หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  
  -  
  -  
  -  
  -  บัญญัติ 7 ประการ ทะยานสู่นักพูด
  -  การเตรียมการพูด
  -  วิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  องค์ประกอบของการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  การพูดแบบผู้นำ
  -  การพูดจูงใจคน
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ควรพูดให้ได้ทั้งสาระและความบันเทิง
  -  ทำไมการพูดถึงล้มเหลว
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  เทคนิคการเป็นพิธีกร
  -  การพูดในชีวิตประจำวัน
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างวาทะสำหรับนักพูด
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  การพูดเพื่อนำเสนอ
  -  วิทยากรสมัยใหม่
  -  จะพูดให้ได้ดีต้องมีเครื่องปรุง
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การสร้างอารมณ์ขันในการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  การสร้างพลังสามัคคี
  -  กิริยาท่าทางในการพูด
  -  ศิลปะการพูดในที่ประชุม
  -  การฝึกซ้อมการพูด
  -  วัตถุดิบสำหรับการพูด
  -  การพูดอย่างมีตรรกะ
  -  การพูดเชิงบวก
  -  วิธีการพูดชนะใจคน
  -  การเตรียมความพร้อมในการพูด
  -  พูดเหมือนผู้นำ
  -  การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
  -  บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
  -  เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
  -  การอ้างวาทะคนดังในการพูด
  -  ก้าวสู่นักพูดมืออาชีพ
  -  จังหวะในการพูด
  -  การเลือกวิทยากร
  -  พูดอย่างไรให้ขายได้
  -  เห็นไมค์แล้วไข้ขึ้น
  -  วิธีฝึกพูดของ เดล คาร์เนกี
  -  ศิลปะการโต้วาที
  -  คุณธรรมนักพูด
  -  เทคนิคการพูดของ บารัค โอบามา
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  สอนอย่างไรให้ง่ายและสนุก
  -  การสื่อสารสำหรรับข้าราชการ
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
วัตถุดิบสำหรับการพูด
วัตถุดิบสำหรับการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ข้อมูลวัตถุดิบที่ใช้สำหรับการพูดมีความสำคัญมาก ต่อการเป็นนักพูดหรือผู้ที่ต้องการพูดให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งข้อมูลวัตถุดิบที่ใช้ประกอบการพูดได้แก่ ตัวเลขสถิติ นิทาน เรื่องจริง เรื่องตลกๆ ตัวอย่าง คำกลอน คำคม ทฤษฏี สุภาษิต หลักการฯลฯ
การมีข้อมูลมากๆ จะทำให้เราสามารถเลือกใช้คำพูดข้อมูลวัตถุดิบ ให้ตรงกับหัวข้อเรื่องและกลุ่มผู้ฟังได้อย่างเหมาะสม อีกทั้ง ถ้าหากผู้ใดสะสมข้อมูลวัตถุดิบในการพูดเป็นจำนวนมาก ก็มักจะไม่ต้องไปเสียเวลาในการค้นหาข้อมูล ถ้าหากมีคนเชิญไปพูดในหัวข้อที่เรามีข้อมูลอยู่ เราก็สามารถพูดได้โดยใช้เวลาเตรียมตัวน้อยลง
หากท่านต้องการเป็นนักพูดหรือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการพูด ท่านจึงต้องเป็นนักอ่านและนักฟัง อ่านและฟัง เพื่อที่จะจดบันทึก หากพบเห็นเนื้อหาที่ดีๆ ท่านก็สามารถตัดเก็บเนื้อหาต่างๆได้จากหนังสือพิมพ์ วารสารหรือถ่ายเอกสาร เพื่อสะสมเป็นคลังข้อมูลของท่านได้
การพูดไปเรื่อยๆ กับการพูดโดยมีการเตรียมตัวจากวัตถุดิบที่มี ผู้ฟังหลายคนจะรู้ เพราะการพูดไปเรื่อยๆ กับการพูดโดยมีการอ้างอิงข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นพูดจนจบการพูด จะทำให้เห็นความแตกต่างกันทั้งเรื่องของความน่าเชื่อถือ สาระ ความเพลิดเพลินในการชวนให้ติดตามฟัง ฯลฯ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นกระผมขอยกตัวอย่างของการสะสมข้อมูลวัตถุดิบโดยมีการแบ่งเป็นประเภทต่างๆได้ดังนี้
1.คำคม เช่น คำคมเกี่ยวกับการพูด , คำคมเกี่ยวกับความรัก , คำคมเกี่ยวกับชีวิต , คำคมเกี่ยวกับความกล้า เป็นต้น
2.คำกลอน เช่น คำกลอนเกี่ยวกับพระคุณของพ่อแม่ , คำกลอนเกี่ยวกับการสอนทางศาสนา , คำกลอนเกี่ยวการท่องเที่ยว , คำกลอนสอนใจ เป็นต้น
3.นิทาน เช่น นิทานของศาสนาต่างๆ , นิทานเกี่ยวกับงานขาย , นิทานที่ให้แง่คิดเกี่ยวกับความสำเร็จ , นิทานตลกๆ เป็นต้น
4.ตัวเลข สถิติ เช่น ตัวเลขของประชากรในปัจจุบัน , ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ , ตัวเลขเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เป็นต้น
5.ทฤษฏี เช่น ทฤษฏีทางการตลาด , ทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ , ทฤษฏีที่เกิดขึ้นใหม่ๆในปัจจุบัน เป็นต้น
6.เรื่องจริง เช่น ประวัติของบุคคลสำคัญๆหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในหลายๆวงการ วงการธุรกิจ วงการศาสนา วงการการเมือง วงการวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
7.เรื่องตลกหรือมุขตลก เช่น มุขตลกที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ การพูด , การขาย , การทำงาน , การสื่อสาร, การคิด เป็นต้น
8.เพลงต่างๆ นักพูดอาจจะไม่ต้องร้องเพลงจนจบหรือร้องเพลงเก่ง แต่นักพูดท่านใด สามารถนำเอาเนื้อหาของเพลงที่มีความหมายและถูกใจมาประกอบการพูดก็จะทำให้การพูดน่าฟังและคนชื่นชอบมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น เพลงละคร , เพลงสมัยปัจจุบัน , เพลงที่ดังๆในอดีต , เพลงสากล เป็นต้น
ดังจะสังเกตได้ว่า ข้อมูลวัตถุดิบในโลกนี้มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ก็สามารถเลือกใช้ได้ จึงอาจสรุปได้ว่า นักพูดท่านใดมีข้อมูลวัตถุดิบที่สะสมไว้มากๆ ก็จะทำให้เป็นการง่ายและสะดวกในการเลือกใช้ และถ้าหากนักพูดท่านใดสามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้อง ตามสถานการณ์ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับ สถานที่ วัยของผู้ฟัง จำนวนของผู้ฟัง อาชีพของผู้ฟัง ก็จะยิ่งทำให้การพูดนั้นประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
...
