หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  ขายปลุกพลังชีวิต
  -  ระบบ P.K.S.C กับนักขาย
  -  อิทธิบาท 4 สู่ความสำเร็จในงานขาย
  -  อยากสำเร็จต้อง.
  -  ความสำเร็จของนักขาย
  -  การพูดเพื่อขาย
  -  ความล้มเหลวในการทำธุรกิจเครือข่าย
  -  กล้าเสี่ยงและลองทำสิ่งใหม่ๆแล้วท่านจะเป็นผู้ชนะ
  -  การจัดประชุมทีมในธุรกิจเครือข่าย
  -  การขายทางโทรศัพท์
  -  การจัดการเวลา
  -  การสร้างชื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาด
  -  ข้อห้ามสำหรับเจ้าหน้าที่ในการจัดการแสดงสินค้า
  -  ความสำเร็จเริ่มต้นที่ความกล้า
  -  ใช้ชีวิต...ให้เต็มชีวิต...
  -  นิสัยความสำเร็จ...สำคัญกว่าทำก่อน
  -  Brand Experience
  -  คิดต่าง
  -  การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจร
  -  ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
  -  การตลาดขั้นเทพ
  -  แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
  -  การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
  -  สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
  -  Digital Marketing for SME
  -  การตลาดของมหาเศรษฐี
  -  แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
  -  Marketing 3.0
  -  ธรรมชาติของงานบริการ
  -  ชนะใจลูกค้าด้วยการบริการ
  -  อาวุธทางการตลาดคือการสร้างไอเดีย
  -  กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
  -  Marketing Environment
  -  การสร้างสรรค์และนวัตกรรมใหม่ทางด้านการตลาด
  -  Attraction Marketing การตลาดแบบดึงดูด
  -  สู่ความเป็นสุดยอด...นักการตลาดมือทอง....
  -  เทคนิคในการสร้างนวัตกรรมและคิดสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ทางด้านการตลาด
  -  คุณสมบัตินักขายมืออาชีพ
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจร
การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
โลกยุคปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าเป็นยุคของการแข่งขัน ยุคของทุนนิยมและเป็นยุคของการนำเอาการตลาดมาใช้กับวงการต่างๆมากขึ้นกว่าในอดีต ไม่ว่าจะเป็น วงการเมือง วงการศาสนา วงการธุรกิจ วงการราชการ ฯลฯ
องค์กรใด หน่วยงานใด หากมีงบประมาณมากๆ องค์กรนั้น หน่วยงานนั้น มักได้เปรียบในการทำการตลาด โดยเฉพาะสมรภูมิทางธุรกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ดุเดือด มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายองค์กรต้องล้มหายตายจากไป ทั้งๆที่ในอดีต องค์กรเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นองค์กรชั้นนำหรือมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 ของวงการนั้นๆเลยทีเดียว ตัวอย่าง ในอดีตหลายท่าน คงได้มีโอกาสได้ใช้ฟิลม์สีและฟิลม์ขาวดำในการถ่ายรูป ซึ่งยี่ห้อที่มีชื่อเสียงมากก็คง Kodak แต่ถามว่าตอนนี้ Kodak อยู่ที่ไหนของตลาด หลายท่านตอบไม่ได้ ก็เนื่องจากปัจจุบันลูกค้าได้เปลี่ยนมาใช้ระบบกล้องดิจิตอดกันทั่วโลก อีกทั้งมีคู่แข่งรายใหม่ถึงแม้จะเล็กกว่าแต่ก็สามารถได้กำไรและเจริญเติบโตทางการตลาดได้ดีกว่า Kodak เสียอีก จากกรณีของบริษัท Kodak ทำให้เรารู้ว่า การไม่ยอมปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อการแข่งขันทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล อีกทั้งบริษัทเล็กๆ ก็สามารถทำการตลาดได้ดีกว่าหากว่าบริษัทนั้นๆ มีกลยุทธ์ ยุทธวิธีที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพกว่า
ในบทความนี้ จึงอยากนำเสนอ การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจร เพื่อให้บริษัทหรือองค์กร ขนาดเล็กๆ ซึ่งมีงบประมาณจำกัด ใช้เป็นแนวทางในการต่อสู้ในการแข่งขันทางการตลาด มีดังนี้
การส่งเสริมการตลาด เมื่อเรามีสินค้าดี บริการดี แต่หากลูกค้า ไม่ทราบ ไม่รู้จัก สินค้า บริการนั้นๆ ก็มีคุณค่าน้อยกว่า สินค้า บริการของคู่แข่ง ซึ่งสินค้าของคู่แข่งอาจมีคุณภาพน้อยกว่าของเราก็ได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของผู้บริโภค ดังนั้นในการทำงานด้านการตลาด เรารู้จักลูกค้ายังไม่เพียงพอ แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ลูกค้าจะต้องรู้จักตัวเราด้วย หากลูกค้ารู้จักเรา เขาก็จะหาทางซื้อสินค้าของเรา แต่ในทางกลับกันหากลูกค้าไม่รู้จักเรา เขาก็ไม่มีความต้องการในการซื้อสินค้า การส่งเสริมการตลาดจึงมีความจำเป็น
1.1.การโฆษณามีความสำคัญในการทำการส่งเสริมการตลาด แต่การโฆษณาที่ดีต้องโฆษณาซ้ำๆ หลายๆครั้ง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความทรงจำที่ดี แต่หากบริษัทหรือองค์กรเรามีงบประมาณน้อยจะทำอย่างไร
เพราะการโฆษณาในแต่ละครั้ง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก นักการตลาดแบบกองโจรจะใช้วิธีการคือ ลงโฆษณาครั้งเดียวเช่นทางหนังสือพิมพ์แล้วเก็บภาพ ข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ถ่ายเอกสาร แล้วทำการเผยแพร่ไปยังลูกค้าเป้าหมายโดยตรง อาจจะเป็นทางไปรษณีย์ ร้านค้า สถานประกอบการธุรกิจต่างๆที่ขายสินค้าของเรา และหากเป็นไปได้ก็ควรตัดเก็บภาพข้อมูลต่างๆ ใส่กรอบติดไว้โชว์ภายในบริษัทของตนเองด้วย หากทำได้ในลักษณะนี้ ก็จะทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้มากกว่า การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับ ซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หรือ การทำโฆษณาทางโทรทัศน์โดยโฆษณาไม่กี่ตอน แต่เราสามารถนำไปลงในสื่ออินเตอร์เน็ต อีกทั้งนำไปเปิดก่อนที่จะแนะนำตัวสินค้า เปิดตอนก่อนที่จะอบรม สัมมนาได้อีกด้วย
1.2.ใบปลิว มีต้นทุนที่ถูกกว่า ต่ำกว่า การทำโบรชัวร์ ใบปลิวสามารถลงข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก มีความคล่องตัวในการแจกจ่าย ท่านสามารถติดใบปลิวตามป้ายรถเมล์ ติดตามมุมตึก ติดตามป้ายประกาศต่างๆ ฯลฯ
ปัจจุบัน โรงพิมพ์มีความทันสมัยมาก ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยในการทำใบปลิวถูกมากๆ ซึ่งเนื้อหาภายในท่านควรทำการนำเสนออย่างง่ายๆ นำเสนอสินค้าและบริการของท่านในราคาพิเศษ ควรกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการซื้อหรือการใช้บริการ
ท่านคงเห็นได้แล้วว่า ใบปลิวเป็นเครื่องมืออีกตัวหนึ่งในการทำการส่งเสริมการตลาดแบบกองโจรของธุรกิจขนาดเล็กซึ่งธุรกิจขนาดใหญ่อาจมองข้าม
1.3.บทความและทำเป็นหนังสือขาย เป็นเครื่องมือในการสร้างความน่าเชื่อถือ หากบริษัท องค์กรของท่าน สามารถเขียนบทความเป็นประจำลงในสื่อต่างๆ เช่น สื่อหนังสือพิมพ์ วารสาร หรือแม้แต่ลงในอินเตอร์เน็ต เพราะการเขียนบทความเผยแพร่ ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของสินค้า บริการ ของบริษัท มักไม่เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากหลายสิ่งพิมพ์ต้องการเผยแพร่ความรู้ การเขียนบทความหากท่านเขียนได้ดีและมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก ในอนาคตท่านสามารถรวบรวมทำเป็นหนังสือ ขายได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งการทำหนังสือก็จะสร้างรายได้ สร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น เพราะหนังสือที่ขายเหล่านั้นก็จะวางขายตามร้านขายหนังสือชั้นนำ (ซีเอ็ด ร้านนายอินทร์ ศูนย์หนังสือจุฬา ฯลฯ)
1.4.การสอนการบรรยาย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ ลูกค้า ผู้บริโภค เกิดความศรัทธาในตัวคุณและบริษัทของคุณ คุณสามารถสอนหรือบรรยายให้แก่องค์กรหรือสถานที่ต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย วิทยาลัย ชุมชน องค์กร หน่วยงาน ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าหรือผู้บริโภค เห็นว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวงการนั้นๆ การสอนการบรรยาย ทำให้คุณไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด แต่สิ่งที่สำคัญ คุณควรระวังและไม่ควรทำดังนี้ อย่าใช้สถานที่ที่คุณบรรยายในการขายสินค้าและบริการ แต่จงให้ข้อมูลที่มีคุณค่าแทน , คุณจำเป็นจะต้องมีความสามารถในการพูดอยู่บ้าง เพราะสินค้าดี แต่คนพูดไม่ดีก็ทำให้สินค้านั้นอาจไม่ดี แต่ในทางกลับกัน หากสินค้าไม่ดี แต่คนพูดดี ก็อาจทำให้สินค้านั้นดีขึ้นมาได้ , อย่าลืมให้เบอร์โทรศัพท์หรือสถานที่ติดต่อ เพราะหากมีคนฟังสนใจเขาก็จะสามารถโทรศัพท์มาปรึกษาถามซื้อสินค้าของคุณได้ และถ้าหากคุณคิดว่าคุณสามารถถ่ายทอดได้เป็นอย่างดี คุณก็ควรถ่ายภาพจากกล้องเคลื่อนไหวหรืออัดวีดีโอ เพื่อนำมาลงในสื่ออินเตอร์เน็ตได้อีกด้วยก็จะเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่งเลยทีเดียว
1.5.เข้าเป็นสมาชิกของ ชมรม สมาคม สโมสรต่างๆ การเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม องค์กรต่างๆเหล่านี้จะทำให้คุณมีฐานลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งมีคนให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม อุดหนุนสินค้าของคุณ หลายคนอาจมองข้าม แต่หลายคนได้ประโยชน์จากการเข้ากลุ่มเหล่านี้ เพราะบางธุรกิจใช้สนามกอล์ฟ ในการติดต่อเจรจาทางด้านการค้า และหากคุณเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ หากสมาชิกของกลุ่มเลือกคุณให้เป็นประธาน นายกสมาคม นายกสโมสร ก็จะยิ่งทำให้คุณมีโอกาสขายสินค้าและบริการได้มากยิ่งกว่าเดิม ทั้งนี้เพราะภาพลักษณ์ของคุณจะดูดีในสายตาของผู้บริโภคหรือคนที่พบเห็น
การทำการส่งเสริมทางด้านการตลาดแบบกองโจรนี้ คุณจะต้องทราบและคุณจะต้องยึดหลักปฏิบัติดังนี้
1.คุณจะต้องมีความอดทน เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด งบประมาณมีจำนวนน้อย คุณจะต้องออกแรงมากกว่า คู่แข่งขันที่มีงบประมาณมากกว่า ดังนั้นคุณจำเป็นต้องอดทน ทำงานหนัก ทำงานมากกว่าคู่แข่ง ทุ่มเทมากกว่าคู่แข่ง
2.คุณต้องใช้ความคิดให้มากกว่าคู่แข่ง หากคุณมีโอกาสดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการทำสงคราม เช่น 3 ก๊ก , การต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 คุณจะเห็นภาพชัดเจนว่า บางครั้ง ฝ่ายที่มีทหารมากกว่าก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับชัยชนะเสมอไป แต่ตรงกันข้ามฝ่ายที่มีทหารน้อยกว่าก็สามารถได้รับชนะสงครามได้เช่นกัน ทั้งนี้ฝ่ายที่มีทหารน้อยกว่า จำเป็นจะต้องคิดให้มากขึ้น วางแผนให้มากขึ้น ทำการบ้านให้มากขึ้น ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ยุทธวิธี ตลอดเวลาตามสถานการณ์ในการต่อสู้นั้นเอง
3.คุณจำเป็นจะต้องมีความสม่ำเสมอ การส่งเสริมการตลาดเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการแข่งขัน แต่จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ เพราะการจะสร้างภาพหรือสร้างแบรนด์ให้เกิดขึ้นภายในใจของลูกค้านั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอและต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร
4.ความมั่นใจในตนเอง หลายคนมีความคิดที่ดี หลายคนมีการวางแผนที่ดี แต่หากคนๆนั้น ไม่มีความมั่นใจในตนเองเสียแล้ว เขาก็คงทำอะไรสำเร็จได้ยาก การส่งเสริมการตลาดแบบกองโจรก็เช่นกัน การต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่า ใหญ่กว่า เงินงบประมาณมากกว่า หากคุณไม่มีความเชื่อมั่นและคิดว่าต่อสู้ไม่ได้ คุณก็จะไม่สามารถชนะคู่แข่งขันได้ ทั้งนี้ แค่คุณคิดก็เห็นได้แล้วว่า คุณแพ้หรือชนะ จงเชื่อมั่นในตนเองแล้วคุณจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน
สำหรับข้อความข้างต้นจึงเหมาะสำหรับผู้อ่านที่เป็น เจ้าของกิจการที่มีงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดที่มีเงินจำนวนน้อย , นักการตลาดของบริษัทเล็กๆ , นักศึกษา นิสิตและคนทั่วไปที่สนใจเรื่องของการตลาด เพราะทุกๆคนสามารถเป็นนักการตลาดได้อย่างแน่นอนครับ
...
  
