หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ศิลปะการพูดในที่ชุมชนและการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อสร้างเสน่ห์แห่งอัธยาศัย
10
...
  
ครูเคทบรรยาย 10/11
10
...
  

10
...
  
การจัดการกับความขัดแย้ง
การจัดการกับความขัดแย้ง

ความขัดแย้งเป็นเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดตามมา(Arnold and Fledman : อ้างถึงใน แก้ววิบูลย์ แสงพลสิทธ์,2534 : 35 ) ได้กล่าวว่า ผลของความขัดแย้งนั้นสามารถจะเป็นไปได้ทั้งประโยชน์และผลเสียต่องค์การ การจัดการกับความขัดแย้งจึงควรเป็นไปในทางที่จะทำให้ได้ผลตามมา เป็นประโยชน์ต่อองค์การมากที่สุด โดยปราศจากการเป็นศัตรูกันของกลุ่มที่ขัดแย้งและพฤติกรรมการทำลาย

การที่จะจัดการกับความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยทักษะในการบริหาร และต้องมีการวินิจฉัย ความขัดแย้งได้ถูกต้อง ผู้ที่จัดการกับความขัดแย้ง ต้องมีศิลปะในการจูงใจคน ต้องมีความใจเย็น และความ อดทนเพียงพอ ความสามารถในการตัดสินใจ จินตนา ยูนิพันธ์ (อ้างถึงใน แก้ววิบูลย์ แสงพลสิทธิ์ ,2534)ได้ให้ความคิดเห็นไว้ดังนี้

ผู้ที่จัดการกับความขัดแย้งได้ต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วนและต้องประเมินตนเองก่อนว่าจะลงมือจัดการกับความขัดแย้งอย่างไร

Kenneth Thomas ได้พัฒนารูปแบบ 2 มิติของเทคนิคการจัดการกับความขัดแย้ง(อ้างถึงใน ทองหล่อ เดชไชย ,2540 :264-265) ที่สะท้อนถึงความกังวลเป็นห่วงเป็นใยในผลประโยชน์ทั้งฝ่ายตนเองและคู่กรณีซึ่งมีกลยุทธ์ที่จะเป็นไปได้ ดังนี้ คือ

1.ถ้าความกังวลหรือความสนใจในผลลัพธ์ของทั้งตนเองและคู่กรณีต่ำ กลยุทธ์ที่มีความเป็นไปได้สูงคือการหลีกเลี่ยง (Avoidance Strategy)

2. ถ้ามีความกังวลหรือสนใจต่อผลลัพธ์ต่อตนเองสูง แต่ไม่สนใจในผลลัพธ์ของคู่กรณีกลยุทธ์ที่ใช้ คือ การบังคับหรือกดดัน

3. ถ้าความกังวล หรือความสนใจในผลลัพธ์ต่อตนเองต่ำ แต่กังวลและสนใจผลลัพธ์ต่อคนอื่นสูง กลยุทธ์ที่นำมาใช้คือ ความปรองดอง (Accommodation) หรือการยินยอม

4.ถ้าความกังวลหรือความสนใจสูงทั้งต่อผู้ผลลัพธ์ของตนเองและคู่กรณี กลยุทธ์ที่เหมาะสมก็คือ ความร่วมมือ(Collaborative)

5. ถ้าความกังวลหรือความสนใจต่อผลลัพธ์ทั้งต่อตนเองและในคู่กรณีอยู่ในระดับปานกลางคือ ไม่สูง ไม่ต่ำ กลยุทธ์ที่เหมาะสม คือ การประนีประนอม (Compromise)

ทองหล่อ เดชไชย (2540)ได้อธิบายว่าในการจัดการกับความขัดแย้งนั้น เป็นหน้าที่ของผู้บริหารหรือหัวหน้าที่จะต้องทราบและเข้าใจทั้งสาเหตุและวิธีการจัดการ ซึ่งอาจจะพิจารณาขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

