หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด

5
...
  

5
...
  

5
...
  

5
...
  
ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
ทำงานอย่างไรให้มีความสุข
ทำไม…? จึงต้องเสริมสร้างความสุขในการทำงาน

ชีวิตคนทำงานส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาอยู่กับงานประมาณวันละ 7-8 ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำหรือประมาณ 1 ใน 3 ของเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน และถ้าหักเวลาในการทำงานมากถึงครึ่งหนึ่งของเวลาในชีวิตที่เราตื่นอยู่ทีเดียว
การเสริมสร้างความสุขในการทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะนอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังทำให้ผลงานออกมาดี มีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าพอใจ ส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เกิดความภาคภูมิใจในตนเองและทำให้หน่วยงานเจริญก้าวหน้าไปด้วยเช่นกัน

จะรู้ได้อย่างไรไม่มีความสุขในการทำงาน
คนที่ไม่มีความสุขในการทำงาน มักมีลักษณะต่างๆ ให้สังเกตได้ ดังนี้
ด้านร่างกาย : มักจะเจ็บป่วยบ่อยๆ เช่น ปวดศีรษะ ไมเกรน ปวดท้อง เป็นไข้หวัด ภูมิแพ้ ปวดหลัง ปวดไหล่ อ่อนเพลีย ใจสั่น นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ทำให้ต้องลาป่วย หรือขาดงานเป็นประจำ
ด้านจิตใจ : มักจะวิตกกังวล คิดมาก คิดฟุ้งซ่าน หลงลืมง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย ไม่มีสมาธิในการทำงาน ใจน้อย เซ็งชีวิต ซึมเศร้า หวาดระแวง ไม่มีความสุข ทำให้ใบหน้าเคร่งเครียด เศร้าหมอง ไม่น่าดู และยังขัดแย้งกับคนใกล้ชิดได้ง่ายด้วย
ด้านพฤติกรรม : มักจะสูบบุหรี่จัด ดื่มสุรามากขึ้นอาจใช้ยากระตุ้นหรือยาเสพติดต่างๆ ชอบชวนทะเลาะจู้จี้ขี้บ่น เก็บตัว ฯลฯ ทำให้เสียความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิดทั้งที่บ้านและที่ทำงาน และยังทำให้เสียการเสียงานด้วย
จากลักษณะอาการต่างๆ ข้างต้น หากเกิดขึ้นกับใครๆ ก็พอจะประมาณตัวเองได้แล้วว่าไม่มีความสุขกับการทำงานแน่นอนแล้ว ดังนั้นจึงขอเสนอวิธีเสริมสร้างความสุขในการทำงาน ได้แก่
*พัฒนาทักษะในการทำงาน
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่ค่อยมีความสุขในการทำงานคือ ต้องทำงานที่ไม่ถนัด งานที่ยาก งานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ ทำให้หมดกำลังใจในการทำงาน
ดังนั้นหากสามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในการทำงานมากขึ้น โดยการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ตำรา ดูโทรทัศน์ สมัครเข้ารับการฝึกอบรมระยะสั้น หาโอกาสเรียนต่อนอกเวลาทำงน จะช่วยให้ทำงานได้คล่องขึ้น ผิดพลาดน้อยลง ประสบความสำเร็จมากขึ้นได้

*พัฒนาทักษะการดำเนินชีวิต
คนที่ไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต มักจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เอาแต่ใจตนเอง เข้ากับผู้อื่นไม่ค่อยได้ ฯลฯ
ดังนั้น หากสามารถพัฒนาตนเองให้มีทักษะในการดำเนินชีวิตได้ดีขึ้น ก็จะทำให้มีความสุขมากขึ้น
ทักษะการดำเนินชีวิตที่ควรพัฒนา ได้แก่
*การตัดสินใจ โดยใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
*การแก้ปัญหา โดยแก้ที่สาเหตุที่เป็นจริง ไม่เข้าข้างตัวเอง และก็ไม่โทษผู้อื่น ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ถ้าคิดไม่ออกก็อย่าอายที่จะปรึกษาผู้อื่น
*การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดและทำในสิ่งใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้น คิดทางบวก ชีวิตนี้ยังมีหวังอย่าเพิ่งท้อแท้เสียก่อน
*การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นผู้ฟังที่ดีตั้งใจฟังเวลาคนอื่นพูด โดยหมั่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา หัดวิเคราะห์ความต้องการของผู้อื่นจะได้ตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ไม่เอาแต่ใจตนเอง
*การควบคุมอารมณ์ โดยระมัดระวังอย่าโกรธจัดจนก้าวร้าว หรือคิดมาก ใจน้อย จนชีวิตหดหู่ ให้ยิ้มสู้เข้าไว้แล้วอารมณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
* พัฒนาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงาน
สถานที่ทำงานเปรียบได้กับบ้านที่สองของเรา จึงควรดูแลให้น่าอยู่ น่าทำงาน อยู่เสมอ เพื่อความสุขในการทำงาน เช่น
*ดูแลโต๊ะทำงานให้สะอาด จัดของให้เป็นระเบียบเพื่อจะได้หยิบใช้ได้สะดวก ไม่ต้องอารมณ์เสียเพราะหาของไม่พบ
*หาของที่จะช่วยเตือนให้มีกำลังใจในการทำงานวางไว้ใกล้ๆ ตัว เช่น ภาพครอบครัว คนรัก ของที่ระลึกเมื่อครั้งหน่วยงานส่งไปดูงานต่างประเทศ ของขวัญที่ลูกค้าให้เพื่อตอบแทนน้ำใจที่ได้รับบริการที่ดี บทกลอนเตือนใจ เป็นต้น
*จัดวางกระถางต้นไม้ แจกันดอกไม้ ไว้ในบริเวณที่ทำงาน เพื่อสร้างความสดชื่นให้กับสถานที่ทำงาน
*เปิดเพลงเบาๆ ขณะทำงาน เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและทำงานได้อย่างเพลิดเพลิน
*ช่วยกันออกความคิด และลงมือลงแรง สละเวลา จัดสถานที่ทำงานให้น่าอยู่ น่าทำงาน เพื่อความสุขร่วมกัน
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่าวิธีเสริมสร้างความสุขในการทำงาน หรือทำงนให้มีความสุขนั้น มีแนวทางอยู่ 3 ประการ คือ

การพัฒนาทักษะในการทำงาน
การพัฒนาทักษะในการดำเนินชีวิต
และการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
แต่เมื่อมนุษย์มิใช่เครื่องจักรมีชีวิตจิตใจ การทำงานที่จะต้องพบกับปัญหาอุปสรรค การตัดสินใจตลอดจนภาวะแวดล้อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมากมายสิ่งที่ตามมาก็คือ ความเครียดจากการทำงานดังนั้นเมื่อ มีความเครียดทางออกก็มีหลายวิธี ได้แก่
*การออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬากับเพื่อนๆ หลังเลิกงาน
*การไปพบปะสังสรรค์ รับประทานอาหารกับเพื่อนฝูง
*การดูละครโทรทัศน์ ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง
*การเล่นกับลูกๆ หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง
*การรดน้ำต้นไม้ ดูแลไม้ดอกไม้ประดับที่บ้าน
*การทำการฝีมือ เย็บปักถักร้อย
*การซ่อมแซมของใช้ในบ้าน ตกแต่งบ้าน
*การอ่านหนังสืออ่านเล่น หนังสือธรรมะ
*การสวดมนต์ไหว้พระ การทำสมาธิ โดยการทำใจให้สงบหายใจเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ และนับลมหายใจไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ เพื่อให้การทำงานไม่เกิดอาการเบื่อหรือเซ็งกับงานที่ทำ ก็ควรจะกำหนดเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน มิใช่ทำงานไปวันๆ และมองไม่เห็นอนาคต กล่าวคือ ท่านแนะนำว่า ให้วางเป้าหมายชีวิตให้ชัดเจน มิใช่ทำงานไปวันๆ และมองไม่เห็นอนาคต กล่าวคือ ท่านแนะนำว่า ให้วางเป้าหมายในชีวิตในการทำงานให้ชัดเจน มีกำหนดเวลาที่แน่นอนมีวิธีปฏิบัติที่สามารถกำหนดได้จริงจะช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นและสนุกกับการทำงานมากขึ้นได้ ซึ่งสามารถกำหนดเป้าหมายชีวิตการทำงานได้ทั้งระยะสั้น ว่างานนั้นที่ควรเสร็จเมื่อใด และทำให้ได้ตามนั้นก็จะเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ส่วนระยะยาวก็ควรมองอนาคตว่าอีก 5 ปี 10 ปี เราควรจะอยู่ที่ตำแหน่งใด ยังจะทำหน้าที่เดิมหรือไม่ ถ้าจะเปลี่ยนงานจะเป็นงานอะไรต้องการคุณสมบัติอะไร เรามีคุณสมบัติตามนั้นหรือยัง เราจะได้รู้ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรต่อไป ซึ่งการมีความหวังหรือคาดการณ์อนาคตที่ดีอยู่ข้างหน้า จะช่วยให้สามารถอดทนฟันฝ่าอุปสรรคปัจจุบันไปได้ และทำให้รู้สึกสนุกกับงานมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

________________________________________
ที่มา : วารสารกรมประชาสัมพันธ์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 102 มิถุนายน 2548
เผยแพร่โดยภาควิชาการบัญชี
...
  
