หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
การเป็นน
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ " การเป็นนักพูดมืออาชีพ" แก่นิสิตสาขาการประชาสัมพันธ์ ...
  
พลังแห่งการเคลื่อนไหวร่างกาย
พลังแห่งการเคลื่อนไหวร่างกาย
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
Anthony Bobbins (แอนโทนี่ ร็อบบินส์) โค้ชสอนเรื่องการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นโค้ชแนวหน้าของโลก มักจะพูด จะเขียน จะสอนในงานอบรม งานสัมมนาอยู่บ่อยๆว่า
คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ความรู้สึกทางอารมณ์ส่งผลต่อลักษณะของการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เวลาเรารู้สึกเศร้า การเคลื่อนไหวร่างกายก็จะช้า แต่หากว่าเรามีความรู้สึกที่ดีใจ ตื่นเต้น การเคลื่อนไหวร่างกายก็จะเร็วกว่าปกติ
Anthony Bobbins (แอนโทนี่ ร็อบบินส์) เขาให้แง่คิดในทางกลับกัน กล่าวคือ ให้เราลองฝึกเคลื่อนไหว เพื่อให้เปลี่ยนลักษณะความรู้สึก อารมณ์ เช่น การตบมือดังๆ การกระโดด โลดเต้น จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเรามีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
สำหรับการฝึกของ Anthony Bobbins (แอนโทนี่ ร็อบบินส์) เขาเริ่มฝึกจากการเลียนแบบการเคลื่อนไหว ท่าเดิน ท่ายืน ท่านั่ง ของผู้นำ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง จนทำให้เขาเกิดมุมมองใหม่ๆ ในที่สุด การฝึกเคลื่อนไหวร่างกายเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดความมั่นใจในตนเองและทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
จากงานสัมมนา งานอบรม งานเขียนของเขา เขาจะแนะนำเสมอว่าให้ทุกคน ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายเสียใหม่ กล่าวคือ “ เปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วชีวิตจะเปลี่ยน” อีกทั้งเขายังให้การแนะนำว่า ให้ทุกคนมองหาบุคคลที่ชื่นชอบ บุคคลที่มีความมั่นใจในตนเองสูง แล้วให้ทุกคนลองสังเกตการเคลื่อนไหวร่างกายของบุคคลเหล่านั้น
แล้วให้ทุกคนลองลอกเลียนแบบ ตั้งแต่ ท่าทาง การเดิน การหายใจ การนั่ง แล้วท่านก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของท่าน
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ท่านลองปฏิบัติตาม 2 รูปแบบ ดังนี้
1.ท่านลองเดินเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ กว่าปกติ แล้วกำหมัดหลวมๆ พร้อมทั้งพูดช้าๆ เบาๆ ว่า “ ฉันทำได้ ” “ฉันมีพลัง” (หลายๆครั้ง)
2.ท่านลองเดินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กว่าปกติ แล้วกำหมัดแน่นๆ พร้อมทั้งพูดดังๆ ว่า “ ฉันทำได้ ” “ฉันมีพลัง” (หลายๆครั้ง)
หากท่านได้ลองทำดูแล้ว ท่านจะรู้สึกอย่างไร กับการกระทำ 2 รูปแบบ ข้างต้น ท่านจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของท่าน กล่าวคือ หากท่านร่างกายเคลื่อนไหวแบบช้าๆ พูดช้าๆ พลังหรือความกระตือรือร้นก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากท่านมีการเคลื่อนไหวร่างกายแบบรวดเร็ว พูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง ความกระตือรือร้นและพลังก็จะเกิดขึ้น
ดังนั้น หากท่านต้องการเปลี่ยนอารมณ์ ท่านจะต้องเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายของตนเองเสียใหม่

...
  
