หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
การบริหารเวลา : การใช้เวลาเพื่อความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ใช้เวลาเพื่อการทำงานเถิด....มันคือรางวัลแห่งความสำเร็จ....
ใช้เวลาเพื่อการคิดเถิด....มันคือที่มาของพลังอำนาจ.....
ใช้เวลาเพื่อการผ่อนคลายเถิด...มันคือเคล็ดลับแห่งความมีชีวิตชีวา....
ใช้เวลาเพื่อการอ่านเถิด....มันคือรากฐานแห่งสติปัญญา....
ใช้เวลาเพื่อการฝันเถิด....มันคือพาหนะที่นำไปสู่ดวงดาว
ใช้เวลาเพื่อการสังเกต...เรียนรู้...อย่างกว้างขวางเถิด....
วันเวลาสั้นเกินไปที่จะเห็นแก่ตัว....
ใช้เวลาเพื่อการหัวเราะเถิด....มันคือดนตรีแห่งวิญญาณ...(บทสวดของชาวไอริช...)
การใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาโดยทั่วไป มักมีความแตกต่าง ซึ่งการใช้เวลาของผู้ที่ประสบความสำเร็จเขาจะมุ่งเน้นในการทำงานหรือการใช้เวลาไปกับเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน เป็นอันดับแรก เขาจะมีการวางแผนในการใช้เวลา เช่นเดียวกับศัลยแพทย์ชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าผมจะต้องผ่าตัดผู้ป่วยโดยใช้เวลา 13 นาที ผมจะใช้เวลาวางแผนการผ่าตัด 3 นาที เหลืออีก 10 นาทีผมจะใช้เวลาในการทำการผ่าตัด”
เราจะเห็นได้ว่าการวางแผนในการทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อีกทั้งการควบคุมตนเองก็มีความสำคัญเช่นกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
“เกษตรกรชายคนหนึ่ง ตื่นมาแต่เช้าเพื่อที่จะออกไปขุดดินเพื่อปลูกผัก เขามีความตั้งใจมากว่าจะต้องขุดดิน ขึ้นแปลง เพื่อทำการปลูกผักให้เสร็จภายในวันเดียว สวนผักของเขาอยู่ห่างไกลจากบ้านพักอาศัยที่เขาอาศัยอยู่ เขาจึงขับรถยนต์ ไปเติมน้ำมัน ระหว่างทางเขาขับรถยนต์ผ่านตลาดสด เห็นคนนำลูกไก่มาขาย เขาจึงคิดว่า แวะซื้อลูกไก่สัก 10 ตัว คงไม่ทำให้เสียเวลามาก ดังนั้นเขาก็จอดรถยนต์เพื่อลงไปซื้อลูกไก่ แล้วเขาก็ขับรถต่อไป เห็นร้านขายไม้กวาด เขาคิดว่าจะซื้อไปฝากภรรยา เขาจึงลงไปซื้อไม้กวาดมา 1 อัน แล้วเขาก็ขับรถต่อไป พอถึงปั๊มน้ำมัน เติมน้ำมันเสร็จ เขาเห็นคนนำผักผลไม้มาขาย เขาจึงตัดสินใจซื้อเพื่อนำไปเป็นอาหารมื้อเย็น จนถึงสวนของเขา ภายในสวน เขาเห็นบึงเล็กๆ มีน้ำเหลืออยู่จำนวนไม่มาก แต่ภายในบึงมีปลาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เขาคิดว่า เขาจะตักน้ำออกจากบึงแล้วเอาปลาออกจากบึง เพื่อนำไปเป็นอาหารเย็น ”
เราจะเห็นว่าเกษตรกรชายคนนี้ มีเป้าหมายและการวางแผนว่าจะออกไปขุดดิน ขึ้นแปลงเพื่อปลูกผัก แต่เอาเข้าจริงๆ มีกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปกับเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ หลายๆคนอ่านแล้ว คงนึกขำตลกกับเกษตรกรชายคนดังกล่าว แต่หารู้ไม่ พวกเราส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างไปจากเกษตรกรชายคนนี้มากนัก
หลายๆคนมีเป้าหมายแล้ว มักจะเฉไฉ ไม่พยายามเดินตรงไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ หลายๆคนออกนอกเส้นทางไปเลยก็มี เพราะระหว่างทางมักมีสิ่งล่อ สิ่งเร้า เพื่อให้เราเดินออกนอกเส้นทางที่เราวาง การบริหารเวลาที่ดีก็เช่นกัน คนที่จะบริหารเวลาได้ดีจำเป็นอย่างมากจะต้องเป็นคนที่มีวินัย
หลายๆคน มักบ่นว่าทำงานหนัก แต่หากพวกเราไปศึกษา วิเคราะห์ การใช้เวลาของเรา เราก็จะเห็นว่า เราใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ มากจนเกินไป จนลืมทำงานที่สำคัญที่สุดของเรา จึงทำให้เกิดผลลัพธ์น้อยมาก การทำงานหนักไม่ได้หมายถึงว่าคนๆนั้นจะประสบความสำเร็จ หากว่าการทำงานหนักและทำงานอย่างชาญฉลาดต่างหากที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำจะเป็นการดีกว่า (โพธิสัตว์)
...
  
