หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
เดล คาร์เนกี้ : นักพูดผู้มีศิลปะในการพูด
เดล คาร์เนกี้ : นักพูดผู้มีศิลปะในการพูด

หลักสูตรการพูดของ เดล คาร์เนกี้ เป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง มีการตีพิมพ์ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก และยังได้รับการแปลเป็นภาษาอื่น ๆ อีกถึง 10 กว่าภาษา ปรัชญาของเดล ที่ว่า “การแสดงสุนทรพจน์นั้น ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวคำพูด 2-3 คำ แก่ผู้ฟังคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกถึงบุคลิกภาพแห่งบุคคลอีกด้วย” เห็นได้ชัดว่าหลักในการพูดของ เดล คาร์เนกี้ เน้นที่การแสดงออกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ คือ ผู้พูดต้องมีความมั่นใจ มีความพร้อมต่อทุกสถานการณ์ในการพูด ไม่ว่าจะเป็นการพูดในกลุ่มเล็ก ๆ หรือการพูดต่อสาธารณชนอีกด้วย

ไม่มีมนุษย์คนใด ถือกำเนิดมาเป็นนักพูดในที่สาธารณชน ดังนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่ถูกเรียกให้ยืนขึ้นพูด จึงมักเกิดความสะทกสะท้าน ไม่สามารถตั้งสมาธิ และลืมเรื่องที่ตั้งใจจะพูดไปเสียหมด ความต้องการพื้นฐานของคนส่วนใหญ่จึงต้องการจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีสติมั่นไม่หวั่นไหว มีความสามารถในการครุ่นคิด ประมวลความคิดเข้าด้วยกัน และปรารถนาที่จะมีความสามารถในการพูดให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ประสบความสำเร็จในการพูด

เมื่อได้ศึกษาหลักการพูดของ เดลแล้วทำให้รู้สึกประทับใจ ในการที่เดลพยายามช่วยให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อมั่น มั่นใจในการที่จะลุกขึ้นพูด เดลได้แทรกคำคม คำขวัญ ประสบการณ์ในการสอนวิชาการพูดของเขามาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า อาการประหม่า ตื่นเต้น เวลาที่ต้องยืนขึ้นพูดต่อหน้าผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป แต่เราสามารถฝึกฝนให้เกิดความมั่นใจ มีบุคลิกภาพที่ดี จนประสบความสำเร็จในการพูดได้

เดล คาร์เนกี้ ได้แนะนำหลัก ๔ ประการเพื่อให้เกิดประโยชน์ และนำไปสู่การบรรลุผลแห่งการเป็นนักพูดที่ดีอย่างรวดเร็ว คือ

๑. เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น การเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น จะช่วยให้เรามีความเข้าใจว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ควรทำทำแล้วจะได้รับความสำเร็จ และสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในการพูดต่อหน้าสาธารณชน เราสามารถเลือกนำเทคนิค หลักการดีๆ ของผู้อื่นมาปรับใช้ในการพูดของเราได้

๒. ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ตรงหน้า สิ่งหนึ่งที่เราจะปฏิบัติ เพื่อเป็นการค้ำจุนหนุนส่งไปสู่ความสำเร็จในการเป็นนักพูดชั้นเยี่ยมได้นั้น ก็เพราะตัวเราเองต้องการทำในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และต้องการทำก็เพราะเรามองเห็นตัวเอง ในฐานะนักพูดผู้ประสบความสำเร็จ เรามีการวางแผนอนาคตไว้ให้แก่ตนเอง และบากบั่นฟันฝ่าเพื่อให้แผนการนั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา ดังที่ เดลได้ยกคำกล่าวที่ว่า “จงพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อพัฒนาความสามารถที่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจคุณได้อย่างกระจ่างชัด จงเรียนรู้ที่จะตีแผ่แนวความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นเห็นอย่างแจ้งชัด ไม่ว่าจะต่อใครคนหนึ่ง ต่อกลุ่มคน หรือต่อที่สาธารณชน แล้วคุณจะพบว่า ขณะที่คุณพยายามทำให้ดีขึ้นนั้น จริงๆ แล้วคุณกำลังสร้างความประทับใจ และอิทธิพลต่อผู้คน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” เดลแนะนำให้เราวาดภาพตัวเองว่าประสบความสำเร็จ ในสิ่งที่เราเองหวาดหวั่นพรั่นกลัว และตั้งมั่นอยู่กับประโยชน์ที่จะได้ จากการพูดให้เป็นที่ยอมรับต่อกลุ่มคนนั้น ถ้าหากว่าเราใส่ใจต่อผลที่จะตามมาอย่างเพียงพอ เราก็จะประสบผลสำเร็จในการพูดอย่างแน่นอน

๓. กำหนดจิตใจไว้ที่ความสำเร็จ เดลได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ ก็คือ การให้ความสำคัญอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งที่เราคิดคำนึง ถ้าหากเราทราบถึงสิ่งที่ผู้อื่นคิด เราก็จะทราบได้ว่าผู้นั้นเป็นคนอย่างไร เพราะว่าความคิดของแต่ละคนจะทำให้ตัวเขาเป็นไปตามความคิดนั้น และโดยการเปลี่ยนแปลงความคิด เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้” ในการพูดเราจึงต้องหมายตาไว้ที่จุดมุ่งหมายแห่งการเพิ่มพูนความเชื่อมั่น และการสื่อความหมายกับผู้ฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จนั้น เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของกระบวนการฝึกฝนให้กลายเป็นนักพูดที่น่าเชื่อถือ “ขณะที่คุณต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะต่อความหวาดหวั่นพรั่นกลัวที่มีต่อผู้ฟัง จงโยนความคิดในทางลบ เข้ากองไฟให้หมดสิ้น และปิดประตูไม่ให้ตัวเองถอยหลังไปสู่ความลังเลได้อีกเป็นอันขาด”

