หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
จังหวะในการพูด
จังหวะในการพูด
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
Let the speech be better than silence,or be silet.(จงทำให้การพูดนั้นดูดีกว่าความเงียบ ถ้าทำไม่ได้ก็เงียบเสียดีกว่า)
การพูดให้เกิดความน่าสนใจ การพูดที่ทำให้ผู้ฟังติดตามฟัง การพูดที่สร้างความประทับใจ จังหวะในการพูดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ผู้พูดต้องฝึกการพูดให้มีจังหวะจะโคน ต้องรู้ว่า เวลาไหนควรเงียบ เวลาไหนควรพูดต่อ ต้องมีการเว้นวรรค มีเสียงดัง เสียงเบา เสียงเน้น เสียงย้ำ มีการยืดเสียง ผู้พูดที่มีจังหวะในการพูด มักจะประสบความสำเร็จมากกว่า ผู้พูดที่พูดติดต่อกันไปเรื่อยๆยาวๆ โดยไม่มีจังหวะในการพูด
คำพูด เอ่อ..หรือ อ้า....มักทำให้จังหวะในการพูดเสียไปหรือไม่ชวนให้ผู้ฟังติดตาม แต่ในทางตรงกันข้ามจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญ ดังนั้น ผู้พูดที่มีคำฟุ่มเฟื่อย เช่น เอ่อ อ้า นะครับ นะค่ะ ครับ ค่ะ ลงท้ายประโยคเป็นจำนวนมากๆ จึงควรหาทางแก้ไข ปรับปรุงตนเอง ให้มีลดน้อยลง
จังหวะในการพูดกับน้ำเสียง น้ำเสียงในการพูดมีความสอดคล้องกับจังหวะในการพูดอย่างแยกไม่ออก ผู้พูดที่ดี ควรรู้จังหวะในการใช้เสียง ว่าเวลาใดควรพูดเสียงสูง เวลาใดควรพูดเสียงต่ำ เวลาใดควรพูดเสียงปกติ ซึ่งการจะทราบถึงจังหวะเหล่านี้ได้ คงต้องใช้เวลาฝึกฝน อีกทั้งยังต้องผ่านประสบการณ์ในการพูดมาพอสมควร
จังหวะในการพูดกับการใช้อารมณ์ การพูดเรื่องเศร้า ก็ควรใช้อารมณ์เศร้า จังหวะในการพูดก็ควรช้ากว่าปกติ แต่ในทางกลับกัน หากพูดเรื่องสนุก ตื่นเต้น ก็ควรใช้จังหวะในการพูดที่เร็วกว่าปกติ อีกทั้งผู้พูดต้องทำอารมณ์ของตนเองให้สนุกสนานตามไปด้วย ซึ่งอารมณ์ของผู้ฟังมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับผู้พูดอยู่เสมอ
หลายคนมักเข้าใจว่า ผู้พูดที่พูดโดยไม่หยุด พูดด้วยความเร็วมากกว่าปกติ มักจะได้รับความสนใจจากผู้ฟัง แต่โดยส่วนตัวกระผม เชื่อว่า การหยุดพูดหรือการเงียบ ในบางช่วงในการพูดจะทำให้ได้รับความสนใจจากผู้ฟังไม่ใช่น้อย เพราะการหยุดพูดหรือการเงียบ จะทำให้ผู้ฟังคิดตาม ซึ่งสร้างความสนใจไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
จังหวะในการพูดกับการพูดคุยสนทนากัน จังหวะในการพูดยังมีความสำคัญและรวมไปถึงเรื่องของการพูดคุยสนทนากันอีกด้วย คนที่พูดคุยสนทนาเก่ง มักจะรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนควรเงียบ คนที่รู้จักจังหวะเหล่านี้ มักจะทำให้ผู้ที่สนทนาด้วย เกิดความประทับใจ มากกว่า คนที่เอาแต่พูดโดยไม่รู้จักฟังหรือเงียบฟัง คู่สนทนา
ฉะนั้น หากท่านต้องการฝึกฝน จังหวะในการพูดต่อหน้าที่ชุมชน กระผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่าน ลองหาหนังสือพิมพ์หรือหนังสือการ์ตูน ลองฝึกอ่านให้เป็นจังหวะ หรือ ในยุคนี้ เราสามารถหาหรือฟัง นักพูดที่เราชื่นชอบ ลองเอาเทปหรือเสียงในการพูดของเขา มาวิเคราะห์ หากเป็นไปได้ ลองเลียนแบบ เสียงหรือจังหวะในการพูดของนักพูดที่ท่านชื่นชอบ หากทำบ่อยๆ ก็จะทำให้จังหวะในการพูดของท่านพัฒนายิ่งขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการฝึกฝนในเรื่องของจังหวะในการพูดคุยสนทนา ท่านควรที่จะพัฒนาทักษะในการฟังให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง มีการตอบรับคู่สนทนาบ้างเพื่อให้คู่สนทนาทราบว่า เรากำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ เช่น ครับ ค่ะ เยี่ยมครับ สุดยอดเลยครับเรื่องนี้ หรือ มีการพยักหน้าตอบรับ ในระหว่างการพูดคุยสนทนากัน ก็จะสร้างความประทับใจให้แก่คู่สนทนาได้
...
  
