หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
นักประชาสัมพันธ์
8
...
  
อยากเขียนเก่งต้องเขียน
อยากเขียนเก่งต้องเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
อยากพูดเก่งต้องพูด อยากว่ายน้ำเก่งต้องลงไปว่ายน้ำ อยากขายเก่งต้องไปขาย และถ้าอยากเขียนเก่งต้องเขียนครับ การเขียนเป็นศาสตร์และศิลป์ อีกทั้งเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ เมื่อฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ บ่อยๆ ก็จะเขียนได้เก่ง เขียนได้ดียิ่งขึ้น
บางคนเคยถามผมว่า เขาเขียนไม่เป็น ทำอย่างไรถึงเขียนได้ คำตอบที่ผมตอบกลับไปเหมือนกำปั้นทุบดินก็คือ คุณต้องเขียนครับ แล้วมีคำถามต่อว่าแล้วจะให้ผมเขียนอะไร คุณจะเขียนอะไรก็ได้ ทางที่ดีควรเลือกแนวทางหรือเรื่องที่คุณถนัดหรือสนใจจริงๆ ในการฝึกการเขียนใหม่ๆ
บางคนแทนที่จะลงมือเขียนได้แล้ว กลับถามผมอีกว่า แล้วผมไม่รู้ว่าถนัดแนวไหน (แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย ผมคิดในใจ) ถ้าไม่รู้ว่าถนัดแนวไหน คุณลองสังเกตดูว่าคุณชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับแนวไหน เพราะคนส่วนใหญ่มักอ่านหนังสือในแนวที่ตนเองสนใจ เมื่อคุณอ่านหนังสือแนวนั้นเยอะๆ ก็จะทำให้คุณเกิดฐานข้อมูลในการเขียน จะทำให้การฝึกการเขียนนั้นง่ายกว่าการเขียนในแนวที่ตนเองไม่ถนัดหรือเรื่องที่คุณไม่รู้
การเขียนมีหลายแนวหรือหลายประเภท เช่น การเขียนบทความ การเขียนนวนิยาย การเขียนรายงาน การเขียนสารคดี การเขียนเรียงความ การเขียนข่าว ฯลฯ หากว่าคุณอยากเขียนให้ได้ดีหรืออยากพัฒนางานเขียนให้พัฒนาได้ไวขึ้น คุณจำเป็นจะต้องรู้เทคนิคต่างๆ การรู้เทคนิคจะทำให้งานเขียนออกมาดียิ่งขึ้น
การเขียนได้ต้องเริ่มจากการอ่าน การอ่านมีความสำคัญและจำเป็นมาก สำหรับคนที่ต้องการฝึกฝนในการเขียน เพราะการอ่านมากๆ จะทำให้เรามีข้อมูลในการเขียน การอ่านมากๆ จะทำให้รู้วิธีการต่างๆ ของนักเขียน เช่น การใช้สำนวนภาษา การเว้นวรรค การเล่นคำ การใช้อารมณ์ การสอดแทรกอารมณ์ต่างๆในการเขียน ฯลฯ
อยากประสบความสำเร็จในการเขียนต้องมีใจรัก การทำงานทุกอย่างต้องเริ่มที่ใจรักก่อน หากไม่มีใจรักเสียแล้ว เมื่อเกิดปัญหา เกิดอุปสรรคต่างๆ คนๆนั้นก็จะล้มเลิกกลางคัน งานอาชีพทางการเขียนก็เช่นกัน คนที่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน เราลองไปอ่านประวัติของนักเขียน ก็จะทราบได้ว่า เขาเริ่มต้นจากหัวใจที่รักในการเขียน ในการอ่าน หนังสือ ฉะนั้นเมื่อบุคคลใดมีใจรักที่อยากเขียน เมื่อมีความปรารถนาอยากเป็นนักเขียน บุคคลนั้นก็จะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังความคิด เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตนต้องการ
เขียนเก่ง ประสบความสำเร็จก่อน คนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ มักเกิดจากคนๆนั้น มีความสามารถที่หลากหลาย ความสามารถทางการเขียนก็เป็นความสามารถหนึ่งที่ส่งผลให้คนประสบความสำเร็จในอาชีพการทำงานได้ เช่น นักเรียน นักศึกษาที่เขียนเก่ง มักสอบได้คะแนนดี เนื่องจากเขียนข้อสอบได้เข้าใจหรือสื่อสารได้ชัดเจนกว่านักเรียน นักศึกษาที่เขียนไม่เก่ง , พนักงานที่เขียนเก่ง มักได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งและได้รับเงินเดือนมากกว่าพนักงานที่เขียนไม่เก่ง กล่าวคือ เมื่อผู้บริหารให้เขียนรายงานส่ง เขียนแผน เขียนโครงงานต่างๆ พนักงานที่มีความสามารถทางการเขียนมักสื่อให้ผู้บริหารเข้าใจได้ง่ายกว่าพนักงานที่เขียนไม่เก่ง ฯลฯ
เขียนเก่ง...รวยก่อน... คนที่เขียนเก่งมักก่อให้เกิดความร่ำรวย เช่น นักเขียนบางคนมีฐานะร่ำรวยมาจากงานเขียนถึงขั้นเป็นมหาเศรษฐีหรือเศรษฐีไปเลยก็มี เจ.เค.โรว์ลิ่ง ผู้แต่งวรรณกรรมเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มีทรัพย์สินร่วม 2,000 ล้านบาท ขึ้นทำเนียบบุคคลรวยที่สุดอันดับที่ 122 ของประเทศอังกฤษ หรือนักเขียนชาวไทย สมคิด ลวางกูร เขามักเรียกตัวเขาเองว่าเป็นนักจัดการข้อมูล ก็ร่ำรวยมาจากการเป็นคนเขียนหนังสือขาย
ท้ายนี้กระผมขอสรุปอีกครั้งว่า อยากเขียนเก่งต้องเขียนครับ ถ้ามัวแต่อ่านแล้วไม่ลงมือเขียน เราก็จะได้แค่เป็นนักอ่าน นักเขียนต้องเขียน เขียน และเขียน จึงจะประสบความสำเร็จในการเขียนครับ

