หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
สิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้การทำงานมีความสุข
สิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้การทำงานมีความสุข
แรงจูงใจในการทำงาน
แรงจูงใจในการทำงาน เป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้การทำงานมีความสุข ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะผลักดันให้งานสำเร็จ แรงจูงใจในการทำงานมีดังต่อไปนี้
1. ขวัญและกำลังใจในการทำงาน หมายถึง ความรัก ความศรัทธา ในอาชีพ ความพึงพอใจในงานที่ทำ อาจจะเกิดจากค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ได้รับ หรือเกิดจากความมุ่งหวังในการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ตลอดจนความมั่นคงในอาชีพบุคคลที่มีขวัญและกำลังใจในการทำงานที่ดี จะส่งผลต่อความสำเร็จและมีผลงานที่ดีด้วย
2. การเผยแพร่และการแสดงผลงาน เป็นแรงจูงใจที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เพราะจะทำให้บุคคลมีความภูมิใจ มั่นใจในความสามารถของตน ทั้งยังจะได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไป มีชื่อเสียงจากการเผยแพร่ผลงานที่ดีเด่น จะเป็นสิ่งจูงใจให้บุคคลอยากทำงาน ทำงานแล้วมีความสุข ดังนั้น ทุกหน่วยงานควรมีการเผยแพร่ผลงานดีเด่นของทุกคนในหน่วยงาน เพื่อเสริมแรงจูงใจในการทำงานให้ดีขึ้น
3. ความสัมพันธ์ของคนในหน่วยงาน เป็นแรงจูงใจให้บุคคลอยากทำงาน กล่าวคือ ทั้งผู้บริหารและสมาชิกในหน่วยงานเข้าใจกันดี ไม่ลำบากใจ ไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ทุกคนช่วยเหลือกัน การทำงานก็จะมีความสุข
วิธีสร้างแรงจูงใจในการทำงาน มีวิธีดังนี้
1. สร้างเจตคติที่ดีในการทำงาน มีการวางแผนงานร่วมกัน
2. มีมาตรฐานวัดความสำเร็จในการปฏิบัติงาน มีเครื่องมือวัดผลงาน
3. ให้บำเหน็จค่าจ้างรางวัลอย่างคุ้มค่าเหมาะสม
4. ให้การยอมรับแก่สมาชิกโดยการสร้างความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอยู่อย่างพี่น้อง
5. ให้ค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม เหมาะสมกับผลงาน
6. จัดสวัสดิการที่ดี
7. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี มีการพบปะสังสรรค์ติดต่อสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ
สิ่งจูงใจให้คนพอใจในการทำงาน มี 5 ประการ ดังนี้
1. งานสำเร็จลุล่วงด้วยดี
2. ถ้อยทีถ้อยอาศัย
3. สุขใจกับงานที่ปฏิบัติ
4. เร่งรัดและรับผิดชอบ
5. ผลตอบแทนคือความก้าวหน้า

บรรยากาศในการทำงาน
บรรยากาศในการทำงาน หมายถึง สภาพแวดล้อมโดยทั่วไป เช่น อาคารสถานที่ ห้องทำงาน วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีสภาพที่สบายกายสบายใจในการทำงาน การทำงานก็จะมีความสุข
ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้
1. สถานที่ทำงาน
สถานที่ทำงานเป็นสิ่งประกอบที่ทำให้การทำงานมีความสุข เพราะสถานที่ทำงานสามารถบ่งบอกถึงภารกิจและความมั่นคงของหน่วยงาน การจัดและตกแต่งสถานที่ทำงานให้สะอาด ร่มรื่น สวยงาม จะเป็นการสร้างบรรยากาศ ให้คนในหน่วยงานมีความสบายใจ อยากทำงาน โดยเฉพาะงานธุรกิจเอกชน มักจะเน้นหนักในเรื่องอาคารสำนักงาน เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคง อันดับแรกของหน่วยงาน ลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการก็จะเกิดความมั่นใจและเต็มใจใช้บริการ สถานที่ทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมบรรยากาศในหน่วยงาน
2. ภารกิจหรืองานที่ทำ
ภารกิจหรืองานหลักของหน่วยงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างบรรยากาศ ในหน่วยงาน ลักษณะของงานที่ถือว่าเป็นบรรยากาศที่ดีในหน่วยงานมีลักษณะ ดังนี้
2.1 มีความชัดเจนในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งชัดเจนในผลตอบ แทนที่เป็นรูปธรรม เช่น ผลตอบแทนในเรื่องของกำไรหรือขาดทุน
2.2 มีความต่อเนื่อง หมายถึง งานที่ทำต้องต่อเนื่อง ไม่ขาดช่วงตอน มีงานทำอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้การทำงานมีชีวิตชีวา
2.3 มีความมั่นคงซึ่งเป็นหลักประกันให้บุคคลในหน่วยงานมีความรู้สึกว่างานอาชีพของเขาจะช่วย ให้เขามีความสุขได้ตลอดชีวิต และเขาได้รับความเป็นธรรมจากงานที่เขาทำ
3. เพื่อนร่วมงาน
เพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งประกอบที่สำคัญในการทำงานให้มีความสุข โดยเฉพาะบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน จะบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันดีหรือความขัดแย้ง ได้อย่างชัดเจน การสร้างบรรยากาศในหน่วยงานเรื่องของเพื่อนร่วมงานจึงควรมีวิธีการ ดังนี้
3.1 การจัดกิจกรรมนันทนาการ
3.2 การทัศนศึกษาดูงานนอกสถานที่
3.3 การเยี่ยมครอบครัว
3.4 การประชุมสัมมนา
3.5 กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์
3.6 การสรุปผลงาน

เครื่องอำนวยความสะดวกในการทำงาน
เครื่องอำนวยความสะดวกในการทำงานเป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้การทำงาน มีความสุข การทำงานจะมีความสะดวกรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ ในหน่วยงานทุก องค์กรควรมีเครื่องอำนวยความสะดวกดังต่อไปนี้
1. เครื่องทุนแรง หมายถึง เครื่องมือทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วย ผ่อนแรงในการทำงาน เช่น เครื่องจักรกล เครื่องใช้ในสำนักงาน เครื่องไฟฟ้าทุกชนิด
2. เครื่องอำนวยความสะดวกในการติดต่อประสานงาน เช่น รถจักรยานยนต์ รถยนต์ วิทยุมือถือ โทรศัพท์ โทรสาร ฯลฯ
3. เครื่องอำนวยความสะดวกด้านวิชาการ หมายถึง จัดให้มีเอกสาร แบบพิมพ์ที่เป็นความรู้ทางวิชาการ รวมถึงการจัดมุมหนังสือ ห้องสมุด ห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ โดยจัดให้มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เช่น คอมพิวเตอร์
4. เครื่องอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ เช่น การจัดให้มีห้องน้ำสะอาด มีที่พักผ่อนหย่อนใจ ที่บริการน้ำดื่มและเครื่องดื่มที่จำเป็น รวมถึงที่จอดรถ การบริการด้านไปรษณีย์โทรเลข ธนาคาร ฯลฯ ตามความเหมาะสม เครื่องอำนวยความสะดวกในการทำงาน หรือเครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นผลผลิตจากพลังสมองของมนุษย์ งานทุกสาขาอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชนจะเห็นความสำคัญของเครื่องอำนวยความสะดวกทุกด้าน ดังนั้น การทำงานให้ประสบความสำเร็จควรจะต้องใช้เครื่องอำนวยความสะดวกให้มากขึ้น

การรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยเกี่ยวกับงานของตน
ในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ใครมีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยย่อมได้เปรียบ ในการประกอบการงานทั้งปวง เพราะในอนาคตการแข่งขันทางการค้า การแย่งงานอาชีพจะ ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้น การรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยเกี่ยวกับงานของตน จึงมีความสำคัญยิ่ง ต่องานอาชีพของตน ซึ่งถือเป็นสิ่งประกอบสำคัญที่ทำให้การทำงานมีความสุขและประสบความสำเร็จด้วยดี การรับทราบข้อมูลข่าวสารมีวิธีการดังต่อไปนี้
1. รับทราบข่าวสารจากสื่อสารมวลชนทุกชนิด เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร และเครื่องมือโทรคมนาคมอื่น ๆ
2. รับทราบข่าวสารข้อมูลจากแหล่งข่าว หมายถึง การหาข่าวด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูข้อเท็จจริงในแต่ละเรื่องหรือแต่ละพื้นที่ ก็จะเป็นการได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด มีประโยชน์มากสำหรับงานอาชีพของตน เช่น การสำรวจความต้องการของผู้บริโภค สำรวจแหล่งผลิตและจำหน่ายสินค้าแต่ละชนิด
3. การรับทราบข่าวสารจากการศึกษาค้นคว้าและการศึกษาดูงาน ก็จะเป็นประโยชน์ในการนำความรู้ที่ได้มาพัฒนางานในอาชีพของตน เพราะจะได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
4. การรับทราบข่าวสารข้อมูลในกลุ่มอาชีพ เช่น จากสมาคม ชมรม สหกรณ์ ตลาดหลักทรัพย์ จะมีประโยชน์สำหรับการรับทราบข่าวสารความ เคลื่อนไหวที่ทันสมัยในงานอาชีพเดียวกัน ทั้งยังสามารถคาดการณ์แนวโน้มของปัจจุบันและอนาคตได้
5. การรับทราบข่าวสารข้อมูลจากหน่วยงานของทางราชการ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะรัฐบาลจะพยายามส่งเสริมให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพที่มีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ก็จะตั้งหน่วยงานส่งเสริมงานอาชีพ ตามกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ครอบคลุมทุกอาชีพ ดังนั้น บุคคลที่จะประสบความสำเร็จในงานอาชีพของตนต้องติดต่อขอทราบข้อมูลข่าวสารจากส่วนราชการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
6. การรู้จักการวิเคราะห์ข่าว เป็นขั้นตอนสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการกลั่นกรอง ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำมาสรุปให้เกิดประโยชน์ต่องานอาชีพของตน
โดยยึดหลักการสำคัญ ดังนี้
6.1 ที่มาของข่าวหรือแหล่งข่าว มีความน่าเชือถือมากน้อยเพียงใด
6.2 วิธีการได้มาซึ่งข่าวสาร หมายถึง วิธีการเก็บข้อมูลหรือบุคคลให้ข่าว มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถน่าเชื่อถือหรือไม่
6.3 ศึกษาแนวโน้ม คือ การดูข้อมูลย้อนหลังหลาย ๆ ปี เพื่อดูแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
6.4ศึกษาความเป็นไปได้เพื่อการเลือกแนวทางหรือตัดสินใจนำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่องาน อาชีพของตนไปวางแผนในการทำงาน

อ้างอิง :การศึกษานอกโรงเรียน. [Online]. Available URL: http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/42022/42022-4.htm

แรงจูงใจเป็นสิ่งที่เราต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ผลสำเร็จทางธุรกิจและความสุขในชีวิตขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
การประสบความสำเร็จในการสร้างแรงจูงใจไม่ใช่ทำได้เพียงบางคนเท่านั้น เราทุกคนสามารถทำได้อย่างประสบความสำเร็จโดยวิธีการ 7 ประการดังนี้
- มองโลกในแง่ดี
- สร้างอานุภาพในการเปลี่ยนแปลง
- สร้างความนิยมนับถือในตัวเอง
- เพิ่มกำลังในการปฏิบัติตามที่ต้องการ
- เปลี่ยนจากความอ่อนแอเป็นความแข็งแกร่ง
- หยุดการผัดวันประกันนพรุ่ง
- บรรจุความสำเร็จในจุดมุ่งหมาย
วิธีการต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยคุณได้ ไม่ว่าคุณต้องการจูงใจตัวคุณให้สูงขึ้นหรือนำทีมงานไปสู่ความสำเร็จ

อ้างอิง :สำนักพิมพ์ซีเอ็ด . [Online]. Available URL: http://www.se-ed.com/book/detail/974/510/097.asp

