หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  ขายปลุกพลังชีวิต
  -  ความล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย
  -  การจัดการเวลา
  -  ความสำเร็จเริ่มต้นที่ความกล้า
  -  การตลาดยุคใหม่ : Modern Marketing
  -  การตลาดยุคใหม่ : นักการตลาดยุคใหม่
  -  Brand Experience
  -  ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
  -  การตลาดขั้นเทพ
  -  การตลาดกับธุรกิจบริการ
  -  แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
  -  การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
  -  สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
  -  การตลาดของมหาเศรษฐี
  -  แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
  -  Viral Marketing
  -  กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
  -  Marketing Environment
  -  การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
  -  จงเข้าใจการตลาด...ก่อนลงมือทำการตลาด
  -  จะแข่งขันทางการตลาด....อย่างไรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
  -  Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
  -  Celebrity Marketing
  -  อาวุธทางด้านการตลาด.....ที่นักการตลาดต้องรู้
  -  เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  จงสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้แก่พนักงานขาย
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การตลาดขั้นเทพ
การตลาดขั้นเทพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เราต้องยอมรับว่าการขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ ในยุคนี้ ต้องเผชิญกับคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งภายในประเทศและคู่แข่งภายนอกประเทศที่สามารถเข้ามาขายสินค้าภายในประเทศได้อย่างเสรีมากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้น นี่คือคำถาม ที่บรรดาเจ้าของกิจการมีความต้องการ
สำหรับการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นนั้น จึงต้องอาศัยเรื่องของการตลาดเข้ามาช่วย การตลาดขั้นเทพจึงมีเนื้อหาที่จะทำให้คุณมีลูกค้ามากขึ้นและลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. คุณต้องใช้สื่อเพิ่มมากขึ้น เราคงต้องยอมรับว่า ธุรกิจน้ำอัดลม โค้ก ( ได้ลงทุนกับการโฆษณาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งปี 2556 ว่า โค้ก ได้ใช้ งบการตลาดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึง 1,193 ล้าน 4 แสน 3 หมื่นบาท บาท ) นี่ยังไม่นับงบประมาณที่ โค้ก ใช้ในการโฆษณาทั่วทั้งโลก ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ โค้ก จึงมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกๆปี และมีส่วนแบ่งการตลาดมาเป็นอันดับหนึ่งโดยตลอด
2.คุณต้องกระตุ้นจูงใจ กระตุ้นอารมณ์ให้คนอยากซื้อ เราจะเห็นโฆษณาต่างๆในโทรทัศน์ ที่กระตุ้นให้คนอยากทดลองหรืออยากลองใช้ โฆษณาของสินค้าบางตัว ใช้ดาราชื่อดังแสดง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดาราชื่อดังไม่เคยใช้สินค้านั้นๆด้วยซ้ำไป ดังเราจะเห็นได้จากสื่อต่างๆที่ปรากฏ อีกทั้งในปัจจุบันยังได้มีการนำคนดังในวงการต่างๆเช่น วงการการเมือง วงการศึกษา วงการการกีฬา ฯลฯ มานำเสนอสินค้าอีกด้วย
3.คุณต้องมีการแจกฟรีหรือลดสินค้า เป็นบางช่วง คนเราส่วนใหญ่มักชอบของฟรี หรือชอบซื้อสินค้าลดราคา บางคนซื้อไปเป็นจำนวนมากๆ เกินความจำเป็น ฉะนั้นการแจกฟรีหรือการลดสินค้า ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ต้องมีการวางแผนงานว่าจะแจกฟรีหรือลดสินค้าในช่วงเดือนใดของปี
4.คุณต้องนำเสนอความกลัว บริษัทประกันชีวิตได้กระตุ้นให้คนซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต ก็ด้วยการนำเสนอ เรื่องของ ความตาย ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ซึ่งก็ได้ผลดีสำหรับลูกค้าบางส่วน ที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
5.คุณต้องกระตุ้นความภาคภูมิใจ รถยนต์ราคาแพงบางยี่ห้อ ราคาเป็นล้านบาทขึ้นและไม่ยอมลดราคา แต่ก็มีคนแห่ไปซื้อขับเป็นจำนวนมาก เพราะคนซื้อเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ใช้ ถึงแม้จะต้องจ่ายเงินไปด้วยราคาสูงก็ตาม หรือ ไวน์ บางขวดราคาเป็นแสนๆ แต่ก็มีคนซื้อกินกัน เนื่องมาจากเกิดความภาคภูมิใจที่ได้กินไวน์ในราคาแพง อีกทั้งยังนำไปอวดหรือนำไปคุยกับเพื่อนๆได้อีกด้วย
6.คุณต้องกระตุ้นด้วยการชิงโชค ลูกค้าหลายๆคน เกิดความโลภเกิดความอยากได้รางวัล เมื่อมีการชิงโชค จึงพยายามซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะได้ส่งชิ้นส่วนไปชิงรางวัล การชิงโชคนี้สอดคล้องกับนิสัยที่ชอบเสี่ยงโชคของคนไทย อีกทั้งทำได้ง่าย เป็นการกระตุ้นยอดขายได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการชิงโชค
7.คุณต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ลูกค้าเป็นจำนวนมากมักอุดหนุน สินค้า ผลิตภัณฑ์กับผู้ขายหรือเจ้าของที่ตนเองรู้จัก มากกว่าอุดหนุนสินค้ากับคนอื่นๆที่ตนเองไม่รู้จัก ฉะนั้นหากคุณต้องการขายสินค้าได้มากขึ้น คุณควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าของคุณ หลายบริษัทใหญ่ๆ ได้นำระบบ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) มาใช้
8.คุณต้องกระตุ้นยอดขายด้วยการบริการ หากว่าการบริการของคุณดีกว่าคุณแข่ง ลูกค้ารายเก่าก็มักจะโฆษณาแบบปากต่อปากให้แก่สินค้าของคุณ แต่ตรงกันข้ามถ้าหากว่าการบริการของคุณไม่ดี ลูกค้าก็จะโฆษณาแบบปากต่อปากให้แก่สินค้าของคุณ แต่โฆษณาให้ในทางลบ ซึ่งอาจทำให้ยอดขายของคุณตกในเวลาต่อมา
9.คุณต้องนำเสนอคุณประโยชน์ของสินค้าของคุณ สินค้าหลายตัวมีประโยชน์มากเช่น รักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี เมื่อสินค้ามีคุณประโยชน์มาก จึงทำให้คนอยากซื้อสินค้าเพื่อนำเอาไปใช้ การนำเสนอคุณประโยชน์จึงเป็นอีกทางหนึ่งในการทำให้สินค้ของคุณขายดี จงหาคุณประโยชน์ของสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย
10.คุณต้องกระตุ้นโดยใช้คำพูดที่ทรงพลังและจูงใจ เช่น คุณสามารถให้เงินทำงานแทนคุณได้ , จงสร้างระบบแล้วให้ระบบทำงานแทนคุณ, รวยลูกเดียว (ส่วนใหญ่คำพูดเหล่านี้ใช้มากในการทำธุรกิจเครือข่าย) สำหรับคำพูดที่ทรงพลังในการขายสินค้า คือ ดีที่สุด , เร็วที่สุด , เยี่ยมที่สุด, ถูกที่สุด เป็นต้น
11.คุณต้องสร้างเรื่องราว หลายธุรกิจมักจะมีเรื่องราว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้เกิดธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงต่อกัน เช่น ธุรกิจขายของฝาก ของที่ระลึก , ธุรกิจขนส่งนักท่องเที่ยว , ธุรกิจถ่ายภาพ เป็นต้น
12.คุณต้องสร้างความแตกต่างของสินค้า สินค้าเหมือนๆกัน มักขายได้ในราคาเท่ากันหรือมีราคาถูกกว่าราคาตลาด แต่หากว่าคุณสามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับสินค้าได้ สินค้าของคุณจะเป็นที่น่าสนใจ น่าดึงดูดใจให้คนมาซื้อ อีกทั้ง ยังขายได้ในราคาแพงกว่าราคาตลาดอีกด้วย
13.คุณต้องเพิ่มช่องทางการตลาดของคุณให้มากยิ่งขึ้น เช่น การขายผ่านทางโทรศัพท์มือถือ การบริการผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ในยุคปัจจุบันโทรศัพท์มือถือกลายเป็นสื่อโฆษณาและช่องทางในการจัดจำหน่าย โทรศัพท์มือถือสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ถ่ายรูป ดูหนัง ฟังเพลง ดู Social Media ดูข้อมูลต่างๆได้ อีกด้วย
14.คุณต้องสร้าง แบรนด์(Brand) ให้แข็งแกร่ง แบรนด์เป็นเครื่องมือหนึ่งทางการตลาดที่ได้รับความนิยมและมีการพูดถึงกันมาก แบรนด์ทำให้สินค้านั้นเกิดความยั่งยืนกว่าสินค้าที่ไม่ได้สร้างแบรนด์ แบรนด์ทำให้สินค้านั้น ขายได้ดี ขายได้มากกว่าสินค้าที่ไม่ได้มีการสร้างแบรนด์
15.คุณต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ สตีฟ จอบส์ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ สินค้าตระกูล I เป็นที่นิยมของตลาดก็เนื่องมาจาก สตีฟ จอบส์ เป็นผู้คิดริเริ่มหาสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ให้กับวงการ ฉะนั้น สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะสินค้าภายในตลาดมีความคล้ายคลึงกันหรือมีความเหมือนกันเป็นจำนวนมาก
16.คุณต้องรู้จักจังหวะ จังหวะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันมาก สำหรับการสร้างยอดขายสินค้า ช่วงใดที่เศรษฐกิจตกต่ำ แน่นอน ยอดขายสินค้าย่อมมีโอกาสขายได้น้อยกว่า สินค้าที่ขายในช่วงเศรษฐกิจดี ฉะนั้น การหาจังหวะในการลงทุน จังหวะในการขายสินค้าตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษา หาข้อมูลก่อนที่จะลงทุนจริงๆ
17.คุณต้องใช้การตลาดออนไลน์เขย่า ปัจจุบันธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลาง สามารถทำการตลาดได้ด้วย Social Media ,Facebook Marketing , Twitter Markting ,Youtube,Game Marketing เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันมีความทันสมัยเป็นอันมาก
18.คุณต้องไม่สร้างชื่อเสียให้แก่สินค้าของคุณ สินค้าหลายตัวเมื่อมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี สินค้าไม่มีคุณภาพ ใช้แล้วเป็นอันตราย จึงทำให้ลูกค้าไม่ซื้อสินค้านั้นอีกต่อไป เลยทำให้ประสบกับการขาดทุน ฉะนั้น ควรระวังเรื่องที่ทำให้เกิดการเสียชื่อเสียงแก่สินค้าและบริษัท
19.คุณต้องมีการปรับแผนการตลาดของคุณเพื่อให้เข้ากับประเทศ วัฒนธรรมนั้นๆ ศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นทั้งศาสตร์คือเรียนรู้ได้ เป็นทั้งศิลป์คือสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ตามสถานการณ์ ดังนั้น ศาสตร์ทางการตลาดจึงไม่อยู่นิ่งกับที่ เป็นศาสตร์ที่ต้องเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้ศาสตร์ด้านนี้จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจึงจะประสบความสำเร็จในการทำการตลาด
ฉะนั้นการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น การที่จะขยายสินค้าให้ได้มากขึ้น จึงต้องอาศัยการตลาดเข้ามาช่วย ข้อความในบทความ เรื่อง การตลาดขั้นเทพ จึงเป็นข้อมูลหนึ่งที่เราสามารถนำเอาไปอ่าน นำเอาไปศึกษาและนำเอาไปใช้ อีกทั้ง ท่านผู้อ่านควรที่จะมีการค้นคว้าและศึกษาเพิ่มเติม ท่านผู้อ่านจึงจะประสบความสำเร็จในเรื่องการตลาด