การพูดหน้าชุมชน
การพูดต่อหน้าที่ชุมชน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


ถ้าท่านไม่สามารถลุกขึ้นพูดต่อหน้าที่ชุมชนได้ท่านไม่ควรปรารถนาเป็นผู้นำ เป็นคำพูดของหลวงวิจิตรวาทการ


เคยมีคนถามผมว่า ความหมายของการพูดในที่ชุมชนจริงๆ ตามหลักวิชาการคืออะไร การพูดในที่ชุมชน คือ การพูดในที่สาธารณะชน โดยมีคนฟังหรือฝูงชนจำนวนมาก ผู้พูดต้องมีการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง อีกทั้งการพูดในที่ชุมชน ผู้พูดจะต้องแสดงวัจนภาษาและอวัจนภาษา เช่น ภาษาพูด ภาษาร่างกาย การแสดงท่าทางประกอบ การเคลื่อนไหวต่างๆ ต่อหน้าผู้ฟังเป็นจำนวนมาก


ดังนั้นการพูดในที่สาธารณะชนเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พูดได้แสดงความสามารถเฉพาะตัวบุคคล เพราะโดยปกติคนทุกคนที่ไม่เป็นใบ้ย่อมพูดได้ แต่บางคนเท่านั้นที่พูดเป็น ซึ่งการพูดเป็นนั้นต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ ไม่จำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์เสมอไปแต่เราสามารถมีพรแสวงได้ด้วยการฝึกฝนการพูดสม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส เราต้องหาเวทีในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนเมื่อมีโอกาส


การพูดต่อหน้าที่ชุมชนก็เหมือนกับการว่ายน้ำ หรือ กิจกรรมอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการขับรถ การเล่นกีฬาต่างๆ คือ ยิ่งเราทำมันมากเท่าไรเราก็ยิ่งชำนาญมากขึ้นเท่านั้น และเราก็ยิ่งสนุกที่ได้ทำมันด้วย

เช่น ถ้าเราอยากว่ายน้ำเป็นเราต้องลงไปว่ายน้ำ เราจะมามัวอ่านหนังสือ ตำรา ว่ายน้ำเป็นร้อยเล่ม พันเล่ม หมื่นเล่ม เราก็ไม่สามารถว่ายน้ำเป็น ดังนั้น จงโยนหนังสือ ตำรา ว่ายน้ำทิ้ง แล้ว ลงไปว่ายน้ำจริงๆแล้วเราจะว่ายน้ำเป็นในที่สุด เช่นกัน การพูดก็เหมือนกัน ถึงแม้เราจะอ่านหนังสือ ตำรา การพูดต่อหน้าที่ชุมชนเป็น ร้อยเล่ม พันเล่ม หมื่นเล่ม เราก็ไม่สามารถพูดต่อหน้าที่ชุมชนเป็น ดังนั้น จงโยน หนังสือ ตำรา การพูดต่อหน้าที่ชุมชน ทิ้ง แล้ว ขึ้นเวที หาเวทีการพูดให้มากที่สุด แล้วในที่สุดท่านจะเป็นสุดยอดนักพูด ที่สำคัญ ต้องอดทน ถึงแม้การพูดบางครั้งอาจล้มเหลว แต่ถ้าเรามีฝันว่าอยากเป็นนักพูด เราต้องอดทนรอได้ และไม่ควรดูถูกเวทีเล็ก บางคนอยากพูดเวทีใหญ่เลย ผมว่าคงยาก เพราะนักพูดที่สามารถพูดเวทีใหญ่ๆได้ นักพูดผู้นั้นต้องผ่านเวทีเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้น


เช่นกัน นักพูดที่มีค่าตอบแทนสูง ย่อมเคยผ่านการบรรยายในลักษณะ ค่าตอบแทนต่ำมาก่อน บางคนถึงขนาดบรรยายให้ฟรีๆ โดยไม่มีค่าตอบแทนเลยก็มี


และสิ่งที่สำคัญ คือ นักพูดที่ดีต้อง มีการเตรียมการพูด เช่น มีการร่างเรื่องที่จะพูดเป็นโครงเรื่อง ว่าจะขึ้นต้นอย่างไร(โดยปกติจะมี 5-10 %) โดยข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการขึ้นต้น ไม่ควรออกตัว,ไม่ควรถ่อมตนและไม่ควรอ้อมค้อม แต่ควรขึ้นต้นให้มีความตื่นเต้น เช่น การพาดหัวข่าว (Headline) , ขึ้นต้นด้วยคำถาม (Asking Question), ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีชื่อเสียง (Quousing) ฯลฯ
เนื้อเรื่องควรมีอะไรบ้าง(80-90 %) ควรจะต้องสอดคล้องกับคำนำหรือคำขึ้นต้น และสอดคล้องกับการสรุปจบ