...
  
ทอล์คโชว์ ชุด 1/3
8
...
  
โต้วาที ท้องไม่แท้ง แท้งไม่ฟ้อง (2)
8
...
  
"กลยุทธ์การเพิ่มยอดขาย" โดยโค้ช สิริลักษณ์ ตันศิริ part 2
8
...
  
การพัฒนาตนเอง
การฝึกฝนตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การฝึกฝนตนเองมีความสำคัญมากสำหรับบุคคลที่ต้องการเป็นนักบริหาร หรือ สำหรับบุคคลผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำงานและการดำเนินชีวิต ซึ่งหลักในการฝึกฝนตนเองที่ดี เราจะต้องมีการสำรวจตนเองหรือวิเคราะห์ตัวเองก่อนว่า เรามีข้อดีข้อเสียอะไร และสิ่งใดบ้างที่เราต้องมีการแก้ไข ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น หลักในการฝึกฝนตนเองมีหลายด้าน เช่น
การสร้างเป้าหมายในชีวิต , ความเป็นผู้ขยันขันแข็ง , ความเป็นผู้ที่เข้มแข็ง ,ความเชื่อมั่นในตนเอง ,ความเป็นผู้ตรงต่อเวลา , ความมีสุขภาพดี ฯลฯ
- การสร้างเป้าหมายในชีวิต มีความสำคัญ สำหรับบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ
ซึ่งบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จจะต้องรู้จักตนเองก่อนว่า ตนต้องการสิ่งใด รักสิ่งใดมากที่สุด อยากที่จะเป็นอะไร อยากที่ต้องการประกอบอาชีพอะไร แล้วจึงเลือกทำสิ่งนั้น การสร้างเป้าหมายในชีวิต ไม่ควรทำแบบเพ้อฝัน การสร้างเป้าหมายในชีวิตที่ดี นักจิตวิทยาได้สอนไว้ว่า ให้เขียนเป้าหมายในชีวิตหรือหารูปภาพในสิ่งที่เราต้องการ อยากได้ อยากเป็น มาติดไว้เพื่อเตือนใจตัวเอง ก็จะทำให้เราไม่ลืมเป้าหมายนั้น อีกทั้งไม่ทำให้เราเดินทางออกนอกเส้นทางของเป้าหมายที่เราวางไว้ การจินตนาการถึงเป้าหมายที่ตัวเองต้องการก็มีความสำคัญ การจินตนาการจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น เราควรจะแบ่งเวลาในทุกๆวัน โดยจินตนาการถึงเป้าหมายบ่อยๆ
- ความเป็นผู้ขยันขันแข็ง ความขยันขันแข็งเป็นลักษณะที่ตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน
พวกเราคงเคยได้ยินนิทานเรื่อง เต่ากับกระต่าย ซึ่งมีการวิ่งแข่งกัน ผลปรากฏว่า เต่าเป็นผู้ชนะถึงแม้เต่าจะวิ่งช้ากว่ากระต่าย คนที่มีความขยันขันแข็ง ควรมีลักษณะเหมือนกับเต่า กล่าวคือ เป็นผู้ที่มีความสม่ำเสมอ ไม่ละความพยายาม ไม่เป็นคนใจร้อน ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคต่างๆ มีอิทธิบาท 4 คือ มีฉันทะ การรักในสิ่งที่ตนเองทำ มีวิริยะ มีความพยายามพากเพียรในสิ่งที่ตนเองต้องการ มีจิตตะ มีการเอาใจใส่ต่องาน และมีวิมังสา มีการแก้ไข ไตร่ตรองในงานที่ทำ
- ความเป็นผู้ที่เข้มแข็ง หนังสือเรื่อง “ มหาบุรุษ ” ของพลตรี หลวงวิจิตวาทการได้เขียนไว้ว่าคน
ที่มีความเข้มแข็งมีลักษณะดังนี้ ไม่เป็นคนที่บ่นหรือร้องทุกข์ ไม่บอกความลับของตนเองหรือไม่ต้องการทราบความลับของผู้ใด ไม่ต้องการรู้ว่า ผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับเรา เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สามารถนำสิ่งต่างๆที่ร้ายมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ และมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา
- ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นเรื่องของความคิด นักจิตวิทยาหลายท่านให้คำแนะนำไว้ว่าให้คิดใน
แง่ดี เช่น ฉันทำได้ ฉันแข็งแรง ฉันเข้มแข็ง ฉันสุดยอด ฉันเป็นคนมีพลัง ฉันเชื่อมั่น ฯลฯ ความคิดจะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง แต่ถ้าหากว่าเราคิดลบ ความคิดนั้นจะทำลายความเชื่อมั่นในตนเองได้ เช่นกัน เช่น คิดว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันล้มเหลว เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ฯลฯ ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง เราจึงต้องมีการพัฒนาความคิดก่อนเป็นลำดับแรก ด้วยการเปลี่ยนเอาความคิดที่ทำลายความเชื่อมั่นออกไปแล้วใส่ความคิดในแง่ดีเข้าไปแทน
- ความเป็นผู้ตรงต่อเวลา คนไทยเรามักมีปัญหาในเรื่องการต่อตรงเวลา เช่น การนัดหมาย การ
เข้าที่ทำงานสาย การส่งของให้แก่ลูกค้าไม่ตรงต่อเวลา ซึ่งแตกต่างกับประเทศแถวยุโรปหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศเหล่านั้น ประชาชนของเขามักมีนิสัยเป็นคนตรงต่อเวลา การสร้างนิสัยให้เป็นคนตรงต่อเวลา จึงต้องควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก และควรมีเครื่องมือช่วย (Diary ,ตารางการทำงาน ,แผนงานประจำปี เดือน วัน ,บันทึกช่วยจำ) คนที่มีนิสัยตรงต่อเวลา มักเป็นที่ชื่นชอบและชื่นชมของคนหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ร่วมงาน หัวหน้างาน ผู้ที่มาติดต่อ ลูกค้า
- ความมีสุขภาพดี คนที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มักเป็นคนที่มีสุขภาพดี จะมีประโยชน์อันใด หาก
ว่าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ร่ำรวย มีอำนาจ แต่สุขภาพเราแย่ ป่วยเป็นโรค ไม่สามารถเดินได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เรามักเห็นภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศที่มีความกระตือรือร้น มีสุขภาพร่างกายที่ดี เราแทบจะไม่เห็นผู้นำประเทศคนใดที่ป่วยหนักแล้วเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งการจะทำให้สุขภาพดีนั้น เราควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม เช่น การกินอาหารให้เพียงพอ มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนอย่างพอเพียงต่อร่างกาย
หลักในการฝึกฝนตนเองในข้อความข้างต้นมีความสำคัญ บุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จจึงต้องมีการพัฒนาตนเอง เรียนรู้ เพิ่มเติม จากหนังสือ จากแหล่งข้อมูลต่างๆ อีกทั้งจะต้องมีการฝึกปฏิบัติ และมีการตรวจสอบ ควบคุมกันอย่างจริงจัง คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักโทษสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักเริ่มต้นที่การพัฒนาตนเองก่อน จึงทำให้เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
...
  