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ครบเครื่องเรื่องการสื่อสารการตลาด ภาษาอังกฤษมักเรียกว่า Integrated Marketing Communication หรือเรียกย่อว่า IMC เป็นการพัฒนาการสื่อสารการตลาดที่นำการสื่อสารหลายๆรูปแบบมาผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเพื่อไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ IMC จึงขออ้างอิงคำอธิบายของนักวิชาการดังนี้
Shimp (2000: 124) ได้ นิยามความหมายของการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นกระบวนการของการพัฒนาและการใช้รูปแบบต่างๆ ของโปรแกรมการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภคตามเป้าหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลกระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
American Association of Advertising Agencies (cited in Belch and Belch, 2004: 242) ได้ให้ความหมายของ IMC ว่า เป็นแนวความคิดของการวางแผนการสื่อสารการตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าเพิ่ม โดยการผสมผสานรูปแบบการสื่อสารต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความชัดเจน กลมกลืน
Russell and Lane (2002: 391)ให้ความหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดเชิงบูรณาการว่า เป็นการสื่อสารการตลาดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงการโฆษณา หรือการประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการอย่างแท้จริง จากนั้นจึงคิดและวางแผนให้การสื่อสารทั้งหมดขององค์กรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งการทำ IMC ต้องอาศัยกระบวนการที่หลากหลายและอย่างเป็นระบบ กล่าวคือต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาวะทางการตลาด กลุ่มเป้าหมาย มีการจัดกิจกรรมพิเศษ มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ มีการส่งเสริมการขาย และเครื่องมือต่างๆอีกมากมาย
ทำไมธุรกิจต่างๆ องค์กรต่างๆ หน่วยงานต่างๆ จะต้องทำ IMC เพราะการสื่อสารเป็นส่วนประสมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการสื่อสารจะทำให้ลูกค้า ประชาชน ผู้บริโภค ผู้ใช้บริการ ได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารต่างๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
IMC มีความจำเป็นแค่ไหน มีความจำเป็นเป็นอันมากในยุคปัจจุบันและอนาคต ตามความเป็นจริงแล้วในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่า สื่อต่างๆมีมากขึ้น สื่อบางอย่างที่นิยมในอดีตมีราคาแพงขึ้น ผู้บริโภค สามารถรับสื่อต่างๆได้อย่างมากมายกว่าในอดีต
IMC กับการส่งเสริมตราสินค้า IMC สามารถส่งเสริมตราสินค้าได้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับราคา ความคุ้มค่า หากว่าตราสินค้าไหน เป็นที่รู้จักมาก โอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า บริการ ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น อีกทั้งในยุคปัจจุบัน มีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น หากไม่มีการทำ IMC ก็จะถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น เราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารตราสินค้า อันได้แก่ การโฆษณา,การขายโดยพนักงานขาย,การประชาสัมพันธ์,การส่งเสริมการขาย,การจัดโชว์รูม,การใช้ยานพาหนะของบริษัทเคลื่อนที่,การใช้ป้ายต่างๆ,การใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ต,การจัดนิทรรศการ,การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ เป็นต้น
IMC ที่ยอดเยี่ยมมักจะต้อง ใหม่ แปลก ใหญ่ ดัง กล่าวคือ หากทำสื่อต่างๆ ออกมาเหมือนกับคู่แข่งในท้องตลาด ก็จะไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร ตรงกันข้าม หากว่าเราทำสื่อต่างๆออกมาอย่างสร้างสรรค์ให้ 1.ใหม่ 2.แปลก 3.ใหญ่ 4.ดัง หากเป็นลักษณะนี้ ก็จะสร้างความจดจำและเป็นที่ประทับใจของลูกค้าได้มากกว่า
1.ใหม่ คือ ถ้าทำอะไรเป็นเจ้าแรก มักจะทำให้เกิดเป็นที่จดจำได้มากกว่า
2.แปลก คือ ถ้าทำอะไรให้แตกต่างกว่าคนอื่น มากจะได้รับความสนใจที่ดีกว่า
3.ใหญ่ คือ ถ้าทำอะไรให้ยิ่งใหญ่กว่าคู่แข่ง จะทำให้คนมาร่วมงานมาก ภาพลักษณ์ก็จะเหนือกว่า
4.ดัง คือ ถ้าทำอะไรต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้ อีกทั้งควรมีคนดังๆ มาร่วมงาน มาเปิดงาน เช่น นักการเมืองดัง นักกีฬาดัง ดารา นักแสดงดัง ก็จะทำให้เป็นที่สนใจ
IMC กับ การประชาสัมพันธ์ ธุรกิจยุคปัจจุบัน มักให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ องค์กรหลายแห่งในยุคปัจจุบัน ถึงกับสนับสนุนและให้ความสำคัญในการทำประชาสัมพันธ์มากกว่าการทำการโฆษณาเสียอีก เพราะ การประชาสัมพันธ์ใช้จ่ายในการซื้อสื่อน้อยกว่าการโฆษณาซึ่งจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ อีกทั้งยังได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ซึ่งเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ที่สำคัญๆ ได้แก่ การให้ข่าว การสัมภาษณ์ การสร้างสื่อมวลชนสัมพันธ์ การสร้างชุมชนสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมพิเศษ การทำการกุศล เป็นต้น
IMC กับ การทำการตลาด บน Facebook ในยุคนี้ หากบริษัทใดไม่ทำการตลาดใน Facebook ก็มักจะเสียเปรียบคู่แข่งขัน เพราะการทำการตลาดบน Facebook มีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ทันสมัย , เป็นสื่อที่มีราคาถูก , เป็นสื่อที่มีความไวต่อการรับรู้ข้อมูล , เป็นสื่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยังสื่อต่างๆโดยเฉพาะเครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆได้เป็นอันมาก , อีกทั้งเรายังสามารถทำการโฆษณาสินค้า บริการผ่านกลุ่มคนในเครือข่ายได้อีกด้วย
Facebook สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่คิด เช่น การเขียนบล็อก เชื่อมโยง Twitter เชื่อมโยง Youtube ทำสไลด์ฟรีเซนเตชัน ดึงข่าวเทรนด์ตลาดมาแสดงในFacebook(Social RSS) , MSN Messenger , Yahoo Messenger , Skype เพื่อสร้างความสัมพันธ์คุยธุรกิจกับลูกค้า เป็นต้น
IMC กับ การโฆษณา การโฆษณามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำการตลาด แต่ทั้งนี้ เราควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆด้วย เช่น งบประมาณในการทำโฆษณามีจำนวนเท่าไร , ควรใช้สื่อใดในการทำโฆษณา , ควรสร้างโฆษณางานโฆษณาอย่างไร , ใครคือกลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา , บุคลิกภาพของสินค้าสัมพันธ์กับสื่อโฆษณาหรือไม่ เป็นต้น
IMC กับ พรรคการเมือง ในปัจจุบันพรรคการเมืองเกือบทุกพรรคของไทย นิยมใช้การตลาดมาประยุกต์ใช้กับการเมือง เช่น ตราสินค้า(Brand Name) อันได้แก่ชื่อพรรค (เพื่อไทย,ประชาธิปัตย์,ชาติไทยพัฒนา) , มีสโลแกน ( คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน ) และมีการเลือกใช้วิธีการสื่อสารตราสินค้า(Brand contact point) เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย การขายโดยใช้พนักงานขาย การใช้ผลิตภัณฑ์เป็นสื่อ การใช้ยานพาหนะเคลื่อนที่ การตลาดเจาะตรง แผ่นพับ ฯลฯ จึงไม่ต้องแปลกใจที่พรรคการเมืองต่างๆในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นจะต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล
IMC กับ CSR (Corporate Social Responsibility) การทำกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม หากบริษัทใดไม่มีการทำ IMC ก็จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหว แต่ตรงกันข้ามบริษัทใด องค์กรใด เสียงบประมาณน้อยกว่า หรือทำน้อยกว่า แต่ทำ IMC ไปด้วย ก็จะทำให้เป็นที่รู้จักของประชาชน

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การทำ IMC จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าต่อหน่วยงานใด องค์กรใด หากทำ IMC ก็จะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำให้เกิดรายได้ ทำให้เกิดกำไร ต่อธุรกิจและต่อบริษัท


...
  
