หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การจัดการเวลา
การจัดการเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากันคือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักที่จะสร้างผลงานได้มากกว่าคนธรรมดา บุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีเวลามากกว่าพวกเราหรือ คำตอบคือ เปล่าเลย คนเรามีเวลาเท่ากันแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการ จัดการเวลา
หากไม่สามารถจัดการเวลาได้ ท่านก็ไม่สามารถจัดการชีวิตของตนเองได้ การจัดการเวลาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดแจงตัวเอง เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยาก ผู้ที่จะจัดการเวลาให้ได้ดีจำเป็นจะต้องมี วินัยสูง หากว่าไม่มีการจัดการเวลา ชีวิตของเราจะสร้างผลงานได้น้อยมาก
สำหรับคนที่จะจัดการเวลาให้ได้ดี มักเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต เช่น เขาอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ , เขาอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ฯลฯ หากว่าคนเรามีเป้าหมายชีวิต เขาก็จะเกิดการพัฒนาตนเอง เขาก็จะเกิดการเรียนรู้ เขาจะรู้จักคุณค่าของเวลาและเขาจะเป็นคนที่รู้จักจัดการเวลาของตนเอง ดังนั้น เป้าหมาย แรงจูงใจมีความสำคัญมากต่อการจัดการเวลาของคนเราแต่ละคน
คนที่จัดการเวลาได้ดีคือคนที่รู้จักการเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่ตนเองทำ งานแต่ละงานมีความสำคัญมากน้อยที่แตกต่างกัน คนที่จัดการเวลาเป็น มักจะให้ความสำคัญกับงานที่สำคัญมากที่สุดก่อนแล้วจะทำงานที่สำคัญลดน้อยลงไปตามลำดับ
คนที่จัดการเวลาเป็น มักมีเครื่องมือช่วย เช่น ปฏิทิน , ไดอารี่ , สมุดโน้ต เป็นต้น อีกทั้งต้องทำรายการในเรื่องที่จะต้องทำในอนาคต วันพรุ่งนี้ สัปดาห์นี้ ไว้ในเครื่องมือต่างๆ เพื่อที่จะลงมือทำตามแผนการที่วางไว้ อีกทั้งควรใช้กฎของพาร์กินสัน คือกำหนดเส้นตายของงานที่ต้องการทำให้เสร็จ
ทำไมจึงต้องมีการจัดการเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เวลาเมื่อผ่านไปแล้วย้อนคืนมาอีกไม่ได้ ,เวลามีจำกัดไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้ , เวลามีคุณภาพที่แตกต่างกัน เช่น เวลากลางคืน เวลากลางวัน , เวลามีค่าเสียโอกาส หากเราเอาช่วงเวลาหนึ่งไปทำงานอย่างหนึ่งเราก็จะเสียโอกาสในการทำเรื่องอื่นๆไปด้วย เป็นต้น
คนที่รู้จักจัดการเรื่องของเวลาต้องรู้จัก การปฏิเสธ ในชีวิตประจำวัน เรามักจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องของคนอื่นๆ เป็นจำนวนมาก เช่น พูดคุยกัน นินทากันในเรื่องของคนอื่นๆ ช่วยผู้อื่นหรือเป็นธุระให้กับคนอื่น ซึ่งหากว่าเราวิเคราะห์ดูแล้ว ว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ ทำให้เราเสียเวลา อีกทั้งมีผลกระทบกับเป้าหมายที่เราวางไว้ เราก็ควรที่จะปฏิเสธ แล้วกลับไปทำงานใช้เวลาให้ตรงกับเป้าหมายในชีวิตของเรา
ผลดีของการจัดการเวลา คือ จะทำให้เราทำงานได้เสร็จตรงตามกำหนดที่ได้รับมอบหมาย , ทำให้ทำงานหลายๆสิ่งในเวลาเดียวกันได้ เช่น ตอนอาบน้ำ เราสามารถนำเทป VCD วิชาการ ความรู้ต่างๆ ไปฟังด้วย , ทำให้ทำงานเป็นระบบมากขึ้น เมื่อเรารู้จักคุณค่าของเวลา เรามักจะจัดระบบต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น จัดระบบห้องสมุดขึ้นภายในบ้านหากว่าเราเป็นนักเขียน ก็จะช่วยให้เราหาหนังสือเพื่อใช้เป็นข้อมูลได้ง่ายขึ้น เสียเวลาน้อยลง เป็นต้น
ผลเสียของการไม่จัดการเวลา คือ ทำงานได้น้อย สร้างผลงานได้น้อยกว่าคนที่รู้จักจัดการเวลา , ทำงานเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลาที่จะต้องส่ง , ทำงานขาดประสิทธิภาพ งานขาดความเรียบร้อย ต้องมีความเครียดตลอดเวลา เพราะต้องทำงานเร่งด่วนอยู่บ่อยๆ ทำให้เกิดความเครียดในการทำงาน
สุดท้ายขอฝากแง่คิดว่า “ ช่องว่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนธรรมดา คือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือของเวลา

...
  