...
  
การตลาดกับธุรกิจบริการ
การตลาดกับธุรกิจบริการ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากพูดถึงเรื่องของการตลาดสมัยใหม่กับการตลาดสมัยในอดีต ซึ่งการแข่งขันยังไม่มีความรุนแรงดังเช่นในปัจจุบันมากนั้น การตลาดในสมัยใหม่นี้ จึงมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยต่างๆ ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลต่อความสำเร็จทางการตลาด เช่น เรื่องของ SERVICE หรือ การบริการ
SERVICE หรือ การบริการ มีความสำคัญกับการตลาดไม่ใช่น้อย เพราะหากว่า มีการบริการที่ดี ลูกค้าซื้อซ้ำหรือใช้บริการซ้ำ แล้วลูกค้าก็นำไปแนะนำบอกต่อ ก็จะทำให้เกิดการขยายตัวทางด้านตลาดได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีต้นทุนที่ต่ำ หากว่าลูกค้านำไปบอกต่อ
การบริการ จึงเป็นงานที่มีความซับซ้อน มีรายละเอียดมาก มีความหลากหลาย ซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูง และ หากถามว่า แล้วการบริการมีความแตกต่างกับสินค้าประเภทอื่นอย่างไร การบริการมีความแตกต่างกับสินค้าอื่นๆดังนี้
1.การบริการไม่สามารถจับต้องได้ กล่าวคือ ไม่สามารถชิมได้ ไม่สามารถเห็นได้ ไม่สามารถจับได้ก่อนการซื้อ แต่สินค้าโดยทั่วไป สามารถจับได้ ชิมได้ เห็นได้ ทดลองได้ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
2.การบริการมีความไม่นิ่งหรือไม่มีความแน่นอนตายตัว กล่าวคือ การบริการโดยมากมักใช้คน ซึ่งคนเรามีอารมณ์ มีความรู้สึก มีความโกรธ ไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ที่ผลิตกันทีละมากๆ มีความเหมือนกันทั้งด้านหีบห่อ รสชาติ แต่งานบริการ หากว่า คนที่ให้บริการอารมณ์ไม่ดี หรือไม่มีหัวใจด้านการบริการ ก็จะทำให้เกิดการบริการที่ไม่ดีเท่าที่ควร
3.การบริการไม่สามารถเก็บได้ การยิ้ม การทักทาย การไหว้ เราไม่สามารถเก็บใส่ไว้ในกล่องได้ เหมือนกับสินค้าโดยทั่วไปได้ อีกทั้งการบริการโดยคน เราสามารถบริการได้ทีละคนหรือให้บริการได้เป็นจำนวนน้อยคน แต่สินค้าโดยทั่วไป เราสามารถซื้อได้ทีละมากๆ เช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงฟัน ฯลฯ
4.การบริการรักษามาตรฐานยากมาก สินค้าโดยทั่วไป เราสามารถวัดคุณภาพ ปริมาณ รูปลักษณ์ ได้ชัดเจนแน่นอน แต่การบริการโดยเฉพาะการบริการด้วยคนนั้น เรารักษามาตรฐานในงานบริการยาก เช่น หากเราไปใช้บริการที่องค์กรใดก็ตาม เราได้รับบริการจากพนักงานคนหนึ่งดีมาก แต่พอเราไปใช้บริการในวันถัดไป เรากลับเจอพนักงานอีกคนหนึ่งที่บริการไม่ดีเท่าที่ควร เราจึงไม่สามารถวัดมาตรฐานการบริการขององค์กรนั้นได้อย่างสมบูรณ์และถูกต้อง ไม่เหมือนกับเราไปซื้อสินค้า สบู่ เราสามารถวัดมาตรฐานได้เพราะ คุณภาพของสบู่ทุกก้อน มีกลิ่นที่เหมือนกัน รูปลักษณ์ที่เหมือนกัน มีสีที่เหมือนกัน
ฉะนั้น การบริการจะมีลักษณะที่ ไม่สามารถจับต้องได้ ส่วนสินค้าโดยทั่วไป จับต้องได้ , การบริการมีความไม่แน่นอน แต่สินค้าโดยทั่วไปมีความแน่นอน , การบริการไม่สามารถเก็บรักษาได้แต่สินค้าโดยทั่วไปสามารถเก็บรักษาได้ และการบริการจัดทำมาตรฐานได้ยากแต่สินค้าโดยทั่วไปจัดทำมาตรฐานได้ง่ายกว่า
ส่วนประสมการตลาดกับการบริการ
เครื่องมือทางการตลาดหรือส่วนประสมการตลาด(Marketing Mix) คือ 4 P ได้แก่ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) การจัดจำหน่าย(Place)และการส่งเสริมการตลาด(Promotion) เราสามารถประยุกต์ส่วนประสมการตลาดกับการบริการได้ดังนี้
ธุรกิจธนาคาร หากต้องการ บริการ ลูกค้าให้รวดเร็วก็ด้วยการวางส่วนประสมการตลาด ดังนี้
1.ผลิตภัณฑ์(Product) ธนาคารต้องจัดพนักงานให้เพียงพอเหมาะสมกับภาระงาน อีกทั้งได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เช่น มีเครื่อง ATM มีเครื่องนับฝากเงิน มีเครื่องตรวจธนบัตรปลอม มีเครื่องคอมพิวเตอร์ออนไลน์ทั่วประเทศ อีกทั้งมีบริการที่หลากหลาย รับชำระค่าไฟฟ้า น้ำประปา ค่าประกันชีวิต จึงเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า
2.ราคา(Price) ธนาคารต้องลดค่าธรรมเนียมหรือไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมบางอย่าง เช่น ธนาคารทหารไทย ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการถอนต่างสาขา ท่านสามารถนำบัญชีออมทรัพย์ของท่านที่เปิดที่สาขาใดก็ได้ โดยไปถอนได้ทุกสาขาโดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการถอนเงินเช่นในอดีต นับเป็นธนาคารแรกๆที่ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการถอนเงิน
3.การจัดจำหน่าย(Place) ธนาคารต้องเลือกสถานที่ไปมาสะดวก มีที่จอดรถ อยู่ใกล้ชุมชน มีการตกแต่งสถานที่ทั้งภายในและภายนอกให้สะอาด ทันสมัย สะดุดตา หรือ ธนาคารบางแห่งเลือกที่จะเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า เพราะมีความสะดวก สบายหลายๆอย่าง
4.การส่งเสริมการตลาด(Promotion) ธนาคารต้องมี พนักงานคอยให้คำแนะนำ เวลาลูกค้าเดินเข้าไปภายในธนาคาร ว่าลูกค้าต้องการทำธุรกรรมอะไร , ธนาคารต้องมี วัสดุสิ่งพิมพ์ ที่สื่อข้อความ รูปภาพ ที่บ่งบอกถึงความรวดเร็ว ความมีประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น หากลูกค้ารอเกิน 5 นาที โปรดติดต่อพนักงานด้วยค่ะ เป็นต้น
ฉะนั้น การตลาดกับการบริการ จึงมีความสัมพันธ์กัน มีความเชื่อมโยงกัน หากว่าท่านเป็นนักการตลาดที่ดี ท่านก็ไม่ควรที่จะมองข้ามเรื่องของการบริการซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้การทำการตลาดของท่านให้ได้ดียิ่งขึ้น


...
  
แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
ความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมากมักมีความคิดทางการตลาดที่คล้ายๆกันหลายๆอย่าง ซึ่งหากเรามีโอกาสที่เข้าไปศึกษาถึงชีวิตและแนวความคิดของบุคคลเหล่านี้ เราก็จะได้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล กระผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการรู้ จึงได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาและอ่านประวัติของมหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพอที่จะสรุปแนวความคิดที่เกี่ยวกับการตลาดได้ดังนี้
ยิ่งให้ยิ่งรวย มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก มักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ พวกเขามักจะมีความสุขจากการให้มากกว่าการรับ และเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มหาเศรษฐีโลกเหล่านี้ชอบที่จะบริจาคเงินที่ตนเองหามาได้เป็นจำนวนมากๆแก่สาธารณกุศล แต่ยิ่งให้แทนที่ทรัพย์สินเหล่านั้นจะหมดไป พวกเขาเหล่านั้น กลับได้ทรัพย์สินเงินทองคืนมาจากแหล่งอื่นๆ รวมทั้งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
- บิลล์ เกตส์ อดีตมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตรสาร “ ฟอร์บส์” เมื่อหลายปีก่อน เขาคือผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เมื่อเขาร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เขาก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิ บิลล์ เกตส์กับภรรยาของเขา โดยเขาได้บริจาคเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังบริจาคเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ทุกข์ทรมานจากเอดส์ อีกทั้งยังได้บริจาคเงิน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคต่างๆ การบริจาคเงินและให้การช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก อีกทั้งเป็นแบบอย่างให้มหาเศรษฐีคนอื่นๆได้ทำตามเขา เช่น
- วอร์เรน บัฟเฟอตต์ ได้บริจาคเงินก้อนใหญ่เข้ากองทุนของเขา จึงทำให้กองทุนของบิลล์ เกตส์และภรรยา เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย
- คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีที่เคยติดอันดับที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้บริจาคเงินให้กับ บิลล์ เกตส์ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้ากองทุนโดยเงินเหล่านั้นจะถูกนำไปช่วยเหลือคนยากจนในละตินอเมริกา
- เฉินหลง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ตัดสินใจเข้าโครงการ “ กีฟวิ่ง เพลดจ์” ของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งโครงการนี้จะต้องมอบเงินมากกว่าครึ่งให้กับสาธารณกุศลต่างๆหลังจากที่ตนเองเสียชีวิต
มหาเศรษฐีชาวไทยก็มีหลายคนที่มีแนวความคิดนี้ เช่น คุณตัน ภาสกรนที , คุณบุญชัย เบญจรงคกุล , คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ,คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ บุคคลเหล่านี้ ได้บริจาคเงินช่วยเหลือการกุศล บางคนก็ได้ตั้งมูลนิธีของตนเองขึ้นมาเพื่อ ให้การช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ
ถามว่าทำไมมหาเศรษฐีเหล่านี้ถึงได้ ให้ สิ่งต่างๆ กับบุคคลเป็นจำนวนมากซึ่งการให้นี้ ยังรวมไปถึง การให้เงิน การให้งาน การให้การเป็นแบบอย่างของชีวิต เพราะการให้ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้มีความสุขอย่างแท้จริง การให้ยังทำให้เขาได้รับสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่นได้เพื่อน ได้การยอมรับ ได้รับชื่อเสียง ได้รับการช่วยเหลือและได้รับความร่ำรวย
หากว่าเราโยงเรื่องของการให้ การบริจาค กับเรื่องทางการตลาด การให้ ของมหาเศรษฐีโลก ก็คงไม่แตกต่างกับที่ บริษัทต่างๆทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคม การช่วยเหลือสังคม ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการบริหารงานที่ดี เพราะหากว่าลูกค้าหรือประชาชนทั่วโลกได้เห็นคุณงามความดีของมหาเศรษฐีที่ได้ทำไป ประชาชนทั่วโลกก็จะซื้อสินค้าและอุดหนุนสินค้าหรือบริการด้วยความพอใจ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สินค้าต่างๆของมหาเศรษฐีอีกด้วย จึงเท่ากับว่าสิ่งที่มหาเศรษฐีได้ให้ไป ก็ได้ส่งผลมาเป็นการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
- เฉิงหลง ได้บริจาคและได้ช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมากทั่วโลก เมื่อเฉิงหลง ได้สร้างภาพยนตร์
เรื่องใหม่ คนทั่วโลกก็อยากที่จะอุดหนุนและอยากที่จะไปดูการแสดงของเขาเพิ่มขึ้น การบริจาคจึงทำให้เกิดแฟนคลับที่มากขึ้นหรือทำให้เกิดแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
- คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของและผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย
ที่สุดในประเทศไทยและเป็นมหาเศรษฐีโลก จากการจัดอันดับของ “ฟอร์บส์” เขาก็ได้มีแนวความคิดเรื่องการให้ เขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากมายเช่น การมอบทุนการศึกษา การสร้างวัด มอบเงินช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมากทั้งมอบด้วยตนเองหรือมอบผ่านบริษัทของเขา
- คุณตัน ภาสกรนที ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ให้การช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ เขาโด่งดังอย่าง
มากจากแบรนด์ “ ตัน โออิชิ” ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไม่ตัน จำกัด ซึ่งผลิตชาเขียวตราอิชิตัน จากการช่วยเหลือสังคมอย่างมากมาย เขาจึงได้ตัดสินใจก่อตั้ง มูลนิธิ “ ตันปัน” เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
การช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบหรือได้เห็น จึงอยากที่จะช่วยเหลือเขา ยิ่งปลายปี 54 โรงงานผลิตชาเขียว “ อิชิตัน” ที่ลงทุนถึง 3,000 ล้านบาท ต้องจมน้ำเนื่องจากน้ำท่วม ก็ยิ่งทำให้คนอยากที่จะช่วยเหลือเขา โดยผ่านทางการซื้อสินค้าของเขา
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า แนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จึงเป็นแนวความคิดทางการตลาดอย่างหนึ่งในการทำ CSR ให้แก่ตัวเองและบริษัทของตัวเอง อีกทั้งแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังได้สร้างแบรนด์ส่วนตัวของทั้งตัวเองและแบรนด์ของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจได้อีกด้วย ดังเช่น 7-11 เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มแรกเปิดให้บริการ 7 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ซึ่งตอนแรกๆได้ขายแต่น้ำแข็ง แต่เจ้าของ 7-11 มีหัวใจของการให้คืออยากที่จะให้บริการสินค้าที่มากกว่านี้แก่ลูกค้าจึงได้เพิ่มสินค้าเข้าไปอีกมากมาย เช่น ขนม ยาสีฟัน ปากกา สบู่ แชมพู ฯลฯ ต่อมาด้วยความต้องการอยากที่จะให้บริการที่มากกว่านี้ เจ้าของจึงได้มีการเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นจากการเปิดร้านวันละ 16 ชั่วโมงเป็น 24 ชั่วโมง ภายหลังเจ้าของ 7-11 อยากที่จะให้บริการแก่ชาวอเมริกาเพิ่มขึ้น จึงได้ขยายสาขาไปทั่วอเมริกา ภายหลังเจ้าของ 7-11 ต้องการอยากให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก จึงได้ทำการขายแฟรส์ไชส์แก่ผู้ที่ต้องการเปิดร้าน 7-11 เกือบทุกประเทศ เพื่อให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดเหมือนดังมหาเศรษฐีหลายๆคน การทำการตลาดจากแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จะเป็นแนวความคิดหนึ่งที่ส่งเสริมให้การทำการตลาดของท่านประสบความสำเร็จและสร้างความร่ำรวยให้กับท่านได้มากขึ้น

...
  
