หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
กลยุทธ์การตลาด 10 P สำหรับนักธุรกิจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
กลยุทธ์การตลาด 10 P นี้ ต่อยอดมาจาก กลยุทธ์การตลาด 4 P ของฟิลลิป คอตเลอร์
(Philip Kotler) ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบ 4P ได้รับยกย่องกันมานานและนำเอาไปใช้ไปอย่างแพร่หลายกันในอดีต แต่ในยุคปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป การใช้กลยุทธ์เพียงแค่ 4 P คงจะไม่เพียงพอในยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางด้านการตลาดก็ได้เพิ่มจำนวน P ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย
กระผมก็เช่นกัน ก็ได้นำกลยุทธ์ 4 P( 4 ข้อแรก) มาต่อยอดโดยเพิ่มเป็น 10 P ดังนี้
1.Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ ถือว่าเป็นสิ่งแรกสุดที่นักการตลาดจะต้องมี ซึ่งผลิตภัณฑ์จะต้องไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ หรือ แก้ไขปัญหาของลูกค้าได้ ผลิตภัณฑ์จึงต้องเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สี ขนาด รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
2. Price Strategy กลยุทธ์ราคา ราคาต้องตั้งให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขัน แน่นอนในยุคนี้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมาขายในตลาด มีความใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการเปรียบเทียบทางด้านราคาได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ A เหมือนกับ ผลิตภัณฑ์ B แต่ทำไมราคาจึงแตกต่างกันอย่างมากมาย ฉะนั้นการตั้งราคา ควรตั้งราคาให้มีกำไร แต่ต้องให้เหมาะสมกับภาวะตลาด ไม่ตั้งราคาสูงจนเกินไป แต่ถ้าอยู่ในภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูง ก็ไม่ควรตั้งราคาต่ำจนเกินไป จนต้องประสบภาวะการขาดทุน
3. Place Strategy กลยุทธ์การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่ายมีความสำคัญมากต่อการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะถ้ามีสินค้า มีการตั้งราคา แต่ไม่รู้จะไปวางขายที่ไหน หรือมีการจัดจำหน่ายที่น้อย ลูกค้าก็ไม่สามารถหาซื้อได้ ซึ่งการจัดจำหน่ายที่ดี ควรมีหลักการคือ ควรจัดจำหน่ายโดยหาช่องทางให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกในการซื้อ เช่น มีสินค้า 2 ตัว เหมือนกัน ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่สินค้าตัวที่ 1 วางขายที่ใต้หอพัก ใต้อาคารคอนโด ที่เราพักอาศัยอยู่ แต่สินค้าตัวที่ 2 เราจะต้องเดินไปซื้อที่หน้าปากซอย เราจะเลือกซื้อสินค้าตัวไหน ระหว่างใต้หอพักหรือใต้อาคารคอนโด หรือว่าเราจะเดินไปซื้อสินค้าอีกตัวหนึ่งที่หน้าปากซอย
4. Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การส่งเสริมการตลาด เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการส่งเสริมทางด้านการตลาดไปยังลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การส่งเสริมด้านการขาย เป็นต้น
5. Public Relation Strategy กลยุทธ์การให้ข่าวสาร เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งโลกไร้พรมแดน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ยุคของอินเตอร์เน็ต กลยุทธ์การให้ข่าวสารจึงต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่องทางเพื่อให้เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ นักการตลาดใช้เพื่อไปติดต่อกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ในการสร้างตราสินค้า สร้างภาพลักษณ์ ช่วยเพิ่มทัศนคติในเชิงบวก ช่วยสร้างความเข้าใจในการใช้สินค้า บริการ และความเข้าใจที่คาดเคลื่อน ต่อลูกค้าและประชาชนอีกด้วย
6. Personal Strategy กลยุทธ์ด้านการใช้พนักงานขาย เป็นกลยุทธ์ที่แตกตัวหรือต่อยอดมาจาก Promotion Strategy กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด การขายโดยพนักงานขายมีความสำคัญมากสำหรับผลิตภัณฑ์ บางตัว เพราะต้องอาศัยการอธิบาย ความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าประเภท ยา ผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารเสริม เป็นต้น
ซึ่งพนักงานขายที่ดี จะต้องมีความรู้ มีความสามารถ มีประสบการณ์ ในการใช้สินค้าและมีเทคนิคในการขาย มีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์ เพื่อนำพาไปสู่ การตัดสินใจซื้อ