ศิลปะการพูดในที่ชุมนุมชน
โดย สมชาย หนองฮี
ศิลปะการพูดในที่ชุมนุมชน

บันไดขั้นที่ Œ มีงานเข้า..แล้วเราจะพูดอย่างไร ?

“มีงานเข้า.. มีงานเข้า.. มีงานเข้า..”

เสียงริงโทนโทรศัพท์ ดังไม่เท่าไร งานเข้าจริงๆครับ เชิญเราไปพูด เราจะทำอย่างไรดี ปฏิเสธทันทีดีมั๊ย ได้แต่ย่อมไม่ใช่มืออาชีพอย่างเราแน่ แต่แปลกนะที่ผ่านมาเห็นขึ้นพูดทีไรส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทเอาตัวรอดไปงานๆ นานๆจะเจอตกม้าตายคาเวทีซะที

เอ๊ะ ทำไมการพูดกับคนเยอะๆ หรือพูดในที่ชุมนุมชนนี่มันยากนักรึยังไง ทำไมถึงพูดกันไม่ค่อยได้ สาเหตุที่เป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นรู้ไม่เท่าทัน 4 ไม่….

1. ไม่รู้ว่าการพูดในที่ชุมนุมคืออะไร?

2. ไม่รู้ว่าการพูดในที่ชุมนุมชนมี่กี่แบบ?

3. ไม่รู้ว่าการพูดในที่ชุมนุมชนมี่กี่วิธี?

4. ไม่รู้ว่าเราจะเป็นนักพูดที่ดีต้องมีคุณสมบัติย่างไร?

เราไม่รู้ว่าการพูดในที่ชุมนุมคืออะไร?



(ภาพการ์ตูนการพูดในที่ชุมนุมชน)

การพูดในที่ชุมนุมชน คือ การสื่อความคิดจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง โดยอาศัยน้ำเสียง ภาษา กริยาท่าทางเป็นสื่อ เราจึงสามารถสาบาน ฟันธง และ คอนเฟิร์ม ได้เลยว่า การพูดในที่ชุมนุมชนนั้น คือ การสื่อความคิดของเราไปยังผู้ฟัง โดยอาศัยน้ำเสียง น้ำเสียงครับไม่ใช่น้ำเลี้ยง แต่เป็นการเปล่งเสียงออกทางปากเท่านั้น เพราะถ้าออกทางอื่นผู้ฟังอาจจะบอกเราว่าเสียงดังดีแล้ว แต่กลิ่นต้องปรับปรุงหน่อย

“น้ำเสียง” ที่ดีในการพูดในที่ชุมนุมชนต้องเสียงดังฟังชัด เพราะเป็นการพูดในที่ชุมนุมชนไม่ใช่การพูดกันสองต่อสอง ที่ต้องคอยกระซิบกระซาบยังกะจะกลืนกินหูกันก็มิปาน ดังนั้นการพูดเสียงต้องดัง แต่ไม่ต้องตะโกน แต่ต้องพูดให้ได้ยินกันถ้วนทั่วทุกตัวคนโอ เค

“ภาษา” ที่ใช้ในการพูดในที่ชุมนุมชนนั้นควรจะเป็นภาษามนุษย์ เกล้ากระผมหมายถึงว่ามนุษย์คนเดินดิน กินข้าวแกงทั่วไปฟังปุ๊บเข้าใจปั๊บ GET ไวไม่ต้องปีนบันไดขึ้นไปฟัง นั่นคือต้องเป็นภาษาชาวบ้านที่หนังสือพิมพ์หัวสีเขาใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแล

“กริยาท่าทาง” ก็ต้องมีเพราะการใช้ท่าทางประกอบการพูด ก็เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ใช้เพื่อแสดงว่าผู้พูดมีชีวิตอยู่ เพราะบางคนพูดนี่ยืนตัวตรงเป๊ะ มองไกลๆนี่แข็งโป๊ก ทั้งเนื้อทั้งตัวนิ่งยังกะตอไม้ที่ตายแล้ว ยืนทำปากขมุบขมิบอยู่ และก็มีแต่ปากเท่านั้นเองที่ส่งสัญญาณว่าผู้พูดยังคงมีลมหายใจอยู่

เรานักพูดก็ต้องมีท่าทางประกอบบ้างเพื่อสร้างความน่าสนใจและ เพิ่มความเข้าใจ เร้าใจ ให้มากยิ่งขึ้น

เมื่อเราเข้าใจองค์ประกอบทางการพูดที่ว่า นอกจากน้ำเสียง ภาษา กริยาท่าทางที่ใช้เป็นสื่อไปถึงผู้ฟังแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้จะต้องครบถ้วน ไม่อย่างนั้น การพูดของเราก็เหมือนขาดสารปรุงรสที่ มิอาจอร่อยได้ในพริบตา

การพูดในที่ชุมนุมชนมี่กี่แบบ?

ต้องเรียนท่านผู้มีเกียรติและมีกินทั้งหลายว่า แบบของการพูดมีส่วนสำคัญที่เราจำเป็นจะต้องรู้ เพราะเราไปพูดในแต่ละงาน เราจะใช้การพูดแบบไหนต้องให้สอดคล้องกับบรรยากาศและวัตถุประสงค์ของงานนั้นๆ แบบทางการพูดก็เหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เราแต่งไปในงานต่างๆนั่นแหละ เพราะธรรมชาติการจัดงานมีวัตถุประสงค์ที่แปลกและแตกต่าง เราเองก็ต้องเลือกใช้แบบทางการพูดให้ถูก

การพูดนั้นท่านว่า ท่านไหนก็ไม่ทราบ อย่าเซ้าซี้เลย ไม่ทราบจริงๆครับ เพราะผมไม่ใช่คนแถวนี้ ท่านบอกไว้ว่าการพูดมี 3 แบบคือ





1. การพูดแบบจูงใจหรือชักชวน

“ พี่น้องเอ๊ย”

“เอ๊ย”

“สู้ไม่สู้”

“สู้”

บรรยากาศอย่างนี้ เป็นบรรยากาศการชุมนุมในม๊อบต่างๆ เป็นการพูดกระตุ้นต่อมอยากและปลุกใจ บรรดาพ่อยกแม่ยก แฟนคลับประจำม๊อบให้มีจิตใจฮึกเหิม และห้าวหาญ เป็นการพูดจูงใจให้กระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง




“ท่านประธานที่เคารพ ผมสมชาย หนองฮี สมาชิกสภาโจ๊กจากจังหวัดร้อยเอ็ด ขออนุญาตใช้สิทธิ์พาดพิงครับท่านประธาน ท่านประธานครับ ที่ท่านสมาชิกผู้ทรงเกือกจากทางฝ่ายแค้น ที่กล่าวพาดพิง ถึง นามสกุล “หนองฮี” ของกระผมว่าเป็นหนองฮีเล็ก หนองฮีน้อยอย่างนั้นอย่างนี้ เสียหาย ครับท่านประธาน เสียหาย

ท่านปะธานครับ ผมสมชาย หนองฮี จากร้อยเอ็ด จริงครับที่ร้อยเอ็ดมี 2 หนองฮีแต่หนองฮีของกระผมนี่เป็น “หนองฮีใหญ่” ครับท่านประธาน ไม่ใช่ “หนองฮีน้อย” ตามที่ฝ่ายแค้นกล่าวหา

ท่านพูดอย่านี้สุภาพสตรีที่หนองฮีเขาเสียหาย จริงอยู่กระผมเองเกิดและเติบโตที่หนองฮีใหญ่ แต่เมื่อเจริญวัยและเพื่อความก้าวไกลทางการศึกษา ผมต้องจากหนองฮีใหญ่ เดินทางไกลไปอยู่ “หนองฮีน้อย” เพื่อไปเล่าเรียนในชั้นที่สูงขึ้น

ท่านประธานครับ ท่านประธานลองตรอง... ตรองดูเถิดหนาว่า คนที่เกิดและเติบโตมากับหนองฮีใหญ่ รักและผูกพันธ์อยู่กับหนองฮีใหญ่ แต่จำต้องจากไกลเพื่อไปอยู่หนองฮีน้อย จิตใจมันจะเศร้าสร้อยขนาดไหน..”