ส่วนสรุปควรจะสรุปจบอย่างไร(5-10 %) หลักในการสรุปจบมีอยู่ว่า มีความหมายชัดเจน มีความสัมพันธ์กับเนื้อเรื่อง และหัวข้อเรื่อง กะทัดรัด โดยอาจสรุปจบแบบสรุปความ,แบบฝากให้ไปคิด,แบบเปิดเผยตอนสำคัญ และอาจจบด้วยคำคม คำพังเพย สุภาษิต


คนจะงามงามน้ำใจใช่ใบหน้า คำโบราณกล่าวมาน่าเชื่อถือ


ความรู้ดีทำงานดีมีฝีมือ แต่ซื่อบื้อเรื่องพูดจาหมดท่าเลย


รูปไม่สวยวาจาเด่นเห็นประจักษ์ ความมีเสน์ห์น่ารักก็เปิดเผย


มีคนรักคนนิยมคนชมเชย อย่าละเลยจงพูดจาให้น่าฟัง


(อ.โอษฐ วารีรักษ์)
































...
  
การพูดให้น่าเชื่อถือ
การสร้างความน่าเชื่อถือในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ในการพูดแต่ละครั้ง ผู้ฟังมักจะมีความเชื่อถือ ศรัทธาผู้พูดมากน้อยเพียงใด มักขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทั้ง 3 ปัจจัย ดังนี้
1.ตัวผู้พูด ตัวผู้พูดสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้โดย
- .การสร้างบุคลิกภาพ บุคลิกภาพของผู้พูดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ฟังเกิดความเหลื่อมใส ศรัทธา เชื่อถือหรือไม่ เช่น การแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ , การใช้ท่าทางประกอบการพูด , การพูดให้ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ ตลอดจนการใช้สายตา น้ำเสียง การเดิน การทรงตัว การใช้ภาษา การแสดงสีหน้า การใช้ไมโครโฟน ฯลฯ
- เทคนิคการพูดที่นำเสนอ เช่น พูดให้ผู้ฟังกลัว เมื่อผู้ฟังกลัวผู้ฟังมักจะเชื่อแล้วยอมปฏิบัติตาม , พูดให้ผู้ฟังอยาก เมื่อผู้ฟังมีความอยากแล้วผู้ฟังก็มักจะเชื่อและยอมทำตาม , พูดด้วยความมั่นใจ หากผู้พูดพูดด้วยความไม่มั่นใจเสียแล้ว ผู้ฟังมักจะไม่เชื่อ ฯลฯ
2.เรื่องที่นำเสนอ เราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้จากเรื่องที่นำเสนอ ส่วนใหญ่แล้วผู้ฟังมักเชื่อเรื่องที่ผู้พูด พูดนำเสนอ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฟัง เช่น เรื่องที่นำเสนอนั้น ผู้ฟังได้ประโยชน์อะไรบ้าง (หาเงินได้มากขึ้น,ประหยัดเวลา,ได้เลื่อนตำแหน่ง,ทำงานได้ดีขึ้น), เรื่องที่นำเสนอนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่(อ้างงานวิจัย ,อ้างกฎหมาย ,อ้างระเบียบ) , เรื่องที่นำเสนอนั้น มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
3.เหตุผลที่นำมาประกอบการพูด ผู้พูดอาจชักจูงใจให้ผู้ฟังเชื่อถือได้ โดยการใช้หลักฐานประกอบ เช่น มีการอ้างอิงตำรา , มีการอ้างอิงสุภาษิต คำพังเพย , มีการอ้างอิงบุคคลสำคัญๆ (พระพุทธเจ้า , นักปราชญ์ , พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว , พระเยซู ฯลฯ) , มีการอ้างอิงวัฒนธรรม ประเพณีหรือสิ่งที่ทุกคนให้ความเคารพบูชา , มีการอ้างอิงผลได้ผลเสียของเรื่องที่นำมาพูด , มีการอ้างอิงประชามติหรือเสียงในที่ประชุม , มีการอ้างอิงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ฯลฯ
ทั้งการพูดให้ผู้ฟังเชื่ออาจจะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่น การจะพูดให้คนอื่นเชื่อ ตัวผู้พูดต้องมีความเชื่อในเรื่องดังกล่าวก่อน , การจะพูดให้ผู้ฟังกลุ่มใหญ่ๆ เชื่อ เรื่องของจิตวิทยาฝูงชนมีความสำคัญซึ่งผู้พูดจำเป็นจะต้องไปศึกษาเพิ่มเติม , ผู้ฟังมักจะฟังหรือเชื่อถือ ผู้พูดที่มียศ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่พูด , ผู้พูดต้องพูดด้วยความจริงใจ พูดด้วยอารมณ์ พูดเข้าไปนั่งในหัวใจผู้ฟัง ฯลฯ
อีกทั้งยังต้องวิเคราะห์ว่าผู้ฟังคือใคร นักขาย เจ้าหน้าที่ อาจารย์ ครู นักเรียน นิสิต นักศึกษา ฯ,ฯ เพศของผู้ฟังคือใคร ผู้หญิงฟังหรือผู้ชายฟัง วัยไหน วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยชรา , ความเชื่อของผู้ฟัง การนับถือศาสนา , การศึกษา ฐานะ อาชีพ ความสนใจ ของผู้ฟัง
ท้ายนี้ขอทิ้งท้ายด้วยบทกลอนของท่านอาจารย์วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ว่า
“ อันจูงวัว จูงควาย จูงล่อลา หรือจูงม้า จูงช้าง ช่างแสนง่าย
แค่เอาเชือก ร้อยวน สนตะพาย จูงสบาย จะไปไหน ก็ไปกัน
แต่จูงคน จูงยาก ลำบากเหลือ จูงให้เชื่อ ในวจี ที่เสกสรร
พูดจูงใจ ให้คล้อยตาม ลำบากครัน ต้องเหนือชั้น วิทยา วาทะการ ”
...
  