การตลาดเชิงสร้างสรรค์
การตลาดเชิงสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบันความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากกับสังคมยุคปัจจุบัน ไม่เว้นแม้กระทั่ง การทำการตลาด เราจะเห็นได้ว่า สินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างมากมาย ก็เนื่องมาจากมีคนคิดสร้างสรรค์นั่นเอง
สังคมไทยจึงมีความต้องการนักสร้างสรรค์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ อีกจำนวนมาก อีกทั้งการประกอบอาชีพในอนาคต ใครที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์งานจึงสามารถได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก
การตลาดเชิงสร้างสรรค์ จึงเป็นแนวโน้มในการทำงานในอนาคต ซึ่งในอนาคตจะเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และไม่หยุดนิ่ง หากเรามองกลับไปยังยุคอดีตเราจะเห็นว่า สินค้าหลายๆตัวได้หายไปจากการแข่งขันในยุคปัจจุบัน เช่น
- การใช้บริการโทรเลขได้เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เด็กยุคใหม่จะไม่รู้จักอีกต่อไป สาเหตุก็มาจาก มีผู้ใช้บริการน้อย เทคโนโลยีมีความทันสมัย มีโทรศัพท์มือถือ มีระบบอินเตอร์เน็ต อีเมล์ต่างๆ มารองรับ อีกทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่สูง ฉะนั้นการบริการโทรเลข จึงได้หยุดให้บริการนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2551
- การใช้เครื่องพิมพ์ดีด ก็มีจำนวนที่ลดน้อยลง โรงงานผลิตจึงต้องลดจำนวนผลิต บางแห่งมีการปิดตัวไปเลยก็มี สาเหตุหนึ่งก็เกิดจาก การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่อง Ipad โทรศัพท์บางรุ่นบางยี่ห้อ ก็สามารถใช้พิมพ์งานได้อย่างสบาย
ดังนั้น เมื่อเราเข้าสู่ยุคของการแข่งขันที่เสรีและรวดเร็ว บริษัท ห้างร้าน หน่วยงานต่างๆ ก็คงต้องพยายาม สร้างสรรค์ตัวสินค้า ตัวผลิตภัณฑ์ และการทำการตลาดอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตลอดเวลา
หากพูดไปแล้ว การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ แปลกๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทุกๆคนสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใช้ความคิด ความพยายาม ความกล้า ที่จะทำ
การตลาดเชิงสร้างสรรค์(Creative Marketing) จึงเป็นการนำเอาความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์เพื่อทำการตลาดหรือสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีความแปลกใหม่มากขึ้น หรือมีการนำเอาลูกเล่นการตลาดที่มีความแปลกใหม่กว่าคู่แข่งมานำเสนออยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ได้รับความแปลกใหม่อยู่เสมอ
มีคนหลายคนมักถามผมว่า ทำไมผมจึงให้ความสำคัญ ให้ความสนใจ เกี่ยวกับเรื่องการตลาดเชิงสร้างสรรค์ในช่วงจังหวะนี้ คำตอบคือ มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความสนใจ เช่น
1. สินค้ามีอายุที่สั้นลง เช่น หากเราสังเกตสินค้าหลายๆประเภท ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ หากใช้ได้ไม่นานก็มีอันต้อง ตกรุ่น , ธุรกิจเพลงออกมาได้ไม่นานติดตลาดได้ไม่นานก็มีอันต้องปิดตัวหรือออกนอกตลาดไป , ธุรกิจภาพยนตร์ มีอายุการฉายเพียงไม่กี่วัน ก็มีภาพยนตร์ใหม่ๆออกมาแข่งขันกันอย่างมากมาย เป็นต้น
2.สินค้าในยุคนี้เป็นเรื่องของการประหยัดต้นทุนหรือใครลดต้นทุนมากกว่าคนนั้นได้เปรียบ การลดต้นทุนนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ให้ธุรกิจจำนวนมากที่ไม่มีความสามารถในการปรับตัวต่อการแข่งขัน ต้องล้มหายตายจากไป การสร้างสรรค์งานใหม่ๆ หรือการทำการตลาดเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการต่อสู้กับคู่แข่งขันได้ เช่น สินค้าหลายตัวแข่งกันลดราคาสินค้า แต่หากเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ เราไม่ต้องลดราคา ในขณะเดียวกัน เราสามารถเพิ่มราคาของสินค้าได้ด้วย
3.สินค้ายุคเทคโนโลยี ปัจจุบัน เทคโนโลยีมีความทันสมัย เทคโนโลยีสามารถทำให้คนเราทำงานได้มากขึ้น ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น อีกทั้งราคาก็ถูกกว่าสมัยอดีต จึงทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ปัจจุบัน เราสามารถทำวิทยุชุมชนได้อย่างง่ายดาย หากมีโปรแกรมการจัดรายการ มีเครื่องส่ง มีเสาวิทยุ มีคอมพิวเตอร์ที่สามารถบันทึกเพลงได้เป็นล้านๆ เพลง ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ผู้จัดรายการหรือเจ้าของสถานีวิทยุต้องหาซื้อแผ่นเสียงเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาเปิด , การผลิตรายการทางโทรทัศน์ก็เช่นกัน ทำได้อย่างง่ายดาย มีราคาถูก ใครก็สามารถทำได้ เรียนรู้ได้ อย่างกว้างขวางกว่าในอดีต เป็นต้น
4.สินค้ามีการเสนอขายในระดับโลกมากขึ้น เช่น KFC , กาแฟ Starbucks , รถยนต์ Toyata , McDonald’s หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้า เช่น Makro, Lotus ก็มีการเปิดตัวแข่งขันไปทั่วโลก เป็นต้น ในขณะเดียวกันสินค้าท้องถิ่นที่ขายเป็นเวลานานในอดีตก็มีอันต้องปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก
5.สินค้านำเข้าและสินค้าส่งออก มีราคาที่เปลี่ยนแปลง ไม่อยู่นิ่ง อย่างรวดเร็ว ก็เนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินต่างๆ , สภาวะการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจภายในประเทศและสภาวะเศรษฐกิจโลก , สภาวะการเมืองภายในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
ดังนั้น จากปัจจัยข้างต้นนี้ จึงทำให้ การตลาดเชิงสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สามารถสนองตอบความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม เพราะการตลาดเชิงสร้างสรรค์ มีความหยืดหยุ่น มีการสร้างนวัตกรรม แปลกๆ ใหม่ๆ อย่างทันเหตุการณ์ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
นักการตลาดที่ต้องการเป็นนักการเตลาดเชิงสร้างสรรค์ จึงต้องมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและมีคุณสมบัติ มีความสามารถ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น
1.มีความสามารถในการพัฒนาช่องทางการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อสนับสนุนการตลาดเชิงสร้างสรรค์
2.มีความสามารถในการออกแบบสินค้า ออกแบบผลิตภัณฑ์และ ออกแบบการบริการในลักษณะเชิงสร้างสรรค์
3.มีการประชาสัมพันธ์ การใช้สื่อ มีการใช้กิจกรรมเพื่อการตลาดเชิงสร้างสรรค์ได้
4.มีการเรียนรู้ ปรับตัว พัฒนาตนเอง ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
5.มีการรวบรวม ข้อมูลต่างๆที่สามารถนำมาใช้ในการทำงานและสามารถวิเคราะห์ได้
6.มีความสามารถทางการตลาด สามารถสร้าง Brand ส่วนบุคคล Brand สินค้า Brand ของบริษัทได้
7.มีความสามารถในการปรับ การประยุกต์ใช้การตลาดเชิงสร้างสรรค์ กับศาสตร์ต่างๆได้ เช่น การศาสนา การเมือง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การประชาสัมพันธ์ การบริหาร ได้
8.มีกลยุทธ์ที่ไร้กระบวนท่ามากขึ้น กล่าวคือ เรียนรู้กลยุทธ์การตลาดเป็นจำนวนมากและมีความสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดได้ทันต่อเหตุการณ์
9.มีการวางแผน มีการลงมือทำ มีการปรับปรุง ตรวจสอบแก้ไข ปรับเปลี่ยนแผนตลอดเวลา
10.มีความกล้า มีลูกบ้าบ้าง กล่าวคือ หากท่านต้องการเป็นที่จดจำและประสบความสำเร็จในระดับสูง ท่านต้องทำตัว ท่านต้องคิด ให้ประหลาด แปลกๆใหม่ๆ บ้าๆ บอๆ บ้าง
ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหรือคุณสมบัติที่ท่านควรมีในตัวท่านเอง หากว่าท่านต้องการเป็นนักการตลาดเชิงสร้างสรรค์ จงพัฒนาตนเองในทุกๆด้าน จงกล้าที่จะคิด จงกล้าที่จะลงมือทำ จงกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า อย่าได้เกรงกลัวต่ออุปสรรค ขวากหนามต่างๆ และจงกล้าที่จะล้มเหลว แล้วท่านจะประสบความสำเร็จดังที่ท่านปรารถนา


