หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
คิดทำอย่างเศรษฐี
คิดทำอย่างเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่จะเป็นเศรษฐี มักมีบุคลิก ลักษณะ ทัศนคติ นิสัยใจคอ ส่วนใหญ่ที่คล้ายคลึงกัน เช่น หากผมชี้ไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแล้ว ถามพวกเราว่าคนกลุ่มดังกล่าวใครเป็นคนมีฐานะดีร่ำรวย ผมเชื่อแน่ว่าหลายๆคนอาจชี้เหมือนกัน กล่าวคือ ดูจากบุคลิก ท่าทาง การพูดจา เรียกว่าคนๆนั้นเป็นคนมี “ ราศีจับ ” นั้นเอง
ดังนั้น การจะเป็นเศรษฐีท่านจำเป็นจะต้องเรียนรู้และสังเกตว่า บรรดาคนมีฐานะดี ร่ำรวยและเป็นเศรษฐีเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งอาจพูดรวมได้ว่าเศรษฐีส่วนใหญ่มีหลักการสำคัญที่เหมือนกันดังนี้
1.มีความคิดว่าตนเองมีสิทธิเป็นเศรษฐีหรือร่ำรวยได้ วิธีการสร้างความคิด ความฝัน ที่ดีวิธีหนึ่งก็คือ หมั่นจินตนาการว่า ตนนอนหลับในบ้านหลังใหญ่ที่สวยหรู จินตนาการว่าตนขับรถคันใหญ่ราคาแพง มีคนใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ ถ้าหากท่านจินตนาการบ่อยๆ ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้งหลายๆนาที ก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของท่านรับรู้ความรู้สึกนั้นมากขึ้น ถ้าจะให้ดีท่านควรตัดภาพรูปรถ รูปบ้านที่ตนเองต้องการ ติดไว้ในห้องทำงาน ห้องนอน แล้วมองมันทุกวัน หลักการนี้เป็นหลักการที่บริษัทฝึกอบรมเกี่ยวกับการขายใช้ในการอบรมนักขาย
2.เขียนเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จงเขียนเป้าหมายที่ท่านต้องการเป็นโดยเขียนเป็นลายลักษณะอักษรโดยแบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะกลางและเป้าหมายระยะยาว เพราะหากไม่มีเป้าหมายก็ไม่มีทิศทาง พวกเราคงเห็นเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล เมื่อถูกคลื่นซัดไปทางใดก็มันจะเคลื่อนไปทางนั้น แต่หากเรากำหนดทิศทางหรือมีเป้าหมาย เรือลำนั้นถึงแม้จะเจอคลื่นลม ก็สามารถฝ่าฟันคลื่นลมไปยังฝั่งเป้าหมายได้ ฉะนั้นควรกำหนดเป้าหมายว่าปีหน้าเราจะสร้างรายได้เท่าไร แล้วจงเขียนมันขึ้นมา
3.หาวิธีการ เมื่อมีจินตนาการ เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ควรหาวิธีการในการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เช่น ปีหน้าเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะมีรายได้ 1 ล้านบาท เราจะทำอย่างไร เช่น เราจะเขียนหนังสือขาย เราจะขายประกันชีวิต เราจะทำธุรกิจเครือข่าย ทำจะประกอบธุรกิจ ฯลฯ เพื่อที่จะหาเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
4.ลงมือทำทันที เมื่อมีจิตนาการ เมื่อมีเป้าหมาย เมื่อมีวิธีการแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ การลงมือทำทันที บางคนมีจินตนาการสูง บางคนมีเป้าหมายชัดเจน บางคนมีวิธีการที่สวยหรู แต่ขาดการลงมือทำทันที สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่บังเกิดผล จงเริ่มต้นลงมือทำ
สำหรับแนวความคิด การกระทำ การดำเนินชีวิต คนที่ต้องการสร้างฐานะหรือเป็นเศรษฐีควรทำเป็นประจำก็คือ
- การพูดให้กำลังใจตนเองเป็นประจำ หากทำได้ควรทำทุกๆวัน ทุกๆตอนเช้า เช่นพูดชมเชยตนเอง พูดว่าฉัน
เป็นคนเก่งที่สุด พูดออกมาดังๆว่า ฉันเยี่ยมที่สุด เป็นต้น การพูดชมเชย การพูดให้กำลังใจตนเองบ่อยๆ และในยามเช้าๆ จะทำให้เราทำงานด้วยความเบิกบานและมีความสุขเนื่องจากอารมณ์ดีสดชื่นแจ่มใส
- มองงานที่ทำให้มีความสนุก หากทำงานที่เราไม่ชอบ งานนั้นอาจสร้างความทุกข์ให้แก่เรา แต่หากเราได้
ทำงานที่เราชอบ งานนั้นจะเป็นงานที่สร้างความสุข ความสนุกให้แก่ตัวเราเอง จงปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงาน จงปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้รวดเร็วขึ้น เช่น หากเรากำลังติดแสตมป์บนซองจดหมายซึ่งมีจำนวนมากเป็นพันซอง เราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะติดให้รวดเร็วขึ้น เป็นต้น
- จงทำงานให้เกินเงินเดือน การทำงานให้เกินเงินเดือน มักจะทำให้เราเกิดประสบการณ์ในการทำงาน การ
ทำงานเกินเงินเดือน จะทำให้เราเรียนรู้ระบบการทำงานได้ดีขึ้น ทำให้เจ้าของกิจการชื่นชอบ และในอนาคตหากต้องการออกไปประกอบอาชีพเองหรือเป็นเจ้าของกิจการเองก็สามารถนำประสบการณ์ไปใช้ได้
- มีแนวคิดการใช้เงินหรือระบบทำงานแทน เช่น มีแนวคิดจะลงทุนในหุ้น ลงทุนในที่ดิน ลงทุนในระบบธุรกิจ
เครือข่าย เป็นต้น คนที่จะเป็นเศรษฐี ส่วนใหญ่มักมีแนวความคิดที่จะใช้เงินลงทุน กล่าวคือ ใช้เงินต่อเงิน หรือใช้เงินไปหาเงินให้มีเพิ่มมากขึ้น
ฉะนั้น หากต้องการเป็นคนร่ำรวย มีฐานะดี เป็นเศรษฐี ท่านควรหาต้นแบบ ท่านควรศึกษา แนวคิดของบรรดาเศรษฐี ว่าเขาลงทุนอะไร เขามีวิธีการลงทุนอย่างไร ถึงได้เกิดความร่ำรวยขึ้น เมื่อศึกษาจากคนต้นแบบแล้วจงเริ่มลงมือทำตามบุคคลต้นแบบ ท่านก็จะเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่จะประสบความสำเร็จในการเป็นเศรษฐี

...
  