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
วิทยากรที่ดีต้องรู้จักผสมผสาน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ในการฝึกอบรมในยุคปัจจุบัน มีการใช้เทคนิคที่หลากหลายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง หรือ ใช้เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้รับการอบรม ผู้เรียน นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง และ เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่ละเทคนิคมีรายละเอียดดังนี้
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดวิทยากร อาจารย์ ครู เป็นศูนย์กลาง
1.การบรรยาย (Lecture) เป็นการพูด โดยเน้นสอนเรื่องทฤษฏี เนื้อหาต่างๆ ตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ อาจมีการใช้สื่อต่างๆประกอบ เช่น สไลด์ รูปภาพ คลิปภาพยนตร์ ฯลฯ
2.การอภิปรายเป็นคณะ(Panel Discussion) เป็นพูดอภิปรายโดยผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนใหญ่มักจะมีจำนวน 3-5 คน เป็นการพูดแสดงข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง ปัญหา วิธีการแก้ไขปัญหา ตามหัวข้อที่กำหนดเอาไว้
3.การสาธิต(Demonstration) เป็นการแสดงให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างจริงๆ เช่น การสาธิตการประกอบอาหาร การสาธิตการว่ายน้ำ การสาธิตการพูดต่อหน้าที่ชุมชน การสาธิตการขายสินค้าต่างๆ เป็นต้น
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึดผู้ฝึกอบรม นักศึกษา นักเรียน เป็นศูนย์กลาง
1.กิจกรรมนันทนาการ(Recreational Activity) เป็นการจัดหากิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการสนุกสนาน เกิดการแข่งขันกัน หรือก่อให้เกิดการละลายพฤติกรรม ซึ่งเกมเพื่อการศึกษามีจำนวนมากและหลากหลาย ทั้งนี้ ควรเลือกเกมส์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
2.การระดมสมอง(Brainstorming) เป็นกิจกรรมที่ให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ เสรี ไม่มีคำว่าผิด หรือ ถูก ไม่มีคำว่า ดี หรือไม่ดี เมื่อเปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้แสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึงแล้ว ผู้สอนควรนำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่บทสรุป
3.กรณีศึกษา(Case study) เป็นการนำเรื่องราวจริง มานำเสนอเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการแก้ไขปัญหาและเกิดการตัดสินใจ ซึ่งกรณีศึกษาที่ดีควรมีลักษณะคล้ายหรือสอดคล้องกับปัญหาต่างๆที่ผู้รับการอบรมประสบ
4.การแสดงบทบาทสมมติ(Role Playing) มีลักษณะคล้ายกับกรณีศึกษาแต่เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จึงให้ผู้เรียนได้มีการเล่นการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ จากสถานการณ์ที่จำลองมาจากสถานการณ์จริงๆ
5.การสัมมนา(Seminar) เป็นการประชุมหรือพูดคุยกัน เกี่ยวกับปัญหาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมมีความสนใจหรือประสบพบเจอกับปัญหาในเรื่องเดียวกัน
เทคนิคการฝึกอบรมโดยยึด อุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นศูนย์กลาง
1.สอนโดยภาพยนตร์(Instructional Film) เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์ เป็นหลักโดยผู้สอน เปิดภาพยนตร์ให้ผู้เรียนดูจนจบ แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่างๆ แล้วจึงหาข้อสรุป
2.สอนโดยใช้เทคโนโลยี เป็นการออกแบบเทคโนโลยีขึ้นมาให้เหมือนกับของจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เช่น เครื่องบินจำลอง F 16 ซึ่งภายในห้องทดลองมีการออกแบบที่เหมือนจริงกับเครื่องบิน F16 ทุกประการ
3.สอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI-Computer Aided Istruction) เนื่องจากยุคปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ มีความทันสมัยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างมากมาย เช่น เราสามารถสอนผู้เรียนเรียนพิมพ์ดีด โดยการใช้โปรแกรมพิมพ์ดีด เข้าช่วย
ฉะนั้น การเป็นวิทยากรที่ประสบความสำเร็จ จึงจำเป็นที่จะต้องรู้จักการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เช่น มีการบรรยาย มีการระดมความคิดเห็น มีกิจกรรมนันทนาการ มีการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้จัด วัตถุประสงค์ในการจัด เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพกับผู้เข้ารับการอบรมหรือผู้เรียนมากที่สุด ทั้งนี้การผสมผสานเทคนิคต่างๆ มากหรือน้อย บางเทคนิคก็ไม่สามารถนำเอาไปใช้ได้ทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของวิทยากรที่จะต้องวิเคราะห์แล้วตัดสินใจเลือกใช้เทคนิคต่างๆ

...
  
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
ประโยชน์ของการฝึกอบรม
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
การฝึกอบรมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนา การฝึกอบรมที่ดีจึงต้องสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ หากว่าการฝึกอบรมไม่สามารถสนองตอบกับวัตถุประสงค์ที่องค์กรต้องการ การฝึกอบรมนั้นๆ จะได้รับประโยชน์ที่ลดน้อยลง ซึ่งการฝึกอบรมมีประโยชน์ทั้งต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร และการฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวของบุคลากร ซึ่งผู้เขียนของขยายรายละเอียด ตามข้อความด้านล่างนี้
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อหน่วยงาน ห้าง ร้าน องค์กร ดังต่อไปนี้
1.ช่วยเพิ่มผลผลิต รายได้ กำไร ให้แก่หน่วยงาน
2.ช่วยลดค่าใช้จ่าย เวลา ลดอุบัติเหตุ ลดการลาออกของบุคลากร
3.ช่วยให้เกิดความสามัคคี ช่วยให้เกิดมีทิศทางในการทำงานไปในทิศทางอย่างเดียวกัน
4.ช่วยให้หน่วยงาน ขยายงาน ขยายสาขาได้มากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น
5.ช่วยให้หน่วยงาน มีการเปลี่ยนแปลง มีการปรับตัวได้ทันต่อการแข่งขัน
การฝึกอบรมมีประโยชน์ต่อบุคลากร ดังต่อไปนี้
1.เสริมสร้างองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่บุคลากร
2.เป็นการลดความขัดแย้งและเพิ่มความสัมพันธ์อันดีของบุคลากร
3.ทำให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความกระตือรือร้นในงานที่ทำ
4.ลดการกำกับควบคุม การติดตามการทำงานของบุคลากร
5.เพิ่มศักยภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดในการกล้าแสดงออกของบุคลากร

...
  
