หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
  -  พูดแล้วดัง...ทำแล้วรวย....
  -  คำคม เกี่ยวกับการพูด
  -  ถ้าอยากเป็นนักพูด...เชิญทางนี้....
  -  การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
  -  นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
  -  พูดเก่ง...รวยก่อน...
  -  อยากเป็นนักพูด
  -  ปาก
  -  ศิลปะการพูด
  -  พูดดี ต้องประเมิน
  -  การวิเคราะห์ผู้ฟัง
  -  ผู้ฟังอันตราย
  -  วิธีการฝึกพูดด้วยตนเอง
  -  ครบเครื่องนักพูด
  -  การพูดต่อที่ชุมชน
  -  การพูดกับการเป็นผู้นำ
  -  ศิลปะการพูดในงานบริการ
  -  การเปิดฉากการพูด
  -  การดำเนินเรื่องในการพูด
  -  การปิดฉากการพูด
  -  วิธีการฝึกฝนการพูด
  -  การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
  -  การพูดที่ล้มเหลว
  -  จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
  -  ความเชื่อมั่นในการพูด
  -  6 W 1 H สำหรับการพูด
  -  พูดอย่างฉลาด
  -  การฝึกพูด
  -  การพูดให้น่าเชื่อถือ
  -  จงระวังความเคยชินในการพูด
  -  คิดอย่างสร้างสรรค์
  -  ภาษากายกับการพูด
  -  การพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  ศิลปะการพูด
  -  ข้อแนะนำสำหรับวิทยากรมือใหม่
  -  พูดโทรศัพท์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
  -  การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
  -  การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์
  -  การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
  -  การใช้สื่อต่างๆประกอบการพูด
  -  การพูดอย่างมีตรรกะ
  -  คำพูดเจาะจิต
  -  การสร้างเสน่ห์ในการพูด
  -  วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
  -  จังหวะในการพูด
  -  วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
  -  ประโยชน์ของการฝึกอบรม
  -  พูดให้ถูกสถานการณ์
  -  การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
  -  ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
  -  การประชาสัมพันธ์เพื่อการตลาด
  -  วิธีสร้างความกล้าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
  -  การพูดและการเป็นโฆษกที่ดี
  -  โฆษกกับการพูดที่ดี
  -  มโนภาพกับการพูด
  -  การใช้มือประกอบการพูด
  -  พลังของจังหวะในการหยุดพูด
  -  ภาษากายไม่เคยโกหก
  -  การอ่านใจคนจากภาษากาย
  -  การพูดสำหรับโฆษกฟุตบอล
  -  เคล็ดลับในการเป็นนักพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี
  -  เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษคือ ฟัง ฟัง ฟัง
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ : บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
การพูดอย่างมีตรรกะ
การนำเสนออย่างมีตรรกะ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การนำเสนออย่างมีตรรกะ เป็นการสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน อย่างมีเหตุมีผล ซึ่งทำให้ผู้รับการฟังหรืออ่าน เกิดความเข้าใจ เกิดความศรัทธา เกิดความเชื่อถือในตัวของผู้พูดหรือผู้เขียน การนำเสนออย่างมีตรรกะจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรที่จะศึกษา เรียนรู้และฝึกฝนกัน
สำหรับกระบวนการสื่อสารอย่างมีตรรกะ เราควรคำนึงถึง เรื่องของ 1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอ 2.วิธีการนำเสนอ 3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร 4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ
1.วัตถุประสงค์ของการนำเสนอเป็นสิ่งที่ผู้นำเสนอจะต้องมีความเข้าใจว่าสิ่งที่นำเสนอในครั้งนั้น เราต้องการอะไร เช่น เราต้องการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของความบันเทิง , เราต้องการการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องของการจูงใจหรือเราต้องการสื่อสารเพื่อให้ข้อมูล ให้ความรู้ ในการนำเสนอในครั้งนั้นๆ
2.วิธีการนำเสนอ เมื่อเราทราบวัตถุประสงค์แล้ว สำหรับการพูด การเขียน เราจำเป็นจะต้องหาวิธีการเพื่อที่จะทำให้การนำเสนอของเราเกิดความน่าสนใจ เช่น หากเป็นการนำเสนอเพื่อให้ความรู้ในห้องฝึกอบรม เราก็ควรที่จะมีวิธีการนำเสนอที่หลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย มีกิจกรรม มีเกมส์ สลับสับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความสนุกสนานในห้องประชุม หรือ หากเป็นการนำเสนอด้วยการเขียน หากวัตถุประสงค์ในการเขียนในครั้งนั้นๆ เป็นการเขียนเพื่อความบันเทิง เช่นการเขียน นิยาย เราก็ควรมีการใช้ภาษาที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าการเขียนในงานวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ เป็นต้น
3.ความสัมพันธ์กับผู้ที่ต้องการจะสื่อสาร มีความสำคัญมากต่อการสื่อสารเกือบทุกประเภท เพราะหากว่าเรานำเสนอได้ดีขนาดไหน แต่ผู้ฟัง ผู้อ่าน ไม่ชอบเรา มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวเราแล้ว ผลที่ออกมาจากการประเมินก็มักจะไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้นเราจึงไม่แปลกใจที่เราเห็นนักนำเสนอในยุคปัจจุบัน มักมีการสร้างแฟนคลับ ผ่านสื่อต่างๆ เช่น Facebook , การจัดรายการทางโทรทัศน์ , การจัดรายการผ่านวิทยุ , การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
4.เงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อ ในการนำเสนอทุกแห่ง มักมีเรื่องของการกำหนดเวลาพูดให้แก่ผู้พูดหรือพื้นที่สื่อให้แก่ผู้เขียน ดังนั้น เราควรนำเสนอหรือทำการบ้าน ว่าจะทำเสนอให้สั้น ยาว ย่อ ขยาย ในส่วนใดบ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับเรื่องของเงื่อนเวลาหรือพื้นที่สื่อที่มีอย่างจำกัด
Why Why Why (ทำไม ทำไม ทำไม) เป็นคำถามที่นักนำเสนออย่างมีตรรกะ ควรใช้เป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามและตอบคำถาม เพื่อการตั้งคำถาม ทำไม จะทำให้เราทราบถึง สาเหตุ ของปัญหา ยิ่งเราถามคำถามว่า ทำไม ซ้ำไปซ้ำมา หลายๆ เที่ยว ก็จะทำให้เราทราบต้นตอที่มีความลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น
เมื่อมีปัญหาในหน่วยงานหรือองค์กร ท่านลองตั้งคำถามว่า “ ทำไม” ดูซิครับแล้วที่จะพบคำตอบในการแก้ไขปัญหา และถ้าจะให้ดีท่านควรที่จะมีการสื่อสารโดยการพูดคุยกันต่อหน้า ซึ่งจะดีกว่าการนำเสนอโดยผ่านการรับโทรศัพท์ การส่งอีเมล์ การส่งแฟกซ์ เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง บริษัทโตโยต้า ได้นำ 5 Why คือวิธีวิเคราะห์การทำงานมาใช้ในการทำงาน ซึ่งมีการถาม Why (ทำไม) ซ้ำไปซ้ำมาถึง 5 ครั้ง ทำให้เกิดกระบวนการปรับปรุงงานได้ดียิ่งขึ้น
ศาสนาพุทธ โดยพระศาสดา พระพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างที่ดีในการนำเสนอแบบตรรกะ ซึ่งเป็นการสอนแบบมีเหตุมีผล ซึ่งก่อนที่ศาสนาพุทธเกิด ก็ได้มี ศาสนา ความเชื่ออื่นๆ เกิดขึ้นมาก่อนมากมาย แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมกว้างขวางก็เพราะการสอนโดยการขาดความมีตรรกะหรือขาดความมีเหตุผล บางศาสนา บางความเชื่อ ก็สูญหายไปจากโลก ซึ่งตรงกันข้ามกับพุทธศาสนา ที่มีมาอย่างยาวนานถึง 2556 ปี
อัลเบิร์ต ไอสไตล์ นักวิทยาศาสตร์เอกระดับโลก บุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะได้กล่าวก่อนเสียชีวิตว่า หากให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เขาจะเลือกนับถือ ศาสนาพุทธ เขาได้ให้เหตุผลว่า เพราะศาสนาพุทธ สอนอย่างมีเหตุมีผล นั่นเอง
...
  