...
  
ผู้นำกับองค์กรเรียนรู้
ผู้นำกับกับการสร้างองค์การเพื่อการเรียนรู้

ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

คนเรามักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่คนเราจะพัฒนาได้ด้วยการเรียนรู้


ทรัพยากรคน ถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ถ้าเทียบกับทรัพยากรเงิน ทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์ ทรัพยากรวัตถุดิบ เนื่องจากทรัพยากรที่กล่าวถึง สามารถควบคุมได้ แต่ทรัพยากรคนนั้น ควบคุมไม่ได้ อีกทั้งยังสร้างความลำบากในการบริหารจัดการ สำหรับผู้นำหรือผู้บริหาร อีกด้วยถ้าได้คนที่ไม่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ


ดังนั้นถ้าในองค์การใดมีคนที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ ก็จะทำให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับองค์การอื่นๆ


พวกเราคงได้ดูภาพยนตร์หรือคงเคยอ่านหนังสือเรื่อง “ สามก๊ก ” มาบ้างแล้ว คนที่มีคุณภาพ เช่น แม่ทัพ นายกอง ต่างๆ จะมีความสามารถมาก คือ แม่ทัพหนึ่งคน มักต่อสู้ทหารเลวได้มาถึง 20-30 คน เลยทีเดียว ตัวอย่าง กวนอู จูงล่ง เตียวหุย ฯลฯ การมีคนเก่ง คนมีความสามารถมากๆ มักทำให้องค์การนั้น เกิดการเติบโต และสามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้ในที่สุด


การที่จะจัดการให้คนเรามีประสิทธิภาพ คุณภาพ วิธีการหนึ่งที่สำคัญ คือ การให้ความรู้


แก่คนในองค์การ เพื่อให้คนในองค์การ มีการพัฒนาความคิด ความรู้ที่ทันสมัย และให้มีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา


เป็นหน้าที่ของผู้นำหรือผู้บริหาร จะต้องสร้างองค์การเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้องค์การเกิด ความทันสมัย เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดียิ่งขึ้น โดยผู้นำหรือผู้บริหาร ต้องกล้าที่จะทดลองหรือสร้างมันขึ้นมา


ซึ่งขั้นตอนของการพัฒนาการองค์การสู่การเรียนรู้ คือ


1.คือต้องให้พนักงานเกิดการอยากรู้หรือแสวงหาความรู้ องค์การจะเกิดการเรียนรู้ได้ คนในองค์การจะต้องมีลักษณะ การอยากมีความรู้ เมื่อเกิดความอยาก พนักงานก็จะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เมื่อพนักงานทุกคนแสวงหาความรู้มากๆ ก็จะทำให้มีการนำความรู้นั้นมาใช้พัฒนางาน พัฒนาระบบ ให้งานออกมาดี มีผลิตผลมาก


