หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ไม่มีข้ออ้างสำหรับความสำเร็จ
ความสำเร็จไม่มีข้ออ้าง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนจำนวนมากที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตมักมีข้ออ้างต่างๆมากมาย ซึ่งข้ออ้างต่างๆ มักจะทำให้ตนเองจะได้ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิด การกระทำ เช่น ข้ออ้างฉันไม่มีวันประสบความสำเร็จเนื่องมาจาก อายุมากแล้ว , ร่างกายไม่สมประกอบ , หน้าตาไม่ดี , เป็นคนต่างจังหวัดคงสู้คนกรุงเทพฯไม่ได้ , การศึกษาไม่สูง , ไม่มีเวลา , เกิดมายากจน ฯลฯ
แต่แท้ที่จริงแล้ว ข้ออ้างดังกล่าว เป็นเพียงสิ่งที่เราคิดปรุงแต่งไปเอง ความคิดของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักคิดในทางลบมากกว่าคิดในทางบวก อีกทั้งในความเป็นจริง บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่มีข้ออ้างดังกล่าว เช่น
- ข้ออ้างเรื่องอายุมากแล้ว ผู้พันฮาร์แลนด์ ดี.แซนเดอร์ส์ เจ้าของไก่ทอด เคนตั๊กกี้ อายุตั้ง 66 ปี แล้วพึ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ อีกทั้งชีวิตในอดีต เขาพบความล้มเหลวมาตลอดชีวิต ทั้งนี้หากผู้พันฮาร์แลนด์ ดี.แซนเดอร์ส์ คิดว่าตนเอง อายุมากแล้ว พวกเราคงไม่ได้รับประทานไก่ทอดที่อร่อยและคนรู้จักไปทั่วโลกในขณะนี้
- ข้ออ้างเรื่องร่างกายไม่สมประกอบ นิค วูจิซิค คนพิการหัวใจสู้ เขาเกิดมาไม่มีมือ มีแขน ขา ทั้งสองข้าง แต่เขาก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนกับคนโดยปกติ อีกทั้งยังสามารถทำอะไรอีกหลายอย่าง บางอย่างคนปกติที่ไม่มีความพิการ ก็ไม่สามารถทำได้ เช่น การว่ายน้ำ , การพูดต่อหน้าที่ชุมชน ฯลฯ ปัจจุบันเขาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนไปทั่วโลก
- ข้ออ้างเรื่อง หน้าตาไม่ดี หลายท่านอยากเป็นดารา นักร้อง นักแสดง แต่มีข้ออ้างให้กับตนเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว ในยุคปัจจุบัน คนหน้าตาไม่ดี เป็น ดารา นักร้อง นักแสดง กันมากมาย ดังที่เราจะเห็นได้ตามสื่อต่างๆ
- ข้ออ้างเรื่อง เป็นคนต่างจังหวัดคงสู้คนกรุงเทพฯไม่ได้ ข้ออ้างนี้ เป็นปมด้อยของคนต่างจังหวัดหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา วิทยากร นักร้อง นักแสดง ฯลฯ แต่ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ความคิด คนต่างจังหวัดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสามารถ มีตั้งมากมาย บางคนมีความสามารถและประสบความสำเร็จมากกว่าคนกรุงเทพฯ อีกต่างหาก
- ข้ออ้างเรื่องการศึกษาไม่สูง เป็นข้ออ้างสำหรับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จบางกลุ่ม แต่ในโลกปัจจุบัน คนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ บางคนยังไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำไป แต่มีความสามารถจ้าง คนที่จบปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก ทำงานให้ เช่น สตีฟ จอบส์ , บิล เกตต์ , เฉินหลง ฯลฯ
- ข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลา คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย ซึ่งแตกต่างกับบุคคลที่ล้มเหลว มักมีข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลา เมื่อผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาสามารถบริหารเวลาได้ เราทุกคนก็ต้องสามารถบริหารเวลาได้เช่นกัน
- ข้ออ้างเรื่องเกิดมายากจน เป็นข้ออ้างของคนส่วนใหญ่ ที่ต้องการความร่ำรวย แต่ตนเองไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่พ่อแม่ร่ำรวย แต่ในความเป็นจริง หากว่าพวกเราได้มีโอกาสอ่านประวัติของเศรษฐี มหาเศรษฐี เราจะพบว่า มหาเศรษฐีจำนวนมาก เกิดมาก็ไม่ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย หากแต่เขามาสร้างเนื้อสร้างตัวในภายหลัง
และยังมีข้ออ้างอีกตั้งมากมาย ซึ่งข้ออ้างต่างๆ มีเหตุผล ประกอบร้อยแปด ซึ่งเหตุผลดังกล่าวเป็นเหตุผล
ส่วนตัวของบุคคลที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในการใช้อ้าง เพื่อที่หาความชอบธรรมให้แก่ตนเอง ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ท่านต้องปราศจากข้ออ้างใดๆ ท่านต้องมีเป้าหมายชัดเจน ท่านต้องลงมือกระทำเพื่อไปสู่เป้าหมายอย่างจริงจัง และท่านต้องมีพัฒนาปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ




...
  
Change Management
Change Management
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
มนุษย์หรือองค์กรต่างๆ มักกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์และองค์กรต่างๆ จะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลง
Change Management หรือ การบริหารการเปลี่ยนแปลง มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการทำงานในภาครัฐ หรือ ภาคเอกชน เพราะโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
Kodak เป็นตัวอย่างที่ดีในการวัดความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหารระดับสูงอาจทำให้บริษัท องค์กร พ่ายแพ้คู่แข่งขัน หรือ บางครั้งอาจถึงกับต้องออกจากสนามการแข่งขันไปเลยก็มี
Kodak ในอดีตคือผู้นำอันดับหนึ่งในวงการการถ่ายภาพ จนกระทั่งถูกท้าทายการเป็นผู้นำจากฟูจิ และได้ศูนย์เสียความเป็นผู้นำ อีกทั้งถูกแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างมหาศาล ต่อมา กล้องมีการเปลี่ยนเป็นระบบถ่ายภาพแบบ Digital มากขึ้น แล้ว Kodak จะทำอย่างไรครับ ท่านผู้อ่าน
Kodak มีการบริหารการเปลี่ยนแปลงช้ามาก จนทำให้หุ้น Kodak ตกไปยังมาก อีกทั้งยังต้องขาดทุน Kodak แก้ปัญหาอย่างไร Kodak แก้ปัญหาโดยการปลดพนักงานออกเกือบ 20,000 คน
ต่อมาการเจริญเติบโตของกล้องระบบ Digital มีการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ฟิลม์ธรรมดาของ Kodak มียอดขายลดลง Kodak แก้ปัญหาอย่างไรครับ Kodak แก้ปัญหาด้วยการลดราคาฟิลม์ลงอีก 60-70 % ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยอดขายฟิลม์ธรรมดาตกเป็นอันมาก CEO ของ Kodak รับผิดชอบด้วยการลาออก (George Fisher)
จะเห็นได้ว่า Kodak มีการปรับตัวช้ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับการแข่งขันในตลาดขณะนั้น ผู้บริหารมีการตัดสินใจที่ช้าและผิดพลาดต่อการเปลี่ยนแปลง แทนที่จะเล็งเห็นว่ากล้อง Digital มีแนวโน้มและเจริญเติบโตเร็ว กลับไม่ยอมพัฒนา กลับไปให้ความสำคัญกับสินค้าเดิมๆ คือ ฟิลม์ธรรมดา จนในที่สุด Kodak ต่อพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งขันในที่สุด
Apple นำโดย Steve Jobs เป็น CEO เป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารการเปลี่ยนแปลง Steve Jobs ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์โดยการออกนวัตกรรมใหม่ๆ เสมอ หรือที่เราได้รู้จักและสัมผัสคือ สินค้าตระกูล I (iPod ,iPhone ,iPad )
สำหรับ Steve Jobs เคยให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวครั้งหนึ่งว่า เขาไม่ให้ความสำคัญต่อการวิจัยตลาด เพราะลูกค้าไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไร อีกทั้งเขายังยกตัวอย่างเรื่องราวของ Henry Ford ผู้สร้างรถยนต์คันแรกของโลก ว่าหาก Henry Ford ไปทำวิจัยตลาดว่าลูกค้าชอบพาหนะอย่างไร ลูกค้าก็คงตอบว่า ชอบพาหนะที่แข็งแรง ทนทาน และนำพาไปยังสถานที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว Henry Ford ก็คงต้องสร้าง รถม้าที่แข็งแรง ทนทาน เพื่อให้ม้าได้วิ่งได้เร็วขึ้นเพราะสมัยนั้นมีแต่การใช้ม้า ช้าง วัว ควาย เพื่อใช้บรรทุกของและนำพามนุษย์เราไปยังสถานทีต่างๆ แต่ Henry Ford ไม่ได้ทำการวิจัยตลาด จึงได้สร้างรถยนต์คันแรกของโลกขึ้น
Steve Jobs จึงเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความกล้าที่จะเสี่ยง และจัดทีมงานให้บริษัท Apple สร้างสินค้าใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่ Steve Jobs นำพาบริษัท Apple เปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นเสียอีก
ดังเราจะเห็นได้ว่า Sony Walkman เป็นผู้นำตลาด แต่ตอนนี้ Sony Walkman เงียบหายไปไหน แต่ iPod กลับเป็นผู้นำตลาด
ดังนั้น การบริหารการเปลี่ยนแปลง หรือ Change Management จึงมีความสำคัญมากต่อองค์กร หน่วยงาน บริษัท รวมทั้งตัวของบุคคล
จงเปลี่ยนแปลง องค์กร หน่วยงาน บริษัท และตัวท่าน ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมาถึง
...
  