Marketing Environment
Marketing Environment
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ก่อนที่จะประกอบธุรกิจ ก่อนที่จะทำการตลาดในยุคปัจจุบัน การศึกษา สิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาด(Marketing Environment) มีความสำคัญมาก เพราะการศึกษาสิ่งแวดล้อมทางด้านการตลาดจะทำให้เราได้รู้ถึง สถานการณ์ต่างๆในการแข่งขัน ยิ่งถ้าเรามีข้อมูลของผู้แข่งขันมาก ถ้าเรารู้ถึงสภาพเศราฐกิจของโลกของประเทศมาก ก็จะยิ่งทำให้เราประเมินสถานการณ์ต่างๆได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น และจะทำให้เราตัดสินใจในการทำการตลาดและทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับสิ่งแวดล้อม เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Factors) คือ ปัจจัยต่างๆที่เราสามารถควบคุมได้ จัดการได้ เช่น การจัดการทางด้านการเงิน(Financial) การจัดการทางด้านการผลิต(Production) การจัดการทางด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) การจัดหาที่ตั้งของบริษัท(Company Location) การวิจัย (Research) รวมไปจึงถึงการจัดการทางด้าน 4P คือ ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา(Price) ช่องทางในการจัดจำหน่าย(Place) การส่งเสริมการตลาด(Promotion)
ซึ่งปัจจัยสถาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ หากบริษัทสามารถบริหาร จัดการได้ดีก็จะส่งผลกระทบในด้านบวก ต่อการสร้างจุดแข็ง(Strategy)ของบริษัท และถ้าหากว่า บริษัท บริหารหรือจัดการได้ไม่ดีก็จะส่งผลกระทบทางด้านลบจนการเป็นจุดอ่อน(Weakness)ของบริษัทได้เช่นกัน
2.สิ่งแวดล้อมภายนอก คือ ปัจจัยต่างๆที่เราไม่สามารถควบคุมได้ บริหารจัดการได้ซึ่ง ขอแบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับ จุลภาค(Micro) กับ ระดับ มหาภาค( Macro)
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับจุลภาค(Micro External Environment)
1.คู่แข่งขัน(Competitors) คือ เป็นปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจมีความรุนแรง จึงทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจเดียวกัน ดำเนินธุรกิจและใช้กลยุทธ์ต่างๆคล้ายคลึงกัน เช่น คู่แข่งขันทางธุรกิจใช้วัตถุดิบที่มาจากแหล่งเดียวกัน มีช่องทางจัดจำหน่ายแห่งเดียวกัน ตั้งราคาเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมือนๆกัน มีการใช้สื่อโฆษณาเดียวกัน เป็นต้น
2.กลุ่มพ่อค้าคนกลาง(Marketing Intermediaries) เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น บริษัทของเราได้ทำการส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ ให้แก่ 7-11 แต่อยู่มาวันหนึ่ง 7-11 ไม่รับจัดจำหน่ายให้แก่เรา ช่องทางจัดจำหน่ายจึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจ ซึ่งในยุคปัจจุบัน หลายบริษัท จึงหันมา ซื้อบริษัทที่จัดจำหน่าย เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายของตนเอง เช่น บริษัท CP ผลิตสินค้าประเภทอาหารเพื่อจำหน่าย ต่อมา บริษัท CP จึงได้ซื้อบริษัท แม็คโคร และ บริษัท 7-11 มาเป็นของตนเอง เป็นต้น
3. ผู้จัดหาวัตถุดิบ (Supplier) มีความสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะถ้าหากผู้จัดหาวัตถุดิบไม่ยอมส่งวัตถุดิบมาให้เราผลิต แต่กลับส่งให้กับคู่แข่งขัน บริษัทของเราก็คงจะเดือดร้อนเป็นอันมาก
4.ผู้บริโภค(Customer) ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบัน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้มากขึ้น สามารถเลือกราคาได้ตามต้องการ และสามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมภายนอกระดับมหาภาค(Macro External Environment)
1.เศรษฐกิจ Economic ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางด้านการตลาดของบริษัทอย่างแน่นอน ตัวอย่าง ถ้าเศรษฐกิจประเทศและระดับโลกตกต่ำ ก็จะทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลให้กำไรของบริษัทลดตัวลง และทำให้บริษัทต้องลดต้นทุน เช่น มีการเลิกจ้างงาน มีการลดกำลังการผลิต เป็นต้น
2.ประชากรศาสตร์(Demography) จำนวนประชากร มีผลกระทบต่อผลกำไรและขาดทุนของบริษัท เช่น ประชากรไทยมีประมาณ 62 ล้านคน แต่ในปัจจุบันมีการเปิด AEC หรือ Asean Economics Community คือ การรวมตัวของ 10 ประเทศ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันจึงทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้แก่ประชากรของ Asean ได้ถึง 636 ล้านคน เลยทีเดียว
3. การเมืองและกฏหมาย (Political and Legal) เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากมาก ทั้งนี้ แล้วแต่การเปลี่ยนแปลงของแต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยมีการปกครองในระบบประชาธิปไตย แต่อยู่มาวันหนึ่งมีการปฏิวัติ รัฐประหารโดยทหาร จึงมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและกฎหมายโดยรวมของประเทศ เป็นต้น
4.เทคโนโลยี(Technology) ในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการเกษตร เรามีการตัดต่อพันธุ์กรรมในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยียานยนต์ เรามีเครื่องยนต์กลไกใหม่ๆ ในการช่วยทำงานด้านการเกษตรและอุตสหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ เรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราทำงานอย่างได้สะดวก สบายและรวดเร็วขึ้น เช่นมีการค้าขายผ่านเว็ปไซค์ มีการติดต่อกันผ่าน E-mail มีการพูดคุยกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกและดีขึ้นกว่าในอดีต เช่น การประชุมกลุ่มผ่านไลน์ ผ่าน Facebook เป็นต้น
5.สถาวการณ์โลก เช่น ภาวะโลกร้อน ธรรมชาติ ฤดูกาล สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ ดิน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น ยุคนี้ ฤดูกาลต่างๆ มักจะไม่นิ่งหรือไม่ตรงตามกาลเหมือนในอดีต บางช่วงฤดูหนาวกลับร้อน ฤดูร้อนกับหนาว บางประเทศไม่เคยมีหิมะตกแต่ในปัจจุบันกลับมี เป็นต้น
ดังนั้น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกจะทำให้เราได้รู้ถึง การสร้างโอกาส (Opportunity) ได้ และสามาถทำให้เราวิเคราะห์ถึงอุปสรรค(Threats)ในการทำการตลาดได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้น
ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจ การดำเนินการตลาดในยุคปัจจุบัน เราควรเรียนรู้ เราควรคำนึงถึงสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดด้วย จึงจะทำให้เราดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการตลาดได้ดียิ่งขึ้น และถ้าเป็นไปได้ นักการตลาดควรทำการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดโดยการประยุกต์ทฤษฏี Swot ใช้อย่างละเอียด ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดได้ดีกว่านักการตลาดที่ไม่มีหลักการในการคิดหรือไม่มีหลักการในการดำเนินธุรกิจ แต่ ดำเนินการตลาดหรือดำเนินธุรกิจไปตามแบบยถากรรม



