หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  บทความที่ดี
  -  เทคนิคการประชุม
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  จูงใจคน
  -  ประวัติของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  การพูดของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  ผู้นำกับทีม
  -  ลักษณะนักพูด
  -  ผู้นำพูด
  -  พูดโอกาสต่างๆ
  -  สั่นเพราะไมค์
  -  ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
  -  เทคนิคในการพูด
  -  IMC ของไทยรักไทย
  -  เอดส์ วัยรุ่น สังคมไทย
  -  นักเขียน
  -  เด็กขายตัว
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
  -  การพูดหน้าชุมชน
  -  เลิกเหล้าเข้าพรรษา
  -  ฝึกพูด
  -  การมีมนุษย์สัมพันธ์
  -  ยาเสพติดประเทศไทย
  -  เหล้า เบียร์ วัยรุ่น
  -  องค์กรกับผู้บริหาร
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  คนตกงานกับปัญหาสัึงคม
  -  สื่อลามกกับวัยรุ่น
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  มาเขียนกันเถอะ
  -  ศิลปะการฟัง
  -  เพศกับวัยรุ่น
  -  ทีม
  -  คำคม 3 ก๊ก
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  เป้าหมายกับความสำเร็จ
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  เมืองไทยเมืองเซ็กส์
  -  จริยธรรมของไทย
  -  ควบคุมราคาสินค้า
  -  ปัญหาสิ่งแวดล้อม
  -  ปัจจัยในการบริหาร
  -  การเปลี่ยนแปลงกับการบริหาร
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  ปัญหาเยาวชน
  -  อดทนเพื่อชนะ
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  น้ำมันยังเป็นปัญหาใหญ่
  -  เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
  -  สื่ออนาคต
  -  พ่อแม่
  -  ปัญหามากมายสังคมไทย
  -  เลิกเหล้า เลิกจน
  -  ขยะเป็นทอง
  -  ผู้นำ
  -  สนุกกับงาน
  -  คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
  -  คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  หลักการเขียนบทความ
  -  เด็กนอกระบบ
  -  หลักการนำเสนอ
  -  ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
  -  จริยธรรม คุณธรรม ความรับผิดชอบ
  -  การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความที่ดี
บทความที่ดี

โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนใหญ่มักจะเป็นนักสื่อสาร ไม่ว่าจะด้วยการพูดหรือการเขียน ถามถ้าว่าระหว่างการพูดกับการเขียน อะไรยากกว่ากัน ผมเชื่อแน่ว่า คนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเขียนซิยากกว่าพูด

แต่การเขียนก็เหมือนกับการพูดอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราอยากเป็นนักเขียน เราต้องเริ่มศึกษาหาความรู้หลักวิชาการเขียนแล้วจึงเริ่มเขียนครับ เหมือนกัน คนพูดเก่งก็มักจะมีหลักวิชาแล้วจึงพัฒนาฝึกฝนการพูดจนสามารถพูดได้ดี การเขียนก็เช่นกัน

ดังนั้นเราสามารถพัฒนาการเขียนของเราได้ถ้าเรามีความพยายามเพราะการเขียนมีความสำคัญต่อชีวิต

นักเรียน ต้องเขียน การบ้าน ข้อสอบ รายงานส่งครู , ครู อาจารย์ ต้องเขียน หนังสือ ตำรา เอกสารประกอบการสอน , นักข่าว ต้องเขียนข่าว ฯลฯ้วจึงเริ่มเขียนครับ เ


แต่ถ้าจะพูดถึงงานเขียนแล้วมีหลากหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่างานเขียนนวนิยาย งานเขียนสารคดี งานเขียนตำรา งานเขียนเรียงความ งานเขียนบันทึก และ งานเขียนบันเทิงคดี เรื่องเล่า นิทาน เรื่องสั้น บทละครพูด ฯลฯ สำหรับบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึงงานเขียนบทความที่ดี

การเขียนบทความมีความคล้ายกับการเขียนเรียงความ คือ มีชื่อเรื่อง มีคำนำ มีเนื้อเรื่องและสรุปจบ

แต่มีความแตกต่างกันบางประการเช่น บทความมักจะต้องมีความคิดเห็นของผู้เขียนกับข้อเท็จจริงประกอบอ้างอิง

ส่วนเรียงความมักจะมุ่งเรื่องความรู้มากกว่าการแสดงความคิดเห็นของผู้เขียนบทความ ข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งก็คือ การเขียนบทความมักจะมีความทันสมัยมากกว่าการเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความอาจเขียนเรื่องในอดีต อนาคต แต่การเขียนบทความผู้เขียนมักจะเขียนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน

สำหรับประเภทของบทความ มีการแบ่งออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน เช่น บทความทางวิชาการ,บทความแสดงความคิดเห็น,บทความเชิงวิจารณ์,บทความประเภทสัมภาษณ์ ฯลฯ


แต่การเขียนบทความที่ดีส่วนใหญ่มักจะแบ่งส่วนสำคัญออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนแรก คือ ชื่อเรื่อง ส่วนที่สอง คือ คำนำ ส่วนที่สาม คือ เนื้อเรื้อง ส่วนที่สี่ คือ สรุป จบ

เราลองมาดูส่วนแรกกัน คือชื่อเรื่อง ทำอย่างไรให้ผู้อ่าน เห็นแล้วเกิดอาการอยากอ่าน...อยากรู้....การตั้งชื่อเรื่องที่ดีเป็นอย่างไร...ผมอยากแนะนำให้ไปดู พาดหัวตัวใหญ่ หน้าหนึ่ง...หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ เช่น นสพ.ไทยรัฐ , นสพ.เดลินิวส์ ,นสพ.มติชน ฯลฯ เมื่อได้อ่านแล้วเกิดอาการอยากอ่านเนื้อหาต่อ

ส่วนที่สองคือ คำนำ ต้องสอดคล้องกับหัวข้อเรื่อง...บอกย่อๆว่า...เกิดอะไร...ที่ไหน...เมื่อไร.. เร้าความสนใจ...คำนำมักจะอยู่ย่อหน้าแรกของบทความ อาจขึ้นต้นด้วยคำถาม อาจขึ้นต้นด้วยการยกตัวอย่างหรือด้วยการเหตุการณ์เพื่อโยงไปถึงส่วนของเนื้อหา


ส่วนที่สาม คือ เนื้อเรื่อง ต้องสอดคล้องกับคำนำและสรุปจบ ...มีความเป็นเอกภาพ...บอกรายละเอียด...มีความกลมกลืน...อาจลำดับเวลา สถานที่ ก่อนหลัง จากอดีต มาปัจจุบัน ไปอนาคต หรือจากน้อยไปหามาก ส่วนของเนื้อเรื่องจะใช้พื้นที่มากที่สุดในการเขียนบทความ


ส่วนที่สี่ คือ สรุปจบมักจะเฉลยส่วนสำคัญของเรื่อง....มักจะอยู่ย่อหน้าสุดท้ายของบทความ อาจให้แง่คิดที่สำคัญของบทความที่เขียน มีความสั้นกระชับ มีความยาวใกล้เคียงกับคำนำ

สรุป การตั้งชื่อเรื่องต้องหยุดคนอ่านได้ เห็นชื่อเรื่องแล้วอยากรู้อยากอ่านต่อ คำนำต้องยั่วยุให้อยากอ่านเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องต้องกลมกลืน มีเอกภาพ สรุปจบต้องประทับใจผู้อ่าน

...
  