อยากสำเร็จต้องออกแรง

อยากสำเร็จต้องออกแรง
โดย..ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ไม่มีความสำเร็จใดได้มาอย่างง่ายๆ ไม่มีความสำเร็จใดได้มาโดยไม่มีความยากลำบาก ทุกความสำเร็จได้มาอย่างยากลำบาก ทุกความสำเร็จจะต้องลงมือกระทำ ทุกความสำเร็จจะต้องมีความมานะอดทน ถ้าคุณคิดว่า สำเร็จได้มาอย่างง่ายๆ คุณคิดผิด ถ้าคุณคิดว่า สำเร็จได้มาอย่างง่ายๆ คุณ คิดผิด
แมนนี่ ปาเกียว นักชกมวยระดับโลก ชาวฟิลิปปินส์ เขาเป็นคนแรกและเป็นคนเดียวของโลกที่ได้แชมป์โลกถึง 8 รุ่น เช่น ฟลายเวท ซูเปอร์แบนตั้มเวท ซูเปอร์เฟเธอร์เวท ไลท์เวท เวลเตอร์เวท ไลท์เวลเตอร์เวท ซูเปอร์เวลเตอร์เวท ฯลฯ กว่าเขาจะประสบความสำเร็จ ขนาดนี้ คิดคุณว่าเขาไม่ออกแรงหรือ คุณคิดว่าเขาไม่เหนื่อย ไม่ยากลำบากหรือ เขาเคยถูกคู่ต่อสู้น็อด เขาเคยพ่ายแพ้การต่อสู้หลายครั้ง แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขายังคงชกมวยต่อไป เขายังคงซ้อมมวยทุกๆวัน เขาต้องหาเทคนิคใหม่ๆ เขาต้องหาจังหวะ ลีลาใหม่ๆ เขาต้องฝึกตนให้มีความครบเครื่องในการชก จนในที่สุด โลกต้องจารึกชื่อของเขาไว้
เนลสัน แมนเดลา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ คนแรก เขาต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เขาเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงในการต่อต้านการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเขาถูกจับเขาให้การด้วยถ้อยคำว่า “ ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ได้อุทิศตัวเองแก่การต่อสู้เพื่อประชาชนชาวแอฟริกัน ข้าพเจ้าต่อต้านผู้ปกครองผิวขาวและก็ต่อต้านผู้ปกครองผิวดำ ข้าพเจ้ายินดีต่อประชาธิปไตยอันเป็นอุดมคติและสังคมอันเสรี ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถอยู่ด้วยกันอย่างสันติและด้วยความเสมอภาค นี่คืออุดมคติอันที่ข้าพเจ้าหวังจะมีชีวิตอยู่ให้ถึง แต่หากจำเป็น ข้าพเจ้าก็พร้อมจะตายเพื่ออุดมคตินี้” เขาต้องติดคุกเป็นเวลานานถึง 27 ปี เขาต้องลำบาก เขาถูกคุมขังในห้องขังเล็กๆ บนเกาะโรบเบิน ต่อมามีแรงกดดันจากนานาประเทศให้ปล่อยตัวเขา หลังจากที่เขาถูกปล่อยตัว เขาก็กลับเข้ามาสู่สนามการเมืองอีก โดยเป็นผู้นำพรรคเอเอ็นซี แล้วเขาก็ต่อสู้ทางการเมือง จนในที่สุดเขาได้กลายเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีน เขามีทรัพย์สินเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศจีน สมัยเด็กๆ เขาต้องลำบากมาก เขาเติบโตมาจากพ่อแม่ที่เป็นนักดนตรีพื้นเมือง เขาสนใจเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก เขาหาโอกาสจากการขี่จักรยานออกจากบ้านทุกเช้าไปโรงแรมหังโจว เพื่อเสนอตัวเป็นไกค์ฟรี เพื่อจะได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษ เขาผิดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำถึง 2 ครั้ง จึงเลือกเรียนวิทยาลัยครูหังโจว เมื่อจบการศึกษาเขาจึงได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาได้ค่าตอบแทนเดือนละไม่ถึง 400 บาทต่อเดือน ต่อมาเขาได้รับจ้างแปลภาษาจีนอังกฤษ อังกฤษจีน จึงทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เขาได้เห็นโลกของอินเตอร์เน็ต ต่อมาเขากลับมาประเทศจีน จึงเริ่มต้นทำธุรกิจโทรศัพท์หน้าเหลืองบนโลกอินเตอร์เน็ต แต่ก็ประสบกับการขาดทุนและล้มเหลว แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาได้ก่อตั้ง Alibaba ด้วยพนักงานเริ่มแรก 17 คน ในที่สุด Alibaba ประสบความสำเร็จเขาจึงได้กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน
ชิน โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งธนาคารกรุงเทพฯ ช่วงชีวิตวัยเด็ก เขาต้องทำนา เขาต้องเป็นลูกจ้างในเรือโยง เขาต้องเป็นเสมียน เขาเปิดกิจการการเดินเรือที่ประเทศจีนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาประสบความสำเร็จในธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง แล้วต่อยอดโดยการก่อตั้งบริษัท ขายเหล็ก และขยายไปยังธุรกิจประเภทเครื่องเขียนและขายเครื่องกระป๋อง และขยายไปยังธุรกิจ ค้าทองคำ ค้าข้าวและธุรกิจห้างสรรพสินค้า จนในที่สุดเขาร่วมกับเพื่อนอีก 15 คน ร่วมกันก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ ขึ้น และก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในขณะนี้ธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
บุคคลที่ประสบความสำเร็จทุกคนต้องออกแรง บุคคลที่ประสบความสำเร็จทุกคนต้องยากลำบาก ถ้าท่านคิดว่า บุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่เคยเหนื่อยยากมากก่อน คุณคิดผิด ทุกความสำเร็จจึงต้องออกแรง ที่จะไปให้ถึงความสำเร็จ

...
  
สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
สภาประชาชน สภาผู้บริโภค
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วม เวที สภาประชาชน “ คนพยาว ฮ่วมกึ๋ด อู้จ๋า สภาผู้บริโภค ” ณ ห้องประชุมพุดตาน โรงแรมเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา ภายในงานมีรายการต่างๆ เช่น มีการแสดง จ๊อย ซอ เรื่องสิทธิผู้บริโภค , ชมวีดีทัศน์ “ หนึ่งปีที่ผ่านมากับการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา ” , พิธีเปิด “ เวทีสภาผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” , บรรยาย “ ทิศทางการทำงานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดและ ความร่วมมือเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดพะเยา ” , บรรยายเรื่อง “ ผู้บริโภคได้อะไรจาก พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ” , และมีการแบ่งกลุ่มห้องเรียนผู้บริโภคในหัวข้อต่างๆ เช่น ห้องที่ 1 ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม , ห้องที่ 2 พฤติกรรมผู้บริโภคกับการใช้ยา , ห้องที่ 3 รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ , ห้องที่ 4 ภัยใกล้ตัวผู้บริโภค จากผลิตภัณฑ์แร่ใยหิน , ในช่วง บ่าย มีการแสดง ละครสั้น “ สะท้อนปัญหาผู้บริโภค ” โดยแกนนำเยาวชนชุมนุมคุ้มครองผู้บริโภค โรงเรียนพะเยาพิทยาคม และมีการสรุป นำเสนอความคิดเห็นของผู้บริโภคในจังหวัดพะเยา
สำหรับเรื่อง รถโดยสารสาธารณะเมืองไทย ปลอดภัยจริงหรือ วิทยากรหลักโดย ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี สำหรับความคิดเห็นของกระผมคิดว่าเรื่องของการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะถ้าเทียบจากอดีตกระผมคิดว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเทียบกับหลายประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราดีกว่าหลายประเทศ แต่ถ้าหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ประเทศไทยของเราก็คงเทียบในเรื่องการบริการและความปลอดภัยรถโดยสารสาธารณะนั้นคงยาก ด้านอุบัติเหตุที่ปรากฏเป็นข่าว เมื่อเดือนมีนาคม 52 – กรกฏาคม 53 (1 ปี 4 เดือน) ในรถประเภทต่างๆ อุบัติเหตุจำนวน 260 ครั้ง จำนวนผู้ประสบภัย 2,139 คน บาดเจ็บ 1,988 คน เสียชีวิต 151 คน กระผมคิดว่าเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ซึ่งอุบัติเหตุดังกล่าวมีปัจจัยมาจาก คนขับรถโดยสาร สภาพรถโดยสารที่ไม่มั่นคงปลอดภัย(ล้อรถไม่มีดอกยาง รถมีการดัดแปลง มีความไม่แข็งแรง) สภาพถนนต่างๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจเนื่องจากการสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้เกิดการเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ , ภาระค่ารักษาที่มากกว่าเงินประกันภัยที่ได้รับ , การเสียโอกาสในการเดินทางและการทำงานในอนาคต และ สภาพจิตใจที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟู สำหรับเรื่องของสภาพรถโดยสาร บางคัน ผมเคยเห็นบางคัน ไม่น่าจะมาเป็นรถโดยสารได้ เนื่องจากสภาพรถที่ไม่มั่นคงปลอดภัย แต่ก็มีรถหลายคันยังสามารถขับขี่บนท้องถนนได้ ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพจากหน่วยงานที่รับผิดชอบมาแล้วก็ตาม กระผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ด้านสถานีขนส่งหลายจังหวัดมีสภาพคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สภาพห้องน้ำที่มีกลิ่นเหม็น แถมบางแห่งยังมีการเก็บค่าเข้าห้องน้ำอีกต่างหาก สภาพถนนที่มีสภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ฯลฯ ส่วนบริษัทประกันภัย ก็ได้เสนอจ่ายเงินค่าชดเชยหรือผลของการเยียวยา จำนวนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการเกิดอุบัติเหตุ จนต้องมีการฟ้องร้องและไกล่เกลี่ยเจรจากัน หลังฟ้อง เช่น กรณีนางสาวคนหนึ่ง ได้รับบาดเจ็บใบหน้าฟกช้ำ เลือดคั่งในสมอง บริษัทประกันภัยได้เสนอจ่าย 4,700 บาท ตกลงกันไม่ได้กับผู้เสียหาย จึงฟ้องร้องในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ยหลังฟ้องเป็นคดีได้รับเงิน 50,000 บาท
กระผมขอฝากท่านผู้อ่านในเรื่อง สิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ 10 ประการ ตามสิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนี้ 1.สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพเกี่ยวกับบริการรถโดยสาร รวมทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ที่ถูกต้องเป็นจริงครบถ้วน เพียงพอต่อการตัดสินใจใช้บริการ 2.ผู้โดยสารมีสิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในด้านสัญญา และราคาค่าบริการ 3.ผู้โดยสารมีอิสระในการเลือกใช้บริการด้วยความสมัครใจ และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม 4.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในทุกๆ ด้านจากการใช้บริการรถโดยสาร 5.สิทธิที่จะได้รับการบริการจากรถโดยสารและผู้ให้บริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน 6.สิทธิในการร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหา เยียวยา หรือชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น 7.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายจากการประกันภัยโดยไม่มีการประวิงเวลา หรือบังคับให้ประนีประนอมยอมความ 8.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายทั้งทางร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิอื่นๆ ที่ถูกละเมิด 9.สิทธิที่จะได้รับการชดใช้ความเสียหายด้วยหลักแห่งพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด 10.สิทธิที่จะรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของตนและของผู้อื่น
สำหรับ เรื่อง ผู้บริโภคกับบริการด้านโทรคมนาคม ส่วนใหญ่ประชาชนชาวพะเยาที่เข้าร่วมสัมมนามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมในการใช้บริการของโทรศัพท์ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ มีค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นธรรมหลายๆ อย่าง เช่น การสมัคร SMS ง่าย แต่ยกเลิกยาก , มีการหักเงินหรือเรียกค่าใช้จ่ายเกินจริงหรือจำนวนที่ใช้จริง ฯลฯ
ฉะนั้น พวกเราในฐานะผู้ใช้บริการ ขอให้ช่วยกันเรียกร้องความยุติธรรมเกี่ยวกับการใช้บริการ อย่าให้บริษัทหรือเจ้าของกิจการเอาเปรียบได้


...
  