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ร่ำรวยมีเงินทอง มักเป็นผู้ที่ประกอบธุรกิจจนประสบความสำเร็จ โดยหลักในการทำการธุรกิจของบุคคลเหล่านี้ มักที่จะมีเรื่องของการตลาดเข้ามาอย่างเกี่ยวข้องและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการทำการตลาดของเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพราะถ้าหากเราสามารถนำเอาแนวความคิดเหล่านี้ไปใช้ เราก็สามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เช่นกัน
สตีฟ จอบส์ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบคิดต่างหรือทำสินค้าให้แตกต่างจากคนอื่นๆ เขาพัฒนาซอฟต์แวร์และสินค้าของบริษัทแอปเปิลให้แตกต่างจากบริษัททั่วๆไป ส่งผลให้ลูกค้าในตลาดเลือกที่จะใช้สินค้าของบริษัทแอปเปิลมากขึ้น มากขึ้น จึงทำให้บริษัทแอปเปิลมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย จนนำมาซึ่งรายได้เงินทองเข้ามายังบริษัทอย่างมากมายมหาศาล
คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ เขามีบริษัทมากกว่า 200 แห่งในแม็กซิโก เขามีศิลปะในการขยายการตลาดของธุรกิจของเขาโดยการ มองเห็นโอกาสในภาวะวิกฤต ช่วงที่มีวิกฤตเราจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ ต่างใกล้จะล้มละลายอีกทั้งยังขายในราคาที่ถูกๆ ไม่ว่าห้างสรรพสินค้า บริษัททางด้านการเงิน บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา เขามักจะเข้าไปซื้อธุรกิจใกล้ล้มละลายแล้วนำเอามาบริหารใหม่จนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นทางลัดในการทำธุรกิจและการตลาดของเขา จนในปัจจุบันชาวเม็กซิกัน ทุกๆคนจะต้องใช้สินค้าและบริการของเขาอย่างน้อย 1 อย่าง เช่น งานบริการของธนาคาร โทรศัพท์มือถือ กาแฟ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
โดนัลด์ เจ ทรัมพ์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ชั้นนำ เขามีหลักการในการทำการตลาดโดยการ นำเอาตัวของเขาเองเป็นตราสินค้าแล้วก็โฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวของเขาเองให้คนได้รับรู้ ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งผลให้การทำธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เขาเคยกล่าวไว้ตามสื่อต่างๆว่า “ หากว่าคุณเป็นตราสินค้า สื่อก็จะโจมตีคุณตลอดเวลา มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เรียนรู้จะอยู่ร่วมกันกับมัน นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำธุรกิจด้วย”
ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจพันล้าน มหาเศรษฐีผู้ปลุกปั้น “ อาณาจักรเวอร์จิ้น” เขาเป็นนักธุรกิจที่นอกคอก สมัยเด็กๆเขาปฏิเสธระบบการศึกษาโดยไม่ตั้งใจเรียน พออายุ 16 ปี เขาก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำธุรกิจแรกกับหนังสือ Student ปัจจุบันเขามีธุรกิจมากมายหลายอย่าง เช่น เครื่องสำอาง ชุดเจ้าสาว ถุงยาง น้ำอัดลม โรงแรม รถไฟ มือถือ สายการบิน ธุรกิจการเงิน เป็นต้น ทำไมคนถึงสนใจเขา ก็เนื่องจากเขามีความคิดแบบขบถหรือนอกคอก จึงทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนและลูกค้าของเขา ดังตัวอย่างดังนี้ต่อไปนี้
เขามีความคิดที่จะทำทัวร์อวกาศในปี ค.ศ.2009 , เขามีแนวคิดของการเป็นนักประชาสัมพันธ์ต้นทุนต่ำ เขาเข้าร่วมแสดงหนังเจมส์บอนด์ “ Casino Royale” ซึ่งก็ให้ความสนใจและลงข่าวให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องจ่ายเงินให้ทำข่าวเลย ซึ่งส่งผลดีกับการทำธุรกิจของเขา
ธนินท์ เจียรวนนท์ มหาเศรษฐีชาวไทย เขามีหลักการทำการตลาดคือ เขาจะเน้นขายสินค้าหรือบริการให้กับคนหมู่มากหรือพูดง่ายๆว่า “ ธุรกิจเพื่อมวลชนหรือสินค้าเพื่อมวลชน” ซึ่งธุรกิจของเขามักจะมีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก สินค้าที่เขาทำธุรกิจมักเป็นสินค้าประเภทของ “ อาหารการกิน” รวมไปถึง “ เครื่องดื่ม” ซึ่งทุกคนทั่วโลกจะต้องกินต้องใช้ในทุกๆวัน
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก เจ้าของ Facebook เขารู้จักความต้องการของชาว IT อีกทั้งทำในสิ่งที่แตกต่างจากเว็ปเครือข่ายทั่วไป ซึ่งในขณะนั้น เว็ปเครือข่ายโดยทั่วไปไม่นิยมการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตนเอง แต่ Facebook ทำให้สิ่งที่ตรงกันข้าม Facebook มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตัวเอง อีกทั้ง Facebook ยังทำได้มากกว่าการพูดคุยกัน Facebook จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
โดยสรุปการทำการตลาดของบรรดาเศรษฐีโลก เขามักจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมวลชนหรือคนส่วนใหญ่ในโลก เขามักจะสร้างสินค้าหรือบริการให้เกิดความแตกต่างเพื่อเป็นที่สนใจของลูกค้า เขามักจะมีการประชาสัมพันธ์ตนเองและสินค้าของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขามักใช้ช่วงที่มีวิกฤตโดยมองหาโอกาสในการลงทุน

...
  
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ที่นั่งที่ดีที่สุดคือที่นั่งในหัวใจคน , รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง, อันธรรมดาการทำสงครามจะชนะอย่างเดียวไม่ได้ย่อมมีแพ้บ้างชนะบ้าง....คำคมสุภาษิตเหล่านี้ มีในหนังสือเรื่องสามก๊ก..
สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนแต่อิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวกับการทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดน ซึ่งภายในวรรณกรรมเรื่องนี้ ได้ให้ความรู้ทางด้าน ตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ การบริหาร การเมือง การจัดการ จิตวิทยา ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ นักการตลาดสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้ได้ ดังต่อไปนี้
1.การคิดนวัตกรรมใหม่ๆ การทำสงครามในวรรณกรรมสามก๊ก เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้มักจะได้เปรียบในการทำศึกสงคราม เช่น ขงเบ้งประดิษฐ์หรือคิดค้นโคยนต์ซึ่งมีกลไกต่างๆ เพื่อนำเอาไปใช้ขนเสบียง สามารถเดินทางได้ในที่ต่างๆได้อย่างสะดวก ทำให้ประหยัดกำลังและแรงงานของทหารในการขนเสบียง , เครื่องยิงหิน ของ เล่าหัว (กุนซือของโจโฉ) ได้ประดิษฐ์อาวุธนี้เพื่อพิชิตหอรบของอ้วนเสี้ยว ในสงคราม ยุทธการกัวต๋อ
เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่มีการคิดค้น ประดิษฐ์ อาวุธหรือเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ในการทำสงครามย่อมได้เปรียบ ก๊กหรือกลุ่มอื่นๆ เพราะ นวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างขึ้นมามักเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงาน เช่นเดียวกัน หากว่านักการตลาดผู้ใดสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ในการทำการตลาด นักการตลาดผู้นั้น มักจะได้เปรียบในการต่อสู้ทางการตลาด
2.ลับ ลวง พราง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ในสามก๊ก ค่อนข้างมาก เช่น กลศึกปิดเมือง ขงเบ้งเจอสุมาอี้ปิดค่าย แต่ขงเบ้งเก่งกาจและมีปัญญาจึงใช้ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง เปิดประตูค่าย แล้วตนเองก็ตีขิมหรือพิณ อย่างสบายอารมณ์ สุมาอี้เป็นคนคิดมาก จึงไม่กล้าบุกเข้าไปในค่าย แล้วสั่งลูกน้องให้ถอยทัพ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง จึงนิยมใช้ในการทหาร การเมือง รวมทั้งการตลาด ตัวอย่างการปล่อยข่าวของบางบริษัท เพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจหรือทำให้คู่แข่งเข้าใจผิด เป็นต้น
3.กลยุทธ์แบบ กองโจรหรือป่าล้อมเมือง คือกลยุทธ์ในการโจมตีคู่แข่งในจุดที่คู่แข่งไม่ให้ความสนใจ หรือป้องกัน หรือประมาท เช่น การทำการตลาดของสินค้า ในต่างจังหวัดก่อนที่จะเข้าไปทำการตลาดในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ
4.กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ เป็นกลยุทธ์ที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอ ย่ำแย่ เราควรรีบฉกฉวยโอกาสเข้าทำศึกเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ตัวอย่างเช่น ตั๋งโต๊ะ ฉกฉวยโอกาสยึดเมืองหลวงและราชสำนักของพระเจ้าหองจูเหียบมาเป็นของตนเอง เช่นกันหากว่าคู่แข่งของเรากำลังอ่อนแอ เจอข่าวร้าย เจอมรสุมทางธุรกิจ นักการตลาดก็ควรใช้จังหวะในการขยายฐานการตลาดหรือทำการตลาดเพื่อช่วงชิงฐานลูกค้า
5.กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิน เป็นกลยุทธ์ที่โจมตีศัตรูในจุดที่ศัตรูคาดไม่ถึง เช่น ขงเบ้งหลอกล่อ เฮ็กเจียวให้เกิดความสับสน หลงกล ในการนำกำลังทหารเฝ้าระวังการบุกโจมตีด่านตันฉอง
6.กลยุทธ์ตีหญ้าให้งูตื่น เป็นกลยุทธ์ที่ หากมีสิ่งใดพึงสงสัย ผิดแผกจากเดิม ควรส่งคนไปสอดแนมให้มั่นใจเสียก่อน และหากศัตรูสงบนิ่งก็พึงสร้างสถานการณ์ให้ศัตรูเคลื่อนไหวเพื่อเกิดช่องโหว่ ดังตัวอย่าง ขงเบ้งต้องการดูชั้นเชิงกองกำลังทหารของโจโฉ เมื่อคราวเล่าปี่นำกำลังทหารไปตีฮันต๋ง จึงหลอกให้โจโฉเคลื่อนไหว กำลังพล
7.กลยุทธ์จับโจรเอาหัวโจก เป็นกลยุทธ์ที่ทำศึกสงคราม ต้องบุกโจมตีศัตรูในจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพ เช่น ขงเบ้งทำสงครามกับวุยก๊ก จึงออกอุบายกำจัดสุมาอี้ เพราะขงเบ้งรู้ดีว่า หากขาดสุมาอี้แล้วกองทัพของวุยก๊ก ก็จะไม่มีความยิ่งใหญ่อีกต่อไป
8.กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา เป็นกลยุทธ์ที่ฉกฉวยจังหวะที่ศัตรูเกิดความปั่นป่วยภายในกองทัพให้เป็นประโยชน์ เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มาเป็นของตนเอง แล้วจึงนำกำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะ เช่น อ้วนเสี้ยว หลอกกองทัพซุนจ้านในการนำกองกำลังทหารบุกร่วมเข้าโจมตียึดเอากิจิ๋วจากฮันฮก
8.กลยุทธ์ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลข่าวสาร ประกอบการตัดสินใจในการทำการตลาด ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกไร้พรมแดน เราสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ก็ด้วยระบบเครือข่ายต่างๆ