2.คือต้องให้พนักงานเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้มากขึ้น


ความจริงที่เกิดขึ้น คือ องค์การหลายแห่ง ชอบจ้างวิทยากรมืออาชีพมาอบรม พัฒนา เพื่อให้ความรู้แก่พนักงาน แต่ในความเป็นจริง การที่พนักงานมาพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือแลกเปลี่ยนความรู้กัน ก็จะทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นอีก โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่สูงนักเมื่อเทียบกับการจ้างวิทยากรมืออาชีพมาบรรยาย


3.คือต้องให้พนักงานมีโอกาสนำความรู้นั้นไปใช้งาน เมื่อ พนักงานเกิดการอยากรู้ แล้วแสวงหาความรู้ และมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันแล้ว สิ่งที่จะต้องมีตามมาเพื่อให้เกิดผลคือ การเปิดโอกาสให้พนักงาน นำความรู้ไปใช้ในงาน กล่าวคือ เมื่อพนักงานคิดระบบใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้นำองค์การหรือผู้บริหารต้องเปิดโอกาส ให้นำระบบใหม่ๆ มาใช้ อาจจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง(คือ ดีขึ้นหรือแย่กว่าเดิม) แต่ผู้นำหรือผู้บริหาร ก็สมควรให้โอกาสแก่การทดลองนั้น


ซึ่งขั้นตอนดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัย ผู้นำหรือผู้บริหาร ที่มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง กล้าตัดสินใจ


กล้าที่จะเผชิญกับแรงกดดันต่างๆ ในองค์การ แต่เมื่อองค์การใด สร้างองค์การให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นได้แล้ว กระผมเชื่อว่า องค์การนั้นจะประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว ปัญหาที่เกิดจากตัวพนักงาน ก็จะน้อยลง พนักงานจะมีความสามัคคี เห็นปัญหาขององค์การเป็นปัญหาของตนและพยายามจะช่วยเหลือองค์การให้อยู่รอด มีกำไร มีความก้าวหน้าขึ้น



















































...
  
การพัฒนาศักยภาพด้านสินเชื่อและการเงิน รุ่น 2
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ การพัฒนาศักยภาพพนักงานทางด้านสินเชื่อและการเงิน ให้แก่บริษัท นิ่มซี่เส็ง ณ บริษัท นิ่มซี่เส็งเป็นรุ่นที่ 2 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 ...
  