  
การพูดอย่างมีตรรกะ
การนำเสนออย่างมีตรรกะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การนำเสนออย่างมีตรรกะ เป็นการสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งทำให้ผู้รับการฟังหรืออ่าน เกิดความเข้าใจ เกิดความศรัทธา เกิดความเชื่อถือในตัวของผู้พูดหรือผู้เขียน การนำเสนออย่างมีตรรกะจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรที่จะศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนกัน
สำหรับกระบวนการสื่อสารอย่างมีตรรกะ เราควรคำนึงถึง เรื่องของ 1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอ 2.วิธีการนำเสนอ 3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร 4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ
1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอเป็นสิ่งที่ผู้นำเสนอจะต้องมีความเข้าใจว่าสิ่งที่นำเสนอในครั้งนั้น เราต้องการอะไร เช่น เราต้องการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของความบันเทิง , เราต้องการการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของการจูงใจหรือเราต้องการสื่อสารเพื่อให้ข้อมูล ให้ความรู้ ในการนำเสนอในครั้งนั้นๆ
2.วิธีการนำเสนอ เมื่อเราทราบวัตถุประสงค์แล้ว สำหรับการพูด การเขียน เราจำเป็นจะต้องหาวิธีการเพื่อที่จะทำให้การนำเสนอของเราเกิดความน่าสนใจ เช่น หากเป็นการนำเสนอเพื่อให้ความรู้ในห้องฝึกอบรม เราก็ควรที่จะมีวิธีการนำเสนอที่หลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย มีกิจกรรม มีเกมส์ สลับสับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานในห้องประชุม หรือ หากเป็นการนำเสนอด้วยการเขียน หากวัตถุประสงค์ในการเขียนในครั้งนั้นๆ เป็นการเขียนเพื่อความบันเทิง เช่นการเขียน นิยาย เราก็ควรมีการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการเขียนในงานวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ เป็นต้น
3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร มีความสำคัญมากต่อการสื่อสารเกือบทุกประเภท เพราะหากว่าเรานำเสนอได้ดีขนาดไหน แต่ผู้ฟัง ผู้อ่าน ไม่ชอบเรา มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเราแล้ว ผลที่ออกมาจากการประเมินก็มักจะไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้นเราจึงไม่แปลกใจที่เราเห็นนักนำเสนอในยุคปัจจุบัน มักมีการสร้างแฟนคลับ ผ่านสื่อต่างๆ เช่น Facebook , การจัดรายการทางโทรทัศน์ , การจัดรายการผ่านวิทยุ , การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ ในการนำเสนอทุกแห่ง มักมีเรื่องของการกำหนดเวลาพูดให้แก่ผู้พูดหรือพื้นที่สื่อให้แก่ผู้เขียน ดังนั้น เราควรนำเสนอหรือทำการบ้าน ว่าจะทำเสนอให้สั้น ยาว ย่อ ขยาย ในส่วนใดบ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องของเงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อที่มีอย่างจำกัด
Why Why Why (ทำไม ทำไม ทำไม) เป็นคำถามที่นักนำเสนออย่างมีตรรกะ ควรใช้เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามและตอบคำถาม เพื่อการตั้งคำถาม ทำไม จะทำให้เราทราบถึง สาเหตุ ของปัญหา ยิ่งเราถามคำถามว่า ทำไม ซ้ำไปซ้ำมา หลายๆ เที่ยว ก็จะทำให้เราทราบต้นตอที่มีความลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น
เมื่อมีปัญหาในหน่วยงานหรือองค์กร ท่านลองตั้งคำถามว่า “ ทำไม” ดูซิครับแล้วที่จะพบคำตอบในการแก้ไขปัญหา และถ้าจะให้ดีท่านควรที่จะมีการสื่อสารโดยการพูดคุยกันต่อหน้า ซึ่งจะดีกว่าการนำเสนอโดยผ่านการรับโทรศัพท์ การส่งอีเมล์ การส่งแฟกซ์ เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง บริษัทโตโยต้า ได้นำ 5 Why คือวิธีวิเคราะห์การทำงานมาใช้ในการทำงาน ซึ่งมีการถาม Why (ทำไม) ซ้ำไปซ้ำมาถึง 5 ครั้ง ทำให้เกิดกระบวนการปรับปรุงงานได้ดียิ่งขึ้น
ศาสนาพุทธ โดยพระศาสดา พระพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างที่ดีในการนำเสนอแบบตรรกะ ซึ่งเป็นการสอนแบบมีเหตุมีผล ซึ่งก่อนที่ศาสนาพุทธเกิด ก็ได้มี ศาสนา ความเชื่ออื่นๆ เกิดขึ้นมาก่อนมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมกว้างขวางก็เพราะการสอนโดยการขาดความมีตรรกะหรือขาดความมีเหตุผล บางศาสนา บางความเชื่อ ก็สูญหายไปจากโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 2556 ปี
อัลเบิร์ต ไอสไตล์ นักวิทยาศาสตร์เอกระดับโลก บุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะได้กล่าวก่อนเสียชีวิตว่า หากให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เขาจะเลือกนับถือ ศาสนาพุทธ เขาได้ให้เหตุผลว่า เพราะศาสนาพุทธ สอนอย่างมีเหตุมีผล นั่นเอง
...
