หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
ข่าวสาร
สินค้า
บริการ
แกลลอรี
เว็บลงค์
เว็บบอร์ด
ติดต่อเรา

บริการ

 รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
 บทความต่างๆ ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังใจของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 สุนทรพจน์ของนักการเมือง
 บทความเกี่ยวกับการขายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับกฏหมายของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 บทความเกี่ยวกับการเขียนของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
 นักพูดทางการเมือง
 หนังสือ การพูด
 บทความต่างๆ ของนักพูด
 ประวัตินักขาย
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการขาย
 วาทะของคนดัง
 ประวัติ ทนายความ
 ประวัติอาจารย์นักพูด
 คลิปเสียงภาพ เกี่ยวกับกฏหมาย
 วิธีการสู่ความสำเร็จ
 บุคลิกภาพสู่ความสำเร็จ
 การบริการด้วยหัวใจ
 ผู้บริหาร
 Mind Map แผนที่ความคิด(หนังสือทางด้านการพูด)
 แนะนำหนังสือการเขียน
 ประวัตินักเขียน
 คลิปนักพูด
 แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
 คลิป นักพูดต่างประเทศ
 คลิป ประกอบการบรรยาย
 คลิปเสียงของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ เกี่ยวกับการพูด เช่น นักพูดชั้นนำทำกันอย่างไร , วิธีการปรับปรุงน้ำเสียง ,จะพูดให้ได้ดีต้องมีการเตรียมตัว,นักพูดที่ดีต้องมีการศึกษาและองค์ประกอบของนักพูดที่ดี
 คลิป ครูเคท บรรยาย
 คลิป หมู่บ้านพลัม
 สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
 สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
 พูดอย่างมีกึ๋น
 หนังสือ การทำงานเป็นทีม
 แนะนำหนังสือ เกี่ยวกับการทำงาน
 ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
 คำคม
 รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล
 สมชาย หนองฮี
 ดร.ผาณิต กันตามระ
 อ.อุสมาน ลูกหยี
 อาจารย์จตุพล ชมภูนิช
 วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์
 รศ.สุนีย์ สินธุเดชะ
 หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา
 อาจารย์พนม ปีย์เจริญ
 อาจารย์เสน่ห์ ศรีสุวรรณ
 รศ.วิกรณ์ รักษ์ปวงชน
 อาจารย์วิชัย ปีติเจริญธรรม
 ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล
 กนกศักดิ์ ลิขิตไพรวัลย์
 อาจารย์ถาวร โชติชื่น
 สิริลักษณ์ ตันศิริ
 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
 โต้วาที
 คะเณยะ อ่อนนาง
 ภก. ดร. ประชาสรรค์ แสนภักดี
 ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล
 ดร.โอภาส กิจกำแหง
 ประมวลสุนทรพจน์ ทักษิณ ชินวัตร
 ดร.อภิชาติ ดำดี
 อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
 การตลาด
 ทอล์คโชว์
 รวมคลิป ที่เกี่ยวกับการพูดต่อหน้าที่ชุมชน
 คลิป เรื่องการบริหาร
 คลิป บุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ
 เพลง ที่ให้กำลังใจ
 คลิป ดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
 คลิป แรงบันดาลใจ
 คลิป สนุกๆ สร้างสรรค์
 การทำงานอย่างมีความสุข
 การจัดการองค์ความรู้ KM
 สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย

กลุ่มสินค้า

 หลักสูตร พลังแห่งการพูด
 หลักสูตร พลังแห่งการบริการ
 หลักสูตร การทำงานเป็นทีมและการบริหาร
 หลักสูตร พลังแห่งการสื่อสาร
 ผลงานหนังสือ
 หลักสูตร พลังแห่งการขายและการตลาด
 หลักสูตร การทำงานด้วยหัวใจ
 อาเซียน
 หลักสูตรอื่น
 หลักสูตร การคิด
 มอบหนังสือ เพื่อการกุศล
Custom Search
สถาบัน Cap vision
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
 
 
  บริการ
รับงานบรรยายในหัวข้อต่างๆ
บทความต่างๆ  ของ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการพูดของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทความเกี่ยวกับการบริหารของดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
หนังสือ การพูด
สุนทรพจน์ JFK เคเนดี้
สุนทรพจน์ของลินคอล์นที่เก็ตตีสเบอร์ก
พูดอย่างมีกึ๋น
ท่านสามารถ ดาวน์โหลด ไหล์ PDF แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการพูดได้
สมชาย หนองฮี
อ.พิษณุ สกุลโรมวิลาศ
สมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
   บริการ ทั้งหมด
7 วิธีสู่ความสำเร็จในชีวิต
7 วิธีสู่ความสำเร็จในชีวิต
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ปัจจุบัน กระผมทำงานด้านการสอนและบรรยายมาหลายสิบปี ทั้งในมหาวิทยาลัย และ องค์กร หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ ของภาคเอกชน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อกระผมไปสอนหนังสือ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อกระผมบรรยายเสร็จแล้ว ผมก็ลงมาจากเวที ปรากฏว่ามีนักศึกษาผู้หญิงคนหนึ่ง มาพบกระผมแล้วถามกระผมว่า อาจารย์ค่ะ ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต ตอนนั้นกระผมก็ตอบเท่าที่คิดได้หรือตอบให้มันผ่านๆไป แต่มาคิดดูอีกที มันไม่ใช่เป็นการตอบที่ครบถ้วน
บทความฉบับนี้ กระผมจึงขออธิบายเพิ่มเติมในรายละเอียดต่างๆ ของวิธีที่จะก้าวสู่ความสำเร็จในชีวิต มีดังนี้
1.ความรัก ความชอบ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในแวดวงต่างๆ จะต้องมีความรัก ความชอบในสิ่งที่ตนเอง ทำ เพราะถ้าเขาไม่รัก ไม่ชอบแล้ว เขาจะทำมันไปด้วยความเบื่อหน่าย ความขี้เกียจ ความไม่สนุกสนานไปกับสิ่งที่ทำ เช่น ทอมัส เอดิสัน นักประดิษฐ์เอกของโลก เขาต้องอยู่ในห้องทดลองมากกว่า 8 ชั่วโมง ต่อวัน บางวันเขาต้องกินข้าว นอนหลับในห้องทดลองของเขา หลายคนคงคิดว่าเขาไม่มีความสุข เขาเครียดกับงานมากเกินไปหรือเปล่า คำตอบคือ เปล่าเลย เขาสนุกกับมันต่างหาก เนื่องจากเพราะเขารักมัน เขาชอบทำมัน
2.ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เมื่อรู้ว่าตนเองชอบอะไรแล้ว เขาก็จะมุ่งมั่น ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน สิ่งเหล่านั้น อย่างตั้งใจ เมื่อล้มเหลวแล้วเขาจะไม่เลิก แต่เขาจะทำต่อไป ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ต่อไป จนกระทั้งเขาเป็นคนที่ชำนาญและเป็นคนเก่งในวงการนั้นๆ
3.มุ่งมั่นในเป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง เขาจะมุ่งมั่น จดจ่อ อยู่กับเป้าหมายที่เขาได้วางเอาไว้ เขาจะมีสมาธิแน่วแน่ เขาจะผลักดันตัวเอง เขาจะดัน ดัน ดัน ตัวเองให้ไปถึงเป้าหมายที่เขาตั้งใจเอาไว้
4.การมอบในสิ่งที่ดีให้แก่ผู้อื่น ถ้าเป็นธุรกิจ ก็ต้องมอบสินค้าหรือบริการที่ดี ให้แก่ลูกค้า เมื่อเรามอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้คนแล้ว เขาเหล่านั้น ก็มักจะมอบเงินทอง ทรัพย์สิน เพื่อเป็นการตอบแทนแก่เรา
5.ความคิด คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นคนที่มีความคิดที่ดี และหลายๆคนมักจะเป็นคนที่ขายความคิด ขายความรู้ให้แก่ผู้คน เราต้องยอมรับว่า สินค้า บริการที่เกิดใหม่ ทุกๆวันนี้ เกิดขึ้นมาจาก ความคิด ของคนเรา หากว่าเราต้องการประสบความสำเร็จ จงพัฒนาความคิดของตนเองอยู่เสมอ จงคิดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา
6.ความเพียรพยายาม คนที่ประสบความสำเร็จ ทุกๆคน เขาจะมีความเพียรพยายาม มากกว่าคนปกติ ซึ่งคนปกติ เมื่อทำแล้ว อาจจะเลิกล้มไปกลางทาง หรือไม่ทำต่อ แต่คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักจะมีมานะ มุ่งมั่น พยายาม ทำจนถึงเป้าหมายที่เขาได้วางแผนเอาไว้
7.ตรวจสอบ ควบคุม คนที่ประสบความสำเร็จ เขามักที่จะมีการทบทวนแผนการที่ได้วางแผนเอาไว้ว่า เขาได้ทำตามแผนที่วางเอาไว้หรือไม่ เมื่อตกเย็นหรือก่อนนอน เขาจะนั่งทบทวน ตรวจสอบ ควบคุม แก้ไข ปรับเปลี่ยน หยืดหยุ่น แผนการที่ได้วางแผน เพื่อที่จะได้ทำงานต่อไปในวันพรุ่งนี้ ในสัปดาห์ต่อไป ในเดือนและปีต่อไป
ฉะนั้น ถ้าหากท่านต้องการประสบความสำเร็จ ลองนำเทคนิคหรือวิธีการทั้ง 7 ข้อนี้ ไปใช้ดู แล้วสักวันหนึ่งท่านจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน คนเราเกิดมาไม่มีใครกำหนดว่าเราจะประสบความสำเร็จ หรือประกอบอาชีพอะไร แต่คนเราจะประสบความสำเร็จและประกอบอาชีพอะไร ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราต้องการจะเป็นอะไรจริง) ทนายความ หมอ นักพูด นักเขียน ครู อาจารย์ ตำรวจ ทหาร ฯลฯ )จงสร้างเป้าหมายขึ้นมา แล้วจงฝึกฝนตนเอง จงเพียรพยายาม ตรวจสอบ ควบคุม ตนเองอยู่เสมอ จงฝันให้ไกลและไปให้ถึง
...
  
