรรค์และนวัตกรรมอุตสาหกรรมแฟชั่น,
หลักสูตรการสร้างนวัตกรรมใหม่และการสร้างสรรค์ โดยอาศัยการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น
สำหรับบทความนี้ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ “นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด”
ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสร้างสรรค์สิ่ง แปลกๆ ใหม่ๆ (Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่หรือสิ่งที่แปลก ที่มีความแตกต่างไปจากของเดิมและสามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้นองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งแปลก ใหม่ (New, Original) สามารถนำเอาไปใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
นวัตกรรม หมายถึง สิ่งที่มีความแปลกใหม่ ซึ่งเกิดจากการใช้ความรู้ ความสามารถ ใช้ความคิดในเชิงสร้างสรรค์ สิ่งแปลกใหม่ในที่นี้อาจจะอยู่ในรูปต่างๆ เช่น ของสินค้า ของผลิตภัณฑ์ แนวคิด การโฆษณา การสื่อสาร การจัดสถานที่ รวมไปถึงกระบวนการที่สามารถนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนางานทางด้านการตลาด
ซึ่งมีเทคนิคในการทำแบบง่ายๆหรือเข้าใจให้ง่ายๆ ก็คือ การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมารวมกัน ก็จะเกิดสิ่งที่มีความแปลกใหม่ขึ้นมา เช่น
- การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ยาสีฟันรวมตุ๊กตา(หลอดยาสีฟันแต่ตัวหลอดกับหัวหลอดยาสีฟันเป็นตัวตุ๊กตาที่มีความแปลกๆหรือตุ๊กตาที่อยู่ในกระแสความดังแต่ควรระวังเรื่องลิขสิทธิ์)
- การนำเอาสิ่ง 3 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง (ธนาคาร+ร้านกาแฟ+ร้านอินเตอร์)
- การนำเอาสิ่ง 4 สิ่งมารวมกัน ตัวอย่าง ปั๊ม ปตท.(ปั๊มน้ำมัน +คาเฟ่ อเมซอน+7-11+เชสเตอร์กริลล์)
- หรือการนำเอาสิ่ง หลาย สิ่งมารวมกัน ตัวอย่างเช่น (มีด+ไขควง+กล้องขยาย+ช้อน+ส้อม+กรรไกร+ไม้จิ้มฟัน+ปากกา+ที่แคะขี้หู+เลื่อยขนาดเล็ก+เข็มทิศ+กรรไกรตัดเล็บ+คีม) สิ่งเหล่านี้สามารถพับออกมาใช้งานได้และสามารถพับเก็บได้ในชิ้นเดียวกัน
ดังนั้น ใครที่เปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านอะไรก็ตาม เราสามารถนำเอานวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด โดยการนำเอาสิ่ง 2 สิ่งขึ้นไปมาขายพร้อมๆกันได้
เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หลายๆแห่ง มีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดโดยนำเอาอาหาร หรือ กาแฟ มาทำนวัตกรรมให้มีหลายรสชาติ แก้วรูปทรงต่างๆ ที่มีความน่าสนใจ อีกทั้งยังมีนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาดในส่วนของคนขายอีกด้วย กล่าวคือ คนขายอาจจะแต่งตัวโป๊ คนขายอาจจะแต่งตัวแปลกๆ คนขายหล่อ คนขายสวย เป็นต้น( สร้างสรรค์ด้านอาหารหรือกาแฟ + สร้างสรรค์ด้านคนขาย)
การวิจัยกับนวัตกรรม การวิจัยมีความสำคัญมากต่อการสร้างสรรค์และก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ซึ่งการวิจัยกับนวัตกรรม จะมีความแตกต่างกัน คือ การวิจัย เรามักจะเสียเงินหรือใช้เงินเพื่อสร้างความรู้หรือได้รับความรู้ใหม่ๆ แต่ นวัตกรรม เป็นการเปลี่ยนความรู้ให้เป็นเงินทอง
ตัวอย่าง เช่น
- ระบบเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อและการสกัดสารคอลลาเจนจากเป๋าฮื้อ ถ้าเราเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ขาย เราอาจจะขายได้ กิโลกรัมละ 1,000 บาท แต่ถ้าเรานำเอาการวิจัยมาสกัดเป็นสารคอลลาเจน เราก็จะขายได้ถึง 5,000 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
- นมยี่ห้อBedtime milk นมที่มีสารเมลาโทนินในธรรมชาติสูง ก็อาศัยงานวิจัยซึ่งเป็นของบริษัทแดรี่โฮมร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยการสนับสนุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์ ก็ได้อาศัยงานวิจัยทำให้ผู้บริโภคทานนมแล้วนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวสินค้าและราคา
- ข้าวเจ้าสามารถขายได้กิโลกรัมละ 30 บาท แต่เราสามารถสร้างนวัตกรรมโดยนำเอาผลการวิจัยมาใช้โดยการแปรรูปเป็น แป้งเด็กจากแป้งข้าวเจ้า หรือการเพิ่มปริมาตรในเม็ดยา ก็จะขายได้กิโลกรัมละ 400 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว หรือมาทำเป็นแป้งพัฟจากแป้งข้าวเจ้าก็จะได้กิโลกรัมละ 100,000บาท