...
  
การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ
บรรยาย โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านแรงงานในสภาวะเศรษฐกิจ โดยบรรยายหัวข้อ " การสร้างทีมงานสู่ความสำเร็จ " ...
  
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เคยมีคนไปถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่โลกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะว่า คนที่ประสบความสำเร็จเขามีสูตรอย่างไรในการทำงาน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ให้ข้อแนะนำมา 3 ข้อ สั้นๆคือ “ สม่ำเสมอ มากพอ นานพอ” ซึ่งกระผมขอขยายความดังนี้
สม่ำเสมอ คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอาชีพอะไร เขาจะทำงานด้วยความสม่ำเสมอ ไม่หยุดยั้ง แม้ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง แดดจะร้อนสักเพียงใด เขาจะไม่หยุดทำงาน แต่ในทางตรงกันข้าม เขาจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน คนที่มีความสม่ำเสมอ มักถือว่าเป็นบุคคลที่มีความขยันขันแข็ง เขาจะทำงานจนวันสุดท้ายและท้ายสุดของชีวิตเลยทีเดียว
มากพอ คือ เขาจะมีการตั้งเป้าหมายในการทำงาน เช่น งานเขียนหากตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้เพียงวันละ 1 หน้า กับอีกคนตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเขียนให้ได้วันละ 5 หน้า เวลาผ่านไป 1 เดือน สรุปคนแรกเขียนได้ 30 หน้า กับอีกคนเขียนได้ 120 หน้า ท่านคิดว่า ใครจะมีโอกาสเป็นนักเขียนที่เก่งกว่ากันครับ แน่นอนครับคนที่สอง เพราะเขาทำสิ่งนั้น “มากพอ” ครับ
นานพอ คือ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำงานในอาชีพที่เขารัก นานพอ ไม่ใช่ทำแค่ วันสองวันถอดใจเสียแล้ว หรือทำแค่ 1 เดือน ก็หยุดทำอย่างนี้คงประสบความสำเร็จได้ยาก
ดังนั้น การทำงาน ด้วยความสม่ำเสมอ มากพอ และนานพอ เป็นแง่คิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งท่านได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่หลักการดังกล่าวยังคงใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย
...
  
การบริการสู่ความเป็นเลิศ
บรรยายในหัวข้อ " การบริการสู่ความเป็นเลิศ " ณ โรงแรมเกทเวย์ จัดโดยสำนักงานจัดหางาน ...
  
