หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
หัวอกนักพูด(อ.วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์)
“หัวอกนักพูด”
มีหลายคนแกล้งพูดให้บรรดานักพูดอย่างพวกผมได้ยินอยู่เรื่อยๆว่า “อาชีพนักพูดนี่ดีเนอะ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมายในการประกอบอาชีพ จะไปไหนก็แค่หิ้วปากไปด้วยเท่านั้น ก็ใช้หากินได้แล้ว!” ซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า นี่เป็นคำชมหรือคำกระแหนะกระแหนกันแน่
ผมจึงค่อนข้างสะใจไม่น้อยที่อาจารย์สุขุม นวลสกุล พี่ใหญ่ในวงการนักพูด กล่าวสวนคำพูดนี้ไปในทันทีว่า “ใช่สิ นักพูดเนี่ยไปไหนก็แค่หิ้วปากไปด้วย ส่วนตีนน่ะ ค่อยไปหาเอาข้างหน้า!?!” ประโยคนี้ของอาจารย์สุขุมฯ อาจจะแปลความหมายได้ว่า อาชีพนักพูดมันไม่ได้ทำง่ายอย่างที่ใครๆ คิด เพราะพูดแล้ว โอกาสที่จะเจอตีนก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว และกว่าจะมามีวันนี้ ก็ล้วนเจอตีนกันมามากบ้างน้อยบ้าง ถ้วนทั่วทุกตัวคน
ถ้าถามว่า “นักพูด” จัดเป็นอาชีพๆหนึ่งได้หรือไม่ ก็อาจจะมีผมเพียงคนเดียวที่ยืนยันมาตลอดว่า “นักพูด” น่ะมันไม่ใช่อาชีพ แต่มันเป็นฉายา เป็นสมญานาม เป็นความสามารถพิเศษ เป็นความถนัด เป็นทักษะ เป็น พรสวรรค์ หรือเป็นคุณสมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งเขาหรือเธอผู้นั้นก็อาจจะมีอาชีพที่หลากหลายแตกต่างกันไป เพียงแต่มีความสามารถพิเศษประการหนึ่งเป็นคุณสมบัติประจำตัว นั่นคือมีความสามารถทางด้านการพูด อาทิเช่น :-
อาจารย์สุขุม นวลสกุล น่าจะถือได้ว่าท่านเป็นนักวิชาการนักพูด ท่านอาจเชี่ยวชาญการพูดในหลายรูปแบบ แต่ในความรับรู้ของผู้คนในสังคม ท่านเป็นนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง เวลาสื่อมวลชนจะสัมภาษณ์ผู้รู้สักคนหนึ่งเรื่องการบ้านการเมือง ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ทุกคนจะต้องนึกถึงในลำดับต้นๆ
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา ท่านก็เป็นนักวิชาการนักพูด ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการด้านการตลาด ด้านการบริหารจัดการ ด้านนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน ด้านฯลฯ (ท่านมีความสามารถหลายด้านเหลือเกินจนจารไนไม่ไหว ดูเหมือนท่านจะรวมเอาความเก่งทุกอย่างมาไว้ในตัวท่านหมด แม้แต่เพศหญิง เพศชาย ท่านก็ยังเหมาเอามารวมไว้ที่ตัวท่านคนเดียวด้วยเลย! ผมภาวนาว่าท่านจะไม่ได้อ่านข้อเขียนของผมชิ้นนี้!)
อาจารย์พเยาว์ พัฒนพงศ์ ท่านเป็นครูนักพูด อาชีพหลักของท่านก็คือสอนหนังสือ
อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ นี่ก็เป็นนักพูดอีกท่านหนึ่งที่พูดได้หลายรูปแบบ แต่ถ้าถามว่าอะไรคืองานหลักของท่าน ก็ต้องตอบว่าท่านเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่งหนึ่ง และเป็นมาหลายปีแล้ว เดินทางไปประชุมที่โน่นที่นี่แทบจะรอบโลกแล้ว งานพูดถือเป็นงานรอง เพียงแต่ดูเหมือนจะทำเงินได้มากกว่างานหลักเท่านั้น จนนายฝรั่งของท่านต้องโทรตามตัวท่านอยู่บ่อยครั้ง พร้อมกับพูดกับท่านว่า “โอว มิสเตอร์เสน่ห์ ไออยากจะขอความกรุณายูนิดหน่อย คือวันไหนว่างๆ ยูช่วยเข้ามาทำงานบ้างนะ! พลีส” จึงอาจเรียกท่านได้ว่าเป็นนักบริหารนักพูด
อาจารย์ถาวร โชติชื่น ท่านก็เป็นนักบริหารนักพูดเช่นเดียวกัน ท่านเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศแห่งหนึ่งซึ่งทำธุรกิจด้านอาหารสัตว์ ปัจจุบันท่านลาออกมาทำกิจกรรมส่วนตัวแล้ว เลยยังไม่รู้ว่าจะเรียกท่านว่านักอะไรดี? ได้ข่าวว่าท่านไม่ค่อยว่างเหมือนกัน เพราะทุกวันนี้นี่ ท่านต้องนั่งเฉยๆอยู่ทั้งวัน น่าอิจฉาจริงๆ!
อาจารย์พนม ปีเจริญ น่าจะถือได้ว่าท่านเป็นนักธุรกิจนักพูด เพราะงานหลักของท่านนั้น ท่านเป็นเจ้าของกิจการ เป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจหลายด้าน งานการพูด ดูเหมือนจะเป็นงานอดิเรกของท่านมากกว่า
อาจารย์อภิชาติ ดำดี นี่ก็เป็นนักพูดอีกท่านหนึ่งที่ผมยังจัดไม่ค่อยจะถูกว่าจะเรียกท่านว่าเป็นนัก อะไรดี แต่ช่วงที่ผมกำลังเขียนข้อเขียนชิ้นนี้อยู่ ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ถ้าเกิดสอบได้ขึ้นมา เป็น สว.ท่านก็อาจได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองนักพูด หรือ สว.นักพูด แต่ถ้าสอบตก ก็อาจต้องเรียกท่านว่า สต.นักพูด(ไม่ออก) ไปพลางๆ!
อาจารย์นันทนา นันทวโรภาส แต่ก่อนอาจจะยังจัดท่านไม่ถูกว่าเป็นนักอะไร แต่ช่วงกำลังนี้ ตั้งแต่ท่านสำเร็จปริญญาเอกด้านสื่อสารทางการเมือง ทั้งสอนและบริหารหลักสูตร ก็อาจจัดได้ว่าท่านก็เป็นนักวิชาการนักพูดได้อีกท่านหนึ่ง
สำหรับอาจารย์จตุพล ชมภูนิช นั้น ผมมีความเห็นเป็นการส่วนตัวว่าท่านน่าจะได้ชื่อว่าเป็นศิลปิน นักพูด เพราะท่านเชี่ยวชาญที่สุดกว่าใครในเรื่องของ Entertainment Talk Show และตัวท่านเองก็วางภาพลักษณ์ หรือตำแหน่งทางการตลาดของตัวท่านเอง (Positioning) ไปในแนวดารา แนวคนในวงการบันเทิง จนอาจถือได้ว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ในด้านทอล์คโชว์เลยทีเดียว
แล้วผมล่ะ ผมเป็นอะไร? ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้เป็นเอดส์ และไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรทั้งสิ้น แต่ผมเป็นวิทยากรนักพูดนักฝึกอบรม เพราะงานหลักที่ผมใช้ทำมาหากินนั้นคือการไปเป็นวิทยากรบรรยาย สัมมนา และฝึกอบรมในหน่วยงานต่างๆ
ส่วนอีกสองท่าน ซึ่งผมมิได้หลงลืมท่านไปแต่ประการใด คืออาจารย์สุรวงศ์ วัฒนกูล และอาจารย์ผาณิต กันตามระ เพียงแต่ผมยังงงๆอยู่ ไม่รู้ว่าควรจะจัดท่านไปอยู่ในไฟลั่มไหน หรือสปีชี่ส์ใด แต่ในเบื้องต้นท่านน่าจะอยู่ในไฟลั่มเดียวกับผม คือเป็นวิทยากรนักพูดนักฝึกอบรม ที่เน้นการฝึกอบรมทางด้านธรรมะ ด้านวิปัสสนา ด้านกัม- ฐากกรรมฐานทรมานทรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่คนบาปหนาอย่างผมไม่มีวันเข้าถึง จึงอาจถือได้ว่าอยู่ในไฟลั่มเดียวกัน กับผม เพียงแต่อยู่กันคนละสปีชี่ส์!
ยังมีอีกหลายท่านที่ได้ชื่อว่าเป็นนักพูด ซึ่งผมยังมิได้เอ่ยนาม ณ ที่นี้ แต่เชื่อได้ว่าแต่ละท่านมีอาชีพอะไรสักอย่างหนึ่งทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เป็นกิจจะลักษณะ ขณะเดียวกันก็มีทักษะพิเศษอย่างหนึ่งประจำตัวกันทุกท่าน คือความสามารถทางด้านการพูด
ที่ได้ยกตัวอย่างรายชื่อนักพูดมาทั้งหมดนั้น ในทางปฏิบัติ นักพูดแต่ละท่านอาจจะมีความสามารถทางการพูดหลายด้าน และมีกิจกรรมที่คาบเกี่ยวทับซ้อนกันอยู่หลายอย่างไปพร้อมๆกันจนเกือบแยกแทบไม่ออก เช่น อาจารย์สุขุมฯ ท่านก็เป็นวิทยากรฝึกอบรมด้านพัฒนาคนด้วย เป็นนักทอล์คโชว์ด้วย อาจารย์จตุพลฯ ท่านก็รับงานบรรยายในหัวข้อที่ท่านถนัดควบคู่กันไปกับงาน Entertainment Talk Show ด้วย เป็นต้น เพียงแต่ที่ผมจัดใส่อาชีพหลักให้แต่ละท่านว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ก็โดยการดูขีดความสามารถหลัก (Core Competency) และพิจารณาจากการรับรู้ของผู้คนในสังคม (Perception) เป็นเกณฑ์สำคัญนั่นเอง
ที่ได้กล่าวในประเด็นนี้มาเสียยืดยาว ก็เพื่อจะบอกว่านักพูดทุกคนต่างมีสัมมาอาชีวะกันทุกคน ไม่มีใครสักคนเดียวที่ไม่มีงานการอะไรทำ เอาแต่พูดๆๆ พูดกันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างเดียวเลย มีบางคนแกล้งมาพูดแหย่กึ่งบลั๊ฟนักพูดว่า “วันๆพวกคุณไม่คิดจะทำงานทำการอะไรให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาบ้างเลยหรือไง เห็นเอาแต่พูดๆๆกันอยู่นั่นอย่างเดียวเลย!?” บ่อยครั้ง ผมก็ต้องพูดสวนกลับไปว่า “ก็เนี่ยแหละ งานหลักของกูละ!”