การตลาดขั้นเทพ
การตลาดขั้นเทพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เราต้องยอมรับว่าการขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ ในยุคนี้ ต้องเผชิญกับคู่แข่งเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งภายในประเทศและคู่แข่งภายนอกประเทศที่สามารถเข้ามาขายสินค้าภายในประเทศได้อย่างเสรีมากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะขายสินค้า ผลิตภัณฑ์ได้เพิ่มขึ้น นี่คือคำถาม ที่บรรดาเจ้าของกิจการมีความต้องการ
สำหรับการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มขึ้นนั้น จึงต้องอาศัยเรื่องของการตลาดเข้ามาช่วย การตลาดขั้นเทพจึงมีเนื้อหาที่จะทำให้คุณมีลูกค้ามากขึ้นและลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. คุณต้องใช้สื่อเพิ่มมากขึ้น เราคงต้องยอมรับว่า ธุรกิจน้ำอัดลม โค้ก ( ได้ลงทุนกับการโฆษณาเป็นจำนวนมากมายมหาศาล บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด รายงานภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งปี 2556 ว่า โค้ก ได้ใช้ งบการตลาดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึง 1,193 ล้าน 4 แสน 3 หมื่นบาท บาท ) นี่ยังไม่นับงบประมาณที่ โค้ก ใช้ในการโฆษณาทั่วทั้งโลก ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ โค้ก จึงมียอดขายเพิ่มขึ้นทุกๆปี และมีส่วนแบ่งการตลาดมาเป็นอันดับหนึ่งโดยตลอด
2.คุณต้องกระตุ้นจูงใจ กระตุ้นอารมณ์ให้คนอยากซื้อ เราจะเห็นโฆษณาต่างๆในโทรทัศน์ ที่กระตุ้นให้คนอยากทดลองหรืออยากลองใช้ โฆษณาของสินค้าบางตัว ใช้ดาราชื่อดังแสดง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดาราชื่อดังไม่เคยใช้สินค้านั้นๆด้วยซ้ำไป ดังเราจะเห็นได้จากสื่อต่างๆที่ปรากฏ อีกทั้งในปัจจุบันยังได้มีการนำคนดังในวงการต่างๆเช่น วงการการเมือง วงการศึกษา วงการการกีฬา ฯลฯ มานำเสนอสินค้าอีกด้วย
3.คุณต้องมีการแจกฟรีหรือลดสินค้า เป็นบางช่วง คนเราส่วนใหญ่มักชอบของฟรี หรือชอบซื้อสินค้าลดราคา บางคนซื้อไปเป็นจำนวนมากๆ เกินความจำเป็น ฉะนั้นการแจกฟรีหรือการลดสินค้า ก็ถือว่าเป็นการกระตุ้นลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าอีกวิธีหนึ่ง เพียงแต่ต้องมีการวางแผนงานว่าจะแจกฟรีหรือลดสินค้าในช่วงเดือนใดของปี
4.คุณต้องนำเสนอความกลัว บริษัทประกันชีวิตได้กระตุ้นให้คนซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต ก็ด้วยการนำเสนอ เรื่องของ ความตาย ความเจ็บป่วย อุบัติเหตุ ซึ่งก็ได้ผลดีสำหรับลูกค้าบางส่วน ที่มีความกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
5.คุณต้องกระตุ้นความภาคภูมิใจ รถยนต์ราคาแพงบางยี่ห้อ ราคาเป็นล้านบาทขึ้นและไม่ยอมลดราคา แต่ก็มีคนแห่ไปซื้อขับเป็นจำนวนมาก เพราะคนซื้อเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ใช้ ถึงแม้จะต้องจ่ายเงินไปด้วยราคาสูงก็ตาม หรือ ไวน์ บางขวดราคาเป็นแสนๆ แต่ก็มีคนซื้อกินกัน เนื่องมาจากเกิดความภาคภูมิใจที่ได้กินไวน์ในราคาแพง อีกทั้งยังนำไปอวดหรือนำไปคุยกับเพื่อนๆได้อีกด้วย
6.คุณต้องกระตุ้นด้วยการชิงโชค ลูกค้าหลายๆคน เกิดความโลภเกิดความอยากได้รางวัล เมื่อมีการชิงโชค จึงพยายามซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะได้ส่งชิ้นส่วนไปชิงรางวัล การชิงโชคนี้สอดคล้องกับนิสัยที่ชอบเสี่ยงโชคของคนไทย อีกทั้งทำได้ง่าย เป็นการกระตุ้นยอดขายได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่มีการชิงโชค
7.คุณต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ลูกค้าเป็นจำนวนมากมักอุดหนุน สินค้า ผลิตภัณฑ์กับผู้ขายหรือเจ้าของที่ตนเองรู้จัก มากกว่าอุดหนุนสินค้ากับคนอื่นๆที่ตนเองไม่รู้จัก ฉะนั้นหากคุณต้องการขายสินค้าได้มากขึ้น คุณควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าของคุณ หลายบริษัทใหญ่ๆ ได้นำระบบ การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) มาใช้
8.คุณต้องกระตุ้นยอดขายด้วยการบริการ หากว่าการบริการของคุณดีกว่าคุณแข่ง ลูกค้ารายเก่าก็มักจะโฆษณาแบบปากต่อปากให้แก่สินค้าของคุณ แต่ตรงกันข้ามถ้าหากว่าการบริการของคุณไม่ดี ลูกค้าก็จะโฆษณาแบบปากต่อปากให้แก่สินค้าของคุณ แต่โฆษณาให้ในทางลบ ซึ่งอาจทำให้ยอดขายของคุณตกในเวลาต่อมา
9.คุณต้องนำเสนอคุณประโยชน์ของสินค้าของคุณ สินค้าหลายตัวมีประโยชน์มากเช่น รักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดี เมื่อสินค้ามีคุณประโยชน์มาก จึงทำให้คนอยากซื้อสินค้าเพื่อนำเอาไปใช้ การนำเสนอคุณประโยชน์จึงเป็นอีกทางหนึ่งในการทำให้สินค้ของคุณขายดี จงหาคุณประโยชน์ของสินค้าเพื่อกระตุ้นยอดขาย
10.คุณต้องกระตุ้นโดยใช้คำพูดที่ทรงพลังและจูงใจ เช่น คุณสามารถให้เงินทำงานแทนคุณได้ , จงสร้างระบบแล้วให้ระบบทำงานแทนคุณ, รวยลูกเดียว (ส่วนใหญ่คำพูดเหล่านี้ใช้มากในการทำธุรกิจเครือข่าย) สำหรับคำพูดที่ทรงพลังในการขายสินค้า คือ ดีที่สุด , เร็วที่สุด , เยี่ยมที่สุด, ถูกที่สุด เป็นต้น
11.คุณต้องสร้างเรื่องราว หลายธุรกิจมักจะมีเรื่องราว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้เกิดธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงต่อกัน เช่น ธุรกิจขายของฝาก ของที่ระลึก , ธุรกิจขนส่งนักท่องเที่ยว , ธุรกิจถ่ายภาพ เป็นต้น
12.คุณต้องสร้างความแตกต่างของสินค้า สินค้าเหมือนๆกัน มักขายได้ในราคาเท่ากันหรือมีราคาถูกกว่าราคาตลาด แต่หากว่าคุณสามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับสินค้าได้ สินค้าของคุณจะเป็นที่น่าสนใจ น่าดึงดูดใจให้คนมาซื้อ อีกทั้ง ยังขายได้ในราคาแพงกว่าราคาตลาดอีกด้วย
13.คุณต้องเพิ่มช่องทางการตลาดของคุณให้มากยิ่งขึ้น เช่น การขายผ่านทางโทรศัพท์มือถือ การบริการผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ในยุคปัจจุบันโทรศัพท์มือถือกลายเป็นสื่อโฆษณาและช่องทางในการจัดจำหน่าย โทรศัพท์มือถือสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ถ่ายรูป ดูหนัง ฟังเพลง ดู Social Media ดูข้อมูลต่างๆได้ อีกด้วย
14.คุณต้องสร้าง แบรนด์(Brand) ให้แข็งแกร่ง แบรนด์เป็นเครื่องมือหนึ่งทางการตลาดที่ได้รับความนิยมและมีการพูดถึงกันมาก แบรนด์ทำให้สินค้านั้นเกิดความยั่งยืนกว่าสินค้าที่ไม่ได้สร้างแบรนด์ แบรนด์ทำให้สินค้านั้น ขายได้ดี ขายได้มากกว่าสินค้าที่ไม่ได้มีการสร้างแบรนด์
15.คุณต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ สตีฟ จอบส์ เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ สินค้าตระกูล I เป็นที่นิยมของตลาดก็เนื่องมาจาก สตีฟ จอบส์ เป็นผู้คิดริเริ่มหาสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ให้กับวงการ ฉะนั้น สินค้าที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ จึงเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะสินค้าภายในตลาดมีความคล้ายคลึงกันหรือมีความเหมือนกันเป็นจำนวนมาก
16.คุณต้องรู้จักจังหวะ จังหวะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันมาก สำหรับการสร้างยอดขายสินค้า ช่วงใดที่เศรษฐกิจตกต่ำ แน่นอน ยอดขายสินค้าย่อมมีโอกาสขายได้น้อยกว่า สินค้าที่ขายในช่วงเศรษฐกิจดี ฉะนั้น การหาจังหวะในการลงทุน จังหวะในการขายสินค้าตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจ จึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษา หาข้อมูลก่อนที่จะลงทุนจริงๆ
17.คุณต้องใช้การตลาดออนไลน์เขย่า ปัจจุบันธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลาง สามารถทำการตลาดได้ด้วย Social Media ,Facebook Marketing , Twitter Markting ,Youtube,Game Marketing เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันมีความทันสมัยเป็นอันมาก
18.คุณต้องไม่สร้างชื่อเสียให้แก่สินค้าของคุณ สินค้าหลายตัวเมื่อมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี สินค้าไม่มีคุณภาพ ใช้แล้วเป็นอันตราย จึงทำให้ลูกค้าไม่ซื้อสินค้านั้นอีกต่อไป เลยทำให้ประสบกับการขาดทุน ฉะนั้น ควรระวังเรื่องที่ทำให้เกิดการเสียชื่อเสียงแก่สินค้าและบริษัท
19.คุณต้องมีการปรับแผนการตลาดของคุณเพื่อให้เข้ากับประเทศ วัฒนธรรมนั้นๆ ศาสตร์ทางด้านการตลาดเป็นทั้งศาสตร์คือเรียนรู้ได้ เป็นทั้งศิลป์คือสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ได้ ตามสถานการณ์ ดังนั้น ศาสตร์ทางการตลาดจึงไม่อยู่นิ่งกับที่ เป็นศาสตร์ที่ต้องเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ใช้ศาสตร์ด้านนี้จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาจึงจะประสบความสำเร็จในการทำการตลาด
ฉะนั้นการที่จะขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น การที่จะขยายสินค้าให้ได้มากขึ้น จึงต้องอาศัยการตลาดเข้ามาช่วย ข้อความในบทความ เรื่อง การตลาดขั้นเทพ จึงเป็นข้อมูลหนึ่งที่เราสามารถนำเอาไปอ่าน นำเอาไปศึกษาและนำเอาไปใช้ อีกทั้ง ท่านผู้อ่านควรที่จะมีการค้นคว้าและศึกษาเพิ่มเติม ท่านผู้อ่านจึงจะประสบความสำเร็จในเรื่องการตลาด



...
  
แนวความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
ความคิดทางการตลาด ยิ่งให้ยิ่งได้ ของมหาเศรษฐีโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมากมักมีความคิดทางการตลาดที่คล้ายๆกันหลายๆอย่าง ซึ่งหากเรามีโอกาสที่เข้าไปศึกษาถึงชีวิตและแนวความคิดของบุคคลเหล่านี้ เราก็จะได้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล กระผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จและต้องการรู้ จึงได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาและอ่านประวัติของมหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพอที่จะสรุปแนวความคิดที่เกี่ยวกับการตลาดได้ดังนี้
ยิ่งให้ยิ่งรวย มหาเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมาก มักเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ พวกเขามักจะมีความสุขจากการให้มากกว่าการรับ และเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง มหาเศรษฐีโลกเหล่านี้ชอบที่จะบริจาคเงินที่ตนเองหามาได้เป็นจำนวนมากๆแก่สาธารณกุศล แต่ยิ่งให้แทนที่ทรัพย์สินเหล่านั้นจะหมดไป พวกเขาเหล่านั้น กลับได้ทรัพย์สินเงินทองคืนมาจากแหล่งอื่นๆ รวมทั้งทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
- บิลล์ เกตส์ อดีตมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตรสาร “ ฟอร์บส์” เมื่อหลายปีก่อน เขาคือผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ เมื่อเขาร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว เขาก็ได้ก่อตั้งมูลนิธิ บิลล์ เกตส์กับภรรยาของเขา โดยเขาได้บริจาคเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังบริจาคเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ทุกข์ทรมานจากเอดส์ อีกทั้งยังได้บริจาคเงิน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่กองทุนเพื่อช่วยต่อสู้กับโรคต่างๆ การบริจาคเงินและให้การช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก อีกทั้งเป็นแบบอย่างให้มหาเศรษฐีคนอื่นๆได้ทำตามเขา เช่น
- วอร์เรน บัฟเฟอตต์ ได้บริจาคเงินก้อนใหญ่เข้ากองทุนของเขา จึงทำให้กองทุนของบิลล์ เกตส์และภรรยา เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย
- คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีที่เคยติดอันดับที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ได้บริจาคเงินให้กับ บิลล์ เกตส์ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้ากองทุนโดยเงินเหล่านั้นจะถูกนำไปช่วยเหลือคนยากจนในละตินอเมริกา
- เฉินหลง ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ตัดสินใจเข้าโครงการ “ กีฟวิ่ง เพลดจ์” ของ บิลล์ เกตส์ ซึ่งโครงการนี้จะต้องมอบเงินมากกว่าครึ่งให้กับสาธารณกุศลต่างๆหลังจากที่ตนเองเสียชีวิต
มหาเศรษฐีชาวไทยก็มีหลายคนที่มีแนวความคิดนี้ เช่น คุณตัน ภาสกรนที , คุณบุญชัย เบญจรงคกุล , คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ,คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ บุคคลเหล่านี้ ได้บริจาคเงินช่วยเหลือการกุศล บางคนก็ได้ตั้งมูลนิธีของตนเองขึ้นมาเพื่อ ให้การช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ
ถามว่าทำไมมหาเศรษฐีเหล่านี้ถึงได้ ให้ สิ่งต่างๆ กับบุคคลเป็นจำนวนมากซึ่งการให้นี้ ยังรวมไปถึง การให้เงิน การให้งาน การให้การเป็นแบบอย่างของชีวิต เพราะการให้ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้มีความสุขอย่างแท้จริง การให้ยังทำให้เขาได้รับสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่นได้เพื่อน ได้การยอมรับ ได้รับชื่อเสียง ได้รับการช่วยเหลือและได้รับความร่ำรวย
หากว่าเราโยงเรื่องของการให้ การบริจาค กับเรื่องทางการตลาด การให้ ของมหาเศรษฐีโลก ก็คงไม่แตกต่างกับที่ บริษัทต่างๆทำ CSR หรือ Corporate Social Responsibility (CSR) หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคม การช่วยเหลือสังคม ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรมและการบริหารงานที่ดี เพราะหากว่าลูกค้าหรือประชาชนทั่วโลกได้เห็นคุณงามความดีของมหาเศรษฐีที่ได้ทำไป ประชาชนทั่วโลกก็จะซื้อสินค้าและอุดหนุนสินค้าหรือบริการด้วยความพอใจ อีกทั้งยังช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สินค้าต่างๆของมหาเศรษฐีอีกด้วย จึงเท่ากับว่าสิ่งที่มหาเศรษฐีได้ให้ไป ก็ได้ส่งผลมาเป็นการซื้อสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
- เฉิงหลง ได้บริจาคและได้ช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมากทั่วโลก เมื่อเฉิงหลง ได้สร้างภาพยนตร์
เรื่องใหม่ คนทั่วโลกก็อยากที่จะอุดหนุนและอยากที่จะไปดูการแสดงของเขาเพิ่มขึ้น การบริจาคจึงทำให้เกิดแฟนคลับที่มากขึ้นหรือทำให้เกิดแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
- คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของและผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย
ที่สุดในประเทศไทยและเป็นมหาเศรษฐีโลก จากการจัดอันดับของ “ฟอร์บส์” เขาก็ได้มีแนวความคิดเรื่องการให้ เขาได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากมายเช่น การมอบทุนการศึกษา การสร้างวัด มอบเงินช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมากทั้งมอบด้วยตนเองหรือมอบผ่านบริษัทของเขา
- คุณตัน ภาสกรนที ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ให้การช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ เขาโด่งดังอย่าง
มากจากแบรนด์ “ ตัน โออิชิ” ปัจจุบันเขาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไม่ตัน จำกัด ซึ่งผลิตชาเขียวตราอิชิตัน จากการช่วยเหลือสังคมอย่างมากมาย เขาจึงได้ตัดสินใจก่อตั้ง มูลนิธิ “ ตันปัน” เพื่อช่วยเหลือด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง
การช่วยเหลือบุคคลเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบหรือได้เห็น จึงอยากที่จะช่วยเหลือเขา ยิ่งปลายปี 54 โรงงานผลิตชาเขียว “ อิชิตัน” ที่ลงทุนถึง 3,000 ล้านบาท ต้องจมน้ำเนื่องจากน้ำท่วม ก็ยิ่งทำให้คนอยากที่จะช่วยเหลือเขา โดยผ่านทางการซื้อสินค้าของเขา
ฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า แนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จึงเป็นแนวความคิดทางการตลาดอย่างหนึ่งในการทำ CSR ให้แก่ตัวเองและบริษัทของตัวเอง อีกทั้งแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังได้สร้างแบรนด์ส่วนตัวของทั้งตัวเองและแบรนด์ของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
สำหรับแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการทำธุรกิจได้อีกด้วย ดังเช่น 7-11 เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มแรกเปิดให้บริการ 7 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ซึ่งตอนแรกๆได้ขายแต่น้ำแข็ง แต่เจ้าของ 7-11 มีหัวใจของการให้คืออยากที่จะให้บริการสินค้าที่มากกว่านี้แก่ลูกค้าจึงได้เพิ่มสินค้าเข้าไปอีกมากมาย เช่น ขนม ยาสีฟัน ปากกา สบู่ แชมพู ฯลฯ ต่อมาด้วยความต้องการอยากที่จะให้บริการที่มากกว่านี้ เจ้าของจึงได้มีการเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นจากการเปิดร้านวันละ 16 ชั่วโมงเป็น 24 ชั่วโมง ภายหลังเจ้าของ 7-11 อยากที่จะให้บริการแก่ชาวอเมริกาเพิ่มขึ้น จึงได้ขยายสาขาไปทั่วอเมริกา ภายหลังเจ้าของ 7-11 ต้องการอยากให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก จึงได้ทำการขายแฟรส์ไชส์แก่ผู้ที่ต้องการเปิดร้าน 7-11 เกือบทุกประเทศ เพื่อให้ร้าน 7-11 ได้ให้บริการแก่คนทั่วโลก
ฉะนั้น หากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดเหมือนดังมหาเศรษฐีหลายๆคน การทำการตลาดจากแนวความคิด ยิ่งให้ยิ่งได้ จะเป็นแนวความคิดหนึ่งที่ส่งเสริมให้การทำการตลาดของท่านประสบความสำเร็จและสร้างความร่ำรวยให้กับท่านได้มากขึ้น

...
  