  
การพูดเชิงบวก
การพูดเชิงบวก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การพูดเชิงบวกมีความสำคัญพอๆกับการคิดเชิงบวก เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่คิดบวกมากกว่าเป็นคนที่คิดลบ และ คนที่ประสบความสำเร็จมักพูดเชิงบวกหรือพูดในแง่ดี มากกว่า การพูดลบหรือพูดในแง่ร้าย
โดยปกติแล้ว คนที่ชอบพูดเชิงบวก มักเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเคารพตนเอง มีความยืดหยุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับคนชอบพูดเชิงลบ มักเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ขาดความเคารพนับถือตนเอง และขาดความยืดหยุ่น
สำหรับคนที่ต้องการเป็นคนพูดบวก ควรหัดเป็นคนคิดบวกด้วย เนื่องจากความคิดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ อีกทั้งความคิดเป็นตัวการกำหนดการกระทำ รวมทั้งคำพูดด้วย ดังนั้น หากท่านต้องการพูดเชิงบวก ท่านจึงต้องพยายามพัฒนาความคิดให้เป็นไปในเชิงบวกด้วย
ความคิดเชิงลบและการพูดเชิงลบที่มักพบเห็นกันบ่อยๆ ได้แก่
1.การคิดแบบสุดโต่ง กล่าวคือ เป็นความคิดที่ ไม่ยืดหยุ่น มักมองอะไรเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็มองเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นหากดีก็ต้องดีสมบูรณ์แบบ(100 เปอร์เซ็นต์) หากไม่ดีก็ล้มเหลว(0 เปอร์เซ็นต์) เช่นความคิดลบหรือคำพูดเชิงลบ ก็จะออกมาในลักษณะ ฉันล้มเหลว ฉันสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ฉันโง่เอง ฉันมันไม่ดี เป็นต้น
2.การคิดแบบคิดไปก่อน การคิดแบบนี้ มักคิดว่า อะไรที่มันร้ายๆที่เคยเกิดขึ้นแล้ว มักเกิดขึ้นอีก คำพูดเชิงลบของคนที่คิดแบบนี้ ก็มักจะเป็นคำพูดที่ว่า “ ฉันทำน้ำหกแต่เช้า วันนี้คงต้องซวยกันทั้งวัน ” หรือ “ รถเสียแต่เช้า วันนี้คงต้องมีเรื่องร้ายเข้ามาแน่นอน”
3.การคิดแบบชอบโทษตัวเอง การคิดแบบนี้ มักจะเอาตัวเองไปเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆซึ่งบางอย่างอาจจะเกี่ยวข้องกับตัวเองหรือบางเรื่องอาจไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วคิดมากจนเกินไปจนตนเองเกิดความรู้สึกต้องรับผิดชอบ ทำให้เกิดความละอาย ความสิ้นหวัง ท้อแท้ คนที่คิดแบบนี้มักใช้คำพูดที่ว่า “ ฉันมันไม่ดีจริงๆ เขาถึงทอดทิ้งฉันไป” หรือ “ถ้าฉันเรียนคณะอื่น มหาวิทยาลัยอื่น ฉันคงไม่เสียใจหรือซวยขนาดนี้”
สำหรับเทคนิคในการสร้างตนเองให้มีคำพูดเชิงบวก ได้แก่
1.มีความเชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งต้อง คิดดี ทำดี แล้วคำพูดก็มักจะออกมาในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ พูดดีหรือพูดเชิงบวกด้วย
2.แปลงขยะเป็นทองคำ กล่าวคือ นำสิ่งที่ร้ายหรือไม่ก่อประโยชน์ ให้กลับกลายเป็นดี เช่น เมื่อเจองานหนักๆ หรือถูกเจ้านายกลั่นแกล้ง ก็ขอให้คิดเสียใหม่ว่า นี่คือบททดสอบว่าเราเป็น “มืออาชีพหรือไม่” หรือ สิ่งเหล่านี้จะฝึกให้เราเป็นมืออาชีพในอนาคต
3.หมั่นให้กำลังใจตนเอง ด้วยการฝึก พูดบวกกับตนเอง ให้บวกยิ่งขึ้น มีนักวิจัยเคยวิจัยว่า อะไรก็ตาม หากว่า เราทำซ้ำๆกันให้ได้ 21 วัน วันที่ 22 เราก็มักจะมีนิสัยดังกล่าว เช่น หากเราหมั่นพูดเชิงบวกกับตัวเอง บ่อยๆ เราก็จะเกิดเป็นนิสัยขึ้นมาได้ เช่น ฉันมีพลัง ฉันมีความเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันสุดยอด ฉันสุขภาพดี ฉันยอดเยี่ยม ฉันวิเศษสุดๆ เป็นต้น
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้เป็นคนพูดเชิงบวก ท่านควรฝึกความคิดบวกและการกระทำที่บวกไปด้วย เนื่องจากมันมีความสัมพันธ์กัน อีกอย่างสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านควรฝึกฝนด้วยความมุ่งมั่น จนเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวท่าน ขอให้ทุกท่าน ประสบความสำเร็จดังที่ใจปรารถนาทุกประการ
...
  
วิธีการพูดชนะใจคน
วิธีพูดให้ชนะใจคน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ , อับราฮัม ลินคอล์ค , มุสโสลินี, ธีโอโดร์ โรสเวลต์ , จอห์น เอฟ.เคเนดี(JFK),เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลส์ , สตีฟ จอบส์ , นายควง อภัยวงศ์ , จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ บุคคลเหล่านี้เป็นตัวอย่างได้อย่างดีในเรื่องของการพูดชนะใจคน เพราะบุคคลเหล่านี้ สามารถพูดเอาชนะใจคนภายในประเทศหรือบางคนสามารถพูดเอาชนะใจคนทั่วโลกได้
บุคคลที่จะสามารถพูดเอาชนะใจคนได้ บุคคลนั้นต้องมีองค์ประกอบอยู่หลายอย่าง เช่น
1.มีความเชื่อมั่นในตนเอง บุคคลหลายคนอาจมีความรู้สูง มีพรสวรรค์ มีฐานะชาติกำเนิดที่ดี แต่บุคคลนั้นหากขาดซึ่งความเชื่อมั่น เขาไม่สามารถพูดเอาชนะใจใครได้เลย เพราะการที่จะให้ผู้ฟังเชื่อมั่นในตัวเรา ตัวเราจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเองเสียก่อน ซึ่งการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูด เราคงต้องอาศัยเรื่องของการเตรียมตัว (เตรียมเนื้อหา เตรียมการพูด เตรียมตัวอย่าง เตรียมข้อมูลหลักฐาน มีการวิเคราะห์ผู้ฟัง มีการฝึกซ้อม ฝึกฝนการพูดอยู่เสมอ มีการอ่าน การฟัง ศึกษาหาความรู้อยู่เป็นนิจ )
2.มีจินตนาการ บุคคลที่จะสามารถพูดให้ชนะใจคนได้ บุคคลนั้นมักจะต้องมีจินตนาการ สมัยมุสโสลินี มีชีวิตอยู่ มีคนเคยเห็นมุสโสลินีเอามือเกาะหน้าต่าง แล้วมองท้องฟ้าสีครามอยู่เป็นเวลานานๆ หรือ สมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ยังมีชีวิตอยู่ มีคนเคยเห็นเขาชอบเหม่อมองทิวทัศน์ธรรมชาติ เป็นเวลานานๆ ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เขากำลังสร้างจินตนาการในทางการพูดของเขาต่อคนภายในประเทศ จินตนาการจึงเป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักบรรยาย นักพูด วิทยากร นักโต้วาที นักอบรมสัมมนา นักจัดรายการ ฯลฯ หากขาดซึ่งจินตนาการเสียแล้ว ท่านมักไปไม่ได้ไกล
3.มีความตั้งใจอย่างแรงกล้า บุคคลที่อยากจะเป็นนักพูดที่ชนะใจคน บุคคลนั้นจะต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าเสียก่อน เขาจะต้องมีความทะเยอทะยาน เขาจะต้องมีความมุ่งมั่น จิตใจจะต้องจดจ่ออยู่กับการพูด อีกทั้งเขาได้เห็นความสำคัญของการพูดของเขาในแต่ละครั้ง เขาจึงพัฒนาอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง
4.มีศิลปะ อันที่จริงแล้ว การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ แต่บุคคลที่พูดเก่งมักจะมีการใช้ศิลปะที่เหนือชั้นกว่าบุคคลอื่นๆ ศาสตร์ท่านสามารถหาอ่านได้จาก ตำรา หนังสือ ฟังเทป ฟังวิชาการต่างๆ หรือเข้าไปอบรมเพื่อเอาความรู้ แต่ศิลปะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างกันระหว่างผู้ที่เป็นนักพูดในแต่ละบุคคล
5.มีความเป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะในที่นี้หมายถึง บุคคลนั้นจะต้องมีความกระหายอยากรู้เรื่องราวต่างๆที่สามารถนำไปพูดได้อย่างแรงกล้า อีกทั้งต้องทำการศึกษาเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง และมีคุณลักษณะความทรงจำที่สูง มีสมาธิสูง มีความกล้าหาญในการแสดงการพูด
6.มีการ ฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน บุคคลนั้นจะต้องมีการฝึกฝนตนเองอยู่เป็นนิจ หาเวทีในการแสดงการพูดให้แก่ตนเอง หากไม่มีเวที ก็ต้องมีการฝึกฝนด้วยตนเอง บุคคลที่เป็นนักพูดชนะใจระดับโลก มีการฝึกฝนการพูดด้วยตนเองตามชายหาดทะเลบ้าง ฝึกฝนการพูดด้วยตนเองระหว่างเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ บ้าง
ดังนั้น ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ของการพูดให้ชนะใจคน ซึ่งบุคคลใดต้องการพูดให้ชนะใจจึงต้องนำหลักการข้างต้นไปใช้และนำไปฝึกปฏิบัติ ก็จะทำให้ท่านประสบความสำเร็จในการเป็นนักพูดที่ชนะใจคน
...
  
การเตรียมความพร้อมในการพูด
การเตรียมความพร้อมในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเตรียมความพร้อมในการพูดมีความสำคัญมากต่อการเป็นนักพูด ครั้งหนึ่งเคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์โดยถาม ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า ท่านใช้เวลาในการเตรียมการพูดแต่ละครั้งนานเท่าไร ท่านอดีต นายกรัฐมนตรีนักพูดท่านนี้ตอบกลับว่า ท่านใช้เวลาในการเตรียมการพูดทั้งชีวิต
นี่เป็นคำพูดที่แสดงออกถึงการเตรียมการพูดว่ามีความสำคัญปานใด เนื่องจากท่านเป็นบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียง จึงมีหลายองค์กร ต้องการเชิญท่านให้ไปพูดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นเรื่องใด ท่านจึงใช้เวลาเตรียมการพูดโดยการอ่านหนังสือต่างๆให้มากที่สุด ท่านเตรียมการพูดโดยการเขียนบทความลงในสื่อต่างๆ ท่านเตรียมการพูดโดยการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ จึงทำให้ท่านเป็นนักพูดที่สามารถพูดเรื่องต่างๆได้อย่างมากมาย
เคยมีคนจำนวนมากได้สอบถามผมว่า หากยังไม่มีใครเชิญให้ไปพูดแล้วเราจะเตรียมการพูดไปทำไม คำตอบก็คือ พวกเราเคยเห็นนักมวยไหม กว่าจะได้ขึ้นชกจริงๆในรายการต่างๆ เขาต้องซ้อมอย่างหนัก สำหรับวิธีการซ้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคล
ส่วนตัวกระผมแล้ว ผมมักจะเตรียมความพร้อมในการพูดอยู่เสมอ ตลอดเวลา ผมจะเตรียมตัวโดยการอ่านมากๆ ฟังมากๆ เขียนบทความมากๆ อีกทั้งหากไม่มีใครเชิญให้ไปพูดหรือว่างเว้นการพูดเป็นเวลานานๆ ผมจะซ้อมการพูดคนเดียว เช่น ระหว่างเดินทางไปทำกิจกรรมต่างๆ โดยเดินไปตัดผม เดินไปร้านอาหาร เดินไปห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ผมจะซ้อมพูดคนเดียว โดยหาหัวข้อต่างๆ แต่จะซ้อมพูด ในช่วงที่มีคนไม่มากนะครับ หากมีคนมากๆเดินผ่านก็จะหยุด และเมื่อไม่มีคนก็จะพูดต่อ หรือในระหว่างปั่นรถจักรยานเพื่อออกกำลังกายก็จะซ้อมพูดเบาๆ ไปด้วย
ฉะนั้น เมื่อเราซ้อมพูดบ่อยๆ ก็จะทำให้เราไม่ต้องไปคิดมากเมื่อเวลาเราพูดจริง อีกทั้งยังทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง การซ้อมจะช่วยลดความวิตกกังวล การซ้อมจะช่วยให้การปรับแต่งเนื้อหาในการพูดให้ดีขึ้น แต่สำหรับบางคนยังไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรในระยะซ้อมการพูด ก็ควรหาโน้ตย่อ โดยการเขียนข้อความย่อๆว่าจะพูดอะไร เนื้อหาเป็นอย่างไร ก็จะทำให้การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างง่ายดายขึ้น
อีกทั้ง การเตรียมความพร้อมในการพูด เราควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับ ข้อมูล เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ เวลาในการไปพูดจริงๆ เป็นต้น
- ข้อมูล เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากว่านักพูดท่านใด สะสมข้อมูลมากๆ ก็จะทำให้เขาง่ายต่อการเตรียม
การพูด โดยไม่ต้องไปแสวงหาหรือเสียเวลาหาข้อมูล เพื่อที่จะนำมาใช้ในการพูด เช่น นักพูดบางคนอาจมีห้องสมุดส่วนตัว , นักพูดบางคนอาจซื้อ VCD MP3 เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆไว้ เพื่อนำไปใช้ในการอ้างอิงการพูดในอนาคต
- เครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ยุคนี้เทคโนโลยี มีความทันสมัย หากว่านักพูดท่านใดสามารถเรียนรู้ เทคโนโลยี
แล้วนำมาประยุกต์ใช้ ก็จะทำให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว กว่า คนที่ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี เช่น การค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยทำงาน การนำไมโครโฟนสมัยใหม่มาใช้ การใช้โทรศัพท์ที่ทันสมัยมาช่วยทำงาน ฯลฯ
- เวลาในการไปพูดจริงๆ หากว่าเขากำหนดให้ไปพูด 3 ชั่วโมง เราก็ควรเตรียมข้อมูลไปซัก 4
ชั่วโมง เพราะหากว่าไม่มีเวลาหรือเวลาหมด เราก็สามารถตัดเนื้อหาบางตอนที่ไม่สำคัญทิ้ง แต่ไม่ควรเตรียมไปน้อยกว่า เช่น เขาให้พูด 3 ชั่วโมง แต่เตรียมไปพูดแค่ 1 ชั่วโมง ทำให้เวลาขึ้นพูดจริงๆ เราจะไม่มีเนื้อหาหรือข้อมูลในการพูด
บทสรุป การเตรียมความพร้อมในการพูด มีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อการพูดในแต่ละครั้ง นักพูดที่ประสบความสำเร็จมักจะให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในการพูดมาก ตรงกันข้ามนักพูดมือสมัครเล่น หลายๆคนไม่ให้ความสำคัญ เขาจึงเป็นได้แค่คนพูดธรรมดาๆเท่านั้น

...