๔. ฝึกพูดในทุกโอกาส การจะพูดในที่สาธารณชนได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการฝึกพูด เพราะไม่มีใครที่สามารถหัดว่ายน้ำ ได้โดยที่ไม่ต้องลงน้ำ การพูดก็เช่นกัน เราจะไม่สามารถทราบได้ว่าตัวเองก้าวหน้าไปขนาดไหน หากเราไม่มีการฝึกฝน ฝึกพูดในที่สาธารณชน โอกาสในการที่จะฝึกพูดนั้นมีอยู่ทั่วไป เช่น การเข้าร่วมสมาคม หรืออาสาสมัครต่างๆ จงยืนขึ้น และแสดงตัวเองต่อที่ประชุมแม้จะเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ตาม จงอย่าเลือกที่นั่งหลังสุด จงพูด..พูด และพูดทุกครั้งที่มีโอกาสเมื่อเราเรียนรู้หลักที่จะสามารถนำเราไปสู่เส้นทางการเป็นนักพูดที่ดีได้แล้ว วิธีการที่เราจะพูด ก็เป็นเรื่องสำคัญที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เดลได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างน่าประทับใจ โดยอธิบายไว้ว่า ในการที่เราติดต่อกับผู้อื่นบนผืนโลกนี้ เราถูกวิจารณ์ ประเมิน และถูกจัดแบ่งจำพวก โดยวิธีการติดต่อกับผู้อื่น ๔ วิธี นั่นคือ สิ่งที่เรากระทำ รูปลักษณ์ภายนอกของเรา สิ่งที่เราพูด และ วิธีที่เราพูดมันออกไป

เดลได้ให้ข้อแนะนำ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถตีแผ่คำพูดออกมาอย่างน่าเชื่อถือ และมีชีวิตจิตใจ คือ

เราต้องทำลายกำแพงแห่งความประหม่า ความประหม่าจะทำให้เราพูดกระด้าง ขาดชีวิตชีวา ดังนั้นเราจึงต้องทำลายความประหม่าให้พินาศ แล้วสอดใส่อารมณ์ลงไปในการพูด พูดให้เป็นธรรมชาติ พูดอย่างมีชีวิตจิตใจ

อย่าพยายามเลียนแบบผู้อื่น เรามักประทับใจกับนักพูด ผู้สามารถสอดใส่การแสดงลงไปในการพูดของเขา นักพูดที่มีความเป็นตัวของตัวเอง การพูดนั้นมิใช่เป็นเพียงการกล่าวถ้อยคำเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบด้วยบางสิ่งที่ทรงคุณค่ายิ่ง อยู่นอกเหนือถ้อยคำนั้น ก็คือ รสชาติของคำพูดที่กล่าวออกมา ดังนั้นอย่าพยายามให้ความประทับใจในนักพูดคนอื่น มาหล่อหลอมเราจนเป็นแม่พิมพ์อันเดียวกัน อย่ายอมให้จุดเด่นของเราสูญสลายไป เพราะนั่นมันเป็นบุคลิกภาพของเราเองโดยเฉพาะ

สนทนากับผู้ฟัง การสื่อความเข้าใจ เป็นความจำเป็นอันดับแรกของการพูดที่ดี ผู้ฟังต้องบังเกิดความรู้สึกว่า มีสัญญาณข่าวสารอย่างหนึ่ง ที่ส่งจากจิตใจของผู้พูด สู่จิตใจของผู้ฟัง นักพูดที่ดีควรพูดให้เหมือนกับว่า พูดกับผู้ฟังตามปกติ จนผู้ฟังมิได้สังเกตท่วงทำนองการพูดของเรา หากความรู้สึกนึกคิดกำลังเพ่งอยู่แต่เรื่องที่เรานำมาพูดเท่านั้น

ทุ่มเทหัวใจให้กับการพูด ความสุจริตใจ ความกระตือรือร้น และความรู้สึกแรงกล้าในระดับสูงจะสามารถช่วยเราได้ ตัวตนอันแท้จริงของเราจะปรากฎออกมาอย่างเด่นชัด เมื่อเราอยู่ภายใต้อำนาจความรู้สึกของตัวเอง เราจะมีกิริยา ท่าทาง เป็นกันเองโดยธรรมชาติ

การฝึกฝนจะช่วยให้น้ำเสียงมีพลัง การฝึกฝนตัวเองให้พูดอย่างมีจังหวะจะโคน และระดับเสียงสูงต่ำ หนักเบา อาจฝึกพูดให้เพื่อนๆ ฟัง แล้วให้ช่วยวิจารณ์ หรืออาจหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพูดมาช่วยแนะนำ ก็จะเกิดประโยชน์ต่อเรา อีกทั้งยังจะช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายร้ายแรงจากความล้มเหลวเมื่อออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าผู้ฟังอีกด้วย

จากการที่ได้ศึกษาหลักการต่าง ๆ ของ เดล คาร์เนกี้ แล้วรู้สึกประทับใจมาก เพราะมีความรู้สึกว่า การที่จะฝึกฝน พัฒนาตนจนกลายเป็นนักพูดที่มีประสิทธิภาพได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ เดลนอกจากจะเป็นนักพูดที่มีความสามารถ มีประสิทธิภาพแล้ว ยังสามารถนำความรู้ และประสบการณ์ของตนมาถ่ายทอด แนะนำ สั่งสอนผู้อื่น ให้กลายเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จกันอย่างมากมาย หลายรุ่นต่อหลายรุ่นด้วยกัน เดลเป็นนักเก็บข้อมูลตัวยง เห็นได้จากในหลักการสอนต่าง ๆ จะมีการแทรกข้อคิด คำคม ที่เดลนำมาจากที่มีผู้กล่าวไว้ มีการยกตัวอย่างเพื่อเน้นน้ำหนักหาให้น่าเชื่อถือ และมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เดลมีความจริงใจในการพยายามที่จะถ่ายทอดหลักการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และสิ่งสำคัญที่ เดลเน้นเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ การสร้างความมั่นใจ มุ่งมั่น มีความตั้งใจ และมีความพยายาม ในการฝึกฝนตนอยู่เสมอดังนั้น เดล คาร์เนกี้ จึงเป็นนักพูดที่น่าสนใจ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อการที่จะศึกษาหลักการต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาการพูดของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น ต่อไป


...
  