การอภิปรายไม่ว่า สภาจริง หรือ สภาโจ๊ก ต้องใช้การพูดชักชวนหรือจูงใจเป็นหลัก การประชุมฝ่ายขายประจำปี การจัดงานเลิ้ยงสังสรรค์ขอบคุณพนักงานของ บริษัท ซีอีโอ ก็ต้องใช้การพูดจูงใจเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนทำตามสายัณห์ เป้า ครับ เป้า เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ได้








การเทศนาของ ท่าน ว.วชิรเมธี ทุกครั้งล้วนแต่มีคำพูดที่กินใจ คมคาย เตือนนิดสะกิดหน่อยให้เราได้ฉุกคิด ซึ่งท่านได้เทศนาชักชวนจูงใจเหล่าสาธุชนทั้งหลายให้ได้สติ ให้ได้คิด ทุกถ้อยคำล้วนแต่ทรงคุณค่าชักพาจิตใจไปสู่สุคติ สาธุ สาธุ

ปราชญ์แห่งปราชญ์ของยุคสมัย ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต )ทุกเทศนา ทุกวาทกรรม ล้วนเป็นคำแห่งปราชญ์ที่ซาบซึ้งถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ น้อยคนนักที่ฟังท่านแล้วไม่เคลิบเคลิ้มและคล้อยตามเป็นท่านเป็นนักเทศน์จูงใจขั้นเทพ

ท่านรจนาหนังสือไว้มากมาย อาทิ “พุทธธรรม” คำสอนที่เป็นแก่นแท้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่หนังสือเล่มเล็กๆที่คอยเตือนสติคนไทยที่หัวใจไร้รากทั้งหลายที่ชื่อ “คนไทยใช่กบเฒ่า” อ่านแล้วไม่รู้ว่าจะสุขหรือเศร้าดี..

กบเอ๋ย.....

กบเฒ่า เฝ้าบัวบาน นานแล้วหนา

อยู่ใต้บัว ไม่เห็นบัว โอ้...อนิจจา

ภมรมา บินช้อน เกสรไป

เห็นมั้ยครับว่า การพูดแบบจูงใจ หรือ ชักชวน จึงมีบทบาทสำคัญที่ผู้บริหาร หัวหน้างาน หรือทุกคนที่ต้องการให้คนอื่นทำตามสิ่งที่เราต้องการ ดังนั้นต้องเลือกให้ถูกว่าเราไปงานอะไรจะใช้การพูดแบบไหนถึงจะดีที่สุด






2.การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย

“ นี่เจนนี่ ..ครูบอกกี่หนแล้วว่าไม่ให้ฯฎ BB มา CHAT ในห้อง”

“ ค่ะ ”

“ อย่ามาแช๊ตให้ครูได้เห็นเชียว เดี๋ยวโดนแว๊ตแน่ๆ”

การเรียนการสอน ของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็เป็นแบบบรรยายและมีบอกเล่าผสมผสานกันไป อ้าวอย่าพึ่งงงครับ

การพูดแบบบอกเล่าคือการนำประสบการณ์ ความเข้าใจ ของผู้พูดมาเล่าสู่กันฟัง

การพูดแบบบรรยายเป็นการพูดที่มีโน๊ตย่อ หรือมีไกด์ไลน์ เป็นหัวข้อต่างๆอย่างย่อๆแล้วก็พูดตามหัวข้อนั้นๆโดยมีการยกตัวอย่าง เรื่องจริงผ่านความจำที่ผ่านมามาประกอบการบรรยายเพื่อให้คนเข้าใจมากขึ้น UNERSTAND ?

ดังนั้นการพูดท่านวิทยากร บรรดาคณาจารย์ผู้เที่ยวสอนลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ ก็เป็นแบบบอกเล่าหรือบรรยาย ดารานักแสดงที่มาสอนเรื่อง “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” คือง่ายนิดเดียวแต่ยากมาก ก็ล้วนแต่เป็นการบอกเล่าหหรือบรรยายทั้งสิ้น

แล้วการเล่านิทานละเป็นการบอกเล่าหรือบรรยาย โถชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเล่านิทาน มันบรรยายนิทานซะที่ไหนละ การสอนงานของหัวหน้างานผู้ชาญฉลาดก็เป็นแบบการบอกเล่าหรือบรรยายเช่นกัน

การกล่าวอวยพรในงานแต่ง วันเกิด ขึ้นบ้านใหม่ หรือโอกาสพิเศษต่างๆที่ไม่เป็นทางการก็ล้วนแล้วต่เป็นการบอกเล่าทั้งนั้น

สรุปว่าการพูดในแบบนี้ฮ๊อตฮิตติดชาร์ตมายาวนานเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในแทบทุกสาขาอาชีพเลยทีเดียวเชียว เด้อ สิบอกไห่







3.การพูดแบบบันเทิง

ถ้าทอดสายตาไปทั่วแผ่นดินแล้ว ณ เพลานี้ (อ่านว่า เพ-ลา-นี้) ไม่มีใครกินโนส อุดม แต้พานิช ได้ ไม่ใช่เพราะเราเลิกกินคนมานานแล้วหรอกครับ แต่เพราะความสามารถในการ “เดี่ยวไมค์โครโฟน” ที่มีมุมมองที่โดนใจวัยโจ๋สุดๆ ถ่ายทอดออกมาฮาตรึม ฮาตรึม

ในประดานักพูดอาจารย์จตุพล ชมภูนิช ก็ยังคงสามารถครองมือวางอันดับหนึ่ง แม้ช่วงหลังจะเน้นไปทาง “ดันดารา” งานพูดทอล์คโชว์เดี่ยว ที่ครบเครื่องก็ยังคงต้องยกนิ้วให้ ในขณะที่ต้นตำรับ เจ้าเก่าสูตรดั้งเดิมในการ “ทอล์คโชว์” คืออาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ก็ยังมีแฟนคลับอยู่มาก

นอกจากนี้ยังมี ครูบาอาจารย์ด้านการพูดที่มีสูตรการทอล์คโชว์ดังนี้

“ทอล์คโชว์การเมืองเรื่องขำขัน ยกนิ้วให้พลันท่านอาจารย์สุขุม นวลสกุล ทอล์คมันสะใจด้านการตลาดยุคนี้ต้อง ดร.เสรี วงษ์มณฑา ทอล์คศิลปะวัฒนธรรมแล้วฮาต้องเรียกหาอาจารย์อภิชาติ ดำดี

ทอล์คทะลึ่งกึ่งทะเล้นใครเห็นต้องเฮคืออาจารย์สเน่ห์ ศรีสุวรรณ ทอล์คแล้วมันแน่นอนต้องอาจารย์ถาวร โชติชื่น ทอล์คแล้วชื่นมื่นครอบครัวชื่นชม ต้องอาจารย์พนม ปีย์เจริญ ทอล์คให้เมินโลกใฝ่ธรรมนำคติให้คิดต้อง อาจารย์ผาณิต กันตามระ

ทอล์คให้ละวาง โลภ โกธร หลง ต้องท่านอาจารย์สุรวงศ์ วัฒกูล ทอล์คไม่ให้สูญความเชื่อมั่น ต้องอาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ทอล์คให้ดิดชีวิตมีค่า ต้อง ดร.นันทนา นันทวโรภาส ทอล์คที่ประกาศความไม่แน่นอนของชีวิต อดีตเจ้าของทีวีวาทีมีนาว่ากรรณิกา ธรรมเกษร นั่นไง ”

เอาละญาติโยมทั้งหลาย หันมาทางวัดบ้าง สุดยอดพระอาจารย์รุ่นเก๋า ก็ต้องพระพยอม กัลยาโณ แห่งวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ท่านเจ้าคุณพระราชวิจิตรปฏิภาณ (พระพิพิธธรรมสุนทร)แห่งวัดสุทัศน์ พระมหากิตติศักดิ์ กิติโสภโณ แห่งวัดเชตุพนหรือวัดโพธิ์ท่าเตียนและใหม่แกะกล่องล่าสุด มาในรูปแบบ “ธรรมะดีลีพเวอร์รี่” ก็ต้อง พระมหาสมปอง ตาลปุตโต แห่งวัดสร้อยทอง เขตบาง ซื่อ กรุงเทพมหานคร

เราจะเห็นได้ว่า การพูดแบบบันเทิงนั้นนอกจากการเดี่ยวไมค์ การทอล์คโชว์ การโต้วาที การแซววาที ก็เป็นการพูดแบบบันเทิงด้วย ดังนั้นเราจะใช้การพูดแบบไหนในงานอะไรเราก็จะใช้ให้ถูกให้เหมาะให้ควรด้วย (ขออภัยที่ใช้คำนี้ “ควรด้วย” )

