หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  ธรรมาภิบาล
  -  บทความที่ดี
  -  ขายเก่ง....รวยก่อน.....
  -  ปัญหาของเด็ก
  -  การพูดของอาจารย์จตุพล ชมภูนิช
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  ลักษณะนักพูด
  -  หัวอกพ่อแม่
  -  พูดโอกาสต่างๆ
  -  สั่นเพราะไมค์
  -  ผู้บริหาร มนุษย์สัมพันธ์
  -  เทคนิคในการพูด
  -  IMC ของไทยรักไทย
  -  อาชีพ ผู้นำ องค์กร
  -  เอดส์ วัยรุ่น สังคมไทย
  -  นักเขียน
  -  เหล้ากับเด็ก
  -  สู่ผู้นำ
  -  อาหารปลอดภัย
  -  ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
  -  อารมณ์ขันกับนักพูด
  -  เลิกเหล้าเข้าพรรษา
  -  ฝึกพูด
  -  น้ำเมารอบสถานศึกษา
  -  การมีมนุษย์สัมพันธ์
  -  ยาเสพติดประเทศไทย
  -  เหล้า เบียร์ วัยรุ่น
  -  องค์กรกับผู้บริหาร
  -  ศิลปะในการบริหาร
  -  คนตกงานกับปัญหาสัึงคม
  -  สื่อลามกกับวัยรุ่น
  -  คนคือทรัพย์สิน
  -  การเผาป่า
  -  ผู้บริหารกับการตลาด
  -  ศิลปะการฟัง
  -  เพศกับวัยรุ่น
  -  ทีม
  -  เตรียมพูด
  -  ปัญหาเลิกจ้างงาน
  -  กล้าล้มเหลวจึงสำเร็จ
  -  ทัศนคติกับการขาย
  -  เอดส์ สังคมไทย
  -  เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด
  -  ธรรมชาติการขาย
  -  ผู้บริหารกับประชาสัมพันธ์
  -  หัวใจงานบริหาร
  -  ลิขสิทธิ์
  -  กิ๊ก
  -  จริยธรรมของไทย
  -  แฟชั่น นักศึกษา
  -  น้ำมันลอยติดลมบน
  -  อดทนเพื่อชนะ
  -  พจนานุกรมวัยรุ่น
  -  เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
  -  โลกร้อน
  -  สื่ออนาคต
  -  ปัญหามากมายสังคมไทย
  -  ยาเสพติด
  -  สายสัมพันธ์กับนักบริหาร
  -  เลิกเหล้า เลิกจน
  -  ขยะเป็นทอง
  -  ผู้นำ
  -  สนุกกับงาน
  -  คิด พูด ทำ ความสำเร็จ
  -  หมวก 6 ใบ
  -  ยกระดับบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะ
  -  คอร์รัปชั่นภัยร้ายสังคมไทย
  -  พ่อแม่ รังแกฉัน
  -  หลักการเขียนบทความ
  -  สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
  -  หลักการนำเสนอ
  -  ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
  -  ความคิดสร้างสรรค์
  -  U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
  -  มึงสู้จริงหรือเปล่า
  -  การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
  -  นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
  -  จริยธรรม คุณธรรม ความรับผิดชอบ
  -  การตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
น้ำมันลอยติดลมบน
น้ำมัน ...ลอยติดลมบน ประชาชน...ถูกเหยียบติดดิน
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ม.นเรศวร พะเยา

ลง หนังสือกรุงเทพธุรกิจ ฉบับที่ 6 ธันวาคม 2550 ต่างจังหวัดวันที่ 7 ธันวาคม 2550

6 ธันวาคม พ.ศ. 2550 07:00:00


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ถ้าพูดถึงเรื่องราคาน้ำมันในบ้านเรามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเดือดร้อน และราคาน้ำมันทำท่าว่าจะไม่ลดลงง่ายๆ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว ซึ่งช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นกว่าปกติ

อีกทั้งเกิดปัจจัยความตึงเครียดระหว่างตุรกีและอิรัก และปัญหาอื่นๆ เพิ่มความรุนแรง ส่งผลให้กองทุนเก็งกำไร หรือที่เรียกว่า "เฮดจ์ฟันด์" เข้ามาทำกำไร อาจทำให้น้ำมันมีการขาดแคลนในอนาคต

สำหรับราคาน้ำมันในบ้านเราขณะนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขยับเข้าใกล้ 30 บาท/ลิตร ทุกขณะ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 32.89 บาท/ลิตร หรือเกือบ 33 บาท/ลิตร

เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นในปัจจุบันก่อให้เกิดผลกระทบกับราคาสินค้าต่างๆ รวมไปถึงพลังงานอื่นๆ ด้วย เช่น ราคาก๊าซแอลพีจีที่ติดตั้งในรถแท็กซี่-รถยนต์ส่วนตัวและใช้ในครัวเรือน รัฐบาลมีนโยบายลอยตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสาเหตุก็คงเกิดจากคนเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแอลพีจีกันมากขึ้นในรถยนต์ส่วนตัว จึงทำให้ต้องมีการปรับตัวตามความเป็นจริง

สำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก ที่เห็นได้ชัดคือ ราคาสินค้าอุปโภค บริโภค ขนส่งมวลชน ไม่ว่าอาหารสด อาหารแห้ง อาหารทะเล ผัก ผลไม้ มีการขึ้นราคาตามมา รถโดยสารประจำทางก็มีการปรับราคาขึ้น สินค้าหลายตัวมีการปรับราคาขึ้น และกระผมเชื่อว่า หลังปีใหม่ เราคงได้เห็นสินค้าอีกหลายตัวทยอยขึ้นราคาตามมา ทำให้คนที่หาเช้ากินค่ำ ทำงานรายวัน เดือดร้อนไปตามๆ กัน

กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นราคา ก็คือ มาม่าขอขึ้นอีกซองละ 1 บาท และได้รับไฟเขียวให้ขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนที่เป็นแฟนประจำของมาม่า ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันถึงความเดือดร้อนในการขึ้นราคาในครั้งนี้ น้ำมันพืชขอขึ้นอีก 5 บาท จาก 38 บาท/ขวด ขึ้นไปอีกไม่เกิน 43.50 บาท/ขวด โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงในการเปลี่ยนแปลงราคาในครั้งนี้ นมปรับราคา 20% ในช่วงเดือนสิงหาคม เนื่องจากต้นทุนน้ำนมดิบที่มีราคาสูงขึ้น

ด้านตัวเลขเงินเฟ้อในปีหน้าพุ่งขึ้น 4% อย่างไรก็ขอฝากธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ ช่วยดูแลด้วยครับ ไม่ให้ตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงจนเกินไป

สำหรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้และในปีหน้า ก็ขอฝากกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) ช่วยดูแล ควบคุม เรื่องของราคาสินค้า การกักตุนสินค้า การขาดแคลนสินค้า รวมถึงการดูต้นทุนที่แท้จริงของการผลิต เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภคมากจนเกินไป เพราะราคาสินค้าขึ้นได้ง่าย แต่โอกาสที่ราคาสินค้าจะถูกลงหรือลดลงมีความเป็นไปได้น้อยมาก

ถึงแม้รัฐบาลหรือครม. ได้ไฟเขียวให้ขึ้นค่าจ้าง 1-7 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2551 แต่เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่สูงขึ้นมาตอนนี้และหลังปีใหม่ การขึ้นค่าแรงแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย

ด้านหนี้ในครัวเรือน สินเชื่อเพื่อบริโภคส่วนบุคคลก็เติบโตขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น สินเชื่อผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรพลาสติกที่มีการผ่อนชำระ มีการขยายตัวสูง และก่อให้เกิดหนี้คงค้างชำระบัตรเครดิตติดตามมา จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มผู้รายได้น้อย เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสินเชื่อด้านนี้สูงมาก อีกทั้งหนี้ในครัวเรือนก็มีมากขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง

ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลช่วยหาวิธีแก้ไข เยียวยา ความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า หนี้ในครัวเรือน เพราะถ้าประชาชนเดือดร้อนจากราคาน้ำมันกันมาก ก็จะเกิดเหตุความวุ่นวายได้ในอนาคต ดังจะเห็นได้จากประเทศเพื่อนบ้านของเราคือ ประเทศพม่า ไม่ใช่ราคาน้ำมันหรือ ที่ส่งผลกระทบต่อการครองชีพของประชาชนชาวพม่า จนทนไม่ไหวจึงออกมาประท้วงกันเป็นจำนวนมาก

เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเกิดความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และค่าครองชีพ ก็อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการปล้น การขโมย ปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาการฆ่าตัวตาย ฯลฯ

จากปัญหาดังกล่าวข้างต้นจะเห็นว่า ปัญหาใหญ่ก็คือ การดีดตัวของราคาน้ำมันเป็นต้นเหตุให้ราคาสินค้าเพิ่มราคาสูงขึ้น ดังนั้น รัฐบาล ผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงต้องช่วยกันดูแล และถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ควรที่จะศึกษา วิจัย พลังงานทดแทนใหม่ๆ มาทดแทนน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น

สำหรับการแก้ปัญหาราคาน้ำมันราคาแพง เราอาจทำได้หลายวิธีเช่น

การหาพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ ก๊าซเอ็นจีวี ก๊าซแอลพีจี พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ ฯลฯ พลังงานเหล่านี้สามารถใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้ แต่ในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า เราขาดการวิจัย พัฒนา พลังงานเหล่านี้ เพื่อที่จะนำพลังงานเหล่านี้ขึ้นมาใช้ทดแทนพลังงานจากน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแก้ไขปัญหาอีกวิธีก็คือ การประหยัด ประชาชนทุกคนควรช่วยกันประหยัดน้ำมัน ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้รถยนต์ส่วนตัว เช่น ถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปไหนในระยะทางที่ใกล้ๆ ก็ควรเดินไป หรือควรใช้จักรยาน ถ้าไกลไปอีกหน่อยก็ควรใช้จักรยานยนต์ แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางระยะทางไกลๆ ก็ควรใช้รถโดยสารประจำทาง

อีกทั้งต้องหัดเป็นคนมีการวางแผนการเดินทาง ซึ่งการวางแผนการเดินทางนี้ จะทำให้เราสามารถประหยัดค่าน้ำมันและเวลาได้มากเลยทีเดียวครับ ถ้าจะไปทำธุระที่บริเวณใกล้เคียงกัน ก็ควรวางแผนไปทำธุระในวันเดียวกัน

ฉะนั้นคนไทยเราทุกคนต้องช่วยกันประหยัด จะเดินทางไปไหนควรต้องมีการวางแผนก่อน รัฐบาลหรือผู้บริหารประเทศควรส่งเสริม สนับสนุน วิจัย พัฒนา พลังงานทดแทนที่จะนำมาใช้แทนน้ำมัน เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในอนาคต



...
  
อดทนเพื่อชนะ
ความอดทนทำให้ได้ชัยชนะ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
" คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่ย่อมเลิกล้มอะไรง่ายๆ แต่คนที่ประสบความล้มเหลวมักไม่ทำอะไรจริงจัง "


นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ประสบความสำเร็จกับผู้ที่ประสบความล้มเหลว ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่าใครมีความอดทนมากกว่ากัน


คุณสมบัติข้อนี้ นักบริหาร นักธุรกิจ นักการเมือง หรือผู้ใดก็ตาม ถ้ามีไว้เป็นคุณสมบัติส่วนตัว เชื่อแน่ว่าสามารถเอาชนะได้ทุกสนาม เพราะทุกสนามที่มีการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นสนามการแข่งขันทางธุรกิจ สนามการแข่งขันทางการเมือง ชีวิตส่วนตัว ล้วนต้องการบุคคลที่มีความอดทนเป็นเลิศด้วยกันทั้งนั้น


นักมวยต่อสู้กันบนเวที ชกกันแลกหมัดกัน ถ้าถามว่า " เจ็บไหม " ทุกคนก็ต้องตอบว่า " เจ็บซิ "


ก็เป็นคนนี่ เป็นสิ่งที่มีชีวิต แต่ถ้าว่าถ้าเจ็บแล้ว ทำไมไม่ย่อมแพ้ คำตอบก็คือ ต้องการชัยชนะ ฉะนั้นการแข่งขันทุกประเภท ก็เหมือนกับการแข่งขันชกมวย คือต้องมีผู้แพ้ มีผู้ชนะ แต่ใครจะเป็นผู้ชนะก็ต้องอดทนมากกว่าคนอื่นๆ ฝึกซ้อมมากกว่าคนอื่นๆ


กระผมเคยอยู่วงการกีฬามาก่อน จึงรู้ว่า การฝึกฝน การฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักกีฬา เช่น นักวิ่ง กว่าจะวิ่งแข่งขัน เอาเหรียญหรือเอาถ้วยได้ ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนมาเป็นเวลายาวนานไม่ใช่พรุ่งนี้แข่งขัน วันนี้มาฝึกซ้อม อย่างนี้คงไม่มีวันชนะแน่ และการฝึกซ้อมก็ต้องซ้อมวิ่งเป็นพันๆ หมื่นๆเที่ยว ใช้เวลาเป็นปีๆ จึงจะสามารถทำลายสถิติได้ เช่นกัน นักมวยก็ต้องฝึกซ้อมเป็นร้อยๆ ยก เพื่อการชกแข่งขันเพื่อแค่ วันเดียว บางครั้งใช้เวลาในการแข่งขันเพียงแค่ ยกเดียว


นักบริหารก็เช่นกัน ถ้าท่านอยากประสบความสำเร็จ ท่านก็ต้องฝึกฝน ฝึกซ้อม และอดทน เพื่อรอวันจะชนะ เพราะบางคนทำงานกว่าจะได้เป็นนักบริหาร ก็ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปี ระยะเวลา 10-20 ปี ถ้าเปรียบเทียบกับนักกีฬา ก็คือการฝึกซ้อมนั้นเอง


การอดทนในการรอคอยความสำเร็จ นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก เป็นอย่างยิ่ง เพราะบางคนทำงานแค่ 1-2 ปี ก็อยากเป็นผู้บริหาร แต่พอเจ้าของกิจการไม่แต่งตั้ง ก็น้อยใจลาออก ความจริงถ้าอดทนรอคอยอีก 1-2 ปี โอกาสก็จะเป็นของตัวเอง ถึงแม้ไม่ได้เป็นก็สามารถรู้ระบบต่างๆ ขององค์กร แต่กลับลาออกไปเริ่มหางานใหม่ ซึ่งกว่าจะเรียนรู้งานใหม่ และปรับตัวก็ใช้เวลานานพอควร และถ้าที่ทำงานใหม่เกิดมีคนรอคอยที่จะเป็นผู้บริหารอีกเล่า เราไม่ต้องรอตายเลยหรือ


