หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
ก้าวไปให้ถึงจุดสุดยอดของชีวิต
ก้าวไปให้ถึงจุดสุดยอดของชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
วิลเลี่ยม เจมส์ นักจิตวิทยาชื่อดังของสหรัฐ กล่าวว่า “ คนโดยทั่วไปใช้ศักยภาพอันโดดเด่นของตนเองเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
นั่นหมายความว่า คนเราส่วนใหญ่ใช้ความสามารถ ใช้ขุมทรัพย์ที่มีอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา เพียงน้อยนิด แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะเรียกใช้ ศักยภาพในตัวของเราให้มากยิ่งขึ้น คำตอบก็คือ ท่านสามารถเรียกใช้ศักยภาพของตนเองให้มากขึ้นด้วยเทคนิคดังนี้
1.คุณจะต้องรู้จักตั้งเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวิตมีความสำคัญมาก คนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ เรือลำนั้นก็มักจะลอยอยู่กลางทะเล มักไปไม่ถึงฝั่ง การตั้งเป้าหมายชีวิตจะทำให้เรานำศักยภาพมาใช้ได้มากยิ่งขึ้น เช่น ผู้นำในประวัติศาสตร์โลกในหลายประเทศ บางท่านตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดี จึงทำให้เขาเหล่านั้นพัฒนาตนเองในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพูด การเขียน การพัฒนาบุคลิกภาพ การพัฒนาความคิดการศึกษาหาความรู้จากการฟัง การอ่านหนังสือต่างๆ เป็นต้น
2.คุณจะต้องปลุกตัวเองให้มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายให้เคลื่อนไหวร่างกายให้เร็วขึ้น ฝึกพัฒนาความคิด ฝึกการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นคนมีชีวิตชีวา ฝึกยิ้มเยอะๆ ยิ้มเก่งๆ ฝึกทำงานด้วยความกระฉับเฉง
3.คุณจะต้องกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหรือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจัง หากว่าคุณมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะลดน้ำหนัก คุณจะสามารถลดน้ำหนักได้ การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังหมายถึง การตัดสิ่งที่คุณสนใจอย่างอื่นๆทิ้งให้หมด ให้เหลืออยู่เฉพาะสิ่งที่คุณสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจังเท่านั้น
4.คุณจะต้องมีการวางแผนที่ดี แฟรงค์ เบทเจอร์ นักขายประกันชีวิตแนวหน้าของอเมริกา เขาได้เตรียมแผนการหรือวางแผนการทำงานตอนกลางคืนว่าจะทำอะไร จะติดต่อใคร แล้วก็ออกไปทำงานตามแผนการที่วางเอาไว้ในตอนเช้า
5.คุณจะต้องหาบุคคลที่เป็นต้นแบบ หากว่าคุณต้องการประสบความสำเร็จด้านใด คุณควรหาต้นแบบและทำการศึกษาประวัติ เทคนิค วิธีการต่างๆ ที่เขาใช้ แล้วคุณลองทำตาม คุณก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
6.คุณจะต้องฝันหรือจินตนาการ สิ่งที่คุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จในทุกๆวัน การจินตนาการจะดึงดูดสิ่งที่คุณปรารถนาเข้ามาในชีวิต เคยมีการทดลองในสหรัฐอเมริกา โดยเอานักบาสเกตบอลมา 3 คน คนแรกให้ซ้อมตามปกติ คนที่สองไม่ให้ซ้อมและคนที่สาม ให้ฝึกซ้อมในจินตนาการ โดยมีการกำหนดเวลาทดลอง 2 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า คนที่หนึ่งกับคนที่สาม ทำคะแนนได้ใกล้เคียงกัน ส่วนคนที่สอง คะแนนแย่ลงกว่าเดิมมาก
7.คุณจะต้องฝึกพูด ฝึกให้กำลังใจตนเอง ในแง่บวกอยู่เสมอ การฝึกพูดในแง่บวกกับตนเองจะเป็นการโปรแกรมสิ่งต่างๆ ที่เราพูดลงไปในสมอง เช่น ฉันทำได้ , ฉันมีพลัง , ฉันเก่ง , ฉันสุดยอด , ฉันยอดเยี่ยม ฯลฯ เมื่อท่านฝึกพูดกับตัวเองบ่อยๆ ด้วยเสียงที่ดังๆกับตัวเอง จะทำให้ท่านเกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น
ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ เป็นปัจจัยบางส่วนที่ทำให้ท่านดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้และเกิดการพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดก็คือ อย่ามัวแต่อ่าน แต่ขอให้จงลงมือทำอย่างจริงจัง เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะพบว่าตนเอง ก้าวมาได้ไกลมากแล้ว จงฝึกฝน ฝึกฝนและฝึกฝน อย่างต่อเนื่องแล้วท่านจะยืนอยู่บนจุดสุดยอดของชีวิตของท่าน
...
  
การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์
การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การพูดเพื่อประชาสัมพันธ์ คือ การใช้ปากหรือคำพูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ที่ดี เกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ต่อหน่วยงาน ต่อองค์กร อีกทั้งเป็นการพูดเพื่อแก้ภาพลักษณ์ในกรณีที่ผู้ฟังมีความเข้าใจที่ผิดให้กลับกลายเป็นมีความเข้าใจตามความเป็นจริงมากขึ้น
การใช้ปากหรือคำพูดของนักประชาสัมพันธ์ควรระวังหรือไม่ควรนำไปใช้ คือ ปากร้าย ปากเสีย ปากบอน ปากสกปรก ปากพล่อย ปากมาก ปากอยู่ไม่สุข ปากมอม ปากเหม็น ฯลฯ
คนที่จะพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์ได้ดี จึงไม่ใช่คนที่พูดเก่ง พูดมาก แล้วจะประสบความสำเร็จในการพูดเพื่อการประชาสัมพันธ์ แต่ คนที่จะเป็นนักพูดประชาสัมพันธ์ที่ดี ต้องเป็นคนที่พูดเป็น รู้จักใช้คำพูด มีความระมัดระวัง มีสติในการพูด พูดในเชิงสร้างสรรค์มากกว่าในทางทำลาย
สำหรับคุณสมบัติของนักพูดเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่พึงมีคือ
1.มีความรอบรู้ มีข้อมูลในการพูด โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรหรือหน่วยงาน เพราะหากไม่มีข้อมูลหรือพูดข้อมูลในทางที่ผิดๆ ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์กรหรือหน่วยงานได้
2.มีความสามารถในการใช้คำพูดได้เป็นอย่างดี การพูดในการประชาสัมพันธ์มีหลายลักษณะเช่น การเป็นพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการ , การให้สัมภาษณ์ , การพูดเพื่อจัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ , การพูดต่อหน้าที่ชุมชนฯลฯ ฉะนั้นคนที่มีความสามารถในการใช้คำพูดจึงได้เปรียบกว่าคนที่ไม่มีความสามารถในการใช้คำพูด
3.มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี การทำงานด้านประชาสัมพันธ์ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับหลายๆฝ่าย ทั้งคนภายในองค์กรและนอกองค์กร บุคคลที่เป็นนักพูดเพื่อการประชาสัมพันธ์จึงต้องเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีจึงจะพูดแล้วคนชอบ พูดแล้วคนเกิดความร่วมมือ พูดแล้วคนให้ความช่วยเหลือ
4.มีการใช้คำพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกลวงหรือเอาความเท็จมาพูดหรือการพูดสร้างภาพเกินความเป็นจริง แต่เป็นการพูดเพื่อนำข้อมูลข้อเท็จจริงในสิ่งที่ดีๆ นำมาเสนอและขยายผลหรือนำมาบอกกล่าวให้แก่บุคคลต่างๆได้รับรู้
5.มีไหวพริบ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อองค์กรมีปัญหา เช่น เป็นข่าวหน้า 1 หรือถูกสื่อมวลชนโจมตี เราต้องสามารถตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาบางอย่างด้วยความรวดเร็ว
ทักษะในการพูดเพื่อการประชาสัมพันธ์ นักพูดเพื่อการประชาสัมพันธ์ควรมีทักษะหรือประสบการณ์บ้างเพื่อใช้ในการพูด เช่น
- รู้จักวิเคราะห์ผู้ฟัง เพราะผู้ฟังที่มี อายุ วัย เพศ ประสบการณ์ อาชีพ ที่แตกต่างกันมักจะต้องใช้คำพูดที่แตกต่างกันออกไป
- รู้จักวัตถุประสงค์ของการพูด เช่น การพูดในครั้งนั้นๆ ตัวของเราเอง องค์กร หน่วยงานต้องการอะไร (ต้องการให้ข้อมูล ต้องการจูงใจให้เกิดความร่วมมือของมวลชน ต้องการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ)
- รู้จักใช้เครื่องมือต่างๆ เช่นใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการทำงาน เพราะเทคโนโลยีทำให้เกิดความรวดเร็ว สะดวกสบายในการทำงาน ต้องรู้จักและเรียนรู้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการพูด
- รู้จักมารยาท วัฒนธรรม ของคนในพื้นที่ เพื่อที่จะได้ไม่พูดให้ก่อความเสียหายได้
ฉะนั้น การพูดเพื่องานประชาสัมพันธ์ เป็นการพูดอีกแขนงหนึ่ง ที่ผู้ต้องการเป็นนักประชาสัมพันธ์ คนที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพประชาสัมพันธ์จะต้องทำการศึกษา เรียนรู้ พัฒนาตนเองอยู่ตลอเวลา


...
  