คำพูดเจาะจิต
คำพูดเจาะจิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อน กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง
จากบทกลอนข้างต้น อยู่ในมงคลชีวิตที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต ซึ่งหากใครที่เคยมีประสบการณ์ในทางการพูดอยู่บ้าง ก็จะทราบดีว่า การกล่าววาจาเป็นสุภาษิต มักจะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือในเรื่องราวที่ผู้พูดได้พูด เพราะคำสุภาษิตต่างๆ เป็นคำพูดที่มีความคม มีความไพเราะอยู่ในตัว
สำหรับ คำสุภาษิต ในมงคลชีวิตนั้น หมายถึง คำพูดที่เป็นความจริง คำพูดที่มีประโยชน์ คำพูดที่สุภาพ คำพูดที่ใช้ถูกกาลเทศะและคำพูดที่มีความเมตตา
1.คำพูดที่เป็นความจริง เป็นคำพูดที่ไม่โกหก หลอกลวง ไม่ได้มีการปั้นแต่งขึ้น อีกทั้งควรมี หลักฐานสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ ซึ่งการพูดความจริงมีความสำคัญมาก เพราะคนที่พูดโกหกบ่อยๆ หากผู้ฟังจับได้ว่า พูดโกหก ก็จะทำให้ผู้ฟังขาดความเชื่อถือในการพูดครั้งต่อไปของผู้พูด การพูดที่ไม่เป็นความจริง ทางพุทธศาสนา เรียกว่า มุสาวาท ถือว่าเป็น อกุศลกรรมอย่างหนึ่ง
2.คำพูดที่มีประโยชน์ มีคำกล่าวที่ว่า “ คำพูดที่ดีๆ มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใดๆ” เช่น การพูดให้กำลังใจผู้อื่น การพูดปลุกพลังให้ผู้อื่น ล้วนแต่มีประโยชน์และสร้างสรรค์ทั้งสิ้น แต่ตรงกันข้าม คำพูดหลายคำพูดมักที่จะไปทำลายความสามัคคีปรองดองกัน คำพูดหลายคำพูดมักจะทำให้เกิดการแตกแยกกัน คำพูดเหล่านี้มักเป็นคำพูดที่ไม่ก่อประโยชน์และไม่สร้างสรรค์
3.คำพูดที่สุภาพ การพูดที่มีความสุภาพ มักทำให้ผู้ฟังอยากที่จะติดตามฟัง เป็นคำพูดที่ช่วยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม อีกทั้งการพูดสุภาพจะทำให้เห็นถึงความเป็นผู้ดีของผู้พูดดังคำกล่าวที่ว่า “ ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน”
4.คำพูดที่ใช้ถูกกาลเทศะ เป็นคำพูดที่นำเอาไปใช้ถูกจังหวะเวลา ถูกจังหวะของสถานที่และเหมาะสมกับโอกาส ก็จะทำให้การพูดของผู้พูดเข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้ฟังได้ดียิ่งขึ้น ตรงกันข้ามการพูดที่ไม่ถูกจังหวะเวลา ถูกสถานที่และเหมาะสมกับโอกาส แม้จะพูดดีสักปานใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ เช่น คนทะเลาะกัน เกิดมีอารมณ์โต้เถียงกันอย่างรุนแรง เราจะไปพูดด้วยเหตุผลหรือจะไปพูดดีอย่างไร คนก็มักจะไม่ฟังเราพูด อีกทั้งยังทำลายมิตรภาพอีกด้วย แต่ถ้าเขาเลิกทะเลาะกัน ไม่ได้ใช้อารมณ์ เราลองนำเรื่อง เดียวกัน เหตุผลเดียวกันไปพูด เขาก็อาจจะเกิดความเชื่อถือ ศรัทธาเราได้
หรือ อีกตัวอย่างหนึ่ง หากว่าเราเป็นนักขาย ลูกค้ากำลังยุ่งๆ อยู่ แล้วเราจะนำสินค้าไปเสนอขายอย่างไร เขาก็จะไม่ตั้งใจฟังเรา เนื่องจากเราไปนำเสนอขายสินค้าผิดจังหวะเวลา นั่นเอง
5.คำพูดที่มีความเมตตา เป็นคำพูดที่พูดออกไปแล้วผู้ฟังได้รับความสุข เกิดความปิติมานะ เกิดความปรารถดี เป็นคำพูดที่มีความจริงใจ สำหรับผู้ที่มีความเมตตาในการพูดมักจะไม่ใช้อารมณ์โกรธหรือบันดาลโทสะในการพูด เพราะการพูดบันดาลโทสะ มักจะทำให้ผู้ฟังเกิดอาการเศร้า อาการเสียใจ และบันทอนกำลังใจของผู้ฟัง
ฉะนั้น คนที่จะสามารถพูดอย่างเจาะจิตคนได้ จะต้องเป็นคนที่คิดให้มาก แต่พูดให้น้อย หรือคิดก่อนพูดทุกครั้ง ต้องกลั่นกรองคำพูดต่างๆออกมาก่อนที่จะพูดออกไป สำหรับเรื่องของอารมณ์ในการพูดก็มีส่วนสำคัญ หลายคนมีอารมณ์โกรธ มีอารมณ์โมโห ในขณะพูดก็จะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เช่นใครพูดไม่ถูกหู ก็จะไม่พอใจ เกิดอารมณ์อยากด่า เกิดอารมณ์อยากชวนทะเลาะ ดังนั้น หากใครที่รู้ว่ามีอารมณ์ต่างๆที่ไม่สบายใจ ทำให้ขุ่นใจ จงรอให้อารมณ์เหล่านั้นดับไปก่อน แล้วการพูดของท่านจะครองใจผู้ฟังได้มากกว่าการพูดในขณะที่มีอารมณ์ต่างๆที่ไม่ดีในการพูด


...
  