9.กลยุทธ์หลบหนี เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ย่อมแพ้ชั่วคราว หากว่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่ง เราก็ควรที่จะถอยไปตั้งหลักก่อน ไม่ควรปะทะ แต่ควรที่จะหลบเลี่ยงการปะทะหรือการเผชิญหน้า การถอยไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด แต่เป็นธรรมดาของการทำสงคราม ไม่ควรคิดว่าตนเองเสียเกียรติหรือเสียหน้า
และยังมีอีกหลายกลยุทธ์ที่กระผมยังไม่ได้พูดถึง ท่านผู้อ่านสามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือสามก๊ก หรือ ตำราพิชัยสงครามต่างๆได้ เพราะการทำสงคราม การทหาร การเมือง ไม่มีความแตกต่างกันมากนักกับการทำการตลาด และเราสามารถประยุกต์ใช้ กลยุทธ์ต่างๆเหล่านี้ได้กับการตลาด



...
  
การตลาดของมหาเศรษฐี
การตลาดของมหาเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมมหาเศรษฐีถึงร่ำรวยและเขามีการทำตลาดอย่างไรกับสินค้าและบริการของเขา ในบทความตอนนี้เราจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกาคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ กีฬา บันเทิง สื่อ การประกวดนางงาม ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ โฆษณาอย่างแยบยล
“ การโฆษณาเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในเวลาที่คนไม่ซื้อของคุณ” , “ ถึงแม้คุณจะมีสินค้าที่สุดยอดที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้จักมัน มันก็ไม่มีค่าอะไร” แต่เขาจะมีวิธีการโฆษณาที่แยบยล แทนที่จะลงทุนใช้เงินเป็นจำนวนมากจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และบริษัทโฆษณา หรือใช้เงินในการซื้อโฆษณาทาง โทรทัศน์ วิทยุหรือสื่อต่างๆ เป็นจำนวนมหาศาล แต่เขาจะทำมันด้วยตนเอง
เขาเรียนรู้ว่า สื่อมวลชน มีความกระหายข่าวเด็ดๆ ข่าวที่เร้าใจ ข่าวที่เร้าความรู้สึก เขาจึงใช้วิธีการคือ ทำอะไรให้แปลกๆ ใหม่ๆ พิสดาร ตลอดเวลา หรือบางครั้งเขาก็ทำอะไรที่ อาจหาญ ไม่กลัวใครหรือยอมขัดแย้งกับคนอื่นๆ เพื่อให้ สื่อมวลชนได้เขียนข่าวเกี่ยวกับเขา เขากล่าวว่า “ ถึงแม้สื่อมวลชนจะลงข่าวในทางลบเกี่ยวกับเขา แต่ถ้ามองในแง่การโฆษณาหรือมุมมองทางธุรกิจถือว่าคุ้มค่า เขายกตัวอย่าง ถ้าเขาจะลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์แบบเต็มหน้าเขาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ ซึ่งโฆษณาของเขาก็ไม่ได้ลงในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์และ คนเป็นจำนวนมากก็ไม่ปักใจเชื่อในข้อความโฆษณา แต่ถ้าสื่อมวลชนเขียนถึงเขา แม้เป็นข่าวที่ไม่ค่อยดี แต่ได้ลงหน้าหนึ่ง จะทำให้คนเป็นจำนวนมากรู้จักเขา โดยที่เขาไม่ต้องจ่ายเงินเลย” สรุป คือ ถึงแม้สื่อมวลชนจะลงข่าววิพากษ์วิจารณ์ ทำร้ายในเรื่องส่วนตัว แต่จะให้ผลประโยชน์มากในด้านธุรกิจ
อีกทั้งเขาจะเลือกใช้ชีวิตในสไตล์ที่มีชื่อเสียง คือ เลือกคบกับคนดังๆ ในวงการต่างๆ เช่น วงการทางการเมือง วงการกีฬา วงการประกวดนางงามจักรวาล วงการดารา เป็นต้น
นักข่าวส่วนใหญ่ก็มักจะแสวงหาข้อมูลหรือภาพเพื่อลงข่าวคนเด่น คนดัง เมื่อเขาเข้าไปในแวดวงดังกล่าว เขาจึงกลายเป็นคนเด่น คนดังไปด้วยและนักข่าวก็ลงข่าวของเขาตามไปด้วย
ดังนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จอย่าง โดนัลด์ ทรัมพ์ เราต้องรู้จักการโฆษณาตัวเองและการโฆษณาสินค้าของตนเอง อย่างแยบยล
สตีฟ จอบส์ CEO บริษัทแอปเปิล เป็นเจ้าของสินค้าและบริการ สินค้าตระกูล I เช่น iPad , iPhone , iPod , iTunes ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ think different หรือ คิดต่าง
เขาเชื่อว่า เขาเปลี่ยนโลกได้ และเขาก็สามารถทำได้จริงๆ เขาสร้างนวัตกรรมระดับเปลี่ยนแปลงโลก เขากลายเป็นผู้ปฏิวัติทางเทคโนโลยี เขาจึงเป็นเพียงคนไม่กี่คนในประวัติศาสตร์โลกที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เขาคือเสียงและหน้าตาของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาริ่เริ่มทำภาพยนตร์แอนิเมชัน เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆอีกมากมาย
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นในสินค้าและบริการของเรา
ซึซึมิ โยชิอากิ เจ้าของกลุ่มธุรกิจเซบุ คนญี่ปุ่นที่รวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน( พ.ศ.2530-2532) จากการจัดอันดับของนิตยสาร “ฟอร์บส”ของสหรัฐอเมริกา เขาได้รับการส่งมอบกิจการจากพ่อของเขาคือ ซึซึมิ ยะสิจิโร และเขาก็ทำให้มันเจริญเติบโตขึ้น กิจการในญี่ปุ่นของเขามีเกือบ 170 ประเภท เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามกอล์ฟ โรงเรียน ร้านอาหาร ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ การทำการตลาดให้กับธุรกิจหรือบริการใดๆจะต้องทำเหมือนกับการ วิ่งมาราธอน
ทัศนะคติของ ซึซึมิ โยชิอากิ เขาถือว่า การทำการตลาดให้กับสินค้าหรือบริการใดๆ เหมือนกับการแข่งขันวิ่งระยะไกล ถ้าสังเกตดูจะรู้ได้ว่า การทำการตลาดให้กับสินค้าและบริการ จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นสิบๆ ปี เหมือนกับการวิ่งมาราธอนนั่นเอง และทางที่ดีควรกำหนดคู่ต่อสู้คู่แข่งขันของตนเองขึ้นมาด้วย เพื่อท้าทาย เพื่อแข่งขัน เพราะไม่มีการแข่งขันก็ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความเจริญเติบโต ไม่มีการขยายตัวทางด้านการตลาด
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องอดทน เราต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี จึงจะประสบความสำเร็จ
คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก เชื้อสายเลบานอน บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ของสหรัฐ เขาเป็นเจ้าของกิจการกว่า 200 แห่งในเม็กซิโก ต้นยุค 80 ธุรกิจทุกอย่างในเม็กซิโกได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจโลก แต่เขามองเห็นวิกฤตในโอกาสจึงกว้านซื้อกิจการต่างๆที่ใกล้ล้มละลายในราคาถูก เช่น ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร การประปา การไฟฟ้า และนำมาบริหารจัดการตามหลักการสมัยใหม่ จนสามารถมีกำไร
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ ทำให้คู่แข่งออกจากตลาด
ธุรกิจของเขาได้กำไรอย่างมหาศาล ก็เนื่องจากกลยุทธ์ คือ การทำการตลาดอย่างผูกขาด การทำให้คู่แข่งพ่ายแพ้แล้วออกนอกตลาดไป
ในยุคที่โทรศัพท์ เป็นปัจจัยที่ 5 บริษัท เทลเม็กซ์ของเขาได้ผูกขาดในธุรกิจโทรศัพท์ เขาได้ทุ่มเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นจากรัฐบาลในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ.2533 ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์บ้านถึง 92 % และครองตลาดโทรศัพท์มือถือในสัดส่วนกว่า 80 % ต่อมาเขาได้ขยายกิจการด้านการสื่อสารไปครอบคลุแทบทุกพื้นที่ในแถบละตินอเมริกา จึงถือได้ว่า เขาคือผู้ “ ผูกขาด ” ธุรกิจโทรคมนาคมในละตินอเมริกาอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด กำไรมาก ได้รับผลประโยชน์มากๆเราจะต้องทำธุรกิจในประเภท ผูกขาด หรือมีคู่แข่งน้อยราย
แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศจีน เกิดที่เมืองหางโจว ปัจจุบันมีทรัพย์สินมูลค่า 8 แสนล้านบาท
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ ต้องค้นให้พบช่องว่างทางการตลาด
แจ็ค หม่า ได้มีโอกาสไปเที่ยวหาเพื่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและเขาลองให้เพื่อนค้นหาสินค้าจีนเป็นภาษาจีนทางอินเตอร์เน็ต เช่น คำว่า เบียร์จีน , บริษัทของจีน ปรากฎว่าไม่พบผลการค้นหาในคำนั้น จึงทำให้เขาได้ค้นพบช่องว่างทางธุรกิจและทางการตลาด ต่อมีปี 1995 เขาก่อตั้งบริษัทไชน่าเยลโล่เพจเจส ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตแรกสุดในประเทศจีน หลังจากนั้นปี 1999 เขาได้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ด้วยความมีวิสัยทัศน์ด้านอีคอมเมิร์ซ ต่อมาได้ขยายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องออกไปเรื่อยๆ โดยบริษัท Alibaba Group มี 3 เว็บคือ
alibaba.com ที่มีลักษณะธุรกิจแบบขายส่งระหว่างบริษัท ( B2B)
taobao.com ที่มีลักษณะธุรกิจแบบขายปลีกระหว่างลูกค้า
tmall.com ที่มีลักษณะธุรกิจที่ให้แบรนด์สินค้าต่างๆมาเปิดร้านบนเว็บไซต์
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องค้นหาช่องว่างทางการตลาดให้พบ
...
  
แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักบริหารท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ อะไรที่เป็นทรัพยากรเราสามารถบริหารได้ จัดการได้ ” ดังนั้น เวลาก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่เราสามารถบริหารได้ จัดการได้ เช่นเดียวกับ ทรัพยากร คน สัตว์ สิ่งของ เครื่องจักร เงิน ทอง ฯลฯ
ถ้าวันหนึ่ง เราเกิดโชคดี ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล 3 ล้านบาท ท่านจะมีวิธีในการบริหารจัดการอย่างไร ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด แน่นอน แต่ละคน คงมีวิธีในการบริหารจัดการไม่เหมือนกัน บางคน เอาไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย บางคนเอาไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บางคนเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย บางคนเอาไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ฯลฯ
เช่นเดียวกัน ถ้าท่านมีเวลา 3 ปี ท่านจะมีวิธีในการบริหารจัดการอย่างไร กับชีวิตของท่านให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด แต่ละคน คงให้คำตอบที่แตกต่างกัน อีกทั้งได้ผลลัพธ์จากประโยชน์ของเวลาที่แตกต่างกันออกไป
ในการจัดอบรมและสัมมนาของกระผม ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเวลา กระผมมักถามคำถาม กับผู้เข้าร่วมอบรมและสัมมนาว่า เวลา คือ อะไร ขอให้ทุกคนช่วยกันนิยามมา ก็ได้รับคำตอบต่างๆ อย่างมากมาย เช่น
- เวลา คือ ทรัพยากรที่มีค่า
- เวลา คือ สิ่งสมมุติ
- เวลา คือ การเปลี่ยนแปลง ไม่ย้อนกลับ ไม่นิ่ง
- เวลา คือ สิ่งที่ทำให้เกิด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
- เวลา คือ องค์ประกอบหนึ่งของจักรวาล
- เวลา คือ การบริหารชีวิต

เรามีเวลา 1 วัน เท่ากับ 24 ชั่วโมง หรือ 86,400 วินาที สัปดาห์หนึ่ง เรามีเวลา 7 วันเท่ากัน 1 ปี เรามีเวลา 12 เดือนเท่ากัน
คนเรามีเวลาที่เท่าเทียมกัน แต่ แนวคิด การบริหาร การจัดการ ในเรื่องเวลามีความแตกต่างกัน เราจึงเกิดผลลัพธ์ในชีวิตที่แตกต่างกัน
การใช้เวลาอย่างมีคุณค่า จึงทำให้คนบางคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว แต่ตรงกันข้าม การใช้เวลาที่ไม่มีคุณค่า ปราศจากการวางแผน การจัดการ การบริหาร ของคนส่วนใหญ่ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ ไปไม่ถึงไหน ไม่ประสบความสำเร็จ
เวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เราไม่สามารถเบิกเวลามาใช้ก่อนได้ เราไม่สามารถขอยืมเวลาของคนอื่นมาใช้ได้ และเราไม่สามารถสะสมเวลาในชีวิตของเราได้ เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีจำกัด มีคุณค่า ในตัวของมันเอง ตรงกันข้ามกับ เงิน ทอง สิ่งของ หากว่ามันสูญเสียหรือสูญหายไป หากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถหามาทดแทนได้ในอนาคต แต่เวลา เมื่อสูญหายไป เราไม่สามารถ นำเอามาทดแทนได้
ดังนั้น เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เวลาไม่เคยย้อนกลับ จงทำทุกขณะของท่านให้มีคุณค่า จงใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้ไวกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารหรือจัดการในด้านการใช้เวลา
...
  