ช่วงที่รายการทอล์คโชว์ทางโทรทัศน์เฟื่องฟูสุดขีดในยุคหนึ่ง นักพูดถูกจัดให้เป็นกลุ่มคนในวงการบันเทิงไปด้วยโดยปริยาย แต่ละคนนี่ต่างเดินสายออกรายการเกมส์โชว์ รายการทอล์คโชว์ ออกรายการนั้นรายการนี้ กันเป็นว่าเล่น มีคนเชิญไปพูดทอล์คโชว์งานนั้นงานนี้กันเป็นที่อึกทึกครึกครื้น ไปกันเป็นทีมบ้าง วันแมนโชว์บ้าง จนกระทั่งมีใครบางคนซึ่งไม่รู้เขาจะอิจฉาหรือริษยาตาร้อนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ พูดเหน็บแนมนักพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆว่า “ไอ้พวกนักพูดเนี่ย มันก็ไอ้พวกเดียวกับตลกคาเฟ่ละวะ ต่างกันอยู่หน่อยนึงตรงที่ว่า ตลกคือนักพูดที่ยืนพูดอยู่ในคาเฟ่ ส่วนนักพูดก็คือคนที่ไปเล่นตลกอยู่ห้องสัมมนา ถุยส์!” คำพูดนี้เสียดแทงหัวใจทั้งนักพูด และศิลปินตลกเป็นอย่างยิ่ง เพราะจริงๆแล้ว อาชีพของเราทั้งสองกลุ่มนี้มันอยู่กันคนละภพ คนละภูมิกันเลย ไหงจับเรามารวมกลุ่มกันได้ก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ทำแล้วมันได้ตังค์ แล้วได้มากด้วย เราก็ไม่ว่าอะไร! ปล่อยให้คนที่พูดประโยคนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกนักวิชาการเขาพูดกันไป ปล่อยให้พวกเขาไปทำงานค้นคว้าวิจัยทางวิชาการเรื่องวัฏจักรแห่งความยากจนของตนเองกันต่อไป
พูดถึงนักวิชาการแล้ว ไม่รู้เป็นอย่างไร ผมสงสัยว่าทำไมนักวิชาการบางคนถึงได้จงเกลียดจงชังนักพูดนักหนา มีโอกาสเป็นต้องพูดพาดพิง ต้องเหน็บแนม ต้องกระแหนะกระแหนนักพูดอยู่ร่ำไป บางคนก็พูดสับนักพูดเสียเละเลยว่า “ไม่รู้พวกมันมาเป็นผู้บรรยายความรู้ได้อย่างไร ยืนพูดออกท่าออกทางเหมือนกับจะเล่นปาหี่ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยยังกับเล่นหนังเล่นละคร ใส่แต่แก๊ก ใส่แต่มุขตลกจนคนฟังไม่ได้สาระความรู้อะไร เอาแต่หัวเราะกันจนน้ำหูน้ำตาไหล เอาแต่ฮากันจนแทบจะตกเก้าอี้ ฮากันจนขี้แตกขี้แตน มันจะไปได้ความรู้สวรรค์วิมานอะไร!” โอ้โฮ เล่นใส่กันแบบนี้แหละครับ พวกนักพูดอย่างผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ที่พวกผมทำๆอยู่เนี่ยมันถูกหรือเปล่า แต่ไอ้ที่พวกนักวิชาการทำๆกันอยู่ คือเวลาจะเรียนจะสอนต้องแจกหมอนกับผ้าห่มด้วยเนี่ย มันไม่ถูกแน่ๆ
นักวิชาการ ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยบางคนก็พูดจาเหยียดหยันนักพูดว่า “ไอ้พวกนักพูดเนี่ย ไม่เห็นมันจะมีความรู้อะไร แต่ดันรับพูด (แม่ม) ไปเสียทุกเรื่อง ทั้งๆที่ก็ไม่รู้จริงอะไรสักเรื่องหนึ่ง!” ผมนำคำพูดนี้มาไตร่ตรองดู ก็เห็นจริงด้วยอยู่เหมือนกัน สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าแล้วทำไมเราถึงได้หน้าด้านรับพูดมันไปเสียทุกเรื่องวะ? แต่ที่สงสัยหนักกว่านั้นคือ แล้วทำไมคนเชิญ เขาถึงได้ทนเชิญแต่นักพูดอย่างพวกผมที่ไม่รู้จริงอะไรสักเรื่องหนึ่งกันอยู่ได้ บางแห่งเชิญซ้ำอยู่นั่นแหละเป็นสิบรอบ ผมเคยถามคนจัดบางคนว่าทำไมไม่ไปเชิญพวกนักวิชาการ พวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาพูดบ้างล่ะ เขาก็ตอบผมมาว่า “จริงอยู่ครับ บรรดานักวิชาการ บรรดาอาจารย์เหล่านั้น ท่านรู้ลึก รู้แจ้ง รู้จริง ในทุกเรื่อง แต่ท่านก็พูดไม่รู้เรื่องเลยซักเรื่องนึง!” นั่นน่ะซีครับ แล้วจะให้พวกผมทำยังไง นักพูดอย่างพวกผมอาจจะไม่ได้รู้จริงสักเรื่องนึงอย่างที่ท่านว่า แต่พวกผมก็พูดรู้เรื่องในทุกเรื่องที่พอจะรู้อยู่บ้าง ก็เท่านั้นเองครับ
ท่านผู้อ่านที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ เห็นหรือยังล่ะครับว่าเส้นทางของนักพูดก็ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบเช่นเดียวกัน ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านคำครหานินทาของผู้คนมาไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งนักพูดหลายคนที่ไม่ได้ทำงานเป็นนักบริหารในองค์กร ไม่มีเงินเดือนประจำที่แน่นอน ไม่ได้มีกิจการ หรือทำธุรกิจที่สามารถจ้างคนอื่นให้ทำงานแทนได้ แต่ต้องยังชีพด้วยการรับจ้างพูด รับจ้างบรรยาย รับจ้างเป็นวิทยากรฝึกอบรม สัมมนา และต้องลงมือทำด้วยตนเองเท่านั้น อย่างผมและอีกหลายท่านนั้น ถ้าไม่มีหัวใจรักในอาชีพจริงๆ แล้วละก็ คงจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นกันไปนานแล้ว บางเดือนก็มีคิวงานแน่นจนไม่มีวันหยุด จนแทบจะหายใจทางผิวหนัง บางเดือนก็แน่นเหมือนกัน คือแน่นหน้าอกไปหมด เพราะไม่ค่อยจะมีงานเลย นี่ถ้าขวัญกำลังใจไม่กล้าแข็ง ไม่ศรัทธาในวิชาชีพจริงๆล่ะก็ เห็นทีจะแขวนปาก เลิกพูด ถอนตัวจากยุทธภพ ล้างปากในอ่างทองคำ หันไปทำอย่างอื่น เช่นรับจ้างดำน้ำ งมหอยหลอด ขึ้นมะพร้าว ขุดหลุม ดายหญ้า ฯลฯ เสียตั้งนานแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่นักพูดทุกคนจะต้องเผชิญก็คือ ความกดดันสารพัด อันเกิดจากความคาดหวังของผู้คน ในสายตาของคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักพูดนั้น