คุณลักษณะผู้นำ
คุณลักษณะของผู้นำที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่เป็นผู้นำมักมีลักษณะบางอย่างที่เด่นกว่าผู้ตาม คนที่เป็นผู้นำมักเป็นคนที่มีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ผู้อื่นยอมทำตาม อีกทั้งผู้ตามยอมได้นำเอาความประพฤติ ได้นำเอาแบบอย่างในการทำงาน ผู้ตามบางคนถึงกับยอมถอดแบบผู้นำ บางคนลอกเลียนแบบอย่างของผู้นำ ในบทความฉบับนี้ เราจะมาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนกันในเรื่อง คุณลักษณะของผู้นำที่ดีมีอะไรบ้าง คุณลักษณะของผู้นำในทัศนะของกระผมมีดังนี้ครับ
1.มีเป้าหมาย ผู้ที่ต้องการเป็นผู้นำ ควรมีเป้าหมายเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายชีวิต เป้าหมายในการทำงาน เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงองค์กร เป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ การมีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้นำมีทิศทางในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย ตรงกันข้าม หากผู้นำไม่มีเป้าหมาย ผู้นำก็จะรู้สึกสับสน เปรียบดังเรือที่ไร้หางเสือ อีกทั้งไม่รู้จะไปในทิศทางไหนเหมือนอยู่กลางมหาสมุทร
2.ความรอบรู้ ยุคปัจจุบัน เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร เป็นยุคที่จะต้องใช้ ความคิด ความรู้ มาแข่งขันกัน ไม่เหมือนยุคในสมัยอดีตมักจะใช้กำลังในการต่อสู้หรือการทำสงคราม ผู้นำที่มีข้อมูลมากกว่า ผู้นำที่มีความรอบรู้กว่า ผู้นำที่มีการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ดีกว่า มักเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งเป็นที่เคารพเชื่อถือแก่ผู้ตาม
3.กล้าเปลี่ยนแปลงหรือริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ยุคสมัยปัจจุบันและยุคของโลกในอนาคต ผู้นำมักเป็นผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลง ผู้นำมักกล้าทดลอง ค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ โลกยุคใหม่จึงเป็นยุคสมัยของ ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง
4.กระตือรือร้น ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ มักเป็นผู้นำที่มีความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง เดินไวกว่าคนปกติ ตามจิตวิทยา หากผู้นำมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ผู้ตามมักจะมีความกระตือรือร้นด้วย ในทางกลับกัน หากว่าผู้นำมีความเฉยชา ผู้ตามก็มักจะทำงานด้วยความเฉยชา เช่นกัน
5.มีความอดทน งานของผู้นำมักเป็นงานที่หนักกว่าผู้ตาม เนื่องจากต้องมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อคนที่ทำงาน และต่อองค์กร ยิ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ เช่น บริษัท(มหาชน) , กระทรวง , หรือประเทศชาติ ก็ต้องรับภาระที่หนักหนาขึ้น หากว่าเราสังเกต ผู้นำระดับประเทศบางคนตอนขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี มีใบหน้าที่หล่อ ดูดี มีสง่า แต่เมื่อดำรงตำแหน่งไปได้ไม่นาน หน้าตาที่เคยสง่า ดูดี กลับการเป็นใบหน้าที่ดู เคร่งเครียด จริงจัง ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้นำระดับประเทศผู้นั้น ต้องแบกรับปัญหาต่างๆ มากมายและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นเอง
6.การบังคับตนเองหรือการควบคุมตนเอง คนที่ต้องการเป็นผู้นำต้องมีสติในการควบคุมตนเอง ทั้งทางด้านจิตใจและร่างกาย เช่น บังคับตนเองไม่ให้แสดงออกต่อหน้าสาธารณะในการแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดี โดยเฉพาะต่อหน้าสื่อมวลชน เนื่องจากผู้นำต้องเป็นเป้าสายตาต่อลูกน้องและคนทั่วไป
7. การใช้ดุลพินิจและกล้าตัดสินใจ ผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ดุลพินิจ อีกทั้งเมื่อมีปัญหาก็ต้องกล้าตัดสินใจ ถึงแม้จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็ตาม แต่หากไม่กล้าตัดสินใจ ก็จะทำให้สถานการณ์นั้นๆ แย่ลงได้ ผู้นำจึงต้องเป็นนักวิเคราะห์ นักคิดที่ดีในการรู้จักมองปัญหาต่างๆ อีกทั้งต้องมีความเด็ดขาดเมื่อต้องตัดสินใจ เพื่อที่จะนำพาองค์กร ประเทศชาติ เดินหน้าต่อไป
8.มีมนุษย์สัมพันธ์ ผู้นำที่ดีต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากผู้นำต้องทำงานกับคน หากผู้นำสามารถครองใจคนทำงานได้ ลูกน้องก็มักจะทำงานเต็มที่ การมีมนุษย์สัมพันธ์จะทำให้ผู้นำเป็นที่ เคารพรัก ศรัทธา เชื่อถือ ของผู้คน ทำให้มีคนอยากช่วยเหลือ มากกว่าผู้นำที่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ในการทำงาน
ผู้นำที่ดีมักคิดยากๆ แล้วปฏิบัติง่ายๆ แต่ผู้นำที่ไม่ดีมักคิดง่ายๆ แล้วปฏิบัติยากๆ