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
ทำไมจึงต้องจัดการกับเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
One day is worth two tomorrows.(วันนี้มีค่าเท่ากับวันพรุ่งนี้ถึงสองวัน)
เกษตรกรคนหนึ่งมีอาชีพทำไร่ เขามีความตั้งใจว่าวันนี้จะต้องไปปลูกหอม ปลูกกระเทียมให้หมด ในช่วงเช้าเขาจึงเริ่มเดินทางไปยังที่ดินของเขา เขาขับรถไปด้วยความตั้งใจ ในระหว่างทางบังเอิญเขาเจอร้านขาย อุปกรณ์ทางการเกษตร เขาคิดว่าเขามีเวลามากพอจึงจอดรถแล้วเข้าไปสอบถามราคาข้อมูลต่างๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจซื้อ จอบ เสียบ เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้ปลูกหอม ปลูกกระเทียม ตามที่เขาตั้งใจ พอไปถึงที่ดินของเขา เขาสังเกตเห็นว่า ใกล้ๆที่ดินมีหนองน้ำ ซึ่งน้ำในหนองกำลังจะแห้ง แต่มีฝูงปลามากมายอาศัยอยู่ในหนอง เขาจึงตัดสินใจลงไปจับปลาในหนองน้ำ พอได้ปลามากพอสมควรแล้ว เขาก็หยุดจับ แล้วก็เริ่มที่จะลงมือปลูกหอมกับกระเทียมที่เขาตั้งใจ เขาปลูกได้เพียงชั่วครู่ บังเอิญเห็นต้นหญ้าเขียวจำนวนมาก เขาคิดว่าจะเป็นการดีหากนำต้นหญ้าเขียวจำนวนมากเหล่านี้ นำไปให้วัวที่บ้านได้กิน เขาจึงเริ่มต้นเก็บต้นหญ้า เขาเก็บได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ตก เขาจึงเดินทางกลับบ้าน สำหรับเป้าหมายที่เขาตั้งใจที่จะทำคือการปลูกหอม กระเทียม ก็ปลูกได้ไม่มากและยังไม่เสร็จ
หลายๆคนคงนึกขำ กับเกษตรกรคนนี้ แต่หารู้ไม่ว่า พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆกับเกษตรกรคนนี้ ซึ่งหลายๆคน มีเป้าหมายอยากที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละวัน กลับทำไม่สำเร็จหรือเสร็จตามที่ต้องการเนื่องจากการไปทำในเรื่อง งานปลีกย่อยเสียเป็นส่วนใหญ่ เลยไปไม่ถึงไหน
ทำไมจึงต้องมีการจัดการกับเวลา เพราะหากไม่มีการจัดการกับเวลา เวลาของเราก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากว่า เวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัด เวลาไม่สามารถหาซื้อมาใหม่ได้ เราไม่สามารถหยุดเวลาได้
คนที่จัดการกับเวลาได้ดี เขามักเป็นคนที่มีเป้าหมาย ท่านผู้อ่านลองกำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เช่น อีก 10 ปี ข้างหน้า ท่านอยากเป็นอะไร ท่านผู้อ่านลองทบทวนชีวิตว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าท่านจะเดินไปในทิศทางไหน แล้วท่านจงเริ่มวางแผนการใช้เวลาเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น
หากว่าท่านมีเป้าหมายชีวิต กระผมเชื่อแน่ว่า ท่านจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ท่านจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านจะจัดสรรลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำ ท่านจะมีความกล้าหาญที่จะปฏิเสธผู้คน หากว่าผู้คนเหล่านั้น ชวนท่านคุยในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์และทำให้ท่านรู้สึกเสียเวลา และท่านจะไม่มีการผัดวันประกันพรุ่ง
ตอนนี้ท่านผู้อ่านอาจลองทดสอบตัวเองด้วยการ ตอบคำถามข้างล่างให้ตรงกับความเป็นจริงเพื่อดูว่าเรามีการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
1.ท่านมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนหรือไม่
2. ท่านมีการวางแผนเวลาหรือไม่
3.ท่านมีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่ท่านทำหรือไม่
4.ท่านมีเครื่องมือช่วยในการวางแผนเวลา เช่น ไดอารี่ ปฏิทิน สมุดโน้ต หรือไม่
5.ท่านมีการบังคับตนเองเพื่อทำตามแผนงานที่ท่านได้วางแผนไว้หรือไม่
6.ท่านมีการแบ่งเวลาให้กับตัวเอง โดยหาที่สงบๆให้กับตนเองได้ใช้ความคิดหรือไม่
7.ท่านใช้เวลาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดหรือไม่ เช่น ระหว่างนั่งรอพบคน ท่านเอาหนังสือออกมาอ่าน
จากแบบทดสอบข้างต้น หากข้อใดท่านตอบว่า “ ไม่ ” ท่านควรตรวจสอบแล้วหาทางปรับปรุงตัวท่านเอง การปรับปรุงตัวท่านจะทำให้การจัดการเวลาของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Prepare today for the needs of tomorrow. (เตรียมพร้อมในวันนี้เพื่อภาระในวันพรุ่งนี้)

...
  