พอมาถึงตรงนี้หลายคนมาถึงบางอ้อคือ เริ่มเข้าใจว่าการพูดมันมี 3 แบบเท่านี้แหละ แต่บางคนก็ยังอยู่บางจะเกร็ง คือ เกร็งไปซะหมดว่าแต่ละงานมันจะต้องพูดยังไงกันแน่ บางท่านยังอยู่บางซื่อคือไปงานไหนๆก็พูดได้อยู่แบบเดียว อย่างนั้นไม่ถูกต้องครับ ต้องรู้จักปรับการพูดตามสภาพงานแบบบางเลนครับ แว๊บไปทางไหนก็พอได้บ้าง ไม่ยึดติดแบบใดแบบหนึ่ง พริ้ว ครับ พริ้ว

แท้ที่จริงแล้วการพูดทั้ง 3 แบบนี้ถ้าสามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ก็จะเป็นำการพูดที่สนุกสนาน สร้างความรื่นเริง บันเทิงใจ ให้ข้อคิด ติดอาวุธทางปัญญา

อย่าง “ธรรมะดีลีพเวอรรี่” ของพระมหาสมปอง ตาลปุตโต เป็นการพูดธรรมทั้ง 3 แบบการพูดนี้ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน คือจูงใจก็มี บันเทิงก็ได้ แบบบรรยายก็แจ๋ว คลุกจนเป็นเนื้อเดียวกันเลย ความสำเร็จก็อย่างที่เห็นกันอยู่

Ž เลือกการพูดถูก “วิธี” ล้วนมีชัย

นอกจากแบบทางการพูด ทั้ง 3 แบบแล้ว เรายังมีวิธีการพูดอีกด้วย ทำไมเราต้องรู้วิธีทางการพูด เพราะการเลือกวิธีทางการพูดที่ถูกต้องจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการพูดครั้งนั้นๆ อย่างแน่นอน ในทางการพูดในที่ชุมนุมชนนั้น เราจะพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญเท่าวิธีที่เราพูด

ดังนั้นวิธีทางการพูดจึงมีความสำคัญที่สุด ซึ่งมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน






วิธีแรก การพูดแบบท่องจำ

วิธีการพูดแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บรรดานักพูดมือใหม่ทั้งหลาย ร้อยละ 99.99 ท่องจำมาพูด การท่องจำมาพูดนิดๆหน่อยๆได้แต่ถ้าท่องจำมาพูดทั้งหมด รับรองว่า “หนาวเริ่มมาเยือนแล้วน้อง..” เพราะการท่องจำสิ่งที่ต้องพูดทั้งหมดทำให้เราเจอปัญหามากมาย อาทิ

ข้อเสีย

1.ลืม

ในทางการพูดเราอยากจะเป็นคนที่ลืมไม่ลงจริงๆ แต่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น เวลามีอาการประหม่า การพูดก็จะตะกุกตะกัก บทกลอนที่ท่องมาอย่างดี เครื่องดันไม่ฟิต สตาร์ทติดอีกทีก็มีน้ำเสียงที่สั่นเครือ....

“อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งมาเอง เอ้อ หลั่งมาเอง.. หลั่งมาเอง...”

มีผู้ฟังด้านล่างเวทีตะโกนขึ้นมาว่า .....

“พอเถอะครับ อย่าหลั่งอีกเลย ข้างล่างนองเต็มไปหมดแล้ว”

เมื่อการพูดจบเป็นแบบนี้คิดดูก็แล้วกันว่าสภาพศพจะเป็นอย่างไร แต่มันก็มีทางออกที่ดูดีในกรณีที่เราพูดบทกลอนไปแล้ว ลืม ไม่ได้ท่องมาทั้งหมดหรอกท่องมาสั้นจิ๊ดเดียว กะพูดปั๊บทุกผู้ต้องคอยสดับและเงี่ยหูฟัง

เพื่อนๆนักศึกษาทั้งหลาย......

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย

ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว”

นี่สั้นๆแค่นี้อุตส่าห์คัดสรรบทที่สั้นที่สุดแล้ว มันมีสี่บรรทัดแค่นี้จริงๆ แต่เวลาพูดจริงมันได้แค่ “ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึงมาหาความหมาย”

สัญญาณหายครับท่านผู้ชม อยู่ก็หายไปหายไปซะงั้น “ไม่มีสํญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเอิ้น (เรียก)” กวีสองบทสุดท้ายหายไปกับสายลม ทำไงดี ทำเนียนครับ

“ เพื่อนๆนักศึกษาครับ บทกวี ของ คุณวิทยากร เชียงกูล สองบทนี้ ก็เพียงพอแล้ว ที่จะบอกกล่าวกับพวกเราว่า เรามาที่นี่ ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เพื่ออะไรกันแน่” แค่นี้ก็พอ

2.พูดไม่เป็นธรรมชาติ

รู้ได้อย่างไรว่าการพูดเป็นธรรมชาติหรือไม่ อีโธ่ ผู้ฟังแค่เห็นอ้าปากเขาก็รู้ถึงไส้ติ่งแล้ว เพราะธรรมชาติของคนที่ท่องมาพูด จะไม่กล้าสบตาผู้คน พูดจบประโยคนึงสายตาก็จะเหลือบมองขี้เกี้ยม (จิ้งจก)บนเพดานโน่น หรือไม่ก็ก้มดูหัวรองเท้า สบตาคนฟังไม่ได้นะครับ สบตาเพื่อน เพื่อนยักคิ้วให้ลืมเลย

น้ำเสียงจะเป็นเหมือนท่องมาชัดเจน การเว้นวรรค จังหวะทางการพูดจะแปลก การพูดแบบท่องจำมาทั้งหมดเลย จึงเป็นเรื่องเสี่ยงเกินไปที่นักพูดมือใหม่หัดพูดอย่างเราจะเอาตัวไปเป็นหนูทดลองได้

3.ตกม้าตายในที่สุด

เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นกับผู้เขียน พอลืมปั๊บทำอะไรต่อไม่ถูก สะดุดไปครึ่งนาที แค่นี้เองแต่สำหรับเราแล้ว ครึ่งนาทีมันพอๆกับครึ่งปี ทำไมมันนานอย่างนี้ แล้วพอเริ่มใหม่ก็พอถูไถไปได้ แต่ความมั่นใจมันโบยบินหนีไปไกลมากแล้วและความเชื่อมั่นของผู้ฟังที่มีต่อเราก็ไม่เหลืออีกเลย

อย่าออกอาการให้เห็นเก็บอาการให้เป็นอย่า “....โสงโหลงเส็งเหลง มันเป็นโสงโหลงเส็งเหลง ตึ่ม ตึ่ม ๆๆๆ จั่งซี้มันต้องถอน ..” อย่าครับอย่า เก็บคางดีๆแล้วรีบหนีไปพูดอย่างอื่นต่อไปนักพูดมือใหม่หัดถือไมค์ส่วนใหญ่พอลืม ทำอาการตาเหลือกให้ผู้ฟังจับได้ บรรยากาศยิ่งวังเวงครับ เราผู้พูดต้องทำเป็นผู้กำหนดผู้ฟัง อย่าให้ผู้ฟังกำหนดเรา ไม่อย่างงั้นเสร็จเขาแน่

ข้อดี

1.เป็นผงชูรสให้การพูด การท่องมาพูดในบางช่วงจะเป็นการสร้างสีสัน ความน่าฟัง ความตื่นเต้น เร้าใจให้ผู้ฟัง ฟังแล้วไม่น่าเบื่อหน่าย ชวนติดตามอยู่ตลอดเวลา

2.สร้างความแปลกและแตกต่าง นักพูดที่มีคำคม คำกลอนสอนใจ อยู่เป็นช่วงๆจะได้รับการยกย่องชื่นชมและแน่นอนย่อมแปลกจากนักพูดคนอื่นๆและสร้างการจดจำได้ง่าย

ปัญหามีอยู่ว่าแล้วจะท่องอะไรมาพูดดี “ บทกลอน คำคม คำพังเพย สุภาษิต หรือแม้กระทั่งคำคมที่พูดแล้วบาดเข้าไปในหัวใจคนฟัง ”

แล้วเอามาสอดแทรกส่วนไหนของการพูด ตอนเริ่มต้นของประโยคได้มั้ย... ได้ ตรงกลางละได้มั๊ย... ได้ ตอนท้ายละได้มั๊ย... ได้ ได้ทั้งนั้นเลยครับ แล้วถามทำไมมากมายละครับนี่...ได้ เอ๊ย พอแล้ว

“ท่านทั้งหลายครับ ชีวิตของคนๆหนึ่งเกิดและเติบโตมา เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องมีครอบครับ มีผูกล่าวเอาไว้ว่า “การเริ่มต้นชีวิตคู่ เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง” วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมขอยกบทกวีท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่พูดถึงชีวิตคู่ว่า

“อนิจจาน่าเสียดาย ฉันทำชีวิตหายครึ่งนึ่ง

ส่วนที่สูญนั่นลึกซึ้ง มีนำผึ้งบุหงาลดามาลย์”