โดยสรุป นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด มีความสำคัญมากต่อการช่วยเพิ่ม
มูลค่าเพิ่มให้กับตัวของสินค้าและมูลค่าเพิ่มให้กับราคาของสินค้า สมัยอดีต ประเทศไทยเรามีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น มีแร่ธาตุ ยางพารา ข้าว ป่าไม้ แต่ในยุคปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ก็เหลือน้อยลง อีกทั้ง สินค้าที่ส่งออกเหล่านี้ ประเทศต่างๆ ก็ส่งสินค้าแบบเดียวกับเรา ซึ่งมีความเหมือนกัน
สิ่งที่จะช่วยให้ราคาดีขึ้น มีกำไรสูงขึ้น และสามารถแข่งขันกันได้ ก็คือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านการตลาด หากว่าเราสามารถสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆได้ เราก็จะได้เปรียบทางการตลาดเหนือคู่แข่งขัน



...
  
จงสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขาย
จงสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขาย
โดย..ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูดและนักเขียน
www.drsuthichai.com
งานขายเป็นงานที่มีทั้งการถูกตอบรับและถูกปฏิเสธ แต่จากสถิติ งานขายจะเป็นงานที่ต้องถูกลูกค้าปฏิเสธมากกว่าการถูกตอบรับ ถ้าคุณเป็นนักขายถ้าคุณถูกลูกค้าปฏิเสธมากเท่าไร คุณก็โอกาสขายได้มากเท่านั้น คนที่เป็นนักขายประกันชีวิตจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี
ถ้านักขายประกันชีวิตที่ทำงานใหม่ๆ เมื่อเข้าพบลูกค้า 10 คนจะถูกปฏิเสธ 8 คน ดังนั้นมีคนตอบรับ 2 คน ถ้าต้องการขายให้ได้ 20 คนจะต้องเข้าพบลูกค้า 100 คน ฉะนั้นจะต้องถูกคนปฏิเสธถึง 80 คนเลยทีเดียว
ดังนั้น คนที่เป็นหัวหน้าทีมงานขาย คนที่ดูแลพนักงานขายต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขายอยู่เสมอ มิเช่นนั้น เมื่อพนักงานขายถูกลูกค้าปฏิเสธมากๆก็จะเกิดอาการจิตตก แล้วในที่สุดก็จะต้องออกจากอาชีพนักขายไปในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ก็ควรที่จะมีการเสริมแรงหรือกำลังใจให้กับนักขายที่ขายได้มาก เช่นให้รางวัล ให้ถ้วยรางวัล ให้เงินโบนัส ให้การชื่นชมกับนักขายที่ขายได้ เพื่อให้พนักงานขายที่ขายเก่งจะมีพลังมากยิ่งขึ้นในการขาย
หัวหน้าทีมงานขาย สามารถสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขายได้หลายวิธีด้วยกัน เช่นให้มีการจัดอบรมในหัวข้อต่างๆ เช่น การสร้างทัศนคติในงานขาย , เทคนิคการขาย , การจัดงานสัมมนางานขายประจำปี เป็นต้น
อีกทั้งควรที่จะมีการจัดประชุมประจำอาทิตย์ ประจำเดือน ให้แก่พนักงานขาย เพื่อให้ได้มีการติดต่อสื่อสาร ในการถามปัญหาในการขาย อีกทั้งทบทวนเป้าหมายในเรื่องยอดขายสินค้ากับพนักงานขาย
และจะได้บอกกล่าวข่าวสารใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ สินค้า โปรโมชั่น องค์การให้แก่พนักงานขาย
ดังนั้น บริษัทจะทำกำไรได้จากยอดขาย ยอดขายเกิดจากการขาย และการขายจะต้องใช้พนักงานขายเป็นสำคัญ จงอบรม จงรักษาและจงสร้างความเชื่อมันในตนเองให้แก่พนักงานขาย เพื่อพนักงานจะได้อยู่กับบริษัทอย่างยาวนาน อีกทั้งเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโต แข็งแรงต่อไป
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.