เขาเข้าใจว่าเมื่อได้ชื่อว่าเป็นนักพูดแล้วก็ต้องสามารถพูดได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสภาวะ ทุกสถานการณ์! ไม่ว่าเราจะโผล่ไปงานไหน ทั้งๆที่ไม่มีอยู่ในคิวงาน และไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า แต่ก็มักต้องถูกเชิญแบบกะทันหัน ถูกเชิญแบบสดๆ ให้ขึ้นไปพูดทุกที ครั้นเราอิดเอื้อน บ่ายเบี่ยง ก็ต่อว่าเราอีกว่า “แหม พอพูดไม่ได้ตังค์ละก็ไม่ยอมพูดเชียวนะ!” บางครั้งผมก็ต้องเอาสีข้างเข้าถูเพื่อเอาตัวรอด โดยการตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น สำหรับผมแล้วเรื่องเงินน่ะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่มันเป็นเรื่องแรกที่ต้องตกลงกันก่อน เงินน่ะมันไม่ใช่พระเจ้าหรอก แต่มันคือพ่อของพระเจ้าเลย!” บางทีก็ต่อด้วยอีกประโยคหนึ่งที่ผมขโมยคำพูดมาจากอาจารย์สุขุมฯ ว่า “ที่พูดเนี่ยไม่ใช่ผมเป็นคนเห็นแก่เงินนะ เพียงแต่ถ้าไม่เห็นเงิน ผมก็ไม่เห็นแก่ใครทั้งนั้น!” เอาเป็นว่า ถ้าใครยังไม่รู้ ก็โปรดได้รับรู้ไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับว่า ความสุขสุดยอดอย่างหนึ่งของนักพูดก็คือการที่ไม่ต้องพูดนั่นเอง!
ผมเคยไปร่วมงานสัมมนา ในฐานะของผู้ฟัง ไม่ใช่ผู้พูด การสัมมนาผ่านไปครึ่งค่อนวัน โดยที่บรรยากาศของงานเป็นไปอย่างน่าเบื่อหน่าย อึดอัด เคร่งเครียด (ไม่ต้องบอก ก็คงพอจะเดาได้นะครับว่าใครมาเป็นวิทยากรนำสัมมนา ก็คนที่รู้ลึก รู้แจ้ง รู้จริงทุกเรื่องน่ะแหละครับ) ผู้ร่วมสัมมนาหลายคนลุกจากที่นั่ง เดินมาหาผม พร้อมกับกล่าวว่า “อาจารย์ช่วยขึ้นไปพูดอะไรคั่นเวลาสักสิบห้านาทีได้ไหมครับ เอาที่มันมันส์ๆ สนุกๆ เอาให้ฮากันท้องคัดท้องแข็งไปเลย เห็นไม๊ล่ะครับว่าทุกคนในห้องนี้เนี่ยกำลังเซ็ง กำลังเบื่อกันสุดขีดเลย อาจารย์ช่วยหน่อยนะครับ” ผมก็เลยตอบพวกเขาไปว่า “ผมก็เซ็ง และผมก็เบื่อเหมือนพวกคุณนั่นแหละ ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าผมเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษที่ไม่มีสิทธิเบื่อ ไม่มีสิทธิ์เซ็งบ้างล่ะ คุณช่วยหาใครมาทำให้ผมหายเบื่อ หายเซ็งก่อนได้ไหม จากนั้นผมคงพอจะมีอารมณ์ทำให้พวกคุณหัวเราะกันได้บ้าง!” ผมพูดไปด้วยความไม่พอใจจริงๆครับ เห็นผมเป็นตัวอะไร เห็นผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึก เหมือนผู้คนทั่วไปหรืออย่างไร ที่ถูกแล้ว พวกเขาต้องเดินไปบอกรองศาสตราจารย์ ด๊อกเตอร์อะไร ซึ่งทำหน้าที่วิทยากรนำสัมมนานั่น เขาต่างหากเป็นคนทำให้บรรยากาศในห้องสัมมนาเป็นแบบนี้ นี่เป็นผลงานของเขา ไม่ใช่เดินมาบอกผม
แม้จนถึงวินาทีนี้ ที่นักพูดแต่ละท่านต่างผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชน และอย่างโชกเลือดมาแล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเครื่องรับรองได้ว่าจะต้องประสบความสำเร็จในการพูดเสียทุกครั้งไป ทุกวันนี้ทุกท่านก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของผลลัพธ์สุดท้ายของการพูด ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย เพราะมันมีปัจจัยที่เกินการควบคุมอยู่หลายอย่างหลายประการที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
บางงานเขาจัดเป็นงานเลี้ยงรอบริมสระน้ำของโรงแรม แขกในงานนั่งกันกระจัดกระจายตามโต๊ะต่างๆ คนที่ยืนบนเวทีไม่สามารถมองเห็นคนข้างล่างได้เลย เพราะมีไฟสป็อตไล้ท์สาดส่องเข้าหาเวทีตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็เพิ่งทราบตอนไปถึงหน้างาน แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้?
บางงานก็เป็นงานเลี้ยงรุ่น ซึ่งคนในงานต่างตั้งใจมาทำแค่สองเรื่อง คือมาคุย และมากิน ไม่ได้สนใจมาฟังใครพูดบนเวทีทั้งนั้น ถ้าเจอแบบนี้ เราจะทำอย่างไร?
งานสัมมนาบางงาน ก่อนเริ่มการบรรยาย ประธานที่ต้องทำพิธีเปิดการสัมมนา ท่านก็ถือโอกาสด่าพนักงานเป็นการนำร่องเสียเกือบหนึ่งชั่วโมง ผู้ฟังไม่อยู่ในอารมณ์จะฟังอะไรต่อจากนั้นทั้งนั้น มีแต่อารมณ์เคียดแค้นอยากจะฆ่าใครสักคนอยู่อย่างเดียวเลย เจอแบบนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร?
บางงาน เรายืนเห่า ยืนหอน ยืนบรรยายทั้งวัน ตั้งหกเจ็ดชั่วโมง เสร็จงาน ถูกคนจัดเบี้ยวค่าตัวหน้าตาเฉย เช็คเด้ง ทวงยังไงก็ไม่ยอมจ่าย เล่นเอานักพูดใบ้แดกไปหลายวัน แบบนี้ ท่านว่าจะทำอย่างไรดี?
ยังมีอีกหลายงาน หลายสถานการณ์ ที่ชวนให้นักพูดอยากจะเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน เพราะพูดไม่ออก ได้แต่กรอกหน้า
ใครที่คิดว่าการเป็นนักพูดนั้นง่าย เป็นงานสบาย แค่เดินแกว่งปากหาเท้า แกว่งเท้าหาเสี้ยนทั้งวันเท่านั้น เมื่อได้อ่านเพียงบางส่วนของเรื่องราวที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้ ท่านคงเข้าใจหัวอกนักพูดอย่างพวกผมมากขึ้นนะครับ
ท้ายที่สุดนี้ หากจะถามว่าพวกนักพูดเขามีคติเตือนใจอะไรไว้ประจำใจกันบ้าง สำหรับท่านอื่นผมไม่ทราบ แต่ของผมเองมีคติง่ายๆ ที่ต้องเตือนตัวเองทุกครั้งที่จะขึ้นพูดว่า..