พูดให้ถูกสถานการณ์
พูดให้ถูกสถานการณ์
โดย....ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนที่พูดเก่ง พูดเป็น มักจะต้องรู้จักสถานการณ์ในการพูด ในบางสถานการณ์ก็ต้องรู้จัก “ นิ่งเงียบ” เพราะ การนิ่งเงียบก็คือการใช้คำพูดที่ดีที่สุดในภาวะสถานการณ์นั้น หรือในบางสถานการณ์ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องพูด เพราะถ้า ไม่พูด เราและคนรอบข้างก็จะเกิดความเดือดร้อนและไม่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นั้น
“นิ่งเงียบ” พวกเราคงได้ยิ่ง คำพูดของคนโบราณที่พูดว่า “พูดไปสองไพร่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในบางครั้ง การนิ่งเงียบ ก็มีประโยชน์และสร้างชัยชนะให้เกิดขึ้นอย่างเหนือชั้น มีคนถามแล้วสถานการณ์แบบไหนละ ที่ควรจะ “นิ่งเงียบ” สถานการณ์ที่เราควรจะนิ่งเงียบ คือ สถานการณ์ที่เราต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกัน การไม่พูดหรือการนิ่งเงียบ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น อีกทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่อีกฝ่ายจนลืมไม่ลง
ครั้งหนึ่งมีนักกีฬา ฟุตบอลคนหนึ่ง อยู่ระหว่างการเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมเพื่อไปแข่งขัน นักฟุตบอลคนนี้แอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน ซึ่งผิดกฏระเบียบของทีมที่ได้ตกลงกันเอาไว้ โดยหากว่าผู้ใดกระทำการผิด ก็จะถูกโค้ชสั่งให้ลงโทษอย่างหนัก เขาเตรียมรับกับการถูกลงโทษและถ้าอดทนไม่ไหว เขาก็จะขอทะเลาะกับโค้ชและจะลาออกจากทีมไป แต่เมื่อมาถึง โค้ชกับไม่ได้ว่าอะไรเขา แม้แต่คำเดียว แต่โค้ชกลับ “นิ่งเงียบ” ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั้น นักฟุตบอลคนนี้ คือผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีม เขาตั้งใจฝึกซ้อมและไม่เคยหนีเที่ยวอีกเลย
อีกหลายปีต่อมา เขาได้จบการศึกษา ทางมหาวิทยาลัยได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลอง ปรากฏว่าเขาได้เจอโค้ชคนนี้ที่งานเลี้ยง เขาจึงตรงเขาไปสารภาพว่า “ เขาเคยหนีไปเที่ยวตอนกลางคืน แทนที่โค้ชจะลงโทษผมอย่างหนัก แต่โค้ชกับนิ่งเงียบ ทำให้ผมไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผมจึงขอสารภาพผิดกับโค้ช” เมื่อนักฟุตบอลผู้นั้น สารภาพผิดจึงเกิดความสบายใจขึ้น
“ขอโทษ” ต้องรู้จักพูดคำว่า “ขอโทษ” อดีตนายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยกล่าวคำคมไว้ประโยคหนึ่งว่า “ ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา” ในเรื่องของการใช้คำพูด เมื่อเราได้มีโอกาสใช้มากเท่าไร โอกาสผิดพลาดก็ยิ่งมีมาก แต่จะทำอย่างไรให้ สิ่งที่เราเคยพูดผิดพลาดไป ทำให้เราเกิดผลเสียกับเราน้อยที่สุด
พวกเราคงเคยเห็นดาราหลายๆ คนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยกล่าวโจมตี บุคคลอื่น จึงทำให้ตนเองเกิดภาพพจน์ที่เสียหายในเวลาต่อมา แต่เมื่อเราทำผิดพลาดแล้ว เราจะทำอย่างไร การพูดคำว่า “ขอโทษ” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ผลเสียอันเกิดจากการพูดลดน้อยลง ดังนั้น จงกล่าวคำว่า “ ขอโทษ” หากว่าท่านเป็นผู้ผิด ดีกว่าจะทำเป็น นิ่งเงียบหรือหาทางแก้ตัว
“ไม่ผูกมัด” นักการทูตที่ดีหรือนักการเมืองที่ดี ไม่ควรพูดผูกมัดตัวเอง แต่ควรมีการเลือกใช้คำพูดประเภทยืดหยุ่น เช่น บางคน บางครั้ง บางเวลา หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น หากมีผู้ใหญ่ที่เรานับถือมาเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเรา เราก็ให้การต้อนรับ หลังจากที่ผู้ใหญ่ท่านนั้น จะลากลับ ก็ได้ชวนเราให้ไปเยี่ยมเยือน สถานที่ทำงานของเขาบ้าง เราก็ควรหาคำตอบที่มีลักษณะยืดหยุ่นและไม่ผูกมัดตัวเองว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม กระผมจะได้ไปเยี่ยมเยือนท่าน” ซึ่งการพูดลักษณะนี้ มีลักษณะยืดหยุ่นสูง เพราะคำว่า “ หากมีโอกาสและมีช่วงเวลาที่เหมาะสม” คำว่า “เหมาะสม” อาจเป็นช่วงเวลาไหนก็ได้ (อาทิตย์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า) แต่ถ้าคนพูดไม่เป็นก็จะรีบพูดผูกมัดตัวเอง “ ขอเป็นเดือนหน้าครับ” ผมไปเยี่ยมเยือนท่าน ซึ่งการพูดลักษณะนี้ เราจะต้องไปจริงๆ หากติดธุระหรือไปไม่ได้ ก็จะเป็นการผิดคำพูด ที่ได้พูดออกไป
ดังนั้น จึงขอสรุปว่า คนที่พูดเก่ง พูดเป็น จะต้องรู้จักใช้คำพูดให้ถูกกับสถานการณ์ เพราะคำพูดของคนเราเป็นทั้งศาสตร์และเป็นทั้งศิลป์ เราจึงต้องควรเรียนรู้ การใช้คำพูดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ คำพูดจึงจะก่อประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึง สังคมและประเทศชาติอีกด้วย

...
  
ความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
เมื่อพูดถึงเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ในประเทศไทยเรา เรายังมีความคิดสร้างสรรค์กันน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอเมริกา ซึ่งมีนักคิดสร้างสรรค์และสามารถสร้างผลงานใหม่ๆ ให้เป็นประโยชน์แก่โลกของเรามากมาย เช่น
- โทมัส อัลวา เอดิสัน คิดค้น หลอดไฟฟ้าหลอดแรกของโลกได้ ซึ่งทำให้โลกของเรามีความ
สว่างในเวลากลางคืน
- สองพี่น้องตระกูลไรค์ คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จ ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทาง
ข้ามทวีปได้อย่างง่ายดายกว่าในอดีต
- ฟิโล เทย์เลอร์ ฟาร์นสเวิร์ธ ชาวอเมริกัน ผู้ที่คิดค้นโทรทัศน์เครื่องแรกของโลก
- สตีฟ จอบส์ คิดค้นสินค้าตระกูล I ซึ่งทำให้เราได้ใช้สินค้าที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น
ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร ความคิดสร้างสรรค์ หมายถึง การคิดสิ่งใหม่ๆ
(Creative thinking) เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่แตกต่างไปจากสิ่งที่มีอยู่เดิมและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ (New, Original) ใช้การได้ (Workable) และมีความเหมาะสม (Appropriate)
เช่นกระผมปัจจุบันทำงานเป็นวิทยากรอิสระ หากว่ากระผมแก้ผ้าไปบรรยาย พวกเราคิดว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ไหม เนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ กระผมขอตอบว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งใหม่ก็จริง แต่มีความไม่เหมาะสมและใช้ประโยชน์ไม่ได้เนื่องจากผิดมารยาททางสังคม จึงไม่ถือว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์
ทำไมคนไทยเราถึงมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าสังคมอเมริกา อาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุเช่น
1.สังคมไทยเป็นสังคมที่พึ่งพาผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสมากกว่าพึ่งพาตนเอง เช่น ลูกพึ่งพาพ่อแม่ถึงแม้ลูกจะ
หางานทำมีงานทำแล้ว แต่ลูกบางคนยังขอเงินพ่อแม่อยู่ , ผู้น้อยพึ่งพาผู้ใหญ่ สังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ เป็นสังคมที่มีเส้นมีสาย , สังคมไทยเมื่อมีปัญหามักจะพึ่งพาผู้มีอำนาจ ผู้ที่มีเงินมากกว่าที่จะระดมความคิดแก้ไขปัญหากันเอง
2.ระบบการศึกษาของไทยมักสอนให้เด็กท่องจำมากกว่าสอนให้คิดเอง เมื่อตอนเด็กๆ เรามักได้ทำข้อสอบที่เป็นปรนัย( กขคง)มากกว่าข้อสอบอัตนัย(เขียนบรรยาย) เช่น เราเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับประเทศพม่าครั้งที่หนึ่งในสมัยของใคร ก.พระเจ้ามหาราช ข.พระเจ้าอู่เงิน ค.พระเจ้าอู่ทอง ง.ผิดหมดทุกข้อ
แต่หากข้อสอบเป็นอัตนัย(เขียนบรรยาย) ก็จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กนักเรียนได้คิดมากขึ้น เช่น ท่านคิดว่าหากเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้ ท่านมีวิธีใดที่จะไม่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าในครั้งที่หนึ่ง
3.คนไทยส่วนใหญ่มักคิดว่าตนเองไม่มีความคิดสร้างสรรค์ คิดว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องของพรสวรรค์ มากกว่าพรแสวง เช่น เห็นนักวาดรูป ศิลปิน นักแต่งเพลง ฯลฯ คนไทยมักคิดว่าเราสร้างสรรค์งานเหล่านี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของพรสวรรค์ แต่แท้จริงแล้ว ความคิดสร้างสรรค์ เราสามารถสร้างและพัฒนาได้ ฝึกฝนเรียนรู้ได้
4.สังคมไทยเป็นสังคมที่กลัวความล้มเหลว เรามักได้ยินคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า “ผิดเป็นครู” แต่เรามักไม่ชอบในครูคนนี้สักเท่าไร แต่ตรงกันข้ามกับสังคมอเมริกาที่คนของเขากล้าที่จะล้มเหลว โดยไม่กลัวความล้มเหลว เนื่องจากคนของเขาคิดว่า ยิ่งล้มเหลวมาก ยิ่งประสบความสำเร็จมาก ดังเช่น บุคคลที่กระผมกล่าวในข้อความข้างต้น เอดิสัน กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จซึ่งเป็นดวงแรกของโลกเขาต้องล้มเหลว นับพันๆครั้ง เป็นต้น
ปัจจัยข้างต้นจึงเป็นที่มาของคนไทยที่ไม่ชอบคิดสร้างสรรค์ สินค้าใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ จึงไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยมากมาย แต่ตรงกันข้ามสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบลอกเลียนแบบ เช่น การลอกเลียนแบบ เพลง ภาพยนตร์ โดยการ Copy ขาย ฯลฯ ดังนั้นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป
...
  