7.People Strategy กลยุทธ์ด้านประชาชน เป็นกลยุทธ์ที่ต้องการการสนับสนุน จากประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายหรือ คนในพื้นที่ที่ต้องการจัดจำหน่าย เพราะ ผลิตภัณฑ์บางตัวดี ราคาเหมาะสม มีช่องทางมีการจัดจำหน่ายที่ดี กล่าวได้ว่าทุกอย่างดีหมด แต่ประชาชนหรือคนในพื้นที่ ไม่สนับสนุน โจมตี ผลิตภัณฑ์นั้นก็อยู่ไม่ได้ในตลาด ซึ่งในยุคหลังๆ เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ จะให้ความสำคัญกับการทำ CSR “Corporate Social Responsibility” คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร เพื่อก่อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจ อีกทั้งยังทำให้เกิดการสนับสนุนของผู้คนในพื้นที่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราจำหน่ายอีกด้วย
8. Packaging Strategy กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ เป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจาก Product Strategy กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์บรรจุภัณฑ์นี้ ได้สร้างความประทับใจแรกพบของลูกค้าหรือ First Impression ซึ่งในยุคนี้ เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ มีความจำเป็นจะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นหรือมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะการทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดี มีความน่าเชื่อถือ สะอาด สวยงาม มีสีสันโดนใจ ย่อมทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า การที่เจ้าของกิจการหรือนักธุรกิจ ไม่ยอมลงทุนหรือเพิ่มต้นทุน ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งควรตั้งคำถามต่างๆเพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าดังนี้ บรรจุภัณฑ์สวยงาม หรือไม่ , บรรจุภัณฑ์สามารถเชิญชวนให้ใช้ หรือไม่,บรรจุภัณฑ์เมื่อนำเอามาใช้แล้วเก็บสะดวก หรือไม่ เป็นต้น
9. Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญ เพราะการมีคู่ค้าหรือหุ้นส่วน จะสามารถช่วยเราในการทำธุรกิจได้หลายประการ เช่น ช่วยคิด ช่วยลงทุน ช่วยทางด้านเทคโนโลยี ช่วยเหลือในเรื่องการวางระบบงาน ฯลฯ ยิ่งถ้าเป็นการทำธุรกิจข้ามชาติหรือทำธุรกิจในต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของ Partners Strategy กลยุทธ์คู่ค้าหรือกลยุทธ์หุ้นส่วน เพราะบางประเทศมีข้อจำกัดในเรื่องของกฏหมาย ถ้ามีหุ้นส่วนก็จะได้รับการช่วยเหลือ ทางด้านกฎหมายของประเทศนั้นๆ อีกด้วย
10. Perception Strategy กลยุทธ์ความเข้าใจ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่จะต้องประยุกต์หลักการตลาดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์นั้นๆ เพราะโลกยุคปัจจุบัน มีการไหลเวียนในด้านต่างๆอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร การไหลเวียนของวัตถุดิบ การไหลเวียนของสินค้า บริการ ไปทั่วทุกมุมโลก เราจะเห็นได้ว่า สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ที่วางขายกันในประเทศไทย เราสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เข้ามาวางขายได้อย่างเสรีมากขึ้น ฉะนั้น นักการตลาด เจ้าของกิจการ นักธุรกิจ ที่มีความเข้าใจมีการปรับตัว มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงประสบความสำเร็จในการทำการตลาดในยุคนี้
กลยุทธ์การตลาด 10 P ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนี้ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ต่อยอดมาจากกูรูทางด้านการตลาด ซึ่ง ท่านผู้อ่านสามารถนำไปต่อยอดได้อีกเป็น 12P 15 P 20 P ต้องขอขอบคุณ ท่านฟิลลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ที่ได้วางทฤษฏีหรือหลักการทางด้านการตลาด ไว้เป็นอย่างดี
สำหรับ กลยุทธ์การตลาด 10 P ถ้าจะนำไปใช้อย่างได้ผล เราควรจะต้องร่วมพิจารณากับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค , วิเคราะห์ SWOT Analysis(S = Strength (จุดเด่น จุดแข็ง) W = Weakness (จุดอ่อน จุดด้อย) O = opportunity (จุดเกิดโอกาส) T = Threat (จุดดับ อุปสรรค ) ,การวางแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ และอีกหลายๆปัจจัย จึงจะส่งผลให้กลยุทธ์การตลาด 10 P ประสบผลสำเร็จ
...