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
การตลาดของมหาเศรษฐีโลก
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ร่ำรวยมีเงินทอง มักเป็นผู้ที่ประกอบธุรกิจจนประสบความสำเร็จ โดยหลักในการทำการธุรกิจของบุคคลเหล่านี้ มักที่จะมีเรื่องของการตลาดเข้ามาอย่างเกี่ยวข้องและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการทำการตลาดของเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ เพราะถ้าหากเราสามารถนำเอาแนวความคิดเหล่านี้ไปใช้ เราก็สามารถประสบความสำเร็จและร่ำรวยได้เช่นกัน
สตีฟ จอบส์ ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบคิดต่างหรือทำสินค้าให้แตกต่างจากคนอื่นๆ เขาพัฒนาซอฟต์แวร์และสินค้าของบริษัทแอปเปิลให้แตกต่างจากบริษัททั่วๆไป ส่งผลให้ลูกค้าในตลาดเลือกที่จะใช้สินค้าของบริษัทแอปเปิลมากขึ้น มากขึ้น จึงทำให้บริษัทแอปเปิลมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย จนนำมาซึ่งรายได้เงินทองเข้ามายังบริษัทอย่างมากมายมหาศาล
คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ เขามีบริษัทมากกว่า 200 แห่งในแม็กซิโก เขามีศิลปะในการขยายการตลาดของธุรกิจของเขาโดยการ มองเห็นโอกาสในภาวะวิกฤต ช่วงที่มีวิกฤตเราจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ ต่างใกล้จะล้มละลายอีกทั้งยังขายในราคาที่ถูกๆ ไม่ว่าห้างสรรพสินค้า บริษัททางด้านการเงิน บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ไฟฟ้า น้ำประปา เขามักจะเข้าไปซื้อธุรกิจใกล้ล้มละลายแล้วนำเอามาบริหารใหม่จนประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นทางลัดในการทำธุรกิจและการตลาดของเขา จนในปัจจุบันชาวเม็กซิกัน ทุกๆคนจะต้องใช้สินค้าและบริการของเขาอย่างน้อย 1 อย่าง เช่น งานบริการของธนาคาร โทรศัพท์มือถือ กาแฟ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
โดนัลด์ เจ ทรัมพ์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา นักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัยพ์ชั้นนำ เขามีหลักการในการทำการตลาดโดยการ นำเอาตัวของเขาเองเป็นตราสินค้าแล้วก็โฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวของเขาเองให้คนได้รับรู้ ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งผลให้การทำธุรกิจของเขาประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว เขาเคยกล่าวไว้ตามสื่อต่างๆว่า “ หากว่าคุณเป็นตราสินค้า สื่อก็จะโจมตีคุณตลอดเวลา มันเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เรียนรู้จะอยู่ร่วมกันกับมัน นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่มันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของการทำธุรกิจด้วย”
ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจพันล้าน มหาเศรษฐีผู้ปลุกปั้น “ อาณาจักรเวอร์จิ้น” เขาเป็นนักธุรกิจที่นอกคอก สมัยเด็กๆเขาปฏิเสธระบบการศึกษาโดยไม่ตั้งใจเรียน พออายุ 16 ปี เขาก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำธุรกิจแรกกับหนังสือ Student ปัจจุบันเขามีธุรกิจมากมายหลายอย่าง เช่น เครื่องสำอาง ชุดเจ้าสาว ถุงยาง น้ำอัดลม โรงแรม รถไฟ มือถือ สายการบิน ธุรกิจการเงิน เป็นต้น ทำไมคนถึงสนใจเขา ก็เนื่องจากเขามีความคิดแบบขบถหรือนอกคอก จึงทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนและลูกค้าของเขา ดังตัวอย่างดังนี้ต่อไปนี้
เขามีความคิดที่จะทำทัวร์อวกาศในปี ค.ศ.2009 , เขามีแนวคิดของการเป็นนักประชาสัมพันธ์ต้นทุนต่ำ เขาเข้าร่วมแสดงหนังเจมส์บอนด์ “ Casino Royale” ซึ่งก็ให้ความสนใจและลงข่าวให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องจ่ายเงินให้ทำข่าวเลย ซึ่งส่งผลดีกับการทำธุรกิจของเขา
ธนินท์ เจียรวนนท์ มหาเศรษฐีชาวไทย เขามีหลักการทำการตลาดคือ เขาจะเน้นขายสินค้าหรือบริการให้กับคนหมู่มากหรือพูดง่ายๆว่า “ ธุรกิจเพื่อมวลชนหรือสินค้าเพื่อมวลชน” ซึ่งธุรกิจของเขามักจะมีลูกค้าอยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก สินค้าที่เขาทำธุรกิจมักเป็นสินค้าประเภทของ “ อาหารการกิน” รวมไปถึง “ เครื่องดื่ม” ซึ่งทุกคนทั่วโลกจะต้องกินต้องใช้ในทุกๆวัน
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก เจ้าของ Facebook เขารู้จักความต้องการของชาว IT อีกทั้งทำในสิ่งที่แตกต่างจากเว็ปเครือข่ายทั่วไป ซึ่งในขณะนั้น เว็ปเครือข่ายโดยทั่วไปไม่นิยมการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตนเอง แต่ Facebook ทำให้สิ่งที่ตรงกันข้าม Facebook มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและตัวตนของตัวเอง อีกทั้ง Facebook ยังทำได้มากกว่าการพูดคุยกัน Facebook จึงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
โดยสรุปการทำการตลาดของบรรดาเศรษฐีโลก เขามักจะทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมวลชนหรือคนส่วนใหญ่ในโลก เขามักจะสร้างสินค้าหรือบริการให้เกิดความแตกต่างเพื่อเป็นที่สนใจของลูกค้า เขามักจะมีการประชาสัมพันธ์ตนเองและสินค้าของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขามักใช้ช่วงที่มีวิกฤตโดยมองหาโอกาสในการลงทุน

...
  
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
สามก๊กกับกลยุทธ์การตลาด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ที่นั่งที่ดีที่สุดคือที่นั่งในหัวใจคน , รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง, อันธรรมดาการทำสงครามจะชนะอย่างเดียวไม่ได้ย่อมมีแพ้บ้างชนะบ้าง....คำคมสุภาษิตเหล่านี้ มีในหนังสือเรื่องสามก๊ก..
สามก๊ก เป็นวรรณกรรมจีนแต่อิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวกับการทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดน ซึ่งภายในวรรณกรรมเรื่องนี้ ได้ให้ความรู้ทางด้าน ตำราพิชัยสงครามภาคปฏิบัติ การบริหาร การเมือง การจัดการ จิตวิทยา ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ นักการตลาดสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้ได้ ดังต่อไปนี้
1.การคิดนวัตกรรมใหม่ๆ การทำสงครามในวรรณกรรมสามก๊ก เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆได้มักจะได้เปรียบในการทำศึกสงคราม เช่น ขงเบ้งประดิษฐ์หรือคิดค้นโคยนต์ซึ่งมีกลไกต่างๆ เพื่อนำเอาไปใช้ขนเสบียง สามารถเดินทางได้ในที่ต่างๆได้อย่างสะดวก ทำให้ประหยัดกำลังและแรงงานของทหารในการขนเสบียง , เครื่องยิงหิน ของ เล่าหัว (กุนซือของโจโฉ) ได้ประดิษฐ์อาวุธนี้เพื่อพิชิตหอรบของอ้วนเสี้ยว ในสงคราม ยุทธการกัวต๋อ
เราจะเห็นได้ว่า ก๊กใด กลุ่มใด ที่มีการคิดค้น ประดิษฐ์ อาวุธหรือเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้ในการทำสงครามย่อมได้เปรียบ ก๊กหรือกลุ่มอื่นๆ เพราะ นวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างขึ้นมามักเป็นเครื่องทุ่นแรงในการทำงาน เช่นเดียวกัน หากว่านักการตลาดผู้ใดสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาใช้ในการทำการตลาด นักการตลาดผู้นั้น มักจะได้เปรียบในการต่อสู้ทางการตลาด
2.ลับ ลวง พราง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ใช้ในสามก๊ก ค่อนข้างมาก เช่น กลศึกปิดเมือง ขงเบ้งเจอสุมาอี้ปิดค่าย แต่ขงเบ้งเก่งกาจและมีปัญญาจึงใช้ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง เปิดประตูค่าย แล้วตนเองก็ตีขิมหรือพิณ อย่างสบายอารมณ์ สุมาอี้เป็นคนคิดมาก จึงไม่กล้าบุกเข้าไปในค่าย แล้วสั่งลูกน้องให้ถอยทัพ กลยุทธ์ ลับ ลวง พราง จึงนิยมใช้ในการทหาร การเมือง รวมทั้งการตลาด ตัวอย่างการปล่อยข่าวของบางบริษัท เพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจหรือทำให้คู่แข่งเข้าใจผิด เป็นต้น
3.กลยุทธ์แบบ กองโจรหรือป่าล้อมเมือง คือกลยุทธ์ในการโจมตีคู่แข่งในจุดที่คู่แข่งไม่ให้ความสนใจ หรือป้องกัน หรือประมาท เช่น การทำการตลาดของสินค้า ในต่างจังหวัดก่อนที่จะเข้าไปทำการตลาดในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ
4.กลยุทธ์ตีชิงตามไฟ เป็นกลยุทธ์ที่ศัตรูยังอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอ ย่ำแย่ เราควรรีบฉกฉวยโอกาสเข้าทำศึกเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ตัวอย่างเช่น ตั๋งโต๊ะ ฉกฉวยโอกาสยึดเมืองหลวงและราชสำนักของพระเจ้าหองจูเหียบมาเป็นของตนเอง เช่นกันหากว่าคู่แข่งของเรากำลังอ่อนแอ เจอข่าวร้าย เจอมรสุมทางธุรกิจ นักการตลาดก็ควรใช้จังหวะในการขยายฐานการตลาดหรือทำการตลาดเพื่อช่วงชิงฐานลูกค้า
5.กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิน เป็นกลยุทธ์ที่โจมตีศัตรูในจุดที่ศัตรูคาดไม่ถึง เช่น ขงเบ้งหลอกล่อ เฮ็กเจียวให้เกิดความสับสน หลงกล ในการนำกำลังทหารเฝ้าระวังการบุกโจมตีด่านตันฉอง
6.กลยุทธ์ตีหญ้าให้งูตื่น เป็นกลยุทธ์ที่ หากมีสิ่งใดพึงสงสัย ผิดแผกจากเดิม ควรส่งคนไปสอดแนมให้มั่นใจเสียก่อน และหากศัตรูสงบนิ่งก็พึงสร้างสถานการณ์ให้ศัตรูเคลื่อนไหวเพื่อเกิดช่องโหว่ ดังตัวอย่าง ขงเบ้งต้องการดูชั้นเชิงกองกำลังทหารของโจโฉ เมื่อคราวเล่าปี่นำกำลังทหารไปตีฮันต๋ง จึงหลอกให้โจโฉเคลื่อนไหว กำลังพล
7.กลยุทธ์จับโจรเอาหัวโจก เป็นกลยุทธ์ที่ทำศึกสงคราม ต้องบุกโจมตีศัตรูในจุดยุทธศาสตร์ของกองทัพ เช่น ขงเบ้งทำสงครามกับวุยก๊ก จึงออกอุบายกำจัดสุมาอี้ เพราะขงเบ้งรู้ดีว่า หากขาดสุมาอี้แล้วกองทัพของวุยก๊ก ก็จะไม่มีความยิ่งใหญ่อีกต่อไป
8.กลยุทธ์กวนน้ำจับปลา เป็นกลยุทธ์ที่ฉกฉวยจังหวะที่ศัตรูเกิดความปั่นป่วยภายในกองทัพให้เป็นประโยชน์ เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์มาเป็นของตนเอง แล้วจึงนำกำลังบุกเข้าโจมตีเพื่อให้ได้ชัยชนะ เช่น อ้วนเสี้ยว หลอกกองทัพซุนจ้านในการนำกองกำลังทหารบุกร่วมเข้าโจมตียึดเอากิจิ๋วจากฮันฮก
8.กลยุทธ์ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลข่าวสาร ประกอบการตัดสินใจในการทำการตลาด ยิ่งในยุคปัจจุบันนี้ การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกไร้พรมแดน เราสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ก็ด้วยระบบเครือข่ายต่างๆ