การตลาดเชิงยุทธ์
การตลาดเชิงยุทธ์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
กลยุทธ์ทางการตลาดมีความสำคัญมาก ในการนำไปปรับใช้เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งขันทางการตลาด ซึ่งในภาวการณ์แข่งขันในปัจจุบันมีความรุนแรง มีความไร้พรมแดน มากกว่าในอดีต กลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังในการกำหนดการแพ้ชนะในการแข่งขันทางการตลาด ซึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญมีดังนี้
กลยุทธ์การตั้งชื่อสินค้า ชื่อยี่ห้อ ชื่อสินค้า ชื่อผลิตภัณฑ์ มีความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะหากเราใช้ชื่อนั้นไปแล้ว แล้วมาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ก็จะทำให้เรามีต้นทุนและเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น สำหรับหลักการตั้งชื่อที่ดีนั้น ควรมีลักษณะ “ สั้น , ง่าย , ไม่ซ้ำ , จูงใจ , จดจำได้ง่าย ”
สั้น คือ ควรใช้คำในการตั้งชื่อ 1- 2 พยางค์ (แฟ้บ , มาม่า , โค้ก , แม่โขง , กูเกิล ,ซัมซุง )หากมีความจำเป็นจะต้องใช้ 3-5 พยางค์ ควรให้มีความสอดคล้องกัน ( เอไอเอส ,โมโตโรร่า , อายิโนะโมะโต๊ะ , ส ขอนแก่น ) ข้อดีของการตั้งชื่อที่มีความยาว คือทำให้เกิดความซ้ำซ้อนน้อยกว่า(ชื่อซ้ำกับผลิตภัณฑ์อื่น) การตั้งชื่อ 1-2 พยางค์
ง่าย คือ เรียกง่าย เข้าใจง่าย ไม่ยาก ฟังแล้ว อ่านแล้ว ไม่ต้องแปลให้มาก สำหรับความง่ายนี่ เราควรคำนึงถึงว่า เราจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศหรือเปล่า หากว่าต้องการขยายฐานตลาดก็ควรตั้งชื่อให้เป็น ภาษาอังกฤษจะดีกว่าการตั้งชื่อเป็นภาษาไทย
ไม่ซ้ำ คือ ชื่อไม่ควรซ้ำกับสินค้ายี่ห้ออื่น หรือ สินค้าประเภทต่างๆ เพราะอาจเจอเรื่องของลิขสิทธิ์ อีกทั้งเมื่อมีการประชาสัมพันธ์หรือทำการตลาดออกไปแล้ว ลูกค้าจะเกิดความสับสนขึ้นได้ การตั้งชื่อตามที่อยู่หรือแหล่งผลิตก็เช่นกันต้องพึ่งต้องระวังไม่ให้ซ้ำกัน เช่น ตั้งชื่อตามจังหวัด อำเภอ ตำบล ตัวอย่าง น้ำพริกศรีราชา , กล้วยตาก บางกระทุ่ม เป็นต้น
จูงใจ คือ ชื่อที่ดีต้องจูงใจ เร้าใจ โดน ปัจจุบันนี้แม้แต่ชื่อหนังสือ ชื่อเพลง ก็ต้องออกมาในเชิงการจูงใจด้วยถึงจะขายดีหรือมีคนสนใจอยากที่จะติดตามฟัง เช่น เพลงรักเมียที่สุดในโลก ,เพลงเรื่องบนเตียง เป็นต้น
จดจำได้ง่าย คือ ชื่อที่ดี หากว่าทำการโฆษณา ทำการประชาสัมพันธ์ออกไป ไม่นาน คนก็สามารถจดจำกันได้ในทันที
ฉะนั้น การตั้งชื่อจึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการทำการตลาด และเป็นเรื่องที่นักการตลาดไม่ควรละเลยในการตั้งชื่อให้เหมาะสมกับตัวสินค้า
กลยุทธ์โปรโมชั่นมิกซ์ คือ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การขายโดยตรงและการส่งเสริมการขาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ ส่วนผสมทางการตลาด”
การโฆษณา เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น เพราะหากว่าเรามีสินค้าดี แต่เราไม่สามารถทำให้คนรู้จักในวงที่กว้าง ก็จะทำให้ยอดขายของเราน้อย ซึ่งการโฆษณาที่ดีควรคำนึงถึงเรื่องของ การเข้าถึงคนจำนวนมาก , ค่าใช้จ่ายในการซื้อสื่อโฆษณา , การสร้างความถี่ในการโฆษณา เป็นต้น
การประชาสัมพันธ์ เป็นการใช้สื่อเพื่อกระจายข่าวให้แก่สาธารณชน ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการโฆษณา อีกทั้งในยุคปัจจุบัน นักการตลาดมักให้ความสนใจในเรื่องของการประชาสัมพันธ์กันมากขึ้น ก็เนื่องมาจาก การประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการโฆษณา อีกทั้งสามารถจูงใจ สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าด้วย
การขายโดยตรง เป็นการใช้พนักงานขายเป็นสื่อในการขายโดยตรง เพราะการอธิบายสินค้าโดยพนักงานขายจะทำให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจลูกค้าสามารถซักถามได้ทันที อีกทั้งหากพนักงานขายมีความสามารถในการนำเสนอ ก็สามารถจูงใจลูกค้าให้ซื้อสินค้าได้มากกว่า การขายโดยผ่านทางสื่อต่างๆ
การส่งเสริมการขาย เป็นการจูงใจหรือเป็นการกระตุ้นยอดขายวิธีหนึ่งโดยผ่านช่องทางดังนี้ 1.ผ่านพนักงานขาย อาจให้ค่าคอมมิชั่นแก่พนักงานขายเพิ่มขึ้น 2.ผ่านทางร้านค้า อาจให้ผลประโยชน์ส่วนลดแก่ร้านค้า 3.ผ่านทางผู้บริโภคหรือลูกค้าโดยตรง เช่น ลด แลก แจก แถม
ทั้งนี้ การใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นมิกซ์ ควรคำนึงถึง ปัจจัยเหล่านี้ด้วย 1.จังหวะเวลาหรือช่วงเวลาในการนำไปใช้ 2.ความเหมาะสมหรือความสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการของเรา และ 3.งบประมาณ มีความสำคัญมากๆ เพราะถ้าหากเรามีงบประมาณที่จำกัด การใช้โปรโมชั่นมิกซ์ บางอย่างอาจจะทำไม่ได้เป็นต้น
กลยุทธ์สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ส่วนใหญ่ นักการตลาดมักใช้เรื่องของ การลดต้นทุน การสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าคู่แข่งขัน และความรวดเร็ว
การลดต้นทุน เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการตลาด เพราะว่าหากว่าเราขายสินค้าที่ถูกกว่า แต่มีคุณภาพเท่ากัน ลูกค้าก็มักจะซื้อสินค้าของเรามากกว่าคู่แข่ง นักการตลาดจึงต้องหาวิธีในการลดต้นทุนลงเพื่อที่จะได้ขายสินค้าในราคาถูกกว่าคู่แข่งขัน
การสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าคู่แข่งขัน เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าจากเรา หากว่าเราไม่สามารถทำให้ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งได้ นักการตลาดที่ดีก็ควรเลือกกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างไปในทางที่ดีกว่าสินค้าของคู่แข่งขัน การสร้างความแตกต่างจะทำให้ลูกค้าไม่สามารถอ้างได้ว่า สินค้าคู่แข่งถูกกว่า ก็เนื่องจากว่าสินค้า ไม่เหมือนกันหรือแตกต่างกันนั้นเอง จึงทำให้การตั้งราคามีความแตกต่างกัน
ความรวดเร็ว เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากเรา ถ้าสมมุติว่า เราจะเลือกซื้อสินค้าชนิดหนึ่ง เราเข้าไปในร้าน 3 ร้าน ร้านที่ 1 บอกว่า หากจ่ายเงินวันนี้จะได้ของอีก 7 วัน สำหรับร้านที่ 2 บอกว่า ถ้าจ่ายเงินวันนี้มารับของได้เลยอีก 3 วัน และร้านที่ 3 บอกว่า ถ้าจ่ายเงินวันนี้ เดี๋ยว 5 นาที รอรับของได้เลย ถามว่า เราจะเลือกซื้อร้านไหน ถ้าปัจจัยอื่นๆ มีความเหมือนกันทุกประการ คำตอบก็คือ เราเกือบทุกคนจะเลือกร้านที่ 3
ฉะนั้น กลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน จึงเป็นตัวกำหนดยุทธศาสตร์ในระยะยาวในการต่อสู้สมรภูมิทางการตลาด ว่าเราจะเลือกเดินในทิศทางใด
กลยุทธ์การนำสินค้าใหม่เข้าตลาด ในยุคปัจจุบัน มีสินค้ามากมายให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ การนำเสนอสินค้าใหม่เพื่อเข้าตลาด จึงมีความสำคัญมากเพราะหากว่าถ้าเข้าผิดที่ ผิดเวลา หรือไม่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า สินค้านั้นก็จะตายไปจากตลาดในที่สุด ดังนั้น การนำสินค้าใหม่เข้าตลาดจึงควรคำนึงถึงปัจจัยดังนี้
การตั้งราคาสินค้าใหม่ (จะตั้งราคาต่ำกว่า สูงกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งขัน), กลยุทธ์การโฆษณาสินค้าใหม่(การใช้สื่อต่างๆในการโฆษณา ช่วงจังหวะในการโฆษณา ความถี่ในการโฆษณา งบประมาณในการโฆษณา) , กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด( 4 P ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย ราคาและการส่งเสริมการตลาด)
กลยุทธ์แห่งสงคราม เป็นการปรับพิชัยสงครามของจีนเพื่อนำมาใช้ในทางการตลาด เช่น กลยุทธ์แบบกองโจร , กลยุทธ์การตีปีกข้าง , กลยุทธ์การตีโอบ , กลยุทธ์การโจมตีแบบเผชิญหน้า เป็นต้น
ฉะนั้น นักการตลาดที่ดีและเก่ง ควรทำการศึกษาและเรียนรู้ ศาสตร์ทางการตลาดทั้งใหม่และเก่าอยู่เสมอ อีกทั้งต้องมีศิลปะในการนำเอาศาสตร์ทางการตลาดมาประยุกต์ เพื่อที่จะได้นำศาสตร์ต่างๆไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
...
  