Viral Marketing
Viral Marketing
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ มีความสำคัญมากในการทำการตลาดในยุคปัจจุบัน เพราะถ้าสินค้า บริการ จะดีอย่างไร แต่ถ้าคนไม่รู้จัก ก็ไม่สามารถสร้างกำไรและความเติบโตให้กับองค์กร ให้กับธุรกิจ ซึ่งยุคนี้ นักการตลาดที่เก่งมักจะใช้การตลาดแบบผสมผสานกัน และต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ยุคนี้ เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ยุคของการใช้สื่อที่มีมากมายและเปิดกว้างกว่าในอดีต ยิ่งในยุคนี้เรามีอินเตอร์เน็ต จึงทำให้เกิดสื่อที่ทันสมัย ใช้งานสะดวกสบาย โดยเฉพาะสื่อ Social Medias เช่น Facebook , Twitter , Instagram,Blog, Linkedin, Myspace, Hi5,Line ฯลฯ และสื่อเหล่านี้ ก็สามารถเชื่อมโยงกับสื่อสมัยใหม่ได้อีกมากมายเช่น Youtube , E-mail,GOOGLE,FLICKR ฯลฯ เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างมากมาย จึงทำให้ลูกค้าได้รับข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ทันสมัย มากยิ่งขึ้น
Viral Marketing (ไวรอล มาเก็ตติ้ง) หรือ การตลาดแบบไวรัส จึงคือคำตอบในการใช้ทำการตลาดกับสื่อที่ทันสมัยเหล่านี้ ซึ่งการใช้ Viral Marketing ในการทำการตลาดจะทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถขายผลิตภัณฑ์ สินค้า บริการ ได้ง่ายขึ้น Viral Marketing ถ้าหากเปรียบแล้วจะเหมือนกับการแพร่ไวรัสไปอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยการบอกต่อ ปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Word-of-Mouth (WOM)
สำหรับวิธีการทำ Viral Marketing ควรเริ่มจาก กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แล้วทำการส่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ ไปยังคนกลุ่มนี้ โดยข้อมูลข่าวสารที่ส่งควร เร้าใจ โดนใจ สนุกสนาน ตื่นเต้น หรือพูดง่ายๆ ควรเป็นข้อมูลข่าวสารที่ คนอ่านแล้วประทับใจแล้วอยากที่จะส่งข้อมูลข่าวสารนั้นให้แก่เพื่อนๆหรือคนอื่นๆได้ดู ได้ฟัง ถ้าทำเช่นนี้ได้ ข้อมูลข่าวสารก็จะเกิดการทวีคูณและแพร่กระจายเหมือนลักษณะของไวรัส เสมือนการติดเชื้อจากไวรัส แล้วเกิดการลุกลามเหมือนโรคระบาด
นักการตลาดสามารถใช้ Viral Marketing ได้หลายรูปแบบ เช่น
- Video Clips หมายถึงการใช้สื่อคลิปวีดีโอในการทำการตลาดโดยสามารถเข้าไปลงใน
YouTube แล้วก็การแชร์คลิปวีดีโอ ไปยังสื่อต่างๆใน Social Medias
- Images หมายถึงการใช้รูปภาพในการทำการตลาด รูปมีความสำคัญมาก เพราะรูปเพียง 1 รูป
สามารถอธิบายแทนคำพูดได้เป็นพันคำ เราสามารถโพสต์รูปภาพลงในสื่อต่างๆใน Social Medias
- ดารา หรือ ผู้มีอิทธิพลทางความคิด หมายถึง การทำ Viral Marketing หากว่าเราใช้คนธรรมดา
ในการทำเสนอสินค้า บริการ เปรียบเทียบกับเราใช้ ดาราหรือผู้มีอิทธิพลทางความคิด ผลที่ได้ก็จะมีความแตกต่างกัน การใช้ ดาราหรือผู้มีอิทธิพลทางความคิด เมื่อคนดูและคนเห็นแล้ว ก็มักจะมีการส่งต่อ พูดถึง มีการแสดงความคิดเห็นมากกว่า การใช้คนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียงในการนำเสนอสินค้า บริการ
ตัวอย่าง ป๋าเทพ โพธิ์งาม มีประวัติของการต่อสู้ชีวิตมาอย่างยาวนาน กล่าวคือทำธุรกิจล้มเหลวมาหลายธุรกิจ แต่ก็สู้เปิดกิจการใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดได้เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะชื่อ “ ขั้นเทพ” โดยมีการโปรโมทผ่านอินสตาแกรม จนมีคนเข้าไปช่วยซื้อขนมเปี๊ยเป็นจำนวนมาก แล้วมีคนไปพูดต่อ ปากต่อปาก อีกทั้งยังมีการเขียนลงในเว็บไซต์ของพันทิป กระทู้รีวิวชื่อ ร้านของป๋าเทพ "ครัวคุณเทพ" ร้านล่าสุดของแมวเก้าชีวิต "เทพ โพธิ์งาม" ... ชื่อนี้ไม่มีวันตาย ! จนทำให้คนเข้าไปดูไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
- เน็ตไอดอล Net Idol หมายถึง คนที่เป็นดารา คนที่มีชื่อเสียง รวมทั้งคนที่ไม่ได้เป็นดาราหรือมี
ชื่อเสียง แต่นิยมโพสต์รูปตัวเอง โพสต์ข้อความต่างๆลงในสื่อออนไลน์ จนทำให้คนดูคลั่งไคล้ ชื่นชอบอย่างมากมาย บนโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้มีแฟนคลับเป็นของตนเอง และมีโอกาสเข้าวงการบันเทิง
ทั้งนี้ Viral Marketing(ไวรอล มาเก็ตติ้ง) หรือ การตลาดแบบไวรัส จะได้ผลก็ต่อเมื่อถูกการส่งต่อไปยังเพื่อนเป็นจำนวนมากและเพื่อนๆก็ส่งต่อให้กันอีกจำนวนมาก และเมื่อเพื่อนๆ ได้ดู อ่าน ฟังแล้วก็มันจะมีการพูดถึง เขียนถึงหรือมีการโต้ตอบ พูดคุยกันในสื่อต่างๆ
แต่ข้อควรระวังก็คือบริษัทบางแห่งโดยเฉพาะบริษัทใหม่ๆ ต้องการให้ลูกค้ารู้จักสินค้า รู้จักบริษัทอย่างรวดเร็ว เลยใช้กลยุทธ์ Viral Marketing แต่เป็นการส่งข้อมูลข่าวสารในทางลบหรือทำให้เสียภาพพจน์ ปรากฏว่า การทำ Viral Marketing ได้ผลคนรู้จัก บริษัท สินค้า อย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน การทำ Viral Marketing ลักษณะนี้ กับส่งผลในแง่ภาพพจน์กับบริษัทในระยะยาว ซึ่งกว่าจะทำให้ภาพพจน์ของบริษัทดีขึ้น คงต้องใช้ระยะเวลานานถึงจะทำให้คนดู คนฟัง ลบภาพในทางลบออกจากหัวใจของคนได้
การใช้ดาราดังก็เช่นกัน เนื่องจากคนเราไม่ใช่ วัตถุสิ่งของ หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต จึงต้องควรระวัง คนเรามีอารมณ์ มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การใช้ดาราในการนำเสนอสินค้า หรือบริการทำให้ผู้คนรู้จัก สินค้า บริการของเราอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ถ้าวันใด ดาราคนนั้น ไปทำความเสื่อมเสีย เช่นไปตีคนอื่น เมาแล้วขับ เสพยาเสพติด ค้ายาเสพติด ฯลฯ ภาพพจน์ของบริษัท ของสินค้า บริการ ของเราก็จะเสื่อมเสียหรือเสียหายไปด้วย
อีกทั้งการทำ Viral Marketing ควรระวังเรื่องของ ภาษา วัฒนธรรม ศาสนา ประเพณี กฎหมาย ข้อบังคับ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยเฉพาะสินค้าที่ขายได้ทั่วโลก เช่น การใช้ภาษา การใช้ความตลก ความสนุกสนาน ในการนำเสนอ เราสามารถใช้ได้เฉพาะบางประเทศ การนำเสนอคลิปที่ตลกๆ สนุกสนานของชาวอเมริกา คนไทยดูแล้วอาจไม่รู้สึกตลกหรือสนุกสนานเลยก็ได้






...
  