  
กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์องค์กร
วันที่ 26-27 พฤษภาคม 2554 ร่วมอบรม " กลยุทธ์ประชาสัมพันฃ ...
  
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนตั้งคำถามกับกระผมว่า ทำไมคนนี้พูดแล้วเกิดความน่าเชื่อถือ แต่ทำไมอีกคนหนึ่งพูดแล้วไม่เกิดความน่าเชื่อถือ ความจริงแล้วการพูดให้เกิดความน่าเชื่อมีหลายปัจจัยคือ
1.ตัวผู้พูด กล่าวคือ หากต้องการให้ผู้ฟังเชื่อถือ ตัวผู้พูดเองต้องเป็นคนที่เชื่อถือได้ หากผู้พูดพูดโกหกบ่อยๆ ผู้ฟังก็คงยากที่จะเชื่อ การสร้างความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูดยังรวมไปถึง อาชีพ ตำแหน่ง ฐานะทางสังคม รายได้ทางเศรษฐกิจ และบุคลิกภาพ(ทั้งภายในและภายนอก)
2.เนื้อหาในการพูด มีความสำคัญ หากการพูดนั้นวกไปวนมาฟังแล้วไม่เข้าใจผู้ฟังเกิดสับสน ไม่มีการเรียงลำดับเหตุการณ์ สถานที่ ขาดเหตุผล ขาดการอ้างอิง ขาดการเปรียบเทียบ ใช้ภาษาที่เข้าใจยาก ขาดการวิเคราะห์ ขาดการสรุป ขาดการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว สิ่งเหล่านี้มักเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้ผู้ฟังขาดความเชื่อถือ
3.วิธีการนำเสนอในการพูด มีส่วนสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือขึ้น เช่น มีหลักฐานเป็นภาพ คลิปเสียง คลิปภาพ ในการประกอบการพูด เพื่อให้เห็นของจริง หากใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เครื่องมือที่ทันสมัยก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ ความเชื่อถือได้ ทั้งนี้คงรวมถึงการต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟังด้วย เช่น วิเคราะห์เพศ วัย อาชีพ ช่วงอายุของผู้ฟัง ฯลฯ
สำหรับองค์ประกอบการพูดที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือหรือคล้ายตาม เราควรมีเทคนิคดังนี้
- สถิติ เป็นข้อเท็จจริงที่หน่วยงานต่างๆทำไว้ ควรหาข้อมูล สถิติจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ
การพูด ตัวอย่างในการพูดให้เกิดความคล้อยตามหรือทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีคุณสมัคร สนุทรเวช เป็นบุคคลที่นำเอาตัวเลข สถิติ มาใช้เป็นจำนวนมากในการพูดหาเสียงแต่ละครั้ง
- ความคล้ายคลึงกัน ความคล้ายคลึงกันของผู้พูดกับผู้ฟังก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ
หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้พูดกับผู้ฟังนับถือศาสนาเดียวกัน ก็จะได้รับความไว้วางใจมากกว่า , มีอาชีพเดียวกัน ก็จะสร้างความยอมรับจากผู้ฟังได้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันบางอย่างอาจจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากกว่าความคล้ายคลึงกัน เช่น บุคคลที่มีฐานะดีกว่าหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงกว่า ย่อมได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เหตุการณ์ เงื่อนเวลาในการพูดด้วย
- พูดให้ตรงความต้องการของผู้ฟัง เช่น ผู้ฟังมีความต้องการสิ่งใด เราก็พูดในสิ่งที่ผู้ฟังสนใจหรือพูดในสิ่งที่
ผู้ฟังมีความต้องการ เขาก็จะมีความเชื่อถือและคล้อยตามผู้พูด ซึ่งหลักจิตวิทยา อับราฮัม เอช มาสโลว์ ได้วิเคราะห์ความต้องการของมนุษย์แบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1.ความต้องการปัจจัยสี่ 2.ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย 3.ความต้องการความรักและมีส่วนร่วม 4.ความต้องการได้รับการยกย่องและได้รับเกียรติ 5.ความต้องการบรรลุความหวังในชีวิต ซึ่งผู้พูดควรวิเคราะห์ผู้ฟังว่าอยู่ระดับขั้นตอนใด
- เสียงคำพูดต้องชัดเจน หนักแน่น การจะพูดให้ผู้ฟังเกิดความคล้อยตาม เกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจ ผู้
พูดจะต้องพูดด้วยความมั่นใจก่อน ควรพูดด้วยความกระตือรือร้น พูดด้วยความคล่องแคล่ว อีกทั้งเมื่อมีการถามคำถามก็ควรตอบด้วยความรวดเร็ว หนักแน่น ชัดเจน เสียงดัง มีการเน้นระดับเสียงสูงต่ำ
- ต้องมีการเตรียมตัวมาอย่างดี เช่น เตรียมหลักฐานต่างๆ มาประกอบการพูด เช่น ภาพ คลิป ข่าว หลักฐาน
การอ้างอิง คำพูดของคนสำคัญ ตลอดถึงการเตรียมเนื้อหาในการพูด การเลือกใช้คำกลอน ถ้อยคำ คำคม เพลง มาประกอบการพูด