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
U R A BRAND !(คุณ คือ แบรนด์)
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
www.drsuthichai.com
คุณสามารถสร้างภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ ตัวตนของคุณให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักได้โดยการสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณเอง
พวกเราคงเคยเห็นสินค้าในท้องตลาดหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมักมี ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง มักให้ความสำคัญในการสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand โดยการโหมโรงโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร วิทยุ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
แต่จริงๆแล้ว การสร้างตรายี่ห้อหรือBrand ไม่ได้เกิดเฉพาะตัวของสินค้าที่ไม่มีชีวิตเท่านั้น คน สัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็สามารถสร้าง ตรายี่ห้อ หรือ Brand ส่วนตัวได้เช่นกัน การสร้าง ตรายี่ห้อหรือ Brand ส่วนตัว หากว่าจะทำให้ได้ผลและเกิดความรวดเร็ว เราจะต้องนำเอาเรื่องของการตลาดมาประยุกต์ใช้ ในบทความฉบับนี้ เราจะพูดถึงเรื่องนี้กัน
ก่อนอื่นเรามาทราบความแตกต่างระหว่าง สินค้าที่มีการสร้าง Brand กับ สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand กันก่อน สินค้าที่มีการสร้าง Brand มักจะเป็นที่จดจำมากกว่า ถูกลูกค้าถามซื้อมากกว่า มีราคาสูงกว่า เป็นที่ประทับใจ เป็นที่จดจำได้มากกว่า มีภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ที่ดีกว่า สินค้าที่ไม่มีการสร้าง Brand สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับบุคคลที่ต้องการสร้าง Brand ส่วนตัว ให้กับตัวเอง ให้ออกมาดีเขาจะเป็นคนที่มีลักษณะดังนี้ คือ เขามักจะเลือกที่จะทำงานให้แก่ตนเอง มากกว่า ทำงานรับจ้างกินเงินเดือน เขาจะเป็นคนมีความมั่นใจในตนเองสูง มีความมั่นคงภายใน มีการวางแผนอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะการวางแผนทางด้านการตลาด มีเครือข่ายหรือสายสัมพันธ์มาก มีภาพลักษณ์ที่ดูดี เป็นที่น่าสนใจในวงกว้าง เป็นต้น
การสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณต้องเริ่มที่ตัวของคุณเอง หากมีเวลาว่างๆ ลองนั่ง วิเคราะห์ SWOT สำหรับตัวของคุณเอง(STRENGTHS จุดแข็ง , WEAKNESSES จุดอ่อน , OPPORTUNITIES โอกาส และ THREATS อุปสรรคหรือการคุกคาม)
จงพัฒนาจุดแข็งของคุณ ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น เพราะการพัฒนาจุดอ่อนจะทำให้คุณเสียเวลา เสียเงินเป็นจำนวนมากแต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา มักจะไม่ได้ดังใจหวัง แต่หากคุณรู้ว่าจุดแข็งคุณเป็นอย่างไร คุณก็จะโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะจุดแข็ง มักเป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบ เช่น คนบางคนชอบเขียนหนังสือ แต่ไม่ชอบเล่นดนตรี ดังนั้น จุดแข็งของเขาคือ การเขียนหนังสือ เขาสามารถเขียนหนังสือขาย สร้างอาชีพ สร้างความร่ำรวยได้ แต่หากเขามัวแต่ไปพัฒนาจุดอ่อนคือ เล่นดนตรีหรือพัฒนาในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ไม่มีใจรัก เขาจะรู้สึกเหนื่อย หมดพลัง ฉะนั้นจงพัฒนาจุดแข็งของคุณ มากกว่าการที่คุณจะนำพลังไปใช้ในการพัฒนาจุดอ่อน
เรื่องของโอกาสและอุปสรรค ก็มีความสำคัญมาก โอกาสจะเป็นตัว ช่วยเร่งให้คุณเติบโต แต่อุปสรรคจะเป็นตัวขวางกั้นให้คุณเติบโตอย่างช้าๆ
เคล็ดลับในการสร้าง Brand ส่วนตัว คุณจำเป็นต้องคิดต่าง ทำต่าง เพราะหากว่าคุณคิดเหมือนคนอื่นๆ ทำเหมือนกับคนอื่นๆ คุณก็คงไม่มีความโดดเด่นขึ้นมาได้ แต่หากว่าคุณ คิดต่าง ทำต่าง คุณก็สามารถสร้างความโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อคุณหาความแตกต่างได้แล้ว คุณมีความจำเป็นต้องนำเสนอตัวของคุณเองอย่างเป็นระบบด้วยการวางแผน เช่น การเขียนบทความลงในสิ่งพิมพ์ต่างๆ แล้ว รวบรวมเป็นเล่ม การหาโอกาสออกสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ โดยการทำอย่างเป็นระบบ ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์
บุคลิกลักษณะ มีความสำคัญในการกำหนดหรือการสร้างภาพของตัวคุณ หากว่าคุณมีความกระตือรือร้นเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วกับอีกคนหนึ่งเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ , หากว่าคุณเป็นคนพูดเสียงดัง กับอีกคนหนึ่งพูดจาเสียงเบา , หากว่าคุณชอบแต่งกายสีสดใส เร้าใจ กับอีกคนหนึ่งชอบใส่เสื้อผ้าเรียบๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความรู้สึกภาพลักษณ์ภายในใจของลูกค้าของคุณเองได้ทั้งสิ้น
เทคนิคในการเร่งภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง
1.คุณมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ออกแบบการใส่เสื้อผ้าของคุณให้มีความแตกต่าง หากเปรียบตัวของเราคือสินค้า เสื้อผ้าจึงเปรียบได้ดังบรรจุภัณฑ์ จงเลือกสีเสื้อผ้า รูปแบบของเสื้อผ้า ให้ตรงกับบุคลิกของตัวคุณเอง จงใส่เสื้อผ้านั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ
2.คุณต้องออกแบบทรงผม ให้โดดเด่น พวกเราคงเห็น ดารา นักกีฬาฟุตบอลระดับโลก หลายๆ คน ที่มักจะเปลี่ยนทรงผมแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การออกแบบทรงผมเป็นอุปกรณ์หรือเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งในการช่วยในการสร้าง Brand สำหรับตัวของคุณเอง
3.คุณต้องหาสัญลักษณ์ ออกแบบเครื่องหมายการค้า คำพูด แปลกๆ เก๋ๆ เพื่อสร้างความจดจำต่อผู้พบเห็น
4.คุณต้องสร้างหรือพัฒนาบุคลิกของคุณให้มีความสอดคล้องกับ สีเสื้อ สัญลักษณ์ ทรงผ้าของคุณ เช่น คุณชอบใส่เสื้อผ้าสีสดใส คุณต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีชีวิตชีวาตลอดเวลาต่อผู้พบเห็น
หากคุณปฏิบัติได้ดังข้อความข้างต้นกระผมเชื่อว่าภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง จะถูกจดจำต่อสาธารณชนอย่างรวดเร็ว เพราะคุณแตกต่าง คุณจึงสร้างความจดจำได้ดีกว่าและรวดเร็วกว่านั้นเอง
พลังของชื่อ พวกเราคงได้อ่าน หรือ เคยได้ฟังว่า นักร้อง ดารา หลายๆคน เมื่อเข้าสู่วงการมักจะมีการเปลี่ยนชื่อ เช่น คุณสิเรียม จากเดิมชื่อ วิริญญ์(อ่านว่า วิริน) กิ๊ปสั้น หรือ คุณแอน ทองประสม เมื่อก่อนชื่อ ศรีจันทร์ ทองประสม ฯลฯ ชื่อจึงมีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ
พลังของคำและวลีที่ติดปาก หากเราได้ยินคำว่า “ ถูกต้องนะครับ ” เรามักคิดถึงพิธีกรทางโทรทัศน์ชื่ออะไร , “ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ” เป็นคำพูดของนักการเมืองท่านใดในอดีต , “ ฟังธง ” เป็นคำพูดของหมอดูที่ชื่ออะไร พลังของคำและวลีที่ติดปาก ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในการสร้าง Brand ส่วนตัวของเราเองได้เช่นกัน
จงใช้พลังของสื่อ เราต้องยอมรับว่า สื่อในปัจจุบันมีอิทธิพลมาก อีกทั้งยังไม่สามารถปิดกั้นข้อมูล ข่าวสาร ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว ในอดีต รัฐบาล คณะปฏิวัติ มักยึดสื่อหลักๆ ในการปฏิวัติแต่ละครั้ง แต่ยุคปัจจุบัน สื่อหลายๆ ชนิดไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สื่อทางอินเตอร์เน็ตมีการเขียนข้อมูลได้อย่างเสรี บางคนเขียนด่ากันหรือให้ข้อมูลแบบผิดๆไปเลยก็มี , สื่อวิทยุชุมชนปัจจุบันนี้มีมากมายเหลือเกิน มากจนฝ่ายที่ทำหน้าที่ควบคุมไม่สามารถควบคุมกันได้ทั้งหมด เป็นต้น
จงใช้สื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ Brand ของตัวเองให้เป็น แล้วชื่อเสียงของคุณก็จะพุ่งอย่างจรวด
สุดท้ายนี้อย่างขอสรุปว่า คุณก็สามารถสร้าง Brand ส่วนตัวของคุณได้ เพราะคุณคือ U R A BRAND
จงวางแผนลงบนกระดาษเปล่า จงคิดใหม่ ทำใหม่ จงวิเคราะห์ตัวเราเอง( SWOT) จงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่หากว่าชื่อของคุณไม่โดนหรือเร้าใจ จงสร้างคำพูดวลีที่ติดปากของคุณ จงออกแบบเครื่องแต่งกาย การเลือกใช้สีเสื้อให้สอดคล้องกับบุคลิกของคุณตลอดจนออกแบบทรงผม จงหาสัญลักษณ์ เครื่องหมายการค้ามาใช้เพื่อสร้างความจดจำ จงใช้สื่อให้เกิดประโยชน์และที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณต้องลงมือทำ เพราะหากคุณได้แต่คิด ผลลัพธ์ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น จงลงมือทำแล้วท่านจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง Brand ส่วนตัวอย่างแน่นอนครับ
...
  