โมติเวท : คิดแบบเศรษฐี
โมติเวท : คิดแบบเศรษฐี
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เศรษฐีกับคนธรรมดาโดยทั่วไปมักมีอะไรๆที่ไม่แตกต่างกัน เช่น ร่างกาย จิตใจ การแต่งตัว แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างเศรษฐีกับคนธรรมดาก็คือเรื่องของความคิด เช่น
1.เศรษฐีมักกุมชะตาชีวิตของตนเอง สร้างโอกาส มากกว่ารอคอยโชคชะตาหรือความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่คนธรรมดาโดยทั่วไปมักปล่อยชีวิตให้ไปเป็นตามกรรมหรือโชคชะตา เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีมักเป็นนักสร้างโอกาสเพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยโอกาส ความสำเร็จหรือโอกาสทุกอย่าง เป็นสิ่งที่เศรษฐีต้องเดินไปหามัน ไม่ใช่ให้ความสำเร็จหรือโอกาสมาหาเรา
2.เศรษฐีมักปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ เขาจะเป็นคนที่ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จ ส่วนคนธรรมดาโดยทั่วไปมักไม่ยอมเอาศักยภาพออกมาใช้อย่างเต็มกำลัง ความสามารถ
3.เศรษฐีมักเลือกคบคนที่ประสบความสำเร็จ มองโลกในแง่ดี ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาโดยทั่วไปมักอยู่กับคนที่ชอบมองโลกในแง่ร้ายหรือเป็นคนล้มเหลว ดังนั้นการเลือกคบคนจึงมีความสำคัญ ดังคำกล่าวที่ว่า “ เราจะมีนิสัยและพฤติกรรมคล้ายคลึงกับคนที่เราคบจำนวน 5 คนที่เราสนิทด้วย”
4.เศรษฐีมักสนใจในเรื่องของมูลค่าทรัพย์สิน เขาจะใช้เงินลงทุนซื้อทรัพย์สินต่างๆ เช่น ที่ดิน หุ้น บ้านเพื่อให้เช่า พันธบัตร ทองคำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำรายได้ให้เศรษฐีมากมายมหาศาล แต่ตรงกันข้ามกับ คนธรรมดาโดยทั่วไปมักเลือกที่จะหารายได้จากการทำงาน แทนที่จะเลือกให้เงินทำงานแทน
5.เศรษฐีมักชอบเรียนรู้ พัฒนาตนเอง ตลอดเวลา เขาจะเอาจริงเอาจัง เช่น เขาจะเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ฟังเทปมาก เข้ารับการอบรมเรื่องการเงินและการพัฒนาตนเองเป็นประจำ จึงทำให้เขาเจริญเติบโต ร่ำรวย มีเวลาว่างมากขึ้น แต่คนโดยทั่วไปมักคิดว่าตนเองรู้ดีแล้ว จึงไม่ยอมที่จะพัฒนาตนเอง
6.เศรษฐีมักชอบเสี่ยง ชอบทำงานโดยมุ่งไปข้างหน้าแม้ทางข้างหน้าจะมีความเสี่ยงภัย เขากลัวก็จริงแต่เขาไม่หยุดยั้ง ตรงกันข้ามกับคนธรรมดามักปล่อยให้ความกลัวมาครอบงำเขาจึงไม่กล้าเดินหน้าต่อไป
7.เศรษฐีมักชอบนำเสนอตนเอง โฆษณาตนเอง เพราะเขามีความคิดที่บวก แต่คนธรรมดามักมองในแง่ลบต่อคนที่นำเสนอตนเอง โฆษณาตนเอง ดังนั้น เขาจึงไม่ค่อยจะกล้านำเสนอตนเองหรือโฆษณาตนเอง
8.เศรษฐีมักมองปัญหาต่างๆเป็นเรื่องเล็กน้อย สามารถแก้ไขได้ และเขาจะจดจ่อต่อเป้าหมายมากกว่าคิดถึงแต่เรื่องของปัญหาอุปสรรค แต่ตรงกันข้ามคนธรรมดามักมองปัญหาเพียงเล็กน้อยแล้วคิดว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ ไม่สามารถแก้ไขได้ และมักจะจดจ่ออยู่กับตัวของปัญหาอุปสรรคมากกว่าเป้าหมายที่ตนเองต้องการหรือคนธรรมดาส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
9.เศรษฐีมักมีความคิดใหญ่ คิดบวก มองโลกในแง่ดี คนธรรมดาทั่วไปมักคิดเล็ก ไม่ค่อยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ มองโลกในแง่ร้าย คิดลบ
ดังนั้น เศรษฐีกับคนธรรมดามีข้อแตกต่างกันดังข้อความข้างต้น เราทุกคนสามารถเป็นเศรษฐีหรือประสบความสำเร็จได้ หากว่าเรามีความต้องการมันอย่างจริงจัง อีกทั้งต้องหมกมุ่นถึงมันบ่อยๆ มีการวางเป้าหมายที่ชัดเจนถึงสิ่งที่เราต้องการ แล้วท่านก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นเศรษฐีและประสบความสำเร็จในชีวิตดังสิ่งที่ท่านหวัง

...
  