แต่อย่างไรก็ตาม การจะพูดให้คนเกิดความคล้อยตามหรือเชื่อถือ คงขึ้นอยู่กับตัวผู้พูดเป็นหลัก หากผู้พูดไม่เชื่อถือตามสิ่งที่พูดไป หากผู้พูดพูดโกหกในสิ่งที่พูด หากผู้พูดไม่มั่นใจในสิ่งที่พูด ก็คงยากที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือ เกิดความมั่นใจในสิ่งที่ผู้พูดพูด เช่น ผู้พูดพูดให้ผู้ฟังเชื่อว่าผีมีจริง แต่ตัวผู้พูดเองไม่เชื่ออีกทั้งยังไม่เคยเห็นผี ก็คงพูดให้พูดฟังเชื่อได้ยากเนื่องจากตัวผู้พูดเองยังไม่เชื่อหรือพูดให้ผู้ฟังเลิกสูบบุหรี่แต่ตัวผู้พูดเองสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวนผู้ฟังก็คงเชื่อหรือคล้อยตามได้ยากเช่นกัน













...
  
กฎ 20/80 ของพาเรโท
กฎ 20/80 ของพาเรโท
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎ 20/80 ถูกคิดค้นขึ้นโดย วิลเฟรโด พาเรโท ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อปี 1895 โดยขณะนั้นเขากำลังทำวิจัยเพื่อค้นคว้าหาสูตร การกระจายความมั่งคั่งในประเทศอิตาลี เขาค้นพบว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งมีจำนวนแค่ 20 % ของประชากร แต่มีทรัพย์สินเงินทองถึง 80 %
ต่อมา Dr Juran นักคิดทางด้าน Quality Management ได้นำหลักการนี้ไปใช้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้เรียกว่า “กฎ 80/20 ” หรือ กฎของพาเรโท อีกทั้งมีนักวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์ ทดลองแล้วยืนยันว่า กฎ 20/80 ของพาเรโท นั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้ โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้หรือยอดขายทั้งหมดของบางบริษัท เกิดจากสินค้าจำนวนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย มาจากพนักงานขายแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกัน
80 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานขาย สร้างยอดขายได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
80 เปอร์เซ็นต์ ของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เกิดจากนักเรียนเพียงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการสั่งซื้อทั้งหมดนั้นมาจากลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ เรามักไม่ได้สวมใส่ แต่ในทางกลับกันเราใส่แค่เสื้อผ้าอยู่จำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่เรารับโทรศัพท์ มักมาจากกลุ่มคนที่โทรศัพท์เข้ามาเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ดินทั้งหมด มักถือครองโดยคนส่วนน้อยเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของรางวัลในการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี ประกวดร้องเพลง มักเป็นของคนเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทำงานแต่ละวัน เราได้ผลลัพธ์เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
การประยุกต์ กฎ 20/80 ของพาเรโท จึงมีความสำคัญเพราะกฎนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การบริหารเวลา , การบริหารลูกค้า , การบริหารสินค้าคงคลัง , การบริหารธุรกิจ , การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
เช่น
- หากเราพบว่า สินค้าแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ สินค้าแค่ 2 ใน 10 เป็นสินค้าที่ขายดี เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วย
ส่งเสริม พัฒนา ให้สินค้า 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 ใน 10 ชิ้น นั้น ให้เกิดการขายดียิ่งขึ้นหรือทำกำไรให้ได้ดียิ่งขึ้น
- หากเราพบว่า มีลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราจะ
ทำอย่างไรกับลูกค้ารายใหญ่นั้น เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อให้มากขึ้นอีก
ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณค่าสูงของการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ท่านได้ผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านก็จะความประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น







...
