หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
อยากเป็น นักเขียนต้องเขียน
อยากเป็น...นักเขียนต้องเขียน เขียนและเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

มีคนเคยถามผมว่า ถ้าอยากเขียนบทความ เขียนสารคดี เขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้น ต้องทำอย่างไร จึงจะเขียนเก่ง คำตอบที่ผมตอบไป ไม่ว่าจะเขียนบทความ เขียนสารคดี เขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้น หรือแม้แต่การเขียนตำรา เขียนหนังสือต่างๆ คนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่ชอบเขียน เขียน และเขียน ยิ่งเขียนบ่อยๆ ยิ่งเขียนมากๆ ยิ่งเขียนได้ทุกวันยิ่งดี


เพราะการเขียนก็เหมือนกับการฝึกทักษะด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูด การอ่าน และการฟัง เมื่อเราฝึกพูดบ่อยๆ เราฝึกอ่านบ่อยๆ และเราฝึกการฟังบ่อยๆ จะทำให้เราเรียนรู้ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับทักษะนั้นๆ มากขึ้น ทำให้เราสามารถเรียนรู้ ปรับปรุง ได้ดียิ่งขึ้น


แต่ขออย่างเดียวคือ ท่านที่ต้องการเป็นนักเขียน อยากท้อถอย ท้อแท้ เสียก่อนเวลาอันควร ไม่มีใครไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียน เพียงแต่คนๆนั้น เลิกก่อนเวลาที่จะประสบความสำเร็จเสียก่อน ดังนั้น ท่านที่ต้องการประสบความสำเร็จในด้านการเขียน จำเป็นจะต้องอดทน ฝึกฝนการเขียนอยู่เสมอ บางครั้ง อาจเขียนไม่ออก หรือไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรมาเขียน ก็เป็นปกติของคนที่เริ่มเขียนใหม่ๆ


เราก็ต้องมีความอดทน หาข้อมูลจากการอ่านเยอะๆ ถ้าเป็นไปได้ ควรมีห้องสมุดส่วนตัวอยู่ที่บ้าน ยิ่งดี เพราะเวลาต้องการข้อมูลสามารถค้นคว้าหามาได้เลยโดยไม่ต้องไปยืมห้องสมุดหรือหาซื้อมาเพื่อที่จะนำมาเป็นข้อมูล บางท่านอาจคิดว่า ยุคปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาทางอินเตอร์เน็ตได้ แต่ข้อมูลบางอย่าง การหาทางอินเตอร์เน็ตไม่สามารถหาข้อมูลได้ในเรื่องของเนื้อหาหรือรายละเอียด ในอินเตอร์เน็ตอาจมีข้อมูลบางส่วนของหนังสือที่เราต้องการ ฉะนั้น นักเขียนมืออาชีพส่วนใหญ่จะมีห้องสมุดส่วนตัวอยู่ที่บ้าน อาจไม่ใหญ่มากก็ได้


อีกประการหนึ่ง สำหรับผู้ต้องการเป็นนักเขียนโดยเฉพาะมือใหม่ คือ การแบ่งเวลาหรือการกำหนดเวลาเป็นสิ่งที่จำเป็นในการฝึกฝนด้านการเขียน การกำหนดเวลาจะทำให้เกิดการสร้างนิสัยและเกิดวินัย ซึ่งการกำหนดเวลาในการเขียนของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน เช่น บางคนอาจจะใช้เวลาตอนเช้ามืด ตี 4- ตี 5 ตื่นขึ้นมาเขียน บางคนอาจใช้เวลาตอนกลางคืน ช่วงดึกๆ ฯลฯ


และที่สำคัญที่สุดคือ ท่านที่ต้องการเป็นนักเขียน ท่านจะต้องมีใจรักในงานเขียน แน่นอนในช่วงต้นๆ ของงานเขียน รายได้จากงานเขียนอาจน้อย ทำให้นักเขียนหลายๆท่าน ต้องหางานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานเขียนก่อน แล้วใช้ช่วงเวลาว่างในการเขียน ซึ่งเป็นลักษณะของงานอดิเรก แต่ถ้าท่านต้องการเป็นนักเขียนจริงๆ กระผมแนะนำว่า ท่านควรหางานที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนโดยตรง ท่านก็จะได้ทั้งเงินและงานเขียนในเวลาเดียวกัน เช่น งานด้านการข่าว งานด้านการเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ วารสาร หรืองานด้านประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับการเขียนข่าว ส่งข่าว ฯลฯ


งานเขียนมีหลากหลายประเภท เช่น บทความ สารคดี นิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล กลอน ฯลฯ การที่เราจะรู้ว่าเราชอบงานด้านไหนบางทีอาจจะต้องลองผิดลองถูก แต่เท่าที่สังเกต ใครที่ชอบอ่านหนังสือในแนวนั้นมักชอบงานเขียนในแนวนั้น เช่น บางคนชอบอ่านบทความ ก็มักจะเขียนบทความได้ดีกว่างานเขียนประเภทอื่น หรือบางคนชอบนิยาย ก็มักจะเขียนนิยายได้ดีกว่าการเขียนกลอนหรือบทความ


ท้ายนี้ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งการเขียนให้ได้ดี เราจำเป็นจะต้องฝึกเขียน เขียน และเขียน การเขียนหนังสือ ก็เหมือนกับการที่เราขี่จักรยานหรือว่ายน้ำ ไม่มีใครขี่จักรยานเป็นหรือว่ายน้ำเป็น เพียงแค่การอ่านหนังสือ ดังนั้น ถ้าท่านต้องการที่จะเป็นนักเขียน ท่านต้องฝึกเขียน เขียน และเขียน ถ้าท่านเอาแต่อ่านท่านจะเป็นได้แค่นักอ่านเท่านั้น

...
  
บันได 6 ขั้น สู่ความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มักมีแนวความคิดที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งพวกเขาจะยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด จากการสำรวจและอ่านหนังสือ ค้นคว้า ผมมักเห็นคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีแนวคิดบางประการที่คล้ายกัน ดังนี้

1.เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายของชีวิตตนเอง บางคนมีเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก บางคนมีเป้าหมายตอนทำงาน และบางคนมีเป้าหมายตอนแก่ เช่น ไทเกอร์ วู้ดส์ มีเป้าหมายอยากเป็นนักกอล์ฟระดับโลก ในวัยเด็ก ที่สุดเขาจึงได้เป็น , เอดิสัน เขามีเป้าหมายอยากเป็นนักประดิษฐ์เอกของโลกในที่สุดเขาก็ได้เป็น เขาผลิตสิ่งประดิษฐ์นับร้อยๆชิ้น เช่น หลอดไฟฟ้า ที่พวกเราใช้กัน และผู้พันแซนเดอร์สมีเป้าหมายตอนแก่ คือ เขาต้องการขายสูตรไก่ทอด เขาต้องเดินเร่ ขายสูตรไก่ทอดของเขา ให้แก่นักธุรกิจ จากคนที่ 1 ไม่ซื้อ คนที่ 10 ไม่ซื้อ คนที่ 1,000 ไม่ซื้อ จนในที่สุดมีคนที่ 1,009 ซื้อ นี่เพราะเขามีเป้าหมายนั้นเอง ดังนั้นใครต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต คนๆนั้นจะต้องมีเป้าหมายที่ตนเอง ใผ่ฝันก่อนเป็นอันดับแรก

2.วางแผน คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว จะต้องมีแผนการหรือการวางแผน เพื่อจะนำตนเองไปสู่เป้าหมายของชีวิต การวางแผนควรกำหนด ระยะเวลา วัน เดือน ปี ที่ต้องไปให้ถึงเป้าหมายนั้น การวางแผนที่ดี ควรมีการวางแผน เป็นระยะเวลา สั้น กลาง และยาว เช่น การขายประกันชีวิต เราควรมีการวางแผนการขายเป็นระยะยาว อาจวางแผน 5 ปี แล้วจึงวางแผนการขายระยะกลาง เราอาจแบ่งเป็นระยะเวลา 1 ปี และ วางแผนการขายระยะสั้น เราวางแผนเป็นรายเดือนและรายวัน เพื่อจะทำให้เราสามารถตรวจสอบแผนการที่วางไว้ได้ในระยะเวลาดังกล่าว

3.ลงมือ ทำตามแผนการที่วางไว้ คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว มีการวางแผนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลงมือทำ ไม่ใช่มีแต่แผน แล้วไม่ลงมือทำก็จะไม่ประสบความสำเร็จ แผนที่วางไว้ก็จะเป็นแผนที่เลื่อนลอย ไม่เป็นจริงตามเป้าหมายหรือความฝัน

4.มีความจริงจัง ย้ำกับตัวเองตลอดเวลาและ ฝันถึงเป้าหมายตลอดเวลา คนเรานั้นมีความพยายามเหมือนกันแต่ใช้ไม่เท่ากัน จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว คนที่ประสบความสำเร็จมักจะจริงจัง ย้ำกับตัวเอง และฝันถึงเป้าหมายตลอดเวลา ดังนั้น จึงทำให้เขามีพลังในการทำงาน อย่างกระตือรือร้น ส่วนคนที่ล้มเหลว มักทำงานของตนเองด้วยความเฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ไม่มีความสุขในการทำงาน เพราะไม่มีความจริงจังในความฝันของตนเอง