3 H กับ การทำงาน
3 H กับ การทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ เราสามารถนำสูตร 3H มาใช้ได้ 3H ในที่นี้ได้แก่
1.HEART คือ การทำงานด้วยหัวใจ เป็นการทำงานในสิ่งที่เรารัก เราชอบ การรักในอาชีพหรืองานที่เราชอบจะทำให้เราทำงานได้ดี ได้นาน อีกทั้งยังได้รับความสนุกสนานในงานที่เราทำอีกด้วย บุคคลที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนมักเลือกทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก เช่น สตีฟ จอบส์ ชอบคอมพิวเตอร์ , สมคิด ลวางกูร ชอบเขียน เป็นต้น
2.HEAD คือ การทำงานด้วยหัว การทำงานด้วยหัวจะทำให้เราได้รับผลิตมากกว่าการทำงานด้วยแรงกาย เพราะการทำงานด้วยหัว เรามักใช้สมองในการคิด เช่น คิดสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ , คิดแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจากการทำงาน, คิด จินตนาการ ฝัน ถึงเป้าหมายในอนาคตที่เราต้องการ
3.HAND คือ การลงมือทำ สิ่งต่างๆที่เรารัก เราชอบ เราฝัน เราจินตนาการ เราสร้างสรรค์ จะไม่เกิดขึ้นหรือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไม่ได้เลย หากว่าบุคคลนั้นไม่ยอมที่จะลงมือทำ จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ
3 H จึงเป็นสูตรที่ช่วยให้เกิดความสุขและเกิดประสิทธิภาพขึ้นในการทำงาน หากว่าใครนำไปประยุกต์ใช้ ก็จะพบแต่ความสำเร็จในการทำงาน
...
  
กลยุทธ์การประชาสัมพันธ์องค์กร
วันที่ 26-27 พฤษภาคม 2554 ร่วมอบรม " กลยุทธ์ประชาสัมพันฃ ...
  