1.ให้ความสนใจกับประเภทต่างของความขัดแย้ง เช่น ความขัดแย้งระหว่างบุคคล ภายในบุคคลความขัดแย้งภายในหน่วยงาน ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มงาน ความขัดแย้งขององค์การ จะได้ทราบความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันเสมอ

2.การติดต่อสื่อสารที่ชัดเจนต่อเนื่อง(Atriculate Communication) ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องพยายามหาวิธีการจัดการที่จะช่วยให้มีการติดต่อสื่อสารกันขึ้นมาใหม่ เน้นการติดต่อสื่อสารที่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญและอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องและเป็นจริง

3.การสร้างเป้าประสงค์ หรือค่านิยมร่วม (Build a superodinate Gold)ในบางครั้ง ต้องพยายามทำให้เกิดความรวมตัวกันหรือมีค่านิยมหรือเป้าประสงค์ของบุคคลให้เป็นส่วนหนึ่งและเป้าประสงค์หลักของอค์การ เพื่อความเจริญก้าวหน้าขององค์การในอนาคต ซึ่งวิธีการได้มาซึ่งเป้าประสงค์หลักหรือค่านิยมร่วมนั้นจะมาจากการที่บุคคลมีส่วนร่วมในการกำหนดขึ้น โดยมีการยอมรับและความพึงพอใจเป็นที่ตั้ง

4.พิจารณาธรรมชาติของความเป็นอิสระซึ่งกันและกัน(Examine the nature of Independence) ผู้บริหารต้องพยายามเปลี่ยนลักษณะความเป็นอิสระที่ทำให้เกิดการแข่งขันกันเป็นการส่งเสริมสนับสนุนกัน เพราะการยอมรับในเป้าประสงค์หรือค่านิยมร่วมของบุคคลและการส่งเสริมสนับสนุนนั้นมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าทั้งสองสิ่งนี้เกิดการแยกกันก็จะเกิดเป็นแนวโน้มการเกิดความขัดแย้ง

5.ต้องพร้อมที่จะเสี่ยง(Take Risk) ขั้นตอนที่สำคัญประการหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ความขัดแย้งให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกันก็คือ ต้องเสี่ยงต่อความสูญเสียหรือความผิดหวัง ดังนั้นต้องเตรียมบุคคลให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ และเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงานด้วย โดยเฉพาะบุคคลที่มีความอ่อนไหวและไม่มีความมั่นใจในตัวเองจำเป็นจะต้องใช้วิธีการที่แยบยล ซึ่งก็คือการทำให้เกิดการยอมรับนับถือซึ่งกันและกันในความพยายามเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งมั่นคงให้แก่ผู้ที่มีความอ่อนไหว และอ่อนแอกว่า

6.แสดงความมีอำนาจ (Demonstrate Power) เพื่อการยุติการเอาเปรียบซึ่งกันและกันบริหารต้องพยายามหาทางป้องกันสิ่งเหล่านั้น ด้วยการใช้กำลังอำนาจที่มีอยู่

7.ต้องจำกัดขอบเขตในสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว(Confine to fail accompli) เมื่อกลุ่มที่มีความขัดแย้งยอมรับสถานการณ์ที่เขาสามารถอยู่ร่วมกันได้แล้ว ความรู้สึกแห่งความร่วมมือก็จะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะเริ่ม รู้สึกพึงพอใจซึ่งกันและกัน การจำกัดขอบเขตร่วมกันจะช่วยในการพัฒนาการติดต่อสื่อสารและความเข้าใจที่
ดี ยอมรับซึ่งกันและกันลดอคติต่างๆ สาเหตุแห่งความขัดแย้งก็จะลดลง

8.การสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน(Build Mutual Trust) แต่ละคนต้องแลกเปลี่ยนความเชื่อและความ คิดเห็น เปิดใจซึ่งกันและกัน พร้อมที่ให้และรับแนวคิดต่างๆอย่างจริงใจ