  
พูดเหมือนผู้นำ
พูดเหมือนผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บทความนี้ ผมอยากเขียนเกี่ยวกับการพูดของผู้นำระดับโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่สาธารณะชนหรือการพูดต่อหน้าที่ชุมชน ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำมักจะต้องใช้การพูดเพื่อจูงใจให้คนจำนวนมากคล้อยตาม
เช่น JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี , อับราฮัม ลินคอล์น , บารัก โอบามา ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา หรือ Tony Blair (โทนี่ แบลร์) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ หรือ - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะบุคคลระดับโลก
หากเรานำเอาคำพูดของบุคคลเหล่านี้มาวิเคราะห์ดูเราจะพบว่า พวกเขามีเทคนิคในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนและใช้เทคนิคต่างๆดังนี้
1. มี 3 คำมหัศจรรย์ หรือ มี 3 ประโยคมหัศจรรย์ เช่น
- อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐได้กล่าวในการไว้อาลัยแก่ผู้สูญเสียชีวิตในสงครามกลางเมือง ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ” หรือ “ คุณอาจจะหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา คุณอาจจะหลอกคนบางคนได้ตลอดเวลา แต่คุณไม่สามารถหลอกคนทุกคนตลอดเวลาได้”
- อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก “ Learn from yesterday, live for today, hope for tomorrow.” “เรียนรู้จากวันวาน ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ มีความหวังกับวันพรุ่งนี้”
2. มีการสอดใส่อารมณ์ต่างๆลงไปในน้ำเสียง เราจะเห็นว่า สุนทรพจน์ของผู้นำระดับโลกมีชีวิตชีวา เพราะเขาสอดใส่อารมณ์ ความรู้สึก ลงไปในน้ำเสียง จึงทำให้ผู้ฟังเกิดความกระตือรือร้น อยากฟัง อีกทั้งมีความซาบซึ้งกินใจ ในเวลาฟังอีกด้วย
3. มีการใช้ วรรคทอง ซึ่งการใช้วรรคทองทำให้ผู้ฟังเกิดการจดจำ
- JFK หรือ จอห์น เอฟ. เคนเนดี กล่าววรรคทองในวันรับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ โปรดอย่าถามว่าประเทศชาติของท่านจะทำอะไรให้กับท่านได้บ้าง แต่จงถามว่า ท่านจะทำอะไรให้แก่ประเทศชาติของท่าน ”
- นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของอินเดีย “ถ้าท่านมีเงินหนึ่งรูปี และฉันมีเงินหนึ่งรูปี แล้วนำเงินนั้นมาแลกกัน ก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าคุณมีความเห็นหนึ่งความคิดเห็น ฉันมีหนึ่งความคิดเห็นและนำมาแลกกัน เราจะได้ความคิดเห็นเพิ่มเป็นสองความคิดเห็น”
4.มีการใช้คำอุปมาอุปไมย หรือคำเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นคำที่สั้น กะทัดรัด ซึ่งนิยมพูดกันในชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นคำพูดในเชิงต่อว่าหรือเปรียบเปรย (ทั้งในทางดีและทางร้ายก็ได้) โดยผู้นำจะพูดโดยยกเอาเหตุการณ์หรือสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นมาเทียบเคียง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพไปตามนั้น มักจะมีคำเชื่อมว่า “ เป็น , เหมือน , เท่า, ราวกับ ” เป็นคำที่ใช้เชื่อมประโยค
5.มีการยกตัวอย่าง ผู้นำที่พูดเก่งมักจะใช้ตัวอย่างประกอบเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งตัวอย่างนั้นจะต้องสอดคล้องกับเรื่องที่พูด อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ผู้นำหลายคนมักใช้ตัวอย่างของตนเองหรือประสบการณ์ของตนเองเป็นตัวอย่าง เช่น ตนพบกับความยากลำบากมากก่อน ตนจึงเข้าใจและเห็นใจ บุคคลที่ยากลำบาก หรือ ตนได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาและเกิดการสูญเสียเพื่อนฝูง ญาตพี่น้อง ตนจึงเข้าใจเรื่องของการสูญเสียและการต่อสู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ที่เป็นผู้นำ หรือ ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรนำเอาเทคนิคทั้ง 5 ข้อข้างต้น ไปใช้หรือไปประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการพูดของท่านให้เหมือนกับผู้นำ เมื่อท่านพัฒนาการพูดโดยใช้เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้โดยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง กระผมเชื่อว่า การพูดของท่านจะเหมือนกับผู้นำระดับโลก และท่านจะเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการพูดแบบผู้นำ
...