ดังนั้นความสำเร็จหรือการต่อสู้ในโลกนี้ มีไว้สำหรับผู้ที่อดทนเท่านั้น ผู้ไม่อดทนย่อมไม่มีสิทธิ์ได้รับอะไรทั้งสิ้นส่วนวิธีการสร้างความอดทนนั้น พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ได้พูดไว้อย่างน่าฟังว่า


" กฏเบื้องต้นของการต่อสู้นั้น จึงอยู่ที่ว่าจะสร้างลักษณะทนทานขึ้นในตัวเราก่อนอย่างอื่น ทนทานต่อความยากลำบาก ทนทานต่อความทุกข์ร้อน ทนทานตลอดถึงอารมณ์ที่จะทำให้กำลังต่อสู้ของเราเสียไป เช่นต้องไม่เป็นคนโกรธง่าย ท้อถอยง่าย ใจเสียง่าย เห็นเรื่องน้อยเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเรามีลักษณะอย่างนี้อยู่ในตัว ให้เรารีบแก้ไขลักษณะของเราเสีย "

...
  
พจนานุกรมวัยรุ่น
คอลัมน์ : บ้านเมือง – เรื่องวังจันทร์ : พจนานุกรมฉบับ วัยโจ๋

โดย ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

พจนานุกรมฉบับ วัยโจ๋

ถ้าพูดถึงเรื่องของการใช้ภาษาไทยในทุกวันนี้ นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเป็นอย่างมาก คำบางคำไม่มีการพูดถึงหรือมีการใช้ แต่ตรงกันข้ามได้มีคำที่เกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมากที่ฟังแล้วมักไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคำที่ใช้ในกลุ่มของผู้ที่เรียกตัวเองว่า วัยรุ่นหรือวัยโจ๋

ถ้าพวกเราไปเปิดพจนานุกรมฉบับเก่าๆ เพื่อหาคำเหล่านี้ก็มักจะไม่เจอ เนื่องจากคำเหล่านี้ไม่ได้บรรจุในพจนานุกรมฉบับเก่า และยังมีอีกหลายคำที่ไม่สามารถบรรจุได้ในพจนานุกรมฉบับใหม่ได้ คำที่บรรจุในพจนานุกรมคำใหม่ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เช่น คำเหล่านี้

อินเทรนด์ หมายถึง ทำตัวตามกระแสนิยม ชะนี หมายถึง คำที่กะเทยใช้เรียกผู้หญิง เจ๊ดัน หมายถึง ผู้หญิงที่ส่งเสริมให้ผู้อ่อนประสบการณ์ประสบความสำเร็จ ชิ่ง หมายถึง หลบฉาก หลบไปอีกทางหนึ่ง เนียน หมายถึง กลมกลืน แนบเนียน ชิวชิว หมายถึง สบายๆ ง่ายๆ ธรรมดา จอแบน หมายถึง หน้าอกเล็กมาก

แอ๊บแบ๊ว หมายถึง แสร้งทำให้ดูเป็นเด็กไร้เดียงสา ซกมก หมายถึง สกปรก ซอมซ่อ มั่วนิ่ม หมายถึง ฉวยโอกาสปะปนเข้าไปทำให้แยกไม่ออก กิ๊ก หมายถึง เพื่อนสนิทต่างเพศซึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว อึ๊บ หมายถึง ร่วมหลับนอน และยังมีคำใหม่อีกจำนวนมาก แต่เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด จึงขอนำมาเสนอเพียงแค่นี้ก่อน

ถ้าท่านผู้อ่านสนใจ อาจซื้อพจนานุกรมคำใหม่ เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ที่ออกใหม่ มาอ่านกันได้ โดยรวบรวมมาจาก โฆษณา หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ กลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษาไว้ทั้งหมด 1,576 คำ เรียงตามตัวอักษร ก-ฮ

แต่ถ้าท่านผู้อ่านได้มีโอกาสเล่นอินเตอร์เน็ต ท่านก็อาจเจอคำเหล่านี้ได้ไม่ยาก เนื่องจากการสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ตต้องใช้ความเร็ว จึงทำให้ภาษาเกิดการผิดเพี้ยนหรือภาษาวิบัติ แต่ถ้าเป็นมุมมองของพวกวัยโจ๋หรือวัยรุ่น อาจพูดว่า ภาษาเหล่านี้เป็นภาษาที่สร้างสรรค์ก็เป็นได้

ซึ่งคำที่เกิดขึ้นใหม่นี้ อาจเกิดจากคำเดิมที่มีการใช้คำขยายใหม่, คำที่มีอยู่แล้วแต่ขาดตัวอย่างการใช้คำเปรียบเทียบที่ยังไม่ได้เก็บไว้, คำเลียนเสียง แสดงอารมณ์, คำในภาษาต่างประเทศที่ใช้กันมาก, คำภาษาปาก เป็นต้น

แหม! สำหรับพวกเราที่ไม่ใช่วัยโจ๋หรือวัยรุ่น ก็คงต้องทำใจ กระผมเชื่อว่า ทุกภาษา ก็คงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเวียดนาม ฯลฯ ก็คงต้องมีคำที่เกิดขึ้นใหม่และคำที่ตายหรือคำที่ไม่มีใครใช้เช่นกัน

สำหรับประเทศไทยของเรานี้ นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่มีภาษาเป็นของตนเอง ต้องขอขอบพระคุณพ่อขุนรามคำแหง ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์อักษรไทย ให้คนไทยได้ใช้กันจนทุกวันนี้ และโชคดีที่ภาษาไทยของเรายังคงอยู่คู่กับประเทศไทยของเรา ซึ่งบางประเทศไม่มีการใช้ภาษาของตนเองแล้ว

...
  