เห็นมั๊ยครับว่า เวลามีบทกลอน กวี เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้การพูดน่าฟังมากยิ่งขึ้น น่าติดตามมากยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นว่าต้องท่องมาพูด ขอแค่กลอนบทสั้นๆ คำคมสักประโยค ประกอบการพูดช่วงใดช่วงหนึ่ง พูดออกมาเสียงดัง ฟังชัด ไม่หลงไม่ลืม ก็จะทำให้การพูดของเราดูเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลขึ้นมาทันที

3.สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

การพูดแบท่องจำมีดีตรงไหน ตรงนี้ครับ ตรงที่ไปงานไหนก็เตรียมบทกลอนไปพูดให้สอดคล้องกับบรรยากาศของงานนั้นๆ สั้นๆ เป๊ะๆ รับรองได้ใจคนฟัง เต็มร้อย เช่นเราไปงาน วันคล้ายวันเกิดเจ้าภาพเชิญกล่าวอวยพร

“ท่านผู้มีเกียรติครับ……………

วันเอ๋ยวันนี้

เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน

วันพรุ่งนี้มะรืนนี้ดีอย่างไร

ก็ยังไม่สำคัญเท่าวันนี้”

(เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์)

ยิ่งเป็นบทกลอนที่ย๊าวยาว แต่เรา จำได้ ก็จะสร้างความประหลาดใจ และประทับใจมากขึ้น เมื่อเขาเชิญเราพูดถึงความสำคัญของการพูด



โอ้โฮถ้าได้อย่างนี้ มิตรรักนักพูด อย่างเราสบายเลย นี่คืออานิสงค์แห่งการพูดแบท่องจำที่ท่องมาประกอบการพูดเป็นบางส่วน ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นของการพูด เท่านั้นเองครับ ทำแบบนี้ดีกว่าท่องมาทั้งหมดเอย และ ยิ่งเป็นบทกลอนที่ยาวๆ เราพูดชัดถ้อย ชัดคำ เป๊ะ เป๊ะทุกบรรทัด ยิ่งทำให้ศรัทธาที่เขามีต่อเรานั้นมีมากขึ้น อาทิ ……”

“ ท่านวิทยากรและเพื่อนสมาชิกครับ..................................

จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลก
ไม่เท่าโศกใจหนักเหมือนรักสมร
จะว่าหนักอะไรในดินดอน
ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย
ถ้าเจ็บกายชีวาจะอาสัญ
แต่เจ็บแค้นนี้แลแสนจะเจ็บครัน
สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ
ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม
จะว่าลมลมปากนี้มากแรง
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก
อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง
ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา

(นายมี มหาดเล็ก)

(การ์ตูนการอ่านรายงานต่อประธาน)

วิธีที่สองแบบอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ

การพูดแบบนี้ ส่วนใหญ่ เป็นงานที่เป็นทางการครับ เช่น การกล่าวรายงานต่อประธานในพิธี การกล่าวเปิดงาน เราจะเห็นว่าในบางงานประธานที่กล่าวเปิด หรือคนกล่าวรายงานเรียกว่าพอๆกัน คือ ก้มหน้าก้มตาอ่านชนิดที่ว่าเงยหน้าขึ้นมาอีกทีคนเดินหนีหมดแล้ว ล้อเล่น

วิธีการแบบนี้ทำอย่างไรจึงจะทำให้ได้ดี

1.เราต้องอ่านต้นฉบับมาแล้วสัก 1-2 รอบเป็นอย่างน้อย

2.เวลาอ่าน สายตาของเราซึ่งเป็นผู้กล่าวรายงานต้องอยู่ที่ประธาน และผู้ชมผู้ฟังที่มาร่วมงาน

3.ในขณะที่เราอ่านและสายตาเราจับจ้องไปที่ผู้ชม ผู้ฟังนั้น นิ้วมือขวา หรือซ้าย ของเราต้องชี้อยู่ที่บรรทัดที่เรากำลังอ่านอยู่

ไหว้ละครับอย่าทำเก๋า ผมเห็นเดี้ยงมานักต่อนักแล้ว เวลามองผู้ฟังไม่ได้ชี้บรรทัดที่กำลังพูดครับ พอหันมาอีกทีหาบรรทัดที่กำลังพูดไม่เจอ

“ อ้าว อยู่ไหนล่ะ เมื่อกี้ยังอยู่นี่นา มาช่วยกันหาหน่อยเร้ว ”

4.ลีลาน้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ อย่าอ่านเหมือท่องหนังสือ ท่วงทำนองเสียงระดับเดียว เสียงดังฟังชัดให้มีลีลาเหมือนพูดบ้าง

ในบางงานประธานเวลากล่าวเปิดงานก็เปิดอ่านแฟ้มที่เขาเขียนให้พอเป็นพิธีจากนั้นท่านก็พูดตามความเข้าใจของท่าน หรือ ตามข้อมูลที่ท่านเตรียมมา เป็นเอกสารที่พิมพ์มาอย่างดีและตอนท้ายท่านถึงมาอ่านเอกสารที่เขาเตรียมให้อีกแบบนี้ก็ดีเป็นธรรมชาติและไม่น่าเบื่อดี

แต่บางที่ ประธานเปิดงาน เตรียมมาเองเหมือนกันแต่เขียนด้วยลายมืออ่านลำบากต้องให้เลขาพิมพ์ให้ครับ บางงานประธานเขียนคำพูดใส่ผ่ามือาการประหม่าเกิดเหงื่อออกหายเกลี้ยงเลย

การพูดแบบนี้แม้แต่ท่านนายกรัฐมนตรี ก็จะมีฝ่ายร่างสุนทรพจน์ หรือคำพูดในการกล่าวในงานต่างๆ เราเชิญท่านมางานเราจะให้ท่านพูดอะไรบ้างหน่วยงานร่างสุทรพจน์ของท่านนายกต้องขอ คำกล่าวจากเราไปให้ทีมงานท่านดูก่อนเป็นอาทิตย์แล้วส่งส่งต่อให้ท่านนายกได้ดู ท่านจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอย่างไรเราไม่อาจกำหนดได้

นี่คืออะไร นี่คือความเป็นมืออาชีพครับ.........เจ้านาย



(การ์ตูนวิทยากรบรรยาย)

การพูดแบบที่สาม คือ แบบพูดจากความเข้าใจหรือจดเฉพาะหัวข้อ

การพูดแบบนี้นี่เอง ที่นิยมกันมากที่สุด เด็กก็ใช้ได้ ผู้ใหญ่ก็ใช้ดี เถรชีก็ใช้คล่อง ไม่เชื่อก็ลองดู เพราะ ครูบาอาจารย์เวลาสอนหนังสือก็จดหัวข้อมา จากนั้นก็อธิบายพร้อมยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์เห็นเป็นรูปธรรม

การบรรยายของวิทยากร การสอนงานของหัวหน้างาน พระนักเทศน์ทั้งหลายก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละครับ เพราะจดไม่กี่หัวข้อใส่กระดาษเล็กๆเห็นชัดล้านเปอร์เซ็นพอๆกับจาน พี เอส ไอ นั้นแหละ

เราอาจจะพูด ได้แลยว่า การพูดแบบนี้เป็นแบบที่ดีที่สุดแบบหนึ่งที่ผู้คนชื่นชอบ ง่ายเวลาปรับใช้ ในวงการพระเครื่องก็ต้องเรียกว่า “เนื้อดี พิมพ์นิยม”เลยทีเดียว



(การ์ตูนจัดงานวันเกิด)

การพูดแบบสุดท้ายคือการพูดแบบกระทันหัน

วิธีการพูดแบบนี้นิยม กันมากในงานเลี้ยงสังสรรค์ เลี้ยงส่ง งานมงคลสมรส งานขึ้นบ้านใหม่ การแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะบังเอิญหรือไม่ไม่ทราบได้ท่านประธานตัวจริงต้องมีอันเป็นไปต่างๆนานา เช่น

คนขับรถหลงทาง หนักข้อก็อุบัติเหตุ ที่น่าสังเวชสุดคือติดงานด่วนมาไม่ได้ แต่เหตุผลที่น่าอายก็คือรถติด รถไฟฟ้า BTS ก็มี รถไฟใต้ดินก็ไม่มาหมดท่าเลยทีนี้

ทำยังไงละทีนี้เจ้าภาพก็บอกว่า พิธีกรช่วยกันหน่อยเร็วเอาไง พิธีกรก็บอกว่า “ช่วยตัวเองเถอะพี่ ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” เท่านั้นแหละเจ้าภาพก็จะหาจนได้ ส่งรายชื่อมาให้พิธีกรเรียบร้อย

เหมือนงาน วันคล้ายวันเกิด “น้องเต่า อรทวย “ ประธานในพิธีตัวจริงติดงานด่วน เจ้าภาพอรู้อย่างนี้อาการยิ่งกว่าผีเข้าอีก คือ เต้นเป็นเจ้าเข้า เอาละ ผู้อาวุโสที่ชื่อสมศักดิ์ นี่แหละ