เป้าหมายชีวิต
เป้าหมายชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ชาวประมงเดินเรือยังต้องมีเข็มทิศ คุณจะดำเนินชีวิตคุณจำเป็นจะต้องมีเป้าหมาย
เป้าหมายมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มีความแตกต่างกันหลายประการ แต่สิ่งหนึ่งที่คนประสบความสำเร็จมีเหมือนกันเกือบทุกคนนั้นก็คือ “ เป้าหมาย”
จากงานวิจัยของนักวิชาการชาวสหรัฐหลายท่าน ได้ระบุตรงกันว่า การที่คนจำนวน 90-95 เปอร์เซ็นต์ มีความล้มเหลวในชีวิตเนื่องจาก การไม่มีเป้าหมายในชีวิตนั้นเอง แต่ตรงกันข้ามกับคนจำนวนเพียงแค่ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ที่ประสบความสำเร็จ ก็เนื่องจากบุคคลเหล่านี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าตนเองมีความต้องการอะไร อีกทั้งยังมีแผนการที่แน่นอนในการทำงาน
จากงานวิจัยยังระบุเพิ่มเติมว่า จำนวนคนที่ล้มเหลว 90-95 เปอร์เซ็นต์ นั้นมักไม่ผูกพันกับงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองไม่ชอบ แต่ในขณะที่คนจำนวน 5-10 เปอร์เซ็นต์ มักผูกพันในงานที่ตนเองทำหรือทำงานที่ตนเองชอบที่สุด
จากงานวิจัยข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียใจ ที่คนส่วนใหญ่ในโลก ใช้ชีวิตโดยปราศจากเป้าหมายชีวิต อีกทั้งยังไม่มีความสุขในการทำงานเนื่องจาก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในงานที่ตนเองรัก
สำหรับหลายท่านมีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ทำไมไม่มีพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายในชีวิต จากการอ่านค้นคว้าและศึกษา ของกระผม ได้ข้อสรุปดังนี้
1.ท่านขาดความจริงจัง ท่านขาดการหมกมุ่น ท่านขาดความปรารถนาอย่างแรงกล้าในเป้าหมายที่ท่านวางไว้
2.ท่านขาดความถี่ในการคิดหรือฝันในเป้าหมายของท่าน จงคิดและฝันทุกๆวันและบ่อยๆ
3.ท่านขาดการเขียนมันออกมาให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จงเขียนลงในกระดาษ จงสร้างภาพฝันโดยการ หารูป บุคคลหรือสิ่งที่ท่านต้องการเป็นมาติดตามผนังบ้าน ประตู เพื่อย้ำความทรงจำ
4.ความฝันหรือเป้าหมายของท่านเล็กเกินไป การตั้งเป้าหมายเล็กเกินไป ทำให้ท่านไม่อยากที่จะลงมือทำ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 100,000 บาท กับตั้งเป้าหมายว่าอยากมีเงิน 1,000,000 บาท ทำให้ความตั้งใจและการมีพลังในการทำต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่มากๆ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าอยากได้เงิน 100,000,000 บาท อย่างนี้อาจทำให้ท่านหมดกำลังใจ เลิกทำแล้วทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้
5.ท่านขาดความเชื่อมั่นในตนเองหรือคิดว่าท่านทำไม่ได้ การคิดลบมักทำให้หมดพลัง แต่การคิดบวก ว่าตนเองทำได้ ทำให้เกิดพลัง จงคิดบวกบ่อยๆและสม่ำเสมอ
6.ท่านจะต้องประกาศให้คนอื่นๆได้รู้ถึงเป้าหมาย ถึงความฝันของท่าน จงกล้าที่จะประกาศ เพราะ การกล้าที่จะประกาศจะทำให้มีคนค่อยเตือนท่าน หรือ หากท่านทำไม่ได้ท่านก็จะอาย ท่านจะเกิดพลังเพิ่มมากขึ้น
ทั้ง 6 ประการข้างต้น จึงเป็นเทคนิคที่ทำให้ท่านเกิดพลังขึ้นในการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายชีวิต จงลงมือปฏิบัติแล้วท่านจะเห็นผลที่เกิดขึ้น
ท้ายนี้อยากฝากแง่คิดไว้ว่า “ อย่าได้บอกโลกเลยว่าท่านทำอะไรได้บ้าง....แต่จงแสดงความสามารถ
ออกมาให้เห็น”