เทคนิคการประชุม
เทคนิคการประชุม


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


การประชุมมีความสำคัญมากสำหรับ หน่วยงาน องค์กร สถาบันต่างๆ ไม่ว่าระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับสากล เพราะการประชุมจะทำให้ทราบข้อมูลข่าวสาร การประชุมจะทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาและการประชุมจะทำให้เกิดการตัดสินใจร่วมกัน


การประชุมแต่ละครั้งจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด มักขึ้นอยู่กับ


3 ปัจจัยด้วยกัน คือ ตัวประธาน ตัวของบุคลลที่เข้าร่วมประชุม และเทคนิคต่างๆที่นำมาใช้


ปัจจัยแรก ตัวประธาน ประธานมีความสำคัญมากๆ เพราะประธานเป็นผู้นำในการประชุม ถ้าประธานมีทักษะหรือประสบการณ์ในการนำประชุม มักจะทำให้การประชุมประสบความสำเร็จ ตัวประธานจะต้องเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง มีความยุติธรรม ประธานที่ดีต้องเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นอย่างเสมอภาค ต้องมีทักษะในการสื่อสาร การวิเคราะห์ และมีอารมณ์หนักแน่น ไม่หวั่นไหวง่ายคือสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้


ปัจจัยที่สอง คือ ตัวของบุคคลที่เข้าร่วมประชุม ต้องรู้จักแสดงความคิดเห็นไม่ใช่นั่งนิ่ง ฟังอย่างเดียว หรือ บางคนชอบพูดก็มักจะผูกขาดการพูด ควรรู้จักเปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นบ้าง สิ่งที่ควรรู้และศึกษาสำหรับผู้เข้าร่วมประชุม ต้องรู้จักศึกษารายละเอียดของกฎระเบียบในการประชุม ไม่ควรสูบบุหรี่ในห้องประชุม ควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ไม่ควรคล้อยตามผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ควรมีความคิดที่ดีๆเสนอต่อที่ประชุมบ้าง และควรปฏิบัติตามมติที่ประชุม ถ้าที่ประชุมมอบหมายงานให้ก็ควรปฏิบัติตาม


ปัจจัยที่สาม คือ เทคนิคต่างๆที่นำมาใช้ เช่น การเปิดประชุมควรให้ตรงเวลา สำหรับประเทศไทยเรามักมีปัญหาเรื่องการเปิดประชุมไม่ตรงเวลาอยู่บ่อยๆ เนื่องจากผู้เข้าร่วมประชุมมาสาย มาไม่ครบองค์ประชุม ประธานควรกล่าวเปิดประชุมโดยสร้างบรรยายกาศในห้องประชุม ควรเตรียมการประชุมให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องเสียง ความสะอาด โต๊ะ เก้าอี้ ควรเตรียมวาระการประชุมให้พร้อมโดยมีการตรวจสอบวาระการประชุมให้ดี เวลาประชุมควรตัดบทบ้างสำหรับการแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมที่ยาว เยิ่นเย้อ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวัง นุ่มนวลเพื่อไม่ให้เกิดอาการ “ เสียหาย ” ต้องรู้จักควบคุมเวลาในการประชุม


สำหรับคำศัพท์ที่มักได้ยินในที่ประชุมอยู่บ่อยๆ เช่น


- ประธานในที่ประชุม คือ ผู้ที่จะต้องทำหน้าที่ในการควบคุมการประชุมทั้งหมด เช่น เป็นผู้กล่าวเปิด การควบคุมเวลา


- ผู้เข้าร่วมประชุม คือ คนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม


- เลขานุการ คือ คนที่ออกจดหมายเชิญประชุม จัดเตรียมเอกสารต่างๆ วาระต่างๆในการประชุม บันทึกการประชุม อำนวยความสะดวกต่างๆ แก้ปัญหาต่างๆในการประชุม


- เหรัญญิก คือ คนที่ดูแลเรื่องการเงิน รับผิดชอบเรื่องการเงิน


- องค์ประชุม คือ ข้อบังคับว่าการประชุมในแต่ละครั้งต้องมี สมาชิกจำนวนเท่าไรจึงจะสามารถเปิดการประชุมและดำเนินการประชุมได้


- มติในที่ประชุม คือ ข้อตกลงกันในที่ประชุม


เราจะเห็นได้ว่า การประชุมมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้บริหาร มักจะต้องเป็นประธาน เป็นผู้เข้าร่วมประชุมอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการประชุมที่ดี ที่ประสบความสำเร็จ เรามักจะได้ความคิดที่ดี เรามักจะได้ความรักความสามัคคี ความสนิทสนม ความเป็นมิตร แต่ถ้าการประชุมที่ล้มเหลว มักจะทำให้เกิดความแตกแยก สิ้นเปลื้องเวลา จนบางคนเคยกล่าวว่า “ ประชุมมากจนไม่มีเวลาทำงาน ”

...
  
ปัญหาของเด็ก
ปัญหาหลากหลาย ของเด็กและเยาวชนไทย


โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ปัญหาเรื่องเพศของเด็ก ปัญหาเด็กดื่มเหล้า ปัญหาเด็กติดยาเสพติด ปัญหาเด็กติดเกมส์ และอีกหลากหลายปัญหา ของเด็กและเยาวชนไทย ปัญหาต่างๆเหล่านี้มีความซับซ้อนกว่าในอดีต เนื่องจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ทำให้ปัญหาเด็ก เยาวชนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก ซึ่งการเกิดปัญหาต่างๆ มีหลายปัจจัย เช่น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การเมืองเปลี่ยนแปลงไป ฯลฯ เช่น


ปัญหาเรื่องเพศของเด็ก เรามักจะเห็นในข่าวหน้าหนึ่งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่อต่างๆ


- “ รวบ 3 นักศึกษาสาว ขายตัวทาง HI5 อ้างหลงผิด-ใช้เงินฟุ่มเฟือย ”

- รายการ คม ชัด ลึก ประจำวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ ตอน "ขายตัว สวิงกิ้ง-ความเหลวแหลกวัยรุ่น" ได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวมาพูดกันในรายการ เพื่อร่วมเสนอทางออกของปัญหา

- รวบแม่เล้าสาว ม.2พาเพื่อนส่งเสี่ยขายตัว จากหนังสือพิมพ์รายวัน เชียงใหม่นิวส์

- และมีอีกหลากหลายข่าวตามสื่อต่างๆ


ปัญหาเรื่องเด็กดื่มเหล้า เบียร์ เป็นปัญหาที่พูดกันมายาวนานแล้ว ไม่ใช่แค่เด็กแต่ว่ามีปัญหากับประชาชนหรือพลเมืองของชาติด้วย แต่ในปัจจุบัน ปัญหาเหล้า เบียร์ เริ่มมีปัญหามากยิ่งขึ้นสำหรับเด็ก และเยาวชน ดังจะเห็นได้จากหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ หรือสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เช่น ภาพอุบัติเหตุ ภาพทำร้ายร่างกายกัน ภาพทะเลาะเบาะแว้งกันของเด็ก เยาวชน ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นมาจากการดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ ยิ่งช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ , สงกรานต์ , ลอยกระทง ฯลฯ การดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ ยิ่งมีมาก ปัญหาต่างๆ ( อุบัติเหตุ ,ทำร้ายร่างกายกัน,ทะเลาะเบาะแว้งกัน) ก็มากตามด้วย


และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เคยวิเคราะห์อย่างน่าฟังว่า หากสามารถลดอุบัติเหตุจากคนเมาได้ร้อยละ 50 จะลดการเสียชีวิตปีละ 2,900 ราย ลดการบาดเจ็บปีละ 29,625 ราย และ ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจได้อีกประมาณ 13,975 ล้านบาทเลยทีเดียว


ปัญหาเด็กติดยาเสพติด ในยุคปัจจุบัน ปัญหายาเสพติดมีเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งต้องขอฝากรัฐบาลช่วยแก้ ช่วยปราบปรามไว้ด้วย เนื่องจากปัญหายาเสพติดในปัจจุบัน ได้ลงมายังเด็กและเยาวชน เพิ่มมากขึ้น ยาเสพติดหาซื้อได้ง่ายและมีรูปแบบใหม่ๆเพื่อตอบสนองเด็กและเยาวชนของชาติ


ปัญหาเด็กติดเกมส์ เด็กติดเกมส์ในยุคปัจจุบันมีมากขึ้น การติดเกมส์ สำหรับเด็กบางคนไม่ต้องไปไหน เด็ก เยาวชน สามารถเล่นได้ภายในบ้าน


ปัญหา เหล่านี้ ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับ ครอบครัว สังคมและประเทศชาติ สำหรับการแก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้ มีความยากลำบากมาก เพราะ การแก้ปัญหาหนึ่งมันจะไปกระทบกับอีกปัญหาหนึ่ง เมื่อแก้เรื่องนี้ ก็จะก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้น เปรียบเหมือนกับที่เราแก้เชือกที่มี หลายปม เมื่อแก้ ปมนี้ เสร็จ ก็ยังต้องมีอีก หลายปมให้ต้องแก้ เช่น การแก้ปัญหาเรื่องเพศของเด็ก เรามีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องของสื่อลามก เนื่องจากเราต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ปัญหาสื่อลามกมีมากกว่าในอดีตเป็นอย่างยิ่ง หาซื้อได้ง่าย ในอินเตอร์เน็ต ก็สามารถ หาดูได้ทันที การแก้ไขปัญหาเรื่องเพศของเด็ก อาจจะต้องมีการออกกฎหมายใหม่ๆ มาเพื่อใช้บังคับและลงโทษผู้กระทำผิดให้เข้ากับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป



























...
  