  
การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
การสื่อสารโดยการพูด...ภายในองค์กร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เรื่องของการสื่อสารภายในองค์กร....การพูดนับว่าเป็นการสื่อสารภายในองค์กรอย่างหนึ่ง ซึ่งเราต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ความสามัคคีกัน การพูดมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น
ซึ่งรูปแบบการพูดที่มักใช้กันภายในองค์กรต่างๆ มีดังนี้
1.การประชุม
2.การสัมภาษณ์
3.การออกคำสั่ง
4.การสนทนากัน
5.การพูดทางโทรศัพท์
6.การนำเสนอรายงาน การมอบหมายงาน
1.การประชุม การทำงานภายในองค์กร มักจะต้องมีการประชุมร่วมกัน เพราะการประชุมมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ , ทำให้มีการทำงานเป็นทีมมากขึ้น , การหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน , การรับทราบข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ฯลฯ
ลักษณะของการประชุมที่ดี
1.1.ประธานในที่ประชุมควรวางตัวให้เป็นกลาง จับประเด็นได้ดี แก้ไขปัญหาในที่ประชุมโดยไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของผู้เข้าร่วมประชุม
1.2.มีการคัดเลือกบุคคลที่เข้าร่วมประชุม การประชุมหลายแห่ง มักมีผู้เข้าร่วมประชุมเยอะมาก แต่ผู้เข้าร่วมประชุม โดยมากมักไม่ได้มีหน้าที่ ภาระงาน ที่เกี่ยวข้องกับกับการประชุมเลย จึงทำให้ประสิทธิภาพของการประชุมลดลง ฉะนั้น การคัดเลือกบุคคลเข้าร่วมประชุมจึงมีความสำคัญ เพราะทำให้ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นอันมาก
1.3.ระยะเวลาในการประชุม ไม่ควรนานจนเกินไป ควรกำหนดจำนวนครั้งและความถี่
1.4.ห้องประชุม อุปกรณ์การสื่อสารในห้องประชุม ห้องประชุมก็ไม่ควรใหญ่หรือเล็กเกินไป ควรพิจารณาให้เหมาะสมระหว่างขนาดของห้องกับจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม
1.5.ห้วข้อ วาระการประชุม ควรเตรียมมาให้พร้อม เพราะหากไม่ได้เตรียมวาระการประชุม การประชุมก็จะวกไปเวียนมา ย้อนไปย้อนมา ทำให้เสียเวลาเป็นอันมาก
สำหรับการพูดในที่ประชุม ประธานควรกล่าวเปิด ปิดการประชุม , ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้ร่วมประชุมแสดงความคิดเห็น , สรุปประเด็น สรุปผลต่างๆ ได้ ฯลฯ
การประชุมหลายแห่ง ใช้เวลามาก บรรยากาศในการประชุมเกิดปัญหา จึงเป็นข้อควรระวังสำหรับตัวประธานในการที่จะต้องแก้ไขปัญหา เช่น มีการขัดจังหวะกัน , มีการด่าทอกัน , มีการเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนประเด็น , มีการพูดจาหัวเราะเยาะกัน เป็นต้น
2.การสัมภาษณ์ เป็นการพูดอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น การสัมภาษณ์ในการจ้างงาน , การสัมภาษณ์ในการแก้ไขปัญหา , การสัมภาษณ์ในการออกจากงาน , การสัมภาษณ์ในการประเมินผลงาน เป็นต้น สำหรับ การสัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ วารสาร ฯลฯ เป็นการสื่อสารโดยการพูดภายนอกองค์กร
3.การออกคำสั่ง เป็นการพูดระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ในการสั่งงาน ซึ่งบางกรณีก็เกิดการผิดพลาดได้ ฉะนั้น เมื่อออกคำสั่งไปแล้ว ก็ควรให้ผู้รับคำสั่งพูดทวน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ปัญหาในการสื่อสารก็จะลดน้อยลง
4.การสนทนากัน เป็นการพูดคุยกันในงานและอาจจะไม่เกี่ยวกับงานที่ตนเองทำ เป็นการพูดอย่างไม่เป็นทางการ อีกทั้งเป็นไปโดยธรรมชาติ
5.การพูดทางโทรศัพท์ เราอาจพูดสั่งงานหรือติดตามงานภายในองค์กรหรือพูดคุยกัน ผ่านทางโทรศัพท์ได้ เนื่องจากองค์กรใหญ่ๆหลายแห่ง มีพื้นที่กว้าง มีตึกที่อยู่ห่างไกลกัน ทำให้ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย
6.การนำเสนอรายงาน การนำเสนองานเป็นการพูดเพื่อแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ อาจจะมีลักษณะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
ทั้ง 6 ประเภทนี้ จึงเป็นการสื่อสารโดยการพูดภายในองค์กร ที่มีความสำคัญ หากผู้ใดทำงานอยู่ภายในองค์กรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตรงกันข้าม หากว่าท่านต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ท่านมีความจำเป็นจะต้องฝึกฝน พัฒนาตนเอง ในการพูดในรูปแบบต่างๆข้างต้นนี้
...