9.ความสมดุลถูกต้องในการจูงใจ(Legitimize complex Motivation) เนื่องจากบุคคลแต่ละคนมี ความต้องการและการจูงใจที่แตกต่างกัน ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กับความขัดแย้งเมื่อการจูงใจของกลุ่มสองกลุ่มเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

10.การสร้างความเห็นอกเห็นใจ (Build Empathy) ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งนั้นแต่ละกลุ่มจะตระหนักถึงเป้าประสงค์ ความสนใจและความรู้สึกสำหรับกลุ่มตนเอง น้อยครั้งที่กลุ่มอื่นจะเข้าใจด้วย ดังนั้นต้องให้แต่ละคนสามารถที่จะคิดเข้าใจความต้องการของผู้อื่นก็จะสามารถลดความขัดแย้งได้ ...
  
Case study โออิชิ (1)
10
...
  
การบริหารเวลา
การบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นยาจก มหาเศรษฐี คนทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จทำไมถึงประสบความสำเร็จ อีกทั้งหากเราลองไปศึกษาการทำงานในแต่ละวันของเขา เราจะทราบว่าคนที่ประสบความสำเร็จมักใช้เวลาน้อยกว่า แต่สามารถสร้างความร่ำรวยได้มากกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ น่าศึกษาและน่าเรียนรู้
กฎ 80 และ 20 ของ วิลเฟรโด ปาเรโต นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี ได้อธิบายว่า 20 % ของประชากรทั้งหมดจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติจำนวนถึง 80 % ของประเทศ กฎนี้สามารถประยุกต์ใช้กับกิจกรรมอย่างอื่นๆ ได้ด้วย เช่น เราจะสังเกตว่า เรามักใช้เวลาไปถึง 80 % แต่มักได้ผลตอบแทนเพียงแค่ 20 % แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขาทำในสิ่งที่ตรงข้ามกล่าวคือ เขาใช้เวลาเพียงแค่ 20 % แต่ได้ผลตอบแทนเท่ากับ 80 % ผมขอขยายความในส่วนนี้เพิ่มเติม ตัวอย่างเช่น นักขายส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปนำเสนอขายสินค้าแก่ลูกค้ารายเล็กจำนวนถึง 80 ราย ซึ่งลูกค้ารายเล็กมักมียอดสั่งซื้อเพียง 20 % เมื่อเทียบกับการสั่งซื้อสินค้าของลูกค้ารายใหญ่เพียง 20 ราย แต่สั่งซื้อสินค้าถึงจำนวน 80% ของยอดขายทั้งหมด
ฉะนั้นหากพวกเราต้องการประสบความสำเร็จก็จงทำตามคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำ กล่าวคือ เราต้องขายสินค้าให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีจำนวน 20 % ก็จะทำให้เราทำงานเหนื่อยน้อยลง และประหยัดเวลาได้มากขึ้น
การเป็นนักบริหารเวลาที่ดีควรมีการวางแผนการทำงานของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายสามเดือน รายปี รายห้าปี เป็นต้น ซึ่งการวางแผนที่ดีเราควรมีเครื่องมือช่วย ก็จะทำให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และทำให้การทำงานง่ายขึ้น เครื่องมือในที่นี้ก็คือ ตารางเวลาทำงาน ไดอารี่ สมุดบันทึก ปฏิทิน โทรศัพท์มือถือสมัยใหม่มักมีโปรแกรมในการช่วยบริหารเวลา Ipad เป็นต้น