สมองเงินล้าน
สมองเงินล้าน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ที ฮาร์ฟ เอคเคอร์(T.Harv Eker) เศรษฐี นักพูด วิทยากร ชื่อดังระดับโลกชาวอเมริกา ซึ่งได้จัดสัมมนา อบรม เขียนหนังสือ เกี่ยวกับเรื่อง ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน (Secrets of the Millionaire Mind ) ให้กับผู้คนทั่วโลกได้อ่านได้ฟังกัน ซึ่งเขาได้แนะนำว่า ต้นเหตุอันดับแรกที่สำคัญที่ทำให้บางคนรวย บางคนเป็นคนธรรมดาหรือชนชั้นกลาง ก็คือเรื่องของความคิด
เขาได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า สมมุติว่า พวกเราได้ปลูกต้นไม้ขึ้นมาต้นหนึ่งคือต้นไม้แห่งชีวิต บนต้นไม้เต็มไปด้วยผลไม้(ผลลัพธ์ของชีวิตเรา) แต่หากว่าผลไม้มีน้อยไป ผลเล็กไป ไม่มีความสมบูรณ์ รสชาติทานแล้วก็ไม่อร่อย และเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเพื่อให้ ผลไม้ใหญ่ขึ้น มีจำนวนมากขึ้น มีความสมบูรณ์ขึ้น รสชาติดีขึ้น วิธีการก็คือคุณจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงที่รากของต้นไม้หรือความคิดของเราเอง
หากว่าต้องการแก้ไขผลลัพธ์ของชีวิตหรือสิ่งที่มองเห็น เราจำเป็นจะต้องเริ่มต้นที่ความคิดหรือการแก้ในสิ่งที่เรามองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองไม่เห็นมีความสำคัญมีพลังมากกว่าสิ่งที่เรามากเห็นเสียอีก เช่น สิ่งที่อยู่ภายใต้พื้นดินมักสร้างสิ่งต่างๆที่อยู่บนดิน ตัวอย่าง ต้นไม้ พืชต่างๆ ดังนั้น หากว่าเราต้องการแก้ผลลัพธ์ของชีวิตเรา เราต้องเริ่มต้นที่ความคิดโดยผ่านกระบวนการ(Process of Manifestation)
ความคิด ทำให้เกิด ความรู้สึก ทำให้เกิด การกระทำ แล้วกลายเป็น ผลลัพธ์
ซึ่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงความคิดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เพราะถ้าหากเราเปลี่ยนความคิด ชีวิตของเราก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมากมหาศาล สำหรับวิธีหรือเครื่องมือที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงความคิด ก็คือ
1.การใช้พลังของคำพูด พยายามพูดบวก พูดตั้งโปรแกรมกับตัวเองตลอดเวลา เช่น การเอามือหรือนิ้วแตะศีรษะตัวเองแล้วพูดว่า “ ฉันมีสมองเงินล้าน” “ ฉันเป็นคนรวย ” “ฉันสุดยอด” “ ฉันยอดเยี่ยม” เป็นต้น
2.การใช้ต้นแบบหรือแบบอย่างที่ดี ท่านควรดู ท่านควรศึกษา ท่านควรฟัง ควรอ่าน วิธีคิดของบรรดาเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายว่าเขามีความคิด ความอ่านอย่างไร แล้วนำมาเป็นแบบอย่าง เช่น วอร์เรน บัฟเฟ่ต์ , โดนัลด์ ทรัมป์ , บิล เกตส์ , เจริญ สิริวัฒนภักดี , ธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นต้น ถ้าจะให้ดีหรือมีโอกาส ท่านลองหัดเข้ากลุ่มหรือสโมสรที่มีบรรดาเศรษฐีหรือคนร่ำรวยเข้ากันเพื่อคบกับเขาเป็นมิตร เพราะมีการวิจัยและศึกษาว่า หากในชีวิตของคนเรา เราเลือกคบกับใครที่สนิทจำนวน 5 คน เรามักมีนิสัยใจคอคล้ายคลึงกันกับกลุ่ม 5 คนนั้น หากท่านมีโอกาสเลือกคบกับบรรดา คนร่ำรวยท่านก็จะมีโอกาสร่ำรวยไปด้วย
3.การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ตอนเด็กๆ หลายคนได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวว่า เงินทองเป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่ควรโลภ มองคนร่ำรวยว่าเป็นคนไม่ค่อยจะดี เอาเปรียบ และมีความฝังใจกับเหตุการณ์ต่างๆที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตทางด้านการเงินในปัจจุบัน ดังนั้น ท่านมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้จะนำพาชีวิตของท่านไปสู่ความมั่งคั่ง ร่ำรวย
ดังนั้น หากว่าท่านต้องการความมั่งคั่ง ร่ำรวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ท่านควรเริ่มต้นที่ การเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านจะต้องคิดแบบเศรษฐี แบบมหาเศรษฐี ท่านต้องมีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึก ท่านจะต้องรู้สึกแบบบรรดา เศรษฐี แบบมหาเศรษฐี ท่านจะต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำ ท่านจะต้องกระทำแบบเศรษฐี บรรดามหาเศรษฐี ที่เขาทำกัน แล้วผลลัพธ์ก็คือ ท่านก็จะเป็นคนที่มั่งคั่ง ร่ำรวย แบบบรรดาเศรษฐี มหาเศรษฐีทั้งหลาย
ท่านผู้อ่านหลายท่านอาจตั้งคำถามว่า แล้วบรรดาเศรษฐี มหาเศรษฐี เขาคิดกันอย่างไร คำตอบคือ บรรดาเศรษฐี มหาเศรษฐี ส่วนใหญ่เขาคิดในลักษณะนี้ คือ เขาเป็นคนกุมชะตาชีวิตของเขาเอง , เขาเป็นคนคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก , เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมักชอบคบคนที่ประสบความสำเร็จ , เขามีความสนใจในการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินมากกว่าสนใจหารายได้จากการทำงาน , เขาพยายามให้เงินทำงานหนักเพื่อเขา มากกว่าทำงานหนักเพื่อหาเงิน , เขาเป็นคนชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เป็นต้น

...
  
การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
การเตรียมพูดและการฝึกซ้อมการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
“ ในโลกนี้ยังไม่เคยปรากฏว่านักพูดคนใดที่สามารถพูดโดยไม่เตรียมตัวได้ดีกว่าเตรียมตัวนอกเสียจากเหตุบังเอิญ เท่านั้น” เป็นคำพูดที่ให้แง่คิดมากสำหรับคำพูดของ ดร.ราล์ฟ ซี.สเม็ดเล่ย์ ผู้ก่อตั้ง Toast Masters International
สำหรับการเตรียมตัว เราต้องมีการคำนึงถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้
1.วัตถุประสงค์ในการพูด ว่าการพูดครั้งนั้น เราพูดเพื่ออะไร (พูดให้ความรู้ พูดเพื่อให้ความบันเทิง หรือพูดเพื่อชักชวน)
2.เรื่องที่จะพูด ไม่ควรกว้างเกินไป จนหาประเด็นสำคัญๆไม่ได้ ทั้งนี้ผู้พูดควรพูดเรื่องที่ตนเองมีความถนัด มีประสบการณ์ เพราะหากผู้พูดไม่มีความถนัดหรือมีประสบการณ์ ผู้พูดก็ควรตอบปฏิเสธการพูดในครั้งนั้น
3.รวบรวมเนื้อหาที่จะพูด ผู้พูดควรทำการรวบรวมเนื้อหาที่จะพูดทั้งหมดเสียก่อนไม่ต้องคำนึงถึงว่าเนื้อหาจะใช้ได้หรือไม่ได้ เพราะเราสามารถนำมาตัดต่อหรือเพิ่มเติมได้ในภายหลัง
4.การวางโครงเรื่อง จะขึ้นต้นอย่างไร ตอนกลางอย่างไร และจบอย่างไร
5.การวิเคราะห์ผู้ฟัง เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัว เพราะหากว่าเรารู้ว่าผู้ฟังเป็นใครเราสามารถยกตัวอย่างต่างๆหรือทำกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ฟังมากยิ่งขึ้น
6.การฝึกซ้อม การฝึกซ้อมการพูดมีความสำคัญต่อความสำเร็จและความล้มเหลว ในการพูดแต่ละครั้ง ยิ่งเป็นนักพูดหน้าใหม่หรือกำลังฝึกฝนการพูดใหม่ๆ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อม แต่สำหรับนักพูดหน้าเก่า เขามักมีเวทีแสดงการพูดมากดังนั้น เขาจึงใช้เวทีต่างๆในการพูดเพื่อฝึกซ้อมการพูดไปในตัว
การฝึกซ้อมการพูดมีหลากหลายวิธีด้วยกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ฟัง สถานที่ที่จะไปพูด ฐานะของผู้พูด เช่น การพูดในงานโต้วาที การพูดในฐานะวิทยากรบรรยายให้ความรู้ การพูดในงานปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งแต่ละงานมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่ว่าผู้พูดจะเตรียมสื่อหรือมีทัศนะอุปกรณ์ช่วยในการพูดมากน้อยเพียงใด
อีกทั้งจริตในการฝึกซ้อมการพูดของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ท่านผู้อ่านก็ไม่ควรเลียนแบบ แต่ควรค้นหาแนวทางของตนเอง เช่น บางคนฝึกซ้อมต่อหน้ากระจกแล้วทำให้การพูดออกมาดี , บางคนฝึกซ้อมในรถยนต์ , บางคนฝึกซ้อมต่อหน้าเพื่อน , บางคนฝึกซ้อมโดยเปิดสไลด์การนำเสนอไปด้วยเสมือนกับกำลังพูดกับผู้ฟังจริงๆ ฯลฯ ทั้งนี้การฝึกซ้อมจะได้ผลดีเพียงใด คงขึ้นอยู่กับนิสัย จริต ความชอบของแต่ละบุคคล ซึ่งเราต้องค้นหาจากตัวของเราเอง
การวางแผนการพูดมีความสำคัญไม่น้อยต่อความสำเร็จ ตัวอย่าง เราจะขึ้นต้นอย่างไรในการนำเสนอ นักพูดหลายท่านในยุคปัจจุบันมักมีการขึ้นต้นด้วยเพลงบ้าง ด้วยคลิป VCD บ้าง ขึ้นต้นด้วยสไลด์สำคัญๆบ้าง แล้วจะมีการเชื่อมโยงเนื้อหาอย่างไรเพื่อให้เกิดความกลมกลืน และตอนจบจะจบอย่างไร เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ สิ่งเหล่านี้มีผลอย่างมากต่อการพูดแต่ละครั้ง การฝึกซ้อมการพูดเราจึงควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนการพูด
การซ้อมพูดที่ดีไม่ควรท่องจำคำต่อคำ เพราะจะทำให้ผู้ฝึกซ้อมเกิดความเบื่อหน่าย หากจำไม่ได้ก็จะเสียเวลา อีกทั้งการท่องจำแล้วนำไปพูดจะทำให้ผู้ฟังสัมผัสได้ เนื่องจากไม่เป็นธรรมชาติ ไร้ชีวิตชีวา ทั้งนี้ควรซ้อมพูดมาจากใจ ซ้อมพูดด้วยความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เสมือนการพูดบนเวทีจริงๆ
สำหรับประโยชน์ของการฝึกซ้อมการพูด นักพูดที่ประสบความสำเร็จทั้งในยุคอดีต ยุคปัจจุบัน จะขาดการฝึกซ้อมไปไม่ได้เลย เพราะการฝึกซ้อมจะทำให้ท่านเกิดความมั่นใจในการพูด การฝึกซ้อมจะทำให้ท่านจำเนื้อหาในการพูดได้ดีกว่าการไม่มีการฝึกซ้อม และการฝึกซ้อมการพูดจะทำให้ท่านได้มีการแก้ไขสำนวน เนื้อหาของการพูดเพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
การพูดที่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไป ส่วนใหญ่เกิดจากการเตรียมตัวและการฝึกซ้อมที่ไม่ดีพอ
...
  