กฎ 20/80 ของพาเรโท
กฎ 20/80 ของพาเรโท
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎ 20/80 ถูกคิดค้นขึ้นโดย วิลเฟรโด พาเรโท ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน เมื่อปี 1895 โดยขณะนั้นเขากำลังทำวิจัยเพื่อค้นคว้าหาสูตร การกระจายความมั่งคั่งในประเทศอิตาลี เขาค้นพบว่า บุคคลที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งมีจำนวนแค่ 20 % ของประชากร แต่มีทรัพย์สินเงินทองถึง 80 %
ต่อมา Dr Juran นักคิดทางด้าน Quality Management ได้นำหลักการนี้ไปใช้แล้วได้ผลเป็นอย่างดี จึงได้เรียกว่า “กฎ 80/20 ” หรือ กฎของพาเรโท อีกทั้งมีนักวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์ ทดลองแล้วยืนยันว่า กฎ 20/80 ของพาเรโท นั้นสามารถนำเอาไปใช้ได้ โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมดังนี้
80 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้หรือยอดขายทั้งหมดของบางบริษัท เกิดจากสินค้าจำนวนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย มาจากพนักงานขายแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกัน
80 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานขาย สร้างยอดขายได้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
80 เปอร์เซ็นต์ ของปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เกิดจากนักเรียนเพียงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของยอดการสั่งซื้อทั้งหมดนั้นมาจากลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของเสื้อผ้าที่เรามีอยู่ เรามักไม่ได้สวมใส่ แต่ในทางกลับกันเราใส่แค่เสื้อผ้าอยู่จำนวน 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่เรารับโทรศัพท์ มักมาจากกลุ่มคนที่โทรศัพท์เข้ามาเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ดินทั้งหมด มักถือครองโดยคนส่วนน้อยเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ ของรางวัลในการแข่งขันประเภทต่างๆ เช่น กีฬา ดนตรี ประกวดร้องเพลง มักเป็นของคนเพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
80 เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทำงานแต่ละวัน เราได้ผลลัพธ์เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์
การประยุกต์ กฎ 20/80 ของพาเรโท จึงมีความสำคัญเพราะกฎนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การบริหารเวลา , การบริหารลูกค้า , การบริหารสินค้าคงคลัง , การบริหารธุรกิจ , การพัฒนาตนเอง เป็นต้น
เช่น
- หากเราพบว่า สินค้าแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ สินค้าแค่ 2 ใน 10 เป็นสินค้าที่ขายดี เราจะทำอย่างไรถึงจะช่วย
ส่งเสริม พัฒนา ให้สินค้า 20 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2 ใน 10 ชิ้น นั้น ให้เกิดการขายดียิ่งขึ้นหรือทำกำไรให้ได้ดียิ่งขึ้น
- หากเราพบว่า มีลูกค้ารายใหญ่เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด สั่งซื้อสินค้าถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เราจะ
ทำอย่างไรกับลูกค้ารายใหญ่นั้น เพื่อเพิ่มยอดการสั่งซื้อให้มากขึ้นอีก
ดังนั้น จงให้ความสำคัญกับ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณค่าสูงของการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้ท่านได้ผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านก็จะความประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น







...
  