ความผิดฐาน หมิ่นประมาท
ความผิดฐาน หมิ่นประมาท
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากพูดถึง เรื่องความผิดฐาน หมิ่นประมาท แล้ว อาชีพที่ดูเหมือนจะต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับกฏหมายหมิ่นประมาท ส่วนมากจะเป็นผู้ที่ใช้ ปาก หรือ ปากกา หรือ อาชีพที่ใช้คำพูดและการเขียน เช่น นักการมือง , นักหนังสือพิมพ์ , สื่อมวลชน , บุคคลที่มีชื่อเสียง ฯลฯ
สำหรับการดำเนินคดี ผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีได้ 2 วิธี คือ
1.ผู้เสียหายสามารถ แจ้งความ “ร้องทุกข์” ต่อเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวน แล้ว เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวน ก็จะส่งเรื่องไปที่พนักงานอัยการ แล้วพนักงานอัยการ ก็จะเป็น “ โจทก์” ฟ้องคดีต่อศาลให้แก่ท่าน ซึ่งการดำเนินคดีวิธีนี้ อาจมีความล่าช้า เนื่องจากพนักงานสอบสวน และ พนักงานอัยการ อาจมีงานมาก อีกทั้ง บางคดี เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนและอัยการมีความเห็นไม่ตรงกันหรือแตกต่างกัน เช่น หลักฐานยังมีไม่มากพอ , การพูดหรือการเขียนยังขาดเจตนา , การตีความต่างกันว่าผู้ต้องหาผิดหรือไม่ผิด ฯลฯ ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการฟ้องร้องคดีให้แก่ท่านได้ หรือ ท่านต้องการให้ฟ้องร้องหลายคดี หลายมาตรา แต่พนักงานอัยการ พิจารณาฟ้องเฉพาะบางข้อหา บางคดี หรือบางกระทง ไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาล ตามที่ท่านต้องการให้ฟ้องได้
2.ผู้เสียหายสามารถว่าจ้างทนายความฟ้องคดีต่อศาลเองได้ สำหรับผู้ที่มีเงิน มีฐานะ มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่จะเลือกวิธีนี้ เพราะผู้เสียหาย สามารถให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลได้ทุกข้อหา ทุกมาตรา ทุกกระทง ทนายความอาจยื่นฟ้องต่อศาลพร้อมๆกัน หลายคดี หลายท้องที่ หลายศาล ที่เกิดความผิดฐาน หมิ่นประมาท
โดยปกติคดีหมิ่นประมาท เป็นคดีที่ไม่ใหญ่โตมาก ไม่เหมือนคดีอาญาประเภท ยาเสพติดให้โทษ ฆ่ากันตาย แต่เป็นคดีที่ผู้เสียหายต้องการที่จะ “รักษาชื่อเสียง เกียรติยศ หน้าตา” ของตนเอง โดยเฉพาะ นักการเมือง ดารา สื่อมวลชน
ฉะนั้น ก่อนจะที่พูดหรือเขียนอะไรลงไป พึงมีสติ ว่าคำพูดนั้น จะก่อความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือไม่ และมีอีกหลายกรณี ที่ผู้พูดหรือผู้เขียน มีสติ จงใจ พูดหรือเขียน เนื่องจากความโกรธเคืองกัน การอาฆาตพยาบาท ซึ่งในการพุทธศาสนา สอนไว้ว่าควรให้ อภัยด้วยการแผ่เมตตา เพื่อลดโทสะ ไม่ให้พยาบาทต่อกัน
ซึ่งกฏหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกับการหมิ่นประมาทมีดังนี้
1.หมิ่นประมาททั่วไป(ม.326)
2.ดูหมิ่น(ม.393)
3.หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ(ม.112,ม.133,ม.134)
4.ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน(ม.136)
5.ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษา(ม.198)
6.ละเมิคอำนาจศาล(ป.วิแพ่ง ม.30-33)
7.หมิ่นประมาทผู้ตาย(ม.327)
8.หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา(ม.328)
9.ข้อยกเว้นไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท(ม.329,ม.330)
10.ข้อยกเว้นไม่เป็นความผิดในการดำเนินคดีในศาล(ม.331)
11.เอกสิทธิ์เด็ดขาดและไม่เด็ดขาด(รัฐธรรมนูญ มาตรา 130,มาตรา 135)
ดังนั้น บุคคลที่ใช้ ปากหรือปากกา บุคคลที่ใช้ คำพูดหรือข้อเขียน ในการประกอบอาชีพ ควรที่จะศึกษากฏหมายหมิ่นประมาท โดยเฉพาะ อาชีพนักการเมืองซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ปากหรือคำพูด เพื่อใช้ในการปราศัย หาเสียงเลือกตั้ง หากเราลองสังเกตดู จากเวทีหาเสียงหรือเวทีการพูดทางการเมือง บางคนด่าคนอื่นจนสาดเสียเทเสีย ผู้ฟังสะใจ แต่ไม่เข้าข่ายความผิดหมิ่นประมาท แต่บางคน พูดธรรมดาๆ แต่กลับโดนข้อหาหมิ่นประมาท
เช่นกัน นักหนังสือพิมพ์ บางคน เขียนข้อความด่าผู้อื่น แต่ไม่เข้าข่ายความผิดหมิ่นประมาท แต่นักหนังสือพิมพ์อีกคน ให้ข้อมูลพื้นๆ ทั่วๆไป แต่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท
ฉะนั้น นักการเมือง จึงต้องมีศิลปะในการพูด เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าคุก นักหนังสือพิมพ์ก็เช่นกัน ควรมีศิลปะในการเขียน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าตะราง และที่สำคัญควรที่จะศึกษา กฏหมาย ความผิดฐาน หมิ่นประมาท เอาไว้ด้วย


...
  
นักพูดผู้ยิ่งใหญ่
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ก้อนหินหลายๆก้อนยังรวมกันเป็นภูเขา
น้ำหลายๆหยดยังรวมกันเป็นทะเล
นักพูดที่ฝึกฝนโดยไม่หยุดย่อมสร้างตำนาน

การจะเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่หรือนักพูดที่เป็นตำนานได้นั้น คน ๆ นั้นจะต้องมีหลักการบางอย่างถึงจะไปถึงความฝันนั้นได้ หลักการดังกล่าวนั้นคือ

1.ต้องมีเป้าหมาย ถ้าท่านอยากจะเป็นนักพูดระดับไหนท่านต้องเขียนเป้าหมายนั้นเป็นตัวหนังสือไว้ เพื่อเตือนตัวเองตลอดเวลา เช่น ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านก็ต้องเขียนไว้ในหนังสือ หรือ ต้องการเป็นแค่นักพูดระดับจังหวัด ท่านก็ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือเพื่อเป็นการเตือนตัวเตือนใจ

2.ต้องฝันหรือต้องจริงจัง กับเป้าหมายที่เราต้องการตลอดเวลา ถ้าเราจริงจังกับเป้าหมายหรือความฝัน เราก็จะมีการปรับปรุง พัฒนาตัวเอง เตรียมตัวเตรียมการพูดตลอดเวลา เพื่อที่จะเข้าสู่เป้าหมายนั้นๆ ถ้าท่านมีความจริงจังในเป้าหมายว่าท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ หากท่านฝันเช่นนั้นจริงท่านจะต้อง ปรับปรุงพัฒนาตนเองให้มากกว่าการเป็นนักพูดระดับจังหวัดหรือนักพูดระดับท้องถิ่น