“ถ้าปากเหม็น เรายังสามารถไปอมหยูกอมยา แต่ถ้าปากหมาละก็ อมตีนอย่างเดียวเลย!”

อย่าว่ากันนะครับ ที่ขึ้นต้นและลงท้าย มีแต่คำว่า “ตีน” กับ “ตีน” !!??



...
  
พูดอย่างเซียน
กระผม ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ได้มีโอกาสซื้อหนังสือเรื่อง " พูดอย่างเซียน " ของ ท่านอาจารย์รัชเขต วีสเพ็ญ มาอ่านรู้สึกประทับใจอีกทั้งยังเคยติดต่อทางโทรศัพท์กับอาจารย์ซึ่งทางอาจารย์รัชเขต วีสเพ็ญ ก็เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีมาก ในโอกาสนี้จึงขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ ให้แก่ท่านผู้อ่าน หากท่านผู้อ่านได้มีโอกาสอ่านจะทำให้คุณพูดได้พูดเป็นและพูดอย่างเซียน หนังสือ พูดอย่างเซียน เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ของนักพูดมืออาชีพ มีทั้งทฤษฎีและผู้เขียนได้เล่าประสบการณ์ที่ผ่านเวทีการพูดจริง รวมทั้งวิธีการทางการพูดต่างๆ พร้อมมุขฮาเพียบ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาหนังสือเกี่ยวกับการพูดกระผมจึงขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ

...
  
รวมวาทะ บุคคลสำคัญของโลก
"ถ้าคุณต้องการความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว"
ที วัตสัน จูเนียร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท IBM

"เราควรห่วงใยเกี่ยวกับอนาคต เพราะเราต้องใช้ชีวิตที่เหลือของเราในอนาคต"
ชาร์ลส์ เคดเดอริง วิศวกรไฟฟ้า ชาวอเมริกัน

"ถ้าเรามัวทะเลาะกันด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้"
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของประเทศอังกฤษ

"จงถนอมนาทีให้ดี แล้วชั่วโมงจะถนอมมันเอง"
จิมเบิร์ต คีธ เชสเดอร์ตัน นักเขียนชาวอังกฤษ

"ในชีวิตนั้น มีคำถามอยู่ 3 คำถามที่จำเป็นต้องถามกับตัวเองอยู่เสมอ ๆ นั่นคือ ดีหรือเลว? จริงหรือเท็จ? งามหรืออัปลักษณ์? และการศึกษาจำเป็นอย่างยิ่งที่จักต้องช่วยเราตอบคำถามเหล่านั้น"
จอนห์ ล็อบบอค นักคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ

"ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับสามัญชนก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับเรือ ผู้ปกครองคือเรือ สามัญชนคือน้ำ น้ำสามารถทำให้เรือลอยได้ หรือมิเช่นนั้นก็สามารถทำให้เรือจมได้"
สินจื่อ นักปราชญ์จีน

"อย่ากลัวการต่อต้าน จงจำไว้ว่า ว่าวจะลอยสูงได้เมื่อทวนลม มิใช่ตามลม"
แฮมิลตัน มาบี นักเขียน ศิลปิน

"ทำไมในยามฝัน เราจึงเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อนึกจินตนาการในยามตื่น"
ลีโอนาร์โด ดาวินชี นักประดิษฐ์ และจิตรกรชาวอิตาล

"ปรัชญาที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มยิ่งใหญ่ซึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเราตลอดเวลา ---ข้าพเจ้าหมายถึงจักรวาล--- ทว่าเราจะไม่สามารถเข้าใจถ้าเราไม่เรียนภาษาเสียก่อนและจับความหมายสัญลักษณ์ที่ใช้เขียน"
กาลิเลโอ กาลิเลอี นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี

"สิ่งที่สอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่ใช่การศึกษา แต่เป็นวิธีการศึกษา"
ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน นักเขียนและนักปรัชญาชาวอเมริกัน

"บ่อยครั้งที่จินตนาการ นำเราไปสู่โลกที่ไม่มีอยู่จริง แต่ถ้าปราศจากจินตนาการ เราก็จะไม่ได้ไปที่ไหนเลย"
คาร์ล ซาแกน นักดาราศาสตร์ ชาวอเมริกัน

"ประสบการณ์ คือ สิ่งที่คุณได้ เมื่อคุณไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ"
แดน สแตนฟอร์ต ผู้อำนวยการ McKnight Associates, Inc

"จะต้องมีอยู่เสมอที่คนต้องมองเข้าไปในความมืดเพื่อที่จะมองเห็น"
อแลน แม็กกลาเซน จิตแพทย์ชาวอังกฤษ

"ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยความรัก และนำทางโดยความรู้"
เบอร์ทรันด์ รัทเชลส์ นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ ชาวอังกฤษ

"เรามีสองหู แต่มีลิ้นเพียงลิ้นเดียว เพื่อว่าเราจะได้ฟังมากหน่อย และพูดให้น้อยหน่อย"
ดิโอจิเนส นักปรัชญากรีกโบราณ

"จงใช้เวลาคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ แต่เมื่อเวลาปฏิบัติการมาถึง จงเลิกคิดและลงมือปฏิบัติอย่างเด็ดเดี่ยว"
นายพลแอนดรู แจ็คสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 7