เวลาของฉันหายไปไหน
เวลาของฉันหายไปไหน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
เราลองมาทบทวนการใช้เวลาของเราในแต่ละวันกันดีไหมครับ ว่าเวลาของเราหาไปไหนกันหมด พวกเรามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่แล้วเวลาเราหายไปไหน
สมมุติว่า เรานอนวันละ 8 ชั่วโมง ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แล้วเวลาอีก 8 ชั่วโมง เวลาของพวกเราหายไปไหนกัน ซึ่งคำตอบของทุกคนจะแตกต่างกันไป เช่น
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อน
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการประชุม
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเช็คเมล์ เล่น Facebook , Line
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการเดินทาง
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการรอคอย รอคิว
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการทานอาหาร
- บางคนใช้เวลาเป็นจำนวนมากสำหรับการอาบน้ำ
เวลาที่เสียไปข้างต้นนี้ หลายคนคิดว่าไม่มีความสำคัญ แต่ถ้าพวกเราลอง
พิจารณาและทบทวนใหม่อีกสักครั้ง หลายคนอาจถึงกับตกใจว่าเราได้เสียเวลาไปกับกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ เช่น
การทานอาหาร
เราต้องใช้เวลาในการทานอาหารวันละ 3 มื้อ ถ้าพวกเราใช้เวลาทานอาหารมื้อละ 20 นาที นั่นหมายถึงว่าเราต้องใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง ในการรับประทานอาหาร แล้วถ้า 1 เดือนละ เราจะใช้เวลาทานอาหารถึง 1,800 นาที หรือ 30 ชั่วโมง เลยทีเดียว ซึ่งใช้เวลาทานอาหารเกือบ 1 วัน กับ 6 ชั่วโมง ต่อ 1 เดือน
การเดินทาง
ในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ เรามีความจำเป็นจะต้องเดินทาง ซึ่งต้องเสียเวลาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจราจรในเมืองใหญ่ๆ เช่นกรุงเทพมหานครฯ เราจะต้องเผชิญปัญหารถติด ซึ่งทำให้เราต้องเสียค่าน้ำมัน เสียเวลา เสียเงินไปกับการจราจรที่แสนสาหัส สมมุติหากว่าเราอยู่กรุงเทพมหานครฯ ซึ่งจำเป็นจะต้องเดินทางไปทำงานเช้า เย็น เราจะต้องใช้เวลาเดิน ขาไปและกลับ วันหนึ่ง 2 ชั่วโมง ถ้า 1 เดือน เราจะเสียเวลาไปกับการเดินทางถึง 60 ชั่วโมง หรือ 2 วัน กับอีก 12 ชั่วโมง ต่อเดือน
สำหรับการอบรม หลักสูตร “ การบริหารเวลา ” ของผม ผมมักจะให้ผู้เข้ารับ
การอบรม ได้มีโอกาสวิเคราะห์การใช้เวลาของตนเอง โดยให้เขียนกิจกรรมอย่างน้อย 5-7 อย่าง ที่เผาผลาญเวลาในแต่ละวัน
แบบฝึกหัด
สำหรับตัวท่าน กิจกรรมใดถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่เผาผลาญเวลาของท่านในแต่ละวันมากที่สุด จงเขียนเรียงตามลำดับกิจกรรมที่ทำให้เสียเวลาเป็นจำนวนมากไปหาน้อย
1……………………………………………………………………………..
2………………………………………………………………………………
3………………………………………………………………………………..
4………………………………………………………………………………
5………………………………………………………………………………
...
  
มึงสู้จริงหรือเปล่า
มึงสู้จริงหรือเปล่า
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
หากครั้งแรกคุณทำไม่สำเร็จก็ขอให้ พยายาม พยายาม และพยายาม ทำต่อไป.........
ความสำเร็จจะมีหรือไม่มี ก็ช่างหัวมัน แต่จง พยายาม พยายามและพยายาม ทำต่อไป......
ดิเอโก มาราโดนา นักแตะระดับโลก ซึ่งได้รับฉายาว่า “ หัตถ์พระเจ้า ” เล่นฟุตบอลตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเขาต้องการเข้าสู่นักแตะอาชีพ เขาต้องทุ่มเทฝึกซ้อม ฝึกฝน การแตะบอลวันละไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง เป็นเวลาเกือบ 10 ปี สุดท้ายเขาเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
บิล เกตต์ เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำในสิ่งที่เขารัก เขาต้องยุ่งอยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องมือไฟฟ้า โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เขาต้องทนทำงานเหล่านี้ภายในโรงเก็บรถเก่าๆของพ่อเขา เขาใช้เวลาวันละไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ทุกๆวัน สุดท้ายเขาคือเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ระดับโลก
เออเนสต์ เฮมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบล เขาต้องทุ่มเทและใช้เวลาเขียนหนังสือทุกๆวัน เขาแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านเลยเป็นเวลาหลายๆปี อีกทั้งเขาต้องใช้เวลาอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทุกๆวันอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง งานเขียนช่วงแรกๆ เขาถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธ สุดท้ายเขาคือผู้ชนะ โดยได้รับรางวัลระดับโลก
จิมมี เฮนดริกซ์ เขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักกีตาร์มือดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาต้องฝึกซ้อม ฝึกฝน การเล่นกีฬาของเขาตลอดเวลา ทุกๆวัน เป็นเวลาหลายปี โดยเขาต้องฝึกฝนไม่น้อยกว่า 9 ชั่วโมง ต่อวัน สุดท้าย เขาได้รับยกย่องในระดับโลก
คนที่ประสบความสำเร็จ มักเป็นคนที่มีเป้าหมาย รู้ว่าตนเองชอบอะไร แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมาย อย่างไม่ลดละความพยายาม ตรงกันข้าม เขาจะฝึกฝน ฝึกซ้อม อย่างหนัก แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่มักจะโทษสิ่งต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง โทษดิน โทษฟ้า โทษอากาศ หรือ มีข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆนาๆ เช่น ฉันมันไม่มีโอกาส ฉันไม่มีเงิน ฉันเป็นคนไม่มีชื่อเสียง ฉันมัน......ฯลฯ
ดังนั้น หากท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านจำเป็นจะต้องรู้จักตนเองอย่างแท้จริง ว่าตนเองต้องการอะไร ตนเองอยากที่จะเป็นอะไร แล้วจึงฝึกฝน ฝึกซ้อมตนเอง ตามเป้าหมาย ตามความฝัน ทุกๆวันอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมเป็นเวลาหลายๆปี ท่านจึงจะเป็นที่หนึ่งในวงการนั้นๆ

...
  