3.วางแผน ถ้าสมมุติว่าเป้าหมายของท่านต้องการเป็นนักพูดระดับชาติ ท่านจำเป็นจะต้องมีการวางแผน เพื่อให้เข้าถึงเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ท่านจะต้องทำอะไร เมื่อไร อย่างไร กำหนด วัน เวลา ปี ที่จะเดินไปสู่เป้าหมาย ต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งแผนสำรองไว้ด้วย

4. ต้องมีกลยุทธ์ หากท่านต้องการประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงและรวดเร็วกว่าแผนที่วางไว้ ท่านจำเป็นจะต้องมีกลยุทธ์เพื่อให้เข้าไปถึงแผนที่วางไว้ ท่านอาจต้องสร้างหรือใช้เครื่องมือช่วย ได้แก่ การหาสื่อต่างๆ ( การเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ แล้วนำบทความ นั้นมารวมเล่มเป็นหนังสือ , การจัดรายการวิทยุเพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น , การออกรายการทางโทรทัศน์เพื่อให้คนรู้จัก และ การใช้อินเตอร์เน็ต ฯลฯ) เราจำเป็นจะต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

5.พยายามร่วมกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น การเข้าชมรม สโมสร สมาคมที่เกี่ยวข้องกับการเป็นนักพูด เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือกัน หรือได้คำแนะนำที่ดี ๆ และสามารถเป็นกำลังใจให้แก่เราเวลาเราท้อแท้ใจเมื่อการพูดของเราประสบความล้มเหลว หรือเข้ารับการอบรมทางการพูดเพื่อให้ทราบเทคนิคใหม่ๆ

6.หาแบบอย่างมากๆ ถ้าท่านต้องการเป็นนักพูดที่ยิ่งใหญ่ ท่านต้องหาแบบอย่างมากๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ มีความสะดวกสบายกว่าสมัยก่อน เนื่องจากเรามีเครื่องมือต่างๆมากมาย( เครื่องถ่ายวีดีโอ เครื่องบันทึกเทป เครื่องMP 3 ) บันทึกการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบทุกครั้งเมื่อไปฟังเขาพูด หรือหากใครไม่มีโอกาสตามไปฟังนักพูดที่ตนชื่นชอบ เราก็สามารถซื้อ VCD , DVD นักพูดระดับชาติมาดูได้ เช่น ทอล์คโชว์ต่างๆ (จตุพล ชมพูนิช , โน๊ต อุดม และอีกหลายท่าน)หากท่านต้องการเป็นนักพูดประเภททอล์คโชว์ แต่หากท่านต้องการเป็นนักพูดทางการเมือง ท่านสามารถ สะสม เทป VCD,DVD ของนักการเมืองต่างๆ เช่น คุณสมัคร ,คุณเฉลิม , คุณชวน , คุณอภิสิทธิ์ หรือ นักพูดในแบบที่ท่านชื่นชอบ เพื่อเอาไว้ชมเอาไว้ศึกษาถึงลีลา น้ำเสียง ท่าทางในการพูดของนักพูดท่านนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง

7.ต้องมีการตรวจสอบ ควบคุม แผนการหรือเป้าหมายของเราตลอดเวลา ต้องทบทวนแผนการ ทบทวนเป้าหมายว่าสิ่งที่เราทำนั้น มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เราวางไว้หรือไม่

การพูดโดยไม่คิด การพูดนั้นจะไม่ได้อะไร
การค้นคิดแต่ไม่ได้นำมาพูด การค้นคิดนั้นจะเปล่าประโยชน์



















...
  
ศุภกิจ รุ่งโรจน์'
ผมเป็นคนแรกที่ทำสัมมนาเชิงปลุกใจ ไม่ใช่ทอล์ค ไม่ใช่พรีเซ็นเทชั่นธรรมดาๆ ทำแล้วคนตกใจเลย"

ศุภกิจ รุ่งโรจน์' ซีอีโอพิซซ่าทูเดย์ พิซซ่าลอยฟ้า ที่ขณะนี้ได้กลายเป็นนักพูดค่าตัวหลักแสนกล่าว

เขาคนนี้เป็นเชฟ เป็นเจ้าของกิจการ เป็นนักสร้างพลังทั้งกายและใจ นักเขียนคอลัมน์
เป็นวิทยากรรายการอาหารทางทีวี รายการวิทยุ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเขาบอกว่า แล้วแต่จังหวะ

แต่ตอนนี้เขาสนุกกับบทบาทการปลุกใจ

โดยเลือกจับทอล์คโชว์ที่มีเนื้อหาปลุกพลังใจทำให้คนฟังฮึกเหิม สามารถดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา
ในบรรยากาศที่มีแสง สี เสียง ลีลา การแสดงต่างๆ ที่เร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นละคร คอนเสิร์ต

ศุภกิจบอกว่า การที่คนเราจะทำอะไร บรรลุความสำเร็จได้ ต้องเริ่มจาก "ภายใน" คือ
เชื่อมั่นภายในใจว่า "เราทำได้" และคนเราสร้างอะไรต่อมิอะไรได้ก็เพราะมีความคิด มีจินตนาการ
มีพลัง มีวิชั่น

และพลังแห่งความเชื่อมั่น พลังใจนี้ทุกๆคนสามารถฝึกได้

"ให้คิดว่าทุกอย่างเราสามารถทำได้ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ให้สมองกับใจมาบวกกัน
แล้วเราก็สามารถทำได้"

การปลุกใจคนให้อดทนและต่อสู้ ให้กลยุทธ์ คำแนะนำที่ดี ปลุกเร้าใจ สอนให้วางแผนชีวิต พิชิตความกลัว
เปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้ความรู้การตลาด การทำธุรกิจ การสร้างทีมงาน ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับศุภกิจคนนี้

เพราะโดยตัวของเขาเองก็บุกเบิกธุรกิจด้วยสองมือเปล่าอยู่แล้ว ใช้เวลามา 13 ปีเพื่อยืนอยู่ ณ จุดนี้

เริ่มต้นด้วยการเป็นเชฟหลังจากบินจากอเมริกามาไทย บุกเบิกธุรกิจพิซซ่าลอยฟ้าเจ้าแรก
เจออุปสรรคนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นธุรกิจพิซซ่าทูเดย์ที่มียอดขาย 120 ล้านบาทต่อปี
แถมเตรียมเปิดธุรกิจเบเกอรี่ที่ลงทุนไปแล้วราว 40 ล้านบาท
มีคุณสมบัติครบถ้วนของความเป็นผู้ประกอบการไม่ว่า ดังที่เขาชอบพูดว่า ศุภกิจ คือ ความอึด อดทน
กระตือรือร้น กัดไม่ปล่อย ไม่ถอยต่ออุปสรรค เพราะอยากรวยให้เร็วกว่าชาวบ้าน

"อยากเป็นเหมือนบิล เกตส์ ไม่อยากมีเงินตอน 60 -80 ปี เพราะตอนนั้นมีเงินก็ต้องเอาเงินไปให้หมอ
ต้องเป็นเศรษฐีตอนอายุ 46-47"

ตอนนี้เขาอายุ 46 ปีแล้ว ทรัพย์สินจะใกล้เคียงมหาเศรษฐีขนาดไหน เขาบอกว่า รู้แล้วจะหนาว

