หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
อาหารปลอดภัย
ตลาดอาหารปลอดภัย

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์

ความจริงการขายอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากทำให้สุขภาพของคนไทยในปัจจุบันดีขึ้น แต่ผู้ปลูกผักไร้สารพิษหรือผู้ผลิตอาหารปลอดภัย มักจะบ่นว่าไม่มีตลาดรองรับ โดยเฉพาะผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในต่างจังหวัด


ถึงแม้ว่าหลายจังหวัดได้มีโครงการและส่งเสริมการตลาดสำหรับอาหารปลอดภัย เช่น จังหวัดจันทบุรี ได้จัดโครงการตลาดอาหารปลอดภัย ผักไร้สารพิษ ในช่วงเดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการตรวจเลือดหาสารพิษในร่างกายจำนวน 152 คน โดยมีประชาชนที่ตรวจมากถึง 77 คน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้มาตรวจเลือดหาสารพิษก็ว่าได้


หรือที่กรุงเทพมหานคร ก็ได้มีการจัดให้มีการประกวดตลาดสะอาดได้มาตรฐานอาหารปลอดภัย ตั้งแต่ มีนาคมที่ผ่านมาโดยมีตลาดที่เข้าประกวดทั้งสิ้น 61 แห่ง แต่เข้าเกณฑ์ตลาดสะอาดได้มาตรฐานเพียง 41 แห่ง


และจังหวัดพะเยา ก็ได้จัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าเกษฅรคุณภาพจากผู้ผลิตส่งผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ในวันที่ 19 สิงหาคม 2552 ณ ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดพะเยาภายในงานก็มีการเสวนาเรื่อง “ สินค้าปลอดภัยจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ” โดยมีการจัดบอร์ดนิทรรศการ, การจัดตลาดนัดสินค้าเกษตรปลอดภัย,การตอบปัญหาด้านเกษตรและการตรวจสารพิษตกค้างในเลือดอีกทั้งสารปนเปื้อนในอาหารด้วย


ถามว่าทำไมเกษตรกรถึงใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้ผู้บริโภคไม่ปลอดภัย คำตอบอาจเป็นเพราะ ค่านิยมที่เกิดจากตัวผู้บริโภคเองที่ต้องการ ผัก ผลไม้ต้องสวย จึงทำให้ผู้ผลิตต้องหันมาพึ่งสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สำหรับผัก ผลไม้ที่ไม่ใช่สารเคมี ต้องคัดแยกผัก ผลไม้ที่ต้นหรือผลไม่สวยออก จนบางครั้งต้องคัดทิ้งถึง


25 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


สำหรับกระผมเชื่อว่า ถ้าพวกเราเลือกได้อยากรับประทานอาหารปลอดภัย ไม่ว่า ไก่ กุ้งแช่แข็ง ผักสด ผลไม้ และสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ มากกว่า อาหารที่มีสารพิษ ที่เกิดจากยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่างๆ ถึงแม้อาหารปลอดภัย อาจจะแพงกว่าอาหารที่มีสารเคมีเพียงเล็กน้อยก็ตาม


ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ผลิตผู้ขาย สินค้าปลอดภัยมักบ่นว่าไม่มีตลาดสำหรับการขายให้แก่ผู้บริโภค และผู้บริโภคก็ไม่รู้จะไปซื้อสินค้าอาหารปลอดภัยจากไหน ถ้าไม่มีการจัดโครงการที่ให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมาพบกัน และสิ่งที่สำคัญ เราจะทราบได้อย่างไรถ้าซื้อสินค้านั้นในตลาดทั่วไปว่านี่คือ อาหารปลอดภัย เพราะ ผัก ผลไม้ ไก่ สินค้าเกษตรที่เห็นมันไม่สามารถแยกได้ด้วยสายตาคนเรา ถ้าไม่มีการตรวจสารปนเปื้อน


ดังนั้น ผมคิดว่า ผู้ผลิตและผู้ขายอาหารปลอดภัย ควรพัฒนาตราสินค้าของผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยโดยเฉพาะการเกษตร โดยอาจนำคนกลางมีการควบคุมมาตรฐาน ดังตัวอย่าง ถ้าใครต้องการส่งออกต้องมี ISO ก่อน ฉะนั้น จังหวัดควรให้การสนับสนุนและหาหน่วยงานมาดูแลเป็นพิเศษ ถ้ารอนโยบายจากส่วนกลางอาจล่าช้า อีกทั้งควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำโครงการเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เกษตรกรที่ผลิตอาหารปลอดภัยตามยถากรรม


เช่นจังหวัดนครปฐมมีกลุ่มแม่บ้านเกษตรผู้ปลูกผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านห้วยพระ ต.ห้วยพระ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม รวมกลุ่มผลิตผลไม้ ผักปลอดสารส่งให้กับ บริษัท กำแพงแสน คอมเมอร์เชียล จำกัด หรือ KC Fresh


ดังนั้น การตลาดหรือช่องทางการตลาด อาหารปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรกรภายในจังหวัด หน่วยงานราชการ รวมทั้งคนในจังหวัดต้องร่วมมือกัน


เกษตรกรภายในจังหวัดที่ปลูกหรือผลิต อาหารสารพิษ ต้องจริงจังและจริงใจ ในการปลูกโดยไม่ใช่สารเคมีจริงๆ เพราะบางกรณี เมื่อขายได้แล้ว มีคนเชื่อว่าเป็นอาหารปลอดภัยจริง ไม่มีสารพิษจริง ถึงตอนนั้นเกษตรกรบางรายกลับหันไปใช้สารเคมี เนื่องจากขายไม่ทัน การใช้สารเคมีทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และไม่ต้องทิ้งผักหรือผลไม้ที่ไม่สวย 25 เปอร์เซ็นต์ทิ้ง


หน่วยงานราชการ ต้องช่วยกันสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานเกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ สนับสนุน มีหน่วยงานพิเศษที่ลงมาดูแลเรื่องดังกล่าว มีหน่วยงานรับรองอาจให้ป้ายรับรองว่าร้านนี้เป็น อาหารปลอดภัยจริง


ประชาชนภายในจังหวัดก็ควรให้การสนับสนุน ซื้ออาหารปลอดภัย ภายในจังหวัดของตนก่อน การซื้อของประชาชนภายในจังหวัดจะทำให้ เกษตรกรที่ผลิตหรือขาย อาหารปลอดภัย อยู่ได้ อีกทั้งสุขภาพของผู้บริโภคก็จะดี ไม่มีโรคภัยที่เกิดจาก อาหารที่ปนกับสารเคมี







...
  
จงอย่าหยุดคิดริเริ่มสร้างสรรค์
จงอย่าหยุดคิดริเริ่มสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
นักปรัชญาชาวจีนผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า “ทุกวันเป็นวันใหม่ แม้แต่ปลายังไม่ว่ายน้ำอยู่ที่เดิม” จากคำกล่าวนี้ ทำให้เรารู้ว่า
โลกนี้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ วัน ก็เนื่องจากเกิดสิ่ง แปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาตลอดเวลา การที่เกิดสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลา ก็เนื่องมาจากปัจจัยหนึ่งก็คือความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของมนุษย์เรานั่นเอง
- สตีฟ จอบส์ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ เกี่ยวกับการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ ของบริษัท Apple ซึ่งเขาและ
ทีมงานได้คิดค้น ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด จนคนใช้กันทั่วโลก เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ให้แก่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ไว้เป็นประโยคสุดท้ายเพื่อฝากไว้ให้คิดและปฏิบัติตาม ซึ่งเขาก็ได้ยึดหลักการนี้และนำเอาไปใช้คือ “ จงหิวโหยอยู่เสมอ จงโง่เขลาอยู่เสมอ ” นั่นหมายถึงว่า จงรักที่จะเรียนรู้อย่างตลอดเวลา คิดริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลานั้นเอง
- โทมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) และทีมงาน ได้คิดค้นและจดทะเบียนลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์เป็น
จำนวน 1,093 ชนิด ในสหรัฐอเมริกาและรวมกับทั่วโลกอีกกว่า 3,000 ชนิด ก็ด้วยเกิดจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เป็นตัวอย่างได้ดีในเรื่องความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หากอาจารย์เอาแต่วาดรูป ก็
ได้แค่สร้าง หอศิลป์ ในแก่ตัวเองซึ่งมีคุณค่าและสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเองน้อยมาก อาจารย์จึงมีความริเริ่มสร้างสรรค์ตลอดเวลาโดยการสร้าง สถาปัตยกรรม ประติมากรรม ที่ยิ่งใหญ่ ดังเช่น วัดร่องขุ่น ซึ่งเป็นวัดสมัยใหม่ สวยงาม มีความหมายในเชิงพุทธศาสนา
การคิดสร้างสรรค์ จะทำให้เราได้วิธีการใหม่ๆ หรือเรียกว่าได้ “ ไอเดียใหม่” ซึ่งการคิดสร้างสรรค์นี้ เราทุกคนมีเหมือนกัน อีกทั้งเรายังสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่มันไม่ทำงานเนื่องจากพวกเราไม่ได้มีโอกาสได้นำมันมาใช้หรือไม่พยายามใช้มันนั้นเอง ฉะนั้นหากต้องการใช้มันในบางครั้งเราอาจจะต้องสร้างเงื่อนไขที่จะให้มันทำงาน เช่น ในการอบรม การประชุม ในการทำงาน หากให้องค์กรหรือหน่วยงาน ต้องการให้คนออกความคิดเห็นที่สร้างสรรค์หรือให้นโยบายบอกให้สร้างสรรค์งานออกมาให้ได้ กระผมเชื่อว่าหลายๆคน สามารถนำความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้
ดังคำพูดของ มัทธิว 7:7.8 ในคัมภีร์ไบเบิ้ล กล่าวไว้ว่า “ จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน ” ดังนั้นหากท่านต้องการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จงขอแล้วท่านจะได้ จงแสวงหาแล้วท่านจะพบมัน จงเคาะแล้วสวรรค์ก็จะเปิดทางให้แก่ท่าน
แต่ในทางกลับกัน สังคมไทย มักเป็นสังคมที่ไม่ค่อยมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แต่เป็นสังคมที่คัดลอก เลียนแบบ กัน ซึ่งบางกรณีถือว่าเป็นการผิดกฎหมายลิขสิทธิ์อีกด้วย
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มีด้วยกันหลายปัจจัย เช่น
1. การคิดในแง่บวก, พูดบวก(เป็นไปได้,ทำได้) ความคิดและคำพูดเหล่านี้จะทำให้เราเกิดกำลังใจ และควรหลีกเลี่ยงความคิดในแง่ลบ,พูดลบ (การคิดว่าเป็นไปไม่ได้ , ทำไม่ได้ ) ความคิดและคำพูดเหล่านี้จะทำให้เกิดการบันทอนกำลังใจของเรา
2. จงคิดแตกต่างจากคนอื่นดูบ้าง สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่างหรือโดดเด่นจากคนอื่น อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่นเกิดความกลัวต่างๆ ดังคำกล่าวที่ว่า “ อันความจริงคนเขาก็อยากให้เราดี แต่เราเด่นขึ้นทุกที คนเขาก็หมั่นไส้ จงทำดีอย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน ” คำกล่าวนี้ทำให้คนไทย มักทำอะไรตามๆ กัน เพื่อไม่ให้ตนเองเกิดความแตกต่างหรือเด่นเกินชาวบ้าน แต่ความคิดดังกล่าว เป็นความคิดที่ขัดขว้างความคิดที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้น
3. แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ จากที่ต่างๆ การเปิดใจกว้างรับสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ จะทำให้ท่านเกิดประสบการณ์ที่ดีและมีความคิดเชิงสร้างสรรค์ขึ้น นักธุรกิจ นักฝึกอบรม จำนวนมาก มักนำสินค้าหรือหลักสูตรการฝึกอบรม ที่แปลกๆ ใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาขาย แล้วจึงประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ขึ้นมา
4. ต้องอดทนรอคอยความสำเร็จ ความคิดสร้างสรรค์ เป็นความคิดที่ต้องอาศัยเวลา คนที่ไม่ประสบความสำเร็จบางคน มักไม่มีความอดทนรอคอย จึงล้มเลิกไปเสียก่อน ที่ความคิดสร้างสรรค์ดีๆ จะออกมา
ปัจจัยเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนึ่งของคนที่ต้องการมีความคิดสร้างสรรค์ หากท่านต้องการมีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ท่านก็ควรฝึกฝนตนเอง อีกทั้งควรศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติม
...
  
การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
การบริหารเวลา : หลักการใช้เวลาที่ดี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเราในโลกนี้มีเวลาเท่ากัน เพียงแต่คนที่ประสบความสำเร็จเขามีหลักการใช้เวลาที่แตกต่างจากคนธรรมดาโดยทั่วไป เขาถึงได้ประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ครอบครัว สังคม คุณเองก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าหากว่าคุณมีหลักการใช้เวลาที่ดี ซึ่งในที่นี้กระผมขอยกตัวอย่างหลักการบริหารเวลาที่ดีของ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มีดังนี้
1.จัดงานตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง (ถ้าเราจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังแล้วเราควรทำงานที่สำคัญที่สุดก่อนเป็นลำดับแรกแล้วไล่ไปยังงานที่มีความสำคัญน้อยลงไป)
2.ให้ทำงานทีละอย่าง (การทำงานโดยเฉพาะงานที่สำคัญทีละอย่างจะทำให้คุณเกิดสมาธิในการทำงานมากกว่าการทำงานที่สำคัญทีละหลายๆอย่างพร้อมกัน)
3.พักผ่อนโดยการเปลี่ยนงานชั่วขณะ(เมื่อเรานั่งทำงานเป็นเวลานานๆ เราก็ควรเปลี่ยนงานโดยการไปชงกาแฟ การรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น)
4.รู้จักมอบหมายงานให้คนอื่นช่วยทำ(งานบางอย่างไม่มีความสำคัญ เราก็ควรมอบหมายงานที่คนอื่นเขาทำได้ให้เขาไปทำ เช่น การไปจ่ายค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา การรับโทรศัพท์ การช่วยพิมพ์งาน การช่วยหาเอกสารต่างๆ ฯลฯ
5.อย่าดินพอกหางหมู กล่าวคืออย่าเก็บงานที่ทำได้ในวันนี้แล้วเก็บไว้ทำในวันพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้า
6.ฝึกนิสัยให้เป็นคนตรงต่อเวลาโดยเฉพาะการนัดหมาย (ข้อนี้คนไทยโดยส่วนใหญ่มักมีปัญหา ชอบไปงานสาย จึงทำให้การประชุมบางแห่ง ถูกเลื่อนเวลาออกไป)
7.รู้จักใช้อุปกรณ์ช่วยทำงาน(ยุคสมัยนี้เทคโนโลยีทันสมัยมากๆ การนำเอา คอมพิวเตอร์ Ipad และเทคโนโลยีอื่นๆ มาช่วยงานจะทำให้เกิดการประหยัดเวลา อีกทั้งทำให้งานมีคุณภาพมากขึ้นด้วย)
นี่คือคำแนะนำของท่านอาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ซึ่งกระผมขออนุญาตนำมาเขียนและเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน

...
  
ทำไมคนดีๆ จึงลาออก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ทำไมคนดีๆ จึงไม่ยอมอยู่ในองค์กร


ถามว่าทุกองค์กรต้องการคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และคนมีคุณภาพ มาอยู่ในองค์กรหรือไม่

ขอตอบว่า ทุกองค์กร อยากที่จะมีคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ คนมีฝีมือ และ คนมีคุณภาพ เข้ามาอยู่ในองค์กรทั้งสิ้น บางองค์กร ถึงขนาดจ้างหรือให้เงินเดือน คนเหล่านี้ สูงมากๆ เพื่อจูงใจให้คนเหล่านี้อยู่ในองค์กร

แต่ทำไม เมื่อคนเหล่านี้ เข้ามาอยู่ในองค์กรแล้ว แค่ระยะเวลาหนึ่งคนเหล่านี้ก็ขอ ลาออกไป สาเหตุที่คนมีคุณภาพเหล่านี้ ต้องออกไป อาจมีอยู่หลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักของคนทำงานให้องค์กรไม่นานก็คือ เรื่องของคนนั่นเอง และปัญหาโดยมากที่เกิดมักเกิดจากหัวหน้างานนั่นเอง ในวันนี้ เราจะมาพูดลักษณะที่ไม่ดีของหัวหน้างานที่ทำให้ลูกน้องไม่อยากอยู่ร่วมองค์กร มีดังนี้

1.ขาดความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คำพูด การกระทำและหน้าที่การงาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน คำพูดสำคัญมากครับ ดังนั้น ก่อนที่จะสัญญากับลูกน้องเรื่องอะไรต้องมั่นใจว่าทำได้เสียก่อน เช่น การรับปากว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้ แล้วไม่เลื่อนจึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางการพูด หรือ รับปากว่าจะให้ผลประโยชน์ต่างๆ แล้วไม่ให้ (โบนัส ขึ้นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง) แล้วไม่ให้ จึงถือว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบทางคำพูดอย่างยิ่ง แล้วในที่สุดจะไม่มีลูกน้องเชื่อถือ


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบทางการกระทำ แต่หัวหน้างานที่ไม่ดีมักจะรับแต่ชอบแต่ไม่ชอบรับผิด คือ สิ่งไหนดีตัวเองบอกว่าเป็นผลงานของตนเอง แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะโยนให้ลูกน้อง นี่เป็นลักษณะที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งของหัวหน้างาน


การเป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคน ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน เราจะเห็นว่าผู้เป็นหัวหน้างานหรือหัวหน้าคนที่ดี ต้องรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างสูง บางครั้งเราจะเห็นว่าถ้างานไม่เสร็จ เขาจะทำจนเสร็จบางครั้ง ทำงานจน ตี 1-ตี 2 เลยก็มีเพื่อให้งานนั้นเสร็จ


2.หัวหน้างานที่ดี ต้องมีความสามารถในการบริหาร คือ ต้องมีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารงาน ไม่โยนให้ลูกน้องทำแต่ตัวเองไม่ยอมทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคน การบริหารงาน และการบริหารเงิน


3.หัวหน้างานที่ดี ต้องรู้จักสอนงานลูกน้อง หัวหน้างานบางคนใจไม่กว้าง คับแคบ ไม่ยอมสอนงานลูกน้อง หรือ สอนงานให้ไม่หมด เนื่องจากกลัวลูกน้อง ได้ดีกว่า รู้มากกว่า การไม่สอนงานลูกน้อง ทำให้คนองค์กรไม่มีคุณภาพ หรือพัฒนา จึงไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรอื่นได้


4.หัวหน้างานที่ดีไม่ควรสร้างความแตกแยกในองค์กร เพราะ ผู้บริหารหรือหัวหน้างาน บางคนเชื่อว่าการสร้างความแตกแยก จะทำให้การบริหารงานนั้นง่ายขึ้น เพราะลูกน้องจะไม่รวมตัวกันกดดัน หัวหน้างาน


5.หัวหน้างานที่ดีต้องรู้จักพัฒนาตนเองไม่ว่าทั้ง การงานและความรู้ อีกทั้งต้องกระตุ้นให้ลูกน้องพัฒนาตนเองด้วยทั้งการงานและความรู้ ดังนั้น หัวหน้างานต้องเป็นแบบอย่างที่ดี


สุดท้ายก็ขอฝากแง่คิดเกี่ยวกับคนไว้ดังนี้ครับ


ฉลาดและขยัน เป็นนายคน


ฉลาดและขี้เกียจ เป็นที่ปรึกษา


โง่และขี้เกียจ เป็นคนรับใช้


โง่และขยัน เป็นอะไรก็ไม่ได้





























...
  
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
5 ส. สร้างสุขในการทำงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
-ในช่วงชีวิตของคนเราทุกคน ช่วงเวลาในการทำงานถือว่าเป็นช่วงที่ยาวนานที่สุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30-50 ปี ทั้งนี้แล้วแต่บุคคล ดังนั้น การทำงานจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ทรมานในการทำงาน เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ ในวันนี้กระผมมีเทคนิค 5 ส. มาฝากกัน
ส.ที่ 1 สดใส การทำงานในทุกๆวัน เราควรทำตัวเองให้ สดใส สดชื่น แจ่มใส มองโลกในแง่ดีหรือประโยชน์ที่ได้รับจากงาน การเริ่มต้นทำงานในทุกๆ เช้า ควรเริ่มต้นด้วย จิตใจที่เบิกบาน ตื่นตัวในการทำงานตลอดเวลา เมื่อเกิดความเครียดก็ควรพักผ่อน นั่งสมาธิ ออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสดใสในการทำงาน
ส.ที่ 2 สัมพันธ์ เราต้องยอมรับว่าในการทำงานทุกๆวัน ในองค์กรหรือนอกองค์กร เราต้องทำงานกับผู้คน การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน จึงเป็นสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติ เพราะคนเราหากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็จะทำให้เกิดความร่วมมือกันในการทำงาน สำหรับการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เราควรฝึกฝนและสร้างมนุษย์สัมพันธ์ในที่ทำงาน เช่น การจำชื่อบุคคลต่างๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กรให้ได้ พยายามเรียกชื่อเขาให้ถูกต้อง เพราะคนเราโดยมากมักสนใจ พึงใจในชื่อของตนเอง , รู้จักยกย่องผู้อื่น เพราะคนเราชอบคนที่ใช้คำพูดสรรเสริญ ชมเชยตนเองมากกว่าคนที่ชอบนินทา , พยายามเป็นนักฟังที่ดี คนเรามักชอบคนที่ตั้งใจฟังตนเองมากกว่า พูดขัดคอ และจะให้ดีควรพูดหรือพยายามสนทนาในเรื่องที่คู่สนทนาให้ความสนใจ เป็นต้น
ส.ที่ 3 สื่อสาร การทำงานร่วมกันของคนเรา การสื่อสารเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่า การสื่อสารด้วยคำพูด การเขียน ดังนั้น เราควรฝึกฝนและระมัดระวังเรื่องของการ คำพูด การสื่อสาร เช่น เราควรใช้คำพูดที่สร้างสรรค์มากกว่าการใช้คำพูดที่ทำลายกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ สร้างบรรยากาศในการทำงาน เช่น ใช้คำว่า “ สวัสดี” เมื่อต้องการทักทายกัน ใช้คำว่า “ ขอโทษ” หากว่าเราทำผิด ใช้คำว่า “ ขอบคุณ” เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ส.ที่ 4 สนใจงาน การที่คนเราจะมีความก้าวหน้าในการทำงาน ความสนใจงาน การรู้จักเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสนใจงาน จะทำให้เราเกิดสมาธิ เกิดความมุ่งมั่น เกิดการเอาใจใส่ในงานที่ตนเองทำ เมื่อเกิดความสนใจในงานที่ทำ รู้จักเรียนรู้ รู้จักลำดับความสำคัญของงานก่อนหลัง และพัฒนาตนเองแล้ว ก็จะเกิดความก้าวหน้าในการทำงาน อีกทั้งการสนใจในงานที่ทำจะทำให้เราพร้อมที่จะทำการสำรวจและประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา ว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร ควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในด้านใดบ้าง
ส.ที่ 5 สุขใจ ดังที่ได้กล่าวไว้แต่ตอนต้นแล้วว่า ช่วงเวลาของคนเรา ช่วงเวลาในการทำงานถือว่ายาวนานที่สุด ฉะนั้น เราต้องทำงานที่เรารัก เราต้องทำงานที่เราชอบ เราจึงจะเกิดความสุขใจ แต่หากว่าเราไม่สามารถทำงานที่เรารักได้ เราก็ควรปรับตัวให้ รักในงานที่เราทำในปัจจุบัน เราก็จะเกิดความสุขใจ สบายใจในการทำงาน
สุดท้ายนี้ การสร้างความสุขในการทำงานยังมีปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น การสร้างบรรยากาศในห้องทำงาน โต๊ะ เก้าอี้ แฟ้มเอกสาร หนังสือ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน ควรเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้ง หลักการในการทำงานที่ดี ไม่ใช่การทำงานหนัก แต่ควรทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางคนทำงานหนักเพียงแค่วันสองวัน แล้วหยุดยาว ตรงกันข้าม การทำงานอย่างสม่ำเสมอ จะได้ผลงานที่มากกว่า
และสิ่งที่สำคัญ ควรแบ่งเวลาหรือบริหารเวลาให้เกิดความสมดุลขึ้นในการดำรงชีวิต เช่น เวลาสำหรับครอบครัวเวลาสำหรับการพักผ่อน เวลาสำหรับการทำงานอดิเรก เวลาสำหรับการเข้าสังคม เป็นต้น

...
  
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
การบริหารเวลา : ทำทันทีหรือททท.
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความคิดที่ดีๆของคนเรามากมาย ไม่สามารถออกมาเป็นรูปธรรมหรือออกมาเป็นผลงานได้ก็เนื่องมาจากการไม่ยอมที่จะลงมือทำทันที หลายคนนึกอยากที่จะเขียนหนังสือ อยากที่จะเขียนบทความ อยากที่จะเรียนต่อ แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ก็เนื่องมาจากการผัดวันประกันพรุ่ง
การผัดวันประกันพรุ่ง การไม่ยอมที่จะลงมือทำทันทีนี้ทำให้เราเสียโอกาสที่สำคัญๆของชีวิตไป แต่สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเขามีความคิดที่ดีๆ เขาจะเริ่มลงมือทำทันที ไม่ปล่อยให้โอกาสหรือความคิดที่ดีๆนั้นผ่านพ้นไป
นักธุรกิจใหญ่ๆที่ประสบความสำเร็จ หลายๆท่านเมื่อเห็นโอกาสแล้ว เขาจะไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังการผลิต เขาไม่รีรอที่จะหาเครื่องทุ่นแรงมาช่วยเช่นเทคโนโลยีต่างๆ เขาจะสั่งซื้อและใช้เงินลงทุนทันที ตรงกันข้ามหลายๆคน อยากที่จะเปิดร้านทำธุรกิจสักแห่ง ไม่ว่าร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า เขาจะคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ไม่สามารถเปิดร้านได้ เพราะมัวแต่เสียเวลากับการคิดแต่ไม่ยอมที่จะลงมือทำ
ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง ขอให้ท่านจงลงมือทำทันที ไม่ต้องรีรอ หากว่าท่านมั่นใจจงเริ่มลงมือทำ เพราะการลงมือทำจะทำให้ท่านเห็นผลงาน และเมื่อท่านเห็นผลงานท่านก็จะเกิดความภาคภูมิใจ อีกทั้งเกิดประสบการณ์ใหม่ๆ ตรงกันข้ามการชักช้า รีๆรอๆ มักจะทำให้ความกระตือรือร้นของท่านจืดจาง เมื่อเวลาผ่านไปท่านก็จะมีความรู้สึกไม่อยากที่จะทำมัน หลายๆท่านกลัวที่จะล้มเหลว อย่าได้กลัวมันเลยเจ้าความล้มเหลวนี่ เพราะความล้มเหลวจะสอนให้เราเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น แข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม
การผัดวันประกันพรุ่งจึงเป็นอุปสรรคต่อการบริหารเวลา การผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เกิดจากสิ่งอื่นใดเลย แต่เกิดจากตัวของเราเองนี่แหละ เพราะตัวของเราเอง ชอบมีข้ออ้างและเหตุผลต่างๆ เช่น ยังมีเวลาอีกหลายวัน , เดี๋ยวค่อยทำ , พรุ่งนี้ค่อยทำ เป็นต้น
หลายๆท่านเห็นงานที่มีมากแล้วไม่อยากลงมือทำ เช่น การเขียนหนังสือสักเล่มซึ่งมีจำนวน 200 หน้า ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากทำเพราะการจะเขียนหนังสือให้ครบ 200 หน้า ต้องใช้เวลานานหลายเดือน แต่เราสามารถทำได้โดยอาศัยเทคนิคดังนี้ คือ การซอยงานใหญ่ๆให้น่าทำขึ้น
หากหนังสือของเรามี 200 หน้า เราสามารถแบ่งออกเป็นบทๆหรือตอนๆ ได้ไหม เมื่อเราแบ่งออกเป็น 20 บท หรือ20 ตอน เราก็จะได้บทหรือตอนละ 10 หน้า แล้วเราจึงเริ่มลงมือเขียนทีละตอน ทีละตอน จนได้หนังสือออกมาเป็นเล่ม
การซอยงานใหญ่ๆ ให้น่าทำขึ้นหรือการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตอนๆ นี้ จะทำให้เราเกิดกำลังใจทำงาน กล่าวคือ เมื่อเราเขียนไปได้ 1 ตอนแล้ว เราก็อยากที่จะเขียนตอนต่อไป แทนที่จะปล่อยเวลาให้ช้าหรือคงค้างงานเอาไว้
จงเพาะนิสัยทำทันทีหรือททท. แล้วท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ดังคำพูดของ เดล คาร์เนกี ที่ว่า “เมื่อตัดสินใจแล้วปฏิบัติทันที จงลงมือทำเดี๋ยวนี้”
...
  
กฎแห่งความสำเร็จ(กฎแห่งแรงดึงดูด)
กฎแห่งความสำเร็จ(กฎแห่งแรงดึงดูด)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
กฎแห่งความสำเร็จมีหลากหลายกฎ แต่กฎแห่งแรงดึงดูด เป็นกฎหนึ่งที่บุคคลที่ประสบความสำเร็จใช้เป็นวิธีการ ใช้เป็นเครื่องมือ นำทางไปไปสู่ความสำเร็จ กฎแห่งแรงดึงดูด ก็คล้ายๆกับกฎทั่วไปเช่นเดียวกับ กฎแห่งแรงโน้มถ่วง
ซึ่งกฎแห่งแรงดึงดูด มีลักษณะคือ สิ่งใดที่เราคิดอยู่เสมอ ฝันอยู่เสมอ หมกมุ่นอยู่เสมอ มันก็มักจะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตเราและเป็นความจริงในที่สุด
เราสามารถพัฒนากฎแห่งแรงดึงดูดมาใช้โดย
1.ท่านต้องหาเป้าหมายหรือหาความฝันหรือค้นหาในสิ่งที่ตนเองต้องการให้เจอเสียก่อน เช่น ท่านอยากเป็นนักเขียน ท่านอยากเป็นนักร้อง ท่านอยากเป็นนักแสดง ท่านอยากเป็นผู้สื่อข่าว ฯลฯ
2.ท่านจงเขียนมันลงไป ไบรอัน เทรซี่ นักวิชาการ วิทยากร นักบริหาร ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า จากการสอนวิชาเคล็ดลับไปสู่ความสำเร็จ ปรากฏว่าเขาให้ผู้เข้ารับการอบรมเขียนเป้าหมาย เขียนความฝัน เขียนสิ่งที่ต้องการ แล้ววางแผนสิ่งต่างๆ เหล่านั้นโดยการเขียนไปในกระดาษผลปรากฏว่า ผู้เข้ารับอบรม ที่เขียนเขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถึงสองปี แล้วนำสิ่งที่เขียนมาดู จะปรากฏว่า สิ่งต่างๆที่ได้เขียน มีการเกิดขึ้นเป็นความจริงมากกว่า ผู้เข้ารับการอบรมที่ไม่ได้เขียนเป้าหมาย เขียนแผนการ ลงไปในกระดาษ
3.ท่านต้องจดจ่อต่อเป้าหมาย จะทำให้ท่านเกิดวิธีการขึ้นมาเอง การจดจ่อต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านเกิดกำลังใจในการทำงาน เกิดการไม่ท้อแท้ ท้อถอยต่ออุปสรรค การจดจ่อ ต่อเป้าหมายจะทำให้ท่านไปถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วมากกว่าคนที่ไม่จดจ่อต่อเป้าหมาย และยิ่งถ้าใครสามารถจินตนาการถึงเป้าหมายตามไปด้วยก็ยิ่งดี หนทางที่ดีควรจินตนาการก่อนนอนเพราะช่วงนี้ จิตใต้สำนึกจะรับภาพสิ่งที่เราจินตนาการได้มากกว่าช่วงอื่นๆ ในการดำเนินชีวิต
4.ท่านต้องเริ่มลงมือทำ “ ระยะทางหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก” การเริ่มก้าวแรกเป็นสิ่งที่ยากในการทำใจหรือการทำ แต่เมื่อท่านได้เริ่มต้นแล้ว โอกาสที่จะเดินก้าวที่สองย่อมง่ายขึ้นกว่าการเดินก้าวแรก
5.ท่านต้องมีความสม่ำเสมอในการทำงานไปสู่เป้าหมาย จงทำงานให้มากขึ้น แต่ต้องทำงานอย่างฉลาด ต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมาย การทำงานที่ฉลาด ท่านต้องเลือกงานที่มีความสำคัญก่อน ส่วนงานที่ไม่สำคัญ ท่านสามารถให้คนอื่นช่วยทำงานก็ได้เพื่อเป็นการประหยัดเวลาของท่าน
6.ท่านจงใช้เวลาในทุกๆวัน ในการประเมินตนเอง ว่าสิ่งที่ท่านทำในทุกๆวัน มีการพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว มีอะไรที่ผิดพลาด อะไรที่ท่านต้องพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้ท่านทำงานได้ดีขึ้น ทำงานได้มากขึ้น
จากข้อความข้างต้นนี้ ท่านสามารถนำกฎแห่งแรงดึงดูดไปใช้ได้ เพียงแต่ท่านต้องไปศึกษาเพิ่มเติม แล้วควรเริ่มฝึกลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง หากท่านลงมือทำอย่างจริงจังกระผมเชื่อแน่ว่า กฎแห่งแรงดึงดูดก็จะนำท่านไปสู่เป้าหมายในชีวิตที่ท่านได้วางเอาไว้




...
  
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ใช้เวลาเพื่อการทำงานเถิด....มันคือรางวัลแห่งความสำเร็จ....
ใช้เวลาเพื่อการคิดเถิด....มันคือที่มาของพลังอำนาจ.....
ใช้เวลาเพื่อการผ่อนคลายเถิด...มันคือเคล็ดลับแห่งความมีชีวิตชีวา....
ใช้เวลาเพื่อการอ่านเถิด....มันคือรากฐานแห่งสติปัญญา....
ใช้เวลาเพื่อการฝันเถิด....มันคือพาหนะที่นำไปสู่ดวงดาว
ใช้เวลาเพื่อการสังเกต...เรียนรู้...อย่างกว้างขวางเถิด....
วันเวลาสั้นเกินไปที่จะเห็นแก่ตัว....
ใช้เวลาเพื่อการหัวเราะเถิด....มันคือดนตรีแห่งวิญญาณ...(บทสวดของชาวไอริช...)
การใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาโดยทั่วไป มักมีความแตกต่าง ซึ่งการใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาจะมุ่งเน้นในการทำงานหรือการใช้เวลาไปกับเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน เป็นอันดับแรก เขาจะมีการวางแผนในการใช้เวลา เช่นเดียวกับศัลยแพทย์ชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าผมจะต้องผ่าตัดผู้ป่วยโดยใช้เวลา 13 นาที ผมจะใช้เวลาวางแผนการผ่าตัด 3 นาที เหลืออีก 10 นาทีผมจะใช้เวลาในการทำการผ่าตัด”
เราจะเห็นได้ว่าการวางแผนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อีกทั้งการควบคุมตนเองก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“เกษตรกรชายคนหนึ่ง ตื่นมาแต่เช้าเพื่อที่จะออกไปขุดดินเพื่อปลูกผัก เขามีความตั้งใจมากว่าจะต้องขุดดิน ขึ้นแปลง เพื่อทำการปลูกผักให้เสร็จภายในวันเดียว สวนผักของเขาอยู่ห่างไกลจากบ้านพักอาศัยที่เขาอาศัยอยู่ เขาจึงขับรถยนต์ ไปเติมน้ำมัน ระหว่างทางเขาขับรถยนต์ผ่านตลาดสด เห็นคนนำลูกไก่มาขาย เขาจึงคิดว่า แวะซื้อลูกไก่สัก 10 ตัว คงไม่ทำให้เสียเวลามาก ดังนั้นเขาก็จอดรถยนต์เพื่อลงไปซื้อลูกไก่ แล้วเขาก็ขับรถต่อไป เห็นร้านขายไม้กวาด เขาคิดว่าจะซื้อไปฝากภรรยา เขาจึงลงไปซื้อไม้กวาดมา 1 อัน แล้วเขาก็ขับรถต่อไป พอถึงปั๊มน้ำมัน เติมน้ำมันเสร็จ เขาเห็นคนนำผักผลไม้มาขาย เขาจึงตัดสินใจซื้อเพื่อนำไปเป็นอาหารมื้อเย็น จนถึงสวนของเขา ภายในสวน เขาเห็นบึงเล็กๆ มีน้ำเหลืออยู่จำนวนไม่มาก แต่ภายในบึงมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เขาคิดว่า เขาจะตักน้ำออกจากบึงแล้วเอาปลาออกจากบึง เพื่อนำไปเป็นอาหารเย็น ”
เราจะเห็นว่าเกษตรกรชายคนนี้ มีเป้าหมายและการวางแผนว่าจะออกไปขุดดิน ขึ้นแปลงเพื่อปลูกผัก แต่เอาเข้าจริงๆ มีกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปกับเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ หลายๆคนอ่านแล้ว คงนึกขำตลกกับเกษตรกรชายคนดังกล่าว แต่หารู้ไม่ พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างไปจากเกษตรกรชายคนนี้มากนัก
หลายๆคนมีเป้าหมายแล้ว มักจะเฉไฉ ไม่พยายามเดินตรงไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ หลายๆคนออกนอกเส้นทางไปเลยก็มี เพราะระหว่างทางมักมีสิ่งล่อ สิ่งเร้า เพื่อให้เราเดินออกนอกเส้นทางที่เราวาง การบริหารเวลาที่ดีก็เช่นกัน คนที่จะบริหารเวลาได้ดีจำเป็นอย่างมากจะต้องเป็นคนที่มีวินัย
หลายๆคน มักบ่นว่าทำงานหนัก แต่หากพวกเราไปศึกษา วิเคราะห์ การใช้เวลาของเรา เราก็จะเห็นว่า เราใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ มากจนเกินไป จนลืมทำงานที่สำคัญที่สุดของเรา จึงทำให้เกิดผลลัพธ์น้อยมาก การทำงานหนักไม่ได้หมายถึงว่าคนๆนั้นจะประสบความสำเร็จ หากว่าการทำงานหนักและทำงานอย่างชาญฉลาดต่างหากที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำจะเป็นการดีกว่า (โพธิสัตว์)
...
  
เป้าหมายชีวิต
เป้าหมายชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ชาวประมงเดินเรือยังต้องมีเข็มทิศ คุณจะดำเนินชีวิตคุณจำเป็นจะต้องมีเป้าหมาย
เป้าหมายมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มีความแตกต่างกันหลายประการ แต่สิ่งหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จมีเหมือนกันเกือบทุกคนนั้นก็คือ “ เป้าหมาย”
จากงานวิจัยของนักวิชาการชาวสหรัฐหลายท่าน ได้ระบุตรงกันว่า การที่คนจำนวน 90-95 เปอร์เซ็นต์ มีความล้มเหลวในชีวิตเนื่องจาก การไม่มีเป้าหมายในชีวิตนั้นเอง แต่ตรงกันข้ามกับคนจำนวนเพียงแค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ที่ประสบความสำเร็จ ก็เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าตนเองมีความต้องการอะไร อีกทั้งยังมีแผนการที่แน่นอนในการทำงาน
จากงานวิจัยยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนคนที่ล้มเหลว 90-95 เปอร์เซ็นต์ นั้นมักไม่ผูกพันกับงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองไม่ชอบ แต่ในขณะที่คนจำนวน 5-10 เปอร์เซ็นต์ มักผูกพันในงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองชอบที่สุด
จากงานวิจัยข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจ ที่คนส่วนใหญ่ในโลก ใช้ชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายชีวิต อีกทั้งยังไม่มีความสุขในการทำงานเนื่องจาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในงานที่ตนเองรัก
สำหรับหลายท่านมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ทำไมไม่มีพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายในชีวิต จากการอ่านค้นคว้าและศึกษา ของกระผม ได้ข้อสรุปดังนี้
1.ท่านขาดความจริงจัง ท่านขาดการหมกมุ่น ท่านขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเป้าหมายที่ท่านวางไว้
2.ท่านขาดความถี่ในการคิดหรือฝันในเป้าหมายของท่าน จงคิดและฝันทุกๆวันและบ่อยๆ
3.ท่านขาดการเขียนมันออกมาให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จงเขียนลงในกระดาษ จงสร้างภาพฝันโดยการ หารูป บุคคลหรือสิ่งที่ท่านต้องการเป็นมาติดตามผนังบ้าน ประตู เพื่อย้ำความทรงจำ
4.ความฝันหรือเป้าหมายของท่านเล็กเกินไป การตั้งเป้าหมายเล็กเกินไป ทำให้ท่านไม่อยากที่จะลงมือทำ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 100,000 บาท กับตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 1,000,000 บาท ทำให้ความตั้งใจและการมีพลังในการทำต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่มากๆ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้เงิน 100,000,000 บาท อย่างนี้อาจทำให้ท่านหมดกำลังใจ เลิกทำแล้วทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้
5.ท่านขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือคิดว่าท่านทำไม่ได้ การคิดลบมักทำให้หมดพลัง แต่การคิดบวก ว่าตนเองทำได้ ทำให้เกิดพลัง จงคิดบวกบ่อยๆและสม่ำเสมอ
6.ท่านจะต้องประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ถึงเป้าหมาย ถึงความฝันของท่าน จงกล้าที่จะประกาศ เพราะ การกล้าที่จะประกาศจะทำให้มีคนค่อยเตือนท่าน หรือ หากท่านทำไม่ได้ท่านก็จะอาย ท่านจะเกิดพลังเพิ่มมากขึ้น
ทั้ง 6 ประการข้างต้น จึงเป็นเทคนิคที่ทำให้ท่านเกิดพลังขึ้นในการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิต จงลงมือปฏิบัติแล้วท่านจะเห็นผลที่เกิดขึ้น
ท้ายนี้อยากฝากแง่คิดไว้ว่า “ อย่าได้บอกโลกเลยว่าท่านทำอะไรได้บ้าง....แต่จงแสดงความสามารถ
ออกมาให้เห็น”



...
  
การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การผัดวันประกันพรุ่ง คือ ตัวเร่งปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หลายๆคนโดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ มักเสียเวลาไปกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การดูโทรศัพท์ การพูดคุยโทรศัพท์ บางคนก็เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า เป็นเวลานานหลายๆชั่วโมง หลายๆคนมักมีข้ออ้างว่าเป็นการพักผ่อน
แต่มันจะคุ้มค่าหรือ ? ที่ใช้เวลาพักผ่อน เป็นจำนวนหลายๆชั่วโมงในแต่ละวัน ตรงกันข้ามกับบุคคลที่รู้จักคุณค่าของเวลา เขาจะใช้เวลาไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น การพัฒนาตนเอง การเรียนภาษาอังกฤษ การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา ฯลฯ และเมื่อเวลาผ่านไปเราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ใช้เวลาเป็นกับคนที่ใช้เวลาไม่เป็น
คนที่ใช้เวลาเป็นเขาจะได้รับความก้าวหน้า ทั้ง การเรียน หน้าที่การงาน เขาจะก้าวไปได้ไกลกว่าคนที่ใช้เวลาไม่เป็นหลายเท่า ดังนั้น การศึกษา เรียนรู้ การบริหารเวลา แล้วนำไปใช้จึงทำให้คนหลายๆคนประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่และการทำงาน คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการลำดับความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ก คือ งานที่สำคัญมาก มีความเร่งด่วน มีผลกระทบต่อความสำเร็จ ไม่ทำไม่ได้จะเสียหาย
ข คือ งานที่มีความสำคัญรองลงมา ยังไม่มีความเร่งด่วน แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำ
ค คือ งานที่ไม่สำคัญ แต่มีความเร่งด่วน เขามักจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำแทน
ง คือ งานที่ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน เขาจะไม่ทำหรือให้คนอื่นทำแทนก็ได้
คนที่ประสบความสำเร็จมัก เน้นที่จะทำงาน ก และ ข คือ เขาจะเลือกทำงานที่สำคัญที่สุดและสำคัญรองลงมาก่อน ส่วนงานที่ไม่มีความสำคัญ เขาจะจ้างหรือหาผู้ช่วยทำแทน
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเลือกทำทุกเรื่องที่เข้ามาหาเขา อีกทั้งยังไม่มีความไว้วางใจใคร ให้ช่วยทำงานแทน เขาจึงต้องทำงานที่ไม่มีความสำคัญอยู่ร่ำไป
หลังจากการจัดลำดับงานที่มีความสำคัญและไม่สำคัญแล้ว เราควรที่จะต้องมีการวางแผนการทำงาน อีกทั้งควรมีสมุดบันทึกการทำงานที่ดี ไดอารี่ เครื่องมือช่วยเตือนความจำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ เราใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ เราจำเป็นจะต้องมีวินัย หลายๆคน วางแผนการใช้เวลา แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดังแผนการที่วางเอาไว้ ก็เนื่องมาจาก การไม่มีวินัย การผัดวันประกันพรุ่ง ฉะนั้น จงเพาะนิสัยที่ดีในการบริหารเวลา เพื่อความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในทางการวิจัย เคยมีผู้วิจัย วิจัยออกมาว่า หากท่านต้องการสร้างนิสัยใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวของท่าน ท่านจงทำสิ่งนั้นทุกๆ วันติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน แล้วนิสัยใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวของท่าน
จงเรียนรู้และศึกษาเรื่องของการบริหารเวลา แล้วนำไปปฏิบัติ ท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.