หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
จอจ่อที่เป้าหมาย...ไม่ใช่จอจ่อที่อุปสรรค
จอจ่อที่เป้าหมาย...ไม่ใช่จอจ่อที่อุปสรรค
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คุณจะเห็นอุปสรรค์เป็นสิ่งที่น่ากลัว...ถ้าคุณละทิ้งเป้าหมาย เป็นคำพูดของ เฮนรี่ ฟอร์ด
เป้าหมายที่ปราศจากแผนการ เป็นได้แค่ความฝัน.....
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในโลกนี้....ไม่รู้ว่าตนเองเกิดมาแล้วต้องการอะไร....ก็เนื่องมาจากการขาดเป้าหมายนั่นเอง.....เป้าหมายจึงเปรียบเสมือนทิศทางที่ทำให้เราเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น...
หลายๆคนไม่ยอมบอกเป้าหมายของตนเองกับผู้อื่น....ก็เนื่องมาจากการขาดความมั่นใจในตนเอง บางคนอาย...แต่ตรงกันข้ามกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากมักเป็นคนที่ชอบบอกคนรอบข้างว่า....เขาต้องการอะไร...
จงกล้าบอกเป้าหมาย....แล้วท่านจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่.....หากว่าท่านอยากเป็นนักเขียนระดับประเทศ....จงบอกคนรอบข้างของท่าน.....หากว่าท่านอยากมีเงินล้าน....จงบอกคนรอบข้างของท่าน....หากว่าท่านอยากเป็นทนายความ....จงบอกคนรอบข้างของท่าน...แล้วท่านจะได้สิ่งนั้น รวดเร็วยิ่งขึ้น..และหากว่าท่านอยากได้รถเก๋งใหม่สักคัน....จงบอกคนรอบข้างของท่าน.....สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คือ คนส่วนมาก มักจะละทิ้งเป้าหมายที่ตนต้องการ...แต่การบอกคนรอบข้างจะทำให้คนรอบข้างของท่านคอยที่จะเตือน คอยที่จะย้ำ เป้าหมายของท่านอยู่ตลอดเวลา...
อยากให้เป้าหมายสำเร็จ.....ต้องไปสัมผัสกับของจริง....หลายคนมีเป้าหมาย อยากได้รถเก๋งใหม่....ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ท่านลองไปสัมผัสกับรถเก๋งในฝันของท่านบ่อยๆ...ลองทดลองนั่ง....ลองทดลองขับ...หากท่านได้สัมผัสมันบ่อยๆ เป้าหมายนั้นก็จะเป็นจริงได้...
เป้าหมายจะสำเร็จได้ต้อง...ฝึกจินตนาการ....การฝึกจินตนาการถึงเป้าหมายบ่อยๆจะทำให้...ท่านเกิดความถี่ในการได้คิดถึงเป้าหมาย....เช่น การคิดการจินตนาการว่าท่านได้รถเก๋งคันนั้นแล้ว...ท่านกำลังขับ....ท่านกำลังอยู่ในรถเก๋งใหม่คันนั้น.....ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น....เราควรหาภาพรถเก๋งคันที่เราต้องการ...ติดไว้ข้างฝาบ้าน...ก็ยิ่งจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็ว...
เป้าหมายจะสำเร็จได้....ต้องลงมือทำ.....เมื่อคิดแล้ว เมื่อพูดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด....จงลงมือทำ.....ลองเอากระดาษ ปากกาหรือดินสอ มาวาด มาเขียน ดูว่า เราจะมีวิธีการหาเงินมาจากไหนเพื่อซื้อรถเก๋งในฝันของเรา....เช่น หารายได้จากการเขียนหนังสือ.....หารายได้จากการขายประกันชีวิต....หารายได้จากการขายสินค้าต่างๆ....หารายได้จากการทำธุรกิจเครือข่าย....ฯลฯ
เป้าหมายจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้....ท่านจะต้องกระตือรือร้น....จงเดินอย่างคนกระตือรือร้น....จงพูดอย่างคนกระตือรือร้น....จงทำตัวอย่างคนกระตือรือร้น.....จงขายอย่างคนกระตือรือร้น....แล้วเราก็จะเคลื่อนตัวไปสู่เป้าหมาย....
เป้าหมายดี...ต้องหมั่นบำรุง....จึงจะประสบความสำเร็จ....จงให้กำลังใจตนเอง...จงลุกขึ้นพูด “ ฉันทำได้”, “ ฉันสุดยอด” , “ ฉันยอดเยี่ยม” ...ปลุกพลังด้วยคำพูดกับตัวเองบ่อยๆ
เป้าหมายต้องเขียนบ่อยๆ...การเขียนเป้าหมายบ่อยๆ...จะทำให้เรา...เกิดความตั้งใจที่จะทำตามเป้าหมายยิ่งขึ้น...จงเขียนเป้าหมาย....จงเขียนแผนการไปสู่เป้าหมาย...จงเขียนระยะเวลาที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมาย....จงเขียนขั้นตอนต่างๆที่จะทำให้เป้าหมายประสบความสำเร็จ.....
เป้าหมายยิ่งใหญ่....ท่านยิ่งต้องพัฒนาตนเอง....พัฒนาทั้งการอ่าน การฟัง การพูด การกระทำ การขาย การนำเสนอ....ยิ่งท่านพัฒนาตนเองได้มากเท่าไร....เป้าหมายที่ท่านดูว่ายิ่งใหญ่...ก็จะเป็นเพียงเป้าหมายหมายที่เล็กน้อน....เท่านั้น
เมื่อได้...อ่านมาถึงนี้แล้ว...ผมอยากถามว่า....คุณมีเป้าหมายหรือยัง....คุณค้นพบเป้าหมายตัวเองหรือยัง....เพราะถ้าคุณมีเป้าหมายที่ชัดเจน...ชีวิตของคุณก็จะมีความตื่นเต้น...ชีวิตของคุณก็จะมีพลังขับเคลื่อน....ชีวิตของคุณก็จะมีพลังมีความหวัง....ถ้าคุณยังไม่มี....จงเขียนมันขึ้นมา....ตอนนี้....ขอให้คุณประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายที่คุณวางเอาไว้ขอให้ทุกๆท่านโชคดี
...
  