การผันตัวเองมาเป็นนักพูดของศุภกิจเริ่มต้นในตอนที่เศรษฐกิจประเทศไทยตกต่ำ
แต่ธุรกิจพิซซ่าลอยฟ้าของเขากลับเป็น "ขาขึ้น" จึงได้รับเชิญไปพูดตามสถาบันต่างๆ เช่น
สถาบันเอสเอ็มอี จุฬาฯ ได้ออกทีวี วิทยุ ให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ พูดเรื่องการประสบความสำเร็จของตนเอง

คนก็ get เพราะให้ไอเดีย กำลังใจ รับเชิญไปพูดเยอะมาก แต่ราวปี 2002 เริ่มเซ็ง บอกแฟนว่าไม่อยากพูดแล้ว
เพราะมันไม่สนุก

แฟนบอกคุณกำลังช่วยสังคมนะ พอดีตอนนั้นมีนักพูด แอนโทนี ร็อบบินส์ มาพูดที่สิงคโปร์
ผมได้ยินชื่อเสียงของแอนโทนีตั้งแต่อยู่ที่สหรัฐ เลยคิดว่าทำไมเราไม่ไปหาทักษะเพิ่ม
เลยขอนุมัติจากภรรยา"

แอนโทนี ร็อบบินส์ คือนักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลกชาวอเมริกัน
โดยเขาเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจส่วนตัวให้แก่บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย เช่น อังเดร อากัสซี, บิล
คลินตัน ซึ่งศุภกิจบอกว่า ค่าตัวของนักพูดรายนี้ตอนที่เป็นที่ปรึกษาให้กับคลินตันอยู่ที่ 1 ล้านยูเอส

แต่การขออนุญาตที่บ้านครั้งแรกไม่สำเร็จ เพราะเธอเห็นว่า แพงเกินไป

ตั๋วปกติ 1 แสนบาทแต่ผมอยากนั่งสองแสนบาท เพราะต้องการเห็นเขาให้ชัดที่สุด ไหนๆได้ไปแล้วก็ไปแบบสุดๆ
คือต้องนั่งชิดขอบเวที เพื่อจะได้ชมอย่างเต็มตา และได้ยินเต็มหู

ที่สำคัญเขามองว่าเป็นการลงทุน และเชื่อว่าต้องได้รับผลจากการลงทุน จึงต้องใกล้ชิดและชัดเจนที่สุด

ดังนั้นเมื่อครั้งแรกพลาดไป ปีถัดมาศุภกิจเริ่มโน้มน้าวใจ คนที่บ้าน ใหม่ เอ่ยชื่อแอนโทนี ร็อบบินส์
ทุกวัน เปิดโฆษณาทางโทรทัศน์ดังๆ

ทำทุกวิถีทางแบบที่เขาเรียกว่า ตอด ไปเรื่อยๆ ในที่สุดความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล

ใช้เทคนิคโน้มน้าวแฟนอยู่ 3 เดือนล้างสมองเขา ในที่สุดเขาก็ยอมให้ไปฟัง
แต่ก็บอกว่าที่ผมทำอยู่นั้นสุดยอดแล้ว

ผู้ฟังแอนโทนี ร็อบบินส์ครั้งนั้นมีราว 3-5 พันคน 60% เป็นชาวสิงคโปร์ 20% เป็นชาวมาเลเซีย
ส่วนคนไทยไม่ถึง 1% ไปกันแค่ 100 คน

"เราบอกว่า เราอยากเจริญ แต่ไม่ชอบไปไหนเพราะภาษาเป็นอุปสรรค เพราะกลัวสิ่งใหม่ๆ แถมบอกว่าแพง
แต่ผมมองเป็นการลงทุน เพราะมันได้กลับมา

การพูดปีที่แล้วได้ 10 ล้าน ปีนี้เดือนละ 1 ล้าน เริ่มฮิต พูดทั่วประเทศกรุงเทพฯ เพชรบุรี ปากช่อง
นครนายก คนไทยเริ่มเปิดรับเรื่องอย่างนี้ เพราะการแข่งขันมันสูงขึ้น?

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ศุภกิจบอกว่าภายในเวลาครึ่งชั่วโมงที่ฟังแอนโทนี ร็อบบินส์พูด
เขาคิดโครงการสัมมนาของตัวเองขึ้นมาได้ในชื่อโครงการ "The Power of Change
พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง" พร้อมกับบอกตัวเองว่า

?ผมจะเป็นนักพูด และจะเป็นนักพูดสไตล์สร้างแรงบันดาลใจแบบนี้
ผมจะทำสิ่งเดียวกันนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

ศุภกิจหาวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพการเป็นนักพูดของตนเองให้โดดเด่น อ่านหนังสือ ฟังเทป ฝึกพัฒนาตัวเองทุกวัน
พร้อมกับคิดค้นวิธีการนำเสนอให้สนุกสนาน เร้าใจ จนนำมาสู่การสัมมนารูปแบบใหม่

"สมัยก่อนการสัมมนามีอาจารย์มาบรรยาย ผูกเนคไท มีโต๊ะ มีดอกไม้ อาจารย์พูดจากแผ่นใส คนหลับ
ของศุภกิจน่ะคนตื่นตัว ร่วมกิจกรรมทุกอย่างที่เรามี

แล้วมีผลการศึกษาจาก เยล บอกไว้ว่ามนุษย์จะจำคำพูดได้เพียง 7% เท่านั้น 38% จะจำเสียงได้ อีก 55%
จำบุคลิกภาพได้

ผมก็เอาความสามารถของผมออกมาทำงาน ทำธุรกิจปลุกใจ

จัด The Power of Change ครั้งแรกมีผู้ฟัง 40 คน จากนั้นก็บอกต่อๆ กัน จำนวนคนฟังเริ่มขยายเป็น 350 คน
350 คนบอกต่อเป็น 1,750 คน

ล่าสุด 19 - 20 มิ.ย.นี้เขาจะจัดงาน The Power of Change 4 : The Fire Within ขึ้นที่ศูนย์กีฬา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต มียอดผู้จองบัตรแล้ว 3 พันคน จากจำนวน 4 พันที่นั่ง เหลืออีก 1 พันที่นั่ง
เขาบอกว่า "ไม่ใช่เรื่องยาก" ทั้งที่อัตราค่าตั๋วสูงราว 2,000 บาท

?ผมจะดึงจากประสบการณ์ และพูดจากใจ

ลักษณะของเราให้เขามีความรู้ ดึงพลังที่ซ่อนเร้นออกมา คนไทยไม่กล้าปลดปล่อย กลัวนั่นกลัวนี่

ต้องให้คนนำศักยภาพออกมา ถ้าคุณกล้าปลดปล่อย คุณจะสามารถทำอะไรก็ได้"

"นี่งานของปูน" (เขาชี้ให้ดูภาพ) ?95% เป็นระดับผู้บริหาร แต่มาเล่นกันสนุกสนาน
ทำไมจะต้องเครียด

ศุภกิจมีเวิร์คช็อปอันหนึ่งซึ่งเป็นกุศโลบายให้ทุกคน "กล้าแสดงออก"
โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร

ด้วยการให้แต่ละคนจับคู่กันและผลัดกันทำหน้าตาที่น่าเกลียดที่สุด

ถ้าใครที่ผ่านขั้นนี้ไปได้ เขาบอกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ในโลกนี้