5.หาต้นแบบ คนประสบความสำเร็จมักมีคนเป็นต้นแบบ ของตนเอง เช่น บางคนอยากเป็นนักการเมือง มาตั้งแต่เด็ก เนื่องจาก ชื่นชม และชื่นชอบ ผู้นำของประเทศ หรือ บางคนอยากเป็นนักพูดเนื่องจาก ชื่นชมหรือชื่นชอบในตัวนักพูดระดับชาติ ระดับโลก จึงทำให้ตนเอง อยากเป็นเช่นนั้นบ้าง

6.ต้องมีการตรวจสอบ ควบคุม และทบทวน ตนเองอยู่เสมอ ว่าสิ่งที่ตนเองทำในทุกวันนี้ ไปในทิศทางที่ได้วางเป้าหมายไว้หรือไม่ แล้วแผนที่วางไว้สำเร็จถึงขั้นไหนแล้ว ถ้ายังไม่เป็นไปในทิศทางที่เป้าหมายวางไว้ เราจะมีการปรับแผนอย่างไร เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าว ควรตรวจสอบเป็นระยะๆ เพื่อหาทางแก้ไข ปรับปรุงการวางแผนนั้น

จากข้อสรุป 6 ข้อ ดังกล่าว เป็นปัจจัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในวงการต่างๆ อาจจะมีอีกหลายปัจจัย แต่กระผมเชื่อว่า คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะต้องมี 6 ปัจจัยที่กระผมได้กล่าวถึง ถ้าท่านผู้อ่านอยากที่จะประสบความสำเร็จในวงการใดๆ ลองนำข้อแนะนำดังกล่าวไปปฏิบัติกระผมเชื่อแน่ว่าท่านจะเป็นคนหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

...
  
ศิลปะในการบริหาร
ศิลปะในการบริหาร
ศิลปะในการเป็นผู้บริหาร โดย... ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่) มีหนังสือและองค์ความรู้มากมายที่พูดถึงเรื่องของ ผู้บริหาร มีทั้งนักวิชาการ ผู้ปฏิบัติจริง ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ซึ่งกระผมได้อ่าน ได้ศึกษา อาจสรุปได้เป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้ 1.ผู้บริหาร ต้องมีพันธะผูกพัน(Commitment) คือ ต้องมีความรับผิดชอบในคำพูด คำสัญญา การแสดงออก การกระทำ ต่อสิ่งที่ได้ทำไปหรือต่อบุคคลอื่น เช่น สัญญาว่าจะทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จภายในวันนี้ ผู้บริหาร ก็ต้องพยายามทำให้เสร็จถึงแม้จะทำถึง เที่ยงคืน ตี 1 ตี 2 หรือรุ่งเช้าก็ต้องทำ 2.ผู้บริหารที่ดี ต้องมีสติปัญญา และการตัดสินใจที่ถูกต้อง รวดเร็ว เด็ดขาด แน่นอน การตัดสินใจย่อมต้องมีการผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าผู้บริหาร กลัวการที่จะตัดสินใจลงไปแล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ องค์กร หน่วยงาน รวมถึงประเทศชาติ ก็ได้ถ้าผู้บริหารคนนั้นบริหารประเทศ สำหรับหลักการตัดสินใจที่ดี เราควรแสวงหาข้อมูลให้มากที่สุดในเรื่องที่เราต้องตัดสินใจแล้ว มองอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หาสาเหตุของปัญหา แนวทางแก้ปัญหาและจึงตัดสินใจ เมื่อ ผู้บริหารตัดสินใจผิดพลาดก็ควรรับผิดชอบ 3.ผู้บริหารที่ดี ต้องสร้างความศรัทธา แก่ลูกน้อง ลูกค้า เจ้าของกิจการ รวมทั้งผู้พบเห็น ภาพพจน์(Image) ของผู้บริหารถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ การพัฒนาบุคลิกภาพ การพูดจา การแต่งกาย และการสร้างชื่อเสียง จึงเป็นส่วนสำคัญในเรื่องนี้ ทำอย่างไรให้คนเชื่อถือไว้วางใจ และเกิดการกระทำในสิ่งที่ผู้นำ จูงใจให้กระทำ 4.ผู้บริหาร ต้องเรียนรู้อย่างไม่หยุดหยั้ง เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคแห่งการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้บริหาร ต้องรู้จักเรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าเทคโนโลยี การหาข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ใหม่ๆ ดังนั้นการไปดูงานต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญทำให้เห็นสิ่งใหม่ๆแล้วกลับนำมาใช้ในองค์กร ในหน่วยงาน ในประเทศของตน 5.ผู้บริหารที่ดี มักจะเลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสนุก อีกทั้งยังตรงกับเป้าหมายในชีวิต ความสามารถในตัวเอง การเลือกอาชีพในการทำงานจึงถือว่าสำคัญมากในการที่คนๆ นั้น จะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้บริหาร ดังนั้น การเลือกงานที่ชอบจึงสำคัญกว่าเลือกงานเพราะมีเงินเดือนมาก หรือได้เงินตอบแทนมาก โดยที่ตนเองอาจไม่ชอบงานนั้นๆ 6.ผู้บริหารต้องทำงานโดยใช้วิธีที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ลักษณะงานการบริหารในปัจจุบันมีความแตกต่างจากงานบริหารในอดีต อาจกล่าวได้ว่ามีความแตกต่าง ดังนี้ 6.1.ผู้บริหารต้องทำงานหนัก เนื่องจากมีภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น และต้องทำงานให้เสร็จ จึงทำให้ในแต่ละวัน ผู้บริหารต้องแก้ปัญหามากขึ้น มีความเครียดในการทำงานมากขึ้นกว่าผู้บริหารในอดีต 6.2.ผู้บริหารต้องมีความสามารถหลากหลาย เนื่องจากการทำงานในยุคปัจจุบันผู้บริหารต้องทำงานและทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเจรจาต่อรอง งานด้านเอกสาร การเป็นประธานในงานต่างๆ การประชุม การกล่าวปราศรัยในงานต่างๆ 6.3.ผู้บริหารต้องทำงานร่วมกับสื่อมวลชนทุกประเภทมากขึ้น การบริหารองค์การในยุคปัจจุบัน มีการแข่งขันสูง ผู้บริหารจึงต้องเป็นนักการตลาด นักประชาสัมพันธ์ บางสถานการณ์จะต้องถูกสัมภาษณ์จากสื่อสารมวลชน 6.4.ผู้บริหารต้องทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารมาก ในยุคปัจจุบันเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร สรุปแล้วการเป็น ผู้บริหาร เป็นทั้งศาสตร์ที่สามารถเรียนกันได้ เป็นทั้งศิลป์ คือ นำมาประยุกต์ได้ โดยไม่จำกัดว่าเกิดในสถานะภาพใด ไม่ว่า ยากดี มีจน เป็นลูกมหาเศรษฐี ไม่ว่ายากดี มีจน คนเราก็สามารถเป็น ผู้บริหารที่ดีได้ ...
  
ดร.อภิชาติ ดำดี
ที่อยู่ 29/6 หมู่บ้านชวนชื่นปิ่นเกล้าวงแหวน
ถ.กาญจนาภิเษก ต.ปลายบาง
อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
โทรศัพท์ : 02-921-4592
โทรสาร : 02-921-4593
E-mail : apichatd@hotmail.com
Website : www.damdee.com

การศึกษา * ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ปริญญาโท การจัดการภาครัฐและภาคเอกชนมหาบัณฑิต (เกียรตินิยม)
คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA)
(งานวิจัยเรื่อง “ปัญหาและแนวทางที่เหมาะสมในการจัดตั้ง
องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ : ศึกษาเฉพาะกรณีองค์กร กสช.)
* ประกาศนียบัตรชั้นสูง หลักสูตร “การเมืองการการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง” รุ่นที่ 8 (ปปร.8) สถาบันพระปกเกล้า
(ได้รับรางวัลโล่พระราชทานเอกสารวิชาการส่วนบุคคลดีเด่น
เรื่อง “หลักพระพุทศาสนากับการส่งเสริมวิถีชีวิตประชาธิปไตย)
* ปริญญาเอก การพัฒนาและการปฏิรูปองค์การดุษฎีบัณฑิต
(DODT : Doctor of Organization Development & Transformation)
มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ซีบู (Cebu Doctors’ University, Philippines.)
(Dissertation : Organization Development Interventions on The Team
Performance of Officers at Krasaebon Sub-district Administrative Organization,
Rayong, Thailand.)
งานเขียน * “หลักพระพุทธศาสนากับการส่งเสริมวิถีชีวิตประชาธิปไตย”
(เอกสารวิชาการส่วนบุคคลดีเด่น สถาบันพระปกเกล้า)
* “แมนทูวูแมน” (รวมบทความ สำนักพิมพ์บุคแบงก์)
* “วาไรตี้ทอล์ค” (รวมบทความ สำนักพิมพ์บุคแบงก์)
* “ชีพจรลงปาก” (รวมบทความ สำนักพิมพ์อิ่มอักษร)
* “ทอล์คโชว์อันซีน” (ร่วมเขียนกับคณะวิทยากร สำนักพิมพ์ต่วยตูน)
* “ติดอาวุธนักบริหาร” (ร่วมเขียนกับคณะวิทยากร สำนักพุทธศิลป์สาส์น)
* ร่วมเขียนชุดวิชา “เสริมประสบการณ์ผู้นำชุมชน”
หลักสูตรประกาศนียบัตรสำหรับผู้นำชุมชน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
ประสบการณ์ * ตัวแทนเยาวชนประเทศไทย เข้าร่วมโครงการ “เรือเยาวชนอาเซียน”
ณ กลุ่มประเทศอาเซียนและญี่ปุ่น
* ตัวแทนเยาวชนพรรคการเมือง ศึกษาดูงานองค์กรเยาวชนพรรคการเมือง
ณ ประเทศสหพันธรัฐเยอรมัน
* ได้รับเหรียญ “นักศึกษาผู้ทำชื่อเสียงดีเด่น” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ได้รับโล่ “ศิษย์เก่าผู้ทำคุณประโยชน์” มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* ได้รับเข็มกลัดทองคำฝังเพชร “นักพูดดีเด่น” รายการ “ทีวี-วาที 9 ใหม่”
* ได้รับเกียรติบัตร “ศิษย์เก่าดีเด่น”
เนื่องในโอกาสมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 70 ปี
* สร้างสรรค์รายการโทรทัศน์ส่งเสริมความรู้สู่ชุมชนหลายรายการ ที่เป็นที่รู้จัก
อย่างกว้างขวางยาวนาน คือรายการ “ผู้ใหญ่บ้านดำดี” ช่อง 9 อสมท.
* วิทยากร สถาบันการศึกษา, หน่วยงาน, องค์การภาครัฐและภาคเอกชน
* กรรมการพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรสำหรับผู้นำชุมชน
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
* กรรมการจัดทำหลักสูตรวุฒิบัตรสำหรับผู้ช่วยและผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร สถาบันพระปกเกล้า
* ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ประจำคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา
* ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
* กรรมการประชาสัมพันธ์ โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รัฐสภา
* สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดกระบี่ ปี 2549
* สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ * จตุตถดิเรกคุณาภรณ์