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่รัก
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)
www.drsuthichai.com
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความสงสัย อยากรู้ ว่าทำไมบุคคลที่ประสบความสำเร็จร่ำรวยเงินทอง เขาทำอย่างไรถึงได้ประสบความสำเร็จ กระผมจึงได้ศึกษาค้นคว้า อ่านหนังสือ ตำรา ต่างๆมากมาย จึงทำให้ทราบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จเขามีอะไรที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เขามักจะรักในสิ่งที่เขาทำและจะทำในสิ่งที่เขารัก
นักแต่งเพลงชื่อดังคนหนึ่ง เขาเคยรู้สึกสับสนตนเอง เนื่องจากงานเพลงที่เขาแต่งมักเกิดจากการจ้างวานหรือคนเสนอให้เขาเขียนเพลงแนวนั้นแนวนี้ จนเขารู้สึกว่า เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ในงานเพลงนั้นๆ ทำให้การใช้ภาษา การสื่ออารมณ์ต่างๆ ออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนในที่สุด เขาตัดสินใจพักงานทั้งหมด แล้วไปค้นหาตัวเองยังต่างประเทศ พร้อมด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นคู่มือนำทางชีวิตของเขา จนในที่สุดเขาก็ค้นพบตัวต้นของเขาเองอีกครั้ง ว่าเขาสามารถแต่งเพลงได้ดีหากมันเกิดขึ้นจากความต้องการภายในมากกว่าการแต่งเพลงที่เกิดจากการจ้างวานด้วยเงินเป็นจำนวนมาก
เขาจึงหันกลับมาแต่งเพลงที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงทำให้เขาพบความสุขมากยิ่งขึ้น อีกทั้งงานเพลงเหล่านั้นได้สร้างชื่อเสียงให้เขาได้อย่างมากมาย นักแต่งเพลงคนนั้นชื่อ บอย โกสิยพงษ์ หรือ นักแต่งเพลงรักในอันดับต้นๆของประเทศไทย
จงรักในสิ่งที่ทำ จงทำให้สิ่งที่ตนเองรัก มากกว่าการทำงานเพื่อเห็นแก่เงินจำนวนมาก ถ้าหากท่านทำให้สิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นชื่อเสียง เงินทอง ก็จะมาหาท่านเอง กระผมขอเขียนขยายความเรื่องของใจรักในงานว่ามีประโยชน์ต่างๆ ดังนี้
1. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ ย่อมเป็นบันไดก้าวแรกซึ่งนำพาเราสู่ความสำเร็จ ความมีใจรักในงานที่ตนเองทำจะนำพาชีวิตเราก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จ เช่น เฉินหลงรักในงานแสดง , เอดิสัน รักในงานประดิษฐ์ , ไทเกอร์ วูดส์ รักในกีฬากอล์ฟ , สตีฟ จอบส์ รักในงานค้นคว้านวัตกรรมทางเทคโนโลยี ฯลฯ
2. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะเปลี่ยนแปลงตัวคุณได้ เราลองสังเกตดูว่า หากเราทำงานที่เราไม่ชอบ เราจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ใจ ไม่อยากทำงาน ขี้เกียจ ไม่มีความกระตือรือร้น แต่หากเราลองได้ทำงานที่เรามีใจรัก ก็จะทำให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำ มีความขยันขันแข็ง ทำงานนั้นด้วยความสนุกสนาน เกิดความกระตือรือร้นในงานที่ตนเองทำ
3. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังใจ แก่ตัวเรา หากเรามีใจรักในงานที่ตนเองทำ งานนั้นจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี แจ่มใส อยู่เสมอ ยิ่งหากเราได้เห็นผลงานที่เราได้ทำสำเร็จชิ้นแล้วชิ้นเล่า เราก็จะมีความอิ่มเอมใจ แต่ตรงกันข้าม หากเราได้ทำงานที่เราไม่ชอบ ก็จะทำให้จิตใจเกิดความรู้สึกที่หดหู่ ไม่เบิกบาน ผลงานที่ได้ทำออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร เราจะไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ทำออกมา
4. คนที่มีใจรักในงานที่ตนเองทำ มักสามารถเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น สองพี่คนตระกูลไรต์ ประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกได้ ก็เนื่องจากการมีใจรักในงานที่ตนเองทำ ซึ่งก่อนการประดิษฐ์เครื่องบินลำแรกของโลกนั้น คนทั่วไปมักบอกว่าเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเคยมีคนตั้งมากมายได้พยายามประดิษฐ์เครื่องบินแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ทำ ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในที่สุดเครื่องบินลำแรกของโลกก็เกิดขึ้น จากสิ่งที่คนทั่วไปบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เนื่องจากใจรักในงานที่ทำนั้นเอง
ดังนั้น การมีใจรักในงานที่ตนเองทำจึงเป็นสิ่งที่ผู้ประสบความสำเร็จพึ่งมี บัณฑิต อึ้งรังสี รักในงานวาทยกร
ซึ่งในยุคสมัยของเขา วาทยกรในประเทศไทยไม่เป็นที่นิยมหรือเป็นที่รู้จักกันมากนัก แต่ก็ด้วยใจรักในงานที่ตนเองทำ เขาฝึกฝนอย่างหนัก หาโอกาสต่างๆให้กับตนเอง เรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนในที่สุด โลกก็จารึกชื่อของเขาให้เป็นวาทยกรระดับโลก
จงรักในสิ่งที่ท่านทำ จงทำในสิ่งที่ท่านรักแล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในการทำงาน
...
  
DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักใช้คนเป็น อ่านคนออก เข้าใจตนเอง อีกทั้งต้องมีการปรับตัวในการทำงานร่วมกันกับคนอื่น ซึ่งมีทฤษฏีต่างๆมากมาย เช่น นพลักษณ์ ( Enneagram) มีการแบ่งจำแนกคนออกเป็น 9 ประเภท , กรุ๊ปเลือด อ่านคน ( A B O AB) , อ่านคนตาม โหงวเฮ้ง , DISC ฯลฯ
แต่บทความฉบับนี้กระผมขอพูดถึงเรื่องของ DISC กับการพัฒนาภาวะผู้นำ
DISC จึงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น
DISC ได้แบ่งหรือจัดหมวดหมู่โดยแบ่งคนออกเป็น 4 แบบ ตามหลักทฤษฏีของ Dr.William Marston นักวิชาการจาก Harvard University ซึ่งได้เขียนหนังสือ เรื่อง “ The Emotions of Normal People ”
DISC มาจากอักษรย่อจากคำในภาษาอังกฤษ 4 คำ คือ Dominance (D), Influence (I), Steadiness (S) และCompliance (C)
DISC ได้บอกถึงพฤติกรรมของคนที่มีความแตกต่างกัน ไม่มีแบบใดดีที่สุดหรือเลวที่สุด แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับการนำไปปรับใช้ของแต่ละบุคคลให้เข้ากับสถานการณ์ DISC จึงสามารถแบ่งคนเป็น 4 แบบ ได้ดังนี้
D: Dominance มีพฤติกรรม พูดเร็ว เสียงดัง ฟังชัดเจน พูดจาตรงไปตรงมา ปากไว มีความมั่นใจในตนเอง กล้าตัดสินใจ มีความเด็ดขาด กล้าแสดงความคิดเห็น ทำงานรวดเร็ว คล่องแคล่ว เน้นผลลัพธ์ ชอบริ่เริ่มสร้างสรรค์ ชอบความท้าทาย รักการผจญภัย ชอบการแข่งขัน

I: Influence มีพฤติกรรม ชอบงานสังคม พูดเก่ง ช่างเจรจาต่อรอง ชอบงานบันเทิง ชอบพบปะผู้คน มีความกระตือรือร้น มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความสนุกสนาน มีอารมณ์ขัน ชอบการสื่อสาร มองโลกในแง่ดี มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น

S: Steadiness มีพฤติกรรม มีความระมัดระวัง ใจเย็น ชอบความปลอดภัย มีความอดทนหนักแน่น สุขุมรอบคอบ เป็นนักฟังที่ดี สุภาพเรียบร้อย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานตามแบบแผนที่กำหนดไว้ ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดรวดเร็ว มีความประณีต ไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไป

C: Compliance to own standard มีพฤติกรรม เจ้าระเบียบมีความละเอียดรอบคอบ กล้าตัดสินใจเด็ดขาด รวดเร็ว อิงกฎเกณฑ์มีวินัยสูง เน้นการคิดวิเคราะห์ เป็นคนมีเหตุผล ครุ่นคิด เก็บความรู้สึกเก่ง ไม่ชอบพูดมาก เป็นนักคิด นักวางแผนที่ดี
เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายขึ้น จึงของสรุปทฤษฎี DISC ดังนี้
Dominance (D) = เป็นคนชอบแสดงออก มุ่งทำงานมากกว่ามุ่งคน
Influence (I) = เป็นคนชอบแสดงออก มุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
Steadiness (S) = เป็นคนไม่ชอบแสดงออก มุ่งคนมากกว่ามุ่งงาน
Compliance (C) = เป็นคนไม่ชอบแสดงออก มุ่งงานมากกว่ามุ่งคน
ทั้งนี้ ผู้อ่านจะทราบได้อย่างไรว่า ตนเองเป็นคนแบบใดใน 4 แบบ กระผมคิดว่า ท่านคงต้องสังเกตตนเอง แต่ถ้าให้ง่ายขึ้น เราคงต้องทำแบบทดสอบตนเอง ซึ่งจะทำให้เรารู้ได้ง่ายขึ้นโดยผ่านเครื่องมือต่างๆ
ท้ายนี้ การรู้จักตนเองและผู้อื่น ยังมีอีกหลายทฤษฏีที่เราสามารถนำมาใช้ได้ กระผมจะได้ทยอยเขียน ไม่ว่าเรื่องของ นพลักษณ์ ( Enneagram) มีการแบ่งจำแนกคนออกเป็น 9 ประเภท , กรุ๊ปเลือด อ่านคน ( A B O AB) , อ่านคนตาม โหงวเฮ้ง เป็นต้น






...
  
จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร
จะเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอย่างไร