การเป็นนักบริหารเวลาที่ดี มักต้องย่อมให้มีการกระจายอำนาจความรับผิดชอบ กิจกรรมที่มีความสำคัญน้อยก็ควรเปิดโอกาสให้คนอื่นทำแทน กล่าวคือ การใช้เวลาของคนอื่นในการทำงานของเรา เช่น การฝากเงินธนาคาร การชำระค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา การเสียค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ควรหาคนทำงานแทน
ผู้ที่ต้องการบริหารเวลาควรที่จะต้องมีการทบทวน ตรวจสอบ เวลาของตนเองในแต่ละวัน ควรพิจารณาดูว่า เราใช้เวลามากไปสำหรับงานที่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำหรือเปล่า หากว่าเป็นเช่นนี้ก็ควรมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้เวลามากยิ่งขึ้น เช่น การโทรศัพท์คุยเรื่องส่วนตัวมากไปก็ควรลดเวลาโทรศัพท์ลงแล้วเปลี่ยนไปโทรศัพท์ติดต่องานกับลูกค้าแทน , การเล่นอินเตอร์เน็ต การเล่นเกมส์ การดูโทรทัศน์มากเกินไป ก็ควรลดแล้วหันไปอ่านหนังสือแทน ฯลฯ
ท่านสามารถบริหารเวลาได้โดยการประหยัดเวลาคือการทำกิจกรรมสองอย่างคู่กันได้ เช่น การขับรถพร้อมกับการเปิดเทปวิชาการฟัง การรดน้ำต้นไม้กับการฟังเพลง การทำความสะอาดบ้านกับการฟังข่าวทางวิทยุ ฯลฯ แต่กิจกรรมบางอย่างไม่ควรทำคู่กันเพราะจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เช่น การโทรศัพท์ขณะขับรถ หรือ ดื่มสุราขณะขับรถ
อีกทั้งท่านสามารถประหยัดเวลาในขณะที่ต้องรอรถ รอดูภาพยนตร์ รอแถว รอเรียน โดยการอ่านหนังสือ การเขียนหนังสือ ฟังเทป ผู้เขียน ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้เวลาในการเดินทางไปที่ต่างๆ บางครั้งต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ต้องไปก่อนเวลาทำให้ต้องรอ แต่ก็ได้ใช้ประโยชน์จากการรอขึ้นเครื่องบิน โดยการเอาคอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้วขึ้นมาทำงาน เตรียมงานในวันพรุ่งนี้ หรือ บางครั้งก็สะสางทำงานที่ค้างไว้
การใช้เทคโนโลยีช่วยในการประหยัดเวลา เมื่อจำเป็นจะต้องเดินทางไปพบลูกค้า เราควรโทรศัพท์ไปหาก่อนเพื่อลดความผิดพลาด อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดการเสียเวลาหากไปหาแล้วลูกค้าไม่อยู่ การส่งอีเมล์แทนจดหมาย ก็ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายได้ หรือหากต้องมีการประชุมแต่ผู้เข้าร่วมประชุมอยู่คนละจังหวัดเราก็สามารถประชุมทางไกลผ่านวิดีโอหรือผ่านทางเว็บไซต์ได้ ดังนั้น หากท่านสามารถทำงานที่บ้านของตนเองได้โดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยก็จะทำให้ท่านลดการใช้เวลาในการเดินทางไปที่ทำงานได้ถึงเฉลี่ยวันละ 1-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว
การจัดลำดับความสำคัญของงานก็มีความสำคัญในการบริหารเวลา นักบริหารเวลาที่ดีต้องรู้จักจัดลำดับของงานเพื่อใช้ในการบริหารเวลา เช่น จัดลำดับดูว่า งานไหนสำคัญ งานไหนไม่สำคัญ งานไหนเร่งด่วน งานไหนไม่เร่งด่วน
สุดท้ายในการบริหารเวลาที่ดี เราต้องมีการประเมินผล มีการตรวจสอบ มีการทบทวนเวลา ในแต่ละวัน เพื่อที่จะได้ปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงให้การบริหารเวลาของเราเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผล




...
  