  
บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
บริหารเวลา กับ เป้าหมาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เครื่องมือนำทางในการบริหารเวลา คือ เป้าหมาย
“ การคลาดสายตาจากเป้าหมาย ทำให้ต้องเพิ่มความพยายามขึ้นอีกเท่าตัว” (มาร์ก ทเวน)
การตั้งเป้าหมายมีความสำคัญต่อการบริหารเวลาเป็นอย่างยิ่ง เพราะการตั้งเป้าหมายทำให้เรามีทิศทางในการทำงาน ทำให้เรามีความตั้งใจทุ่มเทให้กับสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดและลดการใช้เวลากับสิ่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุด อีกทั้งลดการใช้พลังงานทั้งทางร่างกาย ทางสมอง ทางจิตใจ ของเราลงไปกับสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ
เมื่อเรามีเป้าหมายแล้ว เราก็ควรที่จะจัดทำการวางแผนขึ้น เพราะการวางแผนเพียง 8 นาที จะช่วยให้เราประหยัดเวลาได้ถึง 1 ชั่วโมง เลยทีเดียว ฉะนั้น หากใครวางแผนมาก เขาก็จะมีเวลาเหลือในการทำสิ่งที่สำคัญๆสำหรับชีวิตมากขึ้น
สำหรับการตั้งเป้าหมายที่ดี เราควรมีการร่างเป้าหมาย ร่างแผนการต่างๆลงในกระดาษ เพราะการร่าง เป้าหมายและแผนการ ลงในกระดาษมีข้อดีหลายอย่าง เช่น ทำให้เราสามารถตรวจสอบเป้าหมายและแผนของเราได้ตลอดเวลา ทำให้เห็นภาพหรือทิศทางที่จะเดินไปข้างหน้า ทำให้เราเกิดสมาธิในการทำงานมากกว่าการนั่งคิดไปเรื่อยๆ ทำให้เราลดภาระการจดจำของเรา การเขียนร่างนี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานและเตือนใจอีกด้วย ถ้าจะให้ดี เราควรมีแฟ้มใส่เป็นสัดส่วนเพื่อจะนำไปใช้เป็นหลักฐานในการทำงานครั้งต่อไปได้
หลายคนมักถามผมว่า “ แล้วถ้าผมมีเป้าหมายหลายอย่างละครับ ผมควรที่จะทำอย่างไร” หากว่าคุณมีเป้าหมายหลายอย่าง คุณควรเขียนเป้าหมายทุกอย่างลงในกระดาษ แล้วลองเรียงลำดับเป้าหมายที่มีความสำคัญที่สุดก่อนโดยให้คะแนนจากมากไปน้อย (เป้าหมายไหนมีความสำคัญมากให้คะแนนมาก เป้าหมายไหนมีความสำคัญน้อยให้คะแนนน้อยหรือเรียงจาก ABC ) แล้ววางแผนและให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่มีความสำคัญมากที่สุดก่อนตามลำดับ
เป้าหมายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นเครื่องมือนำทางในการบริหารเวลา ไม่ว่าคุณจะบริหารประเทศ บริหารทีมงาน บริหารองค์กร รวมถึงการบริหารตนเอง หากว่าไม่มีเป้าหมายเสียแล้ว การบริหารก็จะขาดทิศทาง ต่างคนต่างทำงาน จึงทำให้ประสิทธิภาพของตนเอง ขององค์กร ของหน่วยงาน ลดลง
ดังนั้น หากว่าคุณเป็นผู้บริหาร คุณควรตั้งเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน ขึ้นภายในองค์กร ภายในหน่วยงาน ภายในทีมงาน และควรตั้งเป้าหมายสำหรับตัวของคุณเองด้วย แล้วคุณจะพบว่าคุณเป็นบุคคลหนึ่งที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต




...
  
เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก ใครที่เก่งภาษาอังกฤษย่อมสร้างโอกาสและมักจะได้เปรียบคนอื่นๆ ไม่จะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน การติดต่อสื่อสาร โอกาสในการสอบชิงทุนการศึกษาเพื่อไปต่างประเทศหรือการสอบไปดูงาน ต่างประเทศ หรือทำวิจัย ทดลอง ค้นคว้า ในต่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในสอบแข่งขัน
ยิ่งปัจจุบันประเทศไทย ได้เข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ. ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน. ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าให้ใช้ภาษาอาเซียนในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งภาษาอาเซียนก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง
สำหรับบทความนี้ กระผมมีเทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผล มาฝากกัน คือทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ ทั้งนี้จะสังเกตดูว่า ประเทศไทยของเรา เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงเรียนในมหาวิทยาลัย แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลมีดังนี้
1. ฟัง ฟัง ฟัง คือ ฟังภาษาอังกฤษให้มากๆ ฟังทุกๆวัน ฟังในทุกที่ที่โอกาสอาจจะฟังครั้งละ 5 นาที 10 นาที 15 นาที ฟังในทุกสถานที่ เช่น เวลาอาบน้ำ ก็เปิดภาษาอังกฤษฟัง เวลาเดินออกกำลังกายก็ใช้หูฟัง ฟังภาษาอังกฤษไปด้วย ถ้าทำได้เช่นนี้ เราจะสามารถฟังภาษาอังกฤษสะสมได้วันละอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ทีเดียว
2. ฟังซ้ำไป ซ้ำมา ให้เกิดการจดจำและเกิดทักษะในการเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น เช่นเราฟังนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ เราฟังครั้งแรกเราอาจจะไม่เข้าใจ 100 % เราอาจจะเข้าใจเพียง 30% แต่ถ้าเราฟังครั้งที่ 2 เราอาจจะจำเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น และความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นจาก 30%เป็น 35% และถ้าเราฟังครั้งที่ 3,4,5,6,7,8,9,10…………เ ราก็จะยิ่งเข้าใจเรื่องราวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนถึง 100 %
3. ฟังเรื่องที่ง่ายๆไปหาเรื่องที่ยากๆ เช่น ฟังนิทานสำหรับเด็กก่อน เพราะใช้คำศัพท์ที่ง่าย ถ้าเราเริ่มต้นจากการฟังข่าวภาษาอังกฤษซึ่งมีศัพท์ที่ยากหรือมีศัพท์เฉพาะเยอะ เราก็อาจจะเรียนรู้ได้ช้าลง เหมือนกับการยกน้ำหนัก เราควรที่จะเริ่มจากน้ำหนักที่น้อยก่อนแล้วเพิ่มจำนวนน้ำหนักขึ้นไปทีละนิด ถ้าเราเริ่มจากการยกน้ำหนักที่มีน้ำหนักมากเราก็จะยกมันไม่ไหว
4. ฟังเรื่องราวที่สามารถนำเอาไปใช้ในการสนทนาภาษาอังกฤษได้จริงๆ ไม่ควรฟังหรืออ่านหนังสือ ตำรา เรียนซึ่งไม่สามารถช่วยทำให้เราสนทนาภาษาอังกฤษได้ดี เพราะในตำราเรียนเป็นรูปแบบที่ตายตัว แต่ในความจริงเราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น คนที่ 1 Good morning.How are you? คนที่ 2 I am fine. Thank you and you. คนที่ 1 I am fine.ประโยคพวกนี้พวกเราคงฟังกันคุ้นหูเนื่องจากอยู่ในหนังสือเรียนภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่แต่ในความเป็นจริง เราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น คนที่ 1 Good morning.How are you? คนที่ 2 I am good. I am sick. I am great.I am very well today. I am tired. I am hungry.I am not so good today.เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าท่านอยากพูดอังกฤษได้ ท่านจะต้องฟังภาษาอังกฤษให้มาก เพราะการพูดมาจาก
การฟัง เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษได้หรือรู้ว่าเขาพูดอะไร ท่านก็จะเข้าใจและท่านก็จะเริ่มขยับปากพูดได้ทีละนิดทีละหน่อย เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษเข้าใจได้ระดับหนึ่ง ขั้นต่อไปกระผมแนะนำให้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้เรารู้ศัพท์เพิ่มมากขึ้นและทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น
การอ่านภาษาอังกฤษก็ใช้หลักการเดียวกันกับการพูดก็คือ อ่านทุกเวลาที่มีโอกาส อ่านซ้ำไป
ซ้ำมาหลายๆรอบ(ซึ่งสิ่งที่เราฟังและซึ่งที่เราอ่านควรเป็นเรื่องที่เราชอบ) อ่านจากหนังสือที่ง่ายๆไปหนังสือที่ยาก(เช่นอ่านนิทานสำหรับเด็กก่อน ไม่ควรอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก่อนในระยะที่ฝึกฝนใหม่ๆ) และไม่ควรอ่านหนังสือเรียน หนังสือตำราเรียนภาษาอังกฤษ(เพราะพวกเราอ่านมากแล้วในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็ลืมไปเกือบหมด) ควรอ่านหนังสือจำพวกนิทานหรือหนังสือที่ช่วยทำให้การพูดภาษาอังกฤษได้ดี
...