จูงใจคน
การจูงใจคนต้องรู้พื้นฐานแห่งจิตใจคน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


การที่จะทำงานร่วมกับคน เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้เรื่องความต้องการ ความชอบ หรือความไม่ชอบของคนเรา แน่นอน คนเราทุกคนมีความต้องการ ความชอบที่แตกต่างกันทุกคน แต่มีบางอย่างที่คนเราชอบหรือไม่ชอบเหมือนกัน เป็นส่วนใหญ่ เช่น


1.คนเราไม่ชอบให้ใครตำหนิ โดยส่วนมากแล้วคนเราไม่ว่าชาย หญิง เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน คนชรา โดยมากมักไม่ชอบให้ใครตำหนิ เพราะการตำหนิ หรือการพูดสิ่งที่ผิดพลาดบกพร่องของคนนั้นๆ ถึงแม้จะเป็นความจริงก็ตาม คนเราก็ไม่ชอบหรือมองไม่เห็น ตรงกันข้าม การมองข้อบกพร่องผิดพลาดของคนอื่นเรากับมองชัดเจน ดังนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆ เราไม่ควรตำหนิ ผู้อื่น แต่ถ้าท่านทำงาน ถ้าไม่ตำหนิ ก็อาจทำให้งานเสียหายได้ ถ้ามีความจำเป็นต้องตำหนิลูกน้อง เราควรเรียกมาตำหนิ เป็นรายบุคคลสองต่อสอง ไม่ควรตำหนิลูกน้องต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่น


2.คนเราต้องการการยอมรับ ต้องการมีชื่อเสียงและ ต้องการเด่นดัง คนเราโดยมากต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม เพราะคนเราเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน ทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน


การอยู่ร่วมกันและต้องการให้คนชอบเรา เราต้องไม่พูดขัดคอเขาหรือขัดขวางความเด่นดังของเขา แต่ตรงกันข้ามเราต้องช่วยสนับสนุนให้เขาเด่นต่อไปแล้วเขาก็จะชอบเราในที่สุด


3.คนเราชอบคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าคนหน้าตาบึ้งตึง ดังนั้น เราต้องพยายามยิ้มแย้มแจ่มใส คนจึงกล้าเข้ามาหาเรา แต่ถ้าเราทำหน้าตาบึ้งตึง คนก็ไม่กล้าถามและไม่กล้าเข้าหา การยิ้มแย้มไม่เคยเป็นอันตรายต่อผู้ยิ้มตรงกันข้ามการยิ้มแย้มสามารถเอาชนะใจผู้อื่น และไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไร เวลาที่เรายิ้มแย้ม การยิ้มของเราจะแสดงความเป็นมิตร ความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้นจงยิ้มเข้าไว้ ถึงแม้เราจะแต่งตัวใส่เสื้อผ้าราคาแพง แต่ถ้าเราขาดการยิ้มแย้มแจ่มใส ผู้คนมักจะไม่กล้าคบค้าสมาคมด้วย


4.คนเราชอบให้คนจำชื่อ การที่เราจะจูงใจคนหรือชนะใจคนได้ เราจำเป็นจะต้องจำชื่อของคนคนนั้นให้ได้ ไม่ใช่เรียกชื่อเขาผิดๆ ถูกๆ ดังนั้น เราต้องฝึกจำชื่อบุคคลให้แม่นยำด้วยและเมื่อเจอกันเราควรเข้าไปทักทายเขาก่อน


5.คนเราต้องการให้คนอื่นฟังตัวเองพูดมากกว่าที่จะตั้งใจฟังผู้อื่นพูด เราจะเห็นได้ว่า คนที่สนทนาเก่งๆ มักจะพูดน้อยกว่า แต่สามารถชนะใจอีกฝ่ายหนึ่งได้ เนื่องจาก ธรรมชาติของคน โดยมากมักชอบพูดมากกว่าชอบฟัง ดังนั้น ถ้าต้องการชนะใจอีกฝ่ายเราควรสนับสนุนให้เขาพูดโดยเราเป็นฝ่ายตั้งใจฟัง เขาก็จะชื่นชอบเรา


6.คนเราต้องการเห็นการสารภาพผิด เมื่อทำผิด แน่นอน เราต้องเกิดมาทุกคน ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องและสิ่งที่ผิดพลาด แต่ถ้าเราทำผิด เราต้องขอโทษ การขอโทษหรือสารภาพผิดจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นใจและให้ความช่วยเหลือ บางคนไม่กล้าขอโทษเนื่องจากกลัวเสียหน้า อย่าคิดอย่างนั้นครับ เพราะการที่คนทำงานย่อมต้องมีผิดพลาดอยู่บ้าง เพราะคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยก็คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย


7.คนเราเมื่อเกิดความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง ก็มักจะพยามทุกอย่างเพื่อหาสิ่งนั้น ดังนั้นเมื่อรู้ว่าเขาต้องการอะไร เราก็ควรให้การสนับสนุน ไม่ควรไปขัดขวาง


ดังนั้น การที่คนเราจะจูงใจคนหรือชนะใจคนนั้น จึงต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง และข้อความข้างต้นนี้ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้ท่านชนะใจคนหรือจูงใจคน เราควรฝึกฝน เรียนรู้ไป แก้ไขปรับปรุง ผมเชื่อแน่ว่าท่านสามารถจูงใจหรือชนะใจฝ่ายตรงกันข้ามของท่านได้ แม้กระทั้งศัตรู






...
  
ประวัติของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
อาจารย์จตุพล ชมภูนิช นักพูดชื่อดัง ศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ร่วมเสวนา "บนเส้นทางสู่อาชีพนักพูด" แก่นักศึกษา บุคลากร และผู้สนใจ ซึ่งจัดโดยภาควิชาสื่อสารมวลชน ในโอกาสครบรอบ 38 ปีแห่งการสถาปนาคณะมนุษยศาสตร์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2552 ณ ห้องประชุมพวงแสด คณะมนุษยศาสตร์

อาจารยจตุพล ชมพูนิช นักพูดชื่อดังและศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสกลับมาเยือนรามคำแหง ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่ไม่ด้อยกว่าใคร แม้ว่าหลายคนที่เข้ามาเรียนที่นี่สอบเอนทรานซ์ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้หรือจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะการสอบเข้าเรียนได้ถือเป็นเพียงการวิ่ง 100 เมตรแรกเท่านั้น และการที่เราแพ้ใน 100 เมตรแรก ก็ไม่ใช่ว่าเราจะแพ้ทั้งชีวิต

"ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ถ้าไม่มีรามคำแหง ก็คงไม่มีผมในวันนี้ รามคำแหงจึงอยู่ในหัวใจของผมเสมอมา ซึ่งสมัยเรียนที่รามคำแหง ผมมีความตั้งใจเรียนอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว แต่เข้าร่วมกับชมรมต่างๆ ทั้งชมรมปาฐกถาโต้วาที และชมรมภาษาอังกฤษ เวลาว่างมักจะเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือ เพราะผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก และมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักพูด ซึ่งการเป็นนักพูดที่ดีจะต้องมีความรู้ และต้องพยายามฝึกฝนทักษะการพูด ซ้อมพูดกับตัวเอง และสอนตัวเองตลอดเวลา

ครั้งแรกที่มีโอกาสได้พูด ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะพูดแล้วไม่มีคนสนใจฟัง แต่ผมก็ยังพยายามฝึกฝนไปเรื่อยๆ และหากเราทำอะไรไม่สำเร็จ อย่าคิดว่าเป็นเพราะของสิ่งนั้นอยู่ไกล แต่อาจเป็นเพราะว่ามือเราสั้นไป ฉะนั้นจึงควรพยายามขยับไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรสูงเกินไปถ้าเราจะไขว่คว้า ผมฝึกพูดระหว่างเดินเข้าซอยทุกวัน และต้องสรุปการพูดของตัวเองในแต่ละวัน" อ.จตุพล กล่าว

อาจารย์จตุพล กล่าวต่อว่า ทุกความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน อย่างแรกอยากให้เริ่มต้นที่หัวใจ ถ้าอยากเป็นนักพูด ใจก็ต้องมุ่งมั่นต่อสิ่งเดียวคือการเป็นนักพูด เหมือนกับกล้องที่ต้องโฟกัสให้นิ่งแล้วเป้าหมายจะชัด แต่ถ้าขยับเขยื้อนไปมา ภาพก็จะไม่นิ่ง เมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจนแล้ว การที่เราจะทำความฝันเป็นความจริงก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรามุ่งมั่นฝ่าฟันและลงมือทำมาตลอด สิ่งนั้นก็จะมาสู่ตัวเรา