สร้างแรงจูงใจ เพิ่มไฟทำงาน
เคยบ้างไหมที่ตื่นนอนตอนเช้าแล้วยังอ้อยอิ่งไม่อยากลุก ลืมตามองเพดานแล้วนึกว่า "ต้องไปทำงานอีกแล้วหรือนี่เรา" หรือพอค่ำวันอาทิตย์นึกแต่ว่า "พรุ่งนี้วันจันทร์อีกแล้ว ทำไมวันหยุดถึงสั้นนัก" อาการแบบนี้เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป จะเรียกว่าเป็นโรคเบื่องานหรือขาดแรงจูงใจในการทำงานก็ว่าได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้เสมอกับคนทำงานไม่ว่าเป็นนายหรือลูกน้อง สำหรับคนที่เป็นนายหรือผู้บังคับบัญชาควรจะรู้ว่าอะไรคือสาเหตุทำให้ลูกน้องห่อเหี่ยวไม่อยากทำงาน และพยายามหาทางป้องกัน เพราะคนที่ขาดแรงจูงใจย่อมไม่อาจสร้างผลงานที่ดีออกมาได้เต็มประสิทธิภาพ จะให้บริการกับลูกค้าก็ไม่อาจทำให้ลูกค้ามีความสุขหรือประทับใจได้ การขาดแรงจูงใจของพนักงานจึงเหมือนกับโรคร้ายชนิดหนึ่งที่เกาะกินและทำลายความสำเร็จของหน่วยงาน เราจึงควรจะหาสาเหตุและวิธีที่จะช่วยกันสร้างแรงจูงใจ และเพิ่มไฟทำงาน เพื่อสร้างความสุขความสำเร็จให้กับคนทำงานในองค์การ
ปัจจัยอย่างแรกที่มีผลต่อแรงจูงใจของพนักงานคือตัวงานเอง งานที่จะสร้างแรงจูงใจได้คืองานที่มีคุณค่า มีความหมาย มีผลตอบแทนที่เหมาะสม และที่สำคัญมีเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอน นั่นคือทำแล้วรู้ว่าจะได้อะไร จะวัดความสำเร็จกันที่ตรงไหน ตราบใดที่มีเป้าหมายชัดเจนก็ทำให้คนทำงานรู้ว่าจะต้องทุ่มเทมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนกับคนที่อยู่ในถ้ำในความมืด มะงุมมะงาหราหาทางออกไม่เจอ หมดหวังหมดกำลังใจ หรืออย่างเวลานักวิ่งซ้อมวิ่งถ้าโค้ชบอกว่า "วันนี้วิ่ง 100 เมตรแล้วกัน แล้วจับเวลาว่าทำเวลาได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า" อย่างนี้นักวิ่งก็มีเป้าหมายว่าจะต้องทำเท่าไร ทำแล้ววัดผลได้ว่าทำได้ไม่ได้ ย่อมเกิดแรงจูงใจที่จะทำ แต่ถ้าโค้ชบอกว่า "วิ่งวิ่งไปเถอะ เหนื่อยเมื่อไรค่อยหยุดวิ่ง" อย่างนี้นักวิ่งก็หมดแรงไม่รู้จะวิ่งไปทำไมให้ป่วยการ คนทำงานก็เช่นเดียวกันอยากเห็นผลงานของตัวเองว่าดีไม่ดีขนาดไหน มีเป้าหมายจึงเท่ากับมีแรงจูงใจให้อยากทำงาน นอกจากเป้าหมายแล้วต้องไม่ลืมว่าคนเรายังต้องการงานที่ทำให้เขามีโอกาสก้าวหน้า งานที่ท้าทายความสามารถด้วย งานบางอย่างทำไปแล้วมองไม่เห็นอนาคต ซ้ำซากน่าเบื่อ จะคาดหวังให้ใครมาทนทำอยู่นานๆ เห็นจะไม่ได้ ไม่ต้องดูอื่นไกล พนักงานที่นั่งเก็บเงินในตู้เล็กๆ บนทางด่วน ทำอย่างนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ลองไปถามดูเถิดจะมีสักกี่คนบอกว่าชอบงาน มีความสุขกับงาน งานอย่างนี้ที่สุดแล้วก็ต้องมาคิดว่าจะหาเทคโนโลยี่มาทำแทนคนได้ไหม หรืองานบางอย่างจะเปลี่ยนวิธีทำเสียดีไหม คนที่เป็นหัวหน้าต้องพยายามให้งานที่มีความหมายกับลูกน้อง ชี้ให้ลูกน้องเห็นความสำคัญของงานที่มอบหมาย ปรับปรุงงานที่น่าเบื่อให้น่าทำ ตลอดจนหมุนเวียนให้ลูกน้องมีโอกาสได้ทำงานใหม่ๆ ที่ไม่ซ้ำซากบ้าง เขาจะได้มีกำลังใจ ที่สำคัญต้องไม่ลืมด้วยว่าผลตอบแทนที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้คนมีแรงจะทำงาน จะหวังให้คนขยันทำงานในขณะที่ยังท้องหิวเป็นเรื่องยาก และหากท้องหิวหนักเข้าความสุจริตก็อาจจะหายไปด้วย
ตัวนายหรือหัวหน้าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้งานน่าทำหรือน่าเบื่อหน่าย ถามลูกน้องบางคนว่าทำไมไม่อยากไปทำงาน ได้คำตอบว่า "เบื่อนาย" นายลำเอียง นายขี้บ่น นายอคติ นายประสาท นายซื่อบื้อ สุดที่จะบรรยายไปได้ต่างๆ นาๆ นายบางคนนั้นสักแต่ว่าเป็นนายไม่เคยเอาใจลูกน้องมาใส่ใจตัวเอง อย่างนี้จะได้ความรักจากลูกน้องเห็นจะยากเต็มที ลูกน้องอยากจะได้นายที่เก่งทั้งงานและเก่งทั้งคน ที่ต้องเก่งงานเพราะต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องมั่นใจว่าจะเป็นผู้นำเขาได้ เขาฝากชีวิตไว้ได้ และทำให้เขาเรียนรู้จากนายได้ ที่ต้องเก่งคนเพื่อที่จะแบ่งปันน้ำใจ ให้ความเอื้ออาทร เป็นที่พึ่งทางใจให้กับเขาได้ นายที่เอาแต่เผด็จการ เอะอะก็โวยวายด่าทอเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งจะพาลูกน้องเซ็งไปด้วย นายที่เข้าอกเข้าใจลูกน้อง มีน้ำใจไมตรีแต่ทำงานไม่เอาไหน ไม่เคยพิสูจน์ตัวเองว่าประสบความสำเร็จในงานได้ ก็ไม่อาจเป็นที่พึ่งพิงแก้ปัญหาให้ลูกน้องได้ อย่างนี้ก็สร้างความเซ็งและทำให้กำลังใจของลูกน้องหายหกตกหล่นไปด้วย เป็นนายแบบที่จะทำให้ลูกน้องอยากทำงาน และทำงานอย่างทุมเทให้นั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
สาเหตุที่เบื่องานของคนบางคนเกิดเพราะเพื่อนร่วมงาน งานดี นายดี เพื่อนร่วมงานไม่ดี ก็บั่นทอนกำลังใจที่จะทำงานไม่น้อย ปัญหากับเพื่อนร่วมงานนำมาซึ่งความขัดแย้ง ขาดการประสานงานที่ดี เกิดการซุบซิบนินทาให้ร้ายกัน แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ไม่พูดจาไม่สื่อสารกัน เกี่ยงงานกันและอีกสารพัดปัญหาที่อาจเกิดได้ทั้งนั้น แล้วที่สุดงานก็สะดุดหรือล่าช้า เพราะขาดการร่วมมือร่วมใจกัน ผู้บังคับบัญชาต้องหมั่นตรวจสอบว่าในหน่วยงานมีความขัดแย้งเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด ความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของมนุษย์เพราะแต่ละคนแตกต่างกัน ความขัดแย้งในระดับพอเหมาะนำมาซึ่งความคิดเห็นและวิธีการใหม่ๆ ในการทำงาน แต่ถ้ามีมากจนเกินไปก็กลายเป็นความถดถอยของหน่วยงานและบั่นทอนแรงจูงใจของพนักงานได้เหมือนกัน คนเป็นหัวหน้าจึงต้องคอยตรวจตราให้ดีว่าพนักงานหรือลูกน้องอยู่กันอย่างไร และหาวิธีสร้างความร่วมมือในหมู่พนักงานให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ อาการเซ็งงานเพราะเพื่อนร่วมงานจะได้ไม่เกิดขึ้น
หัวหน้าที่ดีต้องคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วลูกน้องอยากจะทำงาน ไม่มีใครรังเกียจงาน หากงานดี นายดี เพื่อนร่วมงานดี เขาย่อมอยากจะทำงานเป็นธรรมดา ที่เขาเบื่อหน่ายขาดแรงจูงใจก็เพราะมีเหตุให้เป็นในเรื่องต่างๆ ทั้งสามอย่างที่ว่ามา ไม่ใช่ว่าเกิดจากนิสัยดั้งเดิมหรือกรรมพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น รู้อย่างนี้แล้วมาช่วยกันสร้างแรงจูงใจและสร้างไฟทำงานให้ลุกโชนในที่ทำงานกันดีกว่า เพื่อที่ว่าตื่นนอนตอนเช้าทุกคนจะได้มีกำลังวังชาพร้อมจะทำงาน ไม่ต้องอ้อยอิ่งนอนนึกแต่ว่า "ต้องไปทำงานอีกแล้วหรือนี่"

อ้างอิง : วิทยา ด่านธำรงกูล.สำนักพิมพ์ บี บี เค บุ๊ค. [Online]. Available URL: http://www.bkkonline.com/
gen-business/20-sep-43.shtml


รายงานการวิจัย ฉบับที่ 74
การประมวลและสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานในประเทศไทย
ประทีป จินงี่
ดุษฎี โยเหลา
อุษา ศรีจินดารัตน์



การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปความก้าวหน้าและพัฒนาการของการ วิจัยในเรื่องการทำงานและค้นหาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานโดยคำนวณและรวมค่าขนาด อิทธิพลตามวิธีการของการวิเคราะห์เมต้า กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวกับ เรื่องการทำงานที่ทำการศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2530 - 2538 จำนวน 222 เรื่อง ซึ่งรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบเก็บข้อมูลงานวิจัยที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น การสังเคราะห์งานวิจัยทำใน 2 ลักษณะ คือ
1. สังเคราะห์งานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเป็นร้อยละ
2. สังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้การวิเคราะห์เมต้า แบบ Vote Counting
ผลการวิจัยพบว่า
1. ตัวแปรตามที่เกี่ยวกับการทำงาน มีการศึกษากันใน 3 ลักษณะ คือ การ ปฏิบัติงานพฤติกรรมการทำงาน และประสิทธิภาพการทำงาน
2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ (ร้อยละ 81.47) และเอกชน (ร้อยละ 18.53)
3. แนวทางที่ผู้วิจัยใช้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานมีอยู่ด้วยกัน 5 แนวทาง คือ
3.1 การศึกษาปัญหาและระดับของการทำงาน (ร้อยละ 54.06)
3.2 การเปรียบเทียบการทำงานตามตัวแปรต่าง ๆ (ร้อยละ 22.52)
3.3 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกับตัวแปรอื่น ๆ (ร้อยละ 3.60)
3.4 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงาน (ร้อยละ 18.02)
3.5 การพัฒนาการทำงาน (ร้อยละ 1.80)
4. ข้อมูลสำคัญ ๆ เกี่ยวกับการทำงานในประเทศไทยที่ได้จากการสังเคราะห์ งานวิจัยมีดังนี้
4.1 การศึกษาปัญหาการทำงาน พบว่า ส่วนใหญ่มีปัญหาอยู่ในระดับ ปานกลางโดยมีปัญหาที่สำคัญ ๆ คือ การขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน (ร้อยละ 23.91) ขาดแคลนบุคลากร (ร้อยละ 19.56) ขาดการประสานงานที่ดี (ร้อยละ 17.39) บุคลากรไม่เอาใจใส่ในการทำงาน (ร้อยละ 13.04) ขาดความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง (ร้อยละ 10.87) ขาดการติดตามประเมินผลการทำงาน (ร้อยละ 10.87) ขาดความเข้าใจบทบาทหน้าที่ (ร้อยละ 8.69) ขาดการประชาสัมพันธ์ (ร้อยละ 8.69) และปัญหาอื่น ๆ
4.2 การศึกษาระดับการทำงาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาส่วนใหญ่ มีการทำงานอยู่ในระดับสูง
4.3 การศึกษาเปรียบเทียบปัญหาการทำงาน พบว่า ผู้วิจัยส่วนใหญ่ทำ การเปรียบเทียบการทำงานกับตัวแปร สถานภาพของผู้ตอบที่มีตำแหน่งต่างกัน ระดับ การศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน ระยะเวลาการทำงาน อายุ สถานภาพสมรส เพศ เงินเดือน ฯลฯ และตัวแปรสำคัญที่ทำการศึกษาแล้วมักจะพบผลการวิจัยที่แตกต่างกัน ได้แก่ สถานภาพของผู้ตอบ
4.4 การเปรียบเทียบระดับการทำงาน พบว่า ผู้วิจัยส่วนใหญ่ทำการ เปรียบเทียบระดับการทำงานกับตัวแปร สถานภาพการทำงาน ระดับการศึกษา ประสบการณ์ ในการทำงาน อายุ เพศ การได้รับการฝึกอบรม ฯลฯ และตัวแปรที่ศึกษานี้เมื่อนำมา
เปรียบเทียบแล้วส่วนใหญ่จะพบผลไม่แตกต่างกัน
4.5 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกับตัวแปรอื่น ๆ พบว่า มีการ ศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับการทำงานโดยจำแนกตัวแปรต้นออกเป็นตัวแปร ภายนอกบุคคล ตัวแปรภายในบุคคล และตัวแปรชีวสังคม ซึ่งผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า
- ตัวแปรภายนอกบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการทำงาน ได้แก่ สภาพแวดล้อม ทางกายภาพ พฤติกรรมผู้นำ สัมพันธภาพในกลุ่มทำงาน ชั่วโมงการทำงานในแต่ละวัน การได้รับการสนับสนุน ระยะเวลาการทำงาน จำนวนบุคลากร ความร่วมมือของผู้ร่วมงาน การติดต่อประสานงาน ที่พักอาศัย บุคลิกภาพของผู้ร่วมงานและสัมพันธภาพเชิงวิชาชีพ
- ตัวแปรภายในบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับการทำงาน ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับ งาน ความเข้าใจบทบาทหน้าที่ ทัศนคติต่องาน คุณธรรม
- ตัวแปรชีวสังคมที่มีความสัมพันธ์กับการทำงาน ได้แก่ อายุ ประสบการณ์ ทำงาน ตำแหน่ง ระยะเลาการดำรงตำแหน่ง ระดับการศึกษา
4.6 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงาน พบว่า ปัจจัยที่นำมาศึกษานั้นได้ มีการจำแนกปัจจัยออกเป็นปัจจัยภายในบุคคล ปัจจัยภายนอกบุคคล และปัจจัยชีวสังคม ซึ่งผลการวิจัยที่พบปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานที่ได้จากการวิเคราะห์เนื้อหา พบผลดังนี้
ตัวแปรปัจจัยภายในบุคคล ที่นำมาศึกษาและพบผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ เจตคติต่องาน ความรู้ความสามารถในงานที่ทำ ความพึงพอใจในงาน แรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ การรับรู้ แรงจูงใจในการทำงาน ความเชื่ออำนาจในตน ความเข้าใจในบทบาท
หน้าที่ บุคลิกภาพ ลักษณะทางพุทธ ลักษณะมุ่งอนาคต ความคาดหวังผลประโยชน์ ขวัญและกำลังใจ ความมีมนุษยสัมพันธ์ ข้อจำกัดด้านความรู้ ความรับผิดชอบ การควบคุม ตนเอง ความกระตือรือร้นในงานที่ทำ เหตุผลเชิงจริยธรรม สุขภาพจิต และวัฒนธรรมองค์การ
ตัวแปรปัจจัยภายนอกบุคคล ที่นำมาศึกษา และพบผลที่มีนัยสำคัญทาง สถิติ ได้แก่ การสนับสนุนทางสังคม ภาวะผู้นำ การได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับงาน พลังอำนาจ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงาน การติดต่อสื่อสาร การได้รับการนิเทศงาน นโยบายการบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมในโครงการ โอกาสในการ แสดงความสามารถ ขอบข่ายการจัดการ บรรยากาศในการทำงาน ลักษณะของงาน ความ ร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้อง พฤติกรรมการบริหาร การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับงาน ทรัพยากรที่มีอยู่ คุณภาพการนิเทศงาน การเข้าถึงระบบข้อมูล การมีเวลาทำงานเพียงพอ วิธีการทำงาน การให้ ความเป็นธรรม การเตรียมบุคลากร การใช้ความรู้ด้านจิตวิทยา การวัดและการประเมินผล สภาพสังคมและเศรษฐกิจ การคมนาคม สมรรถนะของหน่วยงาน ความมั่นคงในการทำงาน ความก้าวหน้าในการทำงาน ความขัดแย้งในการทำงาน โครงสร้างของทีมงาน รางวัลในการ ทำงาน ความสำเร็จในการทำงาน การได้รับการยอมรับนับถือ กฎระเบียบการทำงาน ความ ชำนาญเฉพาะอย่าง การปฏิบัติตามบทบาท การบริหารงานสนเทศ การกระจายอำนาจ ปัญหาการเมืองในพื้นที่ บุคลากรในพื้นที่และสังคม และวัฒนธรรมในพื้นที่
ตัวแปรปัจจัยชีวสังคม ที่นำมาศึกษาและพบผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา เพศ ประสบการณ์ในการทำงาน รายได้ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน ตำแหน่งการงาน สถานภาพสมรส อาชีพ เงินเดือน ความสามารถพิเศษ ภาระการเลี้ยงดู ปริมาณงานที่รับผิดชอบ สถานที่ตั้งที่อยู่อาศัย
4.7 การพัฒนาการทำงาน พบว่า มีการศึกษาและเสนอแนะแนวทางในการ พัฒนาการทำงานของบุคคลในลักษณะที่เป็นการเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงาน อย่างกว้าง ๆ เช่น การใช้วิธีการจัดฝึกอบรมทั้งด้านจิตใจและพฤติกรรม มีการใช้ตัวแบบเพื่อ เสริมสร้างพฤติกรรมการทำงานของบุคคล
4.8 การสังเคราะห์งานวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อประมาณค่าขนาดอิทธิพลของตัวแปร กลุ่มชีวสังคม ตัวแปรภายในบุคคล และตัวแปรภายนอกบุคคล พบว่า
ตัวแปรกลุ่มชีวสังคม ที่มีงานวิจัยหลายเรื่องพบผลว่ามีความสัมพันธ์เป็นบวก กับการทำงานคือ รายได้ โดยมีขนาดอิทธิพล 0.01
ตัวแปรภายในบุคคล ที่พบว่ามีผลงานวิจัยหลายเรื่องสอดคล้องกันว่ามีความ สัมพันธ์เป็นบวกกับการทำงานคือ ความรู้ความสามารถในงานที่ทำ ความพอใจในงาน เจตคติต่องาน แรงจูงใจในการทำงาน ความรู้สึกความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ ความเชื่อ
อำนาจในตน และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ โดยมีขนาดอิทธิพลอยู่ระหว่าง 0.02-0.05นอกจากนี้ ยังพบว่า ความรู้สึกต่อหน่วยงาน บุคลิกภาพและบุคลิกภาพด้านคุณธรรม และลักษณะ มุ่งอนาคต เป็นตัวแปรที่มีขนาดอิทธิพลเป็นบวกต่อการทำงาน และมีผู้นำมาศึกษาไม่มากนัก สุดท้ายพบว่า ตัวแปรภายนอกบุคคลที่มีขนาดอิทธิพลเป็นบวก คือ การสนับสนุน ทางสังคม พฤติกรรมผู้นำ ความสัมพันธ์ของผู้ร่วมงาน การติดต่อสื่อสาร สภาพแวดล้อม ทางกายภาพ นโยบายและการบริหารจัดการองค์การ และบรรยากาศในการทำงาน โดยมี ขนาดอิทธิพลอยู่ระหว่าง 0.01 - 0.10