...
  
การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
การบริหารเวลา : เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การผัดวันประกันพรุ่ง คือ ตัวเร่งปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
หลายๆคนโดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ มักเสียเวลาไปกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ การดูโทรศัพท์ การพูดคุยโทรศัพท์ บางคนก็เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า เป็นเวลานานหลายๆชั่วโมง หลายๆคนมักมีข้ออ้างว่าเป็นการพักผ่อน
แต่มันจะคุ้มค่าหรือ ? ที่ใช้เวลาพักผ่อน เป็นจำนวนหลายๆชั่วโมงในแต่ละวัน ตรงกันข้ามกับบุคคลที่รู้จักคุณค่าของเวลา เขาจะใช้เวลาไปกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น การพัฒนาตนเอง การเรียนภาษาอังกฤษ การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา ฯลฯ และเมื่อเวลาผ่านไปเราจะเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ใช้เวลาเป็นกับคนที่ใช้เวลาไม่เป็น
คนที่ใช้เวลาเป็นเขาจะได้รับความก้าวหน้า ทั้ง การเรียน หน้าที่การงาน เขาจะก้าวไปได้ไกลกว่าคนที่ใช้เวลาไม่เป็นหลายเท่า ดังนั้น การศึกษา เรียนรู้ การบริหารเวลา แล้วนำไปใช้จึงทำให้คนหลายๆคนประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่และการทำงาน คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับการลำดับความสำคัญ ดังต่อไปนี้
ก คือ งานที่สำคัญมาก มีความเร่งด่วน มีผลกระทบต่อความสำเร็จ ไม่ทำไม่ได้จะเสียหาย
ข คือ งานที่มีความสำคัญรองลงมา ยังไม่มีความเร่งด่วน แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำ
ค คือ งานที่ไม่สำคัญ แต่มีความเร่งด่วน เขามักจะมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำแทน
ง คือ งานที่ไม่สำคัญ และไม่เร่งด่วน เขาจะไม่ทำหรือให้คนอื่นทำแทนก็ได้
คนที่ประสบความสำเร็จมัก เน้นที่จะทำงาน ก และ ข คือ เขาจะเลือกทำงานที่สำคัญที่สุดและสำคัญรองลงมาก่อน ส่วนงานที่ไม่มีความสำคัญ เขาจะจ้างหรือหาผู้ช่วยทำแทน
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขามักจะเลือกทำทุกเรื่องที่เข้ามาหาเขา อีกทั้งยังไม่มีความไว้วางใจใคร ให้ช่วยทำงานแทน เขาจึงต้องทำงานที่ไม่มีความสำคัญอยู่ร่ำไป
หลังจากการจัดลำดับงานที่มีความสำคัญและไม่สำคัญแล้ว เราควรที่จะต้องมีการวางแผนการทำงาน อีกทั้งควรมีสมุดบันทึกการทำงานที่ดี ไดอารี่ เครื่องมือช่วยเตือนความจำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ เราใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ เราจำเป็นจะต้องมีวินัย หลายๆคน วางแผนการใช้เวลา แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดังแผนการที่วางเอาไว้ ก็เนื่องมาจาก การไม่มีวินัย การผัดวันประกันพรุ่ง ฉะนั้น จงเพาะนิสัยที่ดีในการบริหารเวลา เพื่อความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในทางการวิจัย เคยมีผู้วิจัย วิจัยออกมาว่า หากท่านต้องการสร้างนิสัยใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวของท่าน ท่านจงทำสิ่งนั้นทุกๆ วันติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน แล้วนิสัยใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวของท่าน
จงเรียนรู้และศึกษาเรื่องของการบริหารเวลา แล้วนำไปปฏิบัติ ท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
...
  