เจ้าสัวเชื้อสายจีน
เจ้าสัวเชื้อสายจีน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนจีน เป็นชนชาติหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าค้าขายเก่ง ดังเราจะเห็นได้จากบรรดาเจ้าสัวในอดีต ในสังคมไทย ซึ่งเจ้าสัวเหล่านี้ มีทรัพย์สมบัติมากมาย อีกทั้งยังมีกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัท ห้างร้าน ซึ่งกระผมได้ศึกษาจากการอ่านและติดตามการสัมภาษณ์ต่างๆ จึงพอสรุปวิธีคิดของคนจีนที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวย โดยเฉพาะคนจีนที่มาจากประเทศจีน ข้ามทะเล ข้ามภูเขามา ประเภทหอบเสื่อผืนหมอนใบ สร้างฐานะจนร่ำรวยจนได้ชื่อว่าเป็น เจ้าสัวของเมืองไทย ปัจจัยที่ทำให้เจ้าสัวเหล่านี้ประสบความสำเร็จคือ
1.ต้องมีกิจการเป็นของตนเอง เจ้าสัวในอดีตมักมีความตั้งใจ มีเป้าหมายในชีวิต ว่าสักวันหนึ่ง จะต้องมีกิจการเป็นของตนเองให้ได้ ซึ่งเจ้าสัวเหล่านี้ มักเริ่มต้นชีวิตจากความยากลำบาก โดยการทำงานทุกบทบาทหน้าที่ ตั้งแต่ คนใช้ คนสวน ลูกจ้าง แล้วเก็บหอมรอมริบ จนกระทั่ง นำเงินที่เก็บออมได้ มาเปิดกิจการ
2.ต้องกล้าเสี่ยง ใจต้องถึง อย่ากลัวขาดทุน เสี่ยงมากได้มาก เสี่ยงน้อยได้น้อย เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทุกกิจการต้องมีความเสี่ยงเสมอ เช่น KFC ผู้พันแซนเดอร์ต้องนำเงินบำนาญมาลงทุนทำไก่ทอด ทุกกิจการมีจุดเริ่มต้นที่ไม่แตกต่างกัน กล่าวคือ ต้องยอมเสี่ยงที่จะนำเงินมาลงทุน ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า กิจการจะมีกำไร หรือ ขาดทุน
3.ต้องอดทน เจ้าสัวในอดีต มีความอดทนมาก กินก็น้อย แต่ทำงานหนัก อดทนต่อความลำบากทุกชนิด อดทนต่อการถูกดูถูก อดทนต่อการถูกลูกค้าต่อว่า อีกทั้งต้องเอาใจลูกค้าเกือบทุกประเภท
4.หาช่องว่างขยายกิจการ คนจีนที่ค้าขายเก่ง มักจะเป็นนักขยายกิจการ เขาจะนำเงินกำไรที่ได้ ไปขยายการลงทุนมากกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร อีกทั้งเมื่อมีความจำเป็นก็ย่อมเสี่ยงที่จะขอเครดิตกับธนาคาร แต่จะไม่ยอมเสียเครดิตที่สร้างมาตลอดชีวิต
5.ขยันวันนี้เป็นเจ้าสัววันหน้า นักธุรกิจจีนที่ค้าขายเก่ง มักเป็นคนที่ขยันทำงาน เขาจะทำงานทุกวันไม่ค่อยมีวันหยุด เจ้าสัวในอดีต มักทำงาน 7 วัน โดยไม่มีวันหยุด เขาจึงเป็นเศรษฐีรวดเร็ว กว่านักธุรกิจประเทศต่างๆ ที่ทำงานเพียงแค่ 5 วัน แล้วหยุดพัก 2 วัน
6.ต้องมีความทะเยอทะยาน เป็นกรรมกร ลูกจ้าง ไม่มีวันเด่น เจ้าสัวจึงต้องพยายามดีดตัวเป็นใหญ่เป็นโตให้จงได้ ฉะนั้นความทะเยอทะยาน จึงเป็นสิ่งที่ดี หากว่าเรานำมาใช้อย่างเหมาะสม
7.ต้องพักผ่อนโดยการทำงาน เพราะว่าการพักผ่อนหลายๆอย่าง เราสามารถประยุกต์ให้ได้ผลงานไปในตัวด้วย เช่นหลายๆคนพักผ่อน โดยการ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ทำงานบ้าน ฯลฯ ฉะนั้น การเปลี่ยนกิจกรรมในการทำงานจึงเป็นวิธีพักผ่อน อีกทั้งทำให้เราได้ผลงานไปในตัว
8.ต้องประหยัด มัธยัสถ์ เจ้าสัวในอดีต มักเป็นคนที่ประหยัด รู้จักเก็บออม ไม่สุลุ่ยสุร่าย แต่ไม่ถึงกับขี้เหนียว อีกทั้งเจ้าสัวหลายๆคนมักจะมีการแบ่งปันไปให้กับลูกน้อง จึงทำให้สามารถผูกใจให้ลูกน้อง มีความรู้สึกจงรักภักดีในตัวเจ้าสัว
9.ต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เจ้าสัวมักเป็นคนที่เรียบง่าย พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ให้ความเคารพนับถือผู้คน ตั้งแต่คนรากหญ้าจนถึงคนระดับสูงสุด
10.ต้องมีความคิดว่า “ตัวเราคือผู้กำหนดอนาคตของตัวเอง” เจ้าสัวมักเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง มักมีความศรัทธาในตัวเอง รู้จักพึ่งพาตนเองมากกว่ารอให้คนอื่นๆช่วยเหลือ เจ้าสัวมักเป็นคนที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด กล้าได้กล้าเสีย อีกทั้งยังเป็นที่พึ่งให้แก่คนใกล้ชิดอีกด้วย
ฉะนั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เจ้าสัวในอดีตประสบความสำเร็จ แต่กระผมเชื่อว่า ทั้ง 10 ข้อ ข้างต้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสัวในอดีตประสบความสำเร็จมากกว่าปัจจัยอื่นๆ
...
  