เลิกเหล้า เลิกจน
เข้าพรรษาบวชใจ 3 เดือน เลิกเหล้า เลิกจน

โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์


โครงการ “ บวชใจงดเหล้าเข้าพรรษา ทำความดีถวายในหลวง ” เป็นโครงการที่ดีมากโครงการหนึ่ง และรัฐบาลก็มีมติคณะรัฐมนตรีให้เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติอีกด้วย


การงดเหล้าเข้าพรรษาแค่เพียง 3 เดือน จากข้อมูลการงดเหล้าเข้าพรรษาปี 2549 มีผู้งดเหล้าเข้าพรรษา 5 ล้านคน ทำให้คนงดเหล้าเข้าพรรษามีเงินเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละ 1,188.97 บาท เท่ากับว่า 3 เดือนเข้าพรรษา จะมีเงินเก็บ 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว


ถ้าเราจะคิดง่ายๆ ถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่า หากชาวบ้านจำนวน 100 คน ดื่มอย่างหนักวันละ 1 เป็ก ราคาเป็กละ 5 บาท จะสูญเงินลงขวดเท่ากับ 500 บาท ถ้า 30 วัน จะสูญเงินเท่ากับ 15,000 บาท


ถ้า 90 วันหรือ 3 เดือน จะสูญเงินเท่ากับ 45,000 บาท เลยทีเดียว เท่ากับซื้อรถจักรยานยนต์คันใหม่ได้ถึง 1 คัน


แถมการลด ละ เลิก 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษา ยังทำให้ช่วยลดอุบัติเหตุต่างๆ รวมทั้งการทะเลาะวิวาท อีกด้วย


สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุราในปัจจุบัน ได้ลงไปถึงเด็กและเยาวชนจำนวนมาก จากงานวิจัยเรื่อง “ สุรากับพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน กรณีศึกษาในชุมชน จ.พะเยา ” ของ นางนันทนา ศิริสมบัติ พบว่า ปริมาณจำหน่ายสุราปี 2550 จำนวน 7.9 แสนลิตร จำหน่ายเบียร์ 5,326 ล้านลิตร สำหรับจังหวัดพะเยาได้ทำการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กพะเยา จากกลุ่มตัวอย่าง 3,240 ราย พบเด็กหญิงและเด็กชาย มีอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมาก มีความรุนแรงเกือบทุกพื้นที่ โดยเริ่มดื่มสุราครั้งแรกอายุประมาณ 13 ปี จากการเลียนแบบพ่อแม่ คนใกล้ตัว ส่วนเด็กหญิงเริ่มดื่มตามเพื่อนในงานวันเกิด


สำหรับพฤติกรรมการดื่มสุราในเยาวชนที่พบมี 3 รูปแบบ คือ 1.การดื่มสุราในโอกาสเทศกาลต่างๆ รวมทั้งเมื่อได้รับเงินกู้จากกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ก็จะหมุนเวียนเลี้ยงกัน และจะเลี้ยงใหญ่หากหลายคนใน


กลุ่มได้เงินมาพร้อมกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงหน่วยงานที่รับผิดชอบควรเร่งศึกษาการใช้เงินของเด็ก 2. กลุ่มเด็ก ม.ต้นและม.ปลาย ที่ดื่ม 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยเด็กยอมอดอาหารหรือหลอกพ่อแม่ว่าขอเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน แต่นำเงินมาลงขันตั้งวงดื่มกัน และ กลุ่ม 3. ม.ต้น ที่เป็นเด็กเกเร หนีเรียน ก่อคดี ลักขโมย ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม โดยจะดื่มสุราเกือบทุกวัน หรือ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ เกือบ 20 วันใน 1 เดือน ซึ่งนับเป็นกลุ่มติดสุราแล้ว


นางนันทนา ศิริสมบัติ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพะเยา กล่าวว่า การป้องกันคือพ่อแม่ ต้องช่วยอบรมดูแลชี้ให้เห็นถึงโทษการดื่มสุรา สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธ ส่วนสถานศึกษา ครูต้องใช้จิตวิทยาวัยรุ่นเข้าไปปรับพฤติกรรมเด็กให้ได้ (อ้างอิง หนังสือพิมพ์ไทยรํฐ 18 กค.51)


สำหรับ คุณนันทนา ศิริสมบัติ กระผมรู้จักเป็นการส่วนตัว สำหรับการวิจัยเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์มากครับ ทำให้เราได้รู้เห็นสภาพของสังคมพะเยา และกระผมคิดว่าในจังหวัดอื่นๆ ถ้ามีการวิจัยลักษณะดังกล่าว ผลที่ออกมาก็คงใกล้เคียงกัน


สำหรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา สมัยก่อนไม่มีครับ พึ่งมามีไม่กี่ปี ข้อดีของเงินกู้เพื่อการศึกษาก็คือ ทำให้เด็กที่ต้องการศึกษาต่อมีโอกาสในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่ผลเสียก็อย่างที่มีคนกล่าวถึงก็คือ เด็กบางคนนำเงินไปซื้อ เหล้า เที่ยว ซื้อมือถือ ผ่อนรถจักรยานยนต์ ฯลฯ


และรัฐบาลปัจจุบันก็มีแนวคิดจะขยายเพดานรายได้ครอบครัวของผู้มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ.เป็น 2.5 แสนบาทต่อปี จากเดิม 2 แสนบาทต่อปี ในด้านหนึ่งกระผมคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเด็กยากจนและเด็กด้อยโอกาสเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐบาลต้องมีภาระเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกู้ กยศ.ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ปีเดียว


ท้ายนี้ ก็ต้องขอฝากเด็กที่มีสิทธิ์กู้กองทุน กยศ. เมื่อมีโอกาสก็ต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุดไม่ควรนำเงินไปใช้ นอกวัตถุประสงค์ของผู้ให้กู้







...
  