ที่น่าสนใจ คือ เขาจะชี้แนะถึงการเอาพลังที่ซ่อนเร้นมาใช้ โดยการสั่งจิตใต้สำนึก ซึ่งเขาบอกว่า
ในความเป็นจริงจิตใต้สำนึกยังไม่รู้หรอกว่า จะทำได้หรือไม่ แต่เมื่อพูดซ้ำๆ ว่า "คุณทำได้"
ในที่สุดจิตใต้สำนึกก็จะบอกว่า คุณทำได้ และจะช่วยคุณค้นหาต่อไปว่าทำได้อย่างไร

"อย่างผมเริ่มธุรกิจด้วยเงิน 2,500 บาท ล้มลุกคลุกคลานแต่ทุกๆ วันผมจะพูดกับตัวเองซ้ำๆ ว่า Yes I
can, Yes I can, Yes I can แปลว่า ฉันทำได้ ฉันทำได้ ฉันทำได้"

ในที่สุดเขาก็ทำได้ ถึงทุกวันนี้เขายังฝึกใช้ความคิด และจิตใต้สำนึกอยู่ตลอด
ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในการทำงาน

เขาบอกว่าถ้าอยากจะทำอะไรให้ติดเป็นนิสัยลองทำติดต่อกัน 21 วัน เพราะจิตใต้สำนึกจะยอมรับการกระทำนั้น

อีกวิธีการ คือ การรู้จักให้กำลังใจกับตัวเองต่อความสำเร็จไม่ว่าจะเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน ซึ่งเขาบอกว่า
เมื่อเราเห็นความสำเร็จทุกวัน ก็จะมีความสุขทุกวัน

โดยการพูดคำว่า "Yes" บอกกับตัวเองว่า "ฉันทำได้" หรือพูดคำว่า "เยี่ยม"
กับตัวเอง

"เมื่อมีความสุขกับสิ่งที่ทำ จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
ขณะที่ความเครียดจะไม่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แต่อย่างใด"

รวมถึงการปลุกเร้าความอึด อดทน มุมานะ พยายาม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเป็น "ผู้ประกอบการ"
เพราะการทำธุรกิจนอกจากจะต้องเผชิญกับ "ความเสี่ยง" แล้ว แม้เมื่อธุรกิจโตประสบความสำเร็จแล้ว
ก็ต้องคิดค้นพัฒนาตนเองไม่หยุดหย่อน

"พวกเราอยากรวย แต่ไม่ยอมจ่ายหรือเปล่า จ่ายในที่นี้ไม่เกี่ยวกับเงิน
แต่อยากให้นึกถึงตอนที่ฟันจะขึ้น มันเจ็บ แต่ no pain no gain ไม่มีความเจ็บปวด ย่อมไม่มีความสำเร็จ

เพราะฉะนั้นคุณต้องรู้จักเปลี่ยนมุมมอง ความคิด อย่าผิดหวัง อย่าท้อ อย่าพูดคำว่าเซ็ง
มองข้ามปัญหาและอุปสรรคไปให้ได้ อย่าให้อุปสรรคเป็นตัวเหนี่ยวรั้งให้เราหยุด

อย่างบิล เกตส์ ระหว่างทางที่พัฒนา เขาเหนื่อย เขาเจ็บปวด มีคนด่าว่าสารพัด แต่เขาพร้อมรับ
เพราะเขาต้องการเป็นหนึ่งให้ได้อย่างไรล่ะครับ" ศุภกิจเล่าไว้ในหนังสือของเขา
"พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง"

ศุภกิจบอกว่า การกระตุ้นผ่านการพูดของเขาส่งผลเกินคาด

สมมติเขาเดินกันเข้ามา 8 โมงเช้ากับตอนเดินออกเป็นคนละคนเลย

มันเห็นผลทันตา ใช้ได้ทันที 99.99% ใช้ได้ทันที? ศุภกิจยืนยัน

อย่างเช่นลูกค้ารายหนึ่งโทรมาบอกว่า หลังจากพนักงานเข้าฟัง ยอดขายของบริษัทเพิ่ม 100 ล้านบาทใน 1 เดือน


สมมติยอดขาย 1 พันล้านบาท เชิญผมไปพูด 1 แสนบาท ถือเป็นค่าใช้จ่าย .006%

แต่เชิญผมไปพูดยอดขายเพิ่มเป็น 2 พันล้านเท่ากับต้นทุนแค่ .002% นี่คือการลงทุน?

ถึงขณะนี้ศุภกิจจึงกลายเป็นนักพูดที่ค่าตัวแพงสุดก็ว่าได้ โดยเขาบอกว่า ?ค่าตัว 6
หมื่นบาทต่อชั่วโมง" รับไปพูดตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมง 7 ชั่วโมงก็มี

นอกจากจะจัดสัมมนาเองแล้ว ศุภกิจยังได้รับเชิญจากองค์กรหลายแห่งเพื่อให้บรรยายภายใน เช่น
บริษัทไทยประกันชีวิตที่เชิญไปบรรยายเป็น 10 ครั้งแล้ว ปูนซิเมนต์ไทย 15 ครั้ง ซีเอ็ดยูเคชั่น
รวมถึงบรรดาธุรกิจ นักขายทั้งหลาย

เขาจะให้ประเด็นมา แต่เนื้อหาเราเป็นคนทำเอง ทำยังไงให้เข้าไปอยู่ในจิตใจคน
ใช้เวลาตีโจทย์ไม่นานเราก็รู้ เพราะผมอยู่อเมริกามา 22 ปี อยู่เมืองไทยมา 13 ปี
ทำธุรกิจมาประสบการณ์เยอะ

ไม่ว่าเราจะอยู่ในโลกตรงไหน เชื้อชาติอะไร คำว่าคนสะกดเหมือนกัน คือ คอ นอ งานสะกดเหมือนกัน คือ Work

เขาบอกว่า ชีวิตมนุษย์เรามีอยู่ 3 หมวดเท่านั้น งาน-ครอบครัว-ตัวเอง

ในโลกนี้ไม่มีใครไม่มีงาน ไม่มีใครไม่มีครอบครัว ไม่มีใครไม่มีชีวิตตัวเอง ผมก็จะเจาะไปที่ 3 อย่างนี้

คุยเรื่องงานก็ถามก็คุยว่า เขาอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรเป็นลูกจ้าง เป็นซีอีโอ

เป็นลูกจ้างก็สบายๆ แต่อย่าหวังรวยนะ

ถ้าอยากเป็นซีอีโอ ต้องทำงานหนัก กระตือรือร้น อึดมากขึ้น

ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ต้องคิดมากขึ้น คิดทั้ง 365 วันคูณไปอีก 10 ปีข้างหน้าด้วย"

นั่นคือ เรื่องงาน ถ้ากลับมาที่ตัวเอง ศุภกิจบอกว่าให้ถามตัวเองว่ามีเป้าหมายอะไรในชีวิต
แล้วดึงความสามารถตัวเองออกมา ทำตามนั้น