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความสำคัญมากต่อกระบวนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแบบฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึก ถามว่าคนไทยเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กอนุบาลยันถึงมหาวิทยาลัย แต่ถามว่าทำไมเราถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือแม้แต่ทักษะอื่นๆ คือ ฟัง อ่านและเขียน เราก็ไม่เก่งเท่าที่ควร
สาเหตุหนึ่ง เกิดการกระบวนการเรียนภาษาอังกฤษเรา ขาดการเรียนแบบให้นักเรียนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราจะสังเกตว่า แบบเรียนหรือหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่ให้เด็กนักเรียนเรียน เด็กนักเรียนจะต้องเรียนแบบเรียนแต่ละชั่วโมงไม่ซ้ำกัน เช่น วันนี้เรียนบทที่ 1 พรุ่งนี้เรียนบทที่ 2 มะรืนนี้เรียนบทที่ 3 มะเรื่องนี้เรียนบทที่ 4 เป็นต้น
กล่าวคือเด็กนักเรียนจำเป็นจะต้องเรียนให้จบตามหลักสูตรหรือเรียนตามแผนการสอนที่ครูได้วางเอาไว้ ทำให้เด็กนักเรียนไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแบบเรียนอังกฤษแต่ละบท และเมื่อเลื่อนชั้นจาก ป.1 ขึ้น ป.2 ขึ้น ป.3 ก็ต้องเรียนแบบเรียนหรือหนังสือภาษาอังกฤษเล่มใหม่
ถ้าถามว่า “ แล้วจะทำให้อย่างไร ถ้าต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ” ผมขอตอบอย่างนี้ครับ เราจำเป็นจะต้องใช้กระบวนการเรียนซ้ำหรือทำซ้ำ เพราะการทำซ้ำเป็นหัวใจที่ทำให้เกิดทักษะหรือประสบการณ์ทางด้านภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ความเข้าใจภาษาอังกฤษฝังรากลึกไปยังจิตใต้สำนึก
สมัยกระผมเด็กๆ ผมก็เรียนภาษาอังกฤษแบบเด็กนักเรียนไทยทั่วไปกล่าวคือ เรียนภาษาอังกฤษแบบเข้าใจอย่างผิวเผิน เพราะต้องเรียนเรื่องใหม่ๆตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่กระผมเรียนรู้ก็พลอยลืมเลียนไปด้วย ต่อมาเมื่อกระผมรู้เทคนิคในการเรียนรู้แบบทำซ้ำ จึงทำให้ภาษาอังกฤษอยู่ติดตัวกระผมและสามารถดึงเอาออกมาใช้ได้ตลอดเวลา
ในบทความฉบับนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคนั้น วิธีการก็คือ จงเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากแบบเรียนที่ง่ายๆก่อน แล้วพยายามทำซ้ำ ไม่ว่าจะโดยการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน เมื่อทำซ้ำมากๆจนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่มีความยากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แล้วทำซ้ำ จนเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเปลี่ยนไปเรียนแบบเรียนที่ยากขึ้นอีกระดับหนึ่ง ถ้าท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาไปทีละระดับ และที่สำคัญก็คือท่านจะไม่ลืม
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเริ่มหัดภาษาอังกฤษโดยต้องการพัฒนาทักษะทางด้านการฟัง ขอให้ท่านเริ่มจากการฟังนิทานของเด็ก โดยฟังซ้ำไปเรื่อยๆ เพราะการฟังครั้งแรกท่านอาจจะเข้าใจแค่ 30 % พอครั้งที่สอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 35% พอครั้งที่สาม อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 40% พอครั้งที่สี่ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 45% พอครั้งที่ห้าอาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 50% พอครั้งที่หก อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 55% ครั้งที่เจ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 60% ครั้งที่แปด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 65% ครั้งที่เก้า อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 70% ครั้งที่สิบ อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 75% ครั้งที่สิบเอ็ด อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 80% ครั้งที่สิบสอง อาจจะเข้าใจเพิ่มเป็น 85% ครั้งที่สิบสาม อาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็น 90% เป็นต้น
ส่วนตัว กระผมเองต้องขอบอกว่า กระผมเคยฟังนิทานหรือเรื่องราวบางเรื่องมากกว่า 100 ครั้งขึ้นไป จนกระทั่งจำและเข้าใจนิทานภาษาอังกฤษหรือเรื่องราวนั้นๆได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าท่านต้องการพัฒนาทักษะด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ขอให้ท่านเริ่มหัดอ่านภาษาอังกฤษที่ง่ายๆก่อนแล้วไปหายากขึ้น โดยเริ่มจากการอ่านนิทานของเด็ก โดยการอ่านซ้ำไปเรื่อยๆ อาจจะอ่านเป็น 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ แล้วอ่านนิทานเรื่องใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอีก 10 ครั้ง 20 ครั้ง 30 ครั้ง จนกระทั่งมีความเข้าใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจึงเปลี่ยนไปอ่านนิทานเรื่องใหม่ที่มีความยากที่มากขึ้น
ถามว่าถ้าเราใช้เทคนิคในการเรียนซ้ำแบบนี้จะทำให้เรียนภาษาอังกฤษช้าไหม คำตอบก็คือ เรียนช้าครับ แต่มันทำให้ภาษาอังกฤษของเรามีความหนักแน่นและอยู่ติดตัวของเราอย่างยาวนาน อีกทั้งยังเข้าใจรูปแบบของแกรมม่า(Grammar)มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราเรียนแบบรวดเร็วอย่างในอดีตคือตอนที่เราเรียนอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย มันพิสูจน์มาแล้วว่าเราเรียนแบบผ่านๆ ถามว่าเราจำสิ่งที่เราเรียนไปในอดีตได้กี่เปอร์เซ็นต์
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตอนเรียนภาษาอังกฤษ ครูภาษาอังกฤษมักจะสอนประโยคเหล่านี้ให้แก่นักเรียนไทย โดยถามหลายๆรอบ จนเด็กนักเรียนของไทยเราจดจำได้ก็เพราะการถามซ้ำไปถามซ้ำมา คือประโยค Good morning . How are you? I am fine. Thank you and you? เป็นต้น
เช่นกันครับ เด็กชาวอเมริกา พ่อแม่ชาวอเมริกาพูดคำว่า Good morning,Thank you , How are you?กับลูกๆ เกือบทุกๆวัน หากนับได้อาจเป็น ร้อยครั้ง พันครั้ง จนกระทั่งเด็กมีความเข้าใจคำว่า Good morning , Thank you , . How are you? โดยไม่ต้องมีการแปล นี่ก็เพราะการพูดซ้ำและการฟังซ้ำนั่นเอง
ดังนั้น ถ้าเราต้องการเรียนภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถ้าเราต้องการฝึกทักษะในด้านใด(ฟัง พูด อ่านและเขียน) เราควรฝึกทักษะด้านนั้นโดยการทำซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบจนเกิดทักษะ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษของท่านจะพัฒนาขึ้นไปทีละระดับและที่สำคัญมันจะอยู่ติดตัวท่านตลอดไป
...
  
โลกร้อน
คอลัมน์ : บ้านเมือง-เรื่องวังจันทร์ โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ม.นเรศวร พะเยา (นสพ.บ้านเมือง)

: โลกร้อน น้ำมันแพง

ภาวะน้ำมันราคาแพงในปัจจุบัน สร้างปัญหาให้กับทุกประเทศไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทยของเรา เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเราเองจึงต้องเดือดร้อน เนื่องจากประเทศไทยเราไม่มีน้ำมันดิบเป็นของตนเอง

เมื่อกระแสราคาน้ำมันแพง บวกกับปัญหาโลกร้อนอันเนื่องมาจากการปล่อยมลพิษ ของเสียต่างๆ รวมทั้งสารต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก และสารต่างๆ เหล่านั้นส่วนหนึ่งมาจากการใช้น้ำมัน ฉะนั้นในปัจจุบันชาวโลกจึงหันมาให้ความสนใจพลังงานบริสุทธิ์หรือพลังงานทดแทน ที่ใช้แล้วไม่ไปทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งพลังงานอันเกิดจากพืชการเกษตร

พลังงานอันเกิดจากภาคเกษตรนี่เอง ที่ทำให้กระแสของชาวเกษตรกรของไทยเรายิ้มออก

และเริ่มมองเห็นภาพที่สดใสขึ้น ทำให้เกิดมีข่าวอย่างต่อเนื่องในลักษณะว่า ผู้ใช้แรงงาน ชาวไร่ ชาวนา เริ่มหันมาปลูกพืชที่สามารถแปรสภาพเป็นพลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น ฉันทนาแห่ปลูกปาล์ม, ตะวันออกเดิมพันโค่นสวนผลไม้ ลุยปาล์ม-ยางพารา, อีสานฮิตไร่มันฯ เป็นต้น