ศิลปะการฟัง
ศิลปะการรับฟัง

โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์(ดร.โทนี่)

ผู้บริหารที่ดีต้องมีความรู้ ความสามารถ และทักษะต่างๆ มากมาย ทักษะหนึ่งที่ผู้บริหารควรมีในตัวเอง ก็ คือ ทักษะในการรับฟัง หรือ ศิลปะการรับฟัง ครับ ในวันนี้ เราจะมาพูดเรื่องนี้กันครับ


“ความด้อยสมรรถภาพในการสื่อความของมนุษย์ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียด ขาดความเชี่ยวชาญในการฟัง และไม่สามารถฟังผู้อื่นด้วยความเข้าใจ"

เป็นคำพูดของ คาร์ล โรเจอร์ (นักจิตวิทยา)


ผู้บริหารที่มีปัญหาในเรื่องการรับฟังลูกน้อง มักจะมีคำพูดดังนี้ “ รู้แล้ว ๆๆ ” หรือ “ ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ” คำพูดเหล่านี้มักปิดโอกาสไม่ให้ผู้บริหารได้รับรู้ถึงปัญหา หรือ ข้อมูลใหม่ที่ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องการสื่อ


ความจริงแล้ว ข้อเสนอของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา บางคนถึงแม้จะมีความรู้น้อยแต่อาจจะมีประสบการณ์มากในบางเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาไม่รู้ก็ได้ ดังนั้น ผู้บริหารที่มีทักษะหรือศิลปะการรับฟัง มักจะได้ข้อมูลดีๆ และยังเป็นที่ชื่นชมของลูกน้องอีกด้วย เนื่องจากผู้บริหารคนใด มีศิลปะการรับฟัง มักจะเป็นการให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชา


สำหรับข้อมูลความคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ดี มักเกิดขึ้นในที่ประชุม ผู้บริหารที่ดีจึงต้องเปิดโอกาส พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แสดงความคิดเห็น พยายามจับประเด็นว่าเป็นเรื่องอะไร เพื่อให้เกิดความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในการนำไปใช้ และพยายามทำความเข้าใจว่าลูกน้องหรือผู้พูดต้องการอะไร


ไม่คาดคั้น ผู้พูด


ผู้บริหารควรต้องมีมารยาทในการรับฟัง คือ ควรจะสบสายตา หรือพยักหน้ายิ้มให้แก่ผู้เสนอความคิดเห็นอีกทั้งไม่พูดขัดจังหวะหรือพูดแทรกขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายแสดงความคิดเห็น


ผู้บริหารควรมีความอดทนในการที่จะรับฟัง เพราะผู้ใต้บังคับบัญชา จำนวนมากมักแสดงความคิดเห็นหรือขาดเทคนิคในการนำเสนอ บางคนพูดวกไปเวียนมา


ผู้บริหารควรรับฟังอย่างกระตือรือร้น คือ ต้องมีสมาธิในการฟัง ไม่ใช่คิดเรื่องอื่นๆ ตลอดเวลาในการฟัง พอผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจบ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องอะไรเลย ไม่ฟังแบบเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา แต่ต้องฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย


ผู้บริหารบางคนที่ไม่มีศิลปะการรับฟัง มักจะรู้สึกว่า “ ทุกอย่างเกิดจากความคิดของตนเองไม่มีใครช่วยคิดเลย ” นั้นแสดงว่า ตนเองไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นช่วยคิดหรือมีโอกาสในการแสดงความคิดเลย ธรรมดามนุษย์เราส่วนใหญ่มักเป็นนักคิดอยู่แล้ว บางคนคิดมาก คิดฟุ้งซ่านไปเลยก็มี


ดังนั้น ทักษะการฟังเป็นทักษะที่สำคัญของผู้บริหาร หรือ ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่ว่าด้านใดพึ่งต้องเรียนรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะทางด้านการพูด การอ่าน และการเขียน เพราะทักษะการฟังมักจะทำให้ผู้ฟัง ฝึกจับประเด็น ฝึกความจำ ฝึกเป็นนักคิดนักเขียนต่อไปอีกทั้งทำให้ผู้นั้นเกิดสติปัญญาความรู้เพิ่มมากขึ้นในลำดับต่อไป


ทักษะการฟังยังเป็นพื้นฐานในการเข้าสังคม และช่วยลดความขัดแย้งในสังคม ลดการเข้าใจกันผิด อีกด้วย




















...
  
9 พฤติกรรม 9 ความสำเร็จ รุ่น 8
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหัวข้อ 9 พฤติกรรม 9 ความสำเร็จ แก่พนักงานบริษัท SKK ซึ่งเป็นบริษัทตัดเย็บเสื้อผ้าเพื่อการส่งออก ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.