การจัดการเวลา 8+8+8
จัดการเวลา 8+8+8
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ภายในชีวิตของคนเรามีเวลาเท่ากันกล่าวคือ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกๆคน ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร ไม่ว่าเราจะมีชนชาติใด ไม่ว่าเราจะมีฐานะร่ำรวยสักปานใด เราก็มีเวลาเท่ากันทุกๆคน ภายในโลกกลมๆนี้
การจัดการเวลาหรือการบริหารเวลา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งการจัดการเวลามีหลากหลายรูปแบบ และมีเทคนิคที่หลากหลาย แต่ในบทความฉบับนี้ จะกล่าวในเรื่องของการจัดการเวลาในรูปแบบ 8+8+8
8 ชั่วโมงสำหรับการนอน การพักผ่อน 8 ชั่วโมงสำหรับการทำงาน และ 8 ชั่วโมงสำหรับการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่นการเดินทาง การกิน การพูดคุย การเล่น Facebook เป็นต้น
ซึ่งการจัดการในรูปแบบ 8+8+8 นี้ เราสามารถยืดหยุ่นได้ อีกทั้งเราสามารถลด เพิ่ม เวลาในด้านต่างๆ เช่น หากเราลดเวลานอนลงไปให้น้อยกว่า 8 ชั่วโมง สมมุติเหลือ 6 ชั่วโมง เราจะมีเวลาสำหรับการทำงานหรือการทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้นอีก 2 ชั่วโมง หรือ บางคนอาจมีเวลาทำงานถึง 12 ชั่วโมง ก็โดยการลดเวลาด้านการนอนและลดเวลาด้านการทำกิจกรรมอื่นๆ ลง เพื่อให้ได้มีเวลาในการทำงานมากขึ้น
ทั้งนี้ การจัดการเวลาในรูปแบบ 8+8+8 นี้ ไม่มีหลักเกณฑ์ในการแบ่งเวลาแบบตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะนำไปประยุกต์ใช้ อีกทั้งหากว่าเวลาในด้านใดน้อยจนเกินไป เราก็สามารถหาเทคนิคต่างๆเข้ามาใช้ เช่น บางคนใช้เวลานอนน้อยเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เราก็อาจจะใช้เทคนิค การงีบ การหยุดพักผ่อน เข้าช่วย
อดีตประธานาธิบดี หลายๆท่าน ใช้เวลาทำงานและใช้เวลาในการทำกิจกรรมอื่นๆมาก เช่นต้องเดินทางไปในที่ต่างๆเพื่อหาเสียง เพื่อบริหารบ้านเมือง ทำให้มีเวลานอนน้อยลง เขาจึงใช้วิธีการงีบ เป็นช่วงๆ เช่น งีบบนเครื่องบินในระหว่างเดินทางไปในที่ต่างๆ , งีบตอนพักเที่ยง เป็นต้น
ฉะนั้น ถ้าอยากจัดการในรูปแบบ 8+8+8 ให้ได้ดีต้อง มีการวางแผน มีเครื่องมือช่วย อีกทั้งยังต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
มีการวางแผน เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากในการจัดการเวลา เพราะหากไม่มีการวางแผน เราคงไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย เราจะใช้เวลาไปวันๆ แต่มีผลงานน้อยกว่า บุคคลที่มีแผนการในการทำงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เช่น วางแผนรายวัน วางแผนรายสัปดาห์ วางแผนรายปี วางแผนราย 3 ปี วางแผนราย 5 ปี วางแผนราย 10 ปี เป็นต้น
มีเครื่องมือช่วย เช่น ไดอารี่ , สมุดบันทึก , ใบแผนปฏิบัติงาน , คอมพิวเตอร์ , โทรศัพท์ และอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีความทันสมัย สามารถช่วยให้เราทำงานได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็มีส่วนสำคัญ ในการจัดการเวลา เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะทำให้เพิ่มหรือลดเวลาของเราได้ เช่น ในกรุงเทพฯมีปัญหาเรื่องรถติด ทำให้หลายๆคนต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานตอนเช้าและเสียเวลาเดินทางกลับ เป็นจำนวน 2-3 ชั่วโมงต่อวัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการตื่นให้เช้าขึ้น เดินทางให้เช้ามากขึ้น เพื่อลดปัญหาในการเดินทางที่เกิดจากการจราจรติดขัด หรือ เราอาจจะเดินทางกลับจากที่ทำงานถึงบ้าน ช้าลงอีก โดยใช้เวลาทำงานอยู่ในที่ทำงาน ก็จะทำให้เรามีเวลาทำงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเสียเวลาเดินทางน้อยลง
พฤติกรรมการเล่น Facebook และพฤติกรรมการเล่น Social Network ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้การจัดการเวลาของเราไม่ดีเท่าที่ควรหรือขาดความสมดุล เพราะบางคนเล่นมากจนเกินไปทำให้ขาดการพักผ่อน อีกทั้งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงไป หากต้องการการจัดเวลาให้ดีขึ้น เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ เช่น เราจำเป็นจะต้องมีวินัยมากขึ้น บังคับตัวเอง สร้างตารางเวลาการจัดการเวลาให้แก่ตนเอง ตัวอย่าง เราจะใช้ Social Network ทุกวันไม่เกิน 30 นาที เป็นต้น
ดังนั้น การจัดการเวลา 8+8+8 จึงเป็นการจัดการเวลารูปแบบหนึ่ง ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย สำหรับปัจจัยที่ทำให้การจัดการเวลาไม่มีประสิทธิภาพ คงขึ้นอยู่กับ สภาพแวดล้อม (รถติด,ฝนตก,น้ำท่วม,ไฟดับ,แผ่นดินไหว) ขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นๆ(เจ้านาย,ลูกน้อง,พ่อแม่,ลูก)และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้การจัดการเวลาไม่มีประสิทธิภาพก็คงขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง


...
  
ทีม
ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว

โดย...ดร.สุทธิชัย ปํญญโรจน์(ดร.โทนี่)


“ ส่วนผสมเดียวที่สำคัญที่สุดในสูตรแห่งความสำเร็จก็คือ การรู้จักเข้ากับคนอื่น”


เป็นคำพูดของ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา)


ในโลกของธุรกิจ ในโลกของการเมือง ในโลกของการแข่งขัน ไม่มีใครจะประสบความสำเร็จโดยไม่พึ่งพาผู้อื่น หรือ ทีมงาน หรือที่มักจะได้ยินคำพังเพยเรียกกันว่า “ สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”


บิลล์ เกตส์ มหาเศรษฐีระดับโลก ร่ำรวยมาได้ก็ด้วยการพึ่งพาคนอื่นๆ ไม่ได้เกิดจากความสามารถของตนเองแต่เพียงผู้เดียว บิลล์ เกตส์ ถึงแม้จะเก่งคอมพิวเตอร์ก็จริง แต่การจะขายของ การผลิต การคิดสิ่งใหม่ๆ และการขยายตลาดได้ ก็จำเป็นจะต้องอาศัยคนจำนวนมากหรือทีมงานคอยช่วยเหลือ


ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซี.พี) นั้น มีธุรกิจมากมายในเครือ ซึ่งนับว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับชาติ ระดับโลก เลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คือ เจ้าสัวมีทีมงานที่จบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี และผู้บริหารส่วนมากมีคำว่า “ ดอกเตอร์” นำหน้าอีกต่างหาก ในขณะที่เจ้าสัวมีการศึกษาในระบบแค่ระดับชั้นประถมปีที่ 4