“ท่านผู้มีเกียรติครับ “พิธีกรประกาศ “บัดนี้ท่านประธานใมนพิธีติดภาระกิจด่วน เจ้าภาพจึงขอเรียนเชิญ คุณ สมศักดิ์ ซวยสนิทครับ”

คุณสมศักดิ์ ซึ่งวันนั้นเตรียมมากินเต็มที่ไม่ได้มีใจให้กัยการพูดแม้แต่นิด เมื่อคนข้างๆสะกิดก็เกิดอาการเคือง

แหมเป็ดปักกิ่งกำลังเสิร์พ ออรฺเดิร์ฟอะไรก็สู้ไม่ได้เสียดายจริง แต่นิ่งได้ไม่นานทางการเขาประกาศชื่อเรียนกนามซะขนาดนั้น คุณสมศักดิ์ ลุกทะลึ่งพรวดขึ้นตะโกนไปหาพิธีกรว่า

“จะให้พูดทำไมไม่บอกกันก่อน”

“จะได้เตรียมมาดีๆเหรอครับ”

“เปล่า จะได้ไม่มา”

พูดเสร็จเรียกเสียงฮาได้พอสมควร คุณสมศักดิ์ก็เดินสวนขึ้นเวทีไป ใบบรรดาแขกเหลือในงานทั้งหมด ต่างลุ้นกันว่า EMERYGENCY CALL สายด่วนฉุกเฉินแบบนี้ สมศักดิ์ จะพูดได้สมศัดิ์ศรีหรือไม่ อย่างไร ชี้ชัดกันเลยทีเดียว

“ ท่านเจ้าภาพ ท่านแขกผู้มีเกียรติที่เคารพครับ.............. (เงียบ)

ผมสมศกดิ์งานหนักไม่เอา งานเบาสู้ (ฮา)

พึ่งจะรู้ว่าต้องกล่าวในคราวนี้

งานมงคลคล้ายวันเกิดจัดทุกปี

แต่ปีนี้จัดใหญ่กว่าผ่านมา

เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของน้องเต่า

อายุพึ่งย่างเข้า แปดสิบห้า (ฮา)

เอาหกสิบลบออกนะแก้วตา

ก็จะพาให้เห็นอายุจริง

เป็นคนดีของพ่อตุ่นและแม่เตี้ย

เป็นคนดีของตั่วเฮียและอาอึ้ม

เป็นผู้จัดการที่ขันแข็งไม่เซื่องซึม

ผมเป็นนายจึงฮาตรึมสำราญใจ

25 ปีศกวกมาถึง

ลูกขอพึ่งพระรัตนตรัยนำชัยส่ง

ขอพรพระคุ้มครองน้องเต่าจง

สมประสงค์ จากสมศักดิ์ งานหนักไม่เอา” (ฮา-ปรบมือ)

ผิดคาดจริงๆข้อเท็จจริงมาปรากฏภายหลังว่า คุณสมศักดิ์นั้นเป็นเจ้านายคุณเต่าและเป็นอดีตนายกสมาคมกลอนและลูกบิดแห่งประเทศไทย ยิ่งพูดกะทันหันแบบนี้คุณสมศักดิ์เขาเจอบ่อย แต่เขาก็สอยบรรยากาศและความสนุกสนานได้ทุกครั้ง

ถามว่าไปแซวว่าอายุแปดสิบห้า พูดแบบนี้ทำได้หรือ ก็ต้องถามคนถามว่าแล้วใครห้ามละ เอาละแม้ไม่มีใครห้ามก็พูดได้เพราะท่านผู้พูดอาวุโส สองเป็นเจ้านายคุณเต่า มีความชิดใกล้กัน

ดังนั้นการที่จะพูดแล้วประสบความสำเร็จอย่างคุณสมศักดิ์ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

 คุณสมบัติของนักพูดที่ดี

1.มีความรักในการพูด

แน่นอนครับเมื่อเรารักที่จะพูดต่อหน้าที่ชุมนุมชน เราจะมีความสุขเมื่อคนอื่นได้หัวเราะได้สนุกสนานได้ผ่อนคลาย หน้าที่ของเราคือการสร้างความสุขให้คนอื่น เมื่อเราบรรลุถึงสัจจธรรมตรงนี้ จะไม่มีที่ไหนเลยที่เราจะไปพูดไม่ได้

“ ขอบคุณท่านวิทยากรที่มาให้ความสุขกับพวกเรา 19 ปีเต็มที่ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีโอกาสได้หัวเราะแบบวันนี้เลย ต้องขอขอบพระท่านท่านเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วพวกเราปรารถนาที่จะให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ หรือตลอดไปก็ยังได้ แต่ท่านก็อาจจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรครับ นานๆมาให้ความสุขพวกเราแบบนี้ก็ดีที่สุดแล้ว ในนามของผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกคน ขอพวกเราปรบมือดังๆขอบคุณท่านวิทยากร ท่านสมชาย หนองฮี อีกครั้งหนึ่งครับ ขอบคุณครับ”

นั่นเป็นคำกล่าวขอบคุณพี่น้องผู้ต้องขังที่บางขวาง บางทีเราเองตื้นตันใจจนน้ำตาแห่งความปีติ มานะ มนี และชูใจ หลั่งไหลออกมา

2.มีความรอบรู้

ความรอบรู้ในที่นี้มี 2 อย่างคือ “รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในบางสิ่งบางอย่าง และ รู้บางสิ่งบางอย่างในทุกสิ่งทุกอย่าง”

รู้อย่างแรกเลยคือ รู้ลึก

รู้อย่างที่สองคือรู้รอบ

เราจะต้องรู้ลึกด้านการพูด แบบทางการพูด วิธีการพูด และเทคนิคการพูดแบบต่างๆ ความรู้ทางดก้านภาษษไทยต้องแตกฉาน เช่น กิน ฝรั่ง บอก EAT ภาษาไทยเรามีหลากหลาย อาทิ เป็นพระก็ต้องฉัน คนทั่วไปก็รับประทาน หม่า สวาปาม ยัด แดก โซ้ย กระซวก......... ต้องเลือกใช้คำพูดให้เหมาะกับกาลเทศะและบุคคล กับทั้งจะต้องให้ตรงต่อความหมายที่ต้องการจะสื่อให้ผู้ฟังรู้ เข้าใจหรือคล้อยตาม

เราจะต้องรู้รอบ มีความรู้กว้างขวาง ทั้งในหัวข้อเรื่องที่จะพูดและความรู้รอบตัว ความรู้รอบตู้รอบเตียง ไม่ใช่ค้นอย่างเดียว คว้ามาด้วย ข่าวที่หนังสือพิมพ์ที่เขาพูดกันสนั่นเมือง ดาราเตียงหักที่ส่งคลิปกันให้ว่อน ละครตบจูบน้ำเน่าที่กำลังเขย่าจอ ดาราคนไหนกำลังจะเข้าหอและใครกันหนอที่พึ่งลงโลงไป อย่างนี้เป็นตอ อ้อ.... เป็นต้น

3.มีครูคอยสอน

ในกรณีนี้ก็คือ การเป็นครูพักลักจำ จำได้มั้ยสมัยก่อนเราเรียกตลกว่าจำอวด อ้าว ลืมแล้วเหรอนึกว่าจำได้ จำอวดก็คือการจำคนอื่นเอามาพูดต่อมาอวดต่อนั่นเอง นักพูดก็เช่นดียวกัน ไปงานนี้เจอคนเขาพูดเก่งเราก็ไม่เอามุขเขามาพูดต่อหรอก ถ้าจะเอามาก็ต้องปรับให้เข้ากับลีลาของเรา แต่ลีลาการพูดดีๆของเขา ฟังแล้วแบบนี้เข้าท่าเราก็นำมาปรับใช้กับตัวเรา

แต่ถ้าฟังแล้วไม่เข้าท่าออกทะเลไปไหนก็ไม่รู้ หรือ ออกทะเลไปหาปลามาฝากก็แล้วแต่ เราก็ไม่ต้องจดจำวิธีการอย่างนั้น ข้อดีของการฟังมาก เห็นมากคือประสบการณ์ล้วนๆที่เราจะนำมาปรับใช้กับตัวเราเอง แต่ต้องโยงให้เข้าเรื่องที่เราพูดและปรับให้เข้ากับเรื่องของเรา

พระพยอม ที่มีแนวการการพูดไม่ซ้ำใคร สำนวนโวหารแหลมคม ท่วงทำนอง จังหวะจะโคน ความหมายแพรวพราวหลากหลาย พรั่งพรูและเพียบพร้อมด้วยเนื้อหาสาระ เป็นนักพูดที่ดีเวทีการพูดมากที่สุด มีคนฟังมากที่สุด มีการบันทึกเทปเผยแพร่มากที่สุด เป็นนักพูดที่มีความองอาจกล้าหาญ เป็นตัวของตัวเอง การพูดของท่าน ซอกซอนเข้าไปในหัวใจของบุคคลทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัน กำลังเป็นที่น่าสนใจของประชาชนมากที่สุดในปัจจุบัน