  
การพูดที่ล้มเหลว
การพูดที่ล้มเหลว
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดที่ล้มเหลว มักเป็นการพูดที่ผู้พูดพูดกับผู้ฟังโดยผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกสับสน ผู้ฟังฟังแล้วจับใจความไม่ได้ว่าผู้พูดต้องการสื่อสารอะไรกับผู้ฟัง เป็นการพูดที่ผู้ฟังฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ซึ่งสาเหตุของการพูดที่ล้มเหลว มีหลายสาเหตุ เช่น
1.ขาดการเตรียมการพูด การเตรียมการพูดมีความสำคัญมากต่อการพูดแต่ละครั้ง โดยเฉพาะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน หากขาดการเตรียมตัวจะทำให้ผู้พูดขาดความมั่นใจ ขาดข้อมูลในการพูด ขาดเนื้อหาที่จะนำไปใช้ในการพูด ขาดการอ้างอิง ขาดการลำดับเหตุการณ์ ขั้นตอนของเรื่องที่พูด
2.ขาดเป้าหมายในการพูด การพูดหากขาดเป้าหมาย ขาดวัตถุประสงค์ในการพูด จะทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ เพราะผู้พูดจะพูดไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าการพูดครั้งนั้นๆ ต้องการบอกอะไรกับผู้ฟัง เช่น ต้องการจูงใจให้ผู้ฟังเลิกสูบบุหรี่ ต้องการพูดขำขันหรือทอล์คโชว์ให้แก่ผู้ฟัง หรือ ต้องการบอกเล่าประสบการณ์ของผู้พูดเป็นต้น
3.ขาดการสอดใส่อารมณ์ การพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ เบา ราบเรียบ จะทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ทั้งทำให้บรรยากาศในการฟัง ชวนให้ง่วงนอนมากยิ่งขึ้น การพูดที่สอดใส่อารมณ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้พูดต้องนำไปปรับปรุงพัฒนา ควรฝึกการพูดให้มีจังหวะจะโคน จงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ราบเรียบ โดยให้มีน้ำเสียงดัง เบา หยุด เน้น ย้ำ ตามเนื้อเรื่องที่พูด
4.ขาดความชัดเจนในการพูด การพูดที่พูดผิดพูดถูก ขาดความชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ ภาษา คำควบกล้ำ หากขาดความชัดเจนจะทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ฉะนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในการพูด ท่านควรหาโอกาสฝึกฝนตนเอง โดย การอ่านหนังสือออกเสียง อีกทั้งควรหาเทปหรือ MP3 มาอัดเสียงของตนเองเพื่อฟังแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น
5.ขาดการวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดเก่งไม่ได้หมายความว่าผู้พูดเอาแต่พูดโดยไม่สนใจผู้ฟัง แต่คนที่ต้องการเป็นนักพูดที่ประสบความสำเร็จ ผู้พูดคนนั้นจะต้องรู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง สนใจผู้ฟัง วิเคราะห์ว่าผู้ฟังเป็นคนวัยไหน ผู้ฟังมีอาชีพอะไรผู้ฟังมีความต้องการอะไร ผู้ฟังคุยกันระหว่างการพูดหรือไม่ ผู้ฟังขาดความสนใจในการพูดเพราะเหตุใด
6.ขาดการทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แต่มีผู้พูดจำนวนมากมักทำเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยากๆ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาการ มักใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมายในการพูด อีกทั้งยังเป็นคำศัพท์เฉพาะกลุ่ม ทำให้ผู้ฟังเกิดความไม่เข้าใจในการฟัง แต่ทำให้ผู้พูดบางท่านเข้าใจผิดคิดว่า ตนเป็นคนมีภูมิรู้มากมาย ฉะนั้นหากต้องการประสบความสำเร็จจงทำเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ และสนุก
7.ขาดความรู้ในเชิงลึกในเรื่องที่พูด การพูดหากว่าผู้พูดรู้ไม่ลึกพอ หรือไม่รู้จักหาข้อมูล มาศึกษาเพิ่มเติม รู้แค่เปลือกนอก เมื่อผู้ฟังถามคำถาม หากผู้พูดตอบไม่ได้ก็จะทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธาและขาดความเชื่อถือได้ ฉะนั้น ก่อนจะไปพูดแต่ละครั้งควรเตรียมข้อมูล ควรศึกษาเรื่องดังกล่าวให้รู้ลึก รู้จริง ก่อนไปพูด เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูล ข่าวสาร ยุคของความรู้ ท่านสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆมากมาย
8.ขาดความเป็นธรรมชาติ การพูดที่เกร็งไม่เป็นปกติหรือเป็นธรรมชาติ มักทำให้ผู้ฟังรู้สึกเกร็งไปด้วย ความไม่เป็นปกติของผู้พูดเรามักสังเกตได้จาก ท่าทางที่นิ่งเฉย ไม่มีการแอกชั่น เป็นการพูดที่ขาดซึ่งอารมณ์ ขาดความรู้สึกในการพูด ฉะนั้นควรทำตนให้เป็นปกติหรือธรรมชาติในการพูดจะทำให้การพูดดูเป็นกันเอง ไม่น่าเบื่อหน่าย
ฉะนั้น หากท่านไม่ต้องการให้การพูดของท่านล้มเหลว ท่านควรงดจากการกระทำทั้ง 8 ข้อ ดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งควรปรับเปลี่ยน พัฒนา ให้ตรงกันข้ามกัน เช่น ขาดการเตรียมการพูด ท่านควรเตรียมการพูดให้มากๆ , ขาดเป้าหมายในการพูด ท่านต้องมีเป้าหมายในการพูดทุกครั้ง , ขาดการสอดใส่อารมณ์ ท่านต้องสอดใส่อารมณ์ในการพูดแต่ละครั้ง , ขาดความชัดเจนในการพูด ท่านควรฝึกฝนการพูดในมีความชัดเจนยิ่งขึ้น , ขาดการวิเคราะห์ผู้ฟัง ท่านควรมีการวิเคราะห์ผู้ฟัง , ขาดการทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ท่านต้องรู้จักทำเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องง่าย , ขาดความรู้ในเชิงลึกในเรื่องที่พูด ท่านจะต้องศึกษาให้มีความลึกซึ้งในเรื่องที่พูด และขาดความเป็นธรรมชาติ ท่านจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติในการพูดแต่ละครั้ง








...
  
การจัดการเวลา
การจัดการเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักที่จะสร้างผลงานได้มากกว่าคนธรรมดา บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีเวลามากกว่าพวกเราหรือ คำตอบคือ เปล่าเลย คนเรามีเวลาเท่ากันแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการ จัดการเวลา
หากไม่สามารถจัดการเวลาได้ ท่านก็ไม่สามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ การจัดการเวลาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดแจงตัวเอง เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยาก ผู้ที่จะจัดการเวลาให้ได้ดีจำเป็นจะต้องมี วินัยสูง หากว่าไม่มีการจัดการเวลา ชีวิตของเราจะสร้างผลงานได้น้อยมาก
สำหรับคนที่จะจัดการเวลาให้ได้ดี มักเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต เช่น เขาอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ , เขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ฯลฯ หากว่าคนเรามีเป้าหมายชีวิต เขาก็จะเกิดการพัฒนาตนเอง เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ เขาจะรู้จักคุณค่าของเวลาและเขาจะเป็นคนที่รู้จักจัดการเวลาของตนเอง ดังนั้น เป้าหมาย แรงจูงใจมีความสำคัญมากต่อการจัดการเวลาของคนเราแต่ละคน
คนที่จัดการเวลาได้ดีคือคนที่รู้จักการเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่ตนเองทำ งานแต่ละงานมีความสำคัญมากน้อยที่แตกต่างกัน คนที่จัดการเวลาเป็น มักจะให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญมากที่สุดก่อนแล้วจะทำงานที่สำคัญลดน้อยลงไปตามลำดับ
คนที่จัดการเวลาเป็น มักมีเครื่องมือช่วย เช่น ปฏิทิน , ไดอารี่ , สมุดโน้ต เป็นต้น อีกทั้งต้องทำรายการในเรื่องที่จะต้องทำในอนาคต วันพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ ไว้ในเครื่องมือต่างๆ เพื่อที่จะลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกทั้งควรใช้กฎของพาร์กินสัน คือกำหนดเส้นตายของงานที่ต้องการทำให้เสร็จ
ทำไมจึงต้องมีการจัดการเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เวลาเมื่อผ่านไปแล้วย้อนคืนมาอีกไม่ได้ ,เวลามีจำกัดไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้ , เวลามีคุณภาพที่แตกต่างกัน เช่น เวลากลางคืน เวลากลางวัน , เวลามีค่าเสียโอกาส หากเราเอาช่วงเวลาหนึ่งไปทำงานอย่างหนึ่งเราก็จะเสียโอกาสในการทำเรื่องอื่นๆไปด้วย เป็นต้น