เทียม โชควัฒนา เจ้าสัวแห่งสหพัฒนพิบูล ก็มีความรู้น้อยจบการศึกษาในระบบน้อย แต่ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจในเครือสหพัฒนพิบูล ก็ด้วยการอาศัยลูกน้องที่มีความรู้ ความสามารถ หลายคนมาช่วยเหลือ และความมีใจกว้าง เจ้าสัวเทียมกล่าวว่า “ คนเราต้องมีใจกว้างต้องถ่ายทอดความรู้ของตนเองให้กับลูกน้อง เพราะยิ่งถ่ายทอดเราก็ยิ่งรู้มาก เหมือนดังดาบยิ่งใช้ยิ่งคม


เล่าปี่ ในหนังสือ “ สามก๊ก ” สร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นก็โดยอาศัยผู้อื่นหรือทีมงานที่มีฝีมือมาช่วย โดยความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีจิตวิทยาจึงสามารถสร้างอาณาจักรได้ ซึ่งเราจะเห็นว่า เล่าปี่ ประสบความสำเร็จก็เพราะมี คนเก่งอย่าง ขงเบ้ง กวนอู จูล่ง ฯลฯ มาช่วย ถ้าเล่าปี่เก่งอยู่คนเดียว โดยไม่มีคนอื่นช่วยก็คงไม่สามารถสร้างอาณาจักรของตนเองได้


ผู้ที่ประสบความสำเร็จอีกหลายๆคน ก็ไม่ใช่คนที่มีลักษณะเก่งคนเดียว แต่ตรงกันข้ามคนเหล่านั้นมีคนเก่งมาช่วยงานอย่างมากมาย จนเกิดความร่ำรวย องค์การก้าวหน้า เติบโตขึ้น หรืออาจเรียกว่าต้องรู้จักทำงานเป็นทีม


การทำงานเป็นทีมทำให้เกิดพลังประสาน ซึ่งทำให้ 1+1 มีค่ามากกว่า 2 การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมใจ คือ สมาชิกในทีมต้องมีความศรัทธาต่อหัวหน้าทีม รักสามัคคีกัน การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมคิด คือ ช่วยกันระดมความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร ด้วยเหตุผล โดยกำหนดเป้าหมายร่วมกัน วางแผน แบ่งงาน แบ่งหน้าที่กัน การทำงานเป็นทีมต้องอาศัย การร่วมทำ คือ ร่วมมือกันทำงานตามแผนที่ได้วางไว้


ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำ คือ กระบวนการที่บุคคลหนึ่ง(ผู้นำ)ใช้อิทธิพลและอำนาจของตนกระตุ้นชี้นำให้บุคคลอื่น(ผู้ตาม) มีความกระตือรือร้น เต็มใจทำในสิ่งที่เขาต้องการ โดยมีเป้าหมายขององค์การเป็นจุดหมายปลายทาง(พยอม วงศ์สารศรี, 2534:196)


และ ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีจิตใจที่กว้างขวาง ไม่สร้างศัตรูให้ยิ่งใหญ่เกินไป และที่สำคัญก็ต้องเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรให้ได้ ดังคำพูดที่ว่า “ มีเพื่อนร้อยคนยังน้อยไปมีศัตรูคนเดียวมากเกินไปแล้ว”




















...
  
การสร้างพลังในตัวคุณ
การสร้างพลังในตัวคุณ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
การสร้างพลังหรือการสร้าง Energy เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับบุคคลที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ เพราะ หลายๆคนเมื่อทำงานไปก็รู้สึก อ่อนล้า เบื่อหน่าย หมดพลัง บางคนถึงกับท้อแท้ท้อถอย แล้วลาออกจากงานไปเลยก็มี
สำหรับคำว่า Energy นี้ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ แปลว่า “ ความไม่หวาดหวั่นต่อความยากลำบาก” แต่สำหรับกระผมขอแปลว่า “ พลังในตัวเราเอง ” ซึ่งการสร้างพลังในตัวเราเอง สามารถสร้างได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น
1.สร้างโดยผ่านทางความคิด คนเราที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักมีพลังความคิดที่ดี เช่น พลังในการคิดบวก , พลังในการคิดสร้างสรรค์ , พลังในการคิดเชิงวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา , พลังในการคิดเชิงกลยุทธ์ , พลังในการคิดเชิงวิพากษ์ ฯลฯ
2.สร้างโดยผ่านทางการกระทำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จ ถ้าหากพวกเราลองสังเกตดู เขามักจะเป็นคนที่เคลื่อนไหวแบบกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง ว่องไว เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงออก กล้าที่จะตัดสินใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฯลฯ
3.สร้างโดยผ่านการพูด คนที่มีพลังในตัวเองสูง มักเป็นคนที่พูดบวก การพูดของเขาจะเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดชัดถ้อยชัดคำ แต่ละคำพูดมักมีพลัง ดังเราจะสังเกตเห็นได้ชัดๆ จากการพูดต่อหน้าที่ชุมชนของเขา เขาจะแสดงออกอย่างเต็มเสียง เต็มอารมณ์และเต็มอาการ
4.สร้างโดยผ่านการให้กำลังใจตนเอง ผู้ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่มีกำลังใจในตนเองสูง กล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปหรือทำในสิ่งที่คนทั่วไปมักจะไม่กล้าทำ ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ กำลังใจเป็นสิ่งที่จะต้องมี เพราะการกระทำบางอย่าง อาจถูกดูถูกจากคนทั่วไป โดนต่อว่า นินทา ให้ร้าย แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จมักมีกำลังใจที่มั่นคง หนักแน่น
5.สร้างโดยผ่านการจินตนาการ จินตนาการเป็นนามธรรม ไม่สามารถจับต้องได้ แต่มีความสำคัญเป็นอันมาก หากท่านได้อ่านประวัติบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของโลก เขาเหล่านั้นมักมีความเป็นศิลปิน อีกทั้งชอบจินตนาการสิ่งต่างๆ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขามักนั่งจินตนาการอยู่ที่ขอบหน้าต่างเป็นเวลานาน ซึ่งจินตนาการส่วนใหญ่ของเขามักจะเกี่ยวกับเรื่องของการพูด การปกครอง ในประเทศเยอรมัน , อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เขามักจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องของตัวเลข คณิตศาสตร์ เป็นต้น
6.สร้างโดยผ่านพลังแห่งความเชื่อ “ หากท่านเชื่อว่าท่านทำได้ ท่านก็จะทำได้” เป็นวลีคำพูดประโยคทองของ นโปเลียน ฮิลล์ ซึ่งได้มีการอ้างอิงไปทั่วโลก เขาเป็นที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐหลายท่าน ความเชื่อ ความศรัทธาทำให้เกิดพลังในตัวเราขึ้นมาอย่างมากมาย เช่นความเชื่อในหลักศาสนา , ความเชื่อในคำสอนของศาสดา , ความเชื่อในพระเจ้า , ความเชื่อในสิ่งศักดิ์ ฯลฯ
7.สร้างโดยผ่านพลังของแรงดึงดูด มีหนังสือหลายเล่มได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องความดึงดูด ซึ่งมีหลักว่า หากว่าเราคิดเรื่องบวกเรื่องที่ดีๆ สิ่งที่ดีๆก็จะดึงดูดเข้ามาหาเรา แต่ตรงกันข้ามหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้ายๆ เรื่องลบ ซึ่งร้ายๆก็จะเข้ามาหาเรา ฉะนั้น จงพูดดี ทำดี คิดดี แล้วชีวิตของท่านก็จะดีตามไปด้วย อีกทั้งยังก่อนให้เกิดพลังแก่ตัวท่านเองด้วย
จากข้อความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าเทคนิคในการสร้างพลังในตัวเรา มีหลายวิธี ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่กับการปรับใช้ การประยุกต์ใช้ และความชอบของแต่ละบุคคล ถ้าท่านต้องการเปลี่ยนแปลง ท่านคงต้องลงทุน ในการศึกษาเพิ่มเติม อีกทั้งต้องลงมือกระทำอย่างจริงจัง เพราะ ถ้าหากท่านอ่านแล้วไม่ได้ลงมือทำ ท่านก็จะได้แค่รู้ แต่หากท่านได้อ่านแล้ว ท่านได้นำไปลงมือทำอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ก็คือความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับตัวของท่านเอง
“ ขอให้ท่านเชื่อว่า ท่านสามารถประสบความสำเร็จ ท่านก็จะประสบความสำเร็จ”