จินตนาการสู่ความสำเร็จ
จินตนาการสู่ความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
“ เพื่อที่จะคิดได้อย่างจะแจ้ง คนเราจะต้องจัดเวลาสักช่วงหนึ่ง เพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวสำหรับครุ่นคิด และสร้างจินตนาการโดยไม่มีสิ่งกวนใจ (โทมัส เอ.เอดิสัน)
บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกมักมีจินตนาการเกือบด้วยกันทุกๆคน เพราะฉะนั้น จินตนาการจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในระดับสูง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักคิดอะไรแปลก ทำอะไรแปลก พูดอะไรแปลก
เพราะคนที่มีจินตนาการมัก มีความคิดที่ริเริ่มสร้างสรรค์ สิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ว่าในทางวรรณกรรม สิ่งประดิษฐ์ ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ การเมือง ฯลฯ
ฮิตเล่อร์ มีการศึกษาน้อยนิด ไม่จบปริญญา แต่เขาก็สามารถเป็นผู้นำชาวเยอรมัน เขาสามารถพูดให้ชาวเยอรมันมานั่งฟังแบบมืดฟ้ามัวฝน แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ฮิตเล่อร์ เป็นคนที่มีจินตนาการอยู่ในระดับสูงนั้นเอง เพราะเคยปรากฏมีคนเห็นฮิตเล่อร์ ชอบเหม่อมองวิว ทิวทัศน์ ตามธรรมชาติ และมองท้องฟ้า เป็นเวลานานๆ เขามักจินตนาการถึงการเมือง การพูด ในแบบของเขา
วินสตัน เชอร์ชิลล์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีจินตนาการ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเป็นคนติดอ่าง เขาเป็นนักพูดที่ใช้ไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาใช้เวลาว่าง นึกฝัน ฝึกฝน จินตนาการว่าตนเองพูดให้สภาได้ดี จนในที่สุดเขาคือนักพูดที่ได้รับการยอมรับในประเทศอังกฤษและทั่วโลกเลยทีเดียว
อาจารย์ถวัลย์ ดัชนีและอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นักวาดรูปที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่อาจารย์ทั้งสองจะวาดรูปออกมาได้ ท่านต้องใช้จินตนาการในการสร้างภาพให้เกิดขึ้นภายในใจก่อน แล้วจึงออกมาเป็นภาพ
นักเขียนหลายท่าน ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักมีจินตนาการทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ถึง การใช้สำนวนภาษา รูป รส กลิ่น ซึ่งสัมผัสได้จากงานเขียนจนเป็นที่นิยมกันไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก ไม่ว่า งานเขียนในเชิงนวนิยาย เรื่องสั้น การแต่งเพลง เป็นต้น
มหาเศรษฐี หลายคนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง ก็เนื่องมาจากคนเหล่านั้นมีจินตนาการ พวกเขาเหล่านี้มักสร้างภาพในจินตนาการว่า ตนเองมีคฤหาสน์หรูหรา มีคนใช้คอยดูแลปรนนิบัติ นั่งรถราคาแพง พวกเขาเหล่านั้นมักจินตนาการทุกๆวัน วันละ 10-20 นาที ไม่ว่าในขณะอาบน้ำ ในขณะกำลังหลับ
โดยสรุป จินตนาการมีความสำคัญต่อบุคคลที่ต้องการประสบความสำเร็จ ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในระดับสูง ท่านต้องเป็นคนที่มีจินตนาการ
จิตนาการ จึงหมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตแต่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นภายในจิตใจก่อน แล้วภาพที่อยู่ภายในใจก็จะเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคต









...
  
ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน
วันที่ 29 พฤษภาคม 2555 บรรยาย ณ Bangkok Convention Hall ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ต้องขอขอบคุณ คนระดับมันสมองของประเทศชาวทันตแพทย์กว่า 500 ท่าน ที่ได้ตั้งใจฟังการบรรยายในหัวข้อ " ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน" ในงาน
Kerr Appreciation Festival 2012:New Paradigm indentistry จัดโดย ...
  