การสร้างเสน่ห์ในการพูด
การสร้างเสน่ห์ในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสร้างเสน่ห์ในการพูดมีความสำคัญมาก ต่อความสนใจของผู้ฟัง อีกทั้งยังก่อให้เกิดความศรัทธาในตัวของผู้พูดอีกด้วย ทั้งนี้เราสามารถสร้างเสน่ห์ในการพูดได้หลายทาง เช่น
1.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากเสียง การใช้เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน เพราะ ถ้อยคำเป็นแต่เพียงการบอกความหมาย แต่เสียงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นในหัวใจ สำหรับการใช้เสียงที่ดีในการพูดต่อหน้าที่ชุนชนนั้น เสียงไม่ควรจะเป็นโทนเดียวกันหมด แต่ตรงกันข้าม เสียงในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนที่ดี ต้องเป็นเสียงที่มีความหลากหลาย เบาบ้าง ดังบ้าง เสียงสูงบ้าง เสียงต่ำบ้าง เสียงเป็นปกติบ้าง เสียงเน้น เสียงย้ำ พูดเร็วบ้าง ช้าบ้าง อีกทั้งควรเว้นช่วงในการพูดเป็นจังหวะๆไป การใช้เสียงที่ดีควรให้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาของเรื่อง
2.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากการใช้ท่าทางประกอบการพูด การใช้ท่าทางในการประกอบการพูดจะเป็นการดึงดูดใจให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ การยกมือ การโบกมือ การเคลื่อนไหว การขยับ การเดิน การยิ้ม การหัวเราะ การทำหน้านิ่งๆ การนั่ง การยืน การโยกตัว ฯลฯ การกระทำเหล่านี้ สามารถสร้างความประทับใจและสร้างความจดจำในใจผู้ฟังได้ เพราะเคยมีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ได้ระบุว่า การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะสร้างความจดจำภายในใจผู้ฟังมากกว่าคำพูดเสียอีก เช่น หลายคนได้ไปฟัง คุณโน้ต อุดม พูด ทอล์คโชว์ 2 ชั่วโมง เราอาจจะจดจำคำพูดได้ไม่หมดทั้งเรื่อง แต่คนจำนวนมากมักจดจำการแสดงท่าทางที่ตลกๆ ที่คุณโน้ต อุดม ได้แสดงออกมา
3.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากการสร้างอารมณ์ขัน คนไทยเป็นชนชาติที่มีอารมณ์ขันมากที่สุด แห่งหนึ่งในโลก คนที่พูดหรือมีอารมณ์ขัน มักเป็นที่ชื่นชอบของบุคคลต่างๆ การพูดต่อหน้าที่ชุมชนก็เช่นกัน การสอดแทรกอารมณ์ขัน จะทำให้เรื่องที่ยาก เป็นเรื่องที่ง่าย เรื่องที่ง่ายก็จะเป็นเรื่องที่สนุก คนที่สามารถนำเอาเรื่องขำขันไปประกอบการพูดได้ จะมีเสน่ห์ เป็นที่ประทับใจของผู้ฟัง อีกทั้งทำให้ผู้ฟังอยากที่จะติดตามไปฟังนักพูดท่านนั้นยังสถานที่ต่างๆอีกด้วย
4.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากเนื้อหาสาระที่แปลกๆ ใหม่ๆ ในการประกอบการพูด การพูดเรื่องเดิมๆ การยกตัวอย่างเรื่องเดิมๆ การพูดเนื้อหาเดิมๆ จะทำให้ผู้ฟังไม่อยากที่จะฟัง ทำให้ผู้ฟังเสียเวลา เนื่องจากฟังมาหลายรอบแล้ว ดังนั้น นักพูดท่านใดสามารถนำเอาเรื่องราว แปลกๆ ใหม่ๆ ซึ่งผู้ฟังยังไม่เคยฟัง โดยการนำเอาเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ มาใช้ประกอบการพูด ก็จะเป็นการดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้มากเลยทีเดียว
5.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากการหาสื่อต่างๆมาประกอบการพูด หลายท่านมักชื่นชอบ การอภิปรายในสภา โดยเฉพาะ นักการเมืองที่ใช้สื่อต่างๆมาประกอบการพูด เช่น ใช้เอกสาร ใช้คลิปวิดีโอ ใช้รูปภาพ ภาพถ่าย หนังสือพิมพ์ เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านนี้จะทำให้เกิดความน่าสนใจ เกิดความน่าเชื่อในเรื่องราวที่ผู้พูด พูด
6.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจาก การใช้คำกลอน คำคม คำสุภาษิต ประกอบการพูด การใช้คำกลอน คำคม คำสุภาษิต เหล่านี้จะทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจฟัง ทำให้การพูดเกิดความไพเราะในเรื่องของการใช้ภาษา อีกทั้งคำกลอน คำคม คำสุภาษิต คำเหล่านี้ได้ให้แง่คิดที่ดีต่อผู้ฟัง
7.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจาก การใช้เพลงประกอบการพูด การร้องเพลงประกอบการพูด หากทำได้และทำอย่างเหมาะสม ก็จะก่อให้เกิดความบันเทิงในการฟังได้ ซึ่งเราควรเลือกร้องเพลงประกอบการพูดให้เหมาะสมกับเรื่องราวที่เรานำมาพูด เช่น พูดเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจ เราอาจร้องเพลงที่ทำให้เกิดกำลังใจประกอบ เพลงศรัทธา, ,เพลงความฝันอันสูงสุด, เพลงเธอผู้ไม่แพ้,เพลงรางวัลแห่งคนช่างฝัน เป็นต้น ถ้าจะให้ดี ก็ควรขอให้ผู้ฟังร้องพร้อมกัน ก็จะเกิดความสนุกสนาน เกิดอารมณ์ร่วมไปด้วยกัน
8.การสร้างเสน่ห์ที่เกิดจากการพูด โดยการพูดในสิ่งที่ผู้ฟังต้องการที่จะได้ เช่น พูดถึงเรื่องของรายได้จำนวนมากๆ ให้กับผู้ฟังที่มีความต้องการเงินเพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีวิต , พูดถึงเรื่องสุขภาพให้แก่ผู้ฟังที่เป็นโรคต่างๆ , พูดถึงเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของนักสู้หลายท่าน ให้แก่ผู้ที่กำลังสิ้นหวัง ท้อแท้ เป็นต้น ยิ่งผู้พูด พูดในสิ่งที่ผู้ฟังมีความต้องการอย่างรุนแรงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจฟังมากเป็นพิเศษด้วย
สรุป การสร้างเสน่ห์ในการพูด เป็นสิ่งที่นักพูดหรือผู้พูด ควรที่จะกระทำ เพราะการสร้างเสน่ห์ในการพูดจะเป็นการสร้างสีสันในการพูด การสร้างเสน่ห์ในการพูดจะสร้างการจดจำ สร้างเอกลักษณ์ให้กับนักพูดท่านนั้น อีกทั้งยังสร้างความศรัทธา ความน่าเชื่อถือ การชื่นชอบ ให้แก่ผู้ฟังอีกด้วย