รับมือกับลูกทีมที่มีทัศนคติด้านลบ
ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนทีชอบซื้อหนังสือทางด้านบริหารไว้เยอะมาก เนื่องจากตัวเองมีโอกาสได้ไปสัมมนายังหน่วยงานภายนอกบ่อยครั้ง สิ่งหนึ่งที่จะเก็บเกี่ยวกับมาอยู่เสมอ ๆ นอกจากความรู้ในห้องเรียนแล้ว นั่นคือ หนังสือทางการบริหารที่ทางผู้จัดได้นำมาจำหน่ายหน้างาน ซื้อบ่อยจนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ไม่สามารถซื้อหนังสือเล่มไหนกลับมาได้เลย เนื่องจากหนังสือที่วางขายในวันนั้น ดิฉันกวาดซื้อมาแล้วก่อนหน้า



เหมือนที่บอกค่ะ ว่าชอบซื้อ แต่มักจะไม่ค่อยได้มีเวลาเปิดอ่าน ยกเว้นบางครั้งจะหาข้อมูลเพื่อมาประกอบในงานที่ได้รับมอบหมาย



กุศโลบายอย่างหนึ่งที่ตัวเองมักจะใช้คือ การพยายามเขียนเล่าในshare.psu.ac.th ซึ่งส่งผลให้ตัวเองจะต้องอ่านหนังสือเล่มนั้น ๆ พร้อม ๆ กันไปด้วย



สำหรับบทความแรกที่จะนำเสนอใน blog ใหม่ ในวันนี้ คือ เรื่อง "รับมือกับลูกทีมที่มีทัศนคติด้านลบ"



ซึ่งบทความดังกล่าวเขียนโดย คุณอภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา ซึ่งได้เขียนเล่าให้ฟังว่า ได้มีผู้มาขอคำปรึกษาถึงวิธีการรับมือกับลูกทีมที่มีทัศนคติด้านลบ โดยเธอเล่าว่า เธอเพิ่งจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าทีมงานฝ่ายขายของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และจะมีลูกทีมคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีทัศนคติในด้านลบตลอดเวลา สามารถบ่นได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่นโยบายของบริษัท ไปจนถึงดินฟ้าอากาศ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หากการบ่นของเขาไม่ทำให้คนในทีมรู้สึกเบื่อหน่ายและท้อถอยตามไปด้วย



นอกจากนี้ ด้วยทัศนคติในแง่ลบของเขา โดยเฉพาะกับเป้าหมายและงานต่าง ๆ ที่ทำ ทำให้เขาทำงานแบบไปวัน ๆ หรือทำแบบขอไปที ซึ่งทำให้คนที่รับงานต่อ ต้องมาสางปมและแก้ไขงานนั้น ๆ อยู่เสมอ



แนวทางแก้ไขวิธีแรกคือ ต้องหาสาเหตุให้พบว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้เขามีความคิดเช่นนั้น ซึ่งผู้เขียนได้ยกตัวอย่างปัจจัยไว้ดังนี้

1. ผิดหวังที่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง หรือไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

2. รู้สึกไม่ได้รับความสนใจจึงเรียกร้องด้วยวิธีการดังกล่าว

3. จำเป็นต้องกลบเกลื่อนทักษะหรือความรู้บางอย่างที่รู้ไม่จริง เป็นต้น

โดยมีวิธีการรับมืออยู่ 3 ขั้นตอน คือ

1. สร้างความเข้าใจ โดยหาโอกาสพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมบางอย่างของเขา เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง

2. สลับขั้วความคิดเห็น ความคิดเห็นเชิงลบ บั่นทอนกำลังใจของคนทำงานและไม่มีประโยชน์อันใด ควรสร้างกติกาว่า หากใครในทีมแสดงความคิดเห็นในแง่ลบออกมา เขาคนนั้นต้องบอกเหตุผลให้ชัดเจนและมีข้อเสนอแนะตามมาด้วยเสมอ โดยใช้คำว่า "เพราะ" และ "ถ้า" ให้มากขึ้น

3. ใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด หากคุณให้โอกาสพนักงานและพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ขั้นตอนสุดท้ายคือ การใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด ด้วยการลงโทษเพื่อให้เกิดความหลาบจำ

หากคุณปล่อยให้คนที่มีทัศนคติเชิงลบยังคงทำหน้าที่ทำลายขวัญและกำลังใจของคนอื่นอยู่ในทีมต่อไป นอกจากคุณจะไม่ได้งานจากพนักงานคนนี้แล้ว ยังทำให้ผลการทำงานของคนอื่น ๆ ในทีม ค่อย ๆ ลดลงตามไปด้วย



หวังว่าบางความคิดเห็นของบทความนี้ คงมีบางส่วนให้ใครที่เป็นหัวหน้าทีมงาน แล้วเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ ได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมเข้ากับบริบทของหน่วยงานตนเอง ได้บ้าง

อย่างไรก็ตามการประนีประนอม และรู้จักอลุ้มอล่วยต่อกัน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ



ที่มา : จดหมายข่าวรายเดือน สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ปีที่ 11 ฉบับที่ 127 ตุลาคม 2553





หมวดหมู่: บริหารทรัพยากรมนุษย์
คำสำคัญ: hr article human resourse กองการเจ้าหน้าที่ งานพัฒนาและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
สร้าง: พฤ. 18 พ.ย. 2553 @ 14:33 แก้ไข: พฤ. 18 พ.ย. 2553 @ 15:13 ขนาด: 9038 ไบต์
ความคิดเห็น
หน้า: 1

1. คนข้างหลัง
เมื่อ พ. 24 พ.ย. 2553 @ 00:56
61808 [ลบ]


ขอยืมเอาไปใช้หน่อยนะคะ

หน้า: 1

กดที่นี่เพื่อเพิ่มความคิดเห็น
(หน้าต่างใหม่สำหรับให้ความคิดเห็นจะถูกเปิดขึ้น) ประวัติ