อ้างอิง :มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. [Online]. Available URL: http://www.swu.ac.th/bsri/abstract/res74t.html





ถูกต้องกับถูกใจ…อย่างไหนดี
บ่อยครั้ง…ในบางสถานการณ์ ของการทำงานที่คุณต้องเลือก ระหว่างสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ถูกใจ ไม่ว่าจะถูกใจเขาหรือถูกใจเรา บางทีก็มักขัดแย้งกับสิ่งที่ถูกต้อง แล้วจะเลือกอย่างไรดี…

ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานบุคคลบอกว่า ให้เลือกความถูกต้องก่อน คือถูกต้องตามหลักเกณฑ์และข้อเท็จจริงเพราะเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะเลือกให้ถูกใจก็ไม่ต้องเสียหลักการของความถูกต้องโดยเด็ดขาดในความเป็นจริง การบริหารคน ถ้าเลือกถูกใจก่อน เท่ากับว่าเป็นการบริหารคนเพื่อให้เขาถูกใจเท่านั้น ซึ่งในอนาคตคุณจะไม่อยู่ในสายตาของลูกน้อง เพราะคุณจะกลายเป็นไม่มีจุดยืนที่แน่ชัด พึงระวังว่า ถ้าต้องชั่งน้ำหนักของสิ่งที่ปฏิบัติอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น ต้องมีเหตุผลที่ดีมาสนับสนุน และรักษาคำมั่นให้ได้ คลินิกธุรกิจขนาดย่อม รับปรึกษาทุกอาการทางธุรกิจ บนเส้นทางสายธุรกิจ ไม่ใช่ถนนคอนกรีตที่เพิ่งสร้างเสร็จ เรียบกริบตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจใดก็ตาม ปัญหาและอุปสรรคเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเผชิญ ซึ่งบางครั้งไม่อาจจะก้าวข้ามไปได้โดยลำพัง ผู้ช่วย หรือที่ปรึกษาสักคน คือสิ่งที่คุณต้องการ ผู้ที่สนใจต้องการสิบถามปัญหาทางธุรกิจ สามารถส่งคำตอบหรือขอรับคำปรึกษาฟรี ตลอดจนเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของคลินิกนี้ได้
ติดต่อได้ที่ คลินิกธุรกิจขนาดย่อม โครงการปริญญาโทสำหรับผู้บริหารคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โทร. 224-9730 หรือ โทร.613-2228 ต่อ 15

อ้างอิง : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. [Online]. Available URL: http://career.simplemag.com/www_01_04_02_1.html

ทำอย่างไร จะไปให้ถึงดวงดาว
เปล่าค่ะ...เปล่า ไม่ได้กำลังจะชักชวนคุณไป เป็นดารา หรือประกวดนางสาวไทยหรอกค่ะ แต่อยากจะบอกว่าถ้าหากคุณอยากมีความก้าวหน้า ในหน้าที่การงาน ในยุคที่ไม่รู้ว่า บริษัททั้งหลาย จะ เลย์ออฟ พนักงานออก เมื่อไหร่ คุณควรปรับตัว ให้ปราดเปรียว ทันสมัย และประทับใจ เจ้านายนะคะ
ในยุคโลกาภิวัฒน์แบบนี้ คุณต้องก้าวให้ทันโลก คงไม่มีใครเถียงนะคะว่า หมดยุค การทำงานแบบซังกะตายไปนานแล้ว โดยเฉพาะคุณๆที่เริ่มมีอายุ มากขึ้น มิฉะนั้นละก้อ เด็กรุ่นใหม่คงจะแซงหน้าไปจนคุณตามไม่ทัน หนทางสที่จะไปให้ถึงดวงดาวที่ คุณควร ท่องไว้ให้ขึ้นใจ และทำให้ได้มี7 ประการดังนี้ค่ะ
1. พยายามหาจุดดี จุดด้อยของตนเองให้พบ และใช้มันให้เป็นประโยชน์ เช่น คุณที่ชอบเดินทาง อาจ หันเหชีวิตตนเองไปทำงานด้านการ ท่องเที่ยว หรือคุณที่รักความงาม อาจทำงานเกี่ยวกับความสวย ความงาม (เผื่อว่ามีแมวมอง ชักนำเข้าสู่วงการในที่สุด) คุณๆที่ชอบ ทำงานเกี่ยวกับหนังสือ อาจไปทำงานเป็นพนักงานซีร็อก เอ้ย .... เจ้าหน้าที่ห้องสมุด หรือเปิดร้านหนังสือค่ะ
2. เอาชนะความกลัวด้วยความกล้า ในสิ่งที่คุณไม่เคยกล้า คนบางคนอาจ รู้สึกไม่มั่นใจในการออกไปดู หนัง เดินช้อปปิ้งคนเดียว หรือในสำนักงาน บางวันที่เพื่อนรักของคุณเกิดป่วยกระทันหัน ทิ้งให้คุณต้องทาน ข้าว คนเดียว ทำให้คุณเกิดอาการมือไม้สั่น กะระยะการตักอาหาร เข้าปาก ไม่ถูก หรือไม่มั่นใจเมื่อคุณต้องนำเสนองานในที่สาธารณะ ดังนั้นคุณจง รวบรวมความกล้า และทำในสิ่งที่คุณคิดว่าคุณไม่กล้าบ่อยๆ คุณจะชิน และทำได้ดีขึ้นตามลำดับค่ะ