ฉะนั้น ถ้าอยากทำสิ่งใดให้สำเร็จ 1. ต้องโฟกัสให้ชัด ให้นิ่ง อย่าเปลี่ยนบ่อย 2. ใจต้องรัก เมื่อใจรักแล้ว ปัญหาเล็กจะกลายเป็นไม่เป็นปัญหา ปัญหาใหญ่จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าใจรักแต่ไม่ลงมือทำก็ไม่เกิดประโยชน์ คนที่เก่งกว่าคือคนที่พยายามมากกว่า ซึ่งการพยายามมากกว่าคือการที่พยายามฝึกพูดตลอดเวลา ล้มแล้วต้องลุก และคนที่พูดบ่อยก็จะเป็นเหมือนการได้ฝึกฝน และจะมีทักษะในที่สุด และนอกจากจะมีฝัน มีใจแล้ว ต้องลงแรงลงกาย และต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

"การเรียนในรั้วมหาลัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย รับรองว่าเรียนจบทุกคน แต่ถ้าทำเกินกว่าการเป็นนักศึกษา หน้าที่ที่สำคัญคือตั้งใจเรียนหนังสือ หลายคนอยากจะมีความฝัน อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แต่ถ้าได้เป็นแล้วไม่เรียนหนังสือ ผมก็ไม่เห็นด้วย อยากให้เห็นความสำคัญของการเรียนเป็นอันดับแรก เรียนให้เต็มที่และเสริมสร้างความสามารถให้มากที่สุด เพราะถ้าคนมีความสามารถมากกว่าย่อมได้เปรียบกว่า อย่าเรียนอย่างเดียวโดยไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เราต้องมีความสามารถพิเศษซึ่งเป็นสิ่งที่เราสนใจ

ผมเป็นคนชอบภาษาอังกฤษ มนุษย์ที่ได้เปรียบจะต้องรู้ภาษาและรู้เทคโนโลยี จะต้องสร้างเขี้ยวเล็บให้กับตนเอง แต่ต้องเรียนเป็นหลัก เช่น ถ้าอยากเป็นดารา ซึ่งอาชีพดารานั้นไม่ยั่งยน วันนี้แสดงเป็นพระเอก พรุ่งนี้อาจแสดงเป็นพ่อก็ได้ ฉะนั้น จะต้องมีปริญญาเป็นอาวุธ ต้องเสริมสร้างกระดูก เสริมสร้างความสามารถให้เพิ่มขึ้น แล้วรอโอกาส แต่ถ้าโอกาสยังไม่มา จะต้องสร้างโอกาสขึ้นมาเอง เช่น รายการตีสิบ ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถได้แสดงความสามารถของตน ถ้าเรามีความสามารถ ก็ย่อมเข้าร่วมแสดงความสามารถได้ ถึงจะไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่อาจจะตรงตามความต้องการของคนอื่นได้" อ.จตุพลกล่าว

อาจารย์จตุพล กล่าวอีกว่า การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป ซึ่งศาสตร์คือการที่เราสามารถเรียนรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้หลักการออกเสียง อักขระ หรือการใช้ช่วงเสียงทำนองที่มีความเป็นธรรมชาติ ทำให้ดึงดูดใจผู้ฟัง ตลอดจนศิลปะการใช้ท่าทาง การสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ แต่ศิลป์คือ เมื่อเราเรียนรู้แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมๆ กัน ศิลปะแต่ละคนก็จะต่างกัน เสมือนกับการเรียนวาดรูป ที่เรียนมาเหมือนกัน แต่ความมีศิลป์ต่างกัน ซึ่งศิลป์เป็นสิ่งที่เราต้องเสริมหลังจากได้ความรู้ไปแล้ว

อ.จตุพล กล่าวว่า การเป็นนักพูดต้องมีความรู้ ตนเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ทำให้ได้รับความรู้จากหนังสือแล้วนำมาผ่านกระบวนการปรุงแต่งให้ได้รสชาติตามที่ต้องการ และต้องเสิร์ฟออก ซึ่งการพูด ถ้าจะพูดอย่างมีศิลป์ต้องสามารถพูดแล้วถูกใจคนฟัง ซึ่งการศึกษาเป็นกระบนการที่ทำให้เราค้นพบตัวเองอย่างแท้จริง ช่วงเวลาเรียนเป็นช่วงเวลานาทีทอง ทำให้เราได้รับความรู้และเป็นการเพิ่มความสามารถ ทำให้ค้นพบตัวเอง เพระาถ้าค้นพบตัวเองได้เร็วกว่า ก็สามารถพัฒนาต่อยอดไปได้เร็วกว่าคนอื่น

"การแสดงท่าทางประกอบการพูดถือเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การใช้ท่าทางจะต้องมีความเป็นธรรมชาติ และเสียงที่พูดต้องเป็นเธรรมชาติ เสียงต้องขึ้นลงตามจังหวะการพูด ซึ่งเทคนิคที่จะทำให้พูดได้อย่างคล่องแคล่วคือ จะต้องฝึกอ่านหนังสือดังๆ และฝึกออกเสียงให้ถูกอักขระวิธี ถ้าอยากเป็นนักพูดต้องบรรจุความรู้เข้าสมองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และสามารถดึงออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ต้องฝึกฝน เตรียมพร้อม เตรียมตัวมีจิตใจที่มุ่งมั่น และค้นหาตัวเองให้พบ

คนเกิดมาไม่ต่างกัน มีมือมีเท้าเท่ากัน อะไรที่เขาทำได้เราย่อมทำได้ อย่าขังตัวเองไว้กับสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ เพราะทุกหนึ่งความคิดจะเป็นหนึ่งปมที่ขังตัวเอง โลกของเรากว้างใหญ่เสมอ และท้องฟ้าไม่มีขีดจำกัดสำหรับคนที่ต้องการบิน เราสามารถจะบินได้สูงที่สุดเท่าที่ใจเราต้องการ ที่รามคำแหง พร้อมจะเปลี่ยนคุณให้มีราคา มากเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่หัวใจเราต้องการ ชีวิตเราเกิดมาเราสามารถเลือกได้ และขอให้ทุกคนเป็นบัณฑิตที่ทรงคุณค่าของรามคำแหงต่อไป" อ.จตุพลกล่าว

ข่าววันที่: 12/10/2009
แหล่งข่าว: หนังสือพิมพ์ข่าวรามคำแหง (12-18 ตุลาคม 2552)


...
  
การพูดของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
เทคนิคการพูดจากอาจารย์จตุพล ชมภูนิช


จากหนังสือเรื่อง บุคลิกภาพคนรุ่นใหม่





นักพูดที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งที่ใครหลายๆคนชื่นชอบ และชื่อของนักพูดท่านนี้คงครองใจของใครหลายคนเหมือนกัน หนังสือที่ดิฉันอ่านเป็นของนักพูดท่านนี้เช่นกัน ท่านอาจารย์จตุพล ชมภูนิช หนังสือที่ท่านเขียนเล่มนี้เป็นการพูดถึงบุคลิกภาพที่ดีของคนรุ่นใหม่ ซึ่งดิฉันติดใจและสะดุดตาตั้งแต่เห็นชื่อเรื่อง " บุคลิกภาพคนรุ่นใหม่ " ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นของใคร แต่พอเหลือบดูภาพบนหน้าปกก็ถึงบางอ้อทันทีและไม่คิดลังเลที่จะหยิบไปให้บรรณารักษ์บันทึกลงคอมพิวเตอร์ว่าดิฉันตัดสินใจเลือกยืมหนังสือเล่มนี้


เราจะมาตะลุยดูเลยว่าเวลาที่อาจารย์เขียนหนังสือนั้นจะเหมือนกับตอนที่พูดมากน้อยแค่ไหน จะใช้เทคนิคเดียวกันหรือไม่ อาจารย์จะใช้เทคนิคการพูดอย่างไรที่ทำให้สามารถครองใจคนทุกวัยได้ หนังสือเรื่องนี้ดูจากชื่อเรื่องก็รู้ได้เลยว่าอาจารย์จตุพลต้องพูดถึงเรื่องบุคลิกภาพอย่างแน่นอน ด้วยความที่ดิฉันเองก็อยากเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีบุคลิกภาพที่ดีทั้งทางด้านความคิดและบุคลิกภายนอก จะได้ช่วยส่งเสริมให้ตัวเราเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง


ก่อนอื่นเราจะมาดูก่อนว่าเนื้อหาสำคัญที่อาจารย์จตุพลได้กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้าง ในโลกธุกิจการสร้างภาพลักษณ์หรือบุคลิกภาพให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือนับเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ยิ่งต้องใส่ใจและให้ความสำคัญมากขึ้น การมีบุคลิกภาพที่ดีถือเป็นบันไดก้าวแรกที่เราจะไต่ไปสู่ความสำเร็จในอนาคต ด้วยเหตุนี้บุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือจึงเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญของคนรุ่นใหม่ ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธในความจริงข้อนี้ ทุกคนยิอมปรารถนาที่จะเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี มีบุคลิกภาพเป็นที่ยอมรับของสังคมและคนรอบข้าง