7 วิธีสู่ความสำเร็จในชีวิต
7 วิธีสู่ความสำเร็จในชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบัน กระผมทำงานด้านการสอนและบรรยายมาหลายสิบปี ทั้งในมหาวิทยาลัย และ องค์กร หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ ของภาคเอกชน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อกระผมไปสอนหนังสือ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อกระผมบรรยายเสร็จแล้ว ผมก็ลงมาจากเวที ปรากฏว่ามีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่ง มาพบกระผมแล้วถามกระผมว่า อาจารย์ค่ะ ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต ตอนนั้นกระผมก็ตอบเท่าที่คิดได้หรือตอบให้มันผ่านๆไป แต่มาคิดดูอีกที มันไม่ใช่เป็นการตอบที่ครบถ้วน
บทความฉบับนี้ กระผมจึงขออธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ ของวิธีที่จะก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิต มีดังนี้
1.ความรัก ความชอบ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ จะต้องมีความรัก ความชอบในสิ่งที่ตนเอง ทำ เพราะถ้าเขาไม่รัก ไม่ชอบแล้ว เขาจะทำมันไปด้วยความเบื่อหน่าย ความขี้เกียจ ความไม่สนุกสนานไปกับสิ่งที่ทำ เช่น ทอมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก เขาต้องอยู่ในห้องทดลองมากกว่า 8 ชั่วโมง ต่อวัน บางวันเขาต้องกินข้าว นอนหลับในห้องทดลองของเขา หลายคนคงคิดว่าเขาไม่มีความสุข เขาเครียดกับงานมากเกินไปหรือเปล่า คำตอบคือ เปล่าเลย เขาสนุกกับมันต่างหาก เนื่องจากเพราะเขารักมัน เขาชอบทำมัน
2.ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อรู้ว่าตนเองชอบอะไรแล้ว เขาก็จะมุ่งมั่น ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน สิ่งเหล่านั้น อย่างตั้งใจ เมื่อล้มเหลวแล้วเขาจะไม่เลิก แต่เขาจะทำต่อไป ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ต่อไป จนกระทั้งเขาเป็นคนที่ชำนาญและเป็นคนเก่งในวงการนั้นๆ
3.มุ่งมั่นในเป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง เขาจะมุ่งมั่น จดจ่อ อยู่กับเป้าหมายที่เขาได้วางเอาไว้ เขาจะมีสมาธิแน่วแน่ เขาจะผลักดันตัวเอง เขาจะดัน ดัน ดัน ตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายที่เขาตั้งใจเอาไว้
4.การมอบในสิ่งที่ดีให้แก่ผู้อื่น ถ้าเป็นธุรกิจ ก็ต้องมอบสินค้าหรือบริการที่ดี ให้แก่ลูกค้า เมื่อเรามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้คนแล้ว เขาเหล่านั้น ก็มักจะมอบเงินทอง ทรัพย์สิน เพื่อเป็นการตอบแทนแก่เรา
5.ความคิด คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นคนที่มีความคิดที่ดี และหลายๆคนมักจะเป็นคนที่ขายความคิด ขายความรู้ให้แก่ผู้คน เราต้องยอมรับว่า สินค้า บริการที่เกิดใหม่ ทุกๆวันนี้ เกิดขึ้นมาจาก ความคิด ของคนเรา หากว่าเราต้องการประสบความสำเร็จ จงพัฒนาความคิดของตนเองอยู่เสมอ จงคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา
6.ความเพียรพยายาม คนที่ประสบความสำเร็จ ทุกๆคน เขาจะมีความเพียรพยายาม มากกว่าคนปกติ ซึ่งคนปกติ เมื่อทำแล้ว อาจจะเลิกล้มไปกลางทาง หรือไม่ทำต่อ แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักจะมีมานะ มุ่งมั่น พยายาม ทำจนถึงเป้าหมายที่เขาได้วางแผนเอาไว้
7.ตรวจสอบ ควบคุม คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักที่จะมีการทบทวนแผนการที่ได้วางแผนเอาไว้ว่า เขาได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้หรือไม่ เมื่อตกเย็นหรือก่อนนอน เขาจะนั่งทบทวน ตรวจสอบ ควบคุม แก้ไข ปรับเปลี่ยน หยืดหยุ่น แผนการที่ได้วางแผน เพื่อที่จะได้ทำงานต่อไปในวันพรุ่งนี้ ในสัปดาห์ต่อไป ในเดือนและปีต่อไป
ฉะนั้น ถ้าหากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ลองนำเทคนิคหรือวิธีการทั้ง 7 ข้อนี้ ไปใช้ดู แล้วสักวันหนึ่งท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน คนเราเกิดมาไม่มีใครกำหนดว่าเราจะประสบความสำเร็จ หรือประกอบอาชีพอะไร แต่คนเราจะประสบความสำเร็จและประกอบอาชีพอะไร ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราต้องการจะเป็นอะไรจริง) ทนายความ หมอ นักพูด นักเขียน ครู อาจารย์ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ )จงสร้างเป้าหมายขึ้นมา แล้วจงฝึกฝนตนเอง จงเพียรพยายาม ตรวจสอบ ควบคุม ตนเองอยู่เสมอ จงฝันให้ไกลและไปให้ถึง
...
  
พูดให้ถูกสถานการณ์
พูดให้ถูกสถานการณ์
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะต้องรู้จักสถานการณ์ในการพูด ในบางสถานการณ์ก็ต้องรู้จัก “ นิ่งเงียบ” เพราะ การนิ่งเงียบก็คือการใช้คำพูดที่ดีที่สุดในภาวะสถานการณ์นั้น หรือในบางสถานการณ์ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพูด เพราะถ้า ไม่พูด เราและคนรอบข้างก็จะเกิดความเดือดร้อนและไม่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นั้น
“นิ่งเงียบ” พวกเราคงได้ยิ่ง คำพูดของคนโบราณที่พูดว่า “พูดไปสองไพร่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในบางครั้ง การนิ่งเงียบ ก็มีประโยชน์และสร้างชัยชนะให้เกิดขึ้นอย่างเหนือชั้น มีคนถามแล้วสถานการณ์แบบไหนละ ที่ควรจะ “นิ่งเงียบ” สถานการณ์ที่เราควรจะนิ่งเงียบ คือ สถานการณ์ที่เราต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกัน การไม่พูดหรือการนิ่งเงียบ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่อีกฝ่ายจนลืมไม่ลง
ครั้งหนึ่งมีนักกีฬา ฟุตบอลคนหนึ่ง อยู่ระหว่างการเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งขัน นักฟุตบอลคนนี้แอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน ซึ่งผิดกฏระเบียบของทีมที่ได้ตกลงกันเอาไว้ โดยหากว่าผู้ใดกระทำการผิด ก็จะถูกโค้ชสั่งให้ลงโทษอย่างหนัก เขาเตรียมรับกับการถูกลงโทษและถ้าอดทนไม่ไหว เขาก็จะขอทะเลาะกับโค้ชและจะลาออกจากทีมไป แต่เมื่อมาถึง โค้ชกับไม่ได้ว่าอะไรเขา แม้แต่คำเดียว แต่โค้ชกลับ “นิ่งเงียบ” ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั้น นักฟุตบอลคนนี้ คือผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีม เขาตั้งใจฝึกซ้อมและไม่เคยหนีเที่ยวอีกเลย
อีกหลายปีต่อมา เขาได้จบการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลอง ปรากฏว่าเขาได้เจอโค้ชคนนี้ที่งานเลี้ยง เขาจึงตรงเขาไปสารภาพว่า “ เขาเคยหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน แทนที่โค้ชจะลงโทษผมอย่างหนัก แต่โค้ชกับนิ่งเงียบ ทำให้ผมไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผมจึงขอสารภาพผิดกับโค้ช” เมื่อนักฟุตบอลผู้นั้น สารภาพผิดจึงเกิดความสบายใจขึ้น
“ขอโทษ” ต้องรู้จักพูดคำว่า “ขอโทษ” อดีตนายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยกล่าวคำคมไว้ประโยคหนึ่งว่า “ ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา” ในเรื่องของการใช้คำพูด เมื่อเราได้มีโอกาสใช้มากเท่าไร โอกาสผิดพลาดก็ยิ่งมีมาก แต่จะทำอย่างไรให้ สิ่งที่เราเคยพูดผิดพลาดไป ทำให้เราเกิดผลเสียกับเราน้อยที่สุด
พวกเราคงเคยเห็นดาราหลายๆ คนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยกล่าวโจมตี บุคคลอื่น จึงทำให้ตนเองเกิดภาพพจน์ที่เสียหายในเวลาต่อมา แต่เมื่อเราทำผิดพลาดแล้ว เราจะทำอย่างไร การพูดคำว่า “ขอโทษ” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ผลเสียอันเกิดจากการพูดลดน้อยลง ดังนั้น จงกล่าวคำว่า “ ขอโทษ” หากว่าท่านเป็นผู้ผิด ดีกว่าจะทำเป็น นิ่งเงียบหรือหาทางแก้ตัว
“ไม่ผูกมัด” นักการทูตที่ดีหรือนักการเมืองที่ดี ไม่ควรพูดผูกมัดตัวเอง แต่ควรมีการเลือกใช้คำพูดประเภทยืดหยุ่น เช่น บางคน บางครั้ง บางเวลา หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น หากมีผู้ใหญ่ที่เรานับถือมาเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเรา เราก็ให้การต้อนรับ หลังจากที่ผู้ใหญ่ท่านนั้น จะลากลับ ก็ได้ชวนเราให้ไปเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเขาบ้าง เราก็ควรหาคำตอบที่มีลักษณะยืดหยุ่นและไม่ผูกมัดตัวเองว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม กระผมจะได้ไปเยี่ยมเยือนท่าน” ซึ่งการพูดลักษณะนี้ มีลักษณะยืดหยุ่นสูง เพราะคำว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม” คำว่า “เหมาะสม” อาจเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ (อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า) แต่ถ้าคนพูดไม่เป็นก็จะรีบพูดผูกมัดตัวเอง “ ขอเป็นเดือนหน้าครับ” ผมไปเยี่ยมเยือนท่าน ซึ่งการพูดลักษณะนี้ เราจะต้องไปจริงๆ หากติดธุระหรือไปไม่ได้ ก็จะเป็นการผิดคำพูด ที่ได้พูดออกไป
ดังนั้น จึงขอสรุปว่า คนที่พูดเก่ง พูดเป็น จะต้องรู้จักใช้คำพูดให้ถูกกับสถานการณ์ เพราะคำพูดของคนเราเป็นทั้งศาสตร์และเป็นทั้งศิลป์ เราจึงต้องควรเรียนรู้ การใช้คำพูดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ คำพูดจึงจะก่อประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึง สังคมและประเทศชาติอีกด้วย