สำหรับพืชที่สามารถนำมาแปรเป็นน้ำมันคือ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพด ฯลฯ เมื่ออดีตพืชน้ำมันเหล่านี้มักใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แต่ในปัจจุบันเริ่มที่จะนำมาใช้กับ อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนมากยิ่งขึ้น

ซึ่งโดยส่วนตัวกระผมเอง เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการนำพืชน้ำมันมาใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน จะทำให้เราลดการนำเข้าน้ำมันได้มากและลดการขาดดุลการค้าต่างๆ ได้มากเช่นกัน อีกทั้งเกษตรกรเองก็มีรายได้เพิ่มขึ้น ผู้ใช้แรงงานที่ทำงานในกรุงเทพฯ ก็สามารถกลับไปทำงานในชนบทหรือบ้านเกิดของตนเองได้ สามารถลดปัญหาสังคมในเมืองหลวงได้ระดับหนึ่ง

เพียงแต่กระผมอยากเห็นการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ลงทุน เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจในการลงทุน ไม่ใช่เพียงแต่สร้างกระแสให้คนปลูกพืชน้ำมันเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนกันมากๆ แล้วก็ลอยแพหรือไม่สนใจให้ความช่วยเหลือในอนาคต

สำหรับประเทศในยุโรปหรือสหรัฐเอง ก็ตื่นตัวกับพลังงานทดแทนไม่น้อยไปกว่าไทยเรา

เช่น ปีที่ผ่านมา (ปี 2550) สหรัฐอเมริกานำข้าวโพดไปใช้ผลิตเอทานอลสูงถึง 80-90 ล้านตัน และปีนี้ (ปี 2551) เองสหรัฐก็ประกาศว่าจะผลิตเอทานอลจากข้าวโพดไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

ส่วนสหภาพยุโรป ก็เป็นห่วงเรื่องภาวะโลกร้อนและราคาน้ำมันแพง จึงใช้พลังงานทดแทนโดยนำ เรพซีด (น้ำมันพืชเมืองหนาว) ไปใช้สำหรับผลิตไบโอดีเซล เพื่อลดการใช้น้ำมันและภาวะโลกร้อน


สำหรับการใช้พลังงานทดแทนจากพืช นำมาใช้ทดแทนน้ำมันที่มีราคาแพง เราอาจจะมองแต่ส่วนที่ดี แต่ความจริงของชีวิต เมื่อมีส่วนดี ก็มีส่วนเสีย สำหรับปัญหาที่เกิดจากการนำพืชน้ำมันไปใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนนี้ ก็คือ ผู้บริโภคต้องรับมือกับอาหารที่แพง ดังจะเห็นจากราคาน้ำมันปาล์มจากราคาเพดานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้ขวดละ 38 บาท (ขนาด 1 ลิตร) จากที่ไม่เคยขายชนราคาเพดาน แต่ปัจจุบันต้องปรับราคาเพดานขึ้นไปอยู่ที่ขวดละ 43.50 บาท สาเหตุเนื่องจากราคาผลปาล์มดิบมีราคาสูงขึ้นกิโลกรัมละ 2 บาทกว่าเป็น 6 บาทกว่า อีกทั้งน้ำมันถั่วเหลืองต้องนำเข้ามาจากสหรัฐ เนื่องจากวัตถุดิบไม่เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ สำหรับน้ำมันถั่วเหลืองราคาเพดานในปัจจุบันอยู่ที่ขวดละ 45.50 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าในอดีต

ณ วันนี้จึงเป็นเวลาที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นเวลาเปลี่ยนผ่าน จากการผลิตพืชน้ำมันเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ มาเป็นอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นที่น่าจับตาต่อไปว่า การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกหรือไม่ เพราะการแก้ไขปัญหาอย่างหนึ่ง อาจเกิดปัญหาอีกอย่างหนึ่งตามมาเสมอ


...
  
สื่ออนาคต
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 10:09:00 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551

คอลัมน์ ; บ้านเมืองเรื่องวังจันทร์ : “สื่อสารมวลชนในอนาคต” (หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2551)

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ สำนักวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
ม.นเรศวร พะเยา

“สื่อสารมวลชนในอนาคต”

ทีวี 10,000 ช่อง วิทยุ 100,000 สถานี หนังสือพิมพ์ 1,000,000 หัวหนังสือพิมพ์ กำลังจะเป็นจริง โลกแห่งการเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อสารมวลชนจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวในอนาคต ในอดีตมีคำว่า “ใครคือผู้ครอบครองสื่อ คนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้” เพราะผู้ชมหรือผู้อ่าน มักเป็นฝ่ายที่ตั้งรับ โดยเจ้าของสื่อสารมวลชนสามารถกำหนดเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านสื่อได้

แต่ในโลกอนาคตอันใกล้ ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อสารมวลชนอื่นจะมีจำนวนมากมาย มหาศาล โดยผ่านทาง อินเตอร์เน็ต ทางทีวีก็จะเปลี่ยนเป็น “อินเตอร์เน็ตทีวี” (ไอพีทีวี)

หรือ Internet Protocol Television แล้วทางหนังสือพิมพ์ก็จะเป็น “อินเตอร์เน็ตหนังสือพิมพ์”

ปัจจุบันประเทศไทยเรามีทีวีจำนวนหลักสิบ โดยมีทีวีช่องหลักและทีวีผ่านทางดาวเทียม ซึ่งนับว่ามากกว่าในอดีตที่มีจำนวนหลักหน่วย คือ ช่อง 3, 5, 7, 9 แต่ถ้ารวมกันทั้งโลกในปัจจุบันเรามีสถานีโททัศน์ทั่วโลกอยู่ที่หลักร้อยช่อง แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ “IPTV” จำนวนช่องทีวีจะมีมากถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

นับจากที่มีอินเตอร์เน็ต เกิดขึ้นมาทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้น คนรับรู้ข่าวสารข้อมูลมากขึ้น ทีวีหรือหนังสือพิมพ์ ที่ผ่านอินเตอร์เน็ตยังมีจุดเด่นอีกอย่างก็คือ นอกจากจะได้ดูรายการแบบเรียลไทม์เหมือนโทรทัศน์ทั่วไปแล้ว ยังสามารถเรียกดูย้อนหลังได้อีกด้วย หนังสือพิมพ์ทางอินเตอร์เน็ต วิทยุผ่านทางอินเตอร์เน็ต ก็เช่นกัน

จุดเด่นดังกล่าวทำให้บริษัทต่างๆ เริ่มพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งข้อมูลผ่าน ทีวีทางอินเตอร์เน็ต เช่น ค่ายกูเกิล หรือยาฮู บริษัทเมืองไทยก็เริ่มมีการขยับตัว ถ้ามีเวลาท่านผู้อ่านลองเข้าไปที่ เว็บไซต์ www.wakeupwakeupwakeup.com ท่านก็จะเห็นการพัฒนาทีวีอินเตอร์เน็ตของไทยเรา ซึ่งในเว็บไซต์มีทั้งหนังสั้นประมาณ 30 กว่าเรื่อง เพราะกำลังเปิดทำการมาประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้จัดทำทีวีอินเตอร์เน็ตทั่วโลก สามารถนำเสนอผลงานที่สร้างสรรค์ได้มากขึ้นและสามารถมีขีดการรับรู้ได้กว้างทั่วโลก แต่ข้อเสียก็คือ เป็นการยากต่อการควบคุม