คุณสมบัตินักเขียน
คุณสมบัตินักเขียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
เมื่อกล่าวถึงเรื่องคุณสมบัติของนักเขียน บางคนก็บอกว่าเป็นนักเขียนต้องทำตัวเหมือนศิลปิน บางคนบอกว่าเป็นนักเขียนจะต้องมีวินัย บางคนบอกว่าเป็นนักเขียนจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ ซึ่งจะตอบอย่างไรก็ถูกหมด เพราะนักเขียนแต่ละท่านมีคุณสมบัติหรือลักษณะที่ดีที่แตกต่างกัน หรืออาจจะมีนักเขียนบางท่านอาจจะมีคุณสมบัติหรือลักษณะที่ดีที่เหมือนกัน ซึ่งลักษณะที่ดีของนักเขียนมีดังนี้
1.เป็นคนที่รักในงานเขียน คนเราจะทำอะไร ควรเริ่มต้นจากความรักในสิ่งนั้นๆ ก่อน ถ้าอยากจะเป็นนักเขียน เราก็ต้องเริ่มต้นที่ความรักในงานเขียนก่อน เมื่อมีความรักในงานเขียน เราก็มีทัศนคติที่ดีต่องานเขียน
2.เป็นนักอ่าน อยากเป็นนักเขียนต้องอ่านหนังสือให้มากๆ การอ่านจะช่วยให้เขียนได้ดีขึ้น การอ่านจะทำให้มีข้อมูลต่างๆที่ใช้สำหรับเขียน ดังนั้นผู้ที่ต้องการเป็นนักเขียนควรอ่านหนังสือต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่มีโอกาสอ่านได้ โดยเฉพาะหนังสือประเภทที่เราจะเขียน
3.เป็นคนที่มีวินัย นักเขียนที่จะประสบความสำเร็จ หรือ นักเขียนที่สร้างผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ มักเป็นคนที่มีวินัยในตนเอง เช่น ต้องกำหนดเวลาทำงาน แล้วต้องทำงานให้มีผลงานออกมาตามแผนที่ตนเองได้วางไว้
4.เป็นคนที่มีประสบการณ์ในชีวิตพอสมควร การจะเขียนหนังสือให้ได้ดี นักเขียนที่ดีควรมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ อยู่บ้างพอสมควรจึงจะสามารถเขียนหรืออธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ หากไม่มีก็คงต้องลงไปศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง เช่น เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรือนจำ ก็ควรไปศึกษาดูสถานที่จริงก่อนเขียน การไปดูสถานที่จริงจะทำให้เขียนอธิบายความได้ชัดเจนขึ้น คนอ่านเข้าใจสิ่งที่ตรงการสื่อได้ชัดเจนขึ้น
5.เป็นคนที่มีความสามารถในการใช้สำนวน ภาษา ถ้อยคำได้ดี การเขียนมีความแตกต่างกับการสื่อสารด้านการพูด เพราะการพูดให้คนเศร้า หรือ พูดให้คนหัวเราะ ผู้พูดสามารถใช้ลีลาท่าทาง สีหน้า การเคลื่อนไหว น้ำเสียง ฯลฯ แต่การเขียนไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ได้ จึงต้องอาศัยการใช้ ภาษา ถ้อยคำ สำนวน ช่วยในการสื่อเพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์ต่างๆ