...
  
การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
การสร้างความมั่นใจและลดความประหม่าในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
ความมั่นใจมีความสัมพันธ์กับอาการประหม่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อผู้พูดขาดความมั่นใจ ผู้พูดก็จะแสดงอาการประหม่าออกมา แต่ตรงกันข้าม ถ้าหากผู้พูดมีความเชื่อมั่นหรือมั่นใจในตนเอง อาการประหม่าก็มักจะไม่ปรากฏออกมาให้เห็น
อาการประหม่าในการพูดต่อหน้าที่ชุมชนมักจะแสดงออกมาให้ปรากฏแก่ผู้ฟัง ซึ่งมีอาการดังนี้ บางคนปากสั่น มือสั่น หน้าซีด บางคนไม่กล้าสบตากับผู้ฟัง บางคนพูดและใช้คำพูดออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ พูดผิดๆ ถูกๆ ฯลฯ
สาเหตุของอาการประหม่านอกจากสาเหตุของการขาดความมั่นใจแล้วยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น
1.ผู้พูดหลายๆท่าน มักคิดมากจนเกินไป หลายคนมักจะคิดมาก คิดวิตก คิดกังวล ในระหว่างการพูด กลัวสิ่งต่างๆ เช่น กลัวว่าผู้ฟังจะมีความรู้มากกว่าตนเอง , กลัวว่าการพูดของตนเองจะออกมาไม่ดีพอ , กลัวว่าเสียงของตนเองไม่ไพเราะ เป็นต้น
2.ขาดการเตรียมตัวที่ดี กล่าวคือ ไม่มีการเตรียมคำพูด , เตรียมเนื้อหา หรือ มีการซ้อมพูด ก่อนขึ้นพูดจริงๆ จึงทำให้การพูดในครั้งนั้นๆ ติดๆ ขัดๆ
3.ไม่มีการวิเคราะห์ผู้ฟัง เช่น ไม่ได้สอบถามผู้จัดว่า จะต้องพูดเรื่องดังกล่าวให้แก่ใคร เด็กหรือผู้ใหญ่ อาชีพอะไร ผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นผู้บริหารหรือเป็นพนักงาน จึงทำให้ไม่มีการเตรียมตัว เตรียมเนื้อหา ไห้ตรงกับกลุ่มผู้ฟัง
สำหรับการสร้างความมั่นใจในตนเองและลดอาการประหม่าในการพูดของผู้พูด สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น
1.การพูดให้กำลังใจตนเองก่อนขึ้นพูด “ เรื่องนี้ หัวข้อนี้ ฉันรู้ดีที่สุด ” , “ การพูดครั้งนี้ใครเต็มที่ไม่เต็มที่ไม่รู้แต่ฉันเต็มที่ไว้ก่อน” คำพูดประโยคเหล่านี้ ผู้พูดควรคิดและค้นหาเอาเอง เนื่องจากแต่ละบุคคลมีความชอบไม่เหมือนกัน
2. ต้องมีการเตรียมการพูดเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึง การเตรียมเนื้อหา(จะขึ้นต้นอย่างไร เนื้อหาอย่างไร สรุปจบอย่างไร) ตลอดจนกระทั่ง การเตรียมร่างกาย การเตรียมสภาพจิตใจ การพักผ่อนเป็นอย่างดี ก่อนวันที่จะขึ้นพูด
3.การใช้จินตนาการหรือการวาดภาพของการพูดที่ประสบความสำเร็จบนเวทีพูดของตนเอง บางคนใช้จินตนาการว่ามีคนฟังการพูดของตนเองเป็นหลายพันคน หลายหมื่นคน มีคนปรบมือให้กำลังใจมากมาย ฯลฯ
4.ก่อนจะขึ้นเวทีพูด ควรมาก่อนเวลาสักเล็กน้อย แล้วทำความรู้จัก ทำการทักทาย สร้างความเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ก็จะทำให้เกิดมิตรภาพและลดความตื่นเต้นลงไปได้บ้าง
5.ปรับความคิดหรือปรับทัศนคติเสียใหม่ คิดว่าความประหม่าเป็นเรื่องธรรมชาติที่ นักพูดหรือผู้พูดทุกๆคนจะต้องมี แต่ใครจะมีมากมีน้อยเท่านั้นเอง อีกทั้งไม่ควรคิดมากจนเกินไป ในเวลาพูด แต่ควรทำหน้าที่หรือพูดให้ดีที่สุด ไม่ต้องไปคิดกังวลใดๆ ไม่ต้องไปคิดแทนผู้ฟังว่าผู้ฟังจะคิดกับเราอย่างไร จงเตรียมการพูดให้พร้อมแล้วจงลุกขึ้นพูดให้ดีที่สุด
6.ต้องหมั่นหาประสบการณ์ในการพูดทุกๆเวทีให้มาก ข้อนี้ น่าจะเป็นข้อที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าหากผู้พูดมีเวทีมาก ก็จะทำให้เกิดทักษะในการพูด เมื่อเกิดทักษะ ความมั่นใจก็จะมากขึ้น ความประหม่าในการพูดก็จะลดลง
โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า ผู้พูดที่มีความมั่นใจในตนเองมักพูดได้ดีกว่าผู้ที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ถึงแม้ว่า ผู้พูดหลายๆคน จะมีการศึกษาถึงระดับปริญญาเอกก็ตามแต่ถ้าขาดซึ่งความมั่นใจในตนเองเสียแล้ว ทำให้เกิดอาการประหม่า พูดไม่เป็นธรรมชาติ ไม่กล้าขึ้นพูด ย่อมสู้ผู้พูดที่จบระดับการศึกษาแค่ระดับประถมหรือมัธยมไม่ได้ ถ้าหากผู้พูดจบระดับประถมหรือมัธยม แต่บุคคลนั้นสามารถพูดด้วยความมั่นใจในตนเอง ผู้ฟังก็มักจะเกิดความเชื่อถือ ศรัทธา อีกทั้งทำให้การพูดมีความน่าฟังอีกด้วย