ถ้าหากทีวีอินเตอร์เน็ตบางช่องนำเสนอเรื่องราวที่ไม่มีความเป็นจริง และไปกระทบถึงบุคคลอื่น อาจจะถึงขั้นฟ้องร้องกันในเวลาต่อมา อีกทั้งยังอาจจะมีทีวีอินเตอร์เน็ตประเภท หนังโป๊ คลิปโป๊ และ สิ่งที่ไม่มีสาระปะปนมาได้เช่นกัน ซึ่ง เว็บไซต์ประเภทดังกล่าว บ้านเรานิยมกันเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคของไทยเรานิยมใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อความบันเทิงมากกว่าใช้เพื่อทำงานถึง 80% เลยทีเดียว

ถ้าสื่อสารมวลชนเปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าว เราซึ่งหมายถึงผู้บริโภคหรือผู้ชมหรือผู้อ่าน อาจไม่ใช่ผู้ที่ตั้งรับอีกต่อไป เราอาจเป็นผู้รุก ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคหรือประชาชนก็เริ่มรุกมากขึ้นแล้ว เช่น ทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวได้ เพียงแต่โพสต์เรื่องขึ้นมาแล้วก็จะกระจายไปโดยอัตโนมัติ

สำหรับประเทศไทยเรา การให้บริการทีวีผ่านอินเตอร์เน็ตจะต้องขอใบอนุญาตจาก กสช. ก่อน แต่ขณะนี้ กสช.ยังไม่ได้รับการอนุมัติแต่งตั้งจากวุฒิสภา แต่กระแสของสื่อสารมวลชนของโลกยุคใหม่กำลังแรง



...
  
ปัญหามากมายสังคมไทย
ทุจริต ความปลอดภัย อันตรายจากสื่อ ปัญหามากมายในสังคมไทย
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
แฉปั้นนศ.ผี ถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้ 100 คน สอบจริง 20 คน


น้ำมันพืชพิษ กินเป็นมะเร็ง ขายเกลื่อนภาคใต้ ใส่กรดเหมือนใหม่


ไฮไฟว์ ฉาวอีก “ สวิง “ โจ๋งครึ่ม ใช้เป็นแหล่งนัด โชว์รูปลามกหรา


เป็นหัวข้อข่าวที่พาดหน้าหนังสือพิมพ์ รายวันอยู่ในขณะนี้ เราจะเห็นได้ว่า สังคมไทยในปัจจุบันมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทุจริต ปัญหาเรื่องความปลอดภัย อันตรายจากการใช้สื่อ ฯลฯ


อาจจะเป็นได้ว่า สื่อมวลชนไทยต้องการขายข่าวจึง ต้องเสนอข่าวที่ตรงกับความต้องการของคนอ่าน เพราะฉะนั้น สื่อส่วนใหญ่จึงเสนอข่าวที่ร้ายมากกว่าข่าวดีๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จนเป็นที่ได้ยินกันหนาหูว่า “ ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน “ เป็นคำพูดที่พูดกันมากในสังคมไทยในปัจจุบัน


แต่ทั้งนี้ การเสนอข่าวก็ต้องเป็นข่าวที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เราได้รู้ว่า สังคมไทยในปัจจุบัน นับวันยิ่งไม่มีความปลอดภัย มีอันตรายทุกหนแห่ง


เช่น ข่าวการถลุงงบหลวง เล่ห์ศูนย์การเรียนรู้ ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยเรา ที่เกิดขึ้นหลายองค์กร โดยเฉพาะ องค์กรในระบบราชการไทยเรา เราคงเคยได้ยิน คำว่า


การจัดซื้อจัดจ้าง ผู้อนุมัติจะได้เปอร์เซ็นต์ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอนุมัติ สร้างตึก สร้างถนน ซื้ออุปกรณ์สำนักงาน ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงทำให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ รวยแบบเงียบๆ บางคนถึงกับรวยแบบดังๆ ก็มีให้เห็นกันในสังคมไทย แต่ถามว่ากระบวนการตรวจสอบได้ผลไหมครับ ทำไมคนที่อยู่ในกระบวนการตรวจสอบ บางคนถึงกับรวยขึ้นแบบฉับพลัน ฉะนั้น เป็นสิ่งที่สังคมไทยเราจะต้องกันช่วยกันหาคำตอบ


ข่าวน้ำมันพืชพิษ เกิดขึ้นในภาคใต้ โดยการนำกรดผสมน้ำมันพืชใช้แล้ว ทำให้สภาพดูเหมือนของใหม่นำมาขายต่อ ทำให้ผู้บริโภคที่ทานไปก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อีกหน่อยก็คงขึ้นมาขายทั่วประเทศ เราคงได้กินน้ำมันพืชพิษ เนื่องจาก ผู้ผลิต ไม่ว่าจะเป็น แผงลอย ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด ฯลฯ อาจจะนำน้ำมันพืชพวกนี้มาขาย เพราะมันถูกกว่าน้ำมันพืชของใหม่เป็นเท่าตัว


ข่าวการใช้สื่ออินเตอร์เน็ต นับวันจะมีปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก การควบคุมดูแลเป็นไปได้ยาก ล่าสุด เรื่อง ไฮไฟว์ฉาว มีการนำเสนอ ภาพลามก มีการนัดกันไปมีเพศสัมพันธ์ต่างๆ จนมีสมาชิกนับพันคน ให้ความสนใจในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์นี้ นี่ยังไม่นับ การเสนอเนื้อหาที่จ่อทำลายชื่อเสียงของบุคคลอื่นในสื่ออินเตอร์เน็ตนี้ ดังนั้น จึงขอให้ตำรวจ-เจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ ร่วมกันตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้สื่อเหล่านี้มาทำลายเด็กและเยาวชน ซึ่ง เด็กและเยาวชน มีโอกาสที่จะถูกชักนำได้ง่ายๆ


จากการตั้งข้อสังเกตของกระผม เราจะเห็นว่า ปัญหาในสังคมไทย ในปัจจุบัน มีมากมาย เมื่อเทียบกับปัญหาในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านลองไปเปิดหนังสือพิมพ์รายวันในอดีตก็พอที่จะเห็นได้ ปัญหาในสังคมไทยปัจจุบัน นับวันยิ่งซับซ้อน


มีความยุ่งยากในการแก้ไขมากขึ้น เหมือนเชือกที่มีปมอยู่หลายปม แก้ปมหนึ่งก็จะเกิดปมใหม่ตามมา และถ้าแก้ไขช้า


ก็จะเกิดปัญหาใหม่ตามมาเช่นกัน


ดังนั้นพวกเราทุกคนในสังคมไทยต้องช่วยกัน เช่น รัฐบาล องค์กรต่างๆ จำเป็นจะต้องปรับตัว มองปัญหาเป็นระบบมากขึ้น ไม่แก้จุดใดจุดหนึ่งแล้วทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาก ครอบครัวจะต้องช่วยกัน อบรมสั่งสอน ลูกหลานให้รู้จักปัญหา รู้จักวิธีแก้ปัญหา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับตน สถาบันการศึกษา ต้องช่วยกันอบรม ให้ความรู้ ในเชิงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มากขึ้นเด็กและเยาวชน สื่อต้องนำเสนอข่าวที่สร้างสรรค์มากขึ้น หาแบบอย่างที่ดีมากขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชน เอาไปเป็นแบบอย่าง









...
  