การทำงานด้วยหัวใจ
การทำงานด้วยหัวใจ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การทำงานอย่างไรให้มีความสุข การทำงานอย่างไร ที่จะทำงานออกมาจากหัวใจ ก่อนอื่น เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของการทำงานกันก่อน
- การทำงานกับความเครียด หากจะพูดไปแล้ว ความเครียดในการทำงานเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรที่จะมีมากจนเกินไปจนกระทั่งเป็นโรคต่างๆ (โรคนอนไม่หลับ โรคความดัน โรคปวดหัว) หรือมีน้อยจนเกินไป คนที่ไม่มีความรับผิดชอบในงานส่วนใหญ่มักจะไม่มีความเครียด ไม่มีความกังวัลใจ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าบอกให้เดินสายกลาง คนที่จะทำงานให้ได้ดีมีประสิทธิภาพมักจะเป็นคนที่มีความเครียดแต่ต้องไม่มาก งานจึงจะออกมาดี กระผมขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม ปัจจุบัน กระผมมีอาชีพวิทยากร หากมีคนเชิญผมให้ไปพูด หากผมไม่มีความเครียดอยู่เลย รู้สึกสบายๆ ไม่ตื่นเต้น กระผมมักจะไม่ได้เตรียมตัวไปบรรยายหรือทำการบ้าน แต่ตรงกันข้ามหากว่าผมมีความเครียดมากจนเกินไป พรุ่งนี้จะไปบรรยาย เลยทำให้นอนไม่หลับ อย่างนี้ก็คงจะไม่ดี ดังนั้น หากว่าผมมีความเครียด มีความรู้สึกต้องรับผิดชอบ ผมจะมีการทำการบ้านหรือการเตรียมตัวไปพูดบรรยายเป็นอย่างดี
- การทำงานกับความขัดแย้ง ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าองค์กรไหนมีคนทำงาน องค์กรนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องความขัดแย้ง ฉะนั้น การทำงานร่วมกันกับคนภายในองค์กร (หัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน) และ การทำงานกับบุคคลภายในองค์กร(ลูกค้า) ย่อมจะต้องเกิดปัญหาเป็นธรรมดา เพียงแต่เราต้องรู้จักที่จะลดความขัดแย้งหรือเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งให้เป็นเรื่องสร้างสรรค์ ก็จะทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและองค์กรได้
- การทำงานกับมนุษย์สัมพันธ์ การทำงานร่วมกับคน ยิ่งองค์กรไหนมีคนทำงานเป็นจำนวนมาก บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มักจะต้องเป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ ซึ่งบุคคลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มักจะเป็นคนที่มีความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของบุคคลได้ เช่น ยอมรับความแตกต่างระหว่างเพศ ชาย หญิง , ความแตกต่างระหว่างวัย เด็ก วัยรุ่น ชรา ความแตกต่างขอบุคคล (ร่างกาย , อารมณ์ , จิตใจ , ความรู้สึก , บุคลิกภาพ , ประสบการณ์ )
- การทำงานกับการสื่อสาร คนเราทำงานร่วมกันมักจะมีปัญหาเรื่องของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้น้ำเสียง การสื่อสารที่ผิดพลาด การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน การสื่อสารที่ขาดการกลั่นกรอง ฯลฯ
- การทำงานกับความรักในงานที่ทำ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง มักจะเป็นคนที่รักในงานที่ตนเองทำ ตรงกันข้ามบุคคลโดยทั่วไป มักเลือกทำงานเพราะเห็นแก่เงินเป็นอันดับแรก อีกทั้งไม่รู้จักตัวตน ว่าตนเองชอบทำงานอะไรกันแน่ เขาจึงทำงานด้วยความเบื่อหน่าย ไม่สนุกกับการทำงาน โทมัส อัลวา เอดิสัน เขาชอบประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ เขาสามารถอยู่ในห้องทดลองได้ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อหน่าย เหตุเพราะว่าเขารักในงานที่เขาทำ เขาไม่คิดว่านั้นคืองาน แต่เขามีความสนุกกับมันต่างหาก , สตีฟ จอบส์ บิล เกตต์ ชอบคอมพิวเตอร์ เขาสามารถอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพราะเขารักในเรื่องราวต่างๆของคอมพิวเตอร์นั้นเอง
- การทำงานกับการบริหารเวลา หลายคนที่มีความเครียดในการทำงาน มีความเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ในการทำงาน สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจาก การที่บุคคลคนนั้น ไม่รู้จักเรื่องของการบริหารเวลา เขาไม่รู้ว่างานไหนเป็นงานสำคัญ งานไหนเป็นงานที่ไม่สำคัญ งานไหนควรทำก่อน งานไหนควรทำทีหลัง จึงทำให้เขาเกิดความเครียด เมื่องานที่จะต้องทำให้เสร็จ กลับยังไม่ได้ทำ ทั้งๆที่ ควรจะทำเสร็จตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แต่เขาปล่อยให้เวลาผ่านไป(ดินพอกหางหมู) โดยการเลือกทำงานที่ไม่สำคัญก่อน ฉะนั้น การบริหารเวลาดีมักจะทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
- การทำงานกับการคิดถึงประโยชน์ที่ได้รับจากงาน งานหลายๆงาน มีเงินเดือนน้อย แต่เมื่อทำไปแล้ว เกิดความสุขอย่างมากมายมหาศาล อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดความภาคภูมิใจ เช่น ครู อาจารย์ ได้รับเงินเดือนน้อย แต่ก็สามารถเกิดความสุขในงานได้ หากว่าคำนึงถึง เด็กๆที่จบออกไปเป็นอนาคตของประเทศชาติ
- การทำงานกับแนวทางพุทธศาสนา อิทธิบาท 4 เป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เมื่อ 2556 ปี แต่ก็ยังคงทันสมัย คือ ฉันทะ ต้องมีความรักในงานที่ตนเองทำ(ใจรัก) , วิริยะ ต้องมีความพากเพียรในการทำงาน(ใจสู้) , จิตตะ ต้องมีความเอาใจใส่ในงาน(ใจใส่) และวิมังสา ต้องมีความไตร่ตรองในผลงานที่ตนเองทำ(มีใจตรวจสอบ)
ดังนั้น การที่บุคคล คนหนึ่งจะมีหัวใจที่รักงานหรือมีการทำงานด้วยหัวใจ จะต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง ซึ่งองค์ประกอบข้างต้น เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ หากท่านเป็นคนหนึ่งที่อยากจะทำงานด้วยหัวใจ ท่านควรจะพัฒนาตนเอง ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ตนเองมีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น
...
  
อัจฉริยะพลิกสมอง....เปลี่ยนโลก
อัจฉริยะพลิกสมอง...เปลี่ยนโลก
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
โทมัส อัลวา เอดิสัน ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลที่โลกยกย่อง แล้วเขาเป็นอิจฉริยะได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งที่น่าสมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวกระผมเองและนักวิชาการอีกเป็นจำนวนมากเชื่อว่า อัจฉริยะสามารถสร้างขึ้นได้ การดูต้นแบบ ชีวิต แนวคิดของบรรดาอัจฉริยะบุคคลเป็นวิธีหนึ่งที่จะสามารถทำให้เราเป็นอัจฉริยะได้ดังเช่นบุคคลต้นแบบ โทมัส อัลวา เอดิสัน เป็นบุคคลคนคนนั้น
มีคนเคยไปถาม โทมัส อัลวา เอดิสัน ว่า อัจฉริยะเกิดจากอะไร โทมัส อัลวา เอดิสัน ตอบว่า “ อัจฉริยะเกิดจากแรงบันดาลใจแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่เกิดจากความพยายาม 99 เปอร์เซ็นต์” จากคำตอบนี้หากเราได้อ่านประวัติของ โทมัส อัลวา เอดิสัน เราจะเห็นถึงความมานะ พยายาม ความขยัน ความอดทนในการทำงานของเขา เขาจะไม่ล้มเลิกง่ายๆ
ชีวิตคือการทดลอง โทมัส อัลวา เอดิสัน ได้ทุ่มเทให้กับเวลาทดลองเป็นอย่างยิ่ง เขาได้ใช้เวลาอย่างมากอยู่ในห้องทดลองและเมื่อออกมานอกห้องเขาก็จะทดลองทุกๆอย่างที่เขาสงสัยและอยากรู้ เขาจะลองผิดลองถูกและเฝ้ามองการทดลองนั้นด้วยตนเอง อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้จากการทดลอง จนกระทั่งเขาได้รับสิทธิบัตรกว่า 1,000 รายการ
นวัตกรรมนำหน้า ในการทำธุรกิจของเขา เขามักจะคิดนวัตกรรมใหม่ๆออกมาสู่ตลาดเสมอ เขาจะไม่หยุดคิด หยุดทดลอง อีกทั้งเขายังเคยพูดด้วยว่า “ วิธีที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำได้ ก็คือต้องทำการทดลอง ถ้าหยุดทดลองก็คือการเดินถอยหลัง” สตีฟ จอบส์ เองก็มีแนวคิดเรื่องนวัตกรรมไม่ต่างกัน เขาเคยพูดกับทีมงานของเขาว่า “ สิ่งที่เราต้องทำคือ การปฏิวัติวงการทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน สร้างโลกของเราขึ้นมา”
ชอบอ่าน โทมัส อัลวา เอดิสัน นับได้ว่าเป็นนักอ่านคนหนึ่ง ตอนเช้าเขาจะอ่านหนังสือพิมพ์ 2-3 ฉบับและช่วงบ่ายอีก 3-4 ฉบับ ส่วนใหญ่เป็นวารสาร หนังสือพิมพ์ในวงการประดิษฐ์ วงการวิทยาศาสตร์ที่เขากำลังทำงานอยู่ จึงทำให้เขามีความคิดที่จะผลิตสินค้าให้สนองตอบกับคนในยุคนั้น เพราะเขาเชื่อว่า คนเราจะอยู่ได้ เติบโตได้ก็ด้วยความรู้ใหม่ๆ
คิดต่าง จึงประสบความสำเร็จ สิ่งประดิษฐ์ของ โทมัส อัลวา เอดิสัน เกิดขึ้นจากการคิดต่าง เช่น หลอดไฟฟ้า เทคโนโลยีภาพเคลื่อนไหว เครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ถือได้ว่าช่วยทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ จากโลกที่มืดไม่มีไฟฟ้าใช้ กลับกลายเป็นส่องสว่างด้วยหลอดไฟฟ้าที่เขาประดิษฐ์ โลกสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นก็ด้วยเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์ และโลกสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวเก็บไว้ได้ก็ด้วยฝึกมืออย่างคนอย่างเขา
เมื่อเจอปัญหาต้องไม่หยุด ในการทดลองสิ่งประดิษฐ์เกือบทุกชนิดของเขา เขาต้องพบกับปัญหาแต่เขาไม่เคยหยุดหรือทิ้งกลางคัน ตรงกันข้ามกับบุคคลโดยทั่วไป เมื่อเจอปัญหาก็มักบ่น มักทิ้ง แล้วไม่ทำต่อไป แต่คนอย่าง โทมัส อัลวา เอดิสัน เขาไม่เคยหยุดเมื่อเจอกับปัญหาโดยเฉพาะสิ่งประดิษฐ์ชิ้นสำคัญของโลกอย่างหลอดไฟฟ้า ในการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า เขาต้องล้มเหลวนับเป็นพันๆครั้ง มีคนไปถามเขาว่าเขาไม่เสียใจหรือไม่ ที่พบกับความล้มเหลวเป็นพันๆครั้ง เขาตอบว่า “ เขาไม่ได้ล้มเหลวแต่เขากำลังได้วิธีการใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกพันวิธีต่างหาก” อีกทั้งเขาเป็นคนที่ไม่เคยหยุดยั้ง นักข่าวเคยตั้งคำถามว่า “ หากเขายังไม่สามารถผลิตหลอดไฟฟ้าสำเร็จเขาจะทำอย่างไร” โทมัส อัลวา เอดิสัน ตอบว่า “ ผมจะไม่เสียเวลามานั่งคุยอย่างนี้หรอก แต่ผมจะมุ่งหน้าคิดค้นวิธีการผลิตหลอดไฟฟ้าให้จงได้”
นี่คือวิธีคิด วิธีทำงานของ โทมัส อัลวา เอดิสัน ซึ่งทุกๆท่านสามารถนำเอาไปปฏิบัติได้ แล้วท่านจะประสบความสำเร็จอย่างอัจฉริยะคนนี้
...
  