การจัดการเวลา
การจัดการเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักที่จะสร้างผลงานได้มากกว่าคนธรรมดา บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีเวลามากกว่าพวกเราหรือ คำตอบคือ เปล่าเลย คนเรามีเวลาเท่ากันแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการ จัดการเวลา
หากไม่สามารถจัดการเวลาได้ ท่านก็ไม่สามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ การจัดการเวลาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดแจงตัวเอง เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยาก ผู้ที่จะจัดการเวลาให้ได้ดีจำเป็นจะต้องมี วินัยสูง หากว่าไม่มีการจัดการเวลา ชีวิตของเราจะสร้างผลงานได้น้อยมาก
สำหรับคนที่จะจัดการเวลาให้ได้ดี มักเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต เช่น เขาอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ , เขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ฯลฯ หากว่าคนเรามีเป้าหมายชีวิต เขาก็จะเกิดการพัฒนาตนเอง เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ เขาจะรู้จักคุณค่าของเวลาและเขาจะเป็นคนที่รู้จักจัดการเวลาของตนเอง ดังนั้น เป้าหมาย แรงจูงใจมีความสำคัญมากต่อการจัดการเวลาของคนเราแต่ละคน
คนที่จัดการเวลาได้ดีคือคนที่รู้จักการเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่ตนเองทำ งานแต่ละงานมีความสำคัญมากน้อยที่แตกต่างกัน คนที่จัดการเวลาเป็น มักจะให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญมากที่สุดก่อนแล้วจะทำงานที่สำคัญลดน้อยลงไปตามลำดับ
คนที่จัดการเวลาเป็น มักมีเครื่องมือช่วย เช่น ปฏิทิน , ไดอารี่ , สมุดโน้ต เป็นต้น อีกทั้งต้องทำรายการในเรื่องที่จะต้องทำในอนาคต วันพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ ไว้ในเครื่องมือต่างๆ เพื่อที่จะลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกทั้งควรใช้กฎของพาร์กินสัน คือกำหนดเส้นตายของงานที่ต้องการทำให้เสร็จ
ทำไมจึงต้องมีการจัดการเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เวลาเมื่อผ่านไปแล้วย้อนคืนมาอีกไม่ได้ ,เวลามีจำกัดไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้ , เวลามีคุณภาพที่แตกต่างกัน เช่น เวลากลางคืน เวลากลางวัน , เวลามีค่าเสียโอกาส หากเราเอาช่วงเวลาหนึ่งไปทำงานอย่างหนึ่งเราก็จะเสียโอกาสในการทำเรื่องอื่นๆไปด้วย เป็นต้น
คนที่รู้จักจัดการเรื่องของเวลาต้องรู้จัก การปฏิเสธ ในชีวิตประจำวัน เรามักจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องของคนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น พูดคุยกัน นินทากันในเรื่องของคนอื่นๆ ช่วยผู้อื่นหรือเป็นธุระให้กับคนอื่น ซึ่งหากว่าเราวิเคราะห์ดูแล้ว ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้เราเสียเวลา อีกทั้งมีผลกระทบกับเป้าหมายที่เราวางไว้ เราก็ควรที่จะปฏิเสธ แล้วกลับไปทำงานใช้เวลาให้ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเรา
ผลดีของการจัดการเวลา คือ จะทำให้เราทำงานได้เสร็จตรงตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย , ทำให้ทำงานหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เช่น ตอนอาบน้ำ เราสามารถนำเทป VCD วิชาการ ความรู้ต่างๆ ไปฟังด้วย , ทำให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น เมื่อเรารู้จักคุณค่าของเวลา เรามักจะจัดระบบต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น จัดระบบห้องสมุดขึ้นภายในบ้านหากว่าเราเป็นนักเขียน ก็จะช่วยให้เราหาหนังสือเพื่อใช้เป็นข้อมูลได้ง่ายขึ้น เสียเวลาน้อยลง เป็นต้น
ผลเสียของการไม่จัดการเวลา คือ ทำงานได้น้อย สร้างผลงานได้น้อยกว่าคนที่รู้จักจัดการเวลา , ทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลาที่จะต้องส่ง , ทำงานขาดประสิทธิภาพ งานขาดความเรียบร้อย ต้องมีความเครียดตลอดเวลา เพราะต้องทำงานเร่งด่วนอยู่บ่อยๆ ทำให้เกิดความเครียดในการทำงาน
สุดท้ายขอฝากแง่คิดว่า “ ช่องว่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา คือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของเวลา

...
  
การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ
บรรยาย โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานในสภาวะเศรษฐกิจ โดยบรรยายหัวข้อ " การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ " ...
  
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะว่า คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสูตรอย่างไรในการทำงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ให้ข้อแนะนำมา 3 ข้อ สั้นๆคือ “ สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ” ซึ่งกระผมขอขยายความดังนี้
สม่ำเสมอ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอาชีพอะไร เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนสักเพียงใด เขาจะไม่หยุดทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน คนที่มีความสม่ำเสมอ มักถือว่าเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง เขาจะทำงานจนวันสุดท้ายและท้ายสุดของชีวิตเลยทีเดียว
มากพอ คือ เขาจะมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน เช่น งานเขียนหากตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้เพียงวันละ 1 หน้า กับอีกคนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 5 หน้า เวลาผ่านไป 1 เดือน สรุปคนแรกเขียนได้ 30 หน้า กับอีกคนเขียนได้ 120 หน้า ท่านคิดว่า ใครจะมีโอกาสเป็นนักเขียนที่เก่งกว่ากันครับ แน่นอนครับคนที่สอง เพราะเขาทำสิ่งนั้น “มากพอ” ครับ
นานพอ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำงานในอาชีพที่เขารัก นานพอ ไม่ใช่ทำแค่ วันสองวันถอดใจเสียแล้ว หรือทำแค่ 1 เดือน ก็หยุดทำอย่างนี้คงประสบความสำเร็จได้ยาก
ดังนั้น การทำงาน ด้วยความสม่ำเสมอ มากพอ และนานพอ เป็นแง่คิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่หลักการดังกล่าวยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
...
  