หนังสือบุคลิกภาพของคนรุ่นใหม่ ของอาจารย์จตุพลนี้ได้แดงให้เห็นถึงทุกองค์ประกอบ ทุกมุมมองและทุกขั้นตอนปฏิบัติของการนำไปสู่บุคลิกภาพตามแบบมาตรฐานสากลของคนรุ่นใหม่ เนื้อหาที่อาจารย์จตุพลเสนอได้แบ่งออกเป็นตอนๆ เป็นเรื่องๆไป พูดจบเรื่องนี้ให้ชัดเจนและเข้าใจแล้วก็พูดหัวข้อต่อไปอีกโดยมีลักษณะเป็นเอกภาพตรงที่จะมีวิธีการจัดการกับตัวเองอย่างไรบ้างให้ได้เป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี


ที่อาจารย์จตุพลพูดไว้ในหนังสือเล่มนี้ มีหลายตอนที่ดิฉันชอบและได้บันทึกไว้ในสมุดเพื่อไว้อ่านเป็นอาหารสมองให้กับตัวเอง อาจจะเก็บไว้สอนลูกสอนหลาน แนะนำเพื่อนที่เขายังไม่รู้ต่อไป คิดว่าต้องเป็นประโยชน์แน่ บันทึกไว้ไม่เสียหายอะไร


หนึ่งในตอนที่ดิฉันบันทึกไว้ก็คือตอน It's your style : ยังไงก็เป็นคุณ อาจารย์จตุพลกล่าวว่า เราอาจจะประทับใจใครก็ได้ เราอาจจะเรียนรู้จากใครก็ได้ เราอยากเก่งเหมือนใครก็ได้ เราจะเอาใครเป็นแบบอย่างเราก็ได้ แต่สุดท้าย เราต้องเป็นตัวของเราเอง บุคลิกภาพที่ดีที่สุดนั้นได้แก่บุคลิกภาพที่แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่เป็นผู้นำ คนที่มีความเชื่อมั่น คนเหล่านี้มักมีบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง ซึ่งการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือปัจจัยอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก การสร้างสไตล์เฉพาะตัวนั้นสร้างได้หลายทาง เริ่มจากการแต่งกาย การไว้ทรงผม อาหารการกิน รสนิยมการใช้ชีวิตในการพักผ่อน อุปกรณ์ของใช้ การทำงาน การมีรูปแบบการใช้ชีวิตและบุคลิกภาพเฉพาะคนเป็นสิ่งที่ต้องค้นหา เราจึงจะทราบว่าเราเป็นคนแบบไหน มีเอกลักษณ์อะไรที่เหมาะสมกับตัวเอง เราต้องพยายามค้นหาและพิจารณาให้ได้แล้วเราจะเป็นคนหนึ่งที่ที่ใครเห็นก็ทึ่ง ชวนสะดุดตาพาสะดุดใจ เพราะเราไม่ใช่มนุษย์โหลที่หาได้ทั่วไปตามศูนย์การค้า เราต้องไม่ตามกระแส (แฟชั่น) เสียจนไร้ความภูมิใจและในขณะเดียวกันเราก็ไม่ทวนกระแสเสียจนใครไม่กล้าคบหาสมาคม


ในเรื่องการแต่งกายต้องระลึกไว้เสมอด้วยว่า เราแต่งให้ผู้อื่นดูด้วยไม่ใช่แต่งแล้วดูคนเดียว การแต่งกายที่ดี ต้องให้เหมาะสมกับกาลเทศะ มิใช่พยายามนุ่งกระโปรงยาวแต่ในชีวิตประจำวันการเดินทางต้องขึ้นรถลงเรือ ซ้อนมอเตอร์ไซค์หลายต่อ จะขึ้นลงทีต้องคอยถลกกระโปรง ดีไม่ดีอาจเกิดอุบัติเหตุได้ แบบนี้ต้องปรับตัวเองด้วย


การเสริมเติมแต่ง ทำให้คนเราดูดีขึ้นก็จริงแต่ต้องขึ้นอยู่กับเวลาและสถานที่ มิเช่นนั้น การแต่งที่จะทำให้เกิดความสวยความงามเห็นแล้วคงจะคิดตามนั้นไม่ออก อาจารย์จตุพลได้แนะนำหลักการง่ายๆ ที่ใช้ในการแต่งตัวว่า ไม่ควรแต่งกายหรือเสริมความงามในที่สาธารณะชน เพราะการให้คนอื่นรู้เห็นในวิธีทำให้ตัวเองงดงามนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าดูน่าชม


อาจารย์จตุพลได้แนะนำทุกเรื่องราวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งเรื่องของหญิงและชาย มีตั้งแต่รูปร่างแบบไหนนิสัยอย่างนั้น การแต่งตัว การใส่สูท ทรงผม เครื่องสำอาง รองเท้า นาฬิกา องค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนที่ช่วยส่งเสริมหรือถดถอยบุคลิกภาพของเราได้ทั้งสิ้น เราจึงไม่ควรละเลย จะใส่อะไรจะทำอะไรก็ให้คำนึงถึงกาลเทศะ ความเหมาะสม ดูให้เหมาะสมกับรูปร่าง เหมาะสมกับโอกาสและที่สำคัญให้เหมาะกับฐานะ


อาจารย์จตุพลยังบอกอีกว่า บุคลิกของทั้งบุรุษและสตรีวัยทำงาน เสื้อผ้าที่ใส่แล้วต้องไม่ล้ำสมัย เก๋ไก๋ สไตล์ล้ำอย่างเดียวแต่ควรจะให้ดูดี มีศรัทธา น่าเชื่อถือ สินค้าที่ดีก็ต้องมีหีบห่อที่ดีฉันใด คนที่ดีก็ต้องมี PACKAGE ที่ดีไปด้วยฉันนั้น สินค้าดีเพียงใดแต่ไม่ใส่ใจในหีบห่อ ก็ไม่มีใครสนใจซื้อ คนทำงานที่ดี ก็ต้องมีที่หุ้มห่อให้ดีจะได้มีคนซื้อ เราควรใส่ใจกับเรื่องการแต่งกายสักนิด แล้วเราจะสามารถพิชิตความสำเร็จในโลกของมนุษยสัมพันธ์และการทำงานได้อย่างไม่ยากเย็น


ดิฉันเห็นด้วยกับที่อาจารย์จตุพลพูด และเป็นที่น่าสังเกตว่า สิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดออกมานั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของอาจารย์และอาจารย์ได้บันทึกลงโปรแกรมประสบการณ์ไว้อย่างดี เมื่ออาจารย์พบเห็นสิ่งใดมาก็จะมีมุมมองแนวคิดที่บางทีใครก็มองข้าม พอนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง ก็เป็นที่น่าสนใจ และจะเห็นด้วยว่าทำไมที่ผ่านมาเราถึงได้ไม่มองอย่างนั้นบ้าง และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักพูดที่ดี ต้องรู้จักสังเกตและมีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร


เมื่อดิฉันอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงนอกจากจะได้ความรู้เคล็ดลับของการมีบุคลิกภาพที่ดีแล้ว ก็ขอมองถึงวิธีการและเทคนิคการพูดของอาจารย์จตุพลดูบ้าง ว่าอาจารย์ท่านมีเทคนิคการพูดอย่างไรให้ติดอกติดใจผู้ฟังได้ขนาดนี้โดยดูจากตัวอย่างของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเท่าที่ดูก็ขอสรุปไว้ดังนี้


1. การพูดของอาจารย์มีลักษณะเป็นเอกภาพ เวลาอาจารย์จะพูดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ท่านก็จะตั้งหัวข้อไว้ แล้วพาผู้ฟังไปสู่เป้าหมายของการพูดโดยการยกตัวอย่างไปเรื่อยๆ ตัวอย่างที่ยกมานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นองค์ประกอบของเรื่องที่พูด ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจและมองเห็นภาพที่อาจารย์สื่อชัดยิ่งขึ้น


2. เรื่องที่พูดใกล้ตัว สังเกตดูแล้วดิฉันพบว่าแต่ละเรื่องที่อาจารย์จตุพลพูดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใกล้ตัว บางทีเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา เป็นเรื่องที่ใครๆละเลย มองไม่เห็น แต่อาจารย์มองเห็น แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่าการที่จะเป็นนักพูดที่ดีนั้น ต้องเป็นคนช่างสังเกต มีมุมมองที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร หรือถึงแม้ซ้ำก็มีความคิดสร้างสรรค์ทำให้เรื่องที่ซ้ำนั้นดูน่าสนใจและแปลกใหม่ขึ้นมา คนที่มีอะไรแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ย่อมเป็นที่น่าสนใจเสมอ