รัตติยา เขียวแป้น
งานพัฒนาและฝึกอบรม กองการเจ้าหน้าที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มีต่อ »

อีเมลติดต่อ

คำสำคัญ: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พัฒนาบุคลากร พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บุคลากร การจัดการความรู้ knowledge management km กองการเจ้าหน้าที่ งานพัฒนาและฝึกอบรม สำนักงานอธิการบดี
เกี่ยวกับบล็อกนี้
สารบัญ
รายการคำสำคัญที่ใช้
คำสำคัญ
กองการเจ้าหน้าที่ งานพัฒนาและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

พฤศจิกายน 2553
พฤศจิกายน 2553
1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30

เป็นการนำเสนอบทความดี ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารงาน ที่ได้พบเจอมา มาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ สมาชิกใน share ได้ร่วมรับรู้ และยังใช้เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลเพื่อใช้ในงานด้านฝึกอบรมที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
บทความทางการบริหาร
home / blog / padadmin / 17864
ติดต่อ รัตติยา เขียวแป้น หรือ ติดต่อผู้บริหารเว็บไซต์ + Powered by KnowledgeVolution - a product of TRF & KMI
...
  
Case study โออิชิ (2)
11
...
  
ทอล์คโชว์ ชุด 1/6
11
...
  
โต้วาที ท้องไม่แท้ง แท้งไม่ฟ้อง (5)
11
...
  
เขียนสู่อิสรภาพ
เขียนสู่อิสรภาพ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การเขียนหนังสือ การเขียนตำรา การเขียนแผนธุรกิจ การเขียนโครงการ การเขียนโปรแกรม การเขียนเรียงความ การเขียนบทความ การเขียนนิยาย การเขียนสารคดี การเขียนรายงาน ฯลฯ การเขียนเหล่านี้ ได้สร้างชื่อเสียง ได้สร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้คนมามากต่อมากแล้ว
คนที่มีความคิดดีๆ แต่ถ้าเขียนไม่ดี เขียนไม่เก่ง เขาก็ไม่สามารถสื่อสารให้ผู้คนเข้าใจและชื่นชอบได้
คนที่มีความรู้มากมาย แต่ไม่สามารถถ่ายทอดด้วยการเขียนให้ผู้คนอ่านแล้วเข้าใจง่ายๆ ความรู้นั้น ก็เปล่าประโยชน์
คนที่ต้องการเป็นนักหนังสือพิมพ์ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดการเขียนข่าว การเขียนบทความ การเขียนสารคดี ให้คนติดตามหรือสนใจได้ นักหนังสือพิมพ์คนนั้นก็ไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าในสายงานของตนได้
ฉะนั้นงานเขียน จึงมีความสำคัญมาก งานเขียนจะทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ กับผู้คน ผู้อ่าน อีกทั้งตัวนักเขียนเอง
บุคคลที่ต้องการความก้าวหน้า ต้องการประสบความสำเร็จจึงควรพัฒนางานเขียนให้ก้าวหน้าตลอดเวลา ฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ สร้างชื่อเสียง ให้แก่ตนเอง
เขียนสู่อิสรภาพ เราสามารถใช้การเขียนเพื่อปลดปล่อยสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขององค์ความรู้ ความคิด ความฝัน หรือสิ่งต่างๆ ที่ท่านต้องการเล่าเรื่อง เล่าประสบการณ์
เขียนสู่อิสรภาพ เราสามารถใช้งานเขียนเพื่อสร้างรายได้ เมื่อท่านมีรายได้มากๆ ท่านก็สามารถปลดปล่อยตนเองจากภาระต่างๆ ได้ เช่น การทำงานประจำที่ต้องมีระบบในการทำงาน ซึ่งหลายๆท่านไม่ชอบ
เขียนสู่อิสรภาพ เราสามารถใช้งานเขียนเพื่อปลดปล่อย ผู้คนหรือผู้อ่าน ออกจากความคิดที่เป็นลบเช่น การหมดกำลังใจ , การไม่พัฒนาตนเอง , การใฝ่ต่ำ , การขี้เกียจ , การขาดเป้าหมายในชีวิต ฯลฯ
โดยใช้งานเขียนปลดปล่อยหรือเปลี่ยนแปลง ให้ผู้อ่าน เปลี่ยนความคิดจากลบมาเป็นคิดบวก เช่น ทำให้ขยันยิ่งขึ้น , ทำให้มีเป้าหมายในชีวิต , ทำให้เป็นคนกระตือรือร้น , ทำให้เป็นคนมีความทะเยอทะเยน ฯลฯ
เคยมีคนถามผมว่า แล้วผมจะเริ่มต้นอย่างไรละ ในการเขียน เราควรเริ่มต้นเขียนในสิ่งที่เรามีความรู้ มีประสบการณ์ หรือ มีความอยากที่จะเขียนในเรื่องนั้นๆ ก่อน ไม่ควรเขียนในสิ่งที่ตนไม่รู้ ไม่เข้าใจ
ซึ่งองค์ความรู้ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน อีกทั้งประสบการณ์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน จงเริ่มต้นเขียน และไม่ควรกังวลมากจนเกินไป เช่น คิดว่าตนเองเขียนได้ไม่ดี หรือ คิดว่าจะมีใครอ่านผลงานของเราหรือเปล่า (กล่าวคือ ไม่ควรคิดในแง่ลบ การคิดในแง่ลบมากๆ จะทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจในตนเองได้ จงคิดในแง่บวกเสมอ)
เพราะการเขียนเริ่มจากความคิด ประสบการณ์ ความรู้ของคนนั้นๆ หากมีคนพันคน เขียนเหมือนกันพันคน แล้วจะเป็นอย่างไรครับ ฉะนั้นเราจงมั่นใจในตนเอง เขียนไปตามแบบฉบับของเราเอง
สุดยอดนักเขียน อาชีพใดๆ ก็ตาม หากมีความมุ่งมั่น ขยัน พยายาม อดทน รักในอาชีพในนั้น ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จและเป็นสุดยอดของวงการนั้นๆ ได้ อาชีพนักเขียนก็เช่นกัน ตอนเขียนใหม่ๆ เราอาจจะไม่มีรายได้จากงานเขียนหรือมีรายได้น้อยมาก แต่หากว่าเรามุ่งมั่น พยายาม เรียนรู้ ฝึกฝน อดทน มีวินัย ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เช่นเดียวกับทุกอาชีพ หากว่าคนนั้นๆ มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ทำอย่างไรให้เป็นนักเขียนมืออาชีพ หากต้องการเป็นนักเขียนมืออาชีพ เราก็ต้องรู้จักพัฒนาตนเอง เช่น อ่านหนังสือประเภทต่างๆ ให้มาก หาความรู้หาเทคนิคเกี่ยวกับประเภทงานเขียนที่เราถนัด ในบางครั้งเราก็ควรยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นเพื่อมาปรับปรุงงานเขียนของเรา และสิ่งที่สำคัญคือ ท่านต้องเขียนทุกวัน เขียนจนเป็นนิสัย
ท้ายนี้ หากว่าท่านผู้อ่านต้องการอิสรภาพ กระผมเชื่อว่าการเขียนก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะนำพาท่านไปสู่อิสรภาพได้ หากว่าท่านต้องการอย่างแท้จริง จงปลดปล่อยความคิด ประสบการณ์ ความรู้ดีๆ ในตัวท่านด้วยการเขียน หากท่านเขียนได้ดีเป็นที่ยอมรับ มีผู้อ่านซื้อหนังสือของท่านมากๆ ท่านก็สามารถปลดปล่อยตนเองจากงานประจำที่หลายๆท่านเบื่อหน่ายได้เช่นกัน