...
  
ร้อยตำรวจเอก ดร. เฉลิม อยู่บำรุง
อดีตประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย ส.ส. สัดส่วน กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตหัวหน้าพรรคมวลชน และ ส.ส.ฝั่งธนบุรีหลายสมัย

เกิดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2490 จบการศึกษาทั้งระดับ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จาก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยรับราชการตำรวจมีตำแหน่งเป็นสารวัตรกองปราบฯ ในการทำงานการเมืองเคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และขณะที่กำกับดูแลหน่วยงานแห่งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม มีชื่อเรียกสั้น ๆ จากสื่อมวลชนว่า "เหลิม" หรือ "เหลิมดาวเทียม" เนื่องจากเป็นที่รับรู้กันดีในแวดวงสื่อมวลชนถึงการควบคุมการนำเสนอข่าวด้วยตนเองของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งในบางครั้งถึงกับเข้าไปสั่งการในห้องตัดต่อเอง จนคนในช่อง 9 เรียกว่า "บรรณาธิการเฉลิม"[1]

สมรสกับ นางลำเนา อยู่บำรุง ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชน มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน เป็นชายล้วนคือ นายอาจหาญ, นายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง (ภายหลังนายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม เปลี่ยนชื่อเป็น นายวัน และนายดวง ตามลำดับ) ลูกชายทั้งสามก็ถูกเรียกกันทั่วไปว่า "ลูกเหลิม"

มีน้องชายที่เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น ส.ก.หลายสมัยคือ นายนวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.เขตหนองแขม

ร.ต.อ.เฉลิม เป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองที่โดดเด่นด้านการพูด และลีลาการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ที่สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อได้ และหลายครั้งมีการใช้คำพูดที่ฟังดูรุนแรง ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวถึงตัวเองไว้ว่า "ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม"

ในช่วงที่ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯได้ให้ฉายาว่า "เป็ดเหลิม" ซึ่งเปรียบเทียบว่า ร.ต.อ.เฉลิมกับเป็ดทำหลายอย่างได้ แต่ไม่สามารถทำได้ดีสักอย่าง เช่น บินได้ แต่ไม่สามารถบินได้อย่างยาวนานและดีเท่ากับนก หรือเรียกว่า "ไอ้ปื้ด" ซึ่งเป็นบุคคลนิรนามที่มาจากคำกล่าวอ้างของเฉลิมเพื่อปัดคนทำผิดแทนลูกของเขา

เนื้อหา [ซ่อน]
1 บทบาททางการเมืองในช่วงแรก
2 ร.ต.อ.เฉลิม กับคดีความของลูกชาย
3 เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
4 ร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน
4.1 บทบาทในช่วงเลือกตั้ง 2550
4.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
4.3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
5 ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย
5.1 ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย
6 อ้างอิง

[แก้] บทบาททางการเมืองในช่วงแรก
ร.ต.อ.เฉลิม เริ่มต้นชีวิตทางการเมืองด้วยการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาก่อน ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ได้ก่อตั้ง พรรคมวลชน และดำรงตำแหน่ง เป็น หัวหน้าพรรค โดยมีฐานเสียงสำคัญในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ฝั่งธนบุรี โดยเฉพาะ เขตภาษีเจริญ และ เขตบางบอน ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เป็น ส.ส. ผูกขาดในพื้นที่ มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เคยไม่ได้รับเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว คือในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2535 ครั้งที่ 1

ร.ต.อ.เฉลิม เคยดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ อสมท. โดยบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม ในขณะนั้นถูกมองว่า เข้าไปแทรกแซง การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และมีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มทหาร จนถูกนำมาเป็นเหตุผลประการหนึ่ง ในการทำ รัฐประหาร ปี พ.ศ. 2534 ของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ

ภายหลังการรัฐประหารดังกล่าว ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ และถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท [2] และต้องขอลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ โดยเดินทางไปพำนักอยู่ที่ ประเทศสวีเดน และประเทศเดนมาร์ก

ต่อมาเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ร.ต.อ.ได้กลับเข้าประเทศไทย และได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา และต่อมา ในปี พ.ศ. 2540 ตัดสินใจยุบ พรรคมวลชน รวมเข้ากับ พรรคความหวังใหม่ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น หลังจากนั้นบทบาททางการเมืองของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็เงียบหายไปเป็นเวลานาน

บทบาทการเป็นฝ่ายค้านของ ร.ต.อ.เฉลิม ในพรรคชาติไทย มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการอภิปลายไม่ไว้วางใจ สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย เรื่อง สปก.4-01 ซึ่งส่งผลให้ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องตัดสินใจยุบสภาก่อนที่จะมีการลงมติไม่ไว้วางใจ และเหตุการณ์ดังกล่าวยังถูกนำมาใช้อ้างอิงเพื่อโจมตีทางการเมืองต่อนายสุเทพ และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด

[แก้] ร.ต.อ.เฉลิม กับคดีความของลูกชาย

ร.ต.อ.เฉลิม ขณะให้สัมภาษณ์ตอบโต้สื่อ โดยมีนายวันเฉลิม หรือนายวัน อยู่บำรุง บุตรชายคนรอง (เสื้อดำ) ยืนอยู่ด้านหลัง ทางขวามือของภาพร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้ง เมื่อลูกชายทั้ง 3 คน คือ นายอาจหาญ นายวันเฉลิม และนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ตกเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนเป็นระยะ ว่ามีพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อเหตุวิวาททำร้ายร่างกายหลายครั้ง โดยเฉพาะในสถานบันเทิงยามค่ำคืน และทำให้เกิดประโยคคำถาม ล้อเลียนคำพูดของลูก ร.ต.อ.เฉลิม ขณะก่อเหตุทำนองว่า "รู้ไหมว่ากูลูกใคร" โดยคดีต่าง ๆ ล้วนได้รับการยอมความจากผู้เสียหาย โดยไม่มีการลงโทษ ซึ่งถูกสังคมมองว่าเกิดจากการใช้อิทธิพล ของ ร.ต.อ.เฉลิม ผู้เป็นบิดา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่ นายดวงเฉลิม ลูกคนเล็กตกเป็นผู้ต้องหาสังหาร ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ดาบยิ้ม" ในผับกลางโรมแรม ย่านถนนรัชดาภิเษก เมื่อปลายปี พ.ศ. 2544 โดยหลบหนีไปหลังเกิดเหตุ และมอบตัวหลังจากนั้นกว่าครึ่งปี ซึ่งบทบาทของ ร.ต.อ.เฉลิม ขณะนั้น ถูกมองว่าเป็นพ่อที่พยายามปกป้องลูกอย่างถึงที่สุด จนถึงขนาดมีวิวาทะกับสื่อ โดยมีประโยคเด็ด เป็นคำขู่ว่า "ระวังคนฝั่งธนฯ จะกระทืบ" อันเป็นเหตุให้ถูกสื่อมวลชน บอยคอต งดนำเสนอข่าวของ ร.ต.อ.เฉลิม ไประยะหนึ่ง หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิมและลูกๆ ได้ออกนิตยสารของตัวเอง ในแนววิจารณ์การเมือง โดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสื่อ แต่ดำเนินการได้ไม่นานก็ปิดตัวลง

วิกิคำคม มีคำคมที่กล่าวโดย หรือเกี่ยวกับ:
เฉลิม อยู่บำรุงต่อมาคดีนายดวงเฉลิม มีคำตัดสินของศาลอาญาชั้นต้นให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า นายดวงเฉลิมเป็นผู้สังหารดาบยิ้ม จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผู้สังหารดาบยิ้มเป็นใคร นอกจากคำให้การของฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม ที่ว่าเป็นฝีมือของ นายเฉลิมชนม์ บุริสมัย หรือ "ไอ้ปื๊ด" คนสนิทผู้ติดตามนายดวงเฉลิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิเสธที่จะนำมาเป็นสาระสำคัญในคดี