3. เรียนรู้การใช้อินเตอร์เนต เพราะเดี๋ยวนี้ คุณจะหาข้อมูลต่างๆ ได้จากเว็ปไซท์ บางเว็ปให้ความรู้แก่คุณ สำหรับคนที่ต้องการหางานทำ หรืออยากรู้เกี่ยวกับกระบวนการสมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ เขียน ประวัติส่วนตัว การสอบสัมภาษณ์ เทคนิคการขอขึ้นเงินเดือน หรือ การเขียนโครงการต่างๆ ก็สามารถหาข้อมูลได้ เพียงแค่ปลายนิ้วค่ะ

4. เห็นคุณค่าของตนเอง .... ตรงนี้อยากให้คุณมองว่า คุณเป็นคนที่มีคุณค่า มีความรู้ ความสามารถ และบางคนอาจแถม พกด้วยประสบการณ์อันน่า ตะลึงพรึงเพริด ถามตัวเองซิคะว่าคุณมีความก้าวหน้าในงานที่ คุณทำ อยู่ได้อย่างไรบ้าง และบริษัทเองเห็นคุณค่าตรงนี้ของคุณหรือเปล่า หากเปล่าละก้อ ไม่ผิดหรอกค่ะหากจะมองหางานใหม่ ที่คุณจะได้ใช้ ความรู้ ความสามารถของคุณเองอย่างเต็มที่ แต่หากคุณคิดว่า ตนเอง ยังไม่มีความโดดเด่นในงานมากพอ อย่าเพิ่งหยิ่งเชิดนะคะ ทางที่ดี คุณควรอดทนกับการทำงาน แล้วประสบการณ์จะสอนคุณเองค่ะ

5. อย่าไว้ใจใครอย่างหน้ามืดตามัว ..... ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเป็น คนช่าง ระแวงนะคะ แต่อยากให้ คุณเป็นตัวของตัวเอง ไม่ไว้ใจ ใครเกินไป และมีคาถาประจำใจว่า "คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ" หากวันหนึ่ง คุณ พบว่า คนที่ใกล้ชิด และสนิทกับคุณไม่ได้เข้าข้างคุณเลย แม้แต่ น้อยในเวลาคับขัน คุณจะได้ไม่รู้สึกว่าโลกเศร้าไงคะ

6. จัดแจงกับชีวิตของคุณให้ดี เริ่มต้นด้วยการทำความสะอาดโต๊ะทำงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ และจัดแจงแฟ้มให้เป็นหมวดหมู่ จดหมาย หรือเอกสาร ค้างปีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณ ก็ไม่ต้องไปเสียดาย มันนะคะ กำจัดมันไปให้หมด รวมไปถึงจัดของใช้ส่วนตัว เช่น กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าเครื่องสำอางค์ หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าของคุณ เพื่อให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณดีขึ้นค่ะ

7. รักษาสุขภาพอนามัยของคุณฯให้ดีค่ะ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกเครียด พยายามหาโอกาสทำกิจกรรมคลายเครียดวันละ 1 อย่าง หรือไม่ก็หามุมพักผ่อนให้กับตัวเอง โดยนั่งพักในที่สบายๆเพียงแค่ 5-10 นาทีต่อวันก็เพียงพอค่ะ ไม่จำเป็นต้องถึงกับนั่งสมาธิก็ได้ค่ะ ถ้าหากคุณมีทัศนคติที่ดีต่อตัวคุณเอง ดูแลและรู้จักวิเคราะห์ตนเอง และเตรียมพร้อมในการทำงานอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ความสำเร็จจะไปไหนเสียคะ ดังนั้นที่ว่า "วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" จึงเป็น

อ้างอิง :นิตยสารผู้หญิง. [Online]. Available URL: http://career.simplemag.com/dev_00011.html










แรงจูงใจ - ไฟทำงาน
ไฟในที่นี้หมายถึงแรงจูงใจที่จะทำงาน ว่ากันว่ามีคนสองพวกที่ต้องอาศัยไฟทำงานคือ พวกที่มี "ไฟในทรวง" และ "ไฟลนก้น"
พวกไฟในทรวง
พวกที่มีความปรารถนา ราคะ อันแรงกล้าที่สุมอกสุมใจเช้าเย็น อยากจะทำอะไรให้สำเร็จ เพื่อบรรลุจุดหมายของตนเอง อยากจะทดสอบศักยภาพของตน และสนองตัณหาตนเอง ด้วยการทำวิจัยตามใจอยาก ภาษาอังกฤษเรียกพวกนี้ว่ามีแรงจูงใจแบบ Intrinsic
พวกไฟลนก้น
พวกนี้ต้องใช้ความร้อนมากระตุ้นบั้นท้าย เพื่อจะทำให้งานเดินได้ ความร้อนในที่นี้อาจเป็น เส้นตาย รางวัล หรือ ทำงานเพื่อให้จบๆไปซะที ภาษาอังกฤษเรียกพวกนี้ว่ามีแรงจูงใจแบบ Extrinsic

อ้างอิง :Cafa de Thailande . [Online]. Available URL: http://www.thaiweb.co.th/cafethai/re-2.htm

หัวข้อ " 5 เคล็ดลับการทำงานสู่ความสำเร็จ "
คนทำงานทุกคนอยากทำงานให้ประสบความสำเร็จและมีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบอยู่
แต่ก็มีคนทำงานหลายคนที่ไม่สมหวัง และรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำคัญในหน่วยงานนั้นๆ ทำให้ไม่มีกำลังใจในการทำงาน
และไม่มีการพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น ทั้งๆที่สาเหตุของความไม่ก้าวหน้านั้นอาจอยู่ที่ตัวเราเองก็ได้ เพราะฉะนั้นลองมาดูกันว่าเคล็ดลับการทำงานสู่ความสำเร็จนั้นมีอะไรบ้าง
- เคล็ดลับแรกก็คือ ต้องมีมุ่งมั่นและตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง
- เคล็ดลับที่สองต้องปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก การวางตัว การมีมนุษยสัมพันธ์
และการพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น
- เคล็ดลับที่สาม ต้องมีความเต็มใจที่จะรับผิดชอบงานใหม่ๆที่มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
- เคล็ดลับที่สี่ต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาต่างๆในการทำงาน
- และเคล็ดลับที่ห้า ก็คือ ต้องรักงานและมีทัศนคติที่ดีต่องานที่ทำอยู่
เพราะถ้าเรามีทัศนคติที่ไม่ดีกับงานที่ทำ เราจะไม่มีแรงกระตุ้น และไม่มีกำลังใจปรับปรุง หรือพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นได้เลย ขอให้ทุกท่านโชคดี มีชีวิตที่ดีขึ้นทุกวันครับ

อ้างอิง : Copy Right (c) 1999-2000 ThaiEJob.com . [Online]. Available URL: http://www.thaiejob.com /IdeaBoard/Question.asp?GID=4