...
  
ฝึกฝึกและฝึก
ฝึก ฝึกและฝึก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าเรื่อง การทำงาน เงินทอง สุขภาพ จะต้องเป็นคนที่ต้อง ฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ การฝึกฝนตนเองจะสร้างนิสัยที่ดีแก่ตัวเรา การฝึกฝนตนเองจะทำให้บุคคลผู้นั้นมีการพัฒนาตนเองขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการฝึกฝนตนเองจะช่วยให้คนนั้นประสบความสำเร็จ ในตอนนี้เราลองมาดูกันว่าเราควรที่จะมีการฝึกฝนตนเองในเรื่องอะไรบ้าง
1.ฝึกอ่านหนังสือทุกวัน การอ่านหนังสือมากจะช่วยให้ท่านเกิดแนวความคิดใหม่ๆ การอ่านหนังสือมากๆจะทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจ การอ่านหนังสือมากๆ จะทำให้ท่านค้นพบตัวตนของตัวเอง การฝึกอ่านหนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ท่านควรเริ่มต้นอ่านหนังสือในแนวที่ท่านชอบก่อน แล้วจึงเริ่มอ่านแนวอื่นๆให้มากขึ้น
2.ฝึกเข้าอบรม สัมมนา การเข้าอบรม สัมมนาเป็นทางลัดที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จ เมื่อท่านได้มีโอกาสไปอบรม สัมมนา ท่านจะได้รับความรู้ การแนะนำ เทคนิคต่างๆ จากวิทยากรที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านควรจัดเวลาให้แก่ตัวเองโดยหาโปรแกรมอบรม สัมมนา อย่างต่อเนื่อง
3.ฝึกพูด การพูดมีความสำคัญต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ ผู้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักเป็นคนพูดเป็น กล่าวคือพูดเก่งกับพูดเป็นไม่เหมือนกัน พูดเป็นคือ รู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนไม่ควรพูด ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จขอให้จงฝึกฝนการพูด ทั้งการฝึกพูดในลักษณะสนทนา การพูดคุยกัน และ การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมชน
4.ฝึกเขียน การเขียนเป็นการสื่อสารอีกประเภทหนึ่ง ที่ควรฝึกฝน หากท่านเขียนเก่ง ท่านมีโอกาสในการทำสิ่งต่างๆได้ มากขึ้น ท่านสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวอักษรเพื่อให้คนได้ความรู้ ได้ข้อมูล อีกทั้งโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคข้อมูลสารสนเทศ ท่านสามารถนำสิ่งที่ท่านเขียนแล้วนำไปลงยังสื่อต่างๆ ได้มากกว่าในอดีต เช่น ลงตามอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Facebook ,เว็บไซต์ต่างๆ , ฯลฯ
5.ฝึกความคิด เมื่อเริ่มคิดก็จะเห็นความแตกต่างความห่างชั้นระหว่างผู้แพ้หรือผู้ชนะ ผู้แพ้เมื่อเริ่มคิดก็คิดว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่ผู้ชนะเมื่อเริ่มคิดก็คิดว่าตนทำได้ จงพัฒนาความคิดหากว่าท่านต้องการความสำเร็จ พัฒนาความคิดให้คิดบวก คิดสร้างสรรค์ เมื่อท่านเจอปัญหาและอุปสรรค ท่านจะมีทางออก แต่หากว่าท่านคิดลบหรือคิดในแง่ร้าย เมื่อเกิดปัญหาและอุปสรรค ท่านก็จะก้าวข้ามได้ยาก
6.ฝึกเข้าสังคม สุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ นกไม่มีขน คนไม่มีพวก ขึ้นสู่ที่สูงได้ยาก ” การเข้าสังคม การเข้าประชุม เพื่อไปพบปะผู้คนที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้าง Network เป็นสิ่งที่ควรทำ สำหรับผู้ต้องการความสำเร็จไม่ว่าจะอยู่ในวงการใด การเข้าสังคมเป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน อีกทั้งเมื่อเกิดปัญหาก็ยังสามารถช่วยเหลือ ขอคำแนะนำกันได้
7.ฝึกความเข้มแข็งทางด้านจิตใจและร่างกาย ความเข้มแข็งของจิตใจและร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้ปัญหาอุปสรรค เมื่อร่างกายอ่อนแอเป็นโรคต่างๆ ก็จะทำให้จิตใจอ่อนแอตาม หรือ หากท่านเป็นคนอ่อนแอทางด้านจิตใจ เมื่อเจอปัญหาอุปสรรค ท่านก็จะจมอยู่กับกองทุกข์ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอไปด้วย ฉะนั้น ควรฝึกฝนความเข้มแข็งทางด้านร่างกาย โดยการออกกำลังกาย รักษาสุขภาพ สำหรับการฝึกฝนความเข้มแข็งทางด้านจิตใจท่านควรฝึกฝนพัฒนาจิตใจของตนเอง เช่น การฝึกสมาธิ การฝึกสติ การฝึกการควบคุมอารมณ์ต่างๆ ฯลฯ
และยังมีการฝึกฝนตนเองอีกหลายด้าน หากว่าท่านต้องการประสบความสำเร็จ เช่น การฝึกความจำ การฝึกฝนความเชื่อมั่นในตนเอง การฝึกฝนความกล้าหาญ การฝึกฝนความขยันขันแข็ง เป็นต้น
ท้ายนี้กระผมหวังว่า บทความนี้จะได้ให้แง่คิดแก่ท่านผู้อ่านในเรื่องการพัฒนาตนเอง อีกทั้งท่านสามารถนำไปฝึกฝนและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป









...
  
การประชาสัมพันธ์องค์กร
การประชาสัมพันธ์องค์กร
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในยุคปัจจุบันเป็นของการแข่งขัน การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญมากต่อบุคคล ต่อหน่วยงาน ต่อองค์กร การประชาสัมพันธ์จึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่นักบริหาร นักการตลาดจะต้องศึกษาเรียนรู้ การประชาสัมพันธ์จะก่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อบุคคล ต่อหน่วยงาน ต่อองค์กร
สำหรับการประชาสัมพันธ์ในยุคปัจจุบันท่านสามารถทำได้ โดยการจ่ายเงินซื้อสื่อหรือแบบไม่ต้องจ่ายเงินซื้อสื่อ และ การประชาสัมพันธ์แบบใช้สื่อมวลชนหรือไม่ใช่สื่อมวลชน
อีกทั้งยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีมีความทันสมัย เจริญก้าวหน้า ท่านสามารถใช้เครื่องมือต่างๆได้ง่ายขึ้น ราคาถูกขึ้นกว่าในอดีต เช่น การตั้งสถานีวิทยุ เมื่อก่อนทำได้ยากมาก อีกทั้งต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก แต่ในยุคปัจจุบัน ท่านมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ไมโครโฟน เครื่องส่ง ฯลฯ ท่านก็สามารถก่อตั้งสถานีวิทยุได้แล้ว ดังเช่นสถานีวิทยุชุมชนที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน
หรือ หากต้องการตัดต่อภาพวิดีโอประเภทเคลื่อนไหว ท่านสามารถหาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาลงแล้วทำการตัดต่อภาพวิดีโอได้อย่างง่ายดายกว่านั้นอดีต อีกทั้งราคาถูก ท่านสามารถประหยัดทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย เพียงแต่ท่านต้องเรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติม
การประชาสัมพันธ์สมัยใหม่มักใช้ในการสร้างภาพพจน์ขององค์กร ภาพพจน์ของผลิตภัณฑ์ ภาพพจน์ของตัวบุคคล โดยผ่านเครื่องมือการประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์โดยผ่านสื่อต่างๆ , การจัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์เป็นกิจกรรมที่จัดร่วมกับสื่อมวลชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับสื่อมวลชน เพราะหากองค์กรหรือหน่วยงานใดไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน เมื่อต้องการเผยแพร่ข่าวหรือประชาสัมพันธ์องค์กรสื่อมักไม่ค่อยลงให้ ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ฯลฯ
เคยมีคนตั้งคำถามกับผมว่า แล้วการประชาสัมพันธ์แตกต่างอย่างไรกับการโฆษณา กล่าวคือมีความแตกต่างกันอยู่ด้วยกันหลายประการ เช่น การประชาสัมพันธ์ใช้ในการสร้างภาพพจน์ขององค์กรแต่การโฆษณาใช้ในการจูงใจให้ซื้อสินค้าและบริการ , การประชาสัมพันธ์ใช้สำหรับเป้าหมายในวงกว้างแต่การโฆษณาเป็นการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มคือลูกค้า , การประชาสัมพันธ์มักจะทำแบบใช้สื่อกับแบบไม่ใช่สื่อ(เช่น การจัดแสดงสินค้า การแข่งขันแรลลี่ ) แต่การโฆษณามักใช้สื่อมวลชน เช่น วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา ฯลฯ และการประชาสัมพันธ์ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อ แต่การโฆษณาต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อ เป็นต้น
ดังนั้นงานประชาสัมพันธ์จึงเป็นหน่วยงานที่มีความจำเป็นสำหรับองค์กร สำหรับผู้ที่จะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารควรต้องคัดเลือกเพราะบางคนจบเอกประชาสัมพันธ์มาก็จริงแต่ไม่มีคุณสมบัติของนักประชาสัมพันธ์ก็มีอยู่มาก สำหรับคุณสมบัติของนักประชาสัมพันธ์ควรมีคือ
1.มีความสามารถในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน เนื่องจากงานด้านประชาสัมพันธ์จะต้องเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร เช่น การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ การเป็นพิธีกร การประสานงานกับนักข่าว เป็นต้น
2.มีมนุษย์สัมพันธ์ การเป็นนักประชาสัมพันธ์เป็นงานที่ต้องพบปะผู้คน อีกทั้งต้องทำงานร่วมกับคนจำนวนมาก การมีมนุษย์สัมพันธ์ การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานด้านนี้
3.มีการเรียนรู้อยู่เสมอ นักประชาสัมพันธ์ต้องเป็นนักเรียนรู้ ตลอดเวลา งานด้านประชาสัมพันธ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องมือต่างๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ นักประชาสัมพันธ์จำเป็นจะต้องเรียนรู้
และมีความเฉลียวฉลาด คิดและแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดี , มีความซื่อสัตย์สุจริต , มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นต้น
ฉะนั้นการประชาสัมพันธ์องค์กรจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ในการทำงานขององค์กรแต่ละองค์กร เราจะสังเกตว่า บางหน่วยงานทำงานหนักมีผลงานมากมายแต่ไม่มีการประชาสัมพันธ์ ผู้คนมักจะไม่ทราบว่าหน่วยงานนั้นได้ทำอะไรไปบ้าง แต่ตรงกันข้ามอีกหน่วยงานหนึ่งทำงานน้อยกว่ามีผลงานน้อยกว่า แต่หน่วยงานนั้นมีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารออกไปยังสื่อต่างๆ หน่วยงานนั้นจะเป็นที่รู้จักของประชาชนและเกิดการยอมรับในที่สุด










...
  