...
  
วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
วิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ลินคอล์น มีชื่อเต็มๆว่า อับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำระดับโลกคนหนึ่ง ลินคอล์น ไต่เต้าจากเด็กที่ยากจนคนหนึ่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ด้วยวิถีทางที่สะอาดบริสุทธิ์ การเลิกทาสในอเมริกาคือผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาฝากไว้ให้แก่โลกใบนี้
ด้านการพูด ลินคอล์น เป็นนักพูดที่มีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง เช่น การใช้อารมณ์ขันในการพูด การใช้ถ้อยคำภาษาที่ไพเราะกินใจ การพูดสุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คน สุนทรพจน์ที่โลกยกย่องว่าดีที่สุดของลินคอล์น ได้แก่ สุนทรพจน์ที่เก็ตติสเบอร์ก
สุนทรพจน์ที่เก็ตติสเบอร์ก เป็นการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในพิธีฉลองสุสานแห่งเมืองเก็ตติสเบอร์ก ที่ที่ซึ่งเป็นสถานที่ในการทำสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญในอดีตของสหรัฐ อีกทั้งสุนทรพจน์นี้มีความสั้นมากมีเพียงแค่ 10 ประโยค แต่มีความไพเราะ มีวรรคทอง มีชีวิต จนกระทั้ง มหาวิทยาลัย อ็อกฟอร์ด ต้องนำไปติดที่ผนังของมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นตัวอย่างว่าเป็นสุนทรพจน์ที่มีความไพเราะที่สุดสุนทรพจน์หนึ่งของโลก ซึ่งวรรคทองที่มีการปรับและประยุกต์ใช้ กล่าวอ้างกันอย่างแพร่หลายก็คือ การปกครองแบบประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน
วิธีการฝึกการพูดของ ลินคอล์น ลินคอล์น มักจะอ่านหนังสือออกเสียงที่ดังตลอดเวลา เพราะการอ่านหนังสือออกเสียง เป็นการฝึกการใช้เสียง การฝึกความชัดเจนของภาษา การฝึกพลังเสียง อีกทั้งยังทำให้เกิดความทรงจำที่ดีสำหรับเขาอีกด้วย
เขามักจะสะสม ภาษา ถ้อยคำ คำคม สุภาษิต ต่างๆ เพื่อนำเอาไปใช้ในการพูด โดยวิธีการบันทึก สิ่งต่างๆที่จะนำเอาไปใช้ในการพูดอยู่ตลอดเวลา หากมีเวลา โดยเฉพาะในระหว่างเดินทางไปเมืองต่างๆ โดยม้า เขามักจะมีการฝึกการพูดบนหลังม้าอยู่เป็นประจำ
เขาเป็นคนที่มีความพยายาม ทำอะไรไม่ทอดทิ้ง การฝึกการพูดก็เช่นกัน เขามักจะมีการฝึกการพูดโดยหาเวทีต่างๆ ในสมัยที่ทำงานรับจ้าง ช่วงพักกลางวัน เขามักจะเล่าเรื่องสนุกๆ ให้แก่บรรดาเพื่อนร่วมงานฟัง ทำให้เกิดความสนุกสนาน ผ่อนคลาย แต่นายจ้างมักจะไม่ค่อยชอบใจนัก ซึ่งเรื่องเล่าขำขันของเขามักนำมาจากหนังสือเช่น หนังสือ คำตลกคะนองของควิน เขาจะพยายามท่องจำจนขึ้นใจ แล้วนำมาเล่า
การใช้อารมณ์ขันในการพูด จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้อย่างรวดเร็ว เพราะการพูดโดยการใช้อารมณ์ขันมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นกันเอง ช่วยให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเกิดการผ่อนคลาย ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ช่วยให้มีเพื่อนมากขึ้น
การหาเสียงทางการเมือง ลินคอล์นได้สร้างความสำเร็จโดยการใช้อารมณ์ขันให้แก่พรรคการเมืองของเขาจนประสบความสำเร็จ เมื่อลินคอล์น เข้าสู่วงการทางการเมือง เขาก็มีความเจริญเติบโต ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในการแข่งขันทางการเมืองย่อมมีการโจมตีกัน กล่าวหากัน พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม มักจะโจมตีพรรคที่เขาสังกัด พรรควิก(ปัจจุบันเป็นพรรคริปับลิกัน) ว่าเป็นพรรคของผู้ดี ชอบแต่งตัวหรูโอ่อ่า
ซึ่ง ลินคอล์น ก็ใช้อารมณ์ขันที่เขาถนัดตอบโต้คู่แข่งขันทางการเมืองด้วยอารมณ์ขันและคำพูดที่แหลมคมว่า
“ ข้าพเจ้ามาสู่รัฐอิลลินอยส์ใน ฐานะเด็กยากจนที่ไร้การศึกษา เป็นคนแปลกหน้า ไม่มีมิตรสหาย และเริ่มทำงานในเรือท้องแบนด้วยค่าจ้างเดือนละแปดเหรียญ และข้าพเจ้ามีกางเกงชนิดขาแคบอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น กางเกงซึ่งทำด้วยหนังกวาง เมื่อเจ้าหนังกวางเปียกน้ำแล้วถูกแดดแห้งมันจะทำการหดตัว ซึ่งเจ้ากางเกงหนังกวางนี้จะหดจนกระทั่งปลายขากางเกง อยู่ห่างกับปลายถุงเท้า หลายนิ้ว ปล่อยให้ขาส่วนนั้นไม่มีสิ่งใดปกปิด ครั้งเมื่อลำตัวของข้าพเจ้าสูงขึ้น ความเปียก ความแห้งนี่เอง ทำให้ขากางเกงสั้นเข้าและรัดขา ข้าพเจ้าแน่นเข้าทุกที จนกระทั่งทิ้งรอยช้ำเขียวไว้ที่ขาข้าพเจ้าตราบเท่าทุกวันนี้ นี่แหละท่าน ถ้าท่านเรียกการแต่งตัวเช่นนี้ว่าเป็นการหรูโอ่อ่า เป็นพวกผู้ดี ข้าพเจ้าจำต้องเรียกการกล่าวหานั้นว่าเป็นความผิดอย่างอุกฤษฏ์” (ท่านสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ ลินคอล์น มหาบุรุษ ของอาษา ขอจิตเมตต์ ได้เพิ่มเติม)
เมื่อผู้ฟังได้ฟังแล้ว ก็ต่างกันร้องตะโกน เป่าปาก ด้วยความพึงพอใจ หัวเราะสนุกสนาน กับการหาเสียงในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ฉะนั้น กระผมขอสรุปวิธีฝึกการพูดของ ลินคอล์น สั้นๆดังนี้ ลินคอล์น มีการฝึกการพูดด้วยตนเอง อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าอยู่บนหลังม้าขณะเดินทางไปต่างเมือง ลินคอล์น ชอบสะสม คำคม ข้อมูลต่างๆที่ใช้ในการพูด และหากมีเวลา เขาจะคิดวรรคทองของเขาเอง ลินคอล์น ชอบอ่านหนังสือเสียงดัง เพราะเป็นการฝึกการใช้น้ำเสียง ฝึกใช้พลังเสียง ฝึกความเคยชินในการออกเสียง ลินคอล์น พยายามหาเวทีพูดให้แก่ตนเอง ตลอดเวลา เช่น พูดเล่าเรื่องสนุกๆให้แก่เพื่อนร่วมงานเวลาพักกลางวัน , พูดเล่าเรื่องสนุกๆให้แก่นายเจ้าและเพื่อนร่วมงานในชีวิตการเป็นลูกจ้างในการเดินเรือซึ่งต้องอยู่กลางทะเลเป็นเวลานานๆ ลินคอล์น ฝึกไหวพริบปฏิภาณในการใช้อารมณ์ขันในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการพูด เป็นต้น