"ถ้าจะเป็นพระก็ไปบวช

ถ้าเป้าหมายมีเงิน 1 ล้าน ก็ต้องทำงานให้โดดเด่น ทำอะไรที่เป็นพันล้าน

ถ้าเป็นคนขี้เกียจก็อย่าฝันว่าจะมีเงินเป็นพันล้าน

สำหรับศุภกิจ คำว่า ศุภกิจ คือ อึด อดทน กระตือรือร้น กัดไม่ปล่อย เชื่อในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เชื่อ
รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก ใช้ปัญญาแก้ปัญหา ไม่ใช้อารมณ์ จริงใจ ไม่จริงโจ้ มีคุณธรรม สัจธรรม
โค้งรวยไม่ใช่โค้งอันตราย

งานของผมสะกดด้วยคำว่ารัก เพราะมีความสุขในสิ่งที่ทำ มันถึงเป็น 365 วันคูณ 10 ปีได้ ถ้าเป็นพนักงาน
ทำงาน เสาร์อาทิตย์หยุด ตอนเย็นกลับบ้านหยุด ไม่ผิด

แต่สำหรับผม คิดตลอด ที่ผมลุยมา 10 ปี ตีกอล์ฟไปคิดไป คิดแล้วอัดเทป เพราะไม่มีเวลา

เขาจึงบอกว่า เขาทำงานแค่ "ครึ่งวัน" แต่ครึ่งวันของเขา คือ 24 ชั่วโมงหารสอง กับ อีกนิด
ซึ่งเป็นคำพูดที่เขาใช้บ่อยๆ

สมัยวัยรุ่นศุภกิจบอกว่าเขาอยากเป็นนักร้อง เหมือนไมเคิล แจ๊คสัน อยากเป็นนักเพาะกาย นักเล่นกล้าม
เบสบอล จังหวะนี้เขาบอกว่าอยากเป็นมหาเศรษฐี

แล้วเขาก็สามารถยืนอยู่บนพื้นที่ส่วนยอดของ "พีระมิด" ได้แล้ว พื้นที่ที่มีคนยืนอยู่น้อย

"ถ้าดูรูปพีระมิด จะเห็นว่าคนเป็นเศรษฐีอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นส่วนแหลม
ส่วนฐานพีระมิดเป็นส่วนที่มีคนอยู่หนาแน่นกว่า

เราเคยถามตัวเองไหมว่า แล้วทำไมเราไม่อยู่ข้างบน ไม่ต้องเบียดกับใครๆ อย่างเช่นบิล เกตส์
เขามีอะไรที่ต่างจากเราบ้าง"

ฟังแล้ว.........เปลี่ยนฝันของตัวเองโดยด่วน

...
  
คมคำความคิดของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
กระผมมี 2 เล่ม ตอนแรกนึกว่าหนังสือเล่มนี้ได้หายไป จึงตัดสินใจซื้ออีกเล่มหนึ่งโดยไม่รู้สึกเสียดายเงินแม้แต่นิดเดียว คำคมของหลวงวิจิตรวาทการ ภายในเล่ม จะรวบรวมคำคมของหลวงวิจิตรวาทการ ที่พูดได้หรือเขียนไว้ในที่ต่างๆ รวบรวม/เรียบเรียงโดย วิจิตรา รังสิยานนท์ ภายในหนังสือแบ่งหมวดคำคมออกเป็น 10 ตอน เช่น ผู้ยิ่งใหญ่ คือ ผู้ที่นั่งอยู่ในหัวใจคน , กำลังใจที่มั่นคง , สร้างอนาคตด้วยงาน , ชีวิตคือการต่อสู้
ฯลฯ ท่านสามารถเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้กันเล่มที่กระผมเป็นเจ้าของอยู่นี้ พิมพ์ครั้งที่ 4 แล้วครับ
...
  
ศิลปะการพูดในการสัมภาษณ์
ศิลปะการพูดในการสัมภาษณ์

ให้เป็นตัวของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าจะพยายามตอบให้ถูก ในคำถามที่ผู้สัมภาษณ์ถามคุณ คุณจะเครียดมาก และไม่เป็นตัวของตัวเอง การสัมภาษณ์จะไม่มีคำถามที่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด มีแต่คำถามที่ให้แสดงออก ถึงความเป็นคุณออกมา ถ้าคุณพยายามตอบให้ถูก ผู้สัมภาษณ์จะรู้และจะหมดความสนใจในตัวคุณ
ข้อแนะนำสำหรับการพูดในการสัมภาษณ์ มีดังนี้
1. น้ำเสียง
- เสียงดังฟังชัด ไม่อู้อี้อยู่ในลำคอ แต่ไม่ดังจนเกินไป ความดังของเสียงอยู่ในระดับที่ได้ยินชัดว่าอะไร ก็เพียงพอแล้ว
- ไม่ใช้เสียงเบาเกินไป บางคนพูดเหมือนกระซิบอยู่ตลอดต้องคอยเงี่ยหูฟัง มิฉะนั้นจะไม่ทราบว่าพูดอะไร
2. จังหวะในการพูด การพูดช้า อาจเป็นเพราะใช้เวลาในการคิดหาคำตอบ ถ้าเป็นกรณีนี้ การเตรียมตัวอย่างดีจะช่วยได้เพราะจะ ทำให้ตอบได้ทันที ดังนั้นจึงต้องศึกษาคำถามและเตรียมคำตอบไว้ก่อน
3. ระวังคำซ้ำคำเกิน เช่น เอ้อ อ้า แบบว่า ก็ แล้วก็ คำต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ฟังเบื่อรำคาญได้ ใครที่ติดคำจำพวกนี้ ต้องฝึกฝนด้วย การพยายามระวังตัว ไม่พูดคำเหล่านี้
4. คำแสลง ถือว่าเป็นคำไม่สุภาพแล้ว คำแสลงยังทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นได้ด้วย ขอให้พยายามระมัดระวังใน การใช้คำที่เป็นภาษาเฉพาะ รับรู้กันในหมู่วัยเดียวกัน
5. ไม่พูดมากเกินไป การพูดมากเกินไป อธิบายมาก แม้ในเรื่องควรตอบเพียงสั้น ๆ จึงทำให้เสียเวลา และอาจถูกมองว่า ถ้ารับเข้ามาทำงานคงจะเสียเวลาในการทำงาน ไปกับการพูดเสียมากกว่า
6. ไม่พูดน้อยเกินไป ถ้าพูดน้อยเกินไป ไม่พยายามให้ข้อมูล ไม่นำเสนอตัวเองให้เป็นที่รู้จัก ผู้สัมภาษณ์จะพิจารณาได้อย่างไรว่า เหมาะสมกับงานยิ่งถ้าเป็นงานที่จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการพูดด้วยแล้ว ถ้าพูดน้อยโอกาสที่จะผ่าน การพิจารณาก็จะน้อยตามไปด้วย
7. อย่าโกหก ขนาดตอนสัมภาษณ์ ยังไม่เข้ามาทำงาน ยังหลอกกันแล้วจะมีใครไว้วางใจให้เข้ามาทำงานหรือบางคนโกหกเก่ง จึงอาจจะหลอกได้บ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่าผู้สัมภาษณ์มีประสบการณ์มากกว่า โอกาสที่จะหลอกไม่สำเร็จ ถูกจับโกหก ได้จึงมีอยู่สูง
8. ประสบการณ์น้อย คุณควรบอกว่าคุณมีประสบการณ์ที่จำเป็นต่องานนี้โดยไม่ต้องผ่านงานประจำมาก่อนเช่น คุณเคยผ่านงานพิเศษสมัยเรียน เคยร่วมในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยหรือองค์กร และถึงแม้ว่าประสบการณ์นั้นจะไม่สัมพันธ์กับงานที่ต้องการนี้เลยก็ตาม
9. เรียนอย่างเดียว ในกรณีที่คุณเอาแต่เรียนอย่างเดียว ไม่เคยร่วมกิจกรรมใดๆ เลย คุณก็มีหนทางเดียวที่จะแก้จุดด้วยนี้คือแสดงให้เห็นว่าการเรียนก็เป็นประสบการณ์การทำงานอย่างหนึ่ง เช่น คุณมีประสบการณ์ที่ต้องทำงานส่งให้ทันกำหนดเส้นตาย หรือคุณผ่านการทำรายงานชิ้นสำคัญๆ มาแล้วหลายชิ้น
10. ผลการเรียนต่ำ GPA ไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณควรอย่างยิ่งที่จะให้เหตุผลว่า ถึงเกรดของคุณไม่สูงแต่คุณก็มีประสบการณ์จากชีวิตจริง หรือเน้นย้ำว่าความสำเร็จของการศึกษาและในการทำงานต้องการสิ่งอื่นมากกว่าแค่เกรดสูงอย่างเดียว คุณมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมอื่นๆ มาชดเชย
11. ร่วมกิจกรรมน้อย ถ้าถูกถามว่าทำไมถึงไม่ค่อยร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมากนัก คุณก็ควรบอกว่าต้องเรียนหนังสือหนักมาก และยังทำงานพิเศษไปด้วย จากนั้นก็รีบอ้างถึงประสบการณ์การทำงานต่างๆ ของคุณระหว่างเรียน
12. อายุน้อยเกินไป หากคุณสมัครงานในตำแหน่งสำคัญแต่ถูกติงว่าอายุยังน้อยเกินไป คุณควรอธิบายถึงประโยชน์ของการมีอายุน้อยว่า
1. ยินดีทำงานเต็มที่แม้จะได้เงินเดือนน้อยกว่าผู้มีประสบการณ์
2. มีไอเดียทันสมัยสมกับที่ได้ศึกษาความรู้ใหม่ล่าสุดจากมหาวิทยาลัย
3.ไม่ต้องแก้ไขนิสัยการทำงานเก่าๆ ที่ไม่เหมาะกับงานใหม่