คิดดี มีสุข

ความคิดเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ และมีอิทธิพลต่อจิตใจ ร่างกาย และการกระทำของคนเรา เป็นอย่างมาก ถ้าคิดแต่เรื่องดี ๆ จิตใจก็จะเบิกบานเป็นสุข ร่างกายก็กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา จะทำอะไรก็ทำอย่างมั่นใจ ทำด้วยความสนุกเพลิดเพลิน ทำให้สิ่งที่ทำนั้นได้ผลออกมาดี เช่น เวลาทำงาน ถ้าคิดในแง่ดีว่างานที่ทำนั้นมีคุณค่า ทำแล้วนอกจากจะเกิดรายได้เลี้ยงตัวเอง และครอบครัวแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย เห็นงานหนัก งานยุ่ง งานยาก เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ จิตใจก็จะเกิดความรู้สึกอยากทำงานนั้น มีความตั้งใจที่จะทำงานอย่างเต็มที่ ร่างกายก็มีพลังที่จะทุ่มเทให้กับงาน ชนิดทำงานหามรุ่งห่ามค่ำก็ยังได้ ไม่เกียจค้าน หรือแม้บ้างทีร่างกายเจ็บป่วย แต่ด้วยใจที่ห่วงงาน ก็ยังทำให้สามารถทนทำงานต่อไปได้จนสำเร็จ ในเมื่อตั้งใจทำงาน ทุ่มเทแรงใจแรงกายเช่นนี้แล้ว ผลงานก็ย่อมออกมาดี ไม่มีผิดพลาด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จและก้าวหน้าในอาชีพก็มีได้สูง ในทางตรงกันข้าม ถ้าคิดแต่เรื่องไม่ดี จิตใจหดหู่ เศร้าหมอง บางทีก็โกรธแค้นริษยาคนนั้น อาฆาตคนนี้ ทำให้ร่างกายพลอยเหี่ยวเฉา หน้านิ่ว คิ้วขมวด พูดจาไม่น่าฟัง รู้สึกไม่อยากทำอะไร หรือไม่ก็ทำแบบส่งเดชแบบขอไปที งานที่ทำจึงผิด ๆ พลาด ๆ เอาดีไม่ค่อยได้ ดังเช่น คนที่ชอบคิดว่า งานเป็นภาระ คิดดูถูกงานที่ตัวเองทำ หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองด้อยความสามารถ สู้คนอื่นไม่ได้ จิตใจก็ย่อมไม่มีความสุข มีแต่ความคับแค้นใจ อิจฉาริษยา รู้สึกขวางหูขวางตาคนที่ได้ดีกว่า ขาดมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีความสุขในการทำงาน ร่างกายก็ผิดปกติ เพราะเกิดความเครียดสูง มีอาการต่าง ๆ เช่นปวดศีรษะ ปวดท้อง ใจสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องอืดเฟ้อ ท้องเสียบ่อย ๆ นอนไม่หลับ เป็นต้น ทำให้ต้องลางานเป็นประจำ ในเมื่อไม่มีใจให้กับงาน ร่างกายหรือก็เจ็บป่วย แล้วจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้อย่างไร งานที่ทำย่อมล่าช้า คุณภาพต่ำ ถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ หรือทำผิดพลาดจนเสียหายแก่หน่วยงานได้ โอกาสที่จะก้าวหน้าในงานก็ไม่มี
ดังนั้นเราจึงควรหมั่นดูแลความคิดของเราให้ดีนะคะ เมื่อใดที่เริ่มคิดในแง่ลบ คิดแล้วเกิดความทุกข์ ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ ขอให้หยุดคิดทันที แล้วเปลี่ยนไปคิดในสิ่งที่ดี ๆ แทน ถ้าคิดสิ่งดี ๆ ไม่ออก ก็ลองถามเพื่อนหรือคนใกล้ชิดที่เขาเป็นคนอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจก็ได้ แล้วคุณจะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าแต่ก่อนค่ะ

อ้างอิง :อินทิรา ปัทมิทร. กรมสุขภาพจิต.หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2542. [Online]. Available URL:http://clinicrak.com/mental/ mental_think1.html


สไตล์ การบริหารงาน บริหารคน
การเพิ่มประสิทธิภาพผลงาน
ปัจจัยสำคัญในการทำงาน ซึ่งได้แก่ เงินทุน คนทำงาน (คนดีมีฝีมือ ซื่อสัตย์) และวิธีการจัดการบริหารงาน นั้น ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ให้คุณให้โทษต่องานที่ทำได้ดีที่สุด
จึงได้มีการศึกษาค้นคว้ากันตลอดมาว่า ทำอย่างไร คน ถึงจะทำงานได้ดีที่สุดนักวิชาการ นักบริหารหลายคน ต่างพยายามเสนอแนวความคิด ตั้งทฤษฎีที่ได้รับการทดลองต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้คุณให้โทษในการทำงาน (ทฤษฎีเอ็กซ์ ทฤษฎีวาย) การศึกษาเรื่องเวลา การเคลื่อนไหวของร่างกาย การจัดระเบียบ การแบ่งงาน การมอบหมายงาน ภาวะผู้นำ การตัดสินใจ วินิจฉัยสั่งการ มนุษยสัมพันธ์ การติดต่อสื่อสาร การจูงใจ ฯลฯเพื่อให้หน่วยงานแต่ละแห่ง มีผลงานเพิ่มสูงขึ้นโดยมีค่าใช้น้อยที่สุด ซึ่งเรียกว่า เป็นประสิทธิภาพในการทำงาน ของหน่วยงานนั้น
นักพฤติกรรมศาสตร์ ต่างพยายามชี้ให้เห็นว่า การจูงใจคำทำงานนั้นเป็นกลวิธีที่ดีที่สุด ในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของผลงาน เพราะเป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด ได้ผลมากที่สุด แต่ก็ทำได้ยากที่สุด (ถ้าไม่เข้าใจวิธีทำ)
แต่เพราะว่า คนเรานั้นมีความแตกต่างระหว่างบุคคล และมีความต้องการแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน การที่จะจูงใจคนได้ก็ย่อมต้องหมายถึงว่าเราต้องรู้ใจเขา ทราบถึงความต้องการของเขา เราจึงจะจูงใจเขาได้
ทำอย่างไร เราจึงจะจูงใจให้คนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ ข้อเสนอแนะต่อไปนี้ จะช่วยให้ท่านเห็นคำตอบ เพราะเราทุกคน ต้องการความสำเร็จในการทำงานเป็นอย่างยิ่ง
การพิจารณาความสามารถในการทำงานของเขาที่มีอยู่กับงาน ที่เราจะมอบหมายให้ทำ จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งยวด ถ้าเขามีความสามารถในการทำงานสูง แต่เรามอบหมายงานให้ทำน้อยหรือง่ายจนเกินไป จะทำให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเป็นการดูถูกฝีมือ หรือมองไม่เห็นคุณค่าความสามารถของเขา เขาก็ไม่อยากทำงาน (เพราะทำประเดี๋ยวเดียวงานก็เสร็จแล้ว)
ถ้าเรามอบหมายงานให้มาก หรือยากกว่าความสามารถที่มีอยู่ แม้จะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถบรรลุผลสักครั้ง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกถอถอย ท้อถอย เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสทำได้สำเร็จ ก็ไม่อยากทำงานอีกเหมือนกัน (ทำจนตายก็ไม่สำเร็จ ป่วยการทำ)
วิธีที่ดีที่สุด ก็คือ พยายามมอบหมายงานให้ทำมากกว่าความสามารถที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย คาดคะเนว่าเขาสามารถทำงานชิ้นนั้น ๆ สำเร็จลงได้ทุกครั้งที่มอบหมาย ถ้าเพิ่มความพยายามอีกเพียงนิดเดียว จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในผลสำเร็จของงานนั้น ๆ แล้วค่อยพยายามเพิ่มปริมาณหรือความยากของงานสูงขึ้นทีละนิด ก็จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำงานไปในตัว และล่อใจให้เจ้าตัว อยากทำงานที่มอบหมายมากที่สุด งานก็จะมีผลงานสูงขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือ กลวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของผลงาน ลองทำดูซิครับ

อ้างอิง: ไพบูลย์ สำราญภูติ. [Online]. Available URL: http://www.hi-free.com/executive10.html



การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความเครียดและสิ่งแวดล้อม ในการทำงานของคนงาน
ในโรงงานอุตสาหกรรม
แหล่งข้อมูล
• บทคัดย่อ การประชุมวิชาการประจำปีของกรมอนามัย ครั้งที่ 3 ประจำปี 2534, 21-23 พฤษภาคม 2534 ณ ห้องราชเทวี โรงแรมเอเชีย กรุงเทพมหานคร, หน้า 83-84.

บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา หาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเครียด ของคนในโรงงานอุตสาหกรรม จากจำนวนตัวอย่างคนงาน 327 คน ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม 4 กลุ่ม รวม 30 แห่ง โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบมีระบบ จากทำเนียบโรงงานอุตสาหกรรม แล้วทำการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม ถึง 5 เมษายน 2534 ด้วยการใช้แบบสัมภาษณ์ ร่วมกับการสำรวจสภาพแวดล้อมขณะทำงาน เช่น แสง เสียง ความร้อน ฝุ่น และการสุขาภิบาลโรงงาน เป็นต้น
ผลจากการศึกษา พบว่า โรงงานอุตสาหกรรมตัวอย่าง 30 แห่ง มีสภาพแวดล้อมรวม ด้านกายภาพ (เฉพาะ แสง เสียง ความร้อน และปริมาณฝุ่น) ที่เหมาะสมกับการทำงาน เพียงร้อยละ 23.33 ความเครียดของคนงาน จากการใช้แบบสอบถามวัดความเครียด HOS (Health Opinion Survey) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 30.38 (S.D. = 6.24) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนงานที่มีความเครียดสูง (High Stress) ร้อยละ 15.00 และกลุ่มคนงานที่มีความเครียดปกติ (Normal Stress) ร้อยละ 85.00 จากการวิเคราะห์หาปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับความเครียด โดยวิธี MCA (Multiple Classification Analysis) พบว่า กลุ่มโรงงานที่ 1 ได้แก่ โรงงานประเภททอผ้า โรงเลื่อย โรงสี ผลิตภัณฑ์จากไม้ ทำพรม และกลุ่มโรงงานที่ 4 ได้แก่ โรงงานเย็บเสื้อผ้า ทำธูป น้ำแข็ง มีความเครียดสูงกว่า กลุ่มที่ 2 และ 3 ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.000) ความรู้สึกว่า สภาพแวดล้อมของการทำงาน ไม่เหมาะสมของคนงานก็มีผล โดยตรงต่อความเครียดของคนงาน (P=0.000) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพความร้อน WBGT ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน จะทำให้เกิดความเครียดของผู้ที่ทำงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.038) นอกจากนี้ ปัญหาในครอบครัว จำนวนสมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน อายุของคนงาน และปัญหาสุขภาพของคนงาน ได้แก่ โรคประจำตัว หรือความพิการ มีผลต่อก่อมให้เกิดความเครียด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติด้วย (P=0.000) เมื่อเปรียบเทียบ สาเหตุที่มีผลต่อความเครียด เรียงลำดับตามความสำคัญมากไปน้อย คือ สิ่งแวดล้อมในการทำงาน ปัญหาความเจ็บป่วยของคนงาน ปัญหาทางครอบครัว และอายุของคนงาน

อ้างอิง : ประทีป ศิริโพธิ์. [Online]. Available URL: http://www.anamai.moph.go.th/hpc1/Top30030.htm
...
  
จาก KM สู่ LO: Model ภูเขาน้ำแข็ง
2
...
  
ข้อมูล JFK
จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี (John Fitzgerald Kennedy) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เจเอฟเค (JFK ย่อจากชื่อภาษาอังกฤษ) (29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 — 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของวาทะเปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมือง: "จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ"

เกิดเมื่อ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1917 ที่เมืองบรูกลิน รัฐแมสซาชูเซตส์ อยู่ที่นั่นถึง 10 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายเข้านิวยอร์ก เป็นคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก ลูกคนที่ 2 ในจำนวน 9 คนของโจเซฟ แพทริก เคนเนดี คหบดีใหญ่อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหราชอาณาจักร

จากโรงเรียนมัธยมในรัฐคอนเนตทิคัต เรียนต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าหน่วยนาวิกโยธิน รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมช่วยเพื่อนทหารให้รอดชีวิตจากเหตุเรืออับปางด้วยข้าศึกโจมตี เขาว่ายน้ำพยุงร่างเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บไปโดยไม่ทอดทิ้ง

ลงสนามการเมืองได้เป็นวุฒิสมาชิกรัฐบ้านเกิด จากนั้นเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ค.ศ. 1960 สหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีที่หนุ่มที่สุดเพียง 43 ปี และเป็นคริสตังคนแรกที่ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่นี้ เจเอฟเคบริหารประเทศด้วยพลังหนุ่ม (เป็นคำหนึ่งที่เขาชอบมาก) และมองโลกในแง่ดี

วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1961 เขาแถลงต่อสภาคองเกรสว่าอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ไม่ธรรมดา ให้สภาอนุมัติงบประมาณเพื่อจุดมุ่งหมายของชาติคือ การส่งมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์ และเดินทางกลับอย่างปลอดภัย

ด้านการต่างประเทศ เคนเนดียุติวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทางการเมืองด้วยการยื่นคำขาดให้สหภาพโซเวียตถอนฐานยิงขีปนาวุธในประเทศคิวบา ความสำเร็จอีกประการหนึ่งคือ สนธิสัญญาระหว่างประเทศในการห้ามทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามนโยบายที่ผิดพลาดก็มีเช่นกัน การให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่เวียดนามใต้ เป็นจุดเริ่มต้นสงครามเวียดนามที่โหดร้ายรุนแรง

แรกทีเดียวประธานาธิบดีเชื่อข้อมูลฝ่ายทหารและนักค้าอาวุธสงคราม ว่าสหรัฐจะสามารถชนะกองกำลังคอมมิวนิสต์ในเวียดนามได้ไม่ยาก เพราะแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่า เฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังทางอากาศที่ใช้เฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก แต่นั่นไม่จริง สงครามเวียดนามยืดเยื้อ ทหารอเมริกันเข้าสมรภูมิเป็นจำนวนมหาศาล ความสูญเสียเกินบรรยาย ช่วงเวลาที่จะหมดวาระ เตรียมชิงเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 2 เขาตัดสินใจใช้การเจรจาทางการทูตยุติสงคราม

แต่จากนั้นไม่นานเคนเนดีก็ถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองแดลลัส รัฐเทกซัส ในเหตุการณ์การลอบสังหารฯ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประวัติศาสตร์บันทึกถึงประธานาธิบดีผู้มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ผู้มีผลงานโดดเด่นมากมายท่ามกลางวิกฤตการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รอยต่อของยุคก้าวสู่สงครามเย็น

...
  
สัมมนาการตลาด โดย อ.เดี่ยว ตลกมาก
2
...
  
Spring News
2
...
  
อ.พนม (ทอล์คแอนด์โชว์4)
2
...
  
แซววาที 4(ทอล์คแอนด์โชว์)
2
...
  
แนะนำรายการ
2
...
  
ทอล์คโชว์1
2
...
  
ทอล์คโชว์1
2
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.