3. คนที่จะเป็นนักพูดที่ดีต้องมีประสบการณ์มาก ประสบการณ์ในที่นี้คือมีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตมากๆ ยิ่งมีประสบการณ์มาก ยิ่งทำให้คนพูดมีข้อมูลมากตามไปด้วย อาจจะนำข้อมูลอันเก่านั้นมาพลิกแพลงให้เข้ากับยุคสมัยให้ทันปัจจุบันมากขึ้น เพราะคนฟังก็ย่อมมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปตามวิถีสังคม อย่างอาจารย์จตุพลท่านก็เป็นผู้มีประสบการณ์มาก อายุปูนนี้แล้วยังไม่แต่งงาน แล้วทำไมท่านถึงรู้และมีประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตคู่ หรือทำไมท่านถึงเข้าใจผู้หญิง เข้าใจทุกเพศทุกวัยได้ดีเสียเหลือเกิน ตรงนี้ให้สังเกตนิดนึงค่ะว่า ที่ท่านมีประสบการณ์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เพราะท่านได้รับประสบการณ์มาโดยตรง ท่านอาจจะได้รับประสบการณ์เหล่านี้จากคนรอบข้าง จากหนังสือ ซึ่งถ้าอยากเป็นนักพูดที่ดี เราก็ควรทำให้ได้อย่างนี้ด้วย


4. นักพูดที่ดีต้องทันยุค ทันสมัย ทันใจ รู้ใจคนฟัง รู้ว่าในขณะนั้นผู้ฟังคิดอะไร อย่างไร มีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร ให้ทันตามทุกกลุ่มอายุคน อย่างอาจารย์จตุพล ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท่านถึงเป็นขวัญใจของคนทุกวัยได้ ท่านเหมือนรู้ใจคนทุกกลุ่ม รู้ว่าคนกลุ่มไหนกำลังคิดอะไรยังไง มีกระแสอะไรที่กระทบหรือส่งผลต่อคนเหล่านั้น ท่านสังเกต และมอง ท่านทำเหมือนกับท่านเป็นคนเหล่านั้นเสียเอง ตรงนี้แหละค่ะที่ดิฉันคิดว่าผู้ฟังชอบ


5. คนที่จะเป็นนักพูดที่ดี ต้องไม่ลืมอารมณ์ขัน อาจารย์จตุพลนี่พูดเมื่อไหร่ พูดเรื่องอะไรก็ขำได้ แม้แต่เรื่องเครียดๆก็ทำให้ผู้ฟังไม่เครียด ทำให้คนหัวเราะได้ นี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเป็นนักพูดที่ดี เพราะทุกครั้งที่อาจารย์พูดเหมือนกับอาจารย์เป็นเทวดาที่สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ฟังได้ตลอด คนฟังก็มีความสุข หนังสือที่อาจารย์จตุพลเขียนนี้แม้จะเป็นเรื่องหลักการแต่อ่านแล้วเราไม่เครียดเลย มีทั้งมุขตลก ล้อเลียน สร้างอารมณ์ขันได้ตลอด


6. นักพูดที่ดีต้องเป็นนักยกตัวอย่างที่ดี เมื่อมีประสบการณ์เยอะ มีข้อมูลเยอะ ก็ทำให้สามารถยกตัวอย่างได้ดีทันใจ หยิบยกโยงใยเรื่องโน้นมาเป็นตัวอย่างของเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสม คนฟังจะได้ไม่ถูกจำกัดกรอบเพียงเรื่องเดียว มาฟังเรื่องหนึ่งก็อาจจะได้ความรู้จากอีกเรื่องหนึ่งแถมไปด้วย เหมือนเป็นการแถมของขวัญให้กับผู้ฟัง


7. จะเป็นนักพูดที่ดี ให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ต้องมีบุคลิกที่ดีด้วย เหมือนชื่อเรื่องของหนังสือเล่มนี้เลย ตรงนี้เราก็เห็นได้อีกแล้วว่า อาจารย์จตุพลเนี่ยเป็นคนที่มีบุคลิกดี เราไม่ขอพูดถึงเรื่องหน้าตา เพราะเรื่องบุคลิกภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สร้างได้ อาจารย์จะดูโก้และเหมือนเป็นเทพบุตรเสมอเวลาพูด ดูตั้งแต่แต่งตัวดี เนี๊ยบแบบน่าเชื่อถือ สะอาด ยิ่งพูดน่าสนใจคนก็จะยิ่งไม่ละสายตาจากคนพูดเลย


8. อาจารย์จตุพลมักใช้วิธีการเปรียบเทียบ เห็นนักพูดนักเขียนหลายท่านชอบใช้อยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าการรู้จักเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งนั้นนอกจากจะเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ฟังแล้วยังทำให้การพูดเป็นไปอย่างมีลีลา แสดงให้เห็นว่าผู้พูดมีความสามารถ ผู้ฟังก็จะได้มีจินตนาการร่วมไปด้วย





เทคนิคและวิธีการพูดที่ดิฉันได้จากท่านอาจารย์จตุพลนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อพวกเรา เพราะในเมื่อเราชอบและชื่นชมในตัวท่านอาจารย์ อาจารย์เป็นนักพูดที่มีชื่อเสียง ใครอยากเป็นนักพูดที่ดีเหมือนอาจารย์ก็สามารถเรียนรู้เทคนิควิธีการพูดเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง จำได้ไหมในหนังสือเล่มนี้ที่อาจารย์บอกไว้ว่า เราจะประทับใจใครก็ได้ เราอยากเก่งเหมือนใครก็ได้ เราจะเอาใครเป็นแบบอย่างเราก็ได้ เราอยากเก่งเหมือนใครก็ได้ แต่เราต้องเป็นตัวของเราเอง เมื่อเรียนรู้วิธีการพูดเหล่านี้จากอาจารย์จตุพลไปแล้ว ก็ควรเอาไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง สร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่อาจารย์จตุพลทำสำเร็จอยู่ในขณะนี้


โดย.. อุษณีย์ เทพมณี





...
  
พูดดี ต้องประเมิน
จะรู้ว่าพูดดี ต้องมีคนประเมิน
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ความผิดพลาดของตนเอง เป็นบทเรียนที่นำตนไปสู่ความสำเร็จ


ปัจจุบันนี้กระผมมีงานอดิเรกคือ ไปบรรยายในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกชน ราชการ บางทีก็ไป “ทอล์กโชว์” ตามโรงเรียนต่างๆ บ้าง ไปๆ มาๆ รายได้จะดีกว่างานหลักเสียอีก


จากการบรรยายในสถานที่ต่างๆ มักมีคนถามกระผมว่า “ทำอย่างไรจึงจะบรรยายเก่ง” กระผมก็ได้อธิบายว่า อันนี้ไม่ใช่พรสวรรค์นะ มันเป็นพรแสวงต่างหาก เพราะความจริงกระผมไม่สามารถบรรยายได้ตั้งแต่เกิด กระผมมาฝึกฝนเอาทีหลังนี่เอง กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ กระผมเองก็เคยเป็นนักพูดประเภท สลายม็อบ อยู่นานทีเดียว คือ พูดไปคนค่อยทยอยออกทีละคนสองคน


จุดสำคัญคือ เราต้องพยายามปรับปรุงตัวเอง และมีคนถามต่อว่าจะปรับปรุงตัวเองอย่างไร คำตอบคือ การพูดแต่ละครั้งเราควรหาคนที่รู้จัก แล้วให้เขาวิจารณ์การพูดของเรา หรือให้ผู้เข้ารับการอบรม ประเมินเราเวลาเราพูดเสร็จ เมื่อเราได้ข้อมูลหรือข้อบกพร่อง เราก็สามารถนำมมาปรับปรุง หรือแก้ไขในการพูดครั้งต่อไป

ฉะนั้น การประเมินการพูด หมายถึง การวิเคราะห์ว่าที่เราพูดหรือปาฐกถาไปนั้น ต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าเป็นไปได้ควรหาเทปไปอัด คำบรรยายของเรา ในปัจจุบันนี้มีเครื่องถ่ายภาพเคลื่อนไหว ถ้าเรานำไปถ่ายภาพการบรรยายของเราได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้เรารู้ว่า ท่าทาง กริยา อาการ ของเราเวลาเราพูดเป็นอย่างไร พูดดีหรือไม่ ท่าทางดีหรือเปล่า น้ำเสียง จังหวะในการพูด เหมาะสมหรือเปล่า


การประเมินการพูด เปรียบเทียบก็คล้ายกับเรามีกระจกเงา ส่องดูการแต่งกายส่องบุคลิกท่าทางของเรา และถ้าไม่สวย ไม่ดี ก็มาแก้ไข มาเปลี่ยนแปลงให้ดีเสีย


เพราะฉะนั้น รักจะพูดให้คนพอใจ อยากจะเป็นนักพูดประเภทพูดแล้วคนชื่นชอบ คนชอบฟัง เมื่อพูดเสร็จแต่ละครั้งอย่าถอนหายใจโล่งอกเป็นอันขาดว่า หมดทุกข์หมดโศกแล้ว ขอให้เก็บความทรงจำนั้นไว้แล้วมานั่งคิดว่า ถ้าจะให้ดีกว่าที่ได้พูดไปเราควรทำอย่างไร เราต้องแก้ไขตรงไหน เขามีความคิดความเห็นเกี่ยวกับการพูดของเราอย่างไร อย่าปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ ถ้าเราใฝ่ใจอยากจะเป็นนักพูดที่มีอนาคต

ท่านถูกติ ต้องตรอง มองที่ติ


แล้วเริ่มริ ลงรอย คอยแก้ไข


ติเพื่อก่อ ต่อสติ ติเข้าไป


เป็นบันได ไต่เต้า ให้เราดี

...
  