อาจารย์กับขวดโหลเวลา
อาจารย์กับขวดโหลเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ครั้งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มี “ อาจารย์ท่านหนึ่งได้เดินเข้าห้องเรียนพร้อมกับขวดโหลใบหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า “ ขวดโหลเวลา ” แล้วอาจารย์ท่านนั้นก็ยืนหน้าห้องพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ หลังจากนั้น อาจารย์ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาโดยการเริ่มเอา ขวดโหลเวลาขึ้นมาบนโต๊ะ จากนั้นก็ค่อยๆ เอาก้อนหินใหญ่ใส่ลงไปในขวดโหลเวลาจนเต็ม แล้วจึงถามนักเรียนในชั้นว่า ก้อนหินเต็มหรือยัง นักเรียนก็ตอบทันทีว่าเต็มแล้ว
จากนั้น อาจารย์ก็นำก้อนหินเล็กๆ ใส่ลงไปในขวดโหลเวลา จนเต็มแล้ว ก็ถามนักเรียนว่า ก้อนหินเต็มขวดโหลเวลาหรือยัง นักเรียนรีบตอบทันทีว่า “ เต็มแล้ว ” หลังจากนั้น อาจารย์จึงนำเอาถุงทรายขึ้นมาแล้วจึงเทถุงทรายลงไปในขวดโหลเวลา จนเต็ม แล้วก็ถามนักเรียนว่า ทรายเต็มขวดโหลเวลาหรือยัง เด็กนักเรียนรีบตอบว่าเต็มแล้ว อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่าเต็มจริงๆ
หลังจากนั้น อาจารย์ก็พูดให้แง่คิดว่า “ ชีวิตของคนเราก็เหมือนกับสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในขวดโหลเวลานี้” หินก้อนใหญ่เปรียบเสมือนสิ่งที่มีความสำคัญต่อเรามากที่สุด มีความหนักที่สุดและใช้พื้นที่ภายในขวดแก้วมากที่สุด ซึ่งหมายถึง งาน ครอบครัว สุขภาพ เพื่อนฝูง สำหรับหินก้อนเล็กๆ เปรียบเสมือน รถ บ้าน สิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งมีความสำคัญน้อยกว่า สำหรับทรายได้แก่สิ่งที่ไม่มีความสำคัญ
ฉะนั้นชีวิตของคนเรา เรามีความจำเป็นที่จะต้องมีการลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ เช่น เราควรให้ความสำคัญกับ งาน ครอบครัว สุขภาพ เพื่อนฝูง ก่อน รถ บ้าน สิ่งอำนวยความสะดวก หลังจากนั้นหากมีเวลาเหลือ เราจึงควรทำในสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ

...
  
จงเชื่อมั่นในตนเอง
จงเชื่อมั่นในตนเอง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนใหญ่แล้ว...มักไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งความไม่เชื่อมั่นในตนเอง ส่วนหนึ่งเกิดจากความกลัว โดย ดร.นโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียนหนังสือ “ ปรัชญาชีวิต ศาสตร์แห่งความสำเร็จ” ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์มีความกลัวพื้นฐาน 6 ประการคือ
1.ความกลัวยากจน
2.ความกลัววัยชรา
3.ความกลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์
4.ความกลัวสูญเสียความรักของคนบางคน
5.ความกลัวสุขภาพทรุดโทรม
6.ความกลัวตาย
ความกลัวพื้นฐานเหล่านี้ เป็นบ่อเกิดแห่งการทำให้มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จงขจัดหรือทำให้เบาบาง แล้วท่านจะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองขึ้น
สำหรับเทคนิคในการทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง มีดังนี้
1.จงทำตัวให้เคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้น เดินยืดอก ตัวตรง เดินอย่างผู้นำ กระฉับกระเฉง ว่องไว
2.ยิ้มแย้ม แจ่มใส เบิกบาน ไม่ทำใบหน้าอมทุกข์
3.จงพูดบวกกับตัวเองบ่อยๆ เช่น ฉันทำได้ , ฉันมีความเชื่อมั่นในตนเอง , ฉันสู้ ,ฉันมีพลัง ฯลฯ
4.ฝึกนั่งแถวหน้า ฝึกแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
5.ฝึกช่วยตนเอง ฝึกพึ่งตนเองให้มากที่สุด จงคิดว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
หากท่านฝึกปฏิบัติ ตามคำแนะนำดังกล่าว กระผมเชื่อว่าจะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของบรรดาบุคคลที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ ผู้ชนะ คนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โต ไม่มีใครคนใดเลยที่ปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง หากว่าท่านเป็นผู้หนึ่ง ที่อยากเป็น ผู้ชนะ อยากดำรงตำแหน่งใหญ่โต จงฝึกมัน
เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก หากไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ท่านก็ไม่สามารถประดิษฐ์ หลอดไฟฟ้า ให้พวกเราได้ใช้กันทั่วโลก
ลินคอล์น มุสโสลินี ฮิตเล่อร์ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลส์ บุคคลเหล่านี้ หากไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เขาเหล่านี้ ก็ไม่สามารถเป็น นักพูดเรืองนามระดับโลก
ไม่มีอิทธิพลอันใดหรือใครคนใดของโลก ที่จะกำหนดโชคชะตาให้แก่ท่าน ตัวของท่านเองต่างหาก ที่จะกำหนดโชคดีหรือโชคร้ายให้แก่ตัวเอง เราจะเป็นอะไร เราจะมีความสามารถเก่งแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งสิ้น จงเชื่อมั่นในตนเอง ว่า ท่านทำได้ ท่านก็จะทำได้
ไม่มีบุคคลที่ประสบความสำเร็จในโลกที่พบกับความสำเร็จ โดยบุคคลผู้นั้นขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เราจงจำกัดความอ่อนแอในตัวเรา แล้วปลูกฝังความเชื่อมั่นในตนเอง แล้วท่านจะเป็นอีกผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จ

...
  