[แก้] เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2547 ร.ต.อ.เฉลิมได้ลงรับสมัครด้วย โดยได้เบอร์ 3 แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 4 (รองจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ได้ที่ 3) แต่คะแนนของทุกเขต ร.ต.อ.เฉลิมจะอยู่ในลำดับที่ 3 หรือที่ 4 ตลอด ยกเว้นเขตบางบอนเท่านั้นที่ได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 1

[แก้] ร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน
[แก้] บทบาทในช่วงเลือกตั้ง 2550

ร.ต.อ.เฉลิม และนายสมัคร สุนทรเวช ในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งปี 2550ดูบทความหลักที่ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550
ร.ต.อ.เฉลิมตัดสินใจเข้าร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน หลังการรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 และในช่วงปลายปี พ.ศ. 2550 จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดย ร.ต.อ.เฉลิมลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบสัดส่วน ลำดับที่ 2 กลุ่มจังหวัดที่ 6 (กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี และ สมุทรปราการ) และได้รับเลือก

[แก้] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดูบทความหลักที่ คณะรัฐมนตรีคณะที่ 57 ของไทย
ภายหลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง พรรคพลังประชาชนได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมากในสภาถึง 233 ที่นั่ง ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ นายสมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยในการจัดคณะรัฐมนตรีนายสมัครได้ให้ ร.ต.อ.เฉลิมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย[3] ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่าเป็นตำแหน่งที่ตนต้องการที่จะดำรงตำแหน่งมากที่สุดด้วย

แต่ต่อมาในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2551 นายสมัครได้ตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี โดยในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิมได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายสมัครได้ให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ดำรงตำแหน่งแทน ร.ต.อ.เฉลิม[4]

[แก้] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ดูบทความหลักที่ คณะรัฐมนตรีคณะที่ 58 ของไทย
ต่อมานายสมัครได้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้ง โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยในการจัดคณะรัฐมนตรีนายสมชายได้เลือกให้ ร.ต.อ.เฉลิมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข[5]

แต่ต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้ยุบพรรคพลังประชาชน,พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค จึงส่งผลให้นายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย

[แก้] ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย

ร.ต.อ.เฉลิม ขณะปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งซ่อมทั่วประเทศหลังยุบพรรคพลังประชาชน[แก้] ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย
ภายหลังจากมีการยุบพรรค ร.ต.อ.เฉลิมได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้คณะผู้บริหารพรรคพิจารณาแต่งตั้ง ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธาน ส.ส. เพื่อควบคุมการทำงานในสภาของ ส.ส.ภายในพรรคต่อไป โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าพรรคได้มอบหมายให้ทำหน้าที่ประธาน ส.ส. เพื่อทำหน้าที่หัวหน้าพรรคในสภาผู้แทนราษฎร[6] พรรคเพื่อไทยตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม เป็นประธาน ส.ส. เพราะยังไม่สามารถหาผู้นำฝ่ายค้านได้ กล่าวกันว่าไม่มีใครที่กล้าเป็นผู้นำฝ่ายค้านเลย เพราะเกรงว่าถ้ามีคดียุบพรรคอีกครั้ง จะติดข่ายเว้นวรรคทางการเมืองห้าปี เนื่องจากผู้นำฝ่ายค้านจะต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคนั่นเอง

ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้นำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดย ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้ขึ้นเปิดอภิปรายเป็นคนแรก โดยอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในกรณีการปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผยการรับเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ในการรายงานงบดุลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเส้นทางของเงินดังกล่าวเป็นเงินที่รับจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) แล้วทำนิติกรรมอำพรางผ่านบริษัท เมซไซอะ ซึ่งถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง[7]

ในปลายปี พ.ศ. 2552 สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ให้ฉายา ร.ต.อ.เฉลิมว่า "ดาวดับ" อันเนื่องจากวาทะที่แก้ตัวให้กับการกระทำที่ส่อทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้าม" ซึ่งได้กลายเป็นวาทะประจำปีด้วย[8]

ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2553 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้มีวิวาทะกับสมาชิกพรรคเพื่อไทยด้วยกันเอง ถึงขนาดตำหนิออกมาต่อหน้าสื่อมวลชนหลายต่อหลายครั้ง อันเนื่องจากเรื่องการที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่เห็นแตกต่างกันและมีความเห็นเกี่ยวกับทิศทางการบริหารจัดการพรรคที่แตกต่างกัน[9]
...
  
ทำไมนักพูดจึงต้องมีอารมณ์ขัน(จตุพล ชมภูนิช)
วงการนักพูดบ้านเราในขณะนี้ ถ้าเอ่ยชื่อ “จตุพล ชมภูนิช” หลายคนต้องร้องอ๋อ (แต่ไม่ใช่ อ๋อ…เหรอ) เพราะหลายคนบอกว่าเขาเป็นนักพูด นักเขียน นักฝึกอบรม และล่าสุดเป็นพิธีกร แต่เชื่อหรือไม่ว่า อาชีพทั้งหมดที่บอกไปนั้น เริ่มต้นจากการ “พูด” แทบทั้งสิ้น”

นักพูดไม่จำเป็นต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เกิด และนักพูดก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ว่าตัวเองพูดเก่ง เขาผู้นี้ก็เช่นกัน เขาเริ่มการพูดเป็นทางการครั้งแรกในชมรมโต้วาทีในมหาวิทยาลัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องเริ่มต้นจากความชอบก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นเราจะมาดูว่าเขาเริ่มต้นเป็นนักพูดมืออาชีพได้อย่างไร

“…ก็ฝึกตัวเองก่อนนะ เวลาเดินเข้าบ้านก็พูดเสียงดัง ๆ ตะโกนไปเลย เพราะซอยแถวบ้านไม่ค่อยมีคน ก็เดินเข้าไปก็พูดไปด้วย พอสักพักก็ได้เริ่มฝึกฝนวิธีคิด วิธีการพูดโดยไม่ต้องเตรียมตัว มันก็ได้ประสบการณ์ขึ้นมาส่วนหนึ่ง…

…จากนั้นก็มาฝึกพูดในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งแรกนี่ไม่ประสบความสำเร็จ คือไม่มีคนฟัง ไม่มีคนชอบ อะไรก็ไม่รู้นะ (หัวเราะ)… นี่คือในช่วงแรก ๆ ทำไม่ได้ แต่ผมเป็นคนที่ถ้าทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งพยายามขึ้น ไม่ใช่ว่าเลิก ก็แสดงว่าความพยายามของเรายังไม่ถึง เรายังไม่ให้เวลาเต็มที่ ความสามารถเรายังไม่พอ ก็ต้องเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไปให้มันด้วย เลยกลับมาฝึกใหม่…”

ตอนนั้นใครเป็นนักพูดในดวงใจ?

“…ตอนนั้นรุ่นพี่ ๆ ในมหาวิทยาลัยที่พูดเก่ง ๆ ก็มีหลายคน เราก็ดู ๆ แล้วก็ลองศึกษาว่าเขามีวิธีการพูดอย่างไร ทำไมคนถึงสนุก คนถึงฮาเฮ ก็มีหลายคนนะ แต่ว่าแต่ละคนก็หยิบมาอย่างละเล็กละน้อย อย่างคนนี้พูดเสียงหนักแน่นดี คนนี้มีลูกเล่นลูกฮาดีนะ…

…จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเก่ารุ่นใหม่ ผมก็คอยสังเกตการณ์ตลอด เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะหยิบยกของแต่ละคนมา บางคนมีไหวพริบปฏิภาณดี บางคนก็มีวิธีการพูดดี สำนวนดี ผมก็พยายามศึกษา เราจับเอามาอย่างละเล็กละน้อย ไม่ได้ถึงขนาดเลียนแบบหรือไปเอาของใครมาเป็นแบบอย่าง…”

ทุกวันนี้อาจารย์มีแบบฉบับในการพูดของตนเองอย่างไร?

“…ผมว่าเป็นตัวของผมเองนะ คือจะนำสิ่งร่วมสมัยมาใช้ เช่น เพลงโฆษณา ละคร อะไรต่าง ๆ เอามาประยุกต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ แล้วก็นำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันที่เราอาจมองข้ามไป มาหยิบยกให้เห็นเด่นชัดขึ้น คงจะเป็นอย่างนี้ คือให้มันทันสมัยมากขึ้น เข้ากับความสนใจของคนฟัง…”

อาจารย์เคยเบื่อการพูดบ้างไหม?

“…ถ้าพูดนี่ คงไม่เบื่อนะครับ เพราะปรกติอาชีพผมนี่ จริง ๆ คืออาชีพฝึกอบรม ต้องไปสอนคน ต้องไปบรรยายตามคอร์สต่าง ๆ ทีนี้คนมันเปลี่ยนตลอด พอบรรยายเรื่องนี้ไป สมมติว่า พูดเรื่องการทำงานอย่างไรให้มีความสุขสนุกกับงาน วิธีการบริหารอย่างเหนือชั้น วิธีการขายอย่างมืออาชีพ คนฟังจะเปลี่ยนเข้ามาเรื่อย ๆ ถ้าไม่เปลี่ยนคนฟัง เราก็เปลี่ยนหัวข้อ คือ เปลี่ยนข้อมูลในการบรรยายให้ผิดแผกแตกต่างกันออกไป ทีนี้ถ้าสอนในชั้นเรียน เจอนักเรียนหน้าเดิม มันก็มีโอกาสเบื่อ แต่ว่าอาชีพนี้มันเปลี่ยนเรื่อย ๆ มันสบายใจ ไม่มีโอกาสเบื่อ…”

มีการเตรียมตัวในการพูดแต่ละครั้งอย่างไร?