"ในพจนานุกรมของคนหนุ่มสาว ไม่มีคำว่า ล้มเหลว"
เอดวาร์ด บุลเวอร์ ลีตตัน รัฐบุรุษ และกวีชาวอังกฤษ

"สัตบุรุษมีความกังวล 3 อย่างคือ เมื่อไม่ได้รับรู้สิ่งที่ดี เขาจะรู้สึกกังวลจนกว่าจะได้รับรู้ เมื่อได้รับรู้แล้วเขาก็เริ่มกังวลว่าจะไม่ได้เรียนรู้ เมื่อได้เรียนรู้แล้ว เขาก็เริ่มกังวลว่าจะไม่สามารถปฏิบัติได้ตามที่ได้เรียนรู้มา"
คัมภีร์หลีจี้ หนังสือจรรยามารยาทของจีนโบราณ

"พระเจ้าทรงประทานอาหารให้นกทุกตัว แต่พระองค์ไม่ทรงประทานให้ถึงรัง"
เจ.จี. ฮอลแลนด์ นักเชียนชาวสหรัฐ

"ก่อนที่คุณจะพยายามปีนสู่จุดสูงสุดยอดของวิทยาศาสตร์คุณจะต้องเรียนจากพื้นฐานของมันก่อน "
อีวาน พาฟลอฟ นักชีววิทยา

"ศิลปะของความก้าวหน้าคือ รักษาระเบียบวินัยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และ รักษาความเปลี่ยนแปลงท่ามกลางระเบียบวินัย"
อัลเฟรด นอร์ธ ไวด์เฮด นักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาชาวอังกฤษ

"ถ้าใครทำดีกับเราให้จำ แต่ถ้าเราทำดีกับใครให้ลืม"
เทียม โชควัฒนา อดีตประธานกลุ่มธุรกิจสหพัฒน์

"อันตรายอันแท้จริงมิใช่อยู่ที่ว่าคอมพิวเตอร์จะเริ่มคิดเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ที่ว่ามนุษย์จะเริ่มคิดเหมือนคอมพิวเตอร์"
ซิดนีย์ เจ.แฮร์ริส นักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ

"ข้าพเจ้านำความฝันไปกับข้าพเจ้าด้วย แต่ความฝันของข้าพเจ้าจะไม่สูญหายไปจากมนุษยชาติ มันจะเป็นของท่านในวันที่โลกได้เรียนรู้มากพอที่จะได้รับประโยชน์จากมัน และฉลาดพอที่จะไม่ใช้มันไปในทางที่ผิด"
จูลส์ เวิร์น นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส "บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์"

"เมื่อคุณก้าวผิดพลาด คุณอาจตั้งตัวใหม่ได้ในไม่ช้า แต่ถ้าคุณกล่าววาจาผิดพลาด คุณอาจต้องเสียใจตลอดชั่วชีวิต"
เบนจามิน แฟรงคลิน นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และ รัฐบุรุษของสหรัฐฯ

"ไม่มีวิทยาศาสตร์ที่ปราศจากความคิดฝัน และไม่มีศิลปะที่ปราศจากความจริง"
วลาดิเมีย นาโบคอฟ นักเขียนและนักวิจารณ์ชาวสหรัฐฯเชื้อสายรัสเซีย

"อย่ากลัวว่าชีวิตของท่านจะพบจุดจบ แต่จงกลัวว่าชีวิตท่านจะไม่มีโอกาสเริ่มต้น"
คาร์ดินัล นิวแมน พระราชาคณะนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษ

"เราเลี้ยงชีวิตด้วยสิ่งที่เราหามาได้ แต่เราสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่เราให้"
เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษของอังกฤษ

"ถ้าคนสองคนที่มีเงินคนละ 1 รูปี เมื่อนำเงินมาแลกกัน กลับบ้านเขาก็จะมีเงินคนละ 1 รูปี หากคนสองคนที่มีความรู้คนละเรื่อง และนำความรู้มาแลกกัน เมื่อกลับบ้านเขาทั้งสองจะมีความรู้คนละ 2 เรื่องกลับ"
นางอินทิรา คานธี อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย

"ระหว่างผู้ที่มีความรู้มีการศึกษามากที่สุด กับผู้ที่มีความรู้ มีการศึกษาน้อยที่สุด มีความแตกต่างกันในระดับที่เล็กน้อยจนไม่อาจเอ่ยอ้างได้ เมื่อเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เรายังไม่รู้"
อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ นักฟิสิกส์แห่งศตวรรษที่ 20

"เกียรติภูมิที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม แต่อยู่ที่เราลุกขึ้นทุกครั้งที่เราล้มต่างหาก"
ขงจื้อ นักปรัชญาชาวจีน

"การเดินทางแม้ไกลหมื่นลี้ก็ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรกเสมอ"
เล่าจื้อ นักปรัชญาชาวจีน

"สิ่งที่คุณเห็นคือความสำเร็จที่เป็นเพียง 1%ของชีวิตผม แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นคืออีก 99% ที่เป็นความล้มเหลวของผม"
โชอิจิโร ฮอนด้า ประธานบริษัทฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่น

"ผู้ชนะ คือ ผู้กำหนดเกม เมื่อสู้ด้วยแรงไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยจินตนาการ"
แจ็ค เวลซ์ CEO. บริษัทจีอี ประเทศสหรัฐฯ

"แผนหนึ่งปี ไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลูกธัญพืช แผนสิบปีไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลูกต้นไม้ แผนตลอดชีวิตไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างคน ปลูกหนึ่งครั้งเก็บเกี่ยวได้หนึ่งครั้งคือธัญพืช ปลูกหนึ่งครั้งเก็บเกี่ยวได้สิบครั้งคือต้นไม้ผล สร้างหนึ่งครั้งได้ผลประโยชน์ร้อยครั้งคือคน"
จากหนังสือ ก่วนจื่อ

"อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจ ก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองที่จุดหมายปลายทาง เพราะการแสวงหา .. มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ ... มิใช่เพราะรอโอกาส เพราะสามารถ ... มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะแห่งตน "
ขงเบ้ง นักปราชญ์ชาวจีน

"การที่เราเรียนรู้จากสิ่งที่เราไม่รู้ เราไม่เพียงทำดีในการทำลายโลกเก่า แต่ยังทำดีในการสร้างโลกใหม่ด้วย"
เหมาเจ๋อตุง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน

"ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี"
เติ้งเสี่ยวผิง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน

"คนไม่ยอมใช้เหตุผลเป็นคนดังทุรัง คนไม่สามารถใช้เหตุผลเป็นคนโง่ และคนไม่กล้าใช้เหตุผลเป็นทาส"
เซอร์ วิลเลี่ยม ดรัมมอนด์ ผู้ว่าการนิคมของอังกฤษ


...
  
คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร)
(กล่าว ขอบคุณประชาชนและ ส.ส. หลังจากรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ในการรับตำแหน่งนายกสมัยแรก)


เพื่อน ร่วมชาติที่เคารพรัก ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระ ราชหฤทัย แต่งตั้งให้กระผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมขอขอบคุณพี่น้อง ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้มอบความไว้วางใจให้กับผม ผมขอขอบคุณท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้กรุณาลงมติไว้วางใจผม ทำให้ผมได้มีโอกาสทดแทนบุญคุณแผ่นดิน และมีโอกาสที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ที่สะสมมาทั้งชีวิต นำความผาสุกสู่คนไทยทั้งประเทศ ผมขอย้ำว่านโยบายทุกนโยบายที่ได้ประกาศไว้แก่พี่น้องประชาชน จะนำมาปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ประหยัด รวดเร็ว และรัดกุม

พี่น้อง ที่เคารพครับ การตัดสินใจทุก ๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลผม ถึงแม้ว่าผมไม่สามารถตัดสินใจให้เป็นที่พอใจของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้ง 61 ล้านคนพร้อม ๆ กันในทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องจะตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และทุกเรื่องจะถูกตัดสินใจบนพื้นฐาน เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากกว่าเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง 4 ปีข้างหน้าจะเป็น ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปทุกรูปแบบเพื่อนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤติ และวาง รากฐานสำหรับอนาคตของลูกหลานเรา ผมจะไม่ยอมทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำตามกฎหมายเท่านั้น ผมจะขอเป็นผู้นำที่นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย เพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น พี่น้องที่เคารพครับ ผมจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต

ผมคนเดียวและ ลำพังแค่รัฐบาลคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ พี่น้องครับ เราโชคดีครับ คนไทยทั้งชาติมีศูนย์รวมใจอยู่ที่พ่อหลวงของเรา ซึ่งมีพระนามว่า "ภูมิพล" ซึ่งหมายถึงพลังแผ่นดิน คงไม่มีพลังอะไรที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำให้คนไทยและประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติ ครั้งนี้ และปูรากฐานไว้สำหรับลูกหลานในอนาคตได้ดีเท่ากับการใช้พลังแผ่นดิน ผมขอนำความสามัคคีกลับสู่คน ในชาติ เราคนไทยด้วยกัน เราจะไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนขาดความสามัคคี ขาดพลังในการที่จะฟื้นฟูชาติของเรา พี่น้องที่เคารพครับ ผมขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่จะนำรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทำงานหนักสำหรับความผาสุกของพี่น้องประชาชนคนไทย และผมจะทำหน้าที่ทุกวิถีทางเพื่อรักษาไว้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นไทยตลอด ไป ขอขอบคุณครับ
.......................................
...
  
เทคนิคการเขียนบทความ
เทคนิคการเขียนบทความ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
คนบางคนมีหนังสือเล่มเดียวในตัวเอง แต่บางคนมีหนังสือเป็นห้องสมุด
กระผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเขียนมาหลายบทความแล้วในตอนนี้เราจะมาพูดกันในเรื่องสิ่งที่ต้องทราบก่อนการเขียนบทความ ซึ่งถ้าใครต้องการเขียนบทความท่านควรทราบสิ่งเหล่านี้ก่อน ท่านจึงจะสามารถเขียนบทความได้ดี
- ต้องทราบกลุ่มเป้าหมาย ในการเขียนบทความแต่ละบทท่านต้องท่านก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของท่านคือใคร ใครคือผู้อ่านและผู้อ่านของท่านเป็นคนกลุ่มไหน (เช่น อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักการเมือง นักวิชาการ และชนชั้นกลาง ดังนั้นท่านจึงเขียนบทความเกี่ยวข้องกับ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม) อีกทั้งต้องทราบว่าหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ ใดที่กลุ่มเป้าหมายของท่านอ่าน เช่น ถ้าต้องการให้คนสนใจการเมืองอ่านก็ต้องเขียนบทความทางการเมืองลงในหนังสือพิมพ์ “ มติชน ” หรือหากต้องการให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี ศิลปะวัฒนธรรมก็ต้องเขียนลงในนิตยสาร “ ศิลปะวัฒนธรรม” หากเป็นกลุ่มเป้าหมายชาวบ้านอ่านก็ต้องเขียนบทความของท่านลงในหนังสือพิมพ์ “ ไทยรัฐ ,เดลินิวส์,บ้านเมือง” หากว่าเป็นนักธุรกิจหรือคนชั้นกลางอ่านท่านก็ต้องเขียนบทความของท่านลงในหนังสือพิมพ์ “ ผู้จัดการ หรือ กรุงเทพธุรกิจ ”
- เมื่อท่านทราบกลุ่มเป้าหมายแล้วท่านต้องมาเรียนรู้เรื่องของเทคนิคในการนำเสนอ เช่นเรื่องของการ ย่อหน้าจะทำให้ผู้อ่านอ่านบทความของท่านได้ง่ายขึ้น การจับอารมณ์ของสังคมหรือการจับกระแสของสังคมในช่วงสถานการณ์ต่างๆ มีความสำคัญมาก เช่น การเขียนบทความ ตามเรื่องที่ผู้คนในสังคมกำลังสนใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายของรัฐบาลที่มีผลกระทบกับสังคม เรื่องของการทำแท้ง เรื่องของอุบัติเหตุต่างๆในช่วงนั้นๆ หากท่านสามารถเขียนบทความได้ตามกระแส ท่านก็จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากกว่าการที่ท่านเขียนสิ่งที่ท่านต้องการนำเสนอแต่ไม่ได้อยู่ในกระแสหรืออารมณ์ของคนในสังคม
- สำหรับเนื้อหาของตัวบทความมีความสำคัญมาก สำคัญตั้งแต่การตั้งชื่อเรื่อง การตั้งชื่อเรื่องจะตั้งชื่อเรื่องอย่างไรให้คนสนใจ การขึ้นต้นบทความอย่างไร ถึงจะเรียกร้องความสนใจจากผู้อ่าน เนื้อหาอย่างไรให้สอดคล้องกลมกลืนกับการขึ้นต้นและสรุปจบบทความ
- การนำเสนอความคิดเห็นอย่างไรถึงจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงองค์ความรู้ของผู้เขียนเพราะบทความมักเน้นเรื่องความคิดเห็นของผู้เขียนมากกว่าเอกสารอ้างอิงหรือหลักฐานต่างๆ ฉะนั้นผู้เขียนบทความที่มีความแหลมคมทางความคิดมากย่อมเป็นที่สนใจของผู้อ่านเช่น อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ท่านเขียนบทความได้แหลมคมและมีแง่คิดหลายชั้น หลายมุมมอง มาก กระผมเองเคยได้มีโอกาสสอบถามอาจารย์โดยกระผมได้รอพบท่านหลังจากท่านลงจากเวทีสัมมนาทางวิชาการแห่งหนึ่ง กระผมถามว่า อาจารย์ทำอย่างไร ความคิดถึงแหลมคมเหมือนอาจารย์ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กรุณาให้คำตอบกระผมและกระผมขออนุญาตนำเสนอ ณ บทความนี้ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ บอกว่า “ เราต้องกล้าเถียงตัวเอง ”
สำหรับบทความนี้กระผมขอนำเสนอเพียงแค่นี้ก่อน แล้วหากมีโอกาสกระผมจะทยอยเขียนบทความเกี่ยวกับด้านการเขียนอีก เพื่อจะได้เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านผู้อ่าน มีคนถามกระผมว่า อยากเป็นนักเขียนเหมือนกันแต่ไม่มีเวลาเขียน ความจริงแล้วกระผมว่ามันอยู่ที่ใจรัก หากว่าเรารักในงานเขียนเราย่อมมีเวลาให้ แม้ว่างานจะมีมากมายแค่ไหน ลองถามใจตนเองว่าเรารักการเขียนมากน้อยแค่ไหน
ถ้าท่านต้องการเป็นนักเขียนที่ดี ท่านจำเป็นต้องเขียน เขียนและเขียน




...
  