9.กลยุทธ์หลบหนี เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ย่อมแพ้ชั่วคราว หากว่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่ง เราก็ควรที่จะถอยไปตั้งหลักก่อน ไม่ควรปะทะ แต่ควรที่จะหลบเลี่ยงการปะทะหรือการเผชิญหน้า การถอยไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด แต่เป็นธรรมดาของการทำสงคราม ไม่ควรคิดว่าตนเองเสียเกียรติหรือเสียหน้า
และยังมีอีกหลายกลยุทธ์ที่กระผมยังไม่ได้พูดถึง ท่านผู้อ่านสามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือสามก๊ก หรือ ตำราพิชัยสงครามต่างๆได้ เพราะการทำสงคราม การทหาร การเมือง ไม่มีความแตกต่างกันมากนักกับการทำการตลาด และเราสามารถประยุกต์ใช้ กลยุทธ์ต่างๆเหล่านี้ได้กับการตลาด



...
  
Digital Marketing for SME
Digital Marketing for SME
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ธุรกิจ SME (Small and Medium Enterprises) หรือ ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ในการประกอบธุรกิจ ธุรกิจ SME อาจเสียเปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ ในเรื่องของเงินทุน ในเรื่องของบุคลากร ในเรื่องของเครื่องจักรอุปกรณ์ แต่หากว่าเรามองลงไปให้ลึกซึ้ง เราจะเห็นได้ว่า ธุรกิจ SME จะมีความได้เปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ อยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น เรื่องความคล่องตัว การคิดสร้างสรรค์ การบริหารที่รวดเร็วกว่าในเชิงนโยบาย เปรียบเทียบดังเช่น ธุรกิจขนาดใหญ่เป็นปลาตัวใหญ่ ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กเป็นปลาตัวเล็ก ปลาตัวใหญ่อาจจะมีโอกาสกินปลาตัวเล็กก็จริง แต่ปลาตัวใหญ่ จะเคลื่อนไหวได้ช้ามาก หรือ เปรียบเทียบธุรกิจขนาดใหญ่เป็นเรือลำใหญ่ ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก เปรียบดังเรือลำเล็ก เรือลำเล็ก อาจแล่นไปช้ากว่า แต่ เวลาจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา เรือลำเล็กจะเลี้ยวได้เร็วกว่าเรือลำใหญ่
โลกในยุคปัจจุบัน เราต้องยอมรับกันว่าเป็นยุคของเทคโนโลยี โลกของยุค Digital หากว่าเราได้มองดูไปรอบๆตัว เราจะเห็นผู้คน ได้อ่าน ได้เล่น ได้ดู ข่าวสาร ข้อมูล ผ่านทาง Social Media ซึ่งส่วนใหญ่จะดูผ่านทางช่องทาง Mobile ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือคนทำงาน
คนในยุคปัจจุบัน หากไม่ยอมเรียนรู้ เทคโนโลยีหรือDigital ก็จะล้าหลัง การทำธุรกิจ ในยุคปัจจุบันก็เช่นกัน ไม่ว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการ หากว่า บริษัท ไม่ได้ทำการตลาดผ่านเทคโนโลยีหรือDigital ก็จะเกิดการเสียเปรียบคู่แข่งขัน
แล้วการทำการตลาด Digital Marketing คือ อะไร Digital Marketing คือ การทำธุรกิจ การขายสินค้า การทำการตลาดเชิงสร้างสรรค์ผ่านช่องทางในโลก Internet และ Technology โดยใช้ Social Network เป็นเครื่องมือทางการตลาด
Digital Marketing Trend – แนวโน้มและภาพรวมในตลาดดิจิทัล มีงานสำรวจของ Morgan Stanley Research ในปี 2010 มีผู้ใช้สื่อ Social Network ผ่าน WebSite ต่างๆมีจำนวนเกือบ 900 ล้านล้านคนและมีอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบ 40%ต่อปี เลยทีเดียว

Digital Marketing Planning – การทำการตลาดที่ดีต้องมีการวางแผน การทำการตลาดดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องวางแผนก่อนเป็นอันดับแรกๆ ว่าเราจะใช้เครื่องมืออะไร ในช่วงไหน งบประมาณต้องใช้เท่าไร หรือจะใช้สื่ออะไรผสมผสานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำการตลาดมากขึ้น
Create Online Presence – การทำการตลาดที่ดี เราต้องมีการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของตนเอง เราจำเป็นจะต้องสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ด้วย Web, blog, Apps, และ Social Media Page การสร้างตัวตนของตัวเองจะทำให้ ลูกค้าหรือผู้พบเห็นทราบว่า เรากำลัง ขายอะไร เรากำลังทำธุรกิจอะไร ซึ่งคนที่สร้างสรรค์คำ สร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ทั้งภาพ ทั้งเสียง เพื่อนำมาเสนอ จะเป็นที่น่าสนใจของผู้ชมหรือผู้เข้าไปเยี่ยมชม
Search Marketing – การทำการตลาดให้ติดอันดับ เราจำเป็นจะต้องทำเว็บไซต์หรือเครื่องมือของเราให้ติดอันดับที่ดีๆ บน Search Engine(โปรแกรมค้นหา) เช่น Google , Yahoo , MSN
Social Media Marketing – เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่มีความนิยมกันเพื่อจะโปรโมทธุรกิจผ่าน Social Media เครื่องมือต่างๆ ที่นิยม เช่น Facebook, Youtube, Line , twitter และ Instagram ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องมีหรือต้องทำ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้รับชมหรือติดตาม เพราะถ้าเลือกใช้ช่องทางผิด ก็จะทำให้เราเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปโดยใช่เหตุ ตัวอย่าง twitter ผู้ที่ใช้ twitter มักเป็นกลุ่ม นักข่าว นักการเมือง ซึ่งผู้ใช้ สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษรต่อครั้ง ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
Email Marketing – การขายผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งทำกันอย่างแพร่หลาย เพราะราคาถูก รวดเร็ว สะดวก ทำได้ง่าย ประหยัด
Location-Based Marketing – ที่อยู่หรือที่ตั้งธุรกิจบนโลกออนไลน์มีความสำคัญเพราะจะทำให้ลูกค้าทราบว่าสถานที่ของธุรกิจในโลกออนไลน์ของเราอยู่ที่ไหน
Digital Advertising – การที่จะทำให้ Web, blog, Apps, และ Social Media Page คนเข้ามาชมมากมาดูมาก เราอาจมีความจำเป็นที่จะต้องทำการโฆษณา ในยุคนี้มีบริษัทที่เขาช่วยให้ Web, blog, Apps, และ Social Media Page ติดอันดับ 1 มีมากมายเพียงแต่เราต้องเสียเงินจ่ายค่าบริการ
Digital Marketing Performance Monitoring – การบริหารจัดการการตลาด Digital Marketing จำเป็นต้องมี การตรวจสอบ มีการควบคุม มีการวัดผลความสำเร็จ ซึ่งจำเป็นจะต้องเรียนรู้ Google Analytics, Facebook Insight เป็นต้น
แนวโน้มการใช้ Digital Marketing ที่สำคัญคือ So Lo Mo
So = Social ในปัจจุบันนิยมใช้ Facebook จะเป็นตัวสร้างชุมชน ส่วน เว๊ปไซค์จะเป็นตัวให้รายละเอียดของสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์
Lo = Local มีการปักหมุดในแผนที่ เพื่อให้ลูกค้า รู้จักสถานที่ หรือบริษัทของเรา
Mo = Mobile การใช้มือถือในการทำการตลาดเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะในมือถือในปัจจุบันสามารถทำอะไรได้มากมาย อีกทั้งยังมีราคาถูก
ตัวอย่าง Facebook ร้านพี่อ้อ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง(เพชรบุรีซอย 5) ใช้ social คือ Facebook เป็นชุมชน มีการปักหมุนคือ เพชรบุรีซอย 5 ตอนนี้มีคนกดถูกใจเกือบ 300,000 คน
ทูนหัวของบ่าว เป็น Facebook ของคนรักแมว มีคนกดถูกใจเกือบ 2,200,000 คน
ดังนั้น ธุรกิจ SME มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทำการตลาดในโลกออนไลน์ เนื่องจากการทำการตลาด Digital Marketing มีราคาถูก ประหยัด สามารถสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆได้ง่ายกว่า อีกทั้งการทำการตลาด Digital Marketing ยังมีแนวโน้มที่ดีและคนรุ่นใหม่เข้าไปใช้กันมากในโลกอนาคตและโลกในยุคปัจจุบัน จึงทำให้มีลูกค้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกๆปี
...
  