“…

จากวันนั้นถึงวันนี้ ๑๐ กว่าปีแล้ว อาจารย์มีพัฒนาการในการพูดอย่างไร?

“…ก็ทนทานขึ้นเยอะ (หัวเราะ)… ก็เมื่อก่อนพูดแล้วคนไม่ขำ เรารู้สึกว่าชีวิตไม่ควรมีค่าแก่การอยู่ต่อ แต่หลัง ๆ นี่ไม่ฟังไม่เป็นไร จะแยกแยะดูว่าปัจจัยของการให้คนฟัง คนขำ นี่มันมีหลายอย่าง ไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว ถ้าเขาหิว เขาก็ไม่ขำแล้ว เขากินข้าวกันอุตลุด คุยกับเพื่อน เขาก็ไม่ฟังอย่างนี้… เราก็รู้ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมขึ้นไปพูด ผมจะวิเคราะห์ว่าวันนี้ต้องการขนาดไหน ถึงขนาดลงไปหัวเราะกลิ้งเกลือกลงกับพื้น มันกำหนดได้ บอกได้เลยนะ ถ้าเป็นบรรยายนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะเขาเตรียมกระดาษคนละแผ่นเตรียมจดสุดชีวิต แต่ที่ลำบากที่สุดคือ การทอล์คโชว์ อย่างดินเนอร์ทอล์ค กินโต๊ะจีนนี่ ถามว่าเขากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารข้างหน้า แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้เขาทิ้งช้อนทิ้งตะเกียบหันมามองเรา หันมาฟังได้ ๔๐ นาที หรือ ๑ ชม. เป็นไปได้ยากมาก

เพราะฉะนั้นตรงนี้ผมต้องวิเคราะห์ทุกครั้งก่อนขึ้นพูดว่า เราควรจะต้องทำอย่าไรให้เขากลับมาฟังเรา แล้วงานนี้นะ โอ้โอ! คนจีนทั้งนั้น ฟังกันไม่รู้เรื่อง ก็ขอแค่หึหึก็พอ บางที่ขอแค่รอยยิ้ม บางที่ต้องเฮนะ ไม่เฮไม่ได้ กำหนดได้เลยครับ…”

ขณะพูดเคยหมดมุขบ้างไหม?

“…ไม่มีครับ ก็คือ เราจะสังเกตงานส่วนหนึ่งว่าควรจะหยิบอะไรมาเล่นบ้าง แบบฉากที่วิลิศมาหรา หรือไฟมันมืดตะคุ่ม ๆ ก็หยิบเอามาเล่นได้ เพื่อให้ใกล้ตัวเขา และเขาก็จะได้สนุกไปด้วย แล้วก็ถามสมมติไม่ไหวจริง ๆ มันก็จะมีที่เขาเรียกว่า ซูเปอร์แก๊ก คือ แก๊กที่โยนทีไร เฮทุกที ทุกที่เสมอมา แต่ต้องเอาไปปรับใช้ในแต่ละงานนะ จะใช้ในกรณีที่หินจริง ๆ ก็ต้องลองดูเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์…”

ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่นักพูดไม่ควรพูดคืออะไรบ้าง?

“…สิ่งที่ไม่ควรพูดคือ เกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องลามกอนาจาร ถ้ามันโจ่งแจ้งเกินไป ความจริงทุกคนชอบนะ แต่มันโจ๋งครึ่มเกินไป จนกระทั่งไม่เหลือไว้ให้คิด ถ้าเราไปทะลึ่งตึงตัง มันก็ไม่ถูกกาลเทศะ รวมไปถึงการพูดที่ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจหรือเอาปมด้วยคนอื่นมาเป็นอารมณ์ขัน อย่างหัวล้าน ตัวเตี้ย ตัวดำ ก็ไม่ควรพูด…”

มีความคิดเห็นอย่างไรที่นักพูดยืมมุขตลกมาใช้?

“ถ้านักพูดยืมมุขตลกมาใช้ เข้าใจว่าเป็นการล้อเลียน ผมยังยืมมาเลย เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องดึงสื่อที่มันร่วมสมัยมาใช้ในสไตล์การพูดของผม เช่นคำว่า ท้อแท้… ไม่สบาย ซึ่งหยิบมาแค่นั้นเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่เป็นแค่ตลก นักร้อง ดารา ใครที่ดัง ๆ แม้แต่นักการเมืองที่ชี้นิ้ว ชี้อะไรต่างๆ เขาดังเราก็หยิบยกเข้ามาประกอบการพูด ตลอกกับนักพูดนี่คนละอย่างและห่างไกล สาเหตุเพราะว่าตลกเขาใช้โจ๊ก โจ๊กแปลว่าตลก ส่วนนักพูดจะมี Sense of Humor แปลว่ามีอารมณ์ขัน ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเอาถาดมาตี มาตบกัน เพียงแต่ใช้คำพูดของเราสร้างให้เกิดมุมมองที่สนุกสนานขึ้นมาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องหัวเรากลิ้ง Sense of Humor แค่อมยิ้มก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คือพูดแล้วไม่เครียด ฟังแล้วสบาย ๆ ๑ ชั่วโมงผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหัวเราะกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ต้องตลกโปกฮาแบบทะลึ่งตึงตัง แต่เป็น Sense of Humor ซึ่งนักพูดไม่ได้มีทุกคน แต่ว่านักพูดจะใช้แล้ว ต้องเป็น Sense of Humor ไม่ใช่ตลก ไม่ใช่โจ๊ก…”

ถ้าไม่มี Sense of Humor แล้ว เป็นนักพูดไม่ได้หรือ?

“…เป็นได้ครับ แต่นักพูดแบ่งเป็นนักพูดเชิงวิชาการ นักพูดเชิงสนุกสนาน จริง ๆ นักพูดเชิงวิชาการพูดง่าย คือเรามีวิชาการอยู่กับตัว เรามีความรู้เราก็ถ่ายทอดไปตามนั้น หนังสือว่าอย่างไร เขาว่ากันอย่างไร ว่าไปตามนั้นก็จบ แต่การพูดแล้วนั้นมีมุมมองแปลก ๆ มีแง่คิด มีความสนุกสนานเจือปนอยู่บ้าง ก็เป็นอีกขั้นที่ยาก คือคนฟังฟังแล้วได้อะไรและได้อย่างไม่รู้ตัวด้วย ได้แบบเพลิดเพลินด้วย…”

คุณสมบัติของนักพูดที่ดีควรจะเป็นอย่างไร?

“…นักพูดที่ดี ผมว่าต้องพูดให้จริง เรื่องไม่จริงไม่ควรพูด นับตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะการพูดเรื่องไม่จริงเพื่อใช้วาทศิลป์แปลงให้ดูแล้วให้เกิดความเชื่อถือนั้น ผมว่าไม่ถูกต้องเพราะบางทีบางคนใช้วิธีการพูดโน้มน้าว หว่านล้อม ชักจูงให้คนฟังมีความรู้สึกว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี้ไม่ควร นี่คือข้อแรก…

ข้อสองคือ ต้องจริงจังกับการพูด ถ้าการพูดทุกครั้งหมายถึงการขาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งเราต้องรับผิดชอบกับผลงานของตนเอง ต้องพูดให้ดี แล้วจริงใจด้วย ออกมาจากใจจริง ๆ คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น…”

กับการที่นักพูดผันตัวเองเข้าสู่วงการแสดงหรือพิธีกร มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง?

“…ถ้าเรื่องพิธีกรนะ ผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากเลย เพราะนักพูดก็ต้องพูดอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งของการเป็นนักพูด มีสูตรหนึ่งคือ เทคนิคการเป็นพิธีกร ซึ่งพิธีกรจริง ๆ อาจจะยังไม่เคยเรียน แต่นักพูดเรียนมาแล้วทุกคน เขาจะรู้ว่าการสยบม็อบหรือการปลุกคนฟังให้เขาวางช้อนวางตะเกียบฟังหน้าเวทีทำอย่างไร วิธีการถาม วิธีการจะตามมุข วิธีการหักแง่หักมุมที่ทำให้เกิดความสนุกสนานทำอย่างไรบ้าง

นักพูดทุกคนมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าบางคนทำได้ดี บางคนทำได้ไม่ดี บางคนหน้าตาดี อะไรหลายอย่างที่เป็นส่วนประกอบในการเป็นพิธีกร รวมทั้งโอกาสด้วย ซึ่งผมถือว่าถ้าในกรณีที่นักพูดมาเป็นพิธีกร ธรรมดามากและควรเป็นด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นนักแสดงนี่บอกไม่ได้ เพราะทุกคนแสดงได้ไม่เหมือนกัน…”

แล้วชอบเป็นพิธีกรไหมคะ?

“…โอ้โฮ! ผมเป็นได้สบายมากเลยครับทั้งในทีวีและข้างนอก ข้างนอกนี่ถือว่าเป็นยากกว่าในทีวีเยอะ เพราะเราต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ถ้าบนเวทีต้องใช้ฝีมือเยอะ เช่น ช่วงนี้ใครยังไม่มาเราจะทำอย่างไร ผมสามารถยืนบรรยายได้ทั้งวันสบายอยู่แล้ว แต่เราสามารถจะทำอะไรได้มากกว่าโยนเข้าเพลง…”

เรื่องหน้าแตก?