ผู้นำกับทีม
ผู้นำและการนำทีม

โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ผู้นำ หมายถึงบุคคลหรือคนที่ทำให้องค์กร หน่วยงาน ประสบความก้าวหน้าโดยใช้อิทธิพลของตนเองจูงใจให้คนอื่นปฏิบัติตาม


จากความหมายข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า ผู้นำมีความสำคัญอย่างมากในการจัดการองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อที่จะนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย อาจจะเป็นเรื่องของกำไรของบริษัท หรือความเจริญเติบโตขององค์กร

การเป็นผู้นำหรือการนำนั้นมีความสำคัญมาก ไม่ใช่เฉพาะคนเรา แต่รวมไปถึงสัตว์ต่างๆด้วย เช่นฝูงช้างก็ต้องมีผู้นำในการนำฝูง ฝูงหงส์เวลาบินไปไหนเรามักจะสังเกตเวลาบินไปเป็นฝูงตัวที่บินนำนั้นแหละครับคือผู้นำฝูง ฝูงสิงโต ฝูงลิง ก็มักจะมีผู้นำฝูง เป็นต้น

ดังนั้นการนำทีมหรือการนำองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญของผู้ที่จะต้องเป็นผู้นำองค์กรดังคำพูดที่ว่า “ ผู้นำองค์กรเป็นอย่างไร องค์กรจะเป็นอย่างนั้น ” ซึ่งเป็นความจริงอยู่มากเลยทีเดียว หรือ คำพูดที่ว่าถ้าให้ท่านเลือกระหว่าง “ ฝูงลาที่มีสิงโตนำ กับ ฝูงสิงโตที่มีลานำ ” ท่านจะเลือกอะไร ถ้าท่านเลือกฝูงลาที่มีสิงโตนำ องค์กรของท่านอาจจะอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าท่านเลือก ฝูงสิงโตที่มีลานำ ลาอาจจะนำสิงโตไปตายก็ได้ ดังนั้นในวันนี้เราจึงต้องมาเรียนรู้องค์ประกอบของการนำทีมว่ามีอะไรบ้าง องค์ประกอบของการนำทีมมีดังนี้ครับ

- เป้าหมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดของการนำทีมงาน ผู้นำจะต้องมีเป้าหมายหรือต้องสร้างเป้าหมายร่วมกันก่อน การมีเป้าหมายร่วมกันจะทำให้ทีมงานรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตำแหน่งไหนแล้วจะเดินไปสู่ตำแหน่งไหน การกำหนดเป้าหมายจะทำให้ผู้ตามเห็นทิศทางหรือรู้ทิศทางในการเดินร่วมกัน

- รู้บทบาทของตนเอง การเป็นผู้นำจะต้องมีบทบาทที่แตกต่างจากผู้ตาม ดังนั้นการทำงาน วิธีคิดจึงไม่เหมือนผู้ตาม ผู้นำจึงต้องมีวิธีคิด บุคลิกภาพ ไหวพริบปฏิณาณที่แตกต่างจากผู้ตาม เมื่อองค์กรมีปัญหา ผู้นำจะต้องคิด แก้ปัญหาและสามารถตัดสินใจได้ การตัดสินใจนี้ถ้าผิดพลาดอาจจะทำให้องค์กรถึงขั้นล้มละลายเลยก็ได้

- ต้องสร้างกระบวนการทำงานร่วมกัน กระบวนการทำงานหรือวิธีการทำงานมีความสำคัญยิ่งเพราะเราจะเห็นว่าการบริหารการจัดการสมัยใหม่ ทำให้งานรวดเร็วกว่างานสมัยก่อน ดังนั้นถ้ากระบวนการทำงานมีความล่าช้า ไม่ทันสมัย ผู้นำจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการในการทำงานเพื่อให้ทันสมัยและพร้อมที่จะแข่งขันกับองค์กรอื่น เช่น การนำระบบสารสนเทศมาใช้ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ การนำระบบการสื่อสารมาใช้เพื่อก่อให้เกิดความรวดเร็ว เป็นต้น

- รู้จักการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ผู้ที่จะเป็นผู้นำจะต้องสร้างความสัมพันธ์หรือมีมนุษย์สัมพันธ์กับบุคคลอื่น จึงจะทำให้คนอื่นทำงานให้แก่เราด้วยความทุ่มเท การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ผู้นำต้องรู้ในเบื้องต้นก่อนว่าคนเรามีความแตกต่างกันดังคำโบราณที่มีการกล่าวไว้ว่า “ คนเรามีความแตกต่างกันเนื่องจากคนเรามีร้อยพ่อพันแม่ (ดังนั้นหนึ่งพ่อย่อมมีอยู่สิบแม่ตามสัดส่วน) ” ทำให้เราทราบว่าคนเรามีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ อายุ เพศ วัย ความเชื่อ ศาสนา นิสัยส่วนตัว ฯลฯ

ดังนั้นผู้นำองค์กรจะต้องเรียนรู้องค์ประกอบของการนำทีม การสร้างทีมงานและสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เกิดขึ้นในองค์กรด้วย ท้ายนี้กระผมขอฝากแง่คิดเป็นบทประพันธ์ของหลวงพ่อพุทธทาส ดังนี้


เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่


เป็นประโยชน์ ต่อโลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย


จะหาคน มีดี แค่ส่วนเดียว อย่าไปเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย


เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง






...
  
ลักษณะนักพูด
ลักษณะของผู้ที่จะเป็นนักพูด

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

การจะเป็นนักพูดสามารถฝึกฝนได้พัฒนาได้และบุคคลที่อยากจะเป็นนักพูดนั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างในตัวเอง ที่ทำให้เขาได้เป็นนักพูด ซึ่งผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องลักษณะนิสัยดังนี้

- มีความสุขทุกครั้งเมื่อได้ออกไปพูด คนที่จะเป็นนักพูดได้จะต้องเป็นนักถ่ายทอดชอบพูด ชอบสอน ชอบบรรยาย จึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อได้รับเชิญให้ไปพูดแล้ว จึงมีความอยากไปพูด อยากไปบรรยาย ไม่ใช่ใครเชิญก็บ่น บอกกับตัวเองในลักษณะทำไมต้องเชิญเรานะ คนอื่นมีตั้งเยอะ

- เป็นนักฟังที่ดี ฟังแล้วสามารถจับประเด็นในการพูดของวิทยากร สามารถวิเคราะห์ได้ว่านักพูดหรือวิทยากรที่บรรยายอยู่นั้น มีข้อดี ข้อเด่นอะไร แล้วนำข้อดี ข้อเด่นมาปรับ มาพัฒนาเพื่อเป็นแนวทางของตน

- เป็นนักอ่าน การจะเป็นนักพูดที่ดีต้องมีข้อมูลในการพูด การอ่านหนังสือต่างๆ มากๆ จะทำให้มีข้อมูลที่หลากหลาย เมื่อถึงเวลาบรรยาย หรือต้องพูด จะสามารถนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาปรับใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การเตรียมการพูดเป็นไปได้ด้วยความรวดเร็ว

- มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา การที่จะเป็นนักพูดที่ดีและยั่งยืนนั้นจะต้องมีการพัฒนาตนเองตลอดเวลา เพราะโลกของเราในยุคปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ดังนั้น ผู้รักที่จะเป็นนักพูดต้องพัฒนาการพูดของตนเองอยู่เสมอ ต้องแก้ไข ปรับปรุงตนเองเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังข่าว ดูละครเพื่อจะได้มีข้อมูลที่ทันสมัยหรือทันเหตุการณ์เพื่อนำไปบรรยายหรือใช้พูด