อยากประสบความสำเร็จต้องลงมือทำ
อยากประสบความสำเร็จต้องลงมือทำ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือบุคคลที่สำคัญๆของโลก มักจะเป็นคนที่มีลักษณะ คิดดี พูดดี และทำดี ซึ่ง หลายๆคน มีความคิดที่ดี มีคำพูดที่ดี แต่เสียอย่างเดียว ก็คือ เขาไม่กล้าที่จะลงมือทำ
หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จ ท่านต้องกล้าที่จะลงมือทำ
สตีฟ จอบส์ เขากล้าที่จะลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ หากว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ดี มีคำพูดที่ดี แต่ไม่ยอมที่จะกล้าเสี่ยงที่จะลาออกแล้วมาตั้งบริษัทของตนเอง บริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ก็คงจะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในปัจจุบัน
หลุยส์ ราโมล นักเขียนหนังสือแนวนวนิยายซึ่งเขาได้รับรางวัลเบสท์ เซลเลอร์ กว่า 100 เล่ม เมื่อเขาเป็นนักเขียนใหม่ๆยังไม่มีชื่อเสียง เขาเสนอต้นฉบับหนังสือเล่มแรกให้กับสำนักพิมพ์ เขาต้องถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธเกือบ 300 ครั้ง แต่เขายังมีความคิดว่า ต้องมีสำนักพิมพ์สักแห่งที่สนใจหนังสือของเขา เขาจึงลงมือทำต่อไป เขายังคงมุ่งหน้าเสนอ ต้นฉบับกับสำนักพิมพ์ต่อ จนในที่สุดมีสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งสนใจต้นฉบับของเขา สุดท้าย เขาคือ นักเขียนชาวอเมริกันคนแรกที่ได้รับรางวัลจากสภาครองเกรส ในฐานะที่เป็นผู้แนะนำรูปแบบโครงร่างทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ เขาเป็นคนแรกที่ต้องการสร้างประวัติศาสตร์ เขามีความตั้งใจที่จะทำลายประวัติศาสตร์ของโลก โดยเขาต้องการวิ่งระยะทาง 1 ไมล์ ให้ได้เร็วที่สุด จนกระทั่งปี 1954 เขาวิ่ง 1 ไมล์ใช้เวลาเพียงแค่ 4 นาที ซึ่งเขาต้องลงมือซ้อม ฝึกฝน อดทน เขาจึงประสบความสำเร็จ ต่อมาเมื่อคนทั้งโลกเห็น โรเจอร์ แบนนิสเตอร์ วิ่งได้ ต่อมาจึงมีคนมากกว่า 24 คน วิ่งได้
อุดมพร พลศักดิ์ หรือน้องอร ของชาวไทย เธอต้องการได้เหรียญทองโอลิมปิก เธอต้องทุ่มเท ฝึกซ้อม อดทน ด้วยความมานะ จนกระทั่งในที่สุดเธอคือผู้พิชิต เหรียญทองโอลิมปิกในปี 2547 ในประเภทกีฬายกน้ำหนักโดยเธอยกได้ 97.5 กก.ในท่าสแนตซ์ และ ท่าคลีนแอนด์เจร์กได้ 125 กก. รวมน้ำหนักที่ได้ 222.5 กก. ในขณะที่ตัวของเธอมีน้ำหนักไม่เกิน 53 กก.
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เขาต้องการค้นหาโลกและพิสูจน์ว่าโลกกลม เขาต้องเสี่ยงภัยอยู่กลางทะเล โดยแล่นเรืออยู่เป็นหลายเดือน หลายปี จนในที่สุดเขาค้นพบอเมริกาและพิสูจน์จนได้ว่า โลกของเรากลมซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อของคนสมัยนั้นว่า โลกแบนและมีความเชื่อว่าไม่ควรเดินทางโดยเรือไปไหนไกลๆ เพราะอาจจะทำให้ ตกโลกได้ เมื่อเขาพิสูจน์แล้วว่าโลกกลม จึงทำให้คนสมัยนั้นไม่กังวลอีกต่อไปว่าจะตกโลก
นีล อัลเดน อาร์มสตรอง เขาต้องการพิชิตดวงจันทร์ ในขณะที่คนสมัยนั้น คิดว่าดวงจันทร์หากไกลแสนไกล ไกลกับโลกมากเหลือเกิน คนเราไม่สามารถไปถึงได้ แต่นีล อัลเดน อาร์มสตรอง เขาไม่ได้คิดเช่นนั้น ในที่สุด คนก็พิชิตดวงจันทร์และเขาก็เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่พิชิตดวงจันทร์ได้สำเร็จ
มหาตมะ คานธี ต้องการปลดปล่อยประเทศอินเดียให้เป็นเอกราชจากสหราชอาณาจักรอังกฤษ เขาลงมือทำ เขาพยายาม เขาอดทน ต่อสู้ โดยใช้หลักการอหิงสาจนในที่สุด โลกก็ได้บันทึกว่าเขาคือนักต่อสู้แบบอหิงสาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากประชาชนชาวอินเดียให้เป็นบิดาแห่งอินเดียอีกด้วย
บุคคลที่กระผมได้กล่าวในข้างต้น ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะว่า เขามีเป้าหมาย เขามีความคิด เขามีการวางแผน เขามีความทะเยนทะยาน เขามีความอดทน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขามีการลงมือกระทำอย่างจริงจัง หากว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ จงลงมือทำแล้วท่านจะประสบความสำเร็จ