...
  
ความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อพูดถึงเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทยเรา เรายังมีความคิดสร้างสรรค์กันน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอเมริกา ซึ่งมีนักคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างผลงานใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์แก่โลกของเรามากมาย เช่น
- โทมัส อัลวา เอดิสัน คิดค้น หลอดไฟฟ้าหลอดแรกของโลกได้ ซึ่งทำให้โลกของเรามีความ
สว่างในเวลากลางคืน
- สองพี่น้องตระกูลไรค์ คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทาง
ข้ามทวีปได้อย่างง่ายดายกว่าในอดีต
- ฟิโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ ชาวอเมริกัน ผู้ที่คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรกของโลก
- สตีฟ จอบส์ คิดค้นสินค้าตระกูล I ซึ่งทำให้เราได้ใช้สินค้าที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น
ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสิ่งใหม่ๆ
(Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่แตกต่างไปจากสิ่งที่มีอยู่เดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
เช่นกระผมปัจจุบันทำงานเป็นวิทยากรอิสระ หากว่ากระผมแก้ผ้าไปบรรยาย พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ไหม เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ กระผมขอตอบว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งใหม่ก็จริง แต่มีความไม่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ไม่ได้เนื่องจากผิดมารยาททางสังคม จึงไม่ถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์
ทำไมคนไทยเราถึงมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าสังคมอเมริกา อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุเช่น
1.สังคมไทยเป็นสังคมที่พึ่งพาผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสมากกว่าพึ่งพาตนเอง เช่น ลูกพึ่งพาพ่อแม่ถึงแม้ลูกจะ
หางานทำมีงานทำแล้ว แต่ลูกบางคนยังขอเงินพ่อแม่อยู่ , ผู้น้อยพึ่งพาผู้ใหญ่ สังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ เป็นสังคมที่มีเส้นมีสาย , สังคมไทยเมื่อมีปัญหามักจะพึ่งพาผู้มีอำนาจ ผู้ที่มีเงินมากกว่าที่จะระดมความคิดแก้ไขปัญหากันเอง
2.ระบบการศึกษาของไทยมักสอนให้เด็กท่องจำมากกว่าสอนให้คิดเอง เมื่อตอนเด็กๆ เรามักได้ทำข้อสอบที่เป็นปรนัย( กขคง)มากกว่าข้อสอบอัตนัย(เขียนบรรยาย) เช่น เราเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับประเทศพม่าครั้งที่หนึ่งในสมัยของใคร ก.พระเจ้ามหาราช ข.พระเจ้าอู่เงิน ค.พระเจ้าอู่ทอง ง.ผิดหมดทุกข้อ
แต่หากข้อสอบเป็นอัตนัย(เขียนบรรยาย) ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้คิดมากขึ้น เช่น ท่านคิดว่าหากเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ ท่านมีวิธีใดที่จะไม่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าในครั้งที่หนึ่ง
3.คนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องของพรสวรรค์ มากกว่าพรแสวง เช่น เห็นนักวาดรูป ศิลปิน นักแต่งเพลง ฯลฯ คนไทยมักคิดว่าเราสร้างสรรค์งานเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่แท้จริงแล้ว ความคิดสร้างสรรค์ เราสามารถสร้างและพัฒนาได้ ฝึกฝนเรียนรู้ได้
4.สังคมไทยเป็นสังคมที่กลัวความล้มเหลว เรามักได้ยินคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ผิดเป็นครู” แต่เรามักไม่ชอบในครูคนนี้สักเท่าไร แต่ตรงกันข้ามกับสังคมอเมริกาที่คนของเขากล้าที่จะล้มเหลว โดยไม่กลัวความล้มเหลว เนื่องจากคนของเขาคิดว่า ยิ่งล้มเหลวมาก ยิ่งประสบความสำเร็จมาก ดังเช่น บุคคลที่กระผมกล่าวในข้อความข้างต้น เอดิสัน กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จซึ่งเป็นดวงแรกของโลกเขาต้องล้มเหลว นับพันๆครั้ง เป็นต้น
ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นที่มาของคนไทยที่ไม่ชอบคิดสร้างสรรค์ สินค้าใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จึงไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยมากมาย แต่ตรงกันข้ามสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบลอกเลียนแบบ เช่น การลอกเลียนแบบ เพลง ภาพยนตร์ โดยการ Copy ขาย ฯลฯ ดังนั้นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป
...
  