บริหารเวลา บริหารชีวิต
บริหารเวลา บริหารชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมและการสัมมนา บ่อยครั้ง กระผมเคยตั้งคำถามและเคยถูกถามว่า “ เวลา ” คืออะไร
กระผมมักจะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันก็คือ
- เวลาคือ สิ่งที่ทุกคนมีเท่ากัน 24 ชั่วโมงหรือ 1 วัน
- เวลาคือ สิ่งที่ผ่านไป แล้วไม่ย้อนกลับ
- เวลาคือ สิ่งที่มีค่า
- เวลาคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต
- เวลาคือ ทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด
- เวลาคือ สิ่งที่เปรียบเสมือนเพชรอันล้ำค่า และอื่นๆ
ซึ่งความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของคำว่า “ เวลา ” ไม่มีใครถูกและไม่มีใครผิดทั้งนี้แล้วแต่ความคิด ประสบการณ์
ความรู้ ทัศนคติของแต่ละบุคคล แต่ความจริงเกี่ยวกับเวลาก็คือ เวลาเป็นของกลางๆ เราไม่สามารถควบคุมได้ มันเคลื่อนผ่านไป ในชีวิตของเราจึงทำให้เกิดวัยเด็ก วัยทำงาน วัยชรา หรือ ทำให้เรารับรู้ถึง อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ดังนั้นการใช้เวลาจึงมีความสัมพันธ์และความสำคัญต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าใครที่รู้จักคุณค่าของเวลาจึงรู้จักคุณค่าของการใช้ชีวิต เช่นกัน หากใครสามารถบริหารเวลาได้ดี ผู้นั้นก็จะบริหารชีวิตได้ดีด้วย
สำหรับคนๆหนึ่งเรามักใช้เวลาแต่ละวันไปกับสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจแบ่งเป็น เรื่องของ 1.ครอบครัว 2.สังคม 3.หน้าที่การทำงานหรือการเรียน 4.สุขภาพ 5.การผักผ่อน
1.คนเราเกิดมาแล้วย่อมต้องมีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ มีปู่ย่าตายาย มีลูก มีภรรยา มีสามี มีพี่ มีน้อง มีหลาน ฯลฯ
การแบ่งเวลาหรือการใช้เวลาไปกับครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นยิ่ง หากเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน สังคม แต่ครอบครัวไม่มีความสุข ไม่เข้าใจกัน มีการสื่อสารกันน้อยมาก แตกแยก ล้มเหลว ก็คงไม่ดีแน่
2.สังคม คนเราจำเป็นต้องอยู่กันเป็นสังคม ต้องมีการติดต่อสื่อสารให้ความช่วยเหลือ ขอความช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด อยู่ในสถานที่ใด เราจะต้องสัมผัส พบผู้คน พูดคุยผู้คน เจรจาผู้คน ติดต่อกันทำธุระกัน หากท่านไม่ต้องการอยู่ในสังคม ท่านลองไปอยู่ในป่า ในถ้ำผู้เดียว ท่านจะมีความรู้สึกที่อึดอัด การเป็นอยู่ก็จะลำบาก เหงา ดังนั้นการแบ่งเวลาให้แก่สังคม จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นไปงานเลี้ยง ไปงานประชุม ไปทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนฝูง ไปรู้จักคนใหม่ๆ
3.หน้าที่การทำงานหรือการเรียน เป็นสิ่งที่คนเราต้องมี คนเราทุกคนต้องทำงานหรือต้องเรียน หากไม่ย่อมทำงานหรือเรียน ชีวิตก็จะไม่เกิดประโยชน์ ชีวิตก็จะไม่มีวันพัฒนา เป็นคนไร้ค่า อีกทั้งยังต้องเป็นภาระแก่คนรอบข้างอีกด้วย การแบ่งเวลาให้กับการทำงานหรือการเรียน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
4.สุขภาพ การดำเนินชีวิตของคนคนหนึ่ง หากประสบความสำเร็จทุกอย่าง แต่สภาพร่างกาย จิตใจ อ่อนแอ เจ็บป่วย ไม่สบาย สิ่งต่างๆ ที่หามาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง สิ่งของต่างๆ จะมีความหมายอะไร หากเราป่วย ฉะนั้น ตอนที่ร่างกายแข็งแรง เราจำเป็นจะต้องแบ่งเวลาให้กับเรื่องของสุขภาพ เช่น การแบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกาย เป็นประจำ สม่ำเสมอ
5.การพักผ่อน เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย จิตใจ การพักผ่อนที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การนอนหลับ ควรหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง สำหรับช่วงเวลานอนของแต่ละคนอาจมีความไม่เท่ากัน คงแล้วแต่ นิสัย ลักษณะการทำงาน ความพร้อมของร่างกาย ของแต่ละคน
ทั้งนี้ยังไม่รวมเวลาที่เราเสียไปมากแต่เป็นสิ่งที่จำเป็น เช่น เวลากินอาหาร เวลาเดินทาง ซึ่ง 2 สิ่งนี้ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในชีวิต สำหรับการแบ่งเวลาที่เราใช้ไปในสิ่งต่างๆข้างต้น เราจำเป็นจะต้องมีการบริหารชีวิตให้เกิดความสมดุลของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนอาจแบ่งเวลาไม่เหมือนกัน ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับหน้าที่การทำงานหรือการเรียน ขึ้นอยู่กับลักษณะของสภาพร่างกาย จิตใจ ขึ้นอยู่กับสังคม ครอบครัว ของแต่ละบุคคล ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า คนที่บริหารเวลาในชีวิตได้ดี ก็คือคนที่สามารถสร้างความสมดุลในการดำเนินชีวิตนั้นเอง

...
  