...
  
9 อุปนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จ
9 อุปนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก นักพูด วิทยากร นักเขียน
www.drsuthichai.com
คนที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรมดาโดยทั่วไป มักมีความแตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เรื่องของความคิด คำพูด การกระทำและอุปนิสัย ในบทความฉบับนี้ เราจะมาพูดคุยกันเรื่องของอุปนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1.พวกเขามีการ “ วางเป้าหมาย” คนที่ไม่ประสบความสำเร็จเขาจะไม่มีการวางเป้าหมาย ซึ่งการวางเป้าหมายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ คนจำนวนมากมีความฝัน แต่ไม่มีการวางเป้าหมาย ซึ่งการวางเป้าหมายควรมีทั้งเป้าหมาย ระยะยาว ระยะกลาง ระยะสั้น หรือ อาจแบ่งเป็นเป้าหมาย 10 ปี เป้าหมายรายปี เป้าหมายรายเดือน เป้าหมายรายสัปดาห์ เป้าหมายรายวัน เป็นต้น
นักขายจำนวนมากมีความฝันอยากที่จะร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่มีการวางเป้าหมายว่าจะสร้างรายได้จากการขายปีละเท่าไร เดือนละเท่าไร สัปดาห์ละเท่าไร วันละเท่าไร หรือ เป้าหมายในการเข้าพบลูกค้าก็เช่นกัน ถ้าไม่มีการวางเป้าหมายในการเข้าพบจำนวนกี่รายต่อปี ต่อเดือน ต่อสัปดาห์ ต่อวัน แล้วนักขายคนนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักขาย ดั้งนั้น หากเราไม่มีเป้าหมายในการทำงาน เราก็จะไม่รู้ว่าเราจะเดินทางไปในทิศทางไหน
2.พวกเขามี “ ความรับผิดชอบต่อชีวิตของเขาอย่างเต็มที่ ” ซึ่งแตกต่างกับคนโดยทั่วไป ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จก็มักจะโทษสิ่งต่างๆ ยกเว้นโทษตัวเอง ตอนเด็กๆ เพื่อนของผมหลายคนไม่ได้ส่งการบ้านคุณครู เมื่อคุณครูถาม แทนที่จะยอมรับผิด หลายคนกลับมีข้อแก้ตัวต่างๆนานา ว่า “หมาคาบการบ้านไปบ้าง” “ พ่อแม่พาไปกินข้าวนอกบ้านกลับบ้านมาดึกเลยไม่ได้ทำการบ้านบ้าง” ดั้งนั้น คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะไม่โทษคนอื่นหรือสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่เขาจะรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง พวกเขารู้ว่าถ้าพวกเขาต้องการประสบความสำเร็จ พวกเขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองและรับผิดชอบตัวของเขาเอง
3.พวกเขา “ มีวินัย ” หลายคนทำงานที่บ้านโดยไม่มีเจ้านายค่อยควบคุม แต่เขามีวินัยในตนเอง จึงสามารถสร้าง ผลงานได้อย่างมากมายมหาศาล เช่น อาชีพนักเขียน นักเขียนเป็นจำนวนมากที่ไม่ประสบความสำเร็จในอาชีพนักเขียน เนื่องจากว่าไม่มีวินัยในตนเอง หลายคนวางเป้าหมายว่าจะเขียนหนังสือให้ได้วันละ 10 หน้า แต่ปรากฏว่าเขียนได้วันละ 10 หน้าได้แค่ 2-3 วัน วันที่ 4 เริ่มขี้เกียจจนกระทั่งต่อมา เริ่มสร้างเป็นนิสัยบางวันเขียนบ้าง บางวันไม่เขียนบ้าง แทนที่ถ้ามีวินัย ถ้าเขาเขียนวันละ 10 หน้าต่อวัน ก็จะทำให้ 1 ปี มีผลงานการเขียนถึง 3,650 หน้าเลยทีเดียว หรือ ได้หนังสือถึง 20 เล่มต่อปี(เล่มละ 180-200 หน้าต่อเล่ม)
4.พวกเขามี “ การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง” อยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะแสวงหาความรู้ใหม่ๆเพื่อนำเอาไปใช้ในการทำงาน เช่น การอ่านหนังสือเป็นจำนวนมาก การเข้ารับการอบรมเพื่อหาความรู้และข้อมูลแปลกๆใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานของตนเอง หรือการฟังหนังสือเสียงในรถเวลาที่รถติดหรือเวลาเดินทางไกล เป็นต้น
5.พวกเขามี “ การบริหารเวลาที่ดี ” คนในเรามีเวลาเท่ากันทุกคนในโลกคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะรู้จักการบริหารเวลา จึงทำให้เขาสร้างผลงานได้มากกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาจะรู้จักการจัดความสำคัญของงานและความเร่งด่วนของงาน กล่าวคือ งานที่มีความสำคัญกว่าและมีความเร่งด่วนเขาจะทำงานชิ้นนั้นก่อน และรู้จักการวางแผนในการทำงานที่มีความสำคัญแต่ไม่มีความเร่งด่วนให้เสร็จก่อน หรือมีการจัดลำดับความสำคัญของงานหรือกิจกรรมเป็น A B C D E F เป็นต้น
6.พวกเขาชอบ “ ความเสี่ยง ” คนจำนวนมากชอบเรื่องของความมั่นคง ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ชอบความเสี่ยง ชีวิตจึงนิ่ง ซึ่งแตกต่างกับคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่พวกเขาจะชอบความเสี่ยง เช่น ชอบการลงทุนเพราะการลงทุนสามารถทำให้เกิดกำไรขึ้น ในขณะเดียวกันการลงทุนก็เสี่ยงกับการขาดทุนหรือล้มละลาย คนเป็นจำนวนมากมักไม่ชอบเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเพราะทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องพบการความเสี่ยงอยู่เสมอ คนจำนวนมากเบื่อหน่ายงานที่ตนเองทำมาเกือบ 10 ปี แต่ก็ไม่กล้าที่จะลาออกไปทำงานใหม่หรือออกมาค้าขาย เนื่องจากกลัวความเสี่ยงที่จะขาดทุน เป็นต้น
7.พวกเขา “ กล้าที่จะล้มเหลวหรือลุกขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่ล้มเหลว” เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ หลายๆคนต้องพบกับการขาดทุนในกิจการที่ตนเองลงทุนไป แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นใหม่ จนกระทั่งร่ำรวยและประสบความสำเร็จในที่สุด เช่น ผู้พันเซนเดอร์หรือผู้พัน KFC พวกเราลองไปศึกษาชีวิตในอดีตท่านล้มเหลวมาโดยตลอดก่อนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหลังวัยเกษียณอายุ หรือ อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ลินคอล์น พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเป็นจำนวนมากแต่ท่านไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นมาต่อสู้ จนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี
8.พวกเขา “ จะหาวิธีที่จะเอาชนะในการแข่งขัน “ โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน หน่วยงานต่างๆ องค์กรต่างๆ ธุรกิจต่างๆ ต้องมีคู่แข่งขัน คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะแสวงหาวิธีการ เครื่องมือ หรือสิ่งใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการทำงานเพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่งขัน โดยอาศัยเรื่องของ ความคิดเข้ามาช่วยในการทำงาน “ พวกเขาจะใช้ความคิดของการสร้างสรรค์” เข้ามาช่วย
9.พวกเขา “ รู้ว่าตนเองรักอะไรหรือชอบที่จะทำอะไร” คนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง เขาจะรักในงานที่ตนเองทำหรือเขาจะเลือกทำงานที่ตนเองรัก เขาจึงทำงานอย่างมีความสุขและสามารถทำงานได้เป็นเวลานาน บางคนทำงานได้ตลอดชีวิตถ้าเขาได้ทำงานที่ตนเองรัก “ จงค้นหาให้พบว่าเราชอบทำงานอะไร” แล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