พ.ญ.นลินี ไพบูลย์
สุกรี แมนชัยนิมิต
Positioning Magazine พฤศจิกายน 2550

?กิฟฟา รีน? ภายใต้การบริหารของ ?พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนวันนี้แบรนด์ ?กิฟฟารีน? สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass สร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตามอง ชื่อของ ?พ.ญ.นลินี? จึงกลายเป็นแบรนด์ของผู้หญิงเก่ง ที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอ

ชีวิตของ ผู้หญิงคนหนึ่งที่วันหนึ่งต้องหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ ?พ.ญ.นลินี ไพบูลย์? ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ตรงกันข้าม จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้นทำให้พลังของ ?พ.ญ นลินี? ล้นเหลือกว่าที่หลายคนคิด

เข้าถึงใจลูกค้า

?พ.ญนลินี? รู้ว่าคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป และผิวหนัง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ ?สุพรีเดอร์ม? เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ ?หมอนลินี? หรือ ?หมอต้อย? รู้ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของพ.ญ.นลินี จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

แม้ ในช่วงแรกจะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างอยู่บ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มถดถอยก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นการยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่เสียงความมุ่งมั่นของพ.ญ.นลินีดังกว่า

ทุกคนต้องการ ?ความสวยงาม? และ ?ความมั่นคง? ของชีวิต คือคำตอบที่เข้าถึงความรู้สึกคนทุกคนมากที่สุด จากจุดนี้จึงต่อยอดให้ ?กิฟฟารีน? แบรนด์ขายตรงที่ ?พ.ญ.นลินี? สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 ยืนได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยในปี 2540 พังครืนจากค่าเงินบาทลอยตัว และคนว่างงานกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงเป็นทางออกของบางคนในช่วงนั้น

หาจุดต่างแจ้งเกิด

ด้วย ความที่กิฟฟารีนเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ขณะที่มีสินค้าแบบเดียวกันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศทำตลาดอยู่มาก สนามที่พ.ญ.นลินีต้องลงแข่งขันจึงไม่ธรรมดา โจทย์ที่ต้องหาคำตอบ คือการหาจุดต่าง

การใช้จุดต่าง (Differentiation) ในการวาง Positioning ของสินค้า เป็นสูตรที่หลายๆ สินค้าและบริการนำมาใช้เสมอ ?กิฟฟารีน? ก็เช่นกันที่ต้องหาจุดต่าง และเนื่องจากเป็นธุรกิจขายตรง จุดต่างจึงต้องมีใน 2 ส่วน คือผลิตภัณฑ์ที่เสนอต่อลูกค้า และระบบบริหารเครือข่าย

พ.ญ.นลินีบอกว่า ?ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่น?

ส่วนความต่างที่ให้ กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนมาสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้ราย จ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย

สูตรบริหาร

หากถามถึงหลักการ ทำงานแล้ว พ.ญ.นลินีบอกว่ามี 2 หลักใหญ่ หลักการแรกคือความระมัดระวัง เมื่อมีข้อผิดพลาด ให้เร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด

?เมื่อ เราไม่ได้มีพื้นฐานทางธุรกิจมาก่อน เวลาทำก็ต้องบริหารจัดการงานด้วยความระมัดระวัง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเริ่มกิจการจากกิจการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ปัญหา ข้อผิดพลาด เรียกได้ว่าเติบโตจากการเรียนผิดเรียนถูก ข้อบกพร่อง Trial and Error และต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข หาสาเหตุให้เร็วที่สุด?

หลักการที่สองพ.ญ.นลินีใช้หลักจิตวิทยา ในการบริหารบุคลากร และเครือข่ายของกิฟฟารีน ด้วยหลักการคิดที่ว่าทำให้คนที่ทำงานด้วยมีความสุข เห็นใจซึ่งกันและกัน คิดถึงใจคนที่มาอยู่ด้วยกัน ให้เขาเติบโต และมีความเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ Centralize ที่ตัวเอง ต้องรู้ว่าคนทำงานกับเรา เขาต้องการอะไรและรับฟังความคิดเห็นของเขา

ส่วนจะมีบ้างหรือไม่สำ หรับพ.ญ.นลินีที่เกิดความรู้สึกท้อแท้ คำตอบโดยอัตโนมัติจากพ.ญ.นลินี คือไม่เคยท้อ ปัญหาที่เข้ามาถือเป็นความท้าทาย อุปสรรคที่เข้ามาต้องรีบคิดหาสาเหตุและแก้ไขให้ได้ ส่วนกำลังใจที่สำคัญคือมาจากครอบครัว และความที่ต้องรับผิดชอบต่อคนจำนวนมาก

สวยปิ๊งเสริมแบรนด์

เมื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ ความงามและสุขภาพ พ.ญ.นลินีบอกว่าการวาง Positioning ตัวเองเพื่อให้สะท้อนแบรนด์สินค้าเป็นสิ่งจำเป็น

?บุคลิกเราเป็นแบ รนด์เหมือนกัน ธุรกิจเราต่างจากธุรกิจค้าปลีก Consumer Product ทั่วไป เราต้องแสดงความเป็นธุรกิจขายตรง และเครือข่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราเป็นจะบ่งบอกถึงสินค้าของเรา เมื่อเราเป็นธุรกิจขายตรงให้ความจริงใจกับสมาชิกและลูกค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดกับใครต้องชัดเจน ตัวเองก็เป็นคน Clear อยู่แล้ว และที่สำคัญต้องใช้ Prodcut ของตัวเอง?

จึงเป็นภาพที่พบเห็นเสมอ สำหรับ ?พ.ญ.นลินี? เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนมักสวยปิ๊ง และเนี้ยบ แม้ชุดที่คุ้นตาที่สุดคือในชุดสูททำงานสุดเท่ แต่จริงๆ แล้วพ.ญ.นลินีบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบแต่งตัว บางครั้งก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เพียงแต่การแต่งกายในช่วงทำงาน หรือออกงานต่างๆ ก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ

ที่สำคัญคือ ไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดว่าต้องใส่ชุดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สำหรับชุดที่สวมใส่ประจำเช่น Flynow และ G2000 ซึ่งความลงตัวตลอดเวลานั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือเลือก และแต่งด้วยตัวเองของพ.ญ.นลินี โดยไม่จำเป็นต้องมีดีไซเนอร์มาช่วยจัดให้แต่อย่างใด

ส่งพลังลุยปี2008

ปี 2007 สำหรับกิฟฟารีนแล้วทั้งจากยอดขายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญพ.ญ.นลินีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของนักธุรกิจไทย จากทั้งหมด 15 คนทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 (Leading Women Enterpreneurs of the World 2007) ซึ่งพ.ญ.นลินีบอกว่าถือเป็นช่วงสำคัญของจังหวะชีวิตในปีนี้

จากจุด นี้ พ.ญ.นลินีบอกว่าผลงานในปี 2007 สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของธุรกิจกิฟฟารีน ในด้านความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นวัดจากผลประกอบการ เพราะรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลกซึ่งพิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจที่ทำ อยู่ด้วย ส่วนที่สอง มองว่าคนไทยเริ่มเข้าใจแบรนด์ และมองธุรกิจกิฟฟารีนเป็นมิตรมากขึ้น

ผลที่งอกงามสำหรับพ.ญ.นลินีใน ปี 2007 มาจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์สร้างให้ลูกค้า ยอมรับนับถือแบรนด์กิฟฟารีนให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากพ.ญ.นลินีจะบริหารธุรกิจด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นครีเอทีฟดูแลหนังโฆษณาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2006

แม้ ?กิฟฟารีน? จะไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกับแบรนด์ ?มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์? ของอังกฤษ ที่พ.ญ.นลินีเลือกเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมี Products ทุกอย่าง ลูกค้าที่เข้าไปซื้อของที่นี่จะซื้อด้วยความมั่นใจ เป็นแบรนด์ของคนทั่วโลก ที่น่าสนใจเพราะสามารถทำสำเร็จในการจับตลาด Mass ได้หมด

แต่การเข้าถึง Mass คือเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะปี 2008 ที่พ.ญ.นลินีวางแผนให้กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองตอบลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม B ถึง C+ และให้ผู้ที่มาร่วมธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือให้แบรนด์กิฟฟารีนแข็งแรง เป็นที่ประทับใจของลูกค้าจำนวนมากเหมือนกัน


Profile

แบรนด์ : กิฟฟารีน
ลักษณะธุรกิจ : ระบบธุรกิจขายตรง MLM (Multi Level Marketing)
รายได้ :
ปี 2549 - 3,400 ล้านบาท
ปี 2550 - คาด 3,900 ล้านบาท
รวม 11 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ สร้างยอดขายรวม 23,000 ล้านบาท
งบการตลาด : ปี 2550 มูลค่า 60-80 ล้านบาท


Name : แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์
Age : 48 ปี
Education :
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
แพทย์ศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวชวิทยา)
Career Highlights :
2538-ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด
ประธานกรรมการ โรงเรียนศิลปะศาสตร์การแต่งหน้า กิฟฟารีน ...
  