...
  
ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ
ทำไมถึงต้องอ่านหนังสือ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนส่วนใหญ่ต้องการประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ต้องการความร่ำรวย คนส่วนใหญ่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น คนส่วนใหญ่ต้องการสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และคนส่วนใหญ่ต้องการความสุข
ถามว่าทั้งหมดนี้ ถ้าเราต้องการมันจริงๆ เราสามารถหาได้จากที่ใด คำตอบก็คือ เราสามารถหาได้จากการอ่านหนังสือครับ
ถ้าเราอยากเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ บิล เกตส์ ในการทำบริษัทไมโครซอฟท์ เราสามารถทราบประสบการณ์ต่างๆที่เขา ทำผิดพลาดและสิ่งที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จได้จากหนังสือที่เขาเขียน
ถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ อย่าง วอเรน บัฟเฟต นักลงทุนหุ้นระดับโลก เราสามารถเล่นหุ้นโดยการเลียนแบบได้จากการอ่านหนังสือที่เขาเขียน และเราสามารถรู้เทคนิคต่างๆที่เขาใช้ในการทำกำไรจากตลาดหลักทรัพย์
ถ้าเราอยากเป็นนักการเมืองและนักต่อสู้ทางการเมือง แบบ มหาตมา คานธี ที่ต่อสู้แบบอหิงสา จนประสบความสำเร็จและได้รับชัยชนะจนประเทศอินเดียได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ เราสามารถอ่านหนังสือของเขาหรือหนังสือที่มีคนเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวการต่อสู้ของเขาได้
ถ้าเราอยากมีความสุข ท่านไดลามะ(เป็นตำแหน่งประมุขหัวหน้าคณะสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายมหายานแบบทิเบตเกลุก เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต) สามารถสอนท่านได้โดยผ่านตัวหนังสือต่างๆที่เขาเขียน
ถ้าเราอยากเป็นดารา นักแสดง นักร้อง อย่างฮอลลีวูด เราสามารถอ่านหนังสือของ ดารา นักแสดง นักร้อง ที่เขาเขียนถึงชีวประวัติของเขาได้ ซึ่งจะทำให้เราเกิดพลัง ในการต่อสู้และเกิดความฝัน ความทะเยอทะยานในการพัฒนาตนเอง
ถ้าเราอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ เราสามารถหาอ่านจากหนังสือต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพได้ หรือถ้าเราเป็นโรคใดโรคหนึ่ง เราก็สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคที่เราเป็นได้เพื่อที่จะได้ป้องกันและดูแลสุขภาพของเราให้ดีขึ้น
ดังนั้น เราจะเห็นว่า หนังสือมีความสำคัญมากต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ เมื่อเราต้องการร่ำรวย จงอ่านหนังสือของนักเขียนที่เขาร่ำรวยมาจากการต่อสู้และการทำงาน แน่นอนครับ นักเขียนเหล่านี้ ไม่สามารถมาสอนท่านได้ด้วยตนเอง หรือ ท่านไม่มีปัญหาจ้างเขามาสอนท่านให้รู้เทคนิคต่างๆ หรือไอเดียต่างๆได้ แต่ ทุกอย่างที่ท่านอยากรู้อยู่ในหนังสือครับ เพียงแต่ท่านลงทุนซื้อหนังสือหรือยืมหนังสือที่ห้องสมุด แล้วก็เริ่มต้นอ่านมัน อ่านมัน อ่านมัน อ่านให้มากๆ
สรุป ถ้าท่านต้องการความร่ำรวย จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการมีความสุข จงอ่านหนังสือ ถ้าท่านต้องการมีเป้าหมายมีความฝันและต้องการรู้จักตนเองมากขึ้น จงอ่านหนังสือ จงอ่านหนังสือให้มากๆ แล้วท่านจะได้สิ่งที่ท่านต้องการ