...
  
เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษ
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก ใครที่เก่งภาษาอังกฤษย่อมสร้างโอกาสและมักจะได้เปรียบคนอื่นๆ ไม่จะเป็นเรื่องของหน้าที่การงาน การติดต่อสื่อสาร โอกาสในการสอบชิงทุนการศึกษาเพื่อไปต่างประเทศหรือการสอบไปดูงาน ต่างประเทศ หรือทำวิจัย ทดลอง ค้นคว้า ในต่างประเทศ ซึ่งจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในสอบแข่งขัน
ยิ่งปัจจุบันประเทศไทย ได้เข้าสู่ AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ. ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน. ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าให้ใช้ภาษาอาเซียนในการติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งภาษาอาเซียนก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง
สำหรับบทความนี้ กระผมมีเทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผล มาฝากกัน คือทำอย่างไรถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ ทั้งนี้จะสังเกตดูว่า ประเทศไทยของเรา เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงเรียนในมหาวิทยาลัย แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เทคนิคในการเรียนพูดภาษาอังกฤษให้ได้ผลมีดังนี้
1. ฟัง ฟัง ฟัง คือ ฟังภาษาอังกฤษให้มากๆ ฟังทุกๆวัน ฟังในทุกที่ที่โอกาสอาจจะฟังครั้งละ 5 นาที 10 นาที 15 นาที ฟังในทุกสถานที่ เช่น เวลาอาบน้ำ ก็เปิดภาษาอังกฤษฟัง เวลาเดินออกกำลังกายก็ใช้หูฟัง ฟังภาษาอังกฤษไปด้วย ถ้าทำได้เช่นนี้ เราจะสามารถฟังภาษาอังกฤษสะสมได้วันละอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงต่อวัน ทีเดียว
2. ฟังซ้ำไป ซ้ำมา ให้เกิดการจดจำและเกิดทักษะในการเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น เช่นเราฟังนิทานภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ เราฟังครั้งแรกเราอาจจะไม่เข้าใจ 100 % เราอาจจะเข้าใจเพียง 30% แต่ถ้าเราฟังครั้งที่ 2 เราอาจจะจำเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น และความเข้าใจก็จะเพิ่มขึ้นจาก 30%เป็น 35% และถ้าเราฟังครั้งที่ 3,4,5,6,7,8,9,10…………เ ราก็จะยิ่งเข้าใจเรื่องราวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจนถึง 100 %
3. ฟังเรื่องที่ง่ายๆไปหาเรื่องที่ยากๆ เช่น ฟังนิทานสำหรับเด็กก่อน เพราะใช้คำศัพท์ที่ง่าย ถ้าเราเริ่มต้นจากการฟังข่าวภาษาอังกฤษซึ่งมีศัพท์ที่ยากหรือมีศัพท์เฉพาะเยอะ เราก็อาจจะเรียนรู้ได้ช้าลง เหมือนกับการยกน้ำหนัก เราควรที่จะเริ่มจากน้ำหนักที่น้อยก่อนแล้วเพิ่มจำนวนน้ำหนักขึ้นไปทีละนิด ถ้าเราเริ่มจากการยกน้ำหนักที่มีน้ำหนักมากเราก็จะยกมันไม่ไหว
4. ฟังเรื่องราวที่สามารถนำเอาไปใช้ในการสนทนาภาษาอังกฤษได้จริงๆ ไม่ควรฟังหรืออ่านหนังสือ ตำรา เรียนซึ่งไม่สามารถช่วยทำให้เราสนทนาภาษาอังกฤษได้ดี เพราะในตำราเรียนเป็นรูปแบบที่ตายตัว แต่ในความจริงเราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น คนที่ 1 Good morning.How are you? คนที่ 2 I am fine. Thank you and you. คนที่ 1 I am fine.ประโยคพวกนี้พวกเราคงฟังกันคุ้นหูเนื่องจากอยู่ในหนังสือเรียนภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่แต่ในความเป็นจริง เราสามารถตอบได้หลายคำตอบ เช่น คนที่ 1 Good morning.How are you? คนที่ 2 I am good. I am sick. I am great.I am very well today. I am tired. I am hungry.I am not so good today.เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าท่านอยากพูดอังกฤษได้ ท่านจะต้องฟังภาษาอังกฤษให้มาก เพราะการพูดมาจาก
การฟัง เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษได้หรือรู้ว่าเขาพูดอะไร ท่านก็จะเข้าใจและท่านก็จะเริ่มขยับปากพูดได้ทีละนิดทีละหน่อย เมื่อท่านฟังภาษาอังกฤษเข้าใจได้ระดับหนึ่ง ขั้นต่อไปกระผมแนะนำให้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้เรารู้ศัพท์เพิ่มมากขึ้นและทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น
การอ่านภาษาอังกฤษก็ใช้หลักการเดียวกันกับการพูดก็คือ อ่านทุกเวลาที่มีโอกาส อ่านซ้ำไป
ซ้ำมาหลายๆรอบ(ซึ่งสิ่งที่เราฟังและซึ่งที่เราอ่านควรเป็นเรื่องที่เราชอบ) อ่านจากหนังสือที่ง่ายๆไปหนังสือที่ยาก(เช่นอ่านนิทานสำหรับเด็กก่อน ไม่ควรอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษก่อนในระยะที่ฝึกฝนใหม่ๆ) และไม่ควรอ่านหนังสือเรียน หนังสือตำราเรียนภาษาอังกฤษ(เพราะพวกเราอ่านมากแล้วในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็ลืมไปเกือบหมด) ควรอ่านหนังสือจำพวกนิทานหรือหนังสือที่ช่วยทำให้การพูดภาษาอังกฤษได้ดี
...
  