มารุต บุนนาค
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) มารุต บุนนาค อดีตประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ปัจจุบันวางมือทางการเมือง แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาของ พรรคประชาธิปัตย์




[แก้] ประวัติ
ศ. (พิเศษ) มารุต บุนนาค เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2467 เป็นบุตรของ พระสุทธิสารวินิจฉัย (มะลิ บุนนาค) กับนางสาวผ่องศรี เวภาระธิดาขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง เวภาระ) กับคุณหญิงทองคำ [1] จบการศึกษากฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2490 ในสมัยที่มหาวิทยาลัยยังใช้ชื่อว่า " มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง " และได้รับปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม , ปริญญาบัตรกิตติมศักดิ์ ว.ป.อ.วุฒิบัตรกิตติมศักดิ์ วิทยาลัยการทัพบก

ชีวิตส่วนตัว ศ. (พิเศษ) มารุต บุนนาค สมรสกับ คุณหญิงพันทิพา บุนนาค (สกุลเดิม "พันธุ์มณี") มีธิดาคือ นางมฤทุ บุนนาค มอริ เจ้าหน้าที่ระดับสูงใน องค์การสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมีบุตรคือ นายรุจิระ บุนนาค สำเร็จนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทยของำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา สำเร็จปริญญาโทกฎหมายระหว่างประเทศ 2 ปริญญา ที่มหาวิทยาลัยทูเรนและมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันดูแลสำนักงานต่างประเทศ




ตำแหน่งทางวิชาการ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2517 - พ.ศ. 2519 และปี พ.ศ. 2521 และปัจจุบัน เป็นประธานร้านธรรมศาสตร์กาชาดและเป็นอุปนายกสมาคมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นกรรมการของสมาคมมิตรภาพไทย-จีน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 - พ.ศ. 2526

[แก้] การเมือง
มีประสบการณ์ทำงานเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก่อน ก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเป็นสมาชิกวุฒิสภาในปี พ.ศ. 2518 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ต่อมาจึงได้เข้าสู่พรรคประชาธิปัตย์และลงเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร เขต 2 คือ เขตพญาไทและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2522 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2526 ศ. (พิเศษ) มารุต ได้ลงเลือกตั้งอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้ง และได้เป็น ส.ส. ในเขตกรุงเทพมหานคร นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สมัย พ.อ. (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ เป็นหัวหน้าพรรค แม้จะไม่ได้รับเลือกตั้งก็ตาม และดำรงตำแหน่งมากมาย ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2524 - พ.ศ. 2526 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2526 – พ.ศ. 2529 และ พ.ศ. 2532 - พ.ศ. 2533 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2529 – พ.ศ. 2531 ประธานรัฐสภา ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2535 - พ.ศ. 2538 และทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว ในการคัดเลือกประธานสภา หลังการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2548 จากฐานะเป็น ส.ส.ที่อาวุโสที่สุดของสภา




ปัจจุบัน ประกาศวางมือจากการเมืองแล้วเมื่อกลางปี พ.ศ. 2549 มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของพรรคประชาธิปัตย์ ศ. (พิเศษ) มารุต บุนนาค มีสำนักงานทนายความของตนเอง ชื่อ สำนักงานทนายความมารุต – รุจิระ




...
  

ชุดที่ 1
...
  
นักเขียนซีไรท์
รวมประวัตินักเขียนซีไรท์

รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่ารางวัลซีไรท์
(S.E.A.WRITE AWARD) เจ้าของกิจการและฝ่ายจัดการ
ของโรงแรมโอเรียนเต็ลเป็นผู้ริเริ่มและจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2522

พ.ศ. 2522 นวนิยาย ลูกอีสาน คำพูน บุญทวี
พ.ศ. 2523 กวีนิพนธ์ เพียงความเคลื่อนไหว เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
พ.ศ. 2524 เรื่องสั้น ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง อัศศิริ ธรรมโชติ
พ.ศ. 2525 นวนิยาย คำพิพากษา ชาติ กอบจิตติ
พ.ศ. 2526 กวีนิพนธ์ นาฎกรรมบนลานกว้าง คมทวน คันธนู
พ.ศ. 2527 เรื่องสั้น ซอยเดียวกัน วาณิช จรุงกิจอนันต์
พ.ศ. 2528 นวนิยาย ปูนปิดทอง กฤษณา อโศกสิน
พ.ศ. 2529 กวีนิพนธ์ ปณิธานกวี อังคาร กัลยาณพงศ์
พ.ศ. 2530 เรื่องสั้น ก่อกองทราย ไพฑูรย์ ธัญญา
พ.ศ. 2531 นวนิยาย ตลิ่งสูง ซูงหนัก นิคม รายวา
พ.ศ. 2532 กวีนิพนธ์ ใบไม้ที่หายไป จิระนันท์ พิตรปรีชา
พ.ศ. 2533 เรื่องสั้น อัญมณีแห่งชีวิต อัญชัน
พ.ศ. 2534 นวนิยาย เจ้าจันทร์ผมหอมฯ มาลา คำจันทร์
พ.ศ. 2535 กวีนิพนธ์ มือนั้นสีขาว ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ
พ.ศ. 2536 เรื่องสั้น ครอบครัวกลางถนน ศิลา โคมฉาย
พ.ศ. 2537 นวนิยาย เวลา ชาติ กอบจิตติ
พ.ศ. 2538 กวีนิพนธ์ ม้าก้านกล้วย ไพวรินทร์ ขาวงาม
พ.ศ. 2539 เรื่องสั้น แผ่นดินอื่น กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
พ.ศ. 2540 นวนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน วินทร์ เลียววาริณ
พ.ศ. 2541 กวีนิพนธ์ ในเวลา แรคำ ประโดยคำ
พ.ศ. 2542 เรื่องสั้น สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน วินทร์ เลียววาริณ
พ.ศ. 2543 นวนิยาย อมตะ วิมล ไทรนิ่มนวล
พ.ศ. 2544 กวีนิพนธ์ บ้านเก่า โชคชัย บัณฑิต
พ.ศ. 2545 เรื่องสั้น ความน่าจะเป็น ปราบดา หยุ่น
พ.ศ. 2546 นวนิยาย ช่างสำราญ เดือนวาด พิมวนา
พ.ศ. 2547 กวีนิพนธ์ แม่น้ำรำลึก เรวัตร์ พันธู์พิพัฒน์

ข้อมูล : ห้องสมุดกลางโรงเรียนลำปางกัลยาณี ...
  
เส้นทางนักเขียน
เส้นทางนักเขียน
ถ้าไม่ได้เป็นนักอ่าน อย่าริเป็นนักเขียน แค่หน้าปกหนังสือก็บอกคุณสมบัติของการเป็นนักเขียนที่ดี จะต้องเป็นนักอ่านนั้นเอง (เขียนโดย ชัยนันท์ ) ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.