...
  
จังหวะในการพูด
จังหวะในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Let the speech be better than silence,or be silet.(จงทำให้การพูดนั้นดูดีกว่าความเงียบ ถ้าทำไม่ได้ก็เงียบเสียดีกว่า)
การพูดให้เกิดความน่าสนใจ การพูดที่ทำให้ผู้ฟังติดตามฟัง การพูดที่สร้างความประทับใจ จังหวะในการพูดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ผู้พูดต้องฝึกการพูดให้มีจังหวะจะโคน ต้องรู้ว่า เวลาไหนควรเงียบ เวลาไหนควรพูดต่อ ต้องมีการเว้นวรรค มีเสียงดัง เสียงเบา เสียงเน้น เสียงย้ำ มีการยืดเสียง ผู้พูดที่มีจังหวะในการพูด มักจะประสบความสำเร็จมากกว่า ผู้พูดที่พูดติดต่อกันไปเรื่อยๆยาวๆ โดยไม่มีจังหวะในการพูด
คำพูด เอ่อ..หรือ อ้า....มักทำให้จังหวะในการพูดเสียไปหรือไม่ชวนให้ผู้ฟังติดตาม แต่ในทางตรงกันข้ามจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ ดังนั้น ผู้พูดที่มีคำฟุ่มเฟื่อย เช่น เอ่อ อ้า นะครับ นะค่ะ ครับ ค่ะ ลงท้ายประโยคเป็นจำนวนมากๆ จึงควรหาทางแก้ไข ปรับปรุงตนเอง ให้มีลดน้อยลง
จังหวะในการพูดกับน้ำเสียง น้ำเสียงในการพูดมีความสอดคล้องกับจังหวะในการพูดอย่างแยกไม่ออก ผู้พูดที่ดี ควรรู้จังหวะในการใช้เสียง ว่าเวลาใดควรพูดเสียงสูง เวลาใดควรพูดเสียงต่ำ เวลาใดควรพูดเสียงปกติ ซึ่งการจะทราบถึงจังหวะเหล่านี้ได้ คงต้องใช้เวลาฝึกฝน อีกทั้งยังต้องผ่านประสบการณ์ในการพูดมาพอสมควร
จังหวะในการพูดกับการใช้อารมณ์ การพูดเรื่องเศร้า ก็ควรใช้อารมณ์เศร้า จังหวะในการพูดก็ควรช้ากว่าปกติ แต่ในทางกลับกัน หากพูดเรื่องสนุก ตื่นเต้น ก็ควรใช้จังหวะในการพูดที่เร็วกว่าปกติ อีกทั้งผู้พูดต้องทำอารมณ์ของตนเองให้สนุกสนานตามไปด้วย ซึ่งอารมณ์ของผู้ฟังมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้พูดอยู่เสมอ
หลายคนมักเข้าใจว่า ผู้พูดที่พูดโดยไม่หยุด พูดด้วยความเร็วมากกว่าปกติ มักจะได้รับความสนใจจากผู้ฟัง แต่โดยส่วนตัวกระผม เชื่อว่า การหยุดพูดหรือการเงียบ ในบางช่วงในการพูดจะทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ฟังไม่ใช่น้อย เพราะการหยุดพูดหรือการเงียบ จะทำให้ผู้ฟังคิดตาม ซึ่งสร้างความสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
จังหวะในการพูดกับการพูดคุยสนทนากัน จังหวะในการพูดยังมีความสำคัญและรวมไปถึงเรื่องของการพูดคุยสนทนากันอีกด้วย คนที่พูดคุยสนทนาเก่ง มักจะรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนควรเงียบ คนที่รู้จักจังหวะเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้ที่สนทนาด้วย เกิดความประทับใจ มากกว่า คนที่เอาแต่พูดโดยไม่รู้จักฟังหรือเงียบฟัง คู่สนทนา
ฉะนั้น หากท่านต้องการฝึกฝน จังหวะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน กระผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ลองหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือการ์ตูน ลองฝึกอ่านให้เป็นจังหวะ หรือ ในยุคนี้ เราสามารถหาหรือฟัง นักพูดที่เราชื่นชอบ ลองเอาเทปหรือเสียงในการพูดของเขา มาวิเคราะห์ หากเป็นไปได้ ลองเลียนแบบ เสียงหรือจังหวะในการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบ หากทำบ่อยๆ ก็จะทำให้จังหวะในการพูดของท่านพัฒนายิ่งขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการฝึกฝนในเรื่องของจังหวะในการพูดคุยสนทนา ท่านควรที่จะพัฒนาทักษะในการฟังให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง มีการตอบรับคู่สนทนาบ้างเพื่อให้คู่สนทนาทราบว่า เรากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ เช่น ครับ ค่ะ เยี่ยมครับ สุดยอดเลยครับเรื่องนี้ หรือ มีการพยักหน้าตอบรับ ในระหว่างการพูดคุยสนทนากัน ก็จะสร้างความประทับใจให้แก่คู่สนทนาได้
...
  