* บทความบางส่วนจากหนังสือ คู่มือสมัครงาน อ.ถาวร โชติชื่น สำนักพิมพ์ wisdom
...
  
ชวน หลีกภัย
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นอภิปรายในการประชุมร่วมของ 2 สภา เพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ต้องลงมติเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยในได้กล่าวตำหนิ การกล่าวพาดพิงสถาบันตุลาการของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่า สถาบันตุลาการไม่สามารถแก้ปัญหาในบ้านเมืองได้ว่าไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวิกฤตการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยว่า เกิดจากการครอบงำสื่อของรัฐ จนกระทั่งเกิด เอเอสทีวีขึ้น ประชาชนจึงมีโอกาสได้รับฟังความจริงอีกด้านหนึ่ง สำหรับเนื้อหาการอภิปรายของนายชวน หลีกภัย มีดังนี้
"ท่านประธานที่เคารพ กระผมนายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ท่านประธานที่เคารพ ความจริงแล้วท่านหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้อภิปรายในสาระสำคัญ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่อท่านประธาน เพื่อประโยชน์ของรัฐบาล ในวาระต่อไป
แต่ว่าโดยที่การเสนอญัตติและการอภิปรายของท่านนายกรัฐมนตรี มีอย่างน้อยสองครั้งที่ได้ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นมาเปรียบเทียบ กระผมคิดว่าเมื่อเปรียบเทียบแล้วน่าจะใช้เป็นประโยชน์ ไม่ได้มองในทางเสียหายไปทั้งหมดครั้ง เพียงแต่ว่าถ้ามีโอกาสได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี ผมคิดว่ารัฐบาลสามารถนำตัวอย่างเหล่านั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาได้
แต่ว่าก่อนที่จะลงไปในรายละเอียดเรื่องนั้น ขอกราบเรียนท่านประธานว่า การเสนอญัตติในวันนี้เป็นไปตามมาตรา 179 ซึ่งอยู่ในหมวดของคณะรัฐมนตรี งานนี้จึงเป็นงานของฝ่ายบริหาร และมาตรา 179 นั้นก็เป็นกรณีที่เมื่อมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน อันนี้เป็นเรื่องโดยตรงนะครับ
ผมอยากทำความเข้าใจเพราะเหตุว่า เราจะได้รู้ว่าประเด็นของเราที่เราจะได้อภิปรายกันนี้คืออะไร มิฉะนั้นมันจะเป็นญัตติไม่ไว้วางใจพันธมิตรฯ มันจะเป็นญัตติเพื่อด่าพันธมิตรฯ ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ในวันนี้
ในญัตติตามมาตรา 179 นั้นที่รัฐบาลต้องการก็คือ ความคิดเห็นครับ ความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเพื่อประโยชน์ในการที่จะนำมาพิจารณาในการบริหารราชการแผ่นดินซึ่ง ครม.เห็นสมควร เพราะฉะนั้นญัตติในวันนี้ก็เป็นญัตติที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเราจะต้องทำความเข้าใจจากญัตตินี้เสียก่อนว่า กฎหมายมาตรานี้ต้องการความคิดเห็น ความคิดเห็นนี้แน่นอนว่าไม่มีทางหรอกครับ ที่จะตรงกันหมดทุกเรื่อง ซึ่งเมื่อรัฐบาลตั้งใจจะรับฟัง ก็ต้องยอมรับว่าบางเรื่องอาจจะไม่ตรงกับท่าน กระผมคิดว่าความคิดเห็นนั้น เป็นเรื่องที่ท่านต้องยอมรับ ถ้าไม่ตรงกัน แต่ข้อเท็จจริงถ้าฝ่ายใดให้ข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงความจริง ก็มีสิทธิ์ที่จะมีความเห็นแตกต่างหรือให้ข้อเท็จจริงที่แตกต่างไปได้ ...
ในญัตติของรัฐบาลนั้นบอกไว้ชัดเจนนะครับว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มบุคคลรวมตัวกัน เข้ายึดสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ขณะนี้สถานการณ์ดังกล่าวดำรงอยู่ มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน อันนี้ก็เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นอุปสรรคและผมคิดว่าก็มีปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน
ปัญหาอยู่ที่ว่า ภารกิจในการแก้ปัญหานี้ ถ้าเราทำความเข้าใจว่า สมาชิกสภานี้ทำได้คือ ให้ความเห็น หน้าที่ในการแก้ปัญหาคือฝ่ายบริหาร