การตลาดของมหาเศรษฐี
การตลาดของมหาเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมมหาเศรษฐีถึงร่ำรวยและเขามีการทำตลาดอย่างไรกับสินค้าและบริการของเขา ในบทความตอนนี้เราจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกาคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหลายประเภท เช่น อสังหาริมทรัพย์ กีฬา บันเทิง สื่อ การประกวดนางงาม ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ โฆษณาอย่างแยบยล
“ การโฆษณาเป็นสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในเวลาที่คนไม่ซื้อของคุณ” , “ ถึงแม้คุณจะมีสินค้าที่สุดยอดที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้จักมัน มันก็ไม่มีค่าอะไร” แต่เขาจะมีวิธีการโฆษณาที่แยบยล แทนที่จะลงทุนใช้เงินเป็นจำนวนมากจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และบริษัทโฆษณา หรือใช้เงินในการซื้อโฆษณาทาง โทรทัศน์ วิทยุหรือสื่อต่างๆ เป็นจำนวนมหาศาล แต่เขาจะทำมันด้วยตนเอง
เขาเรียนรู้ว่า สื่อมวลชน มีความกระหายข่าวเด็ดๆ ข่าวที่เร้าใจ ข่าวที่เร้าความรู้สึก เขาจึงใช้วิธีการคือ ทำอะไรให้แปลกๆ ใหม่ๆ พิสดาร ตลอดเวลา หรือบางครั้งเขาก็ทำอะไรที่ อาจหาญ ไม่กลัวใครหรือยอมขัดแย้งกับคนอื่นๆ เพื่อให้ สื่อมวลชนได้เขียนข่าวเกี่ยวกับเขา เขากล่าวว่า “ ถึงแม้สื่อมวลชนจะลงข่าวในทางลบเกี่ยวกับเขา แต่ถ้ามองในแง่การโฆษณาหรือมุมมองทางธุรกิจถือว่าคุ้มค่า เขายกตัวอย่าง ถ้าเขาจะลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์แบบเต็มหน้าเขาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการซื้อสื่อ ซึ่งโฆษณาของเขาก็ไม่ได้ลงในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์และ คนเป็นจำนวนมากก็ไม่ปักใจเชื่อในข้อความโฆษณา แต่ถ้าสื่อมวลชนเขียนถึงเขา แม้เป็นข่าวที่ไม่ค่อยดี แต่ได้ลงหน้าหนึ่ง จะทำให้คนเป็นจำนวนมากรู้จักเขา โดยที่เขาไม่ต้องจ่ายเงินเลย” สรุป คือ ถึงแม้สื่อมวลชนจะลงข่าววิพากษ์วิจารณ์ ทำร้ายในเรื่องส่วนตัว แต่จะให้ผลประโยชน์มากในด้านธุรกิจ
อีกทั้งเขาจะเลือกใช้ชีวิตในสไตล์ที่มีชื่อเสียง คือ เลือกคบกับคนดังๆ ในวงการต่างๆ เช่น วงการทางการเมือง วงการกีฬา วงการประกวดนางงามจักรวาล วงการดารา เป็นต้น
นักข่าวส่วนใหญ่ก็มักจะแสวงหาข้อมูลหรือภาพเพื่อลงข่าวคนเด่น คนดัง เมื่อเขาเข้าไปในแวดวงดังกล่าว เขาจึงกลายเป็นคนเด่น คนดังไปด้วยและนักข่าวก็ลงข่าวของเขาตามไปด้วย
ดังนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จอย่าง โดนัลด์ ทรัมพ์ เราต้องรู้จักการโฆษณาตัวเองและการโฆษณาสินค้าของตนเอง อย่างแยบยล
สตีฟ จอบส์ CEO บริษัทแอปเปิล เป็นเจ้าของสินค้าและบริการ สินค้าตระกูล I เช่น iPad , iPhone , iPod , iTunes ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ think different หรือ คิดต่าง
เขาเชื่อว่า เขาเปลี่ยนโลกได้ และเขาก็สามารถทำได้จริงๆ เขาสร้างนวัตกรรมระดับเปลี่ยนแปลงโลก เขากลายเป็นผู้ปฏิวัติทางเทคโนโลยี เขาจึงเป็นเพียงคนไม่กี่คนในประวัติศาสตร์โลกที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เขาคือเสียงและหน้าตาของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาริ่เริ่มทำภาพยนตร์แอนิเมชัน เขาจึงเป็นคนหนึ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆอีกมากมาย
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นในสินค้าและบริการของเรา
ซึซึมิ โยชิอากิ เจ้าของกลุ่มธุรกิจเซบุ คนญี่ปุ่นที่รวยที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน( พ.ศ.2530-2532) จากการจัดอันดับของนิตยสาร “ฟอร์บส”ของสหรัฐอเมริกา เขาได้รับการส่งมอบกิจการจากพ่อของเขาคือ ซึซึมิ ยะสิจิโร และเขาก็ทำให้มันเจริญเติบโตขึ้น กิจการในญี่ปุ่นของเขามีเกือบ 170 ประเภท เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามกอล์ฟ โรงเรียน ร้านอาหาร ฯลฯ
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ การทำการตลาดให้กับธุรกิจหรือบริการใดๆจะต้องทำเหมือนกับการ วิ่งมาราธอน
ทัศนะคติของ ซึซึมิ โยชิอากิ เขาถือว่า การทำการตลาดให้กับสินค้าหรือบริการใดๆ เหมือนกับการแข่งขันวิ่งระยะไกล ถ้าสังเกตดูจะรู้ได้ว่า การทำการตลาดให้กับสินค้าและบริการ จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นสิบๆ ปี เหมือนกับการวิ่งมาราธอนนั่นเอง และทางที่ดีควรกำหนดคู่ต่อสู้คู่แข่งขันของตนเองขึ้นมาด้วย เพื่อท้าทาย เพื่อแข่งขัน เพราะไม่มีการแข่งขันก็ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความเจริญเติบโต ไม่มีการขยายตัวทางด้านการตลาด
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องอดทน เราต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี จึงจะประสบความสำเร็จ
คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีชาวเม็กซิโก เชื้อสายเลบานอน บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ของสหรัฐ เขาเป็นเจ้าของกิจการกว่า 200 แห่งในเม็กซิโก ต้นยุค 80 ธุรกิจทุกอย่างในเม็กซิโกได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจโลก แต่เขามองเห็นวิกฤตในโอกาสจึงกว้านซื้อกิจการต่างๆที่ใกล้ล้มละลายในราคาถูก เช่น ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร การประปา การไฟฟ้า และนำมาบริหารจัดการตามหลักการสมัยใหม่ จนสามารถมีกำไร
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ ทำให้คู่แข่งออกจากตลาด
ธุรกิจของเขาได้กำไรอย่างมหาศาล ก็เนื่องจากกลยุทธ์ คือ การทำการตลาดอย่างผูกขาด การทำให้คู่แข่งพ่ายแพ้แล้วออกนอกตลาดไป
ในยุคที่โทรศัพท์ เป็นปัจจัยที่ 5 บริษัท เทลเม็กซ์ของเขาได้ผูกขาดในธุรกิจโทรศัพท์ เขาได้ทุ่มเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซื้อหุ้นจากรัฐบาลในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ปี พ.ศ.2533 ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์บ้านถึง 92 % และครองตลาดโทรศัพท์มือถือในสัดส่วนกว่า 80 % ต่อมาเขาได้ขยายกิจการด้านการสื่อสารไปครอบคลุแทบทุกพื้นที่ในแถบละตินอเมริกา จึงถือได้ว่า เขาคือผู้ “ ผูกขาด ” ธุรกิจโทรคมนาคมในละตินอเมริกาอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด กำไรมาก ได้รับผลประโยชน์มากๆเราจะต้องทำธุรกิจในประเภท ผูกขาด หรือมีคู่แข่งน้อยราย
แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศจีน เกิดที่เมืองหางโจว ปัจจุบันมีทรัพย์สินมูลค่า 8 แสนล้านบาท
เขามีแนวคิดในการทำการตลาดในธุรกิจของเขา คือ ต้องค้นให้พบช่องว่างทางการตลาด
แจ็ค หม่า ได้มีโอกาสไปเที่ยวหาเพื่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและเขาลองให้เพื่อนค้นหาสินค้าจีนเป็นภาษาจีนทางอินเตอร์เน็ต เช่น คำว่า เบียร์จีน , บริษัทของจีน ปรากฎว่าไม่พบผลการค้นหาในคำนั้น จึงทำให้เขาได้ค้นพบช่องว่างทางธุรกิจและทางการตลาด ต่อมีปี 1995 เขาก่อตั้งบริษัทไชน่าเยลโล่เพจเจส ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตแรกสุดในประเทศจีน หลังจากนั้นปี 1999 เขาได้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ด้วยความมีวิสัยทัศน์ด้านอีคอมเมิร์ซ ต่อมาได้ขยายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องออกไปเรื่อยๆ โดยบริษัท Alibaba Group มี 3 เว็บคือ
alibaba.com ที่มีลักษณะธุรกิจแบบขายส่งระหว่างบริษัท ( B2B)
taobao.com ที่มีลักษณะธุรกิจแบบขายปลีกระหว่างลูกค้า
tmall.com ที่มีลักษณะธุรกิจที่ให้แบรนด์สินค้าต่างๆมาเปิดร้านบนเว็บไซต์
ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านการตลาด เราต้องค้นหาช่องว่างทางการตลาดให้พบ
...
  
แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
แนวคิดเกี่ยวกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักบริหารท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ อะไรที่เป็นทรัพยากรเราสามารถบริหารได้ จัดการได้ ” ดังนั้น เวลาก็เป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งที่เราสามารถบริหารได้ จัดการได้ เช่นเดียวกับ ทรัพยากร คน สัตว์ สิ่งของ เครื่องจักร เงิน ทอง ฯลฯ
ถ้าวันหนึ่ง เราเกิดโชคดี ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล 3 ล้านบาท ท่านจะมีวิธีในการบริหารจัดการอย่างไร ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด แน่นอน แต่ละคน คงมีวิธีในการบริหารจัดการไม่เหมือนกัน บางคน เอาไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย บางคนเอาไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ บางคนเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย บางคนเอาไปซื้อบ้าน ซื้อรถ ฯลฯ
เช่นเดียวกัน ถ้าท่านมีเวลา 3 ปี ท่านจะมีวิธีในการบริหารจัดการอย่างไร กับชีวิตของท่านให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด แต่ละคน คงให้คำตอบที่แตกต่างกัน อีกทั้งได้ผลลัพธ์จากประโยชน์ของเวลาที่แตกต่างกันออกไป
ในการจัดอบรมและสัมมนาของกระผม ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเวลา กระผมมักถามคำถาม กับผู้เข้าร่วมอบรมและสัมมนาว่า เวลา คือ อะไร ขอให้ทุกคนช่วยกันนิยามมา ก็ได้รับคำตอบต่างๆ อย่างมากมาย เช่น
- เวลา คือ ทรัพยากรที่มีค่า
- เวลา คือ สิ่งสมมุติ
- เวลา คือ การเปลี่ยนแปลง ไม่ย้อนกลับ ไม่นิ่ง
- เวลา คือ สิ่งที่ทำให้เกิด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
- เวลา คือ องค์ประกอบหนึ่งของจักรวาล
- เวลา คือ การบริหารชีวิต

เรามีเวลา 1 วัน เท่ากับ 24 ชั่วโมง หรือ 86,400 วินาที สัปดาห์หนึ่ง เรามีเวลา 7 วันเท่ากัน 1 ปี เรามีเวลา 12 เดือนเท่ากัน
คนเรามีเวลาที่เท่าเทียมกัน แต่ แนวคิด การบริหาร การจัดการ ในเรื่องเวลามีความแตกต่างกัน เราจึงเกิดผลลัพธ์ในชีวิตที่แตกต่างกัน
การใช้เวลาอย่างมีคุณค่า จึงทำให้คนบางคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างรวดเร็ว แต่ตรงกันข้าม การใช้เวลาที่ไม่มีคุณค่า ปราศจากการวางแผน การจัดการ การบริหาร ของคนส่วนใหญ่ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ ไปไม่ถึงไหน ไม่ประสบความสำเร็จ
เวลาเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เราไม่สามารถเบิกเวลามาใช้ก่อนได้ เราไม่สามารถขอยืมเวลาของคนอื่นมาใช้ได้ และเราไม่สามารถสะสมเวลาในชีวิตของเราได้ เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีจำกัด มีคุณค่า ในตัวของมันเอง ตรงกันข้ามกับ เงิน ทอง สิ่งของ หากว่ามันสูญเสียหรือสูญหายไป หากว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็สามารถหามาทดแทนได้ในอนาคต แต่เวลา เมื่อสูญหายไป เราไม่สามารถ นำเอามาทดแทนได้
ดังนั้น เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เวลาไม่เคยย้อนกลับ จงทำทุกขณะของท่านให้มีคุณค่า จงใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้ไวกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ให้ความสำคัญกับการบริหารหรือจัดการในด้านการใช้เวลา
...
  