นายชวน หลีกภัย ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่มีความคมคาย โดยเฉพาะในแบบเชือดเฉือน จนได้ฉายาว่า “ในมีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ตัวอย่างวาทะของนายชวน หลีกภัย เช่น

“เราไม่อาจทำให้คนทุกคนรวยเท่าเทียมกันได้

แต่เราสามารถทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันได้”

“ยอมให้คนโง่ที่คนรอบข้างซื่อสัตย์ปกครองประเทศดีกว่า

ปล่อยให้คนซื่อแต่คนรอบข้างโกงกินปกครองประเทศ”

พระมหาสมปอง จุดเด่นของการพูด (เทศน์) ของพระมหาสมปอง คือ ต้องให้มี 5ส คือ สนุกสาระ สวย สติ สำนึก พระมหาสมปองเป็นเจ้าของต้นตำหรับธรรมะดีลิเวอรี่ด้วยแนวคิดที่ว่า ธรรมะไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัด ธรรมะไปได้ทุกที่ ถ้าที่นั่นต้องการธรรมะ รูปแบบของการพูด (เทศน์) เน้นสนุกสนาน ทันกระแส บางครั้งใช้ซีรี่ส์เกาหลีมาสอนใจไม่เน้นภาษาบาลี เพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะได้ง่ายสุด เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยม รวมถึงนิสิตนักศึกษาด้วย เพื่อให้กลุ่มวัยรุ่นชอบฟังธรรมะและรู้สึกว่าการฟังเทศน์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ

อุดม แต้พานิช การพูดดีมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง คือ มักจะมีมุมมองในเรื่องต่างๆ ที่แตกต่างจากคนอื่น เช่น พูดแล้วมีจุดหมายเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และผ่อนคลายความตึงเครียด และผู้ฟังยังได้รับประโยชน์จากเนื้อหาสาระและเรื่องราวที่ได้รับฟังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์และพัฒนาความคิดของผู้ฟังอีกด้วย

จากความเพียรพยายาม และความสามารถที่สั่งสมมา บวกกับสติปัญญา ความตั้งใจในการทำงาน จึงทำให้อุดม แต้พานิช ประสบความสำเร็จในเรื่องการพูดด้วยพรสวรรค์และพรแสวงโดยแท้

4.มีกลอนสะสม

นอกจากกลอนแล้ว คำพังเพย สุภาษิต ต้องสะสมไว้ให้มาก ๆ ทั้งนี้ เพราะผู้คิดสุภาษิตไม่ได้นั่งเทียนพรรษาคิด แต่เกิดจากกลั่นกรองข้อความที่กว้างขวางที่สุดมารวมไว้เป็นประโยคที่มีถ้อยคำน้อยที่สุด สละสลวยที่สุด คมคายที่สุด งดงามที่สุด

นักพูดที่มีคลังคำพังเพย สุภาษิตอยู่เยอะก็สามารถหยิบยกมาประกอบการพูดได้ตลอดเวลา หรือแม้แต่วรรคทองในวรรณกรรมต่างๆควรจดจำถ้อยคำที่คมคายที่พบขณะอ่านหนังสือต่าง ๆ จดจำไว้และนำมาใช้จะทำให้การพูดน่าฟัง มีคุณค่ามากขึ้นสำหรับผู้ฟัง

5. .มีคมอารมณ์ขัน

อารมณ์ขันเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนปรารถนาที่จะได้ยินได้ฟังจากปากนักพูด ยิ่งสมัยนี้ อินเตอร์เน็นเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ทั้งหลายเอาไว้อยากได้อะไรก็คลิ๊กครับท่าน ตัวอย่างเช่นเราอยากได้กลอนตลกสะสมไว้

เราเข้าไปที่ WWW.GOOGLE.CO.TH ค้นหากลอนตลก มันก็จะเฃื่อมไปเองอัตโนมัติ ที่ลองเข้าไปก็จะลิงค์ไปที่ http://www.tlcthai.com/game.php เราก็จะได้ข้อมูลเพียบดังนี้

กลอนตลก #2 เรื่องเรียน

ปาเจรา วีดีโอโหตุ โทรทัศน์สรา ตำราบ่สน
ข้าฯ ขอเคารพน้อมสักการ แต่โทรทัศนาจารย์ และวีดีโอเอ๊กซ์ ศึกษา
ทั้งวิทยุผู้ประกาศวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าฯ ขอเคารพเทป ทุก ๆ อัน สามม้วน 1 วัน 1 วันเรียน 3 วิชา
ขอเดช เครื่องถ่ายเอกสารมา ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
อุตส่าห์มานั่งเรียน ทุก ๆ วัน เรียนไปก็ ปวดกบาล
ฉะนั้นอย่ได้เรียนมันเลย (กราบ)
ปัญญาต๊อกแต๊ก อิโหล่ โต๋เต๋ สอบไม่ o.k. เลยเรียน 8 ปี (กราบ)

6.มีความขยันฝึกซ้อม

มือใหม่หัดจับไมค์ทั้งหลายมีคววามจำเป็นที่จะต้องหัดฝึกซ้อมการพูด มีโอกาสก็ต้องขึ้นเวที บางคนขยันมากขนาดเดินผ่านไมค์ได้กระแอมใส่ก็ยังดี การฝึกมาจะนำมาซึ่งความชำนาญ รู้ว่าตัวเองจะต้องปรับปรุงในส่วนไหนอัดเทปไว้ดูยิ่งดีใหญ่ใช้กล้องที่คอมของเรานั่นแหละง่ายดีเราก็จะปรับปรุงตัวเองได้เร็วขึ้น

การฝึกซ้อมก็เป็นการเตรียมตัวก่อนพูดคือมีการวางโครงเรื่อง คำนำ เนื้องเรื่อง สรุปจบ เป็นการวางแผนในการพูด พูดเรื่องอะไร ใครฟัง และที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจคือเตรียมการพูดมาอย่างดี ซักซ้อมมาอย่างดี นี่คือเส้นทางของความเป็นมืออาชีพอย่าง

สรุปบทที่ 1

การพูดในที่ชุมนุมขนมี 3 แบบ 4 วิธีดังนี้ คือ

แบบทางการพูด มี 3 แบบ

1.แบบชักจูง หรือชักชวน

2. แบบบอกเล่าหรือบรรยาย

3.แบบบันเทิง

วิธีการพูดมี 4 วิธีคือ

1.วิธีท่องจำ

2.วิธีอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ

3.วิธีจดเฉพาะหัวข้อ

4.วิธีกะทันหัน

การเป็นนักพูดที่ดีต้องมีการ

1.ความรักในการพูด

2.มีความรอบรู้

3.มีครูสอน

4.มีกลอนสะสม

5.มีคมอารมณ์ขัน

6..มีความขยันฝึกซ้อม

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





...
  
ความหมายและจุดประสงค์ KM
5
...
  
กลยุทธ์การตลาดไหมสุรินทร์
5
...
  
พัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ
พัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จ มักไม่หวั่นไหวต่อความผิดหวัง
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันและในยุคอดีต มักเป็นบุคคลที่มีความแตกต่างจากบุคคลโดยทั่วไปกล่าวคือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะทำอะไรที่แตกต่างจากบุคคลโดยทั่วไปหรือมีลักษณะบางอย่างที่มีมากกว่าบุคคลทั่วไปหรือลักษณะบางประการที่บุคคลโดยทั่วไปไม่มี เช่น
- 1.มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ มีเป้าหมายที่เป็นไปได้ บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีความฝัน และ
เป้าหมายในชีวิต ซึ่งแตกต่างกับสังคมไทยเราต้องยอมรับกันว่า เด็กไทยเราหรือคนไทยเราประสบความสำเร็จน้อยมากเนื่องจากไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราสามารถพิสูจน์กันง่ายๆ เราลองไปถามเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 100 คน แล้ว ลองถามว่าอนาคตมีความฝันอยากเป็นอะไรหรือมีเป้าหมายในชีวิตอยากเป็นอะไร เราจะได้พบคำตอบว่า ยังไม่รู้ ยังไม่มีเป้าหมาย อีกทั้งการเรียนต่อก็เรียนไปด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ไปในทิศทางเดียวกันกับความฝันหรือเป้าหมาย เช่น เรียนตามเพื่อน ไม่รู้จะเรียนอะไร สอบติดอะไรก็เรียนไปก่อน เรียนปริญญาตรีให้จบก่อนแล้วค่อยหางานทำ ฯลฯ
- 2.มีความกล้าที่จะล้มเหลว บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกๆคน มักผ่านความล้มเหลว ผ่านความยากลำบาก มาอย่างมากมาย กว่าจะประสบความสำเร็จ แต่น้อยคนนักที่จะมองว่าความล้มเหลวมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ความล้มเหลวทำให้เกิดความอดทน ความล้มเหลวทำให้เกิดการพัฒนา ความล้มเหลวมักทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และความล้มเหลวมักสร้างให้คนประสบความสำเร็จ
- 3.มีความคิดริเริ่ม ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เช่น เฮนรี่ ฟอร์ด ประดิษฐ์รถยนต์คันแรก หรือ โทมัส เอดิสัน ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์มากมายซึ่งคนโดยทั่วไปทำไม่ได้ ท่านพัฒนาเครื่องรับส่งโทรเลข ท่านพัฒนาเครื่องเล่นแผ่นเสียง ท่านประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า ท่านประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหว บุคคลที่ประสบสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มักเป็นบุคคลที่ทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้หรือตนเองทำก่อนคนอื่น ซึ่งต้องอาศัยจินตนาการมากมายถึงทำได้จน โทมัส เอดิสัน กล่าวคำกล่าวประโยคหนึ่งจนทำให้คนจำกันทั่วโลกว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ”
- 4.มีความพยายามเป็นอย่างมาก มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนไปถาม เฉินหลงซึ่งเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกว่า เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของคุณคืออะไร เฉินหลงตอบกลับไปว่า “ คือความพยายาม” เฉินหลงฝึกกังฟูมาเมื่ออายุแปดขวบ จนถึงปัจจุบัน เขาต้องฝึกฝนอยู่เป็นประจำเขาใช้เวลาทุ่มเทกว่า ยี่สิบปีสามสิบปี ถ้าหากท่านใช้ความพยายามแค่ 3-4 ปี ถือว่าท่านพยายามน้อยมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับดาราซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก นามว่า “ เฉินหลง ”
- 5.มีการหาคนเก่งๆ เข้ามาช่วยงาน ถ้าพวกเรามีเวลา ลองไปหาอ่านหนังสือประวัตินักธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่เป็นนักบริหารในองค์กรใหญ่ๆ เช่น บิลล์ เกตส์ เคยมีนักเขียนของนิตยสารฟอร์บไปสัมภาษณ์เขาว่า ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เขาตอบกลับว่า
“ในแต่ละปีเขาจะเชิญคนเก่งกว่าเขาร่วมงานกับเขาทุกๆปี” คำตอบนี้คงไม่แตกต่างอะไรจากนักธุรกิจใหญ่ๆของไทย หลายๆคนที่เคยให้สัมภาษณ์นักข่าวหรือนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งคำตอบก็ออกมาในลักษณะเดียวกัน
- 6.มีความเป็นนักการตลาดและนักขายในตัวเอง บุคคลที่ประสบความสำเร็จในยุคอดีต รวมทั้งยุคปัจจุบัน มักเป็นคนที่มีความเป็นนักการตลาดและนักขายในตัวเอง ปัจจุบันเป็นยุคทุนนิยม เป็นยุคบริโภคนิยม ดังนั้นการตลาดและการขายจึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาเรียนรู้กัน ยุคปัจจุบัน การตลาดสามารถปรับใช้หรือประยุกต์ใช้ได้กับวงการต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการการเมือง ดังเช่น พรรคไทยรักไทย ประสบความสำเร็จเป็นอันมากเมื่อนำการตลาดมาใช้ในการทำงานด้านการเมือง นักการตลาดและนักขาย ต้องรู้ว่าลูกค้าของตัวเองเป็นใคร เราจะสร้างความพึงพอใจกับลูกค้าอย่างไร เราจะขยายฐานของลูกค้าอย่างไร เราจะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกสู่ตลาดเป็นประจำ ฯลฯ
สิ่งที่กล่าวข้างต้นคือปัจจัยที่นำทางสู่ความสำเร็จ ดังนั้นหากพวกเราต้องการประสบความสำเร็จควรฝึกปฏิบัติเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยการนำคำแนะนำดังกล่าวไปปฏิบัติแล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ
• ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว



...
  
การทำงานเป็นทีม
การทำงานเป็นทีม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิด ความเห็นที่เป็นอิสระ ปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้อง ตามเหตุตามผลด้วย จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วน
พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
การทำงานเป็นทีม ถือว่าเป็นหัวใจหนึ่งในการทำงานร่วมกัน องค์กรไหน บริษัทไหน หน่วยงานไหน ที่สามารถสร้างทีม พัฒนาทีม ให้ทำงานร่วมกันได้ องค์กรนั้น บริษัทนั้น หน่วยงานนั้นจะเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
ทำไมต้องทำงานเป็นทีม แน่นอนการทำงานบางอย่างอาจจะทำคนเดียวได้ แต่การทำงานบางอย่างต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจึงจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากทุกคนมีความสามารถแต่ความสามารถของทุกคนมีจำกัด การนำความสามารถของทุกคนมารวมกันจึงเกิดผลงานมากขึ้น อีกทั้งงานบางอย่างต้องการความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์จึงต้องการคนมาทำงานด้วยการคิดร่วมกัน งานจึงออกมาสำเร็จ
การทำงานเป็นทีมคือ การที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาทำงานร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน
การทำงานเป็นทีมที่ดี คือ ทีมต้องทำงานร่วมกัน โดยทุกคนในทีมจะต้องทุ่มความคิด ทุ่มแรงกาย เพื่องาน เพื่อความสำเร็จของงาน โดยไม่ถือว่าเป็นผลงานของคนคนเดียวแต่ผลงานทั้งหมดเป็นของทีม ทีมที่ดีควรสร้างบรรยากาศในการทำงานให้มีความไว้ใจกัน เชื่อใจกัน มีความผูกพันกันจนก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี กันในทีม
เมื่อทีมมีประสิทธิภาพในการทำงานประโยชน์ที่ได้รับก็คือ การทำงานจะมีพลังอย่างมากมายมหาศาล ผลงานที่เกิดขึ้นจะมีมากมาย ช่วยลดต้นทุนในการทำงาน ผลงานมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆหรือนวัตกรรมใหม่ๆ
การทำงานเป็นทีมที่ดีมักมีองค์ประกอบของทีมดังนี้ มีวัตถุประสงค์ในการทำงานร่วมกัน มีระบบบริหารหรือการจัดการทีมที่ดี มีสมาชิกที่มีคุณภาพมีความสามารถในการทำงานมีความรับผิดชอบในหน้าที่ มีผู้นำทีมที่มีประสิทธิภาพมีภาวะผู้นำที่ดี
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำงานเป็นทีม ทำให้ทีมเกิดการแตกแยก ได้แก่ เรื่องของผลประโยชน์ เรื่องของความขัดแย้ง เรื่องของการเสียสละ เรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล เรื่องของการสื่อสาร ฯลฯ
แนวทางในการลดปัญหาในการทำงานเป็นทีม คือ สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน มีการสื่อสารกันอย่างชัดเจนไม่ปิดบังกัน มอบหมายงานก็ต้องมีความชัดเจนแน่นอนไม่เปลี่ยนไปมา ยอมรับในความแตกต่างของสมาชิกในทีม เนื่องจากคนเราเกิดมาก็มีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เพศ วัย ศาสนา การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความสามารถ ประสบการณ์ ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดในการทำงานเป็นทีมให้ประสบความสำเร็จ เช่น
- การประชุมของทีมงาน ทีมงานที่ดีต้องมีการประชุมกันสม่ำเสมอ เพื่อให้สมาชิกได้ปรึกษาหารือในการ
ทำงานร่วมกัน แก้ไขปัญหาร่วมกัน ระดมความคิดร่วมกันในการทำงาน
- ภาวะผู้นำกับการทำงานเป็นทีม ผู้นำมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ผู้นำมี
หน้าที่ในการบอกวัตถุประสงค์ที่จะต้องทำงานร่วมกันให้ชัดเจน ผู้นำจะต้องมีหน้าที่ในการชี้นำ สอนงาน สั่งงาน อำนวยการ พร้อมทั้งติดตามควบคุมการทำงานของทีมเพื่อให้เกิดมีประสิทธิภาพ
- ส่วนทักษะของผู้นำทีมที่ดี คือ ต้องมีความสามารถทางด้านการสื่อสาร ต้องมีความสามารถในด้านบริหารหรือการจัดการ (วางแผน จัดองค์กร จัดคนเข้าทำงาน สั่งการหรืออำนวยการ และการควบคุม) ต้องมีความสามารถในด้านการเจรจาต่อรองและแก้ปัญหาต่างๆได้อย่างดีเยี่ยม
สรุป การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญมากในการทำงานขององค์กร ของหน่วยงาน หากองค์กร หน่วยงาน ไหนที่มีทีมงานที่เข้มแข็ง ย่อมก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันกับองค์กรหรือหน่วยงานอื่น

















...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.