- มีความพยายาม อดทน เมื่ออยากจะเป็นนักพูดและยิ่งถ้าอยากที่จะเป็นนักพูดระดับประเทศก็ยิ่งต้องมีความพยายาม อดทนให้มากขึ้นไปอีก การที่จะเป็นนักพูดที่ดีหรือเก่งนั้นไม่ใช่ผ่านเวทีการพูดมาแค่หนึ่งหรือสองเวที ถึงเก่ง แต่ยิ่งผ่านเวทีการพูดมากเท่าใด ก็จะมีความเก่งหรือทักษะมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น แล้วจึงจะเก่งขึ้นในที่สุด เพราะฉะนั้น จะต้องมีความพยายาม อดทน บางเวทีอาจล้มเหลว แต่ถ้าฝันเราที่อยากจะเป็นนักพูดยังอยู่ เราก็สามารถอดทนได้มากกว่าปกติ

- ต้องมีศิลปะ การที่จะนำศาสตร์ทางการพูดมาใช้ ผู้รักจะเป็นนักพูดต้องมีศิลปะ คือต้องสร้าง ลีลา น้ำเสียง ท่าทาง บุคลิกภาพให้เป็นของตนเอง มีมุขตลกในลีล่าท่าทางของตนเอง เพราะการเลียนแบบนักพูดคนอื่น เราอาจเลียนแบบได้เหมือน แต่มันไม่ใช่ตัวเรา จึงทำให้ขาดการเป็นธรรมชาติ ดังนั้น จงเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด แล้วผู้ฟังก็จะประทับใจในความเป็นตัวของตัวเรา

- ต้องเตรียมตัวทุกครั้ง นักพูดที่ดีต้องมีการเตรียมตัว เพราะการเตรียมตัวจะทำให้เกิดความสมบูรณ์มากขึ้นในเวลาพูดจริง เปรียบดัง นักมวยเวลาที่ขึ้นชก เราอาจเห็นว่าใช้เวลาไม่นานในการชกแต่หารู้ไม่ว่า เขาต้องซ้อมชกมวยเป็นเวลานาน จึงจะขึ้นชกจริงได้ เหมือนกัน นักพูดที่ดีต้องมีการเตรียมตัว ยิ่งเตรียมตัวมากยิ่งจะทำให้การพูดแต่ละครั้งเกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

- ต้องมีหลักการหรือศาสตร์ในการพูด นักพูดที่ดีต้องมีหลักการหรือเรียนรู้ ศาสตร์หรือตำราการพูดมาบ้างแล้ว หรือเข้ารับการอบรมหลักการมาพอสมควรเมื่อรู้หลักการก็จะทำให้พูดได้ดีขึ้น การรู้หลักการเปรียบดังนักมวยที่มีการอบรมการชกมวยมาจะทำให้รู้เทคนิคในการชกไม่ได้ชกเหมือนมวยวัด

ดังนั้นผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดต้องมีนิสัยดังกล่าวจึงจะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมาย ในท้ายนี้ขอฝากแง่คิดดังนี้ “ การเป็นนักพูดที่ดีไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์แต่เกิดจากการตั้งใจและการพัฒนาฝึกฝนอย่างไม่หยุดยั้ง ”




...
  
ผู้นำพูด
การพูดแบบผู้นำ

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


บทความในวันนี้กระผมขอพูดถึงเรื่องของการพูดแบบผู้นำ ซึ่งการพูดแบบผู้นำนี้จะพูดธรรมดาเหมือนผู้ตาม หรือคนทั่วไปไม่ได้ เพราะมันจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้นำกับผู้ตามดังนั้นคนที่ต้องการเป็นผู้นำหรือเป็นผู้นำอยู่แล้ว จึงต้องเรียนรู้หลักการวิธีการเพื่อนำไปใช้ในการพูดในแต่ละครั้ง ผมเชื่อว่าพวกเราคงเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับประโยคคำคมของผู้นำภายในประเทศและในต่างประเทศมาบ้างแล้ว คำคมเหล่านี้ทำให้เป็นที่จดจำและนำไปคิดเพิ่มแล้วก่อให้เกิดปัญญาขึ้นเช่น


“ จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่านบ้าง แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรแก่ประเทศบ้าง ”

เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคนาดี้

“ ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าฝูงชนได้ ก็อย่าปราถนาเป็นผู้นำ"


เป็นคำพูดของหลวงวิจิตร

หรือ “ ระบบประชาธิปไตยคือระบบที่ปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน

เป็นคำพูดสุนทรพจน์ของอดีตประธานาธิบดี ลินคอล์น

ดังนั้นในวันนี้เราจะมาพูดเรื่องเทคนิคการพูดแบบผู้นำ ดังนี้

- ผู้นำจะต้องพูดด้วยความมั่นใจ พูดชัด ไม่ติดติดขัดขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ภาษาก็ต้องพูดชัดไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่พูดภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาไทย ผู้นำจะต้องรู้จักการใช้ภาษานั้นได้เป็นอย่างดี และมีการใช้คำได้หลากหลายมากกว่าผู้ตาม การพูดการใช้ภาษาของผู้นำจะทำให้ผู้ตามทราบว่าผู้นำมีการศึกษาดีมากน้อยแค่ไหนดังคำโบราณได้พูดไว้ว่า “ สำเนียงบอกภาษา กริยาบอกสกุล ” การพูดด้วยความมั่นใจจะทำให้ผู้ตามเกิดความมั่นใจตามด้วย

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีคำคมอยู่บ้าง เพราะการพูดที่ไม่มีคำคมอยู่เลยจะทำให้ผู้ฟังจำเนื้อหาไม่ได้ทั้งหมดแต่ผู้นำคนใดมีคำคมอยู่บ้าง ก็จะเป็นที่น่าสนใจและเป็นที่จดจำของผู้ฟังดังคำคมประโยคข้างต้นที่กระผมได้กล่าวถึง เนื่องจากคำคมเป็นคำสั้นๆหรือประโยคสั้นๆ แต่กินใจความและสามารถขยายความได้มากขึ้น คำคมบางคำทำให้คนฟังคิดตามแล้วเกิดปัญญาขึ้นตามมาด้วย

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีอารมณ์ขันบ้าง เพราะการพูดจริงจังตลอดเวลาจะทำให้ผู้ฟังเครียด แต่ถ้าผู้นำคนใดนำอารมณ์ขันมาใช้ คนฟังมักจะชอบโดยเฉพาะสังคมไทย ผู้ฟังมักชอบฟังอะไรที่ตลก ขบขัน มากกว่าฟังอะไรที่เครียด ดูจริงจัง

- ผู้นำจะต้องพูดให้มีไหวพริบปฏิภาณในการพูด เนื่องจากการพูด การปราศรัย บางแห่งจะมีผู้ฟังถามลองของหรือถามลองภูมิผู้พูด ดังนั้น ผู้เป็นผู้นำจะต้องตอบให้ได้หรือให้ทันเหตุการณ์ผู้นำจะต้องมีไหวพริบปฏิภาณในการพูดตอบโต้

- ผู้นำจะต้องพูดด้วยอารมณ์ กระผมไม่ได้หมายถึงใช้อารมณ์ในการพูดนะครับ ไม่ใช่ไปด่าผู้ฟังอะไรทำนองนั้น แต่ผู้นำจะต้องใส่อารมณ์ในการพูด เช่นพูดเรื่องเศร้าก็ต้องใช้น้ำเสียงและสีหน้า ท่าท่างอย่างหนึ่ง พูดเรื่องตลก ก็ต้องทำสีหน้า น้ำเสียงอีกอย่างหนึ่ง พูดจูงใจ ก็ต้องใช้น้ำเสียงจริงจัง ท่าทางจริงจัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่น

และยังมีอีกหลายทักษะ ที่ผู้นำจะต้องเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ เพราะการพูดแบบผู้นำเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์ก็คือสามารถเรียนรู้ได้ จากหนังสือ ตำรา ทฤษฏีต่างๆ ศิลป์คือการประยุกต์ใช้เพื่อนำศาสตร์ไปปฏิบัติ ท้ายนี้อยากฝากบทกลอนของผู้แต่งที่มีคนแต่งเอาไว้กระผมเคยเห็นครั้งแรกในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อสิบกว่าปีก่อน

“ วาทะการนั้นเป็นเช่นของสูง เป็นเครื่องจูงใจคนดั่งมนต์ขลัง

เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ทรงพลัง และเป็นทั้งศาสตราเป็นอาภรณ์

เราจะใช้วิชาล้ำค่านี้ เพื่อสร้างสรรค์ สิ่งดีเป็นนุสรณ์

เพื่อเทิดธรรมพัฒนาประชากร เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนแผ่นดินไทย”




...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.