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คุณสามารถสร้างภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ ตัวตนของคุณให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักได้โดยการสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณเอง
พวกเราคงเคยเห็นสินค้าในท้องตลาดหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมักมี ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง มักให้ความสำคัญในการสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยการโหมโรงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
แต่จริงๆแล้ว การสร้างตรายี่ห้อหรือBrand ไม่ได้เกิดเฉพาะตัวของสินค้าที่ไม่มีชีวิตเท่านั้น คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็สามารถสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand ส่วนตัวได้เช่นกัน การสร้าง ตรายี่ห้อหรือ Brand ส่วนตัว หากว่าจะทำให้ได้ผลและเกิดความรวดเร็ว เราจะต้องนำเอาเรื่องของการตลาดมาประยุกต์ใช้ ในบทความฉบับนี้ เราจะพูดถึงเรื่องนี้กัน
ก่อนอื่นเรามาทราบความแตกต่างระหว่าง สินค้าที่มีการสร้าง Brand กับ สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand กันก่อน สินค้าที่มีการสร้าง Brand มักจะเป็นที่จดจำมากกว่า ถูกลูกค้าถามซื้อมากกว่า มีราคาสูงกว่า เป็นที่ประทับใจ เป็นที่จดจำได้มากกว่า มีภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ที่ดีกว่า สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับบุคคลที่ต้องการสร้าง Brand ส่วนตัว ให้กับตัวเอง ให้ออกมาดีเขาจะเป็นคนที่มีลักษณะดังนี้ คือ เขามักจะเลือกที่จะทำงานให้แก่ตนเอง มากกว่า ทำงานรับจ้างกินเงินเดือน เขาจะเป็นคนมีความมั่นใจในตนเองสูง มีความมั่นคงภายใน มีการวางแผนอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะการวางแผนทางด้านการตลาด มีเครือข่ายหรือสายสัมพันธ์มาก มีภาพลักษณ์ที่ดูดี เป็นที่น่าสนใจในวงกว้าง เป็นต้น
การสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณต้องเริ่มที่ตัวของคุณเอง หากมีเวลาว่างๆ ลองนั่ง วิเคราะห์ SWOT สำหรับตัวของคุณเอง(STRENGTHS จุดแข็ง , WEAKNESSES จุดอ่อน , OPPORTUNITIES โอกาส และ THREATS อุปสรรคหรือการคุกคาม)
จงพัฒนาจุดแข็งของคุณ ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพราะการพัฒนาจุดอ่อนจะทำให้คุณเสียเวลา เสียเงินเป็นจำนวนมากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มักจะไม่ได้ดังใจหวัง แต่หากคุณรู้ว่าจุดแข็งคุณเป็นอย่างไร คุณก็จะโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะจุดแข็ง มักเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ เช่น คนบางคนชอบเขียนหนังสือ แต่ไม่ชอบเล่นดนตรี ดังนั้น จุดแข็งของเขาคือ การเขียนหนังสือ เขาสามารถเขียนหนังสือขาย สร้างอาชีพ สร้างความร่ำรวยได้ แต่หากเขามัวแต่ไปพัฒนาจุดอ่อนคือ เล่นดนตรีหรือพัฒนาในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่มีใจรัก เขาจะรู้สึกเหนื่อย หมดพลัง ฉะนั้นจงพัฒนาจุดแข็งของคุณ มากกว่าการที่คุณจะนำพลังไปใช้ในการพัฒนาจุดอ่อน
เรื่องของโอกาสและอุปสรรค ก็มีความสำคัญมาก โอกาสจะเป็นตัว ช่วยเร่งให้คุณเติบโต แต่อุปสรรคจะเป็นตัวขวางกั้นให้คุณเติบโตอย่างช้าๆ
เคล็ดลับในการสร้าง Brand ส่วนตัว คุณจำเป็นต้องคิดต่าง ทำต่าง เพราะหากว่าคุณคิดเหมือนคนอื่นๆ ทำเหมือนกับคนอื่นๆ คุณก็คงไม่มีความโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่หากว่าคุณ คิดต่าง ทำต่าง คุณก็สามารถสร้างความโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณหาความแตกต่างได้แล้ว คุณมีความจำเป็นต้องนำเสนอตัวของคุณเองอย่างเป็นระบบด้วยการวางแผน เช่น การเขียนบทความลงในสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว รวบรวมเป็นเล่ม การหาโอกาสออกสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ โดยการทำอย่างเป็นระบบ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์
บุคลิกลักษณะ มีความสำคัญในการกำหนดหรือการสร้างภาพของตัวคุณ หากว่าคุณมีความกระตือรือร้นเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วกับอีกคนหนึ่งเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ , หากว่าคุณเป็นคนพูดเสียงดัง กับอีกคนหนึ่งพูดจาเสียงเบา , หากว่าคุณชอบแต่งกายสีสดใส เร้าใจ กับอีกคนหนึ่งชอบใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความรู้สึกภาพลักษณ์ภายในใจของลูกค้าของคุณเองได้ทั้งสิ้น
เทคนิคในการเร่งภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง
1.คุณมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ออกแบบการใส่เสื้อผ้าของคุณให้มีความแตกต่าง หากเปรียบตัวของเราคือสินค้า เสื้อผ้าจึงเปรียบได้ดังบรรจุภัณฑ์ จงเลือกสีเสื้อผ้า รูปแบบของเสื้อผ้า ให้ตรงกับบุคลิกของตัวคุณเอง จงใส่เสื้อผ้านั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ
2.คุณต้องออกแบบทรงผม ให้โดดเด่น พวกเราคงเห็น ดารา นักกีฬาฟุตบอลระดับโลก หลายๆ คน ที่มักจะเปลี่ยนทรงผมแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การออกแบบทรงผมเป็นอุปกรณ์หรือเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการช่วยในการสร้าง Brand สำหรับตัวของคุณเอง
3.คุณต้องหาสัญลักษณ์ ออกแบบเครื่องหมายการค้า คำพูด แปลกๆ เก๋ๆ เพื่อสร้างความจดจำต่อผู้พบเห็น
4.คุณต้องสร้างหรือพัฒนาบุคลิกของคุณให้มีความสอดคล้องกับ สีเสื้อ สัญลักษณ์ ทรงผ้าของคุณ เช่น คุณชอบใส่เสื้อผ้าสีสดใส คุณต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีชีวิตชีวาตลอดเวลาต่อผู้พบเห็น
หากคุณปฏิบัติได้ดังข้อความข้างต้นกระผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง จะถูกจดจำต่อสาธารณชนอย่างรวดเร็ว เพราะคุณแตกต่าง คุณจึงสร้างความจดจำได้ดีกว่าและรวดเร็วกว่านั้นเอง
พลังของชื่อ พวกเราคงได้อ่าน หรือ เคยได้ฟังว่า นักร้อง ดารา หลายๆคน เมื่อเข้าสู่วงการมักจะมีการเปลี่ยนชื่อ เช่น คุณสิเรียม จากเดิมชื่อ วิริญญ์(อ่านว่า วิริน) กิ๊ปสั้น หรือ คุณแอน ทองประสม เมื่อก่อนชื่อ ศรีจันทร์ ทองประสม ฯลฯ ชื่อจึงมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ
พลังของคำและวลีที่ติดปาก หากเราได้ยินคำว่า “ ถูกต้องนะครับ ” เรามักคิดถึงพิธีกรทางโทรทัศน์ชื่ออะไร , “ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ” เป็นคำพูดของนักการเมืองท่านใดในอดีต , “ ฟังธง ” เป็นคำพูดของหมอดูที่ชื่ออะไร พลังของคำและวลีที่ติดปาก ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการสร้าง Brand ส่วนตัวของเราเองได้เช่นกัน
จงใช้พลังของสื่อ เราต้องยอมรับว่า สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลมาก อีกทั้งยังไม่สามารถปิดกั้นข้อมูล ข่าวสาร ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว ในอดีต รัฐบาล คณะปฏิวัติ มักยึดสื่อหลักๆ ในการปฏิวัติแต่ละครั้ง แต่ยุคปัจจุบัน สื่อหลายๆ ชนิดไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สื่อทางอินเตอร์เน็ตมีการเขียนข้อมูลได้อย่างเสรี บางคนเขียนด่ากันหรือให้ข้อมูลแบบผิดๆไปเลยก็มี , สื่อวิทยุชุมชนปัจจุบันนี้มีมากมายเหลือเกิน มากจนฝ่ายที่ทำหน้าที่ควบคุมไม่สามารถควบคุมกันได้ทั้งหมด เป็นต้น
จงใช้สื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ Brand ของตัวเองให้เป็น แล้วชื่อเสียงของคุณก็จะพุ่งอย่างจรวด
สุดท้ายนี้อย่างขอสรุปว่า คุณก็สามารถสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณได้ เพราะคุณคือ U R A BRAND
จงวางแผนลงบนกระดาษเปล่า จงคิดใหม่ ทำใหม่ จงวิเคราะห์ตัวเราเอง( SWOT) จงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่หากว่าชื่อของคุณไม่โดนหรือเร้าใจ จงสร้างคำพูดวลีที่ติดปากของคุณ จงออกแบบเครื่องแต่งกาย การเลือกใช้สีเสื้อให้สอดคล้องกับบุคลิกของคุณตลอดจนออกแบบทรงผม จงหาสัญลักษณ์ เครื่องหมายการค้ามาใช้เพื่อสร้างความจดจำ จงใช้สื่อให้เกิดประโยชน์และที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณต้องลงมือทำ เพราะหากคุณได้แต่คิด ผลลัพธ์ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น จงลงมือทำแล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand ส่วนตัวอย่างแน่นอนครับ
...
  