Marketing 3.0
Marketing 3.0
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากพูดถึง Marketing 3.0 แล้ว หลายคน ก็คงจะถามผมซ้ำอีกว่า แล้ว Marketing 1.0 และ Marketing 2.0 คือ อะไร
Marketing 1.0 เป็นการตลาดเพื่อการผลิต กล่าวคือเป็นยุคของการผลิตสินค้า เป็นจำนวนมาก เพื่อลดต้นทุนและเพื่อที่จะได้ขายในราคาที่ถูก ในยุคนี้ทำให้นายทุนขนาดใหญ่ได้เปรียบนายทุนขนาดเล็ก อีกทั้งสินค้าในยุคนี้ แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
Marketing 2.0 เป็นการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งเป็นยุคที่เน้นไปยังความต้องของผู้บริโภคหรือลูกค้าเป็นสำคัญ มีการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า มีการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ มีการทำ CRM เพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้า มีการบริการหลังการขาย ในยุคนี้นักการตลาดคิดว่า หากว่าลูกค้าพอใจจะนำมาซึ่งผลกำไร และสร้างความยั่งยืนได้
Marketing 3.0 เป็นการตลาดเพื่อเน้นค่านิยม มีการมองลูกค้าหรือผู้บริโภค ว่า เป็นสิ่งที่มีชีวิต มีจิตใจ มีความรู้สึก และลูกค้าหรือผู้บริโภค สามารถสื่อสารมายังผู้ผลิตได้ ในยุคนี้ นักการตลาดจะมองว่าลูกค้าต้องการหาคุณค่าในการบริโภค ดังนั้น นักการตลาดในยุคนี้ จะทำอย่างไรเพื่อที่จะส่งมอบคุณค่าและความหมายไปยังตัวผู้บริโภค
ซึ่ง Marketing 3.0 เกิดขึ้นจาก เทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและปัจจัยทางด้านสังคม ด้านการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ในยุคปัจจุบันเรามีอินเตอร์เน็ต เรามีการสื่อสารที่สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็สามารถติดต่อถึงกันได้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีต เรามี social media ซึ่งทำให้เราทราบวถึงพฤติกรรมของคนทั่วทุกมุมโลก อีกทั้ง การดำรงชิวิต การทำงานในยุคปัจจุบัน คนเราจะเน้นเรื่องของคุณค่ามากยิ่งขึ้น คนจำนวนมากเริ่มทำงานในงานที่ตนเองมีคุณค่าหรือต้องการทำหรือชอบ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อโลก
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คนในยุคปัจจุบัน เริ่มให้ความสำคัญในเรื่องเงิน ในเรื่องการสร้างความมั่งคั่งโดยการเอาเปรียบผู้อื่น เอาเปรียบธรรมชาติ ลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่จะเน้นในเรื่องของการสร้างความมั่งคั่งโดยการเน้นคุณค่าของตนเองว่า ตนเองจะทำตัวให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้มากขนาดไหน ในยุคนี้เราจะเห็นว่าคนเรามีการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากขึ้น อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์โลกมากขึ้น
ซึ่งการทำการตลาดในยุค Marketing 3.0 จะต้องมีความแตกต่างจากยุค Marketing 1.0 และ Marketing 2.0 ในยุคก่อนเราสามารถวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าได้ง่ายกว่า มีการแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มๆ เป็นวัยต่างๆ แต่ในยุคนี้ ลูกค้าไม่นิ่ง ลูกค้ามีความต้องการที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และถ้านักการตลาดคนใดจับจุดถูก คนที่จะขยายตลาดให้แก่ธุรกิจของเราก็คือตัวของลูกค้าเอง เพราะถ้าลูกค้าซื้อสินค้า เนื่องจากเห็นคุณค่า ลูกค้าก็พร้อมที่จะกระจายข่าวให้แก่เราโดยการบอกต่อผู้อื่น บอกไปยังสื่อต่างๆ
เช่นกันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หากนำแนวคิดของ Marketing 3.0 ไปใช้ก็คงต้องเน้นสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับตัวของผู้บริโภค โดยเน้นการท่องเที่ยวเพื่อให้ลูกค้าเกิดการเรียนรู้ เกิดการมีส่วนร่วม เกิดความประทับใจ เกิดการยอมรับจนกระทั่งลูกค้าเกิดการบอกต่อ เพื่อให้เพื่อนๆหรือคนรู้จักได้มามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และเกิดความประทับใจที่ได้มาท่องเที่ยว
เช่นกัน ผลิตภัณฑ์ ตัวสินค้า ตัวของบริการในยุคปัจจุบัน ลูกค้าในยุค Marketing 3.0 มีความต้องการที่จะมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นออกแบบ จนถึงขั้นมีส่วนร่วมในการผลิต ซึ่งแตกต่างกันอดีตที่นักการตลาด ผลิต แล้วนำสินค้ามานำเสนอขายโดยผ่านการโฆษณา สินค้าบางอย่างโฆษณาเกินจริงด้วยซ้ำไป เช่น บอกว่า ดีที่สุด ถูกที่สุด ไวที่สุด ฯลฯ ซึ่งหากมีการโฆษณาแบบนั้นในยุคนี้ อาจจะเกิดการต่อต้านจากลูกค้าในยุค Marketing 3.0 ได้
ฉะนั้น นักการตลาดในยุคปัจจุบัน จึงต้องเปิดโอกาสให้ลูกค้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เปิดประตูเทางด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ลูกค้าได้มาใช้ในการสื่อสารมากยิ่งขึ้นและควรใช้เทคโนโลยี เพื่อจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีจึงมีความสำคัญเป็นอันมากและในยุคนี้ก็มีเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ที่สามารถเป็นเครื่องมือทางด้านการตลาดเช่น
- เทคโนโลยีทาง TV เรามี Analog TV, Digital TV, Cable TV, Satellite TV, Internet TV เป็นต้น
- เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ต เรามีเครื่องมือโดยผ่าน Facebook , Blog , Twitter , เว็ปไซค์ เป็นต้น
- เทคโนโลยีทางโทรศัพท์มือถือ เราสามารถใช้โทรศัพท์มือถือในการทำงานต่างๆได้ อย่างง่ายดาย และแทบไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันเรามีเลขหมายของโทรศัพท์มือถือมากถึง 75 ล้านเลขหมาย ซึ่งมากกว่าคนไทยทั้งประเทศเสียอีกเนื่องจากในยุคปัจจุบัน คนบางคนมีโทรศัพท์มากกว่า 1 เครื่อง (บางคนมี 2-3 เครื่อง จึงใช้ 2-3 หมายเลข)
ดังนั้น การตลาดในยุคนี้ Marketing 3.0 นอกจากเราจะขายของให้แก่ลูกค้ายังไม่เพียงพอ แต่เราต้องเห็นความสำคัญของความเป็นมนุษย์ของเขาหรือเห็นคุณค่าที่มีอยู่ภายในตัวของลูกค้าด้วย ซึ่งกระผมขอยกตัวอย่างอีกสักตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
หากเราอยู่ในธุรกิจขายนม ในยุค Marketing 1.0 เราจะต้องนำเสนอขายนมที่มีปริมาณมาก ขวดใหญ่ ขายในราคาถูก ในยุค Marketing 2.0 เราจะต้องนำเสนอขายนมโดยมีหลายรสชาติ ขวดมีหลายประเภท หลายขนาด ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ และสำหรับ Marketing 3.0 เราต้องนำเสนอขายนม โดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วม ในการกำหนด รสชาติ อีกหน่อยเราอาจเห็นการขายนมสด โดยให้ลูกค้าผสมรสชาติต่างๆตามใจตนเอง ชอบแบบเข้มข้น ชอบแบบหวาน จืด ลูกค้าสามารถชงเองเติมเองได้ รวมถึงกระทั่งการกำหนดสูตรรสชาติต่างๆ ด้วยตนเอง และทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดการสร้างสรรค์ขึ้นโดยคำนึงถึงเรื่องสุขภาพ และลูกค้าจะเลือกดื่มนมจากแหล่งผลิตที่อนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งทำให้ลูกค้าเกิดความภาคภูมิใจ แล้วบอกต่อ
สรุป ก็คือ ยุคที่ 1 จะเน้นผลิตภัณฑ์ ยุคที่ 2 จะเน้นลูกค้า และยุคที่ 3 จะเน้นการเข้าสู่จิตวิญญาณของมนุษย์
การสร้างแบรนด์ก็เช่นกัน ยุคที่ 1 นักการตลาดจะต้องสร้างแบรนด์โดยคิดถึงเรื่องของการผลิตเป็นด้านหลัก ยุคที่ 2 นักการตลาดจะต้องสร้างแบรนด์โดยคำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และยุคที่ 3 นักการตลาดจะต้องสร้างแบรนด์โดยคำนึงถึงการส่งมอบคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนำไปสู่จิตวิญญาณของลูกค้า
ดังคำพูดของกูรูทางการตลาด ฟิลิป คอตเลอร์ เคยพูดไว้ว่า ” จะขายสินค้าได้ก็ต้องชนะจิตใจผู้บริโภค แต่อนาคตเราต้องขายจิตวิญญาณ”
สำหรับบริษัทของไทยเราที่ ฟิลิป คอตเลอร์ ยกตัวอย่างและชื่มชมว่าเป็นต้นแบบของการตลาดในยุคที่ 3 หรือ Marketing 3.0 คือ บริษัท AA (บริษัท ดับเบิ้ล เอ 1991) ซึ่งผลิตกระดาษ โดยเฉพาะ A4 ที่พวกเราเห็นกันในท้องตลาด ฟิลิป คอตเลอร์ ให้เหตุผลว่า บริษัท AA สามารถพึ่งพาตนเองได้ เริ่มจากการปลูกต้นกระดาษ(ยูคาลิปตัส)เอง โดยไม่ต้องไปซื้อไม้จากแหล่งอื่น เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษ อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ลูกค้าเกิดการจงรักภักดีต่อแบรด์ของ AA สูงถึง 70-90 % เลยทีเดียว
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.