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
เป้าหมายกับการบริหารเวลา
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนเรามีเวลาเท่ากัน แต่สิ่งที่น่าแปลก ก็คือว่า ทำไม คนบางคนถึงประสบความสำเร็จ แต่บางคน แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เช่น
หลายคนที่เป็นชาวมุสลิม ประสบความสำเร็จในการอ่าน คัมภีร์ อัลกุรอาน ทั้งเล่มตั้งแต่ต้นจนจบ สามารถเข้าใจ จดจำ ได้ตั้งแต่เมื่ออายุยังน้อย
หลายคนที่เป็นชาวพุทธ ก็เช่นกัน สามารถอ่านพระไตรปิฎก โดยทราบเรื่องราวต่างๆทั้งเล่ม ตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ก็สามารถจดจำ พระไตรปิฎก ได้
ทั้งนี้ เนื่องจากเขามีเป้าหมายและความตั้งใจจริง เมื่อเขามีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะอ่านให้จบ แล้วมีการวางแผนการอ่าน ว่าจะต้องอ่านให้จบภายในกี่ปี แล้วเขาก็จะวางแผนต่อว่า ภายใน 1 เดือน จะต้องอ่านให้ได้กี่หน้า ภายใน 1 วัน จะต้องอ่านกี่หน้า แล้วก็ลงมือปฏิบัติ อ่านทุกๆวันด้วยความสม่ำเสมอ จนกระทั่ง อ่าน คัมภีร์ อัลกุรอานและพระไตรปิฏก จบ
หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็เนื่องจากไม่มีเป้าหมาย หลายคนเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาก็ต่อเมื่อ ตนเองเจ็บป่วยอย่างหนัก ใกล้ตาย เมื่อผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ จึงเริ่มรู้จักคุณค่าของเวลาอย่างแท้จริง
ดังนั้น หากท่านต้องการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ท่านควรทราบเสียก่อนว่า ท่านมีความต้องการหรือความปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะเป็นอะไร ที่จะทำอะไร แล้วเริ่มวางแผน เริ่มลงมือปฏิบัติ แล้วท่านจะพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็จะเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายในทุกขณะ
แต่ทั้งนี้ คนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ล้มเหลว จะแตกต่างกัน กล่าวคือ เมื่อเดินทางเข้าใกล้เป้าหมาย คนที่ประสบความสำเร็จ จะอดทน จะใจเย็น เพราะการเดินทางต้องใช้เวลานาน แต่ตรงกันข้าม คนที่ล้มเหลว ก็มักจะเลิกล้ม ไประหว่างทาง จึงทำให้เขาไปไม่ถึงเป้าหมาย
หลักการบริหารเวลา มีนักวิชาการได้แบ่งการใช้เวลาออกเป็น 8 8 8 กล่าวคือ 1 วันมี 24 ชั่วโมง เรามักใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับการนอน เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำงาน และ เราใช้เวลา 8 ชั่วโมง สำหรับทำธุระส่วนตัว ซึ่งเวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ เป็นการแบ่งแยกผู้ที่ประสบความสำเร็จกับคนธรรดา นั่นเอง
คนธรรมดา คนทั่วไป มักใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังนี้ ส่วนใหญ่มักเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย โดยใช้เวลาไปอย่างไม่มีคุณค่า เช่น เล่นไลน์นานเกินไป , เล่น Facebook นานเกินไป , เดินห้างสรรพสินค้านานเกินไป , พูดคุยกันนานเกินไป ฯลฯ ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ขอให้ท่านลดเวลาพวกนี้ลงไปให้ได้วันละ 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ปี ท่านจะมีเวลาเหลือมากถึง 365 ชั่วโมง เลยทีเดียว
แล้วท่านสามารถนำเอาเวลาที่เหลือ 365 ชั่วโมงนี้ ไปใช้กับการทำงานหรืองานอดิเรกที่ท่านต้องการทำ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหรือสิ่งที่ท่านต้องการในชีวิต ท่านก็จะไปถึงเป้าหมายได้อย่างเร็วยิ่งขึ้น เพราะกฏแห่งความสำเร็จ เขาบอกว่า ถ้าเราทำงานอย่างหนักและต่อเนื่อง งานที่เราทำก็จะง่ายลงไปเรื่อยๆ
จงจดจ่อที่เป้าหมาย อย่าจดจ่อที่อุปสรรค จงจดจ่ออย่างเข้มข้นกับความฝัน แล้วคุณจะใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

...
  
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข
เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
ความเคลื่อนไหวของประชาคมสุขภาพอาเซียน สถานการณ์สุขภาพของไทย ปรากฏว่าอายุโดยเฉลี่ยของคนไทยเราเพิ่มสูงขึ้น ทั้งชายและหญิง เช่น ปี 2507 อายุชายไทยมีอายุเฉลี่ย 56 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 62 ปี จนกระทั้งถึงปี 2553 ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 70 ปี หญิงมีอายุเฉลี่ย 77 ปี (ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2554 )
สาเหตุการตายจำแนกสาเหตุสำคัญต่อประชาการ 100,000 คน(ที่มา:สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข,2553) ไทยเรามีอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งมาเป็นอันดับที่ 1 คือ ปี 2549 (83 คน ต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (91 คน ต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 2 คือ อุบัติเหตุ ปี 2549 (59 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (51 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 3 โรคหัวใจ ปี 2549 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) ปี 2553 (28 คนต่อประชากร 100,000 คน) อันดับที่ 4 คือ โรคความดันเลือดสูงและหลอดเลือดสมอง อันดับที่ 5 คือ โรคปอดอักเสบและโรคปอดอื่นๆ อันดับที่ 6 คือโรคไตอักเสบ อันดับที่ 7 โรคเกี่ยวกับตับ อันดับที่ 8 โรคเบาหวาน อันดับที่ 9 โรคบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย อันดับที่10 โรควัณโรค อันดับที่ 11 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากไวรัส(เอดส์) เป็นต้น
ปริมาณการบริโภคน้ำอัดลมต่อคนของคนไทยสูงที่สุดในอาเซียน(ที่มา BMI ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปี 2554 )ไทยเราบริโภคสูงที่สุดในอาเซียนในอัตรา 41.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , ฟิลิปปินส์ ในอัตรา 31.30 หน่วย:ลิตร/คน/ปี , สิงคโปร์ ในอัตรา 26.55 หน่วย:ลิตร/คน/ปี ,มาเลเซีย ในอัตรา 17.05 หน่วย:ลิตร/คน/ปี,เวียดนาม ในอัตรา 5.31 หน่วย:ลิตร/คน/ปี และอินโดนีเซีย ในอัตรา 3.13 หน่วย:ลิตร/คน/ปี เป็นต้น
ผลกระทบจากแรงงานข้ามชาติ ปี 2553(ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและการเคหะ) ประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย มีประมาณ 2.7 ล้านคน (ซึ่งเท่ากับ 4.1 ของประชากรทั่วประเทศ) มากกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพและภาคกลาง และร้อยละ 90 เป็นแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และมีการประเมินอีกว่า มีแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาผิดกฎหมายอีก 1 ล้านคน (รวมแรงงานต่างชาติโดยประมาณ 3 ล้านคน)
สำหรับผู้ป่วยชาวต่างประเทศที่เข้ามารักษาในประเทศไทยมีมากขึ้น จึงทำให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี
สาธารณสุข กับ อาเซียน เมื่อมีการเปิดประเทศมากขึ้น ประชากรในอาเซียนและทั่วโลก สามารถเข้าออกกันง่ายขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขตามมาอย่างมากมาย เช่น นักท่องเที่ยว แรงงานต่างด้าว จะนำพาโรคภัยต่างๆเข้ามามากขึ้น การค้าขายสัตว์ พืช อาหารต่างๆ จะนำพาเชื้อโรคหรือพาหะนำโรคเข้ามามากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสุขภาพ(เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด สารเคมีอันตราย)จะเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น ประชาชนต้องเผชิญกับโรคภัยต่างๆ (โรคระบาด โรคอุบัติเหตุใหม่ โรคติดต่อทั้งเรื้อรังและไม่เรื้อรัง)
การเปลี่ยนแปลงในด้านสาธารณสุขเมื่อเปิดอาเซียน คือ การลงทุนเสรีจะมากขึ้น จะตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลจะง่ายขึ้น , ไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว การบิน การสัมมนา การแสดง การบริการทางด้านการแพทย์ ปัญหาทางด้านแรงงานจะไม่ขาดแคลนเพราะแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น ปัญหาการขาดแคลนสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐาน เกิดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาสังคมสูงขึ้น
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การเปิดประชาคมอาเซียน 31 ธันวาคม 2558
จากปัญหาและการเปลี่ยนแปลงข้างต้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การเตรียมความพร้อม ต้องคิดในแง่ดีว่า อาเซียนคือโอกาสและสิ่งที่ท้าทาย จะทำให้เราเกิดการพัฒนาตนเองเพื่อให้ต่อสู้กับการแข่งขัน
การเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านสาธารณสุข ต้องมีการเร่งผลิตบุคลากรสาธารณสุขให้เพียงพอ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ พยาบาลเทคนิค อสม. เป็นต้น อีกทั้งต้องมีการสร้างเสริมสมรรถนะภาพด้านภาษาอังกฤษ เทคโนโลยี ไปพร้อมๆกัน
สำหรับแนวโน้มในอนาคตหากมีการเปิดประชาคมอาเซียน ก็จะมีแพทย์ พยาบาล อยากที่จะมาเปิดคลินิคหรือสถาพยาบาลในประเทศไทยมากขึ้น อีกทั้งหากมีการเปิดเขาก็คงเลือกเปิดในเมืองหลวง เขาคงไม่เลือกเปิดในชนบท เช่นเปิดที่ถนนสีลม ถนนสาธร ถนนสุขุมวิท ซึ่งจะเน้นลูกค้าชาติต่างประเทศ เพราะสามารถหารายได้ได้มากกว่านั้นเอง
การเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการด้านสุขภาพ ต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ คุณภาพในการทำงาน ให้ได้มาตรฐานที่สูงขึ้น , มีแผนงานบริการชาวต่างชาติ แรงงานต่างชาติ นักท่องเที่ยว และมีกลยุทธ์ต่างๆที่ดึงดูดการใช้บริการ
การเตรียมพร้อมทางด้านตัวบุคคล คนทำงานสาธารณสุขต้องทำความเข้าใจประชาคมอาเซียน เปิดรับวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกในอาเซียน และปรับตัวในเรื่องของการสื่อสารทั้งการฟัง การพูด การอ่านและการเขียน โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และที่สำคัญต้องไม่มีการหยุดพักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
การเตรียมพร้อมระดับองค์กร หน่วยงานสาธารณสุขต้องสร้างพันธมิตร ร่วมมือภายในและภายนอกอาเซียน มีการยกระดับหลักประกันสุขภาพให้สูงขึ้น องค์กรต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ยกระดับหน่วยงานราชการให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ดังประเทศสิงคโปร์ ระบบราชการมีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำงาน
ท้ายนี้อยากฝาก คำพูดของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก องค์พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
“ True success exists not in learning, but in its application to the benefit of mankind”
หรือ “ความสำเร็จที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การเรียนรู้ หากแต่อยู่ที่การนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ”