เวลาของฉันหายไปไหน
เวลาของฉันหายไปไหน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เราลองมาทบทวนการใช้เวลาของเราในแต่ละวันกันดีไหมครับ ว่าเวลาของเราหาไปไหนกันหมด พวกเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่แล้วเวลาเราหายไปไหน
สมมุติว่า เรานอนวันละ 8 ชั่วโมง ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แล้วเวลาอีก 8 ชั่วโมง เวลาของพวกเราหายไปไหนกัน ซึ่งคำตอบของทุกคนจะแตกต่างกันไป เช่น
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อน
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการประชุม
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเช็คเมล์ เล่น Facebook , Line
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเดินทาง
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการรอคอย รอคิว
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการทานอาหาร
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการอาบน้ำ
เวลาที่เสียไปข้างต้นนี้ หลายคนคิดว่าไม่มีความสำคัญ แต่ถ้าพวกเราลอง
พิจารณาและทบทวนใหม่อีกสักครั้ง หลายคนอาจถึงกับตกใจว่าเราได้เสียเวลาไปกับกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เช่น
การทานอาหาร
เราต้องใช้เวลาในการทานอาหารวันละ 3 มื้อ ถ้าพวกเราใช้เวลาทานอาหารมื้อละ 20 นาที นั่นหมายถึงว่าเราต้องใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง ในการรับประทานอาหาร แล้วถ้า 1 เดือนละ เราจะใช้เวลาทานอาหารถึง 1,800 นาที หรือ 30 ชั่วโมง เลยทีเดียว ซึ่งใช้เวลาทานอาหารเกือบ 1 วัน กับ 6 ชั่วโมง ต่อ 1 เดือน
การเดินทาง
ในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ เรามีความจำเป็นจะต้องเดินทาง ซึ่งต้องเสียเวลาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจราจรในเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพมหานครฯ เราจะต้องเผชิญปัญหารถติด ซึ่งทำให้เราต้องเสียค่าน้ำมัน เสียเวลา เสียเงินไปกับการจราจรที่แสนสาหัส สมมุติหากว่าเราอยู่กรุงเทพมหานครฯ ซึ่งจำเป็นจะต้องเดินทางไปทำงานเช้า เย็น เราจะต้องใช้เวลาเดิน ขาไปและกลับ วันหนึ่ง 2 ชั่วโมง ถ้า 1 เดือน เราจะเสียเวลาไปกับการเดินทางถึง 60 ชั่วโมง หรือ 2 วัน กับอีก 12 ชั่วโมง ต่อเดือน
สำหรับการอบรม หลักสูตร “ การบริหารเวลา ” ของผม ผมมักจะให้ผู้เข้ารับ
การอบรม ได้มีโอกาสวิเคราะห์การใช้เวลาของตนเอง โดยให้เขียนกิจกรรมอย่างน้อย 5-7 อย่าง ที่เผาผลาญเวลาในแต่ละวัน
แบบฝึกหัด
สำหรับตัวท่าน กิจกรรมใดถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่เผาผลาญเวลาของท่านในแต่ละวันมากที่สุด จงเขียนเรียงตามลำดับกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลาเป็นจำนวนมากไปหาน้อย
1……………………………………………………………………………..
2………………………………………………………………………………
3………………………………………………………………………………..
4………………………………………………………………………………
5………………………………………………………………………………
...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.