6.เป็นคนที่ต้องทุ่มเท ขยัน เขียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ท้อแท้ ไม่เลิกกลางคัน นักเขียนที่ดีต้องมีหัวใจที่อดทน ต้องขยัน ทุ่มเท ไม่เลิกล้ม จนกว่าที่จะประสบความสำเร็จ
7.เป็นคนที่ฝึกฝนตนเอง พัฒนาตนเอง แก้ไขปรับปรุง ตัวเองตลอดเวลา นักเขียนที่ดีต้องมีการพัฒนางานเขียนของตนเองสม่ำเสมอ ต้องศึกษาหาความรู้ เทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ จึงจะทำให้งานเขียนของตนเองเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
8.เป็นตัวของตัวเอง การเป็นนักเขียนที่ดีต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ควรเลียนแบบใคร จงเขียนงานของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติหรือความเป็นตัวตนของตนเอง และจงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองเขียน
9.เป็นคนที่มีสมาธิดี และเป็นคนที่ควบคุมตนเองได้ดี งานเขียนหนังสือเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด ฉะนั้นสมาธิจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในการเป็นนักเขียน นักเขียนที่มีสมาธิดีมักจะนั่งเขียนได้เป็นเวลาที่นานๆ โดยไม่ลุกขึ้น เขียนจนกว่างานที่วางแผนไว้เสร็จแล้วจึงลุก ตรงกันข้ามกับนักเขียนที่ไม่มีสมาธิ เขียนได้ไม่เท่าไรก็จะลุกขึ้นทำนั่นทำนี่ คิดสิ่งนั้นคิดสิ่งนี้ จนผลงานเขียนไม่ออกมาดังแผนที่ตั้งใจไว้
10.เป็นนักจำ นักจด นักเขียนที่ดีต้องมีความจำที่ดี แต่หากจำไม่ได้ทั้งหมดก็ควร หาปากกา กระดาษ สมุด จดในสิ่งต่างๆ ที่ตนคิด หรือ เมื่ออ่านเจอถ้อยคำ สำนวน ภาษาที่เราสนใจก็ควรจดบันทึกไว้ เพื่อนำข้อมูลที่จดไปใช้เขียนในอนาคตได้
11.เป็นผู้ทีมีใจกว้าง ยอมรับคำวิจารณ์ของผู้อื่นได้ การจะเป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับ นักเขียนควรเต็มใจรับฟังคำวิจารณ์จากผู้อ่าน รับฟังคำวิจารณ์เพื่อทางแนวทางในการแก้ไขปรับปรุงงานเขียนชิ้นต่อๆไป
สิ่งเหล่านี้ข้างต้นเป็นคุณสมบัติที่ดีหรือลักษณะที่ดีของคนที่ต้องการเป็นนักเขียน ถ้าหากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นนักเขียน ท่านควรศึกษา เรียนรู้ แนวทางที่กล่าวไปในข้างต้น พร้อมทั้งฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง ท่านก็สามารถเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคตอันใกล้ ไม่มีใครช่วยให้ท่านเป็นนักเขียนได้ นอกจากตัวของท่านเอง