คนที่รู้จักจัดการเรื่องของเวลาต้องรู้จัก การปฏิเสธ ในชีวิตประจำวัน เรามักจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องของคนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น พูดคุยกัน นินทากันในเรื่องของคนอื่นๆ ช่วยผู้อื่นหรือเป็นธุระให้กับคนอื่น ซึ่งหากว่าเราวิเคราะห์ดูแล้ว ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้เราเสียเวลา อีกทั้งมีผลกระทบกับเป้าหมายที่เราวางไว้ เราก็ควรที่จะปฏิเสธ แล้วกลับไปทำงานใช้เวลาให้ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเรา
ผลดีของการจัดการเวลา คือ จะทำให้เราทำงานได้เสร็จตรงตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย , ทำให้ทำงานหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เช่น ตอนอาบน้ำ เราสามารถนำเทป VCD วิชาการ ความรู้ต่างๆ ไปฟังด้วย , ทำให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น เมื่อเรารู้จักคุณค่าของเวลา เรามักจะจัดระบบต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น จัดระบบห้องสมุดขึ้นภายในบ้านหากว่าเราเป็นนักเขียน ก็จะช่วยให้เราหาหนังสือเพื่อใช้เป็นข้อมูลได้ง่ายขึ้น เสียเวลาน้อยลง เป็นต้น
ผลเสียของการไม่จัดการเวลา คือ ทำงานได้น้อย สร้างผลงานได้น้อยกว่าคนที่รู้จักจัดการเวลา , ทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลาที่จะต้องส่ง , ทำงานขาดประสิทธิภาพ งานขาดความเรียบร้อย ต้องมีความเครียดตลอดเวลา เพราะต้องทำงานเร่งด่วนอยู่บ่อยๆ ทำให้เกิดความเครียดในการทำงาน
สุดท้ายขอฝากแง่คิดว่า “ ช่องว่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา คือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของเวลา

...
  
การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ
บรรยาย โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานในสภาวะเศรษฐกิจ โดยบรรยายหัวข้อ " การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ " ...
  
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะว่า คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสูตรอย่างไรในการทำงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ให้ข้อแนะนำมา 3 ข้อ สั้นๆคือ “ สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ” ซึ่งกระผมขอขยายความดังนี้
สม่ำเสมอ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอาชีพอะไร เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนสักเพียงใด เขาจะไม่หยุดทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน คนที่มีความสม่ำเสมอ มักถือว่าเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง เขาจะทำงานจนวันสุดท้ายและท้ายสุดของชีวิตเลยทีเดียว
มากพอ คือ เขาจะมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน เช่น งานเขียนหากตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้เพียงวันละ 1 หน้า กับอีกคนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 5 หน้า เวลาผ่านไป 1 เดือน สรุปคนแรกเขียนได้ 30 หน้า กับอีกคนเขียนได้ 120 หน้า ท่านคิดว่า ใครจะมีโอกาสเป็นนักเขียนที่เก่งกว่ากันครับ แน่นอนครับคนที่สอง เพราะเขาทำสิ่งนั้น “มากพอ” ครับ
นานพอ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำงานในอาชีพที่เขารัก นานพอ ไม่ใช่ทำแค่ วันสองวันถอดใจเสียแล้ว หรือทำแค่ 1 เดือน ก็หยุดทำอย่างนี้คงประสบความสำเร็จได้ยาก
ดังนั้น การทำงาน ด้วยความสม่ำเสมอ มากพอ และนานพอ เป็นแง่คิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่หลักการดังกล่าวยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
...
  
การบริการสู่ความเป็นเลิศ
บรรยายในหัวข้อ " การบริการสู่ความเป็นเลิศ " ณ โรงแรมเกทเวย์ จัดโดยสำนักงานจัดหางาน ...