“…มีครับ อย่างอ่านชื่อผิด ประเภทที่ไม่ควรเกิดเลยคือ ประเภทหลุด บางทีเคย มีอยู่ครั้งไปอัดรายการสดของช่อง ๙ นานแล้วละ ใช้คำพูดไม่สุภาพออกไป ผมพูดว่าม้วนหางซิลูก และเผอิญมันเพี้ยน เพราะข้างล่างเราเล่นหยอกล้อกันติดปาก และวันนั้นมันเป็นรายการสดด้วย ตัดก็ไม่ได้ ปรากฏว่าพลั้งปากออกไป แต่มันก็ไม่น่านะ…”

ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพูดของเด็กไทย ในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินรายการโต้คารมมัธยมศึกษา?

“…ยอมรับว่าเขาเก่งนะครับ เพราะเขามีเวลาเยอะ อย่างคนทำงานเช่นผมนี่ เวลาจะน้อยเพราะจะต้องแบ่งแยกความคิดไปอย่างอื่นอีกเยอะ ด้านธุรกิจ ด้านการงาน ด้านแก้ไขปัญหาชีวิตและสุขภาพ อะไรต่าง ๆ แต่เด็กนี่ ก็ผมเคยเป็นเด็กมาก่อน ตอนเป็นนักศึกษานี่สามารถแปลงเพลงได้วันหนึ่งตั้ง ๕-๖ เพลง เพื่อจะมาร้องในแซววาที แปลงกลอนแปลงสุภาษิต มานั่งคิดมุขได้เพียบเลย เพราะเวลาเยอะ เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจว่าคนที่เป็นนักเรียนนักศึกษานี่ ถ้าเก่งก็คือเก่งไปเลย มีความสามารถเยอะเพราะเขามีเวลาฝึกฝน…

ถ้าเราให้เวลากับอะไรมาก สิ่งนั้นก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เด็กสมัยนี้เก่ง ซึ่งผมชื่นชมและอยากให้เขามีโอกาสแสดงออกอย่างนี้ ไม่ใช่ไปยืนแย้ว ๆ อยู่ข้างเวที คอยไปซับเหงื่อซับน้ำลายให้ใครเขา มันไม่มีประโยชน์กับชีวิต ว่าไหม อย่างการพูดนี่มันยังได้ใช้กับการงานอาชีพส่วนตัวได้เยอะ

คำแนะนำสำหรับคนที่จะเป็นนักพูด?

“…คนที่จะเป็นนักพูดต้องมีความตั้งใจจริงที่จะเป็นจริง ๆ เพราะอุปสรรคมันเยอะกว่าจะไปถึงเส้นทางนั้น มันสะสมนานเพราะมันไม่ได้เป็นภายในวันเดียว บางทีเราพูดดี คนเขาก็นึกว่าฟลุคอยู่ ยังไม่คิดว่ามันเป็นผลงาน เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีความอดทนกับระยะทางอันยาวไกลเพื่อที่จะไปรอคอยความสำเร็จนั้น ต้องใจรักครับ…

สำหรับวงการนักพูดในปัจจุบันนี้ เนื่องจากการพูดเข้าไปอยู่ในวงการต่าง ๆ เยอะ เพราะว่าการพูดผมถือว่าเป็นศิลปะที่เยี่ยมเลยนะ คิดดูคน ๆ หนึ่งพูดแล้วทำให้คนเป็นร้อยเป็นพันฟังคน ๆ เดียวได้ หัวเราะตาม ร้องไห้ตาม คิดตามได้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีอะไรมากกว่าเป็นเพียงเสียงที่เปล่งออกมา บางทีเสียงหัวเราอะไรต่าง ๆ ที่เป็นตลกจบแล้วคือจบ แต่การพูดมันไม่จบ จบแล้วยังไปนั่งคิดต่ออีกว่า เออ… มันจริงไหมที่เขาพูด เราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันได้แง่คิดมุมมองไปช่วยผลักดันพลังในตัวเอง หรือว่าได้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาได้เยอะ ดังนั้นทางที่ดีถ้ามีการพูดเข้าไปเจือปนในสิ่งต่าง ๆ ก็จะทำให้ดูมีสาระประโยชน์มากขึ้น…”

ทุกวันนี้ในวงการนักพูดก็ยังคงเปิดโอกาสให้นักพูดรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาทุกเมื่อ แต่ทว่าคุณจะมีพลังความสามารถเพียงพูดที่จะยืนอยู่ในระดับแนวหน้าได้หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้ชายคนนี้กล้าท้าทาย แต่ความสามารถของคุณพิสูจน์ได้ เพราะประชาชนเป็นคนตัดสิน

และวันนี้ นอกจาก “จตุพล ชมภูนิช” ยังไม่เบื่อที่จะพูดแล้ว เขายังเปิดสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาธุรกิจ (Progress Business Training Institute) ขึ้นที่ลาดพร้าว ๗๑ เพื่อฝึกอบรมด้านธุรกิจและฝึกให้ทุกคนที่อยากพูดได้มีโอกาสพูด เพราะตราบใดที่คนเรายังพูดได้ทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็ควรที่จะรู้จักวิธีการพูดให้ดีมีสาระด้วยเช่นกัน…

นักพูดจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะพูด และต้องศึกษาหาความรู้ทุกวิถีทาง ผมอ่านหนังสือเยอะ อ่านเพียบเลย แล้วก็คุย ถาม เขียน คิด ฟัง แล้วจึงมาประยุกต์ ประมวล คือรวบรวม ประยุกต์ก็คือการปรับใช้ให้เกิดความน่าฟัง น่าคิด น่าเชื่อในสิ่งที่เราพูด เรานำเสนอไป หัวข้อเดียวกัน วิชาเดียวกัน คนอื่นพูดอาจเบื่อ แต่พอเราพูดคนอยากฟัง ติดตามฟังต่อ อย่างนี้มันก็คือการประยุกต์ปรับเปลี่ยนให้มันเกิดความทันสมัย…” ...
  
พลังพูด พลังเพิ่ม
เป็นหนังสือของอาจารย์นักพูดคือ อาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ เป็นยอดนักพูดคนหนึ่งที่กระผมชื่นชอบในความสามารถ มีไหวพริบปฏิณาณในการพูด สามารถตอบโต้ฝ่ายตรงกันข้ามในรายการ โต้วาที แซววาที ต่างๆได้อย่างฉับไว หนังสือ พลังพูดพลังเพิ่ม ตำราการพูดขนานแท้

ตำราการพูดที่เขียนโดยนักพูดปากอาชีพเหมือนพูดให้ฟัง และที่สำคัญ

ได้จัดลำดับเป็นหมวดหมู่ตามหลักวิชาการพร้อมตัวอย่างชัดเจน สนุก

อ่านเพลินไม่เครียดกับวิชาการจนเกินไป

เด่นในเล่ม

การพูดเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ

ไหวพริบปฏิภาณในการพูด

พูดอย่างไรให้ผู้อื่นคล้อยตาม

...
  
ผู้บรหารกับประชาสัมพันธ์
ผู้บริหารจะต้องรู้จักงานประชาสัมพันธ์
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
ในยุคปัจจุบัน คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล องค์กร สถานที่ บริษัท และหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีความจำเป็นที่จะต้องประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ตนเอง


องค์กรใด บริษัทใด หรือหน่วยงานใด ในยุคปัจจุบันจะต้องมีงานที่เรียกว่า “ งานประชาสัมพันธ์ ” และที่สำคัญถ้าหน่วยงานไหน มีนักประชาสัมพันธ์ที่เก่งด้วยแล้ว ยิ่งทำให้หน่วยงานนั้น ได้เปรียบหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งภาวะปัจจุบันโลกเราอยู่ในยุคของการแข่งขัน ไม่ว่าจะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ รวมทั้งต้องแข่งขันกับคู่แข่งขันภายในประเทศด้วย


ฉะนั้น การที่จะทำให้หน่วยงานประชาสัมพันธ์แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ จำเป็นจะต้องรู้จักงานประชาสัมพันธ์


งานประชาสัมพันธ์และนักประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ให้ลูกน้องแต่งตัวสวยๆ แล้วไปนั่งยิ้ม ยืนยิ้ม เพื่อตอบคำถามต่างๆ ที่ Information


งานประชาสัมพันธ์และนักประชาสัมพันธ์ ไม่จำเป็นจะต้องใช้ลูกน้อง หน้าตาดี รูปร่างดี


งานประชาสัมพันธ์และนักประชาสัมพันธ์ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนจบด้านประชาสัมพันธ์เพราะคนที่จบสาขาประชาสัมพันธ์ อาจทำงานประชาสัมพันธ์ไม่เก่ง สู้คนที่เรียนด้านอื่นมาไม่ได้ก็มี ขอให้คนนั้นๆ รักที่จะเรียนรู้ และ รักในงานด้านประชาสัมพันธ์


แต่งานด้านประชาสัมพันธ์และนักประชาสัมพันธ์ เป็นอะไรที่มากกว่านั้น และต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ที่สำคัญดังนี้

1.ต้องเป็นนักประสานงานที่เก่ง ไม่ชวนทะเลาะ มีมนุษย์สัมพันธ์ เข้ากับคนอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ผู้บริหาร โดยเฉพาะ นักข่าว เพราะ ถ้าเข้ากับนักข่าวไม่ได้ก็ไม่สามารถใช้พื้นที่สื่อได้ คือไม่ปรากฏข่าวของหน่วยงานเราตามสื่อต่างๆ (หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ฯลฯ) เนื่องจากนักข่าวไม่ลงข่าวของหน่วยงานเรากับสื่อที่ตนสังกัด