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
One day is worth two tomorrows.(วันนี้มีค่าเท่ากับวันพรุ่งนี้ถึงสองวัน)
เกษตรกรคนหนึ่งมีอาชีพทำไร่ เขามีความตั้งใจว่าวันนี้จะต้องไปปลูกหอม ปลูกกระเทียมให้หมด ในช่วงเช้าเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังที่ดินของเขา เขาขับรถไปด้วยความตั้งใจ ในระหว่างทางบังเอิญเขาเจอร้านขาย อุปกรณ์ทางการเกษตร เขาคิดว่าเขามีเวลามากพอจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามราคาข้อมูลต่างๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจซื้อ จอบ เสียบ เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ปลูกหอม ปลูกกระเทียม ตามที่เขาตั้งใจ พอไปถึงที่ดินของเขา เขาสังเกตเห็นว่า ใกล้ๆที่ดินมีหนองน้ำ ซึ่งน้ำในหนองกำลังจะแห้ง แต่มีฝูงปลามากมายอาศัยอยู่ในหนอง เขาจึงตัดสินใจลงไปจับปลาในหนองน้ำ พอได้ปลามากพอสมควรแล้ว เขาก็หยุดจับ แล้วก็เริ่มที่จะลงมือปลูกหอมกับกระเทียมที่เขาตั้งใจ เขาปลูกได้เพียงชั่วครู่ บังเอิญเห็นต้นหญ้าเขียวจำนวนมาก เขาคิดว่าจะเป็นการดีหากนำต้นหญ้าเขียวจำนวนมากเหล่านี้ นำไปให้วัวที่บ้านได้กิน เขาจึงเริ่มต้นเก็บต้นหญ้า เขาเก็บได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ตก เขาจึงเดินทางกลับบ้าน สำหรับเป้าหมายที่เขาตั้งใจที่จะทำคือการปลูกหอม กระเทียม ก็ปลูกได้ไม่มากและยังไม่เสร็จ
หลายๆคนคงนึกขำ กับเกษตรกรคนนี้ แต่หารู้ไม่ว่า พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆกับเกษตรกรคนนี้ ซึ่งหลายๆคน มีเป้าหมายอยากที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละวัน กลับทำไม่สำเร็จหรือเสร็จตามที่ต้องการเนื่องจากการไปทำในเรื่อง งานปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยไปไม่ถึงไหน
ทำไมจึงต้องมีการจัดการกับเวลา เพราะหากไม่มีการจัดการกับเวลา เวลาของเราก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากว่า เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถหาซื้อมาใหม่ได้ เราไม่สามารถหยุดเวลาได้
คนที่จัดการกับเวลาได้ดี เขามักเป็นคนที่มีเป้าหมาย ท่านผู้อ่านลองกำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น อีก 10 ปี ข้างหน้า ท่านอยากเป็นอะไร ท่านผู้อ่านลองทบทวนชีวิตว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าท่านจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วท่านจงเริ่มวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
หากว่าท่านมีเป้าหมายชีวิต กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ท่านจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านจะจัดสรรลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำ ท่านจะมีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธผู้คน หากว่าผู้คนเหล่านั้น ชวนท่านคุยในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์และทำให้ท่านรู้สึกเสียเวลา และท่านจะไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง
ตอนนี้ท่านผู้อ่านอาจลองทดสอบตัวเองด้วยการ ตอบคำถามข้างล่างให้ตรงกับความเป็นจริงเพื่อดูว่าเรามีการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
1.ท่านมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนหรือไม่
2. ท่านมีการวางแผนเวลาหรือไม่
3.ท่านมีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำหรือไม่
4.ท่านมีเครื่องมือช่วยในการวางแผนเวลา เช่น ไดอารี่ ปฏิทิน สมุดโน้ต หรือไม่
5.ท่านมีการบังคับตนเองเพื่อทำตามแผนงานที่ท่านได้วางแผนไว้หรือไม่
6.ท่านมีการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยหาที่สงบๆให้กับตนเองได้ใช้ความคิดหรือไม่
7.ท่านใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดหรือไม่ เช่น ระหว่างนั่งรอพบคน ท่านเอาหนังสือออกมาอ่าน
จากแบบทดสอบข้างต้น หากข้อใดท่านตอบว่า “ ไม่ ” ท่านควรตรวจสอบแล้วหาทางปรับปรุงตัวท่านเอง การปรับปรุงตัวท่านจะทำให้การจัดการเวลาของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Prepare today for the needs of tomorrow. (เตรียมพร้อมในวันนี้เพื่อภาระในวันพรุ่งนี้)

...
  