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมในยุคปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคที่หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง หรือ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้รับการอบรม ผู้เรียน นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง และ เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง
1.การบรรยาย (Lecture) เป็นการพูด โดยเน้นสอนเรื่องทฤษฏี เนื้อหาต่างๆ ตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ อาจมีการใช้สื่อต่างๆประกอบ เช่น สไลด์ รูปภาพ คลิปภาพยนตร์ ฯลฯ
2.การอภิปรายเป็นคณะ(Panel Discussion) เป็นพูดอภิปรายโดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่มักจะมีจำนวน 3-5 คน เป็นการพูดแสดงข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหา ตามหัวข้อที่กำหนดเอาไว้
3.การสาธิต(Demonstration) เป็นการแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างจริงๆ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การสาธิตการว่ายน้ำ การสาธิตการพูดต่อหน้าที่ชุมชน การสาธิตการขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้ฝึกอบรม นักศึกษา นักเรียน เป็นศูนย์กลาง
1.กิจกรรมนันทนาการ(Recreational Activity) เป็นการจัดหากิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการสนุกสนาน เกิดการแข่งขันกัน หรือก่อให้เกิดการละลายพฤติกรรม ซึ่งเกมเพื่อการศึกษามีจำนวนมากและหลากหลาย ทั้งนี้ ควรเลือกเกมส์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
2.การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่ให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เสรี ไม่มีคำว่าผิด หรือ ถูก ไม่มีคำว่า ดี หรือไม่ดี เมื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึงแล้ว ผู้สอนควรนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่บทสรุป
3.กรณีศึกษา(Case study) เป็นการนำเรื่องราวจริง มานำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการแก้ไขปัญหาและเกิดการตัดสินใจ ซึ่งกรณีศึกษาที่ดีควรมีลักษณะคล้ายหรือสอดคล้องกับปัญหาต่างๆที่ผู้รับการอบรมประสบ
4.การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing) มีลักษณะคล้ายกับกรณีศึกษาแต่เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงให้ผู้เรียนได้มีการเล่นการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ จากสถานการณ์ที่จำลองมาจากสถานการณ์จริงๆ
5.การสัมมนา(Seminar) เป็นการประชุมหรือพูดคุยกัน เกี่ยวกับปัญหาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมมีความสนใจหรือประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องเดียวกัน
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง
1.สอนโดยภาพยนตร์(Instructional Film) เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์ เป็นหลักโดยผู้สอน เปิดภาพยนตร์ให้ผู้เรียนดูจนจบ แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่างๆ แล้วจึงหาข้อสรุป
2.สอนโดยใช้เทคโนโลยี เป็นการออกแบบเทคโนโลยีขึ้นมาให้เหมือนกับของจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เช่น เครื่องบินจำลอง F 16 ซึ่งภายในห้องทดลองมีการออกแบบที่เหมือนจริงกับเครื่องบิน F16 ทุกประการ
3.สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer Aided Istruction) เนื่องจากยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ มีความทันสมัยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่น เราสามารถสอนผู้เรียนเรียนพิมพ์ดีด โดยการใช้โปรแกรมพิมพ์ดีด เข้าช่วย
ฉะนั้น การเป็นวิทยากรที่ประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เช่น มีการบรรยาย มีการระดมความคิดเห็น มีกิจกรรมนันทนาการ มีการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้จัด วัตถุประสงค์ในการจัด เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับผู้เข้ารับการอบรมหรือผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้การผสมผสานเทคนิคต่างๆ มากหรือน้อย บางเทคนิคก็ไม่สามารถนำเอาไปใช้ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของวิทยากรที่จะต้องวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่างๆ

...
  
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนา การฝึกอบรมที่ดีจึงต้องสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ หากว่าการฝึกอบรมไม่สามารถสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ การฝึกอบรมนั้นๆ จะได้รับประโยชน์ที่ลดน้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมมีประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร และการฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวของบุคลากร ซึ่งผู้เขียนของขยายรายละเอียด ตามข้อความด้านล่างนี้
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร ดังต่อไปนี้
1.ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้ กำไร ให้แก่หน่วยงาน
2.ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา ลดอุบัติเหตุ ลดการลาออกของบุคลากร
3.ช่วยให้เกิดความสามัคคี ช่วยให้เกิดมีทิศทางในการทำงานไปในทิศทางอย่างเดียวกัน
4.ช่วยให้หน่วยงาน ขยายงาน ขยายสาขาได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้หน่วยงาน มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวได้ทันต่อการแข่งขัน
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อบุคลากร ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่บุคลากร
2.เป็นการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีของบุคลากร
3.ทำให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำ
4.ลดการกำกับควบคุม การติดตามการทำงานของบุคลากร
5.เพิ่มศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในการกล้าแสดงออกของบุคลากร

...
  