...
  
ดูหมิ่น
ดูหมิ่น
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ตามประมวลกฏหมายอาญาบัญญัติไว้ใน มาตรา 393 “ ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ซึ่งองค์ประกอบความผิดของมาตรา 393 มีดังนี้
1.ดูหมิ่น
2.ผู้อื่น
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
4.โดยเจตนา
จากองค์ประกอบข้างต้นกระผมขออธิบายเพิ่มเติม
1.ดูหมิ่น จากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน โดย นายมานิต มานิตเจริญ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ ดูหมิ่น” คือ เหยียดหยาม , ดูถูก,เหยียบย่ำ,ดูหมิ่นดูแคลน,ดูหมิ่นถิ่นแคลน
เช่นฏีกาที่ 1623/2551 คำว่า ทนายเฮงซวย ตามพจนานุกรม คำว่า “ เฮงซวย” หมายถึง เอาแน่นอนไม่ได้ , เลว , ไม่ดี ฉะนั้น คำว่า “ทนายเฮงซวย” จึงเป็นถ้อยคำคำด่าที่ทำให้โจกท์เกิดความเสียหาย เป็นการทำให้ถูกเหยียดหยาม จึงมีความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 393
2.ผู้อื่น คือ ผู้เสียหายหรือบุคคลซึ่งถูกดูหมิ่น โดยมากมักจะเป็นบุคคลธรรมดา
3.ซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา
ซึ่งหน้า หมายถึง ทำต่อหน้า ไม่ทำลับหลัง กับผู้ที่ถูกดูหมิ่น
ด้วยการโฆษณา หมายถึง กระทำอย่างเผยแพร่เพื่อให้คนอื่นรู้ เช่น ลงสื่อต่างๆ (หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต)
4.โดยเจตนา คือ ผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนา ต้องตั้งใจ จงใจ ที่ดูหมิ่น
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการตีความที่มากขึ้น ขอให้ท่านลองเข้าไปดู ฏีกาต่างๆ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าการตีความจะเข้าความผิดฐานดูหมิ่นหรือไม่ เช่น ฏีกาที่ 5772/2542 , ฏีกาที่ 3800/2527 , ฏีกาที่ 2220/2518,ฏีกาที่ 2089/2511 , ฏีกาที่ 3176/2516 , ฏีกาที่ 259/2514 เป็นต้น)
...
  
การสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ผมเห็นคนที่ถูกเชิญขึ้นไปพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายคน อยู่ในอาการประหม่า บางคนสั่น บางคนพูดเสียงเบาเพราะความไม่มั่นใจหรือเชื่อมั่นในการพูดของตนเอง ในวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน

ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่าการที่เราไม่มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนเนื่องมาจากสาเหตุอะไร ผมเคยถามคำถามนี้กับผู้ที่เข้ารับการอบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนโดยที่กระผมเป็นวิทยากร คำตอบที่มักจะได้รับก็คือ การไม่รู้จะพูดอะไรเนื่องจากไม่มีข้อมูลหรือไม่ได้เตรียมการพูดมา บางคนบอกว่า ไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน บางคนบอกว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี ฯลฯ

สรุปแล้วคือผู้อบรมการพูดต่อหน้าที่ชุมชนหลายท่าน อ้างสิ่งต่างๆนานา หรือคิดไปต่างๆนานา แท้ที่จริงแล้ว เราสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชนได้ โดยการทำสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ

1.บางคนอ้างว่าไม่ได้เตรียมตัวมาหรือไม่รู้จะพูดอะไร เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามก็คือ เราต้องเตรียมการพูดให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลำดับเรื่อง การใช้ถ้อยคำ การหาข้อมูล การวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นกลุ่มไหนมาฟัง เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นวัยทำงานหรือเป็นวัยชรา เพื่อเราจะเลือกใช้ภาษาถ้อยคำให้ถูกกับวัยของผู้ฟังหรือ ตัวอย่างของเรื่องให้สอดคล้องกับวัยของผู้ฟัง รวมไปถึงเวลาในการพูด ถ้าพูดช่วงเช้า กับช่วงบ่าย ก็ต้องใช้กลยุทธ์ในการพูดที่แตกต่างกัน เนื่องจากช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่นักพูดมักพูดว่า เป็นช่วง “ ปราบเซียน ” จึงต้องพูดให้มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา เนื่องจากคนกินอาหารอิ่ม ง่วง ถ้าขืนไปพูดเสียงเบา ไม่เร้าใจ ผู้ฟังก็อาจหลับกันหมด
2.บางคนอ้างว่าไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟังหรือว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เมื่อรู้เช่นนี้ ว่าเราไม่คุ้นเคยผู้ฟัง กลัวผู้ฟัง กระผมขอแนะนำว่า ผู้พูดควรไปก่อนเวลาสักเล็กน้อย ไปทำไม ไปเพื่อทำความรู้จักกับผู้ฟัง ชวนผู้ฟังพูดคุยบ้าง ทำความรู้จัก ทำความคุ้นเคย ก่อนที่จะบรรยายเพื่อให้เกิดการลดอาการประหม่าเนื่องจากการไม่คุ้นเคยหรือกลัวผู้ฟัง สำหรับบางคนกลัวว่าผู้ฟังที่มานั่งฟังอาจมีความรู้มากกว่าตน เราก็ควรคิดในแง่ดีว่า สิ่งที่เราบรรยาย ผู้ฟังอาจไม่รู้ เพราะความรู้เรื่องหนึ่งๆ มันมีหลายแง่มุม ตอนนี้เราเป็นผู้พูด เรามาพูดแง่มุมของเรา ถ้าผู้ฟังมีความรู้อะไรก็ช่วยเติมเต็มได้

3.บางคนอ้างว่า ไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ บางคนบอกว่า กลัวว่าจะพูดได้ไม่ดี สำหรับข้อนี้ง่ายมาก เมื่อเรารู้ว่าเราไม่กล้าเนื่องจากไม่ได้ขึ้นฝึกพูดบ่อยๆ เราก็ควรทำสิ่งที่ตรงข้ามคือ เราต้องหาโอกาสในการฝึกการพูดบ่อยๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตนเองในการพูดในที่ชุมชน

ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน มีความสำคัญมาก เราจะเห็นได้ว่า บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่กล้าพูดหรือพูดด้วยความไม่มั่นใจ ก็ทำให้ผู้ฟังขาดความศรัทธา ตรงกันข้ามกับอีกคนหนึ่งที่มีองค์ความรู้น้อยกว่า แต่มีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในการพูดในที่ชุมชน ทำให้คนๆนั้น เป็นที่ยอมรับและมีคนศรัทธาในคำพูดหรือการพูดของเขา

ฉะนั้น นักพูดที่ดีต้องฝึกความกล้า โดยคิดว่า ความกลัวมักทำให้เสื่อม หรือ ถ้ากลัวสิ่งไหนให้เข้าไปหาสิ่งนั้นแล้วจะทำให้หายกลัว (ถ้ากลัวการพูดต่อหน้าที่ชุมชนท่านก็ต้องเข้าหาแล้วท่านจะหายกลัวในที่สุด)ท้ายนี้ขอฝากคำกลอนที่มีผู้แต่งซึ่งแต่งได้ไพเราะมากซึ่งกระผมไม่ทราบว่าใครแต่งจึงขออนุญาตนำมาปิดท้ายครับ

พูดทั้งที ต้องให้มี ความเชื่อมั่น
อย่ามัวสั่น หวั่นผวา น่าสงสาร
จงเตรียมกาย เตรียมใจ ให้เบิกบาน
ความกล้าหาญ บันดาลให้ พูดได้ดี





...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.