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย อยากรู้ ว่าทำไมบุคคลที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จ กระผมจึงได้ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือ ตำรา ต่างๆมากมาย จึงทำให้ทราบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เขามักจะรักในสิ่งที่เขาทำและจะทำในสิ่งที่เขารัก
นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่ง เขาเคยรู้สึกสับสนตนเอง เนื่องจากงานเพลงที่เขาแต่งมักเกิดจากการจ้างวานหรือคนเสนอให้เขาเขียนเพลงแนวนั้นแนวนี้ จนเขารู้สึกว่า เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ในงานเพลงนั้นๆ ทำให้การใช้ภาษา การสื่ออารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนในที่สุด เขาตัดสินใจพักงานทั้งหมด แล้วไปค้นหาตัวเองยังต่างประเทศ พร้อมด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือนำทางชีวิตของเขา จนในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวต้นของเขาเองอีกครั้ง ว่าเขาสามารถแต่งเพลงได้ดีหากมันเกิดขึ้นจากความต้องการภายในมากกว่าการแต่งเพลงที่เกิดจากการจ้างวานด้วยเงินเป็นจำนวนมาก
เขาจึงหันกลับมาแต่งเพลงที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงทำให้เขาพบความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานเพลงเหล่านั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เขาได้อย่างมากมาย นักแต่งเพลงคนนั้นชื่อ บอย โกสิยพงษ์ หรือ นักแต่งเพลงรักในอันดับต้นๆของประเทศไทย
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่ตนเองรัก มากกว่าการทำงานเพื่อเห็นแก่เงินจำนวนมาก ถ้าหากท่านทำให้สิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชื่อเสียง เงินทอง ก็จะมาหาท่านเอง กระผมขอเขียนขยายความเรื่องของใจรักในงานว่ามีประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ ย่อมเป็นบันไดก้าวแรกซึ่งนำพาเราสู่ความสำเร็จ ความมีใจรักในงานที่ตนเองทำจะนำพาชีวิตเราก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จ เช่น เฉินหลงรักในงานแสดง , เอดิสัน รักในงานประดิษฐ์ , ไทเกอร์ วูดส์ รักในกีฬากอล์ฟ , สตีฟ จอบส์ รักในงานค้นคว้านวัตกรรมทางเทคโนโลยี ฯลฯ
2. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ เราลองสังเกตดูว่า หากเราทำงานที่เราไม่ชอบ เราจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ ไม่อยากทำงาน ขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น แต่หากเราลองได้ทำงานที่เรามีใจรัก ก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำ มีความขยันขันแข็ง ทำงานนั้นด้วยความสนุกสนาน เกิดความกระตือรือร้นในงานที่ตนเองทำ
3. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังใจ แก่ตัวเรา หากเรามีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส อยู่เสมอ ยิ่งหากเราได้เห็นผลงานที่เราได้ทำสำเร็จชิ้นแล้วชิ้นเล่า เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ แต่ตรงกันข้าม หากเราได้ทำงานที่เราไม่ชอบ ก็จะทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกที่หดหู่ ไม่เบิกบาน ผลงานที่ได้ทำออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร เราจะไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ทำออกมา
4. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ มักสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น สองพี่คนตระกูลไรต์ ประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ก็เนื่องจากการมีใจรักในงานที่ตนเองทำ ซึ่งก่อนการประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกนั้น คนทั่วไปมักบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเคยมีคนตั้งมากมายได้พยายามประดิษฐ์เครื่องบินแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ทำ ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดเครื่องบินลำแรกของโลกก็เกิดขึ้น จากสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เนื่องจากใจรักในงานที่ทำนั้นเอง
ดังนั้น การมีใจรักในงานที่ตนเองทำจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จพึ่งมี บัณฑิต อึ้งรังสี รักในงานวาทยกร
ซึ่งในยุคสมัยของเขา วาทยกรในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ตนเองทำ เขาฝึกฝนอย่างหนัก หาโอกาสต่างๆให้กับตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุด โลกก็จารึกชื่อของเขาให้เป็นวาทยกรระดับโลก
จงรักในสิ่งที่ท่านทำ จงทำในสิ่งที่ท่านรักแล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในการทำงาน
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.