ผมจึงอยากจะกราบเรียน ไม่ใช่จะแก้ตัวแทนศาล แต่ผมไม่เห็นด้วยที่ท่านนายกฯ ไปกล่าวว่าบัดนี้ศาลก็แก้ปัญหาไม่ได้ ผมคิดว่าอำนาจฝ่ายตุลาการนั้น เขาได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดแล้วในยุคนี้ คือ วินิจฉัยคดีและข้อกล่าวหา อย่างเป็นธรรม ตรงไปตรงมา ศาลไม่ได้มีหน้าที่มาสลายผู้ชุมนุม ศาลวินิจฉัยแล้ว ท่านก็กรุณาอธิบายคำวินิจฉัยของท่าน เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารที่จะต้องนำคำวินิจฉัยนั้นไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัย เราไม่อาจวิจารณ์ได้ว่า ศาลแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะศาลไม่ใช่ผู้ที่จะมาสลายผู้ชุมนุม ศาลทำหน้าที่วินิจฉัยสิ่งที่ผู้ร้องหรือฝ่ายผู้ที่เป็นโจทก์กล่าวหา แล้วศาลก็ตัดสินไปตามนั้น ผมยังมองไม่เห็นเลยนะครับว่าศาลล้มเหลว หรือ แก้ปัญหาไม่ได้ นี่ประการหนึ่ง เพราะว่าผู้ที่จะทำหน้าที่ในการแก้ปัญหานั้นก็คือฝ่ายบริหาร หรือ ฝ่ายรัฐบาล เราต้องแยกให้ออก มิฉะนั้นเราจะสับสนภารกิจเหมือนกับวันนี้
เมื่อเราฟังความเห็นแล้ว ถ้าปัญหาที่แก้ไม่ได้นั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง หรือดำเนินการด้วยตัวของฝ่ายนิติบัญญัติเอง ฝ่ายบริหารซึ่งอาจจะมาจากฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่ในภารกิจนี้ กระผมคิดว่าถ้าเราทำความเข้าใจให้กระจ่างในเรื่องนี้ แล้วกลับมาทบทวนถึงปัญหากันอีกครั้งหนึ่ง
ในข้อเท็จจริงบางเรื่องนั้นกระผมจะไม่ลงในส่วนของรายละเอียด ด้วยความเคารพต่อความเห็นของทุกฝ่าย ข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลจะต้องติดตามดูต่อไปว่า สิ่งที่ได้กล่าวมานั้น มันเกิดขึ้นในความเป็นจริงจากอะไร
แต่ว่ากระผมกราบเรียนว่า ในสภาพของปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ ผมไม่ได้โทษนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียวนะครับ

ความจริงการเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดนั้นมันมาก่อนที่ท่านจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแต่เพียงว่า เมื่อท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วสถานการณ์ไม่ได้เบาลงครับ ดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ...ทำไมครับ เพราะว่ามีการสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมาหลายเรื่อง ผมไม่เสียเวลา เพราะท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ ได้สรุปให้ท่านประธานแล้วเกือบครบถ้วนนะครับ
ประเด็นที่ผมจะกราบเรียนก็มีเพียงว่า ความแตกแยกอันก่อให้เกิดความขัดแย้ง มันเกิดขึ้นมา อาจจะก่อนเปี 2548 นะครับ อย่างที่ท่านวุฒิสมาชิกได้แล้ว ปี 2548 เป็นเรื่องที่ประชาชนได้มีโอกาสฟังข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง นั่นก็คือเกิด “เอเอสทีวี” ขึ้นมา ก่อนหน้านั้นประชาชน อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว
พูดได้เลยครับว่าฝ่ายเดียว ไม่มีโอกาสที่จะสื่ออย่างอื่นได้เลย สื่อมวลชนของรัฐ ถ้าไม่ทำรายการที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ ก็จะถูกเปลี่ยนผังรายการ ทุกคนก็ต้องเอาใจ หนังสือพิมพ์ถ้าไม่เขียนเพื่อประโยชน์ของรัฐบาล ก็จะถูกกลั่นแกล้ง ไม่ด้วยถูกตัดโฆษณาก็ด้วยวิธีอื่นๆ
เพราะฉะนั้นช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2544 2545 2546 2547 2548 ประชาชนอยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่ประชาชนได้รับด้านเดียวเท่านั้นครับ
ต้องยอมรับความเป็นจริงนะครับว่า เมื่อเกิดเอเอสทีวีขึ้นมา ประชาชนได้ฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่ง หลายเรื่องตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลแถลง พฤติกรรมต่างๆ จึงได้เปิดเผยออกมา จริงๆ
ถ้าพูดไปแล้วท่านประธานครับ กระผมไม่บังอาจที่จะไปหยิบยกว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นที่เอเอสทีวีนำมาเปิดเผยในตอนหลังนั้น เป็นข้อมูลที่ฝ่ายค้านในขณะนั้นได้อภิปรายในสภา เกือบทุกเรื่องมาแล้ว แต่เราไม่ได้รับการสนับสนุนให้เผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้น สื่อของรัฐในขณะนั้น ไม่กล้ารายงานข่าวสาร สิ่งที่พวกเราทำได้ก็คือการใช้รายการออนไลน์
ผมต้องกราบเรียนเรื่องนี้เพราะว่า ถ้าเราเข้าใจปัญหา รัฐบาลก็จะสามารถลดปัญหาบ้านเมืองลงมาได้ โดยไม่ยึดว่าสิ่งที่ทำมานั้นถูกต้องทั้งหมด หันกลับไปมองว่าความจริงมันเกิดจากอะไร แล้วเราก็แก้ไขเงื่อนไขที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้น พร้อมกับไม่สร้างเงื่อนไขใหม่
เงื่อนไขเดิมที่ผมกราบเรียนว่า เราฟังความข้างเดียวตลอดมานั้นทำให้รัฐบาลในขณะนั้นสามารถทำอะไรที่ไม่ถูกต้องแม้กระทั่งกฎหมายนะครับ การฆ่าตัดตอน การอุ้มฆ่าอันทำให้เกิดปัญหาในภาคใต้ การฆ่าตัดตอนกรณียาเสพติด การละเมิดสิ่งที่กฎหมายห้ามเอาไว้ ได้เกิดขึ้นหลายเรื่อง จนกระทั่งในที่สุดกลายเป็นเงื่อนไขที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น โดยลำดับ
แล้วในที่สุดรัฐในขณะนั้นเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระ แม้กระทั่งวุฒิสมาชิก วุฒิสภาในสมัยนั้นเป็นที่รู้กันว่าก็ถูกซื้อไปส่วนหนึ่ง วุฒิสมาชิกเขายอมรับว่าถูกซื้อไปประมาณ 60 กว่าคนที่กินเงินเดือนประจำ เพราะฉะนั้นองค์กรที่เป็นสถาบันหลักของบ้านเมืองจึงเกิดชำรุดทรุดโทรม"

............................................................................
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์
...
  
ทองใบ ทองเปาด์ 2
10
...
  
การเขียนเรียงความจดหมาย
แต่งโดย สุวรรณี โสประดิษฐ์ ภายในเล่มอธิบายองค์ประกอบ การเขียนเรียงความ รูปแบบจดหมายต่างๆ
จดหมายราชการ ตัวอย่างจดหมาย ตัวอย่างเรียงความ ...
  
ดร วรภัทร์ ภู่เจริญ ฉลาดงานบุคคลอย่างมีกึ๋น 01 11
10
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.