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

www.drsuthichai.com

กระผมเชื่อว่า การเริ่มต้นเป็นวิทยากรของวิทยากรในอดีตและปัจจุบัน มีเส้นทางที่แตกต่างกัน สำหรับตัวกระผมเอง เรียนจบปริญญาตรีมาก็ไม่เคยคิดประกอบอาชีพนี้ แต่ดันไปทำงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) เกือบ 5 ปี แล้วไปเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนเรศวร และ มหาวิทยาลัยพะเยา เกือบ 13 ปี แล้วจึงลาออกมาเป็นวิทยากรอิสระ ซึ่งอาชีพอาจารย์ประจำกับวิทยากรอิสระมีความแตกต่างกัน เช่น การนำเอาวิธีการสอนของนิสิต นักศึกษา ในห้องเรียน มาใช้กับคนทำงานในห้องฝึกอบรม มักใช้ไม่ค่อยได้ผล , การบรรยายในห้องเรียน 3 ชั่วโมง มีหนังสือ ตำรา อุปกรณ์ต่างๆ แต่พอเป็นวิทยากรใหม่ๆถูกเชิญไปพูดหัวข้อสั้น เช่น “ การใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ” 3 ชั่วโมง กระผมขอสารภาพว่า นั่งกลุ้มเลย ไม่รู้จะเอาอะไรไปพูด เพราะกระผมเคยฝึกพูดที่ สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย , ชมรมปาฐกถาและโต้วาที (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ,สโมสรฝึกการพูดต่างๆ เขาให้ฝึกพูดแค่ 5-8 นาที เป็นต้น

แต่เมื่อกระผมได้ผ่านเวทีต่างๆมามาก ผ่านประสบการณ์มามาก บางเวทีอาจประสบความสำเร็จ บางเวทีก็อาจจะล้มเหลว มันต้องทดลองหลายแบบ จนในที่สุด ประสบการณ์ต่างๆ ก็จะสะสม จนเราเองเกิดความชำนาญ หากถูกเชิญให้พูดเรื่องเดียวกัน เช่น “ การใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข ” 3 ชั่วโมง ในปัจจุบัน กระผมอาจขอสัก 6 ชั่วโมง เพราะไหนๆก็จะไปพูดทั้งทีแล้ว เสียค่าเดินทาง เสียค่าใช้จ่ายแล้ว ไปแล้วต้องเอาให้คุ้ม แต่สำหรับคนที่ต้องการจะเป็นวิทยากรอิสระกระผมขอแนะนำดังนี้

1.ท่านควรเลือกหัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านมีความถนัด ท่านมีความรู้ ที่จะสามารถถ่ายทอดได้ เช่น การพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ขายอย่างเซียน , ครบเครื่องนักบริหาร , การบริการสู่ความเป็นเลิศ ฯลฯ

2.หาโอกาส หลังจากนั้นควรหาเวทีบรรยายหรือนำเสนอตัวต่อหน่วยงานต่างๆ ที่มีความต้องการที่จะฟัง หัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านบรรยาย ช่วงเปิดตัวใหม่ๆ ท่านอาจจะรับบรรยายให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง พัฒนาเนื้อหาของหลักสูตรของท่าน เช่น ไปบรรยายที่ วัด สถาบันการศึกษา สโมสร สถาบัน ชมรม ฯลฯ

3.นำเสนอหลักสูตรแก่สถาบันต่างๆหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม เมื่อท่านมีความมั่นใจว่าหลักสูตรที่ท่านไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ท่านสามารถบรรยายด้วยความเชื่อมั่น ลำดับต่อไปท่านควรนำเสนอหลักสูตรนั้น แก่ สถาบันหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม เพื่อให้สถาบันหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรมหาลูกค้าให้แก่ท่าน

4.สร้างเครือข่าย แสวงหากลุ่ม หรือ บุคคลที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันเพื่อช่วยเหลือกัน ท่านควรสมัครเข้า สถาบันหรือองค์กรต่างๆ ที่สามารถนำพาท่านให้มีโอกาสได้ไปบรรยายหรือได้เป็นวิทยากรมากยิ่งขึ้น เช่น สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย , สโมสรฝึกการพูดต่างๆ , สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ฯลฯ

5.ถือกระเป๋า เดินตามวิทยากรรุ่นพี่ หากท่านมีความมุ่งมั่นในเส้นทางวิทยากรอิสระจริง ท่านอาจจะต้องลงทุนเพิ่มพูนประสบการณ์ ด้วยการเรียนรู้ คอยรับใช้ คอยให้ความช่วยเหลือ วิทยากรมืออาชีพ เพื่อจะได้เรียนรู้ เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการนำเสนอ เนื้อหา ตัวอย่าง แบบฝึกหัด ฯลฯ

6.โปรโมทตัวเองบ้าง สินค้าที่ดีหากไม่มีใครรู้จักก็มักจะขายสู้สินค้าที่ไม่ดีแต่มีคนรู้จักไม่ ได้ จงจัดหางบประมาณในการลงทุนโปรโมทตนเองบ้าง เช่น ลงทุนทำเว็บไซต์ส่วนตัว , ลงทุนโฆษณาตามสื่อต่างๆ , ลงทุนทำหนังสือที่ตนเองแต่งขาย ฯลฯ หรือ อาจจะลงทุนโปรโมทตัวเองแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เช่น การเขียนบทความลงตามสื่อต่างๆ อาทิ ในหนังสือพิมพ์ ในวารสาร ในอินเตอร์เน็ต ฯลฯ

ดังนั้น ท่านสามารถเริ่มต้นอาชีพวิทยากรอิสระได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ โดยการเลือกหัวข้อหรือหลักสูตรที่ท่านต้องการบรรยาย , หาโอกาสให้กับตัวเอง , นำเสนอหลักสูตรแก่สถาบันต่างๆหรือบริษัทรับจัดฝึกอบรม , สร้างเครือข่าย , ถือกระเป๋า เดินตามวิทยากรรุ่นพี่ และ รู้จักที่จะโปรโมทตัวเอง ...
  