2.ต้องเป็นนักสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ว่ากับตนเองหรือกับองค์กร ถ้านักประชาสัมพันธ์มีภาพลักษณ์ดี คนมักจะเชื่อถือ แต่ถ้านักประชาสัมพันธ์ มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี เช่น เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มั่วอบายมุข ฯลฯ ก็มักจะทำให้คนที่พบเห็นเกิดความไม่น่าเชื่อถือ


3.นักประชาสัมพันธ์ ต้องมีลักษณะที่ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะต้องเป็นนักติดตามข้อมูลข่าวสาร นักประชาสัมพันธ์จำเป็นจะต้องไปติดต่อกับหน่วยงานอื่นๆ อยู่เสมอเพราะฉะนั้น งานประชาสัมพันธ์ไม่ใช่งานที่มีลักษณะที่จะต้องนั่งอยู่กับที่


4.นักประชาสัมพันธ์ จะต้องเป็นคนที่ชอบการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการพูด งานด้านการเขียน เพราะนักประชาสัมพันธ์จำเป็นจะต้องติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น บางครั้งก็ต้องเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ส่งสื่อต่างๆ


และคุณสมบัติอื่นๆ อีก เช่น เป็นนักอ่าน นักเขียน นักพูด นักฟัง ที่ดี ฯลฯ


ฉะนั้น ผู้บริหารที่เก่งในยุคข้อมูลข่าวสาร จำเป็นจะต้องเรียนรู้ หรือรู้จักงานด้านประชาสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้วางแผน ได้สั่งงานลูกน้อง ได้สอนงานลูกน้องได้ ฯลฯ


ถ้าเปรียบเทียบระหว่างองค์กรที่ช่วยเหลือสังคม แต่ไม่รู้จักประชาสัมพันธ์ กับองค์กรที่ช่วยเหลือสังคม แต่รู้จักประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่า องค์กรที่รู้จักประชาสัมพันธ์ ย่อมได้เปรียบหลายประการ ไม่ว่าประชาชนหรือลูกค้า เกิดภาพลักษณ์ที่ดี ประชาชนหรือลูกค้า รู้จัก บริษัทนั้น หรือ หน่วยงานนั้นมากขึ้น


ดังนั้น พอที่จะสรุปได้ว่า ผู้บริหารองค์กรจำเป็นจะต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์หรืออย่างน้อยต้องรู้เรื่องงานด้านประชาสัมพันธ์พอสมควร

























...
  
คำคม คมคำ
คำคม คมคำ
ผู้ไม่ประมาท พินิจพิจารณาตั้งใจฟัง ย่อมได้ปัญญา

พุทธสุภาษิต



เราได้ยินเพียงครึ่งหนึ่งของที่พูด

ได้ฟังเพียงครึ่งหนึ่งของที่ได้ยิน

เข้าใจเพียงครึ่งหนึ่งของที่ได้ฟัง

เชื่ออีกเพียงครึ่งเดียว

และจำได้ แต่ครึ่งเดียวของที่เชื่อ

นิรนาม



การพูดเป็นการแบ่งปันกัน แต่การฟังเป็นการใส่ใจกัน

ซิก ซิกลาร์





" ทำตามความฝันและดวงตาที่เปิดกว้าง " คุณค่าสูงสุดของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่ ณ.จุดที่เขายืนอยู่ในช่วงที่เขาสะดวกสบายแต่อย่างใด หากแต่อยู่จุดที่เขายืน ณ.ช่วงเวลาแห่งความท้าทาย และ ขัดแย้ง"
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์



" ผู้ที่ชอบปฎิเสธความฝัน ไม่มีทางสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้
เราตัดสินตัวเราจากความรู้สึกที่ว่า เราสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ แต่คนอื่นตัดสินเราจากสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้ว"
เฮนรี่ วัด สเวิร์ธ ลองเฟลโลว์, คาวานัก 1849



"โชคเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของความมุ่งมั่นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่คุณได้เห็นธุรกิจหนึ่งประสบความสำเร็จ นั่นแสดงว่ามีใครบางคนได้กระทำการตัดสินใจที่กล้าหาญแล้ว"
ปีเตอร์ ดรักเกอร์



" อย่าปล่อยให้ปัญหาเฉพาะหน้าทำให้คุณหลงลืมเป้าหมายระยะยาว ใช้ใจของคุณเป็นเครื่องนำทาง ความเป็นผู้นำคือการค้นพบจุดหมายปลายทางและมีความกล้าหาญที่จะเดินไปสู่เป้าประสงค์ที่สูงส่ง"
โจ จาวอร์สกี้

" หากคุณพูดว่า...คุณไม่เคยมีโอกาสเลย บางทีอาจเป็นไปได้ว่า...คุณไม่เคยฉกฉวยโอกาสเลยก็เป็นได้ " คนบางคนมองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็นและพูดว่า ทำไม? แต่ผมกลับฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยมี และพูดว่า ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?"
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอร์



" หมั่นปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ แม้ว่าคุณจะทำได้ดีแล้วก็ตาม การที่จะนำหน้าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั้นคุณจำเป็นต้องมีความคิดใหม่ๆรออยู่เสมอ"
โรซาเบธ มอส แคนเตอร์


" ปรุงแต่งจิตวิญญาณ แห่งการเป็นเจ้าของกิจการ ความแตกต่างระหว่างการมีผลงานอันยิ่งใหญ่และผลงานระดับปานกลางหรือระดับแย่ อยู่ที่การมีจินตนาการและความปรารถนาที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่เป็นประจำ"
ทอม ปีเตอร์ส

" การปรับปรุงแก้ไข จำเป็นต้องอาศัยโลกทัศน์ที่ใหม่ตลอดเวลา ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมนุษย์จะถูกทดสอบ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วน ที่ไม่เคยเจอะเจอมาก่อนด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็น"
อับราฮัม ลินคอร์น



" ความมั่นคงไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความมั่นคง การหลบเลี่ยงภัยก็มิได้ทำให้ปลอดภัยมากไปกว่าการเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆโดยตรง ชีวิตหมายถึงการผจญภัยอย่างหาญกล้า หรืออาจไม่มีความหมายใดเลยก็ได้"
เฮเลนส์ เคลเล่อร์



" ตึกร้อยชั้นยังต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่ง อะไรก็ตามที่คุณทำได้หรือใฝ่ฝันว่าทำได้... ก็จงเริ่มทันทีเพราะความกล้าหาญก็มีความเป็นอัจฉริยภาพ พลัง และ อำนาจอยู่ในตัวของมันเอง"
เกอเต้


ไม่กล้า ก็ไม่มีวันเดินหน้า
Nothing ventured, nothing gained.
วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์



เพียงเมื่อท่านหยุดก้าว ท่านก็เริ่มถอยหลังแล้ว
When you stop advancing, you've already begun to retreat.
ดร.เทียม โชควัฒนา


คนเราไม่มีใครล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก
There are no failures, only people who have given up.
นิรนาม



ท่านอาจจะลืมผู้ที่ท่านร่วมหัวเราะได้ แต่ท่านจะไม่มีวันลืมผู้ที่ท่านร่วมร้องไห้

สุภาษิตอาหรับ



ความสุขที่มีการแบ่งปันให้ผู้อื่น เป็นความสุขสองเท่า

ความทุกข์ที่มีผู้อื่นมาช่วยแบ่งปันเอาไปบ้าง เป็นความทุกข์ครึ่งเดียว

สุภาษิตสวีเดน



เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ เราจะต้องไม่เพียงแต่จะลงมือทำเท่านั้น แต่ต้องฝันด้วย ไม่เพียงแต่วางแผน แต่ต้องเชื่อด้วย

อนาโตล ฟรองซ์



หนังสือที่ดีกับมิตรที่ดี สำคัญที่คุณภาพมิใช่ปริมาณ

ภาษิตสเปน



เรียนรู้โดยปราศจากการขบคิด คือการสูญเปล่า

ขบคิดโดยปราศจากการเรียนรู้ คือการเสี่ยงอันตราย

ขงจื้อ









...
  
สุนทรพจน์ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ
พุธที่ 17 ธันวาคม 2551 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังได้น้องรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 โดยกล่าวว่า รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมสำนึกเสมอว่าผมเกิดมาเป็นข้าของแผ่นดิน ต้องสนองคุณแผ่นดิน และผมสำนึกมาตลอดว่าแผ่นดินไทยของเรานั้นร่มเย็นเป็นสุขตลอดมาก็ด้วยพระบารมี