การอ้างวาทะคนดังในการพูด
การอ้างวาทะคนดังในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
“จงอยู่อย่างกระหาย และทำตัวให้โง่เขลาอยู่เสมอ”(Stay Hungry , Stay Foolish) เป็นคำพูดของสตีฟ จอบส์
“คุณจะเห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่น่ากลัว ก็ต่อเมื่อคุณ....ละสายตาจากเป้าหมาย” เป็นคำพูดของเฮรี ฟอร์ด
“ความยิ่งใหญ่ของคน อยู่ที่ขนาดของความฝันของเขา” เป็นคำพูดของ บัณฑิต อึ้งรังสี
การพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง โดยใช้คำคมของคนดังหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากในการพูดแต่ละครั้ง หากท่านได้มีโอกาสใช้คำคมเหล่านี้ประกอบการพูดก็จะทำให้การพูดของท่านมีรสชาติ มีความไพเราะ อีกทั้งทำให้ชวนติดตาม ดังนั้น การสะสม วาทะคนดังไว้มากๆ เพื่อนำไปใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ในการพูดต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักพูด
ส่วนใหญ่วาทะคนดัง มักเป็นคำพูดที่คนดังได้ใช้เวลาคิดปกติมักเป็นข้อความสั้นๆ แต่กินใจความลึกซึ้ง เมื่อได้ฟังแล้วนำไปคิดต่อก็มักจะขยายความไปได้อีกมากมาย ซึ่งวาทะคนดังมีมากมาย หลายภาษา หลายชนชาติ หลายวัฒนธรรม ซึ่งคนเป็นนักพูดควรนำไปใช้ให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ ก็จะสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ผู้ฟังได้
สำหรับสิ่งที่ควรระวังในการใช้วาทะคนดังในการอ้างอิงในการพูด
1.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะคนดังมากจนเกินไป การใช้วาทะคนดังประกอบการพูดเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ไม่ควรให้มีมากจนเกินไป เพราะการใช้วาทะคนดังมากจนเกินไป จะทำให้ผู้ฟังแทนที่จะเกิดความศรัทธา กลับทำให้เรื่องที่พูดเกิดความน่าเบื่อได้ เปรียบเทียบเหมือนผู้หญิงใส่แหวน หากว่าใส่เป็น ใส่แค่ 1-2 วงก็ทำให้บุคลิกภาพดูดีแล้ว แต่หากใส่ 10 วง ทุกนิ้วหรือมากจนเกินไป ก็จะดูแล้วเป็นตัวตลกมากกว่า ยิ่งใส่มากก็จะทำให้คุณค่าของแหวนและบุคลิกภาพของผู้ใส่ด้อยลงไปด้วย
2.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่คร่ำครึ หรือ เก่าเกินไป ไม่ทันสมัย อีกทั้งมีคนใช้บ่อยมากจนดูเป็นวาทะที่ปกติธรรมดา เช่น การอวยพรงานแต่งงาน เรามักจะได้ยินหลายคนอวยพรว่า “ ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ”
3.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะ ที่ผิดกาลเทศะ เช่น สถานการณ์ ที่มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ผู้โต้เถียงมักใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เราดันไปใช้คำคมว่า “ คนเราจะใหญ่ แค่ไหนก็เล็กกว่าโลง” ไม่แน่เราอาจจะได้ลงโลงเร็วกว่าปกติ
4.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะ ที่ไม่ชัดเจน วาทะคนดังหลายวาทะ ที่ไม่ชัดเจน เมื่อนำเอาไปใช้ประกอบการพูดก็จะทำให้ผู้ฟัง งง สับสน ได้ เพราะอย่าว่าแต่ผู้ฟังสับสนเลย ผู้พูดก็ยังสับสนกับวาทะนั้น อีกทั้งยังไม่เข้าใจกับวาทะที่นำเอาไปอ้างอิงด้วย เช่น ไม่กร้าวแต่ยืนยันหนักแน่น
5.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่ยาวจนเกินไป การใช้วาทะที่ยาวจนเกินไป ทำให้ผู้พูดบางคนถึงกับต้องก้มลงอ่านวาทะนั้น อีกทั้งทำให้ผู้ฟังไม่สามารถจดจำวาทะนั้นได้ ฉะนั้น การใช้วาทะที่สั้น กระฉับ จะดึงดูดความสนใจและสร้างการจดจำได้มากกว่าเมื่อนำเอาไปใช้ประกอบการพูด
6.หลีกเลี่ยงการใช้วาทะที่ไม่ตรงกับเรื่องราวที่นำไปพูด วาทะคนดังมีหลากหลาย เมื่อเรานำเอาไปใช้ก็ควรนำไปใช้ให้เหมาะสมกับเรื่องที่พูด เช่น เขาให้พูดเรื่องของการแต่งกาย ก็ควรใช้วาทะเกี่ยวกับการแต่งกายประกอบการพูด “คำโบราณได้กล่าวไว้ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ไม่ควรใช้วาทะที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การแต่งกาย “ ลิ้นเพียงสองนิ้ว ขงเบ้งยกเมืองให้กับเล่าปี่ได้ ” ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันธ์กับเรื่องการแต่งกายเลย เป็นต้น
อีกทั้งการใช้วาทะคนดังประกอบการพูดที่ดี เราควรที่จะต้องอ้างอิงว่าคำพูดดังกล่าวเป็นของผู้ใด เพื่อมารยาทในการนำเอาไปใช้ประกอบการพูด สำหรับแหล่งข้อมูลต่างๆ ของวาทะคนดังในยุคปัจจุบันนี้มีมากมาย กว่าในอดีต เพราะยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร เราสามารถค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต เราสามารถซื้อหนังสือวาทะคนดังตามร้านขายหนังสือต่างๆ เราสามารถฟังและจดบันทึกจากแหล่งต่างๆ เพื่อนำมาประกอบการพูดในอนาคตของเรา
คำพูดเหน็บแนมที่เฉียบแหลมรุนแรงย่อมเชือดเฉือนได้ลึกกว่าคมอาวุธ(คติฝรั่งเศส)


...
  
โต้วาที โลกนี้ไม่ควรมีวันวาเลนไทน์
ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยพิษณุโลก เป็นกรรมการและผู้เสนอแนะ ในรายการ U-Debate ของสถานีโทรทัศน์ VOICE TV ในญัตติ โลกไม่ควรมีวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นการแข่งขันระหว่าง มหาวิทยาลัยกรุงเทพและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ...
  