จงระวังความเคยชินในการพูด
จงระวังความเคยชินในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คนที่ต้องการเป็นนักพูด วิทยากรหรืออาชีพที่ต้องใช้คำพูด มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะคนที่ไม่พัฒนาตนเองมักจะอยู่กับที่ ส่วนคนที่มีการพัฒนาตนเองก็จะก้าวหน้าในสายงานอาชีพ การพูด วิทยากร จงระวังความเคยชินเป็นคำพูดธรรมดา ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คนเราส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจความเคยชิน โดยเฉพาะความเคยชินในด้านลบ แต่หากเราต้องการประสบความสำเร็จแล้ว ขอให้พึ่งระวังความเคยชินในด้านลบ แล้วพัฒนาสิ่งเหล่านั้นให้เป็นด้านบวก เช่น ความเคยชินในการใช้ภาษาคำฟุ่มเฟือยเวลาพูด( คำว่า เอ้อ อ้า นะครับ นะค่ะ ) , ความเคยชินในเรื่องของบุคลิกภาพ ( ล้วง แคะ แกะ เกา หาว ยัก โยก ถอน ค้อน กระพริบ) , ความเคยชินในเรื่องของการไม่แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ได้แต่นำเสนอความรู้เดิมๆที่มี เป็นต้น
1. ความเคยชินในการใช้ภาษาคำฟุ่มเฟือยเวลาพูด เช่น คำว่า เอ้อ อ้า นะครับ นะค่ะ เป็นถ้อยคำที่หากมีมากจนเกินไปก็จะก่อความน่ารำคาญในการฟัง ดังนั้น หากท่านต้องการเป็นนักพูด วิทยากร จงระวังความเคยชินในการใช้คำเหล่านี้ โดยใช้ให้น้อยที่สุด เพราะคำว่า เอ้อ อ้า มักเป็นคำที่ผู้พูด คิดไม่ทันในสิ่งที่จะต้องพูด ผู้พูดเลยหยุดใช้ความคิดในช่วงนั้นโดยใช้คำว่า เอ้อ อ้า และ ผู้ฝึกการพูดใหม่ๆ มักจะใช้คำว่า นะครับ นะค่ะ มากจนเกินไป คำว่า นะครับ ครับ นะค่ะ ค่ะ ฟังดูแล้วอาจสุภาพ แต่หากมีมากจนเกินไปก็ทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญและไม่อยากฟังได้
2. ความเคยชินในเรื่องของบุคลิกภาพหรือการใช้ภาษากาย ( ล้วง แคะ แกะ เกา หาว ยัก โยก ถอน ค้อน กระพริบ) การใช้ภาษากายเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้พูด วิทยากร ประสบความสำเร็จหรือว่าล้มเหลวในการพูด เพราะนักพูดบางท่านพูดดี มีสาระ มีอารมณ์ขันผู้ฟังฟังแล้วชื่นชอบ แต่ภาษากาย สื่อออกมาไม่ดีก็จะทำให้ผู้ฟังลดความน่าเชื่อถือลงและไม่ศรัทธาในผู้พูด เช่น ผู้พูด พูดไป เลียริมฝีปากหรือแลบลิ้นไป หรือ ผู้พูด พูดไป แคะขี้มูกไป อย่างนี้ ก็จะทำให้ผู้ฟังไม่เกิดความศรัทธาในตัวผู้พูดขึ้นมาได้ ผลสำรวจและวิจัยในเรื่องการสื่อสารได้ระบุว่า คนมักจะจดจำคำพูดได้ประมาณ 7 % จำเสียงหรือน้ำเสียงได้ 38 % และจดจำท่าทางได้ตั้ง 55 % ดังนั้น พึ่งระวังความเคยชินในการใช้ภาษากาย
3. ความเคยชินในเรื่องของการไม่แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ได้แต่นำเสนอความรู้เดิมๆที่มีมาพูด
นักพูดหรือวิทยากรที่ดี ต้องมีข้อมูล ต้องรู้จริง รู้ลึก รู้กว้าง ในเรื่องราวที่พูด ฐานต้องแน่น เพราะถ้าเอาแต่ฉาบฉวย ความรู้ไม่แน่น เอาแต่ความมันส์เวลาพูด คงไปได้ไม่ไกล ดังนั้น ถ้าอยากเป็นนักพูด วิทยากร ท่านจำเป็นต้องอ่านมาก ฟังมาก คิดวิเคราะห์ให้มากๆ
ดังนั้น หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องของการพูด ท่านพึ่งต้องระวังความเคยชิน ท่านจำเป็นจะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่สม่ำเสมอ ไม่หยุดนิ่ง เพราะหากท่านหยุดนิ่ง ในขณะที่ผู้อื่น เขาไม่หยุด เขาเคลื่อนไปข้างหน้า นั้นก็แสดงว่าท่านถอยหลังนั่นเอง
มนุษย์เรามักกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์เราจะเจริญก้าวหน้าก็ด้วยการเปลี่ยนแปลงเสมอ
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.