ยาเสพติด
ยาเสพติดในสถานศึกษา

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

จับนักเรียนสาว ม.6 ค้ายาบ้ารวบ 645 เม็ด


ปปส.ศดส.บุกโรงเรียนพาณิชดังย่านบางพลัดพบนักเรียนฉี่สีม่วง14คน


จับแก๊งนักเรียนค้ายาบ้า


นี่คือ พาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนและยาเสพติดในสถานศึกษา ทำให้กระผมมีความกังวลและห่วงใยมาก ในวันนี้จึงถือโอกาสเขียนเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดในสถานศึกษา


แม้กฎหมายจะออกมาบังคับ ลงโทษ กับผู้ค้ายาเสพติดถึงขั้นประหารชีวิต แต่ก็ยังมีการลักลอบค้ากันอยู่ทุกวัน และก็มีการถูกจับกุมกันเกือบทุกวันดังจะเห็นได้จากข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ข่าวในอินเตอร์เน็ต ฯลฯ และมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ออกข่าว


สำหรับกลุ่มของ นักเรียน นักศึกษา นิสิต เป็นกลุ่มหนึ่งที่เป็นเป้าหมาย สำคัญของผู้ค้ายาเสพติด เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งพฤติกรรมของวัยรุ่นเป็นวัยที่อยากลอง วัยคึกคะนอง เมื่อมีปัญหากับชีวิตก็มักจะแก้ด้วยอารมณ์และมีพฤติกรรมที่ติดเพื่อน


ฉะนั้น ผู้ค้ายาเสพติด จึงมุ่งการขยายตลาดไปยัง เด็กและเยาวชนในสถานศึกษามากขึ้น เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย ดังนั้น ผู้บริหาร รวมทั้งครู อาจารย์ ต้องช่วยกันดูแล กลุ่มเด็กและเยาวชนมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา โดยให้ ข้อมูล ความรู้ แก่เด็กและเยาวชน


สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ให้ข้อมูลและทำงานด้านนี้ ถ้าโรงเรียนไหนต้องการวิทยากร ข้อมูล หรือขอความช่วยเหลือก็สามารถติดต่อไปได้


ส่วนแนวทางป้องกันและปราบปราม ในความคิดของกระผม คือ


- ครอบครัว คือ พ่อ แม่หรือผู้ปกครอง ควรให้ความรู้ ความรัก ความเข้าใจ และดูแลลูกอย่างใกล้ชิด


- โรงเรียนและครู ควรประชาสัมพันธ์ รณรงค์ต่อต้านยาเสพติดและเอาใจใส่นักเรียน รวมทั้ง สอดส่องพฤติกรรมหรือบุคคลที่ต้องสงสัยในโรงเรียน สถานศึกษา รวมทั้งเพิ่มเนื้อหาสาระสอดแทรกในห้องเรียนในวิชาต่างๆที่เกี่ยวข้องมากขึ้น และให้มีการตรวจเช็คโดยการสุ่มตรวจปัสสาวะ เป็นระยะๆ


- ส่งเสริมให้เด็กใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น เช่น เล่นกีฬา อาจมีอุปกรณ์ พื้นที่ การแข่งขัน หรือ เล่นดนตรี โดยจัดให้มีอุปกรณ์ต่างๆ ให้เด็กได้เล่นดนตรี รวมทั้งจัดให้มีการแข่งขัน เพื่อสร้างกระแสในด้านการรักดนตรีและกีฬาเพิ่มมากขึ้น


- รัฐบาลควร ช่วยประชาสัมพันธ์ สนับสนุน ออกกฎระเบียบ ต่างๆ เพื่อไม่ให้เด็กและเยาวชนไทย ต้องติดยาเสพติดมากขึ้น


สรุปการแก้ไขปัญหาและป้องกัน จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสถาบันหรือหน่วยงาน คือ สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา สถาบันการศึกษา หรือ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ และ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อันได้แก่ อาจารย์ ครู เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครอง ฯลฯ ต้องทำงานร่วมกันเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาให้ไปในแนวทางเดียวกัน


เพราะหลวงพ่อพุทธทาส เคยกล่าวไว้อย่างน่าฟังว่า เด็กและเยาวชนคืออนาคตของชาติ

































...
  
สายสัมพันธ์กับนักบริหาร
ผู้นำ ผู้บริหาร ต้องรู้จักสร้างสายสัมพันธ์เพื่อโอกาสทางธุรกิจ
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ร้อยละ 50 ของความสำเร็จของผู้นำ ผู้บริหาร จะขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการโยงใย การสร้างสายสัมพันธ์ อย่างมีประสิทธิผล ( ฮิลเลียด ซัลลิแวน รองประธานกรรมการ มอนซานโต เคมิคัล)


ในยุคปัจจุบัน หมดยุคของคำว่า “ ข้าเก่งคนเดียวหรือข้ามาคนเดียวแล้ว ” แต่โลกธุรกิจยุคปัจจุบันเป็นยุค การโยงใยหรือการสร้างสายสัมพันธ์ เพื่อโอกาสทางธุรกิจ เพราะเราไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้หมด ด้วยพละกำลังของเราเอง ดังคำกล่าวที่ว่า “ นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อนขึ้นสู่ที่สูงยาก” ( แต่บางคนไปจำผิดว่า นกไม่มีเพื่อน คนไม่มีขน ขึ้นสู่ที่สูงยาก อันนี้ต้องระวังครับ)


สำหรับวิธีการโยงใย หรือการสร้างสายสัมพันธ์นั้น มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น เริ่มต้นที่ตัวเราเอง , ทำอย่างไรให้คนรู้จักเรา , การใช้นามบัตรให้เกิดประโยชน์ , การใช้ข้อมูลข่าวสารและการใช้โทรศัพท์ ฯลฯ


การสร้างสายสัมพันธ์ ต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง เราลองสำรวจตัวเราเองว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน เรารู้จักใครบ้าง อาจจะแบ่งเป็นส่วนๆ เช่น เพื่อนเก่า , เครือญาติ , เพื่อนร่วมธุรกิจในวงการเดียวกัน , ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นับถือ ฯลฯ หลังจากนั้นเราจึงต้องรดน้ำ บำรุง สายสัมพันธ์โดยการใช้ ความดี (การมีน้ำใจ และการให้) เพราะบางครั้งในอนาคต ถ้าเราต้องการพึ่งพาเขา ถ้าเราติดต่อเขาเป็นประจำเขาก็จะช่วยเหลือเรา มากกว่าที่เราไม่เคยติดต่อเขาเลย แล้วขอความช่วยเหลือ


ทำอย่างไรให้คนรู้จักเรา การที่จะทำอย่างไรให้คนรู้จักเรามีความสำคัญพอๆกับการที่เรารู้จักเขา การที่จะทำอย่างไรให้คนรู้จักเรา คงต้องมีกลยุทธ์อยู่เหมือนกัน เช่น อาจจะต้องไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ ถึงแม้จะไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็ต้องทำเพื่อให้คนได้รู้จักเรามากขึ้น หรือ บางครั้งอาจจะต้องเป็นนักเขียน หรือ นักพูด นักจัดรายการวิทยุ บ้าง เพื่อคนจะได้เห็นผลงานของเราตามสื่อต่างๆ