...
  
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
การสร้างวินัยและงดผลัดวันประกันพรุ่ง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
คนในยุคปัจจุบันนี้ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากกว่าคนในยุคก่อน จึงทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย การเลี้ยงลูก การเลี้ยงหลานของคนในยุคนี้ ผู้ปกครองก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องลำบาก เลยเลี้ยงแบบสบายๆ ไม่มีการบังคับ จึงทำให้เด็กๆในยุคนี้ขาดความอดทน อีกทั้งไม่มีการสร้างวินัยให้แก่เด็กๆ ทำให้ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ เด็กๆจะผลัดวันประกันพรุ่ง ในการทำสิ่งต่างๆ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานหรือการทำกิจกรรม
การขาดวินัยและการผลัดวันประกันพรุ่งนี้นี่เอง ที่ทำให้เรามีการบริหารเวลาได้ไม่ดี ลองนึกดูว่า ในการทำงาน เจ้านายเขาให้ส่งรายงานในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 แต่ถ้าเราไม่มีวินัยเพียงพอ เราก็จะทำรายงานไม่เสร็จ สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจากว่าเราผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
การสร้างวินัยจึงมีผลต่อการบริหารเวลา การสร้างวินัยจะทำให้การผลัดวันประกันพรุ่งลดน้อยลง ฉะนั้น การมีวินัยจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน
แล้วคนที่มีวินัย คือคนอย่างไร คนที่มีวินัย มักเป็นคนที่ออกระเบียบ กฏเกณฑ์ ข้อบังคับ เพื่อที่จะมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ซึ่งในการทำงานบางอย่าง เป็นงานยาก เป็นงานที่ไม่อยากที่จะทำ แต่คนที่มีวินัย เขาก็จะฝืนความรู้สึกของตนเอง แล้วพยายามทำตามระเบียบ กฏเกณฑ์ ที่เขาได้วางหรือกำหนดไว้ เขาจึงประสบความสำเร็จในงานที่ทำ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีวินัย เขาก็จะเลื่อนเวลาออกไปเรื่อยๆ ยิ่งเจองานยากก็ยิ่งไม่อยากทำ มีข้ออ้างต่างๆที่จะไม่ทำ เพื่อที่จะนำเอางานนั้นไปทำในวันพรุ่งนี้ พอวันพรุ่งนี้ก็ไม่ทำอีก ก็บอกว่าจะเก็บเอาไว้ทำในวันมะรืนนี้ พอถึงวันมะรืนนี้ก็ไม่ทำอีก ก็จะบอกว่า จะเอาเก็บเอาไว้ทำในวันมะเรื่องนี้ จึงทำให้งานนั้นไม่เสร็จตามที่ได้กำหนดเอาไว้
ฉะนั้น คนที่ประสบความสำเร็จจะเป็นคนที่มีความสามารถในการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ซึ่งทำให้เขาไม่เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง การสร้างวินัยอาจจะต้องแลกกับบางสิ่งบางอย่าง เช่น เราต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน เราก็ต้องยอมที่จะอดทานอาหารที่เราชอบทาน เราก็ต้องเสียเวลาส่วนหนึ่งไปกับการออกกำลังกาย ทุกๆวัน
คน 2 คน ต้องการลดน้ำหนักให้ได้ 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน คนหนึ่งมีวินัย ยอมที่จะอดทานของหวาน ของทอด และลดอาหาร 1 มื้อพร้อมกับวิ่งในตอนเย็นๆ วันละ 30 นาที ทุกๆวัน กับอีกคนหนึ่งไม่มีวินัย อีกทั้งเป็นคนพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมที่จะงดของหวาน ของทอด พอเห็นแล้วอดไม่ได้ก็มักจะบอกกับตัวเองว่า เอาไว้งดทานในวันพรุ่งนี้ เป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป อีกทั้งไม่มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ถามว่าคน 2 คนนี้ ใครจะสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ผมไม่ต้องตอบครับ ท่านผู้อ่านก็คงทราบคำตอบดี ฉะนั้น ถ้าท่านต้องการสร้างวินัยขึ้นในตนเอง ท่านก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ท่านจะต้องมีความอดทน ท่านจะต้องมีความสม่ำเสมอและท่านจะต้องมีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้น

...
  