การพูดเพื่อขาย
การพูดเพื่อขาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดเพื่อขายเป็นการพูดให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม เป็นการชักจูงใจให้ผู้ฟังเกิดการซื้อสินค้า บริการ หรือชักชวนให้ผู้ฟังมาทำธุรกิจเครือข่าย ซึ่งผู้พูดต้องอาศัยการฝึกฝน ประสบการณ์ จากตำราและการทำงานขายภาคสนามจริงๆ
สำหรับการพูดเพื่อขาย สิ่งที่ผู้พูดควรแสวงหา ควรเรียนรู้ เพื่อนำมาประกอบการพูดเพื่อขายคือ
1.ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้พูดควรรู้ เช่น
- รู้บริษัท กล่าวคือต้องรู้ประวัติของบริษัท รู้ระเบียบ กฎเกณฑ์ การแข่งขันภายในของบริษัท นโยบาย ตลอดจนผู้บริหารบริษัทโดยเฉพาะคนที่สำคัญๆของบริษัท
- รู้สินค้า ต้องรู้ประเภทของสินค้า มีกี่แบบกี่สี กี่รุ่น วิธีการใช้ การดูแลรักษา
- รู้บริษัทคู่แข่ง ต้องรู้ว่าสินค้าประเภทเดียวกันสินค้าของเราบริษัทไหนเป็นคู่แข่ง เขาขายสินค้าราคาเท่าไร ถูกหรือแพงกว่าสินค้าของเรา
- รู้เกี่ยวกับตัวของลูกค้า ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร ชอบสินค้าประเภทไหน รู้เพื่อจะปรับวิธีการพูดเพื่อนำเสนอขายได้อย่างเหมาะสมกับตัวลูกค้า
2.เทคนิค ทฤษฏี ที่เกี่ยวกับการขาย กล่าวคือ ผู้พูดต้องศึกษา เรียนรู้ เทคนิคการขาย จากการอ่าน การอบรม การ
สัมมนาหรือสอบถามจากนักขายรุ่นพี่ การรู้จักเทคนิคการขาย จะทำให้ผู้พูดรู้จัก จังหวะในการพูด ว่าควรจะพูดอย่างไรเมื่อไร เช่น ขั้นตอนการขายมีอยู่ 4 ขั้น
คือ 1.ขั้นเปิดใจ 2.ขั้นถามปัญหา 3.ขั้นแก้ปัญหา 4.ขั้นปิดการขาย ฉะนั้น เมื่อเราทราบว่าขั้นตอนการขายมีอยู่ 4 ขั้น เราจะใช้คำพูดแต่ละขั้นที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
ขั้นที่ 1 เปิดใจ เราควรพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับตัวของสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการ เป็นการพูดในเรื่องที่ผู้ฟังเกิดความสนใจ เรื่องที่ผู้ฟังเกิดความภาคภูมิใจ เรื่องที่ผู้ฟังอยากฟัง
ขั้นที่ 2 ขั้นถามปัญหา เป็นขั้นตอนที่ผู้พูดตั้งคำถามหรือถามปัญหาของลูกค้าเพื่อที่จะได้นำเอาสินค้าและบริการของเราไปช่วยแก้ปัญหา
ขั้นที่ 3 ขั้นแก้ปัญหา กล่าวคือผู้พูดต้องพูดนำเสนอสินค้าและบริการของเรา เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาให้แก่
ผู้ฟังหรือลูกค้า
และขั้นที่ 4 ขั้นปิดการขาย เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในการพูดเพื่อขาย ผู้พูดจะต้องพูดจูงใจให้ผู้ฟังตัดสินใจซื้อ
สินค้าและบริการ
3.การพูดสาธิตสินค้า เป็นการพูดที่ต้องใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ สื่อ สินค้าตัวอย่าง ประกอบ ควรพูดให้มีการลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ควรพูดให้ผู้ฟังทราบถึงผลประโยชน์ของสินค้า หากต้องการเป็นมืออาชีพ ช่วงขั้นตอนในการสาธิตควรแนะนำชื่อผู้พูดสาธิต ทีมงาน แนะนำขั้นตอนเวลาใช้สินค้า เน้นย้ำประโยชน์ของสินค้า ความแตกต่างระหว่างสินค้าอื่นๆกับสินค้าของผู้พูด อีกทั้งควรพูดตอบคำถามอย่างมั่นใจ
การพูดเพื่อขาย ยังคงต้องคำนึงถึงสถานการณ์ ลักษณะของธุรกิจ เช่นการพูดเพื่อขายในธุรกิจเครือข่าย ยังต้องมีการพูดเพื่อขายธุรกิจ(ชักชวนคนมาร่วมทำธุรกิจเครือข่าย) , การพูดหน้าเวทีเพื่อสาธิตสินค้า , การพูดนำเสนอแผนการตลาด , การพูดคุยกับลูกทีมกับแม่ทีม , การพูดขายทางโทรศัพท์ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การพูดเพื่องานขายมีความสำคัญอย่างมาก ผู้ที่ต้องการเป็นนักขายจึงต้องควรฝึกฝน เพื่อให้เกิดความชำนาญ เกิดประสบการณ์ เกิดทักษะ และจะทำให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจในการพูด ไม่ประหม่า ไม่ตื่นเต้น บางคนฝึกฝนมาน้อยหรือนักขายหน้าใหม่ เมื่อพูดนำเสนอขายก็จะพูดวกไปวนมา จนผู้ฟังเกิดความสับสน น้ำเสียงในการพูดก็สั่นเครือ อีกทั้งการพูดเพื่อขายจะต้องใช้ความอดทน ความสุภาพ ความอ่อนน้อม และต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าอีกด้วย



...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.