การใช้นามบัตรให้เกิดประโยชน์ การใช้นามบัตรจะทำให้คุณมีโอกาสทางธุรกิจสูงขึ้น


ดังเช่นนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่นับว่าเป็นประเทศที่ใช้นามบัตรเก่งที่สุด สำหรับหลักการใช้นามบัตรและบริหารนามบัตร ก็คือ คุณต้องเตรียมนามบัตรให้เพียงพอ ออกแบบนามบัตรพิมพ์ให้สวย สำหรับด้านหลังนามบัตรถ้าว่าง เราอาจเขียนข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้ในการจำของเรา เช่น ลักษณะเด่นของคนนั้นๆ งานอดิเรก สำหรับการบริหารนามบัตร เราต้องหาที่เก็บนามบัตร โดยการจัดเก็บให้เป็นระบบ หรือเราอาจจะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยเก็บข้อมูลถ้าหากมีนามบัตรจำนวนมาก


การใช้ข้อมูลข่าวสารและการใช้โทรศัพท์ การให้ข้อมูลแก่เครือข่าย หรือ สายสัมพันธ์ที่เราต้องการโยงใยสำคัญมาก ข้อมูลบางอย่างถึงกับต้องลงทุนซื้อเลยทีเดียว ยิ่งโลกยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ ดังนั้น เราต้องพยายามเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ เราก็จะได้ข้อมูลใหม่ๆ


สรุป สำหรับ ผู้นำ ผู้บริหาร ต้องรู้จักสร้างสายสัมพันธ์เพื่อโอกาสทางธุรกิจ เพราะโลกยุคนี้เป็นโลกแห่งการแข่งขัน เป็นโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร เป็นโลกแห่งเครือข่าย ดังนั้น ใครมีเครือข่าย สายสัมพันธ์มากย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน





















...
  
เลิกเหล้า เลิกจน
เข้าพรรษาบวชใจ 3 เดือน เลิกเหล้า เลิกจน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


โครงการ “ บวชใจงดเหล้าเข้าพรรษา ทำความดีถวายในหลวง ” เป็นโครงการที่ดีมากโครงการหนึ่ง และรัฐบาลก็มีมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติอีกด้วย


การงดเหล้าเข้าพรรษาแค่เพียง 3 เดือน จากข้อมูลการงดเหล้าเข้าพรรษาปี 2549 มีผู้งดเหล้าเข้าพรรษา 5 ล้านคน ทำให้คนงดเหล้าเข้าพรรษามีเงินเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 1,188.97 บาท เท่ากับว่า 3 เดือนเข้าพรรษา จะมีเงินเก็บ 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว


ถ้าเราจะคิดง่ายๆ ถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่า หากชาวบ้านจำนวน 100 คน ดื่มอย่างหนักวันละ 1 เป็ก ราคาเป็กละ 5 บาท จะสูญเงินลงขวดเท่ากับ 500 บาท ถ้า 30 วัน จะสูญเงินเท่ากับ 15,000 บาท


ถ้า 90 วันหรือ 3 เดือน จะสูญเงินเท่ากับ 45,000 บาท เลยทีเดียว เท่ากับซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ได้ถึง 1 คัน


แถมการลด ละ เลิก 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา ยังทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุต่างๆ รวมทั้งการทะเลาะวิวาท อีกด้วย


สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุราในปัจจุบัน ได้ลงไปถึงเด็กและเยาวชนจำนวนมาก จากงานวิจัยเรื่อง “ สุรากับพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน กรณีศึกษาในชุมชน จ.พะเยา ” ของ นางนันทนา ศิริสมบัติ พบว่า ปริมาณจำหน่ายสุราปี 2550 จำนวน 7.9 แสนลิตร จำหน่ายเบียร์ 5,326 ล้านลิตร สำหรับจังหวัดพะเยาได้ทำการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กพะเยา จากกลุ่มตัวอย่าง 3,240 ราย พบเด็กหญิงและเด็กชาย มีอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก มีความรุนแรงเกือบทุกพื้นที่ โดยเริ่มดื่มสุราครั้งแรกอายุประมาณ 13 ปี จากการเลียนแบบพ่อแม่ คนใกล้ตัว ส่วนเด็กหญิงเริ่มดื่มตามเพื่อนในงานวันเกิด


สำหรับพฤติกรรมการดื่มสุราในเยาวชนที่พบมี 3 รูปแบบ คือ 1.การดื่มสุราในโอกาสเทศกาลต่างๆ รวมทั้งเมื่อได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ก็จะหมุนเวียนเลี้ยงกัน และจะเลี้ยงใหญ่หากหลายคนใน


กลุ่มได้เงินมาพร้อมกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งศึกษาการใช้เงินของเด็ก 2. กลุ่มเด็ก ม.ต้นและม.ปลาย ที่ดื่ม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยเด็กยอมอดอาหารหรือหลอกพ่อแม่ว่าขอเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน แต่นำเงินมาลงขันตั้งวงดื่มกัน และ กลุ่ม 3. ม.ต้น ที่เป็นเด็กเกเร หนีเรียน ก่อคดี ลักขโมย ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม โดยจะดื่มสุราเกือบทุกวัน หรือ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ เกือบ 20 วันใน 1 เดือน ซึ่งนับเป็นกลุ่มติดสุราแล้ว


นางนันทนา ศิริสมบัติ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพะเยา กล่าวว่า การป้องกันคือพ่อแม่ ต้องช่วยอบรมดูแลชี้ให้เห็นถึงโทษการดื่มสุรา สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธ ส่วนสถานศึกษา ครูต้องใช้จิตวิทยาวัยรุ่นเข้าไปปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ (อ้างอิง หนังสือพิมพ์ไทยรํฐ 18 กค.51)


สำหรับ คุณนันทนา ศิริสมบัติ กระผมรู้จักเป็นการส่วนตัว สำหรับการวิจัยเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์มากครับ ทำให้เราได้รู้เห็นสภาพของสังคมพะเยา และกระผมคิดว่าในจังหวัดอื่นๆ ถ้ามีการวิจัยลักษณะดังกล่าว ผลที่ออกมาก็คงใกล้เคียงกัน


สำหรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา สมัยก่อนไม่มีครับ พึ่งมามีไม่กี่ปี ข้อดีของเงินกู้เพื่อการศึกษาก็คือ ทำให้เด็กที่ต้องการศึกษาต่อมีโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ผลเสียก็อย่างที่มีคนกล่าวถึงก็คือ เด็กบางคนนำเงินไปซื้อ เหล้า เที่ยว ซื้อมือถือ ผ่อนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ


และรัฐบาลปัจจุบันก็มีแนวคิดจะขยายเพดานรายได้ครอบครัวของผู้มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ.เป็น 2.5 แสนบาทต่อปี จากเดิม 2 แสนบาทต่อปี ในด้านหนึ่งกระผมคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐบาลต้องมีภาระเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกู้ กยศ.ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ปีเดียว


ท้ายนี้ ก็ต้องขอฝากเด็กที่มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ. เมื่อมีโอกาสก็ต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุดไม่ควรนำเงินไปใช้ นอกวัตถุประสงค์ของผู้ให้กู้







...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.