  
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
One day is worth two tomorrows.(วันนี้มีค่าเท่ากับวันพรุ่งนี้ถึงสองวัน)
เกษตรกรคนหนึ่งมีอาชีพทำไร่ เขามีความตั้งใจว่าวันนี้จะต้องไปปลูกหอม ปลูกกระเทียมให้หมด ในช่วงเช้าเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังที่ดินของเขา เขาขับรถไปด้วยความตั้งใจ ในระหว่างทางบังเอิญเขาเจอร้านขาย อุปกรณ์ทางการเกษตร เขาคิดว่าเขามีเวลามากพอจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามราคาข้อมูลต่างๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจซื้อ จอบ เสียบ เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ปลูกหอม ปลูกกระเทียม ตามที่เขาตั้งใจ พอไปถึงที่ดินของเขา เขาสังเกตเห็นว่า ใกล้ๆที่ดินมีหนองน้ำ ซึ่งน้ำในหนองกำลังจะแห้ง แต่มีฝูงปลามากมายอาศัยอยู่ในหนอง เขาจึงตัดสินใจลงไปจับปลาในหนองน้ำ พอได้ปลามากพอสมควรแล้ว เขาก็หยุดจับ แล้วก็เริ่มที่จะลงมือปลูกหอมกับกระเทียมที่เขาตั้งใจ เขาปลูกได้เพียงชั่วครู่ บังเอิญเห็นต้นหญ้าเขียวจำนวนมาก เขาคิดว่าจะเป็นการดีหากนำต้นหญ้าเขียวจำนวนมากเหล่านี้ นำไปให้วัวที่บ้านได้กิน เขาจึงเริ่มต้นเก็บต้นหญ้า เขาเก็บได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ตก เขาจึงเดินทางกลับบ้าน สำหรับเป้าหมายที่เขาตั้งใจที่จะทำคือการปลูกหอม กระเทียม ก็ปลูกได้ไม่มากและยังไม่เสร็จ
หลายๆคนคงนึกขำ กับเกษตรกรคนนี้ แต่หารู้ไม่ว่า พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆกับเกษตรกรคนนี้ ซึ่งหลายๆคน มีเป้าหมายอยากที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละวัน กลับทำไม่สำเร็จหรือเสร็จตามที่ต้องการเนื่องจากการไปทำในเรื่อง งานปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยไปไม่ถึงไหน
ทำไมจึงต้องมีการจัดการกับเวลา เพราะหากไม่มีการจัดการกับเวลา เวลาของเราก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากว่า เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถหาซื้อมาใหม่ได้ เราไม่สามารถหยุดเวลาได้
คนที่จัดการกับเวลาได้ดี เขามักเป็นคนที่มีเป้าหมาย ท่านผู้อ่านลองกำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น อีก 10 ปี ข้างหน้า ท่านอยากเป็นอะไร ท่านผู้อ่านลองทบทวนชีวิตว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าท่านจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วท่านจงเริ่มวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
หากว่าท่านมีเป้าหมายชีวิต กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ท่านจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านจะจัดสรรลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำ ท่านจะมีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธผู้คน หากว่าผู้คนเหล่านั้น ชวนท่านคุยในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์และทำให้ท่านรู้สึกเสียเวลา และท่านจะไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง
ตอนนี้ท่านผู้อ่านอาจลองทดสอบตัวเองด้วยการ ตอบคำถามข้างล่างให้ตรงกับความเป็นจริงเพื่อดูว่าเรามีการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
1.ท่านมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนหรือไม่
2. ท่านมีการวางแผนเวลาหรือไม่
3.ท่านมีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำหรือไม่
4.ท่านมีเครื่องมือช่วยในการวางแผนเวลา เช่น ไดอารี่ ปฏิทิน สมุดโน้ต หรือไม่
5.ท่านมีการบังคับตนเองเพื่อทำตามแผนงานที่ท่านได้วางแผนไว้หรือไม่
6.ท่านมีการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยหาที่สงบๆให้กับตนเองได้ใช้ความคิดหรือไม่
7.ท่านใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดหรือไม่ เช่น ระหว่างนั่งรอพบคน ท่านเอาหนังสือออกมาอ่าน
จากแบบทดสอบข้างต้น หากข้อใดท่านตอบว่า “ ไม่ ” ท่านควรตรวจสอบแล้วหาทางปรับปรุงตัวท่านเอง การปรับปรุงตัวท่านจะทำให้การจัดการเวลาของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Prepare today for the needs of tomorrow. (เตรียมพร้อมในวันนี้เพื่อภาระในวันพรุ่งนี้)

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.