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ท่านผู้อ่านทุกท่านครับ ถ้าหากว่าพวกเราย้อนหลังไปในอดีต สิ่งมหัศจรรย์ ทั้งหลายในโลก ล้วนแล้วแต่ ถูกมนุษย์ สร้างขึ้น ประดิษฐ์ขึ้น คิดค้นขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น ดาวเทียม คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์สี โทรศัพท์มือถือ ในยุค 50 ปีก่อน ไม่มี เดี๋ยวนี้มี
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบิน F 16 ยานอาวกาศ จรวด ในอดีตไม่มี แต่ปัจจุบันมี
สิ่งต่างๆถูกมนุษย์สร้างขึ้น พัฒนาขึ้น ประดิษฐ์ขึ้น คิดค้นขึ้น
ในอดีต “ ใครๆ ก็บอกว่านกเท่านั้นที่บินได้ ” แต่ด้วยน้ำมือของ 2 พี่น้องตระกูลไรค์ เครื่องบินลำแรกถูกสร้างขึ้น
ในอดีต “ ใครๆ ก็บอกว่า มนุษย์ไม่สามารถวิ่งได้ระยะทาง 1 ไมล์ น้อยกว่า 4 นาที ” และแล้วโรเจอร์ แบนนิสเตอร์ ก็เป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งได้ ในเวลาต่อมาก็มีคนอีก 10 คน 100 คน 1,000 คน 10,000 คน 100,000 คนวิ่งได้
ในอดีต “ ใครๆก็บอกว่า มนุษย์ไม่มีวันเหยียบดวงจันทร์ได้ ” และแล้ว นีล อาร์มสตรอง เป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่ได้ลงไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก
ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลายครับ ท่านจะเห็นได้ว่า สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ จากความคิด ความฝัน การลงมือทำ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆจึงเกิดขึ้น
นโปเลียน ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐ 3 สมัย กล่าวไว้ว่า “ ถ้าหากท่านคิดว่า ท่านทำได้ ท่านจะทำได้ แต่ถ้าหากท่านคิดว่า ท่านทำไม่ได้ ท่านก็จะทำไม่ได้” ความคิดเป็นตัวกำหนดความสำเร็จ ถ้าคุณเปลี่ยนความคิด ชีวิตของคุณเปลี่ยน
บุคคลส่วนใหญ่ในโลกนี้ ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเคยชินกับความคิดเดิมๆ ความคิดเล็กๆ ความคิดที่ว่า “ทำไม่ได้ “ “ฉันไม่กล้า” แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร
เรา จนไม่ใช่เพราะพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์ แต่เป็นเพราะ เราไม่เคยคิดที่จะรวย
เรา ไม่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะ เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ แต่เป็นเพราะเราไม่เคยคิดที่จะประสบความสำเร็จต่างหาก
“ อันใครเล่า กำหนดชีวิตข้า ใช่เทวาดาดฟ้า อะไรหนา
ตัวข้านี้กำหนด มันมา ชั่วดีหนาเกิดจากกรรม ข้าทำเอง”
ฉะนั้นหนทางไปสู่ความสำเร็จนั้นจะว่ายาก มันก็ยาก จะว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่าไกลมันก็ไกล จะว่าใกล้มันก็ใกล้ ดังเช่น ระยะทาง จากกรุงเทพถึงภูเก็ต ใครที่คิดว่าไกลมันก็ไกล ใครที่คิดว่าใกล้ มันก็ใกล้ แต่ระยะทางที่ไกลกว่านั้น ก็คือความคิดของคุณต่างหาก
“ ฉันแก่เกินไป” ผู้พันแซนเดอร์ส ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่หลังเกษียณอายุ 60 ปี เขาได้เริ่มทำธุรกิจร้านเคนตั๊กกี้ฟรายด์ชิกเก้นหรือ KFC เขาจึงประสบความสำเร็จภายหลังเกษียณอายุ
“ ฉันเด็กเกินไป” ไมเคิล แจ็คสัน ประสบความสำเร็จกลายเป็นนักร้องชื่อดังในขณะที่เขาเพิ่งออกจากโรงเรียนอนุบาล และด้วยความคิดอย่างผู้ประสบความสำเร็จในที่สุด “เขาคือ ราชาเพลงป๊อบของโลก”
“ ฉันมีการศึกษาน้อย” โธมัส อัลวา เอดิสัน เขาเรียนหนังสืออย่างเป็นทางการได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น แต่เขาก็เป็นนักประดิษฐ์เอกของโลก ซึ่งเขามีสิทธิบัตรเกือบ 1,300 ชิ้น
“ ฉันมันโง่” อัลเบิรต์ ไอนสไตน์ สมัยเด็กๆ เขาเป็นคนพูดช้า ชอบฝันกลางวัน จนครูที่สอนเขากล่าวหาเขาว่า เป็นเด็กที่ผิดปกติ และแล้วในเวลาต่อมา คนทั้งโลกได้ยอมรับเขาว่า เขาคืออัจฉริยะบุคคล เขาคือผู้คิดทฤษฏีซึ่งก่อกำเนิดปรมณู
“ ฉันมันคนขี้คุก” เนลสัน แมนเดลา นักโทษทางการเมืองที่ติดคุกยาวนานที่สุดของโลกคนหนึ่ง เขาติดคุกนานถึง 25 ปี แต่สุดท้ายเขาคือ ประธานาธิบดีของอาฟริกาใต้ ในขณะที่อายุ 76 ปี
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความคิดของคุณ หากคุณต้องการประสบความสำเร็จ ความคิดของคุณต้องชัดเจน ความฝันของคุณต้องชัดเจน มันจึงจะพาชีวิตของคุณไปสู่เป้าหมาย
ชาวประมงจะเดินเรือต้องมีเข็มทิศ คุณจะดำเนินชีวิตคุณจะต้องมีเป้าหมาย
เป้าหมายสามารถเปลี่ยนแปลงโลก เป้าหมายสร้างคนให้เป็นคน เป้าหมายสามาถควบคุมความคิด ควบคุมการกระทำ ควบคุมบุคลิก ให้คุณกล้าที่จะแสดงออก
คุณต้องกล้าคิด กล้าที่จะตั้งเป้าหมาย กล้าที่จะฝัน แล้วคุณจะเป็นเจ้าของมัน มันอยู่ที่ความคิดของคุณ ว่าคุณจะใส่อะไรเข้าไปในสมอง แล้วคุณต้องดูแลมัน คุณต้องรดน้ำพรวนดิน เพราะ ถ้าคุณไม่ดูแลความคิด ความฝันของคุณ แล้วใครจะดูแลให้คุณ
คนเป็นจำนวนมาก แลกชีวิต แลกร่างกาย แลกค่าตอบแทนกับสิ่งตอบแทนเล็กๆน้อยๆ แล้วคิดว่า “ ฉันทำได้แค่นี้” ฉันขายได้เท่านั้น ฉันทำรายได้เพียงเท่านี้ แต่จริงๆแล้ว เราสามารถทำรายได้ ได้โดยไม่มีขีดจำกัด
คนจำนวนน้อยคนร่ำรวยมัก Think Big หรือ คิดใหญ่ แต่คนจำนวนมากมัก Think small หรือ คิดเล็ก คิดเพียง 1 คิด ฝันเพียง 1 ฝัน ถ้าคุณจะคิดทั้งที ผมขอแนะนำคุณให้คิดใหญ่ๆ เมื่อคุณจะ ฝันทั้งที ทำไมคุณไม่ ฝันใหญ่
ฉะนั้น คุณจะเป็น นักขาย นักพูด นักการเมือง นักสื่อสารมวลชน นักการทูต คุณจะเป็น นักอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่ที่คุณ ถ้าคุณกล้าคิด ถ้าคุณกล้าฝัน ถ้าคุณกล้าตั้งเป้าหมาย คุณสามารถเป็นสิ่งนั้นได้



...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.