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง
โดย...ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
www.drsuthichai.com
นักพูดที่ดีต้องรู้จักวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟัง หากว่าเราเป็นนักพูด นักบรรยาย วิทยากร เราสามารถวิเคราะห์ผู้ฟังได้จากภาษากาย ว่าผู้ฟังมีความตั้งใจฟังเรา สนใจฟังเรา หรือ มีความเบื่อหน่าย ไม่อยากที่จะฟังเรา ซึ่งเราสามารถวิเคราะห์ภาษากายของผู้ฟังได้จาก ใบหน้า ท่าทาง ความสนใจของผู้ฟัง การนั่ง ความเคลื่อนไหวต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
นั่งกอดอก แสดงถึงการป้องกันตัวเอง เริ่มไม่ไว้วางใจ ความไม่สนใจในเรื่องที่พูด ความไม่ใส่ใจ การต้องการวางอำนาจเหนือผู้พูด และไม่ยอมเปิดใจที่จะรับฟัง
นั่งเอามือเท้าคาง เป็นลักษณะของคนกำลังใช้ความคิด หากเท้าคางแล้วเอนตัวมาข้างหน้า แสดงว่ากำลังสนใจกับเรื่องที่ผู้พูดพูด แต่ถ้าหากเท้าคางแล้วเอนตัวไปข้างหลัง แสดงว่า ไม่สนใจในเรื่องที่ผู้พูดพูด
นั่งขาถ่างหรือชอบนั่งอ้าขา แสดงถึงความเปิดเผย เป็นมิตร เป็นกันเอง เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ กล้าแสดงออก
นั่งไขว่ห้าง แสดงถึงการป้องกัน ไม่เปิดใจที่จะรับฟัง เป็นคนมั่นใจในตนเอง
นั่งตัวตรง แสดงถึงเป็นคนกล้าพูดกล้าทำ กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ มีพลัง มีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบสูง
นั่งจับจมูกบ่อยๆ แสดงถึงความไม่มั่นใจ ครุ่นคิด สับสน ต้องการใช้เวลาตัดสินใจ
นั่งพนักหน้าตอบรับเป็นระยะๆ แสดงความเป็นกันเอง รู้สึกมีความเห็นด้วยกับผู้พูด เป็นมิตร กำลังเชื่อในเรื่องที่ผู้พูดได้พูด
นั่งเอามือวางไว้ที่บนตัก แสดงถึงว่าเป็นคนที่มีความสุภาพ อ่อนโยน รู้สึกเจียมตัว มีความเรียบร้อย
นั่งเอามือซุกกระเป๋า แสดงถึงว่าไม่ต้องการฟัง รู้สึกอึดอัดใจ
นั่งแล้วเอามือเกาศีรษะบ่อยๆ แสดงถึงอาการสงสัย ไม่เข้าใจในเรื่องที่ฟัง
นั่งกระดิกขา แสดงถึงอาการผ่อนคลาย เปิดเผย รู้สึกสบายๆ ไม่กระตือรือร้น
นั่งก้มหน้า แสดงถึง การซ่อนหรือเก็บความรู้สึกบางอย่าง ไม่อยากเปิดเผย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกประหม่า รู้สึกกลัว รู้สึกอาย
นั่งฟังแต่ไม่กล้าสบสายตา แสดงถึงการทำผิด ประหม่า ไม่มีความมั่นใจในตนเอง มีพิรุธ
นั่งหลังงอไหล่ห่อ เป็นคนที่สบายๆ ไม่ชอบเรื่องมาก ไม่ค่อยเครียด
แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ภาษากายหรืออ่านใจผู้ฟัง ควรใช้วิจารณญาณ สัญชาติญาณ สถานการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ฟัง ประกอบด้วย รวมไปถึงเรื่องความแตกต่างของเชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา ซึ่งเหล่านี้ก็อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันในการวิเคราะห์และอาจจะไม่มีความถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์






...
  

    จำนวนหน้า : [1]  [2]  [3]  [4]  [5]  [6]  [7]  [8]  [9]  [10]  [11]  [12]  [13]  [14]  [15]  [16]  [17]  [18]  [19]  [20]  [21]  [22]  [23]  [24]  [25]  [26]  [27]  [28]  [29]  [30]  [31]  [32]  [33]  [34]  [35]  [36]  [37]  [38]  [39]  [40]  [41]  [42]  [43]  [44]  [45]  [46]  [47]  [48]  [49]  [50]  [51]  [52]  [53]  [54]  [55]  [56]  [57]  [58]  [59]  [60]  [61]  [62]  [63]  [64]  [65]  [66]  [67]  [68]  [69]  [70]  [71]  [72]  [73]  [74]  [75]  [76]  [77]  [78]  [79]  [80]  [81]  [82]  [83]  [84]  [85]  [86]  [87]  [88]  [89]  [90]  [91]  [92]  [93]  [94]  [95]  [96]  [97]  

หนังสือ พูดอย่างมีกึ๋น
ศิลปะการขาย
วาทะวาที

  Copyright @ 2010 drsuthichai.com All Rights Reserved.  Powered by ThaiWeb.  Admin Business Online 
Popularne pozyczka 5000 kasa stefczyka tarnów, dzięki nowelizacjom w prawie, są coraz pozyczka do 3 osób. Nowe regulacje mają na celu ochronę konsumentów i objęcie większym nadzorem procedur udzielania pożyczek pozabankowych chwilówki plac wolności rzeszów x kom. Nowe przepisy opierają się na pożyczki dla zatrudnionych na czarno góra zmianie ustawy o nadzorze nad rynkiem finansowym net credit splata pozyczki irlandia. Weszły one w życie z dniem 11 marca 2016 r. chwilówka dla studenta ranking Poniżej zamieszczamy ich przegląd. Firma pożyczkowa musi dysponować minimalnym kapitałem początkowym w wysokości 200 tys. zł – kapitał ten nie może pochodzić z pożyczek eurobank pożyczka online pl. W ten sposób postarano się wyeliminować z rynku małe firmy, które powstawały tylko po to, aby w jak najkrótszym czasie oszukać rzesze klientów udzielanie pożyczek zwolnione z vat. Nadzór nad firmami pożyczkowymi może prowadzić Komisja Nadzoru Finansowego z o.o. udziela pożyczki vivus. KNF w razie wątpliwości może objąć monitoringiem warunki oferowanych pożyczek pożyczka 3000 online. Firma pożyczkowa, która utrudni działania czy umowa pożyczki może być bez odsetek hipotecznych, może zostać obarczona karą do 500 tys. zł credit agricole kredyt mieszkaniowy kalkulator. Niektórzy eksperci uważają, że optymalna karą za nielegalne praktyki, byłoby 1 mln zł. wynagrodzenie z tytułu pożyczki hipotecznej Ustalono także, że wszystkie koszty pożyczki nie mogą być wyższe niż 100% kwoty udzielonej koszty umowy pożyczki rodzinnej, uwzględniając cały okres kredytowania czesc pozyczki hipoteczne. Ponadto maksymalne opłaty oraz odsetki z tytułu opóźnień w umowa pożyczki od wspólnika spółki cywilnej uchwała spłacie nie mogą przekraczać 6-krotności stopy lombardowej kredytu ustalanej przez NBP pożyczka z zfśs a zwolnienie szpitalne. Koszty udzielenia pożyczki nie mogą przekroczyć 25% kwoty udzielonej pożyczki pożyczki bez bik poznan poland, a koszty pozaodsetkowe w skali roku nie mogą być większe niż 30% gdzie dostać kredyt dla zadłużonych. Chwilówki mogą być obarczone odsetkami ustawowymi tarnow pozyczki bez qica, czyli maksymalnie 4-krotnością kredytu lombardowego NBP pożyczka na doposażenie stanowiska pracy chomikuj.