วันนี้ผมยืนตรงนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำนั้นจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะเทิดทูนสถาบันนี้มิให้ผู้ใดทำให้สถาบันนี้ไม่อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมืองด้วยประการทั้งปวง ผมขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และพี่น้องประชาชนทุกท่านทุกคนที่ได้ให้การสนับสนุน และให้กำลังใจ ให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ผมทราบดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่ปกติ เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตและพี่น้องประชาชนคนไทยมีความทุกข์ และผมถือว่าผมเป็นนักการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตยผมเป็นอาสาสมัครและผมไม่มีสิทธิที่จะหนีปัญหาหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ เมื่อเสียงข้างมากซึ่งเป็นเสียงข้างมากเดิมในสภามีปัญหา ส.ส.ส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจสนับสนุนผมขึ้นมาตามวิถีทางของประชาธิปไตย และตามวิถีทางของกระบวนการรัฐสภา หน้าที่เบื้องต้นของผมคือการยุติการเมืองที่ล้มเหลว การเมืองที่ล้มเหลวคือต้นเหตุของความขัดแย้ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งภาค แบ่งสี ที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศของเราขณะนี้ ผมจะขจัดการเมืองที่ล้มเหลวออกไป และจะนำความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมาโดยอาศัยความยุติธรรมเป็นกระบวนการนำหน้ารัฐบาลภายใต้การนำของผมจะยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐ จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค และจะเคารพกระบวนการและเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย วันนี้ประเทศของเราต้องมีความสามัคคี ผมขอยืนยันว่าผมจะทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเลือกผม หรือไม่เลือกผม ไม่ว่าจะสนับสนุนผม หรือแม้แต่ต่อต้านผม ท่านจะเป็นใครก็ตามหากท่านไม่คิดร้ายกับบ้านเมืองท่านไม่ใช่ศัตรูของผม และท่านเป็นคนหนึ่งที่ผมจะต้องรับใช้อย่างเต็มความสามารถ งานใดที่เป็นประโยชน์แม้จะเป็นของรัฐบาลก่อน ผมขอยืนยันว่าผมจะไม่ทิ้ง จะสานต่อ จะปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการรักษาฟรี โครงการกองทุนทั้งหลายที่ลงไปอยู่ในชุมชนต่างๆ ผมทราบดีว่าปัญหาเร่งด่วนที่สุดในใจของพี่น้องประชาชนในขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจจึงเป็นงานสำคัญอันดับแรกสำหรับรัฐบาลที่ต้องดำเนินการต่อไป ผมมีความตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะดูแลให้พี่น้องเกษตรกรของเราเมื่อได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลตกต่ำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยาง ปาล์ม ผมจะดูแลให้พี่น้องประชาชนที่อยู่นอกภาคเกษตรยังคงมีงานทำ มีรายได้ มีโอกาส และผมจะทำทุกวิถีทางจะลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนตามแนวทางวาระประชาชน และแผนปฏิบัติการเร่งด่วน 99 วันทำได้จริง ทันทีที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ผมจะได้นำเสนอแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของพี่น้องเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ตั้งแต่อุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว หรืออสังหาริมทรัพย์ แต่ขณะเดียวกันแม้ว่าบ้านเมือง และเศรษฐกิจจะมีวิกฤตอย่างไร ผมยืนยันว่าเราจำเป็นจะต้องแก้ไขปัญหาในระยะยาวด้วย ไม่ควรปล่อยให้ปัญหาที่หมักหมม สะสมมานาน เป็นปัญหาที่เรื้อรัง ค้างคา และเป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมยืนยันว่างานทางด้านการศึกษายังเป็นงานที่เป็นการลงทุน คุ้มค่าที่สุดของประเทศและผมจะดำเนินการให้การเรียนฟรีมีคุณภาพเกิดขึ้น นอกจากนั้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำ ถนนหนทาง การคมนาคม การสื่อสาร อินเตอณ์เน็ต รวมไปถึงการสนับสนุน พลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืนในการพัฒนาของประเทศของเรา ล้วนแล้วแต่เป็นงานที่จะต้องเริ่มและผลักดันอย่างรวดเร็ว เพราะผมไม่เพียงต้องการที่จะให้เราผ่านวิกฤตไปในครั้งนี้ หรือยืนอยู่ในฐานะที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆเท่านั้น ผมต้องการเห็นประเทศไทย เป็นต้นแบบของการพัฒนาตามวิถีทางประชาธิปไตย ที่มีคุณภาพ ที่มีความยั่งยืน นอกเหนือจากการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในประเทศแล้ว ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมกำลังจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ผมตั้งใจจะให้เพื่อนสมาชิกในอาเซียนมีความมั่นใจในการนำของเรา ในฐานะเจ้าภาพการประชุมสุดยอดที่จะเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดต่อไป และผมจะขออนุญาตว่า หลักจากที่ผมสื่อสารกับพี่น้องภาษาไทยแล้ว ที่จะสื่อสารบางประการถึงสื่อและพี่น้องประชาชนในต่างประเทศอีกด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพ ในฐานะนักการเมืองอาชีพ ผมถือว่าวันนี้ผมได้รับโอกาสสูงสุดจากพี่น้องประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย ผมอยู่ในการเมือง 16 ปี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชนมา 7 สมัย เคยเป็นรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง บรรดาประสบการณ์ความรู้ทั้งหมด ผมจะนำมาใช้บนพื้นฐานความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ส่วรนรวมเท่านั้น และผมยืนยันกับพี่นองประชาชน ที่ได้สนับสนุนผมมาตลอดว่า จะไม่ละทิ้งอุดมการณ์ แนวทางการทำงานของผม และปล่อยสิ่งเหล่านี้ให้สูญหายไปกับการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง หรือปล่อยปละละเลย ให้เกิดความไม่ถูกต้องขึ้นในบ้านเมืองแห่งนี้ ผมอยากจะเรียนกับพี่น้องสุดท้ายว่า คุณค่าในแง่ของประสบการณ์ของนักการเมืองอาชีพที่สำคัญที่สุด ก็คือความผูกพันกับพี่น้องประชาชน ผมเคยเป็นผู้แทนราษฎรของชาวกรุงเทพฯ 4 สมัย วันที่ผมก้าวเข้ามาสู้การเมืองและต้องขอคะแนนเสียงพี่นองประชาชน ผมได้สัมผัสชัดเจน กับพี่น้องจำนวนมากที่เป็นคนจนเมือง ที่อยู่บนความยากลำบาก ที่อาจจะกล่าวได้ว่า คุณภาพชีวิตอาจจะต่ำที่สุด ผมไม่ลืมความทุกข์ยากเหล่านั้น และรู้ว่าผมจะต้องแก้ไข โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจมีปัญหา ผมไม่ลืมพี่น้องที่อยู่ในภาคกลาง ภาคตะวันออก ที่ผมได้ใช้เวลาหลายต่อหลายครั้งไปเยี่ยม รวมทั้งจัดทำวาระประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่นๆ ผมไม่ลืมพี่น้องชาวใต้ซึ่งยืนเคียงข้างกับผมในทางการเมืองโดยตลอด และผมทราบว่า พี่น้องประชาชนชาวใต้ ใฝ่ฝันที่จะเห็นที่สุดคือ เรื่องของความเป็นธรรม และแน่นอน สำหรับพี่น้องในสามจังหวัดผมไม่ลืมครับว่า ความใฝ่ฝันสูงสุดของท่าน ก็คือความสันติสุขความสงบสุข ที่ท่านรอคอยให้เกิดขึ้นในพื้นที่ขอท่าน ผมไม่ลืมพี่น้องชาวเหนือ ที่ผมมีโอกาสไปเยือนหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในยามที่ท่านมีความสุข และในยามที่ท่านมีความทุกข์ เช่น ช่วงที่ท่านประสบภัยพิบัติ หรือ ภัยธรรมชาติ และผมยังจำได้ว่าในการหาเสียงครั้งที่ผ่านมาในภาคเหนือ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง วิ่งตามรถแห่หาเสียง และตะโกนกับผมว่าอยากจะฝากบ้านเมืองไว้กับผม และสำหรับพี่น้องชาวอีสาน 16-17 ปี บนถนนการเมืองผมไปเยี่ยมเยือนท่านหลายครั้งได้รับรู้ปัญหาความทุกข์ความยากจนของทุกๆ ท่านและไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ร่วมปั้นข้าวเหนียวข้างเถียงนา ที่สนทนากันที่ทราบดีครับว่า คนหนึ่งคนไม่สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างหรือแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ และผมรู้ว่าจากนี้ไป ผมคงไม่สามารถทำให้คนทุกคนรักผม เห็นด้วยกับผม หรือแม้แต่สนับสนุนผม

ผมยืนยันว่าผมจะฟังเสียงทุกคนและทำงานให้ทุกคน และผมจะใช้การทำงานของผมในการพิสูจน์ความตั้งใจไร่มันสำปะหลัง ผมไม่ลืมและที่ผมอดจะเอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ คุณยายเนียน ที่อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ครั้งล่าสุดที่ผมได้ไปรณรงค์หาเสียงนั้น ท่านได้มอบแหวนวงนี้ให้กับผม (เมื่อถึงตอนนี้นายอภิสิทธิ์เสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ) ยายหมั่นคุณอภิสิทธิ์ให้กับคนอีสานแล้ว ผมไม่ทราบว่าคุณยายเนียนกำลังดูหรือฟังสิ่งที่ผมพูดอยู่หรือไม่ แต่อยากจะบอกกับคุณยายว่าวันนี้ คนที่รับแหวนจากท่าน จะทำงานให้ท่าน ทำงานให้กับญาติพี่น้องของท่าน ทำงานให้กับชาวอีสานของท่าน และคนไทยร่วมชาติ กับท่านอย่างเสมอภาค ด้วยความทุ่มเท ซื่อสัตย์สุจริต ผมในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน และใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง ผมพูดมาตลอดว่าแม้ว่าในชีวิตของผมไปใช้อยู่ในต่างแดนเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่ามีที่ไหนที่น่าอยู่เท่ากับประเทศไทย ผมเชื่อมั่นในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นในคนไทยไม่ว่าเราจะเจอปัญหา อุปสรรคหนักหนาสาหัสอย่างไร ผมยังเชื่อในคนไทยและประเทศไทย และผมเชื่อว่าถ้าผมได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พลังของพวกเราจะทำให้ประเทศของเรานั้นผ่านพ้นวิกฤตไปในครั้งนี้ และเราจะร่วมสร้างอนาคตที่ดี ให้กับลูกหลานของคนไทยทุกคน ผมมั่นใจว่าเราทำได้ ขอขอบพระคุณครับ
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.