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
กลยุทธ์การตลาด 10 P นี้ ต่อยอดมาจาก กลยุทธ์การตลาด 4 P ของฟิลลิป คอตเลอร์
(Philip Kotler) ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ 4P ได้รับยกย่องกันมานานและนำเอาไปใช้ไปอย่างแพร่หลายกันในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้กลยุทธ์เพียงแค่ 4 P คงจะไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางด้านการตลาดก็ได้เพิ่มจำนวน P ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
กระผมก็เช่นกัน ก็ได้นำกลยุทธ์ 4 P( 4 ข้อแรก) มาต่อยอดโดยเพิ่มเป็น 10 P ดังนี้
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่นักการตลาดจะต้องมี ซึ่งผลิตภัณฑ์จะต้องไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ หรือ แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ ผลิตภัณฑ์จึงต้องเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สี ขนาด รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
2. Price Strategy กลยุทธ์ราคา ราคาต้องตั้งให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขัน แน่นอนในยุคนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาขายในตลาด มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบทางด้านราคาได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ A เหมือนกับ ผลิตภัณฑ์ B แต่ทำไมราคาจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ฉะนั้นการตั้งราคา ควรตั้งราคาให้มีกำไร แต่ต้องให้เหมาะสมกับภาวะตลาด ไม่ตั้งราคาสูงจนเกินไป แต่ถ้าอยู่ในภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ก็ไม่ควรตั้งราคาต่ำจนเกินไป จนต้องประสบภาวะการขาดทุน
3. Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะถ้ามีสินค้า มีการตั้งราคา แต่ไม่รู้จะไปวางขายที่ไหน หรือมีการจัดจำหน่ายที่น้อย ลูกค้าก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ซึ่งการจัดจำหน่ายที่ดี ควรมีหลักการคือ ควรจัดจำหน่ายโดยหาช่องทางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกในการซื้อ เช่น มีสินค้า 2 ตัว เหมือนกัน ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่สินค้าตัวที่ 1 วางขายที่ใต้หอพัก ใต้อาคารคอนโด ที่เราพักอาศัยอยู่ แต่สินค้าตัวที่ 2 เราจะต้องเดินไปซื้อที่หน้าปากซอย เราจะเลือกซื้อสินค้าตัวไหน ระหว่างใต้หอพักหรือใต้อาคารคอนโด หรือว่าเราจะเดินไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่หน้าปากซอย
4. Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการส่งเสริมทางด้านการตลาดไปยังลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การส่งเสริมด้านการขาย เป็นต้น
5. Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งโลกไร้พรมแดน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ยุคของอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์การให้ข่าวสารจึงต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่องทางเพื่อให้เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ นักการตลาดใช้เพื่อไปติดต่อกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างตราสินค้า สร้างภาพลักษณ์ ช่วยเพิ่มทัศนคติในเชิงบวก ช่วยสร้างความเข้าใจในการใช้สินค้า บริการ และความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ต่อลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
6. Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานขายมีความสำคัญมากสำหรับผลิตภัณฑ์ บางตัว เพราะต้องอาศัยการอธิบาย ความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าประเภท ยา ผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารเสริม เป็นต้น
ซึ่งพนักงานขายที่ดี จะต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้าและมีเทคนิคในการขาย มีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำพาไปสู่ การตัดสินใจซื้อ
7.People Strategy กลยุทธ์ด้านประชาชน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการการสนับสนุน จากประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายหรือ คนในพื้นที่ที่ต้องการจัดจำหน่าย เพราะ ผลิตภัณฑ์บางตัวดี ราคาเหมาะสม มีช่องทางมีการจัดจำหน่ายที่ดี กล่าวได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่ประชาชนหรือคนในพื้นที่ ไม่สนับสนุน โจมตี ผลิตภัณฑ์นั้นก็อยู่ไม่ได้ในตลาด ซึ่งในยุคหลังๆ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการทำ CSR “Corporate Social Responsibility” คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังทำให้เกิดการสนับสนุนของผู้คนในพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายอีกด้วย
8. Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นี้ ได้สร้างความประทับใจแรกพบของลูกค้าหรือ First Impression ซึ่งในยุคนี้ เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นหรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะการทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ สะอาด สวยงาม มีสีสันโดนใจ ย่อมทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า การที่เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ ไม่ยอมลงทุนหรือเพิ่มต้นทุน ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งควรตั้งคำถามต่างๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าดังนี้ บรรจุภัณฑ์สวยงาม หรือไม่ , บรรจุภัณฑ์สามารถเชิญชวนให้ใช้ หรือไม่,บรรจุภัณฑ์เมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก หรือไม่ เป็นต้น
9. Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ เพราะการมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน จะสามารถช่วยเราในการทำธุรกิจได้หลายประการ เช่น ช่วยคิด ช่วยลงทุน ช่วยทางด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลือในเรื่องการวางระบบงาน ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นการทำธุรกิจข้ามชาติหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เพราะบางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องของกฏหมาย ถ้ามีหุ้นส่วนก็จะได้รับการช่วยเหลือ ทางด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
10. Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องประยุกต์หลักการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการไหลเวียนในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า บริการ ไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย เราสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เข้ามาวางขายได้อย่างเสรีมากขึ้น ฉะนั้น นักการตลาด เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจมีการปรับตัว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคนี้
กลยุทธ์การตลาด 10 P ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากกูรูทางด้านการตลาด ซึ่ง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเป็น 12P 15 P 20 P ต้องขอขอบคุณ ท่านฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ที่ได้วางทฤษฏีหรือหลักการทางด้านการตลาด ไว้เป็นอย่างดี
สำหรับ กลยุทธ์การตลาด 10 P ถ้าจะนำไปใช้อย่างได้ผล เราควรจะต้องร่วมพิจารณากับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค , วิเคราะห์ SWOT Analysis(S = Strength (จุดเด่น จุดแข็ง) W = Weakness (จุดอ่อน จุดด้อย) O = opportunity (จุดเกิดโอกาส) T = Threat (จุดดับ อุปสรรค ) ,การวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ และอีกหลายๆปัจจัย จึงจะส่งผลให้กลยุทธ์การตลาด 10 P ประสบผลสำเร็จ
...
  
Marketing Environment
Marketing Environment
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ก่อนที่จะประกอบธุรกิจ ก่อนที่จะทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การศึกษา สิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาด(Marketing Environment) มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาดจะทำให้เราได้รู้ถึง สถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลของผู้แข่งขันมาก ถ้าเรารู้ถึงสภาพเศราฐกิจของโลกของประเทศมาก ก็จะยิ่งทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราตัดสินใจในการทำการตลาดและทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งแวดล้อม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Factors) คือ ปัจจัยต่างๆที่เราสามารถควบคุมได้ จัดการได้ เช่น การจัดการทางด้านการเงิน(Financial) การจัดการทางด้านการผลิต(Production) การจัดการทางด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) การจัดหาที่ตั้งของบริษัท(Company Location) การวิจัย (Research) รวมไปจึงถึงการจัดการทางด้าน 4P คือ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) ช่องทางในการจัดจำหน่าย(Place) การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
ซึ่งปัจจัยสถาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ หากบริษัทสามารถบริหาร จัดการได้ดีก็จะส่งผลกระทบในด้านบวก ต่อการสร้างจุดแข็ง(Strategy)ของบริษัท และถ้าหากว่า บริษัท บริหารหรือจัดการได้ไม่ดีก็จะส่งผลกระทบทางด้านลบจนการเป็นจุดอ่อน(Weakness)ของบริษัทได้เช่นกัน
2.สิ่งแวดล้อมภายนอก คือ ปัจจัยต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บริหารจัดการได้ซึ่ง ขอแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับ จุลภาค(Micro) กับ ระดับ มหาภาค( Macro)
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค(Micro External Environment)
1.คู่แข่งขัน(Competitors) คือ เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรง จึงทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจเดียวกัน ดำเนินธุรกิจและใช้กลยุทธ์ต่างๆคล้ายคลึงกัน เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน มีช่องทางจัดจำหน่ายแห่งเดียวกัน ตั้งราคาเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆกัน มีการใช้สื่อโฆษณาเดียวกัน เป็นต้น
2.กลุ่มพ่อค้าคนกลาง(Marketing Intermediaries) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น บริษัทของเราได้ทำการส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้แก่ 7-11 แต่อยู่มาวันหนึ่ง 7-11 ไม่รับจัดจำหน่ายให้แก่เรา ช่องทางจัดจำหน่ายจึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในยุคปัจจุบัน หลายบริษัท จึงหันมา ซื้อบริษัทที่จัดจำหน่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายของตนเอง เช่น บริษัท CP ผลิตสินค้าประเภทอาหารเพื่อจำหน่าย ต่อมา บริษัท CP จึงได้ซื้อบริษัท แม็คโคร และ บริษัท 7-11 มาเป็นของตนเอง เป็นต้น
3. ผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะถ้าหากผู้จัดหาวัตถุดิบไม่ยอมส่งวัตถุดิบมาให้เราผลิต แต่กลับส่งให้กับคู่แข่งขัน บริษัทของเราก็คงจะเดือดร้อนเป็นอันมาก
4.ผู้บริโภค(Customer) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้มากขึ้น สามารถเลือกราคาได้ตามต้องการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับมหาภาค(Macro External Environment)
1.เศรษฐกิจ Economic ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางด้านการตลาดของบริษัทอย่างแน่นอน ตัวอย่าง ถ้าเศรษฐกิจประเทศและระดับโลกตกต่ำ ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กำไรของบริษัทลดตัวลง และทำให้บริษัทต้องลดต้นทุน เช่น มีการเลิกจ้างงาน มีการลดกำลังการผลิต เป็นต้น
2.ประชากรศาสตร์(Demography) จำนวนประชากร มีผลกระทบต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัท เช่น ประชากรไทยมีประมาณ 62 ล้านคน แต่ในปัจจุบันมีการเปิด AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของ 10 ประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชากรของ Asean ได้ถึง 636 ล้านคน เลยทีเดียว
3. การเมืองและกฏหมาย (Political and Legal) เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งนี้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบบประชาธิปไตย แต่อยู่มาวันหนึ่งมีการปฏิวัติ รัฐประหารโดยทหาร จึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและกฎหมายโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
4.เทคโนโลยี(Technology) ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการเกษตร เรามีการตัดต่อพันธุ์กรรมในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ เรามีเครื่องยนต์กลไกใหม่ๆ ในการช่วยทำงานด้านการเกษตรและอุตสหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราทำงานอย่างได้สะดวก สบายและรวดเร็วขึ้น เช่นมีการค้าขายผ่านเว็ปไซค์ มีการติดต่อกันผ่าน E-mail มีการพูดคุยกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกและดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น การประชุมกลุ่มผ่านไลน์ ผ่าน Facebook เป็นต้น
5.สถาวการณ์โลก เช่น ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติ ฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ ดิน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุคนี้ ฤดูกาลต่างๆ มักจะไม่นิ่งหรือไม่ตรงตามกาลเหมือนในอดีต บางช่วงฤดูหนาวกลับร้อน ฤดูร้อนกับหนาว บางประเทศไม่เคยมีหิมะตกแต่ในปัจจุบันกลับมี เป็นต้น
ดังนั้น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะทำให้เราได้รู้ถึง การสร้างโอกาส (Opportunity) ได้ และสามาถทำให้เราวิเคราะห์ถึงอุปสรรค(Threats)ในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจ การดำเนินการตลาดในยุคปัจจุบัน เราควรเรียนรู้ เราควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดด้วย จึงจะทำให้เราดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ นักการตลาดควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยการประยุกต์ทฤษฏี Swot ใช้อย่างละเอียด ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดได้ดีกว่านักการตลาดที่ไม่มีหลักการในการคิดหรือไม่มีหลักการในการดำเนินธุรกิจ แต่ ดำเนินการตลาดหรือดำเนินธุรกิจไปตามแบบยถากรรม



...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.