พูดให้ถูกสถานการณ์
พูดให้ถูกสถานการณ์
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะต้องรู้จักสถานการณ์ในการพูด ในบางสถานการณ์ก็ต้องรู้จัก “ นิ่งเงียบ” เพราะ การนิ่งเงียบก็คือการใช้คำพูดที่ดีที่สุดในภาวะสถานการณ์นั้น หรือในบางสถานการณ์ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพูด เพราะถ้า ไม่พูด เราและคนรอบข้างก็จะเกิดความเดือดร้อนและไม่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นั้น
“นิ่งเงียบ” พวกเราคงได้ยิ่ง คำพูดของคนโบราณที่พูดว่า “พูดไปสองไพร่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในบางครั้ง การนิ่งเงียบ ก็มีประโยชน์และสร้างชัยชนะให้เกิดขึ้นอย่างเหนือชั้น มีคนถามแล้วสถานการณ์แบบไหนละ ที่ควรจะ “นิ่งเงียบ” สถานการณ์ที่เราควรจะนิ่งเงียบ คือ สถานการณ์ที่เราต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกัน การไม่พูดหรือการนิ่งเงียบ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่อีกฝ่ายจนลืมไม่ลง
ครั้งหนึ่งมีนักกีฬา ฟุตบอลคนหนึ่ง อยู่ระหว่างการเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งขัน นักฟุตบอลคนนี้แอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน ซึ่งผิดกฏระเบียบของทีมที่ได้ตกลงกันเอาไว้ โดยหากว่าผู้ใดกระทำการผิด ก็จะถูกโค้ชสั่งให้ลงโทษอย่างหนัก เขาเตรียมรับกับการถูกลงโทษและถ้าอดทนไม่ไหว เขาก็จะขอทะเลาะกับโค้ชและจะลาออกจากทีมไป แต่เมื่อมาถึง โค้ชกับไม่ได้ว่าอะไรเขา แม้แต่คำเดียว แต่โค้ชกลับ “นิ่งเงียบ” ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั้น นักฟุตบอลคนนี้ คือผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีม เขาตั้งใจฝึกซ้อมและไม่เคยหนีเที่ยวอีกเลย
อีกหลายปีต่อมา เขาได้จบการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลอง ปรากฏว่าเขาได้เจอโค้ชคนนี้ที่งานเลี้ยง เขาจึงตรงเขาไปสารภาพว่า “ เขาเคยหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน แทนที่โค้ชจะลงโทษผมอย่างหนัก แต่โค้ชกับนิ่งเงียบ ทำให้ผมไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผมจึงขอสารภาพผิดกับโค้ช” เมื่อนักฟุตบอลผู้นั้น สารภาพผิดจึงเกิดความสบายใจขึ้น
“ขอโทษ” ต้องรู้จักพูดคำว่า “ขอโทษ” อดีตนายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยกล่าวคำคมไว้ประโยคหนึ่งว่า “ ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา” ในเรื่องของการใช้คำพูด เมื่อเราได้มีโอกาสใช้มากเท่าไร โอกาสผิดพลาดก็ยิ่งมีมาก แต่จะทำอย่างไรให้ สิ่งที่เราเคยพูดผิดพลาดไป ทำให้เราเกิดผลเสียกับเราน้อยที่สุด
พวกเราคงเคยเห็นดาราหลายๆ คนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยกล่าวโจมตี บุคคลอื่น จึงทำให้ตนเองเกิดภาพพจน์ที่เสียหายในเวลาต่อมา แต่เมื่อเราทำผิดพลาดแล้ว เราจะทำอย่างไร การพูดคำว่า “ขอโทษ” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ผลเสียอันเกิดจากการพูดลดน้อยลง ดังนั้น จงกล่าวคำว่า “ ขอโทษ” หากว่าท่านเป็นผู้ผิด ดีกว่าจะทำเป็น นิ่งเงียบหรือหาทางแก้ตัว
“ไม่ผูกมัด” นักการทูตที่ดีหรือนักการเมืองที่ดี ไม่ควรพูดผูกมัดตัวเอง แต่ควรมีการเลือกใช้คำพูดประเภทยืดหยุ่น เช่น บางคน บางครั้ง บางเวลา หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น หากมีผู้ใหญ่ที่เรานับถือมาเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเรา เราก็ให้การต้อนรับ หลังจากที่ผู้ใหญ่ท่านนั้น จะลากลับ ก็ได้ชวนเราให้ไปเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเขาบ้าง เราก็ควรหาคำตอบที่มีลักษณะยืดหยุ่นและไม่ผูกมัดตัวเองว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม กระผมจะได้ไปเยี่ยมเยือนท่าน” ซึ่งการพูดลักษณะนี้ มีลักษณะยืดหยุ่นสูง เพราะคำว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม” คำว่า “เหมาะสม” อาจเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ (อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า) แต่ถ้าคนพูดไม่เป็นก็จะรีบพูดผูกมัดตัวเอง “ ขอเป็นเดือนหน้าครับ” ผมไปเยี่ยมเยือนท่าน ซึ่งการพูดลักษณะนี้ เราจะต้องไปจริงๆ หากติดธุระหรือไปไม่ได้ ก็จะเป็นการผิดคำพูด ที่ได้พูดออกไป
ดังนั้น จึงขอสรุปว่า คนที่พูดเก่ง พูดเป็น จะต้องรู้จักใช้คำพูดให้ถูกกับสถานการณ์ เพราะคำพูดของคนเราเป็นทั้งศาสตร์และเป็นทั้งศิลป์ เราจึงต้องควรเรียนรู้ การใช้คำพูดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ คำพูดจึงจะก่อประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึง สังคมและประเทศชาติอีกด้วย

...
  