...
  
การบริหารเวลากับการวิเคราะห์งาน
การบริหารเวลากับการวิเคราะห์งาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักจะบริหารเวลาอย่างมีศิลปะ เพราะคนเรามีเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากัน แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จ มักใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าบุคคลโดยทั่วไป การวิเคราะห์งานเป็นปัจจัยหนึ่งของการใช้เวลาอย่างมีศิลปะ
ภายใน 24 ชั่วโมง ของคนเรา มักมีการใช้เวลาที่แตกต่างกัน การทำงานก็มีความแตกต่างกัน บางคนประกอบธุรกิจส่วนตัว บางคนเป็นนักเขียน บางคนเป็นวิทยากร บางคนรับราชการ บางคนทำงานเอกชน บางคนเป็น นักเรียน นิสิต นักศึกษา ฯลฯ
นักเรียน มักจะใช้เวลาเรียนตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์
นักศึกษา นิสิต ภาคปกติมักเรียน จันทร์-ศุกร์ ส่วนภาคพิเศษหลายแห่งอาจเรียน เสาร์ – อาทิตย์
ข้าราชการ พนักงานของรัฐ ส่วนใหญ่มักทำงาน จันทร์-ศุกร์
พนักงานบริษัท ส่วนใหญ่ทำงาน จันทร์-เสาร์
พนักงาน 7-11 , พนักงานห้างสรรพสินค้า มักทำงานเป็นกะ
นักเขียนหลายคนทำงานช่วงกลางวัน และอีกหลายคนทำงานช่วงกลางคืน
บางคนมีหลากหลายอาชีพ เช่น ตัวของกระผมมีหลายอาชีพ อาชีพที่ 1 อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย , อาชีพที่ 2 เขียนหนังสือขาย , อาชีพที่ 3 ทนายความ , อาชีพที่ 4 วิทยากร , อาชีพที่ 5 เจ้าของธุรกิจ(สถานีวิทยุและจัดรายการวิทยุ) เป็นต้น
ฉะนั้นการแบ่งแยกงานเพื่อทำการวิเคราะห์จึงทำให้เราสามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ช่วงเช้ามืด 5:00-8:00 น. ผมมักใช้เวลาในการเตรียมงานวิทยากรและงานเขียน, ช่วง 9:00-16:00 น. ผมมักใช้เวลาเพื่อสอนหนังสือในอาชีพอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย , ช่วงเวลาตอนเย็น16:00-19:00 น.ส่วนใหญ่ผมมักจะใช้เวลาในการเตรียมงานทนายความหรืออ่านหนังสือทางด้านกฏหมาย, ช่วงเวลาค่ำ 19:00-20:00 น. ผมมักใช้เวลาในการจัดรายการวิทยุ ,ช่วงเวลากลางคืน 20:00-23:00 น. ผมจะใช้เวลาในการเขียนหนังสือ เป็นต้น
การวิเคราะห์ลักษณะงาน จึงทำให้เราเป็นคนใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมผมถึงต้องใช้เวลา ช่วงเช้ามืด 5:00-8:00 น. ผมมักใช้เวลาในการเตรียมงานวิทยากรและงานเขียน และ 20:00-23:00 น. ผมจะใช้เวลาในการเขียนหนังสือ เพราะงานเขียน เป็นงานที่ต้องใช้สมาธิ ใช้เวลา เป็นอันมาก
อีกทั้งการบริหารเวลาที่ดี เราควรวางแผนเป็นปีๆ เพราะจะทำให้เราเห็นภาพรวมได้ชัดยิ่งขึ้น เช่น งานอาชีพวิทยากร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ของแต่ละปี จะไม่ค่อยมีมากนักโดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นหน่วยงานราชการ เพราะเป็นช่วงต้นงบประมาณ(ตุลาคมของทุกปี) ทำให้อาชีพวิทยากรของผมได้พักผ่อนแล้วได้มีโอกาสใช้เวลาในการเขียนหนังสือมากยิ่งขึ้น
ฉะนั้น การวิเคราะห์ลักษณะงานกับการบริหารเวลา จึงทำให้เราสามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการใช้เวลาของกระผมข้างต้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะเอาเวลาไหน ไปเดินทาง แล้วเวลากิน เวลาคุย เวลาเล่น ละ อยู่ไหน เนื่องจากกระผมเชื่อว่า การบริหารเวลาเป็นศิลปะ ผู้บริหารเวลาจึงควรมีการยืดหยุ่น การใช้เวลาเพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
...
  
9 พฤติกรรม 9 ความสำเร็จ รุ่น 10
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ บรรยายหลักสูตร 9 พฤติกรรม 9 ความสำเร็จรุ่นที่ 10 ให้แก่พนักงานห้างโลตัส ณ ห้องฝึกอบรม โลตัส เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 ...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.