...
  
ทอล์คโชว์ ชุด 1/5
10
...
  
โต้วาที ท้องไม่แท้ง แท้งไม่ฟ้อง (4)
10
...
  
พลังแห่งชีวิต
พลังแห่งชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีพลังต่างๆ มากมาย ซึ่งในที่นี้กระผมขอเรียกว่า “พลังแห่งชีวิต” พลังแห่งชีวิตมีด้วยกันหลายด้าน เช่น
- พลังแห่งความคิด คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักเป็นคนที่มีความคิดที่ดี คิดบวก คิดในเชิงสร้างสรรค์
แต่ตรงกันข้ามบุคคลที่ล้มเหลว มักเป็นบุคคลที่คิดลบ เป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ร้าย เมื่อมองโลกในแง่ร้าย บุคคลผู้นั้นก็มักจะไม่กล้าที่จะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ฉะนั้น หากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตจงคิดดี คิดบวก เมื่อเราเปลี่ยนความคิดชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนแปลง
- พลังแห่งอารมณ์ อารมณ์ของคนเราทำให้เรา มีพฤติกรรมต่างๆ คนที่มีอารมณ์โกรธ อารมณ์โมโห อารมณ์
ร้าย หน้าตามักไม่ค่อยสดชื่นแจ่มใส ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่คนที่มีอารมณ์ดี อารมณ์สดชื่น มักเป็นคนที่หน้าตาแจ่มใส เมื่อมีอารมณ์ดี ความคิดก็จะออกมาดีด้วย ดังนั้น หากรู้ตัวว่ามีอารมณ์ ห่อเหี่ยว อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้า วิตกกังวล ควรรีบเปลี่ยนความคิด
- พลังแห่งการพัฒนาตนเอง เป็นพลังของคนที่ประสบความสำเร็จใช้ในการแก้ไข เปลี่ยนแปลงตนเอง ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องของการศึกษาหาความรู้จากการอ่านมากๆ ฟังวิชาการมากๆ เข้าอบรมสัมมนามากๆ เข้าสังคมดีๆ เพื่อหาเครือข่าย การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่คนที่ต้องการประสบความสำเร็จขาดไม่ได้
- พลังแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ บุคคลที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มักเกิดจากการหาต้นแบบหรือหาแรง
บันดาลใจจากใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งบางคนอาจมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากแม่ บางคนมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากครู บางคนมีแรงบันดาลใจที่เกิดจากนักธุรกิจชื่อดัง เป็นต้น หรือ แรงบันดาลใจอาจเกิดจากความต้องการภายในของตนเองอย่างแท้จริง กล่าวคือ คนบางคนต้องการเป็นนักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลก หรือ บางคนต้องการเป็นนักพูดอันดับหนึ่งของเมืองไทย เป็นต้น
- พลังของคำพูดและพลังของการเขียน เมื่อท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นต้องเขียนเป้าหมายหรือ
พูดบอกเป้าหมายที่ท่านต้องการสำเร็จในชีวิต แก่คนอื่นๆ เพื่อให้คนอื่นได้รับทราบถึงเป้าหมายของตนเอง พลังของคำพูดและพลังของการเขียนยังรวมไปถึงการต้องรู้จักพูดบวก การพูดบวก เช่น ฉันเป็นคนเชื่อมั่น ฉันทำได้ ฉันเก่งที่สุด ฉันเยี่ยมที่สุด ฉันมีสุขภาพแข็งแรง การพูดบวกจะเป็นการโปรแกรมสิ่งที่ดีๆ ฉะนั้นจงพูดบวก เขียนบวก แล้วจงอ่านประโยคนั้นๆ ด้วยการออกเสียงดังๆ เพื่อให้ข้อความและคำพูดเข้าไปในสมอง
- พลังแห่งแรงดึงดูด เป็นพลังของการดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันเข้าหากัน และสิ่งที่ตรงข้ามกันออกจากกัน เช่นน้ำ
กับน้ำมัน เข้ากันไม่ได้ฉันใด คนที่มีความแตกต่างกันก็มักจะไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้ ความคิดของเราก็เช่นกัน หากท่านคิดในสิ่งที่ดีๆ คิดบวก สิ่งที่ดีๆก็จะเกิดขึ้นกับท่าน แต่หากท่านคิดลบหรือคิดสิ่งที่ร้ายๆ สิ่งต่างๆที่ร้ายๆก็จะดึงดูดมาหาท่าน
แต่คนเราโดยมากมักคิดลบมากกว่าคิดบวก อีกทั้งยังจดจำประสบการณ์ในอดีตที่เลวร้ายมากกว่าประสบการณ์ที่ดีๆ ฉะนั้นจงฝึกคิดบวกบ่อยๆ แล้วจิตใต้สำนึกก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงความคิดของเราให้คิดบวกมากขึ้น
- พลังแห่งการกระทำ เป็นพลังที่มีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากหากขาดการกระทำสิ่งต่างๆ ก็มักจะไม่เกิด
การเปลี่ยนแปลงขึ้น เราคงเคยไปอบรมหลักสูตรต่างๆ แต่กลับมาแล้วไม่ได้นำสิ่งที่อบรมมาลงมือกระทำ พฤติกรรมต่างๆของเราก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง จงลงมือปฏิบัติ จงลงมือกระทำอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถ เมื่อคุณลงมือปฏิบัติชีวิตของคุณก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
พลังแห่งชีวิตที่กล่าวในข้อความข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งของบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้ลงมือปฏิบัติ ท่านก็เป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถทำได้ พลังแห่งชีวิตจะปรากฏขึ้น หากว่าท่านมีความต้องการและแรงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกระทำ เมื่อความคิดเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยน ชีวิตของท่านก็จะเปลี่ยนแปลง จงลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในภายหน้า












...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.