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
การพูดเป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หลายๆคน มักมีความคิดว่า คนที่พูดเก่ง เขามักมีพรสวรรค์ หรือ พูดเก่ง มาตั้งแต่เกิด การคิดเช่นนี้ จึงทำให้หลายๆคน ไม่อยากที่จะพัฒนาตนเองในด้านการพูด เพราะเชื่อว่า ถึงอย่างไร เราก็พูดไม่เก่ง หรือพูดเก่ง สู้คนอื่นเขาไม่ได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การพูดสามารถฝึกฝนได้ โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าสาธารณชน
หากเราได้มีโอกาส ไปสอบถามนักพูดระดับประเทศ หรือ นักพูดระดับโลก เราก็จะได้คำตอบในลักษณะเดียวกันจากปากของนักพูดท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้ว พวกเรามักจะมองตอนที่เขาประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงทางด้านการพูดแล้ว แต่ถ้าไปสืบค้น เบื้องหลัง กว่าที่นักพูดระดับประเทศ นักพูดระดับโลก จะมีชื่อเสียง เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก เขาจะต้องทุ่มเท เขาจะต้องลงทุน ลงแรง และเสียเวลาในการฝึกฝนและพัฒนาการพูดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง
ดังคำพูดของ ศาสตราจารย์ วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่แห่งประเทศสหรัฐ ได้กล่าวไว้ว่า “ เราไม่ต้องไปวิตกกังวลถึงผลของการฝึกฝนของเราเลย ขอให้ฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ อย่าได้หยุดยั้ง แล้วสักวันหนึ่ง เราจะพบว่า เราไม่ได้เป็นรองใครเลยในวงการหรือยุทธจักรที่เราได้ฝึกฝนไป บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่เขามีความแตกต่างตรงที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักจะเอาจริงเอาจังกับเป้าหมายและไม่เคยท้อแท้ท้อถอยนั้นเอง”
อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ เขาเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนเพียงไม่กี่ปี แต่เขากลับกลายเป็นนักพูดระดับโลก ก็เพราะการฝึกไป เรียนไป
เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เขาเป็นคนพูดติดอ่าง ผู้ฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากที่เขา ฝึกไป เรียนไป เขากลายเป็นนักพูดชั้นเยี่ยมของโลก
เดมอส เทนิส เขาพูดในรัฐสภาครั้งแรก ถูกฮาป่า ถูกดูถูกจากคนทั่วประเทศว่า เป็นคนที่พูดจาไม่มีวาทะศิลป์ การแสดงกิริยาท่าทางน่าเกลียดมาก เขาได้รับการอัปยศอดสู แต่ ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป เขาต้องใช้เวลาในฝึกพูดตามชายหาดทะเลอยู่ยาวนาน เขาฝึกอ่านสำนวนโวหาร และเขาก็ฝึกคิดสำนวนโวหารของตนเอง สุดท้าย เขาได้รับการให้เกียรติจากรัฐสภา และจากคนทั่วประเทศ
ฮิตเล่อร์ อดีต ผู้นำของประเทศเยอรมัน ไม่ได้พูดเก่งมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ด้วยการฝึกไป เรียนไป อย่างสม่ำเสมอ สุดท้าย ฮิตเล่อร์ เป็นนักพูดที่สามารถพูดครองใจคนเยอรมันได้ทั้งประเทศในช่วงนั้น
ฉะนั้น การพูดจึงสามารถฝึกฝนได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน เรามีสถาบันที่ให้การฝึกอบรม มากมาย อีกทั้งมีองค์กรต่างๆเช่น สมาคม ชมรม กลุ่ม ทางการฝึกพูดให้เรา สามารถเข้าไปฝึกฝนได้ เช่น สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , สโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด , ชมรมฝึกการพูดในมหาวิทยาลัย เป็นต้น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อและกล้ายืนยันว่า การพูดเป็นพูดเก่งพูดดี นั้นสามารถฝึกฝนได้ ตอนเด็กๆ กระผมเป็นคนไม่ค่อยพูดมาก พูดไม่เก่ง พูดไม่เป็น แต่พอตอนกระผมได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย จึงได้มีโอกาส เข้าชมรมฝึกการพูด ภายหลังก็ได้มีโอกาสเข้าไปฝึกฝนการพูดที่สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย และ ตอนทำงานก็ได้มีโอกาสไปฝึกฝนการพูดตามสโมสรฝึกการพูดในต่างจังหวัด
แน่นอน หลายคนอาจตั้งคำถามว่า เราอาจเรียนรู้การพูดจากการอ่านหนังสือและการฟังได้ไม่ใช่หรือ แต่แท้ที่จริงแล้ว วิชาการหลายอย่างเราสามารถอ่านและฟังได้ แต่ก็มีวิชาการอีกหลายอย่างที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและการฝึกปฏิบัติ การพูดจึงเป็นวิชาการในประเภทหลังนี้ คือ ต้องมีการอ่านจากในหนังสือและฟังบุคคลต่างๆพูด แต่สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เราพูดเก่ง พูดเป็น พูดดี ก็คือการฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ นั้นเอง

...
  
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
ปัจจัยที่ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน หากท่านต้องการประสบความสำเร็จหรือได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง การใช้เงินในการซื้อเสียง ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นปัจจัยแรกๆ ที่ส่งผลให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่ไม่มีเงินในการซื้อเสียง ท่านอาจจะได้รับชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ก็ด้วยปัจจัยดังนี้
1.องค์กรของรัฐที่ดูแลการเลือกตั้ง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องต่อต้านการซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างเอาจริงเอาจัง อีกทั้งควรเพิ่มบทลงโทษให้หนักและรุนแรงมากขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้เงินในการซื้อเสียงเลือกตั้ง
2.เกิดกระแสฟีเวอร์ เช่น ในสมัยหนึ่ง มีกระแสนิยมในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จนกระทั่งเกิดกระแส จำลองฟีเวอร์ ในขณะเดียวกัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ก่อตั้งพรรคพลังธรรมขึ้นมา แล้วก็ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมากได้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคพลังธรรม ก็เพราะด้วยความศรัทธาในตัวของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นต้น
3.ความเด่น ความดัง ความมีชื่อเสียง หลายๆคนประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง เช่น อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ นักแสดงดัง เขาแสดงภาพยนตร์หลายๆเรื่อง แต่ที่โด่งดังก็คือเรื่อง คนเหล็ก เขาชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2546 และ ปี 2549 สำหรับประเทศไทยเราก็มีคนเด่น คนดัง คนมีชื่อเสียงอีกจำนวนมากที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
4.การตื่นตัวของประชาชน เช่น หลังเหตุการณ์ วันมหาวิปโยค(14 ตุลาคม 2516) และ หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17-20 พฤษภาคม 2535 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียง แต่สามารถได้รับชัยชนะ ก็เนื่องมาจากประชาชนในพื้นที่เกิดการตื่นตัวอยากที่จะได้นักการเมืองที่มีคุณภาพมากกว่าต้องการอามิสสินจ้างใดๆ
5.ความโดดเด่นทางการพูด นักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ชนะการเลือกตั้งโดยไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงก็เนื่องมาจากความสามารถในการพูด เช่น อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้มีฐานะการเงินที่ดี แต่เขามีความสามารถในการพูดการสื่อสาร , อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของชาวเยอรมัน ครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่สูงดีนัก เขาเคยไปเป็นกรรมกร เขาเคยเป็นจินตกรขายภาพวาดสีน้ำ แต่สุดท้ายเขาได้เป็นผู้นำของประเทศเยอรมันนี ก็ด้วยเพราะความสามารถในการพูดจูงใจคนของเขานั้นเอง ประเทศไทยของเราก็มีนักการเมืองหลายๆคนที่มีความสามารถในการพูด ซึ่งทำให้ได้รับชนะในการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง
6.การสร้างผลงานและการสะสมผลงาน นักการเมืองหลายๆคน ได้รับชัยชนะโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองได้ สร้างผลงานฝากไว้ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดหลายๆคน ได้มีการพัฒนา ได้มีการปรับปรุง ได้มีการสร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆให้กับจังหวัดหรือในพื้นที่ ที่ตนไปอยู่ การฝากผลงานและการสะสมผลงาน ให้กับคนในพื้นที่เป็นจำนวนมากๆ เมื่อเกษียณอายุแล้ว ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยไม่ได้ใช้เงินในการซื้อเสียง
ปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ประสบชัยชนะโดยไม่ต้องใช้เงินในการซื้อเสียง ซึ่งบุคคลที่ประสบชัยชนะไม่จำเป็นจะต้องมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทุกปัจจัย บางคนมีแค่ 1-2 ปัจจัยก็สามารถนำมาซึ่งชัยชนะในการเลือกตั้งโดยไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือ ความรัก ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ใช้เงินในการซื้อเสียงจะต้องมีมากพอที่จะเอาชนะอำนาจเงินของนักเลือกตั้งที่ใช้เงินในการซื้อเสียงได้







...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.