  
การอ้างวาทะคนดังในการพูด
การอ้างวาทะคนดังในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
“จงอยู่อย่างกระหาย และทำตัวให้โง่เขลาอยู่เสมอ”(Stay Hungry , Stay Foolish) เป็นคำพูดของสตีฟ จอบส์
“คุณจะเห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่น่ากลัว ก็ต่อเมื่อคุณ....ละสายตาจากเป้าหมาย” เป็นคำพูดของเฮรี ฟอร์ด
“ความยิ่งใหญ่ของคน อยู่ที่ขนาดของความฝันของเขา” เป็นคำพูดของ บัณฑิต อึ้งรังสี
การพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง โดยใช้คำคมของคนดังหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากในการพูดแต่ละครั้ง หากท่านได้มีโอกาสใช้คำคมเหล่านี้ประกอบการพูดก็จะทำให้การพูดของท่านมีรสชาติ มีความไพเราะ อีกทั้งทำให้ชวนติดตาม ดังนั้น การสะสม วาทะคนดังไว้มากๆ เพื่อนำไปใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ในการพูดต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักพูด
ส่วนใหญ่วาทะคนดัง มักเป็นคำพูดที่คนดังได้ใช้เวลาคิดปกติมักเป็นข้อความสั้นๆ แต่กินใจความลึกซึ้ง เมื่อได้ฟังแล้วนำไปคิดต่อก็มักจะขยายความไปได้อีกมากมาย ซึ่งวาทะคนดังมีมากมาย หลายภาษา หลายชนชาติ หลายวัฒนธรรม ซึ่งคนเป็นนักพูดควรนำไปใช้ให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ ก็จะสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังได้
สำหรับสิ่งที่ควรระวังในการใช้วาทะคนดังในการอ้างอิงในการพูด
1.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะคนดังมากจนเกินไป การใช้วาทะคนดังประกอบการพูดเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ไม่ควรให้มีมากจนเกินไป เพราะการใช้วาทะคนดังมากจนเกินไป จะทำให้ผู้ฟังแทนที่จะเกิดความศรัทธา กลับทำให้เรื่องที่พูดเกิดความน่าเบื่อได้ เปรียบเทียบเหมือนผู้หญิงใส่แหวน หากว่าใส่เป็น ใส่แค่ 1-2 วงก็ทำให้บุคลิกภาพดูดีแล้ว แต่หากใส่ 10 วง ทุกนิ้วหรือมากจนเกินไป ก็จะดูแล้วเป็นตัวตลกมากกว่า ยิ่งใส่มากก็จะทำให้คุณค่าของแหวนและบุคลิกภาพของผู้ใส่ด้อยลงไปด้วย
2.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่คร่ำครึ หรือ เก่าเกินไป ไม่ทันสมัย อีกทั้งมีคนใช้บ่อยมากจนดูเป็นวาทะที่ปกติธรรมดา เช่น การอวยพรงานแต่งงาน เรามักจะได้ยินหลายคนอวยพรว่า “ ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ”
3.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะ ที่ผิดกาลเทศะ เช่น สถานการณ์ ที่มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ผู้โต้เถียงมักใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เราดันไปใช้คำคมว่า “ คนเราจะใหญ่ แค่ไหนก็เล็กกว่าโลง” ไม่แน่เราอาจจะได้ลงโลงเร็วกว่าปกติ
4.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะ ที่ไม่ชัดเจน วาทะคนดังหลายวาทะ ที่ไม่ชัดเจน เมื่อนำเอาไปใช้ประกอบการพูดก็จะทำให้ผู้ฟัง งง สับสน ได้ เพราะอย่าว่าแต่ผู้ฟังสับสนเลย ผู้พูดก็ยังสับสนกับวาทะนั้น อีกทั้งยังไม่เข้าใจกับวาทะที่นำเอาไปอ้างอิงด้วย เช่น ไม่กร้าวแต่ยืนยันหนักแน่น
5.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่ยาวจนเกินไป การใช้วาทะที่ยาวจนเกินไป ทำให้ผู้พูดบางคนถึงกับต้องก้มลงอ่านวาทะนั้น อีกทั้งทำให้ผู้ฟังไม่สามารถจดจำวาทะนั้นได้ ฉะนั้น การใช้วาทะที่สั้น กระฉับ จะดึงดูดความสนใจและสร้างการจดจำได้มากกว่าเมื่อนำเอาไปใช้ประกอบการพูด
6.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่ไม่ตรงกับเรื่องราวที่นำไปพูด วาทะคนดังมีหลากหลาย เมื่อเรานำเอาไปใช้ก็ควรนำไปใช้ให้เหมาะสมกับเรื่องที่พูด เช่น เขาให้พูดเรื่องของการแต่งกาย ก็ควรใช้วาทะเกี่ยวกับการแต่งกายประกอบการพูด “คำโบราณได้กล่าวไว้ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ไม่ควรใช้วาทะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การแต่งกาย “ ลิ้นเพียงสองนิ้ว ขงเบ้งยกเมืองให้กับเล่าปี่ได้ ” ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันธ์กับเรื่องการแต่งกายเลย เป็นต้น
อีกทั้งการใช้วาทะคนดังประกอบการพูดที่ดี เราควรที่จะต้องอ้างอิงว่าคำพูดดังกล่าวเป็นของผู้ใด เพื่อมารยาทในการนำเอาไปใช้ประกอบการพูด สำหรับแหล่งข้อมูลต่างๆ ของวาทะคนดังในยุคปัจจุบันนี้มีมากมาย กว่าในอดีต เพราะยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เราสามารถค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต เราสามารถซื้อหนังสือวาทะคนดังตามร้านขายหนังสือต่างๆ เราสามารถฟังและจดบันทึกจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการพูดในอนาคตของเรา
คำพูดเหน็บแนมที่เฉียบแหลมรุนแรงย่อมเชือดเฉือนได้ลึกกว่าคมอาวุธ(คติฝรั่งเศส)


...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.