ข้อดีของการให้ออกจากงาน
ข้อดีของการให้ถูกออกจากงาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในช่วงสภาวะการที่องค์กรลดกำลังคน หรือ ในช่วงภาวะปกติ การว่างงาน การตกงานถือว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ของการใช้ชีวิตของการทำงาน และกระผมเชื่อแน่ว่าหลายๆท่าน ในขณะนี้ คงประสบกับภาวะการว่างงาน ดังกล่าวคือ การถูกไล่ออกจากงานหรือถูกให้ออกจากงาน หลายท่านทำใจได้ยาก นั่งกลุ้มใจ เป็นทุกข์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การถูกให้ออกจากงาน มีข้อดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ข้อดีของการถูกให้ออกจากงาน คือ
1.ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เรา มีอิสระ อย่างเต็มที่ เพราะชีวิตการทำงานที่ผ่านมา เรามักถูกควบคุมด้วย เรื่องของ กฎ ระเบียบ เวลา สถานที่ เจ้านาย เช่น การทำงานประจำมักต้องมีเวลาเข้าออกในการทำงาน , ต้องมีกฎระเบียบ วันลา วันหยุด วันทำงาน , ต้องทำงานตามสถานที่ที่องค์กรกำหนด ไม่ว่าจะต้องถูกย้ายไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอต่างๆ , อีกทั้งยังเป็นอิสระจากเจ้านายที่คอยบ่น บังคับ ควบคุม ฯลฯ
2.ทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ ตามใจที่เราปรารถนา ในขณะที่ตอนที่เราทำงานประจำเราไม่สามารถทำได้ เช่น ออกเดินทางไปต่างจังหวัดไปหรือไปต่างประเทศ ในช่วงระยะเวลานานๆ ได้ , ทำให้มีเวลาว่างในการอยู่กับครอบครัวมากขึ้น , มีเวลาในการออกกำลังกายมากขึ้น , มีเวลาไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มากขึ้น , ทำให้เราสามารถนอนพักผ่อนได้เป็นเวลาที่นานๆขึ้นกว่าตอนที่ต้องทำงานประจำที่ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องลำบากในการเดินทางโดยใช้เวลานานๆ ฯลฯ
3.ทำให้เราได้มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพมากขึ้น เช่น ไปอบรมตามสถาบันต่างๆ , ไปอบรมในหลักสูตรต่างๆ ตัวอย่าง ไปพัฒนาทักษะการพูดต่อหน้าที่ชุมชน , ไปพัฒนาทักษะทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษ , ไปพัฒนาทักษะในการเขียนหนังสือ , ทำให้เราได้มีโอกาสใช้เวลาว่างในการพัฒนาสร้างสรรค์ผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้น หรือบางท่านอาจใช้เวลาว่างนี้ในการเรียนต่อในระดับปริญญาตรี , ปริญญาโท หรือปริญญาเอก ฯลฯ
4.ทำให้เราได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับผู้คนต่างๆ เช่น ทำให้เราใช้เวลาว่างในการไปเยี่ยมเยือนญาติที่ไม่ได้มีโอกาสติดต่อกันนาน , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบไปหาคุณพ่อคุณแม่ , ทำให้เราได้มีโอกาสไปพบปะเพื่อนฝูงที่ไม่ได้พบปะกันมานาน ฯลฯ การพบปะพูดคุยกันจะทำให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนและเมื่อมีอะไรดีๆ เขาก็จะคอยให้ความช่วยเหลือเรา
5.เป็นข้อที่สำคัญที่สุด กล่าวคือ ทำให้เราได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเรามากขึ้น โดยหาตัวตนว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารักจริงๆ คืออะไร ข้อดีของเรามีอะไรบ้าง ข้อบกพร่องของเรามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น บางท่านทำงานประเภทต่างๆ มามากมาย เปลี่ยนงานมาหลายสิบงาน แต่สุดท้ายถูกให้ออกจากงาน แล้วจึงกลับมาทบทวนตนเองดูว่าตนต้องการอะไร หรือ รัก ชอบ อะไร จริงๆ ในชีวิต ปรากฏว่า เขารักในการทำอาหาร ชอบทำอาหาร จึงได้เปิดร้านขายอาหาร หรือ ร้านขายขนม จนสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองและครอบครัว และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีความสุขเป็นอย่างมากในการทำอาหาร เป็นต้น
สรุป คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งด้านบวก ด้านลบ มีทั้งด้านดีและด้านเสีย หากเราสามารถมองโลกในแง่ดี เราก็สามารถมีความสุขในการใช้ชีวิต เนื่องจากชีวิตของคนเราสั้นนัก เราจึงไม่ควรอมทุกข์ การตกงานหรือการว่างงาน จึงมีข้อดี หากเราสามารถมองในด้านดี ซึ่งกระผมยังไม่ได้กล่าวถึงอีกหลายข้อ เช่น หากเราทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี หรือ ทำงานเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดมลภาวะ การถูกให้ออกจากงานจึงทำให้เรามีความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